1. โทษพายุที่นำเอาน้ำมหาศาลติดมาด้วย นี่เจอแค่หาง ๆ ของพายุ 2 ลูก พายุนาแก
2. โทษกรมชลที่เก็บน้ำไว้เยอะเกินไป เพราะน้ำน้อยก็โดนด่า น้ำเยอะยิ่งโดนด่าหนัก
3. โทษชาวนาไม่ยอมให้กรมชลฯปล่อยน้ำหลาก เลยไปฟ้องศาล และศาลก็ให้ชาวนาชนะซะด้วย
4. โทษนักการเมือง พรรคเพื่อไทย โทษทักษิณ ต้องอั้นน้ำไว้ ให้ชาวนาได้เกี่ยวก่อน เดี๋ยวไม่มีข้าวไปจำนำ น้ำเลยสะสมเยอะเข้าไปอีก
5. โทษผู้มีอิทธิพลเหนือประตูน้ำ ที่กั้นน้ำออกที่ต่างๆ ต่างไม่ยอมให้น้ำเข้าที่ตัวเอง เพราะบางที่อยากทำนาครั้งที่ 4 ครั้งที่ 5
ุ6. โทษแนวกั้นน้ำ แนวกระสอบทรายต่างๆที่ทำให้น้ำ้ไม่สามารถไหลไปได้อย่างอิสระ น้ำไม่สามารถหลากไปได้อย่างอิสระ ทำให้ปริมาณน้ำสะสม
7. โทษ กทม. โทษประชาธิปัตย์ ที่ได้แต่ด่าคนอื่น แต่ก็ไม่สามารถมาร่วมมือ ไม่ช่วยแก้ปัญหาของชาติได้
8. โทษ พรรคพลังธรรม ที่ไปออกบ้านเลขที่ให้คนบุกรุกทางน้ำสาธารณะ สนับสนุนให้มีการมาตั้งรกรากบนทางน้ำ กีดขวางการไหลของน้ำ
9. โทษ ศปภ ว่อนเน็ตเรียกเป็น ศปภ.ศูนย์ปั่นป่วนทั่วพิภพ ที่ไม่สนใจใยดีชาวบ้าน บริหารน้ำท่วมไม่ได้ เก่งแต่บริหารน้ำลาย พอน้ำท่วมนานเข้า่หายหัวหมด ปั๊มน้ำก็ไม่เคยเตรียมล่วงหน้า แม่น้ำคูคลองก็ไม่เคยขุดลอก ผักตบ ขยะ ก็เต็มทางน้ำ กทม.ก็ชุ่ยพอกัน
โทษฟ้า โทษพายุ โทษคน โทษฝน โทษผู้มีอิทธิพลเหนือประตูน้ำ โทษผู้ขวางทางน้ำ โทษชาวน้ำผู้ฟ้องคดีและชนะกรมชลประทาน โทษตัวเอง ที่ต้องเจอ fresh water tsunami คือน้ำนี้ น้ำท่วมซึนามิน้ำจิดแรกของโลก
ที่มา: forwarded mail
-------------------------------
ปริศนา 'ไฉน' น้ำท่วมหนัก 'ฝั่งตะวันตก' จึงตกเป็นลูกเมียน้อย 'ฝั่งตะวันออก' ??
กลายเป็นเรื่องที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันสรรพกำลังทุกภาคส่วน นักวิชาการ สื่อ กระทั่งรัฐบาล ออกไอเดียมากมายไปจัดการแก้ไขปัญหามวลน้ำก้อนมหึมา ทางฝั่งตะวันออกมากกว่าฝั่งตะวันตก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมวลน้ำที่กำลังเคลื่อนทัพมาฝั่งตะวันตก มากกว่าฝั่งตะวันออกถึง 2 เท่าตัว...
เรื่องนี้ ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญภัยพิบัติมหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อม นานาชาติสิรินธร ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ ก็สงสัยตามข้อสังเกตนี้เช่นกัน
“ผมเป็นห่วงเรื่องการให้ความสำคัญฝั่งตะวันตกมาก ซึ่งก็พยายามชี้ให้รัฐบาลทราบหลายครั้งว่า ตอนนี้ฝั่งตะวันออกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก เพราะว่าการระบายน้ำ มันเข้าระบบดีอยู่แล้ว ให้หันมาสนใจการระบายน้ำในฝั่งตะวันตกให้มากๆ เพราะว่าแทบจะมันไม่มีคลองระบายน้ำเลย ที่สำคัญมันยังมีคลองขวาง ขวางอย่างเดียว ฉะนั้นขณะนี้มันจะรับ-ส่งก้อนน้ำมหึมาเป็นทอดๆ ท่วมไล่เป็นบล็อคๆ แต่ละพื้นที่จะหนักหนามากกว่าฝั่งตะวันตกมาก เพราะไม่รู้จะระบายน้ำไปไหน จะเอาไปท่าจีนน้ำก็สูง ส่งไปเจ้าพระยาก็สูงอีก แถมขณะนี้คันกั้นน้ำก็แตกหนัก เรื่องนี้รัฐบาลต้องตระหนักให้มากๆ”
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำแห่ง ม.รังสิต สะท้อนสถานการณ์น้ำเคลื่อนตัวมาถล่มฝั่งตะวันตกว่า ขณะนี้น้ำท่วมเกือบเต็มพื้นที่ กทม.แล้ว ซึ่งคาดว่าจะค่อยท่วมไม่ตูมตาม เต็ม 100% บริเวณคลองมหาสวัสดิ์ (ตั้งอยู่ใน ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี และเขตอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม) ก็ 100% แล้วลงมาที่กรุงเทพฯ ไล่ท่วมเข้าเขตตลิ่งชั่น เขตทวีวัฒนา ลงมาเรื่อยๆ ถึงเขตบางแค เขตภาษีเจริญ วิ่งเข้าเขตหนองแขม ซึ่งเขตนี้จะโดนแค่บางส่วนแต่ไม่เยอะมาก โดยน้ำสูงสุดประมาณ 1 เมตร (ใช้ความสูงของพื้นถนนเส้นหลักเป็นเกณฑ์วัด)
“จริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างที่เขาเรียกกัน ไม่มีทัพหน้า ทัพหลวงหรอก ซึ่งตอนนี้น้ำไปกองที่ จ.อยุทธยา ตั้งกี่พันล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะวิ่งเข้ามาที่ฝั่งตะวันตกวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร วิ่งไปทางฝั่งตะวันออก 15 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งฝั่งตะวันตกวิกฤติกว่าครึ่งๆ จึงเหลือทางเดียวคือ 1. คุณต้องลดการระบายน้ำลงแม่น้ำท่าจีน เจ้าพระยาลดได้แล้ว ตอนนี้ยังปล่อยมามหาศาลทางล่างก็อ่วม อีกอย่างหนึ่งน้ำเหนือมันลดแล้ว จ.นครสวรรค์เบาแล้ว จ.อุทัยธานีเบาแล้ว คุณไม่จำเป็น จ.สิงห์บุรีเบาแล้ว 2. เครื่องสูบน้ำที่มีอยู่ริมท่าจีน ได้ทำงานกันอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้วหรือเปล่า จะได้ช่วยลดมวลน้ำที่เข้ามาในคลองมหาสวัสดิ์ 2 ตัวนี้คือวิธีแก้ไขอย่างเร่งด่วนสำคัญ กว่าการแก้ไขทางฝั่งตะวันออกและต้องทำทันที” นักวิชาการเรื่องน้ำที่ได้รับการเชื่อถือกล่าว
ขณะเดียวกัน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นักวิชาการเรื่องโลกร้อนชื่อดัง ทั้งยังเป็นนักวิชาการที่อยู่ในทีมงานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม หรือ ศปภ. กล่าวถึงประเด็นนี้ผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า ไม่ใช่ ศปภ.ให้ความสำคัญน้อยกว่า แต่เนื่องจากรูปแบบ ศักยภาพฝั่งตะวันตกใช้แก้มลิง ฝั่งตะวันออกใช้ระบบคันกั้นน้ำ แบบป้องกัน 100% การแก้ไขจึงต่างออกไป โดยขณะนี้ได้มีการประชุมคณะการทำงานใหม่ ที่ไม่ใช่ของหน่วยใดหน่วยหนึ่ง โดยมีรองผู้ว่าฯ กทม. อธิบดีกรมชลประทาน ปลัดกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และผู้ที่มีความชำนาญเรื่องน้ำในพื้นที่มาย่นระยะทางจ่ายงานและสั่งงานแก้ไขให้ตรงและเกิดความรวดเร็ว
“จริงๆ แล้วก้อนน้ำทางฝั่งตะวันตก เป็นน้ำหลากมาทางจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเราเห็นนานแล้ว และใช้วิธีการแบ่งพื้นที่เป็น 4 โซน เพราะว่าน้ำมันแบ่งเป็น 4 บล็อกใหญ่ๆ ในบางยี่หน จ.สุพรรณบุรี น้ำต้นทางเราพยายามชะลอน้ำให้ได้มากที่สุด ถัดลงมาตรงพื้นที่บริเวณทุ่งพระยาบันลือ ซึ่งมีส่วนของคลองด้วย ก็พยายามเร่งผันข้าม แล้วเอาออกมาลงแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งน้ำทางนี้มันมาเป็นหน้ากระดาน จึงต้องพยายามเอาน้ำตัดลงลำน้ำ ลงแม่น้ำท่าจีนให้มากที่สุด แม่น้ำเจ้าพระยา คลองพระพิมล ยาวมาถึงคลองมหาสวัสดิ์ ก็ใช้หลักการเดียวกัน โดยเขตบางยี่หน พระยาบันลือ ลงมาพระพิมล มีกรมชลประทานดูแลแล้ว ก็ใช้ระบบประตูน้ำ ช่วงไหนน้ำลงก็เปิดประตูน้ำ ซึ่งหลักการเปิด-ปิดต้องสัมพันธ์กับระดับน้ำขึ้น-ลงอย่างเต็มที่ ให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนทาง กทม. รับหน้าที่ดูแลตั้งแต่คลองมหาสวัสดิ์ลงมา ใช้ระบบของคลอง เช่น คลองภาษีเจริญ คลองมหาชัย คลองทวีวัฒนา ระบายน้ำลงไปยังแก้มลิง คลองมหาชัย คลองสนามชัยอีกทางหนึ่งด้วย แต่ปัญหาตอนนี้ มันมีจุดพนังกั้นน้ำตามแนวชายฝั่งเสียหายไปหลายจุด เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน อย่างไรก็ดี ได้สั่งการลงไปให้กรมชลประทาน ให้ใช้เครื่องมือ ใช้แรงงาน ใช้วัสดุจัดการซ่อมแซม แต่ก็มีปัญหาอีกคือตอนนี้เหล็ก Sheet Pile ยังมาขาดตลาดอีก จึงมอบหมายให้รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ไปนำมาเหล็กชิบพายมาจากบริษัทนอกพื้นที่ที่ไม่ประสบภัย แล้วส่งมอบให้กรมชลประทานไปจัดการ โดยเร็วที่สุดไม่เกิน 5 วัน จะซ่อมพนังที่เสียหายเสร็จ"
เมื่อถามถึงจำนวนน้ำทางฝั่งตะตก มากกว่าน้ำทางฝั่งตะวันออกถึง 1 เท่าตัว...? ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำผู้นี้บอกว่า จากการคำนวณของตน เชื่อว่าทั้ง 2 ฝั่ง ใกล้เคียงกัน อย่างก็ตาม ด้วยศักยภาพ สูบน้ำรวมกัน แก้มลิงด้วยก็ที่กว่า 10 ลูกบาศก์เมตร แล้วค้างอยู่ในพื้นที่ฝั่งธนฯ ราว 10 ล้านโดยอัตราความสูงจะเพิ่มขึ้น 3-5 เซนติเมตรต่อวัน ขณะที่ฝั่งตะวันออกเข้ากับออกยังน้ำยังสมดุลย์ หมายถึงน้ำออกมากว่าเข้า อย่างน้ำที่ซึมเข้ามา 20-30 ล้านลูกบาศก์เมตรก็ไม่มีปัญหา
เนื่องจากกทม.จัดการได้สบาย เอาแค่คลองหลักสี่ และคลองบางเขนก็เอาอยู่ เพราะระบายได้ถึง 20 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันซึ่งภาพรวมแล้ว อาทิตย์หน้าน่าจะคลี่คลายอย่างช้าๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คืออาทิตย์นี้มันจะมีทั้งน้ำทะเล น้ำเหนือ ทั้งน้ำท่วมและน้ำไหลหลาก แต่ถ้ารอไปจนถึงอาทิตย์ก่อนวันลอยกระทง (วันลอยกระทงวันที่ 10 พ.ย.) ให้น้ำลดแล้วเอาน้ำออกไปได้ประมาณ 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรเราจะสบายโปร่งกว่านี้
"ตอนนี้ฝั่งธนฯ ท่วมเกือบ 100% หมดทุกที สูงต่ำไม่เท่ากัน ดังนั้นอยากให้เอาเกณฑ์ของถนนเป็นหนัก แต่คาดว่าไม่น่าเกิน 1 เมตรจากถนน อย่าง หนองแขมพื้นที่มันสูงกว่าที่อื่นๆ แถมลาดลงแม่น้ำท่าจีน ลงมาภาษีเจริญ ซึ่งบางแค ภาษีเจริญ และพวกที่อยู่ใกล้แม่น้ำใกล้คลองจะโดนเยอะ ผมมองว่าเขตหนองแขมจะโดนท่วมน้อยกว่าเขตอื่นอย่างที่บอกมันสันอยู่ตรงกลางสูงขึ้นมาแล้วมันเทลงแม่น้ำท่าจีน ผิดกับฝั่งบางพลัดนี้มันก็ลงแม่น้ำเจ้าพระยาโดนมากกว่า"
เมื่อถามย้ำถึงแนวทางของศปภ. กทม และนักการเมืองที่คนภายนองมองว่าขัดแย้งและแก้ไขวิกฤตการไม่เป็นแนวทางเดียวนั้น ดร.อานนท์บอกว่า เท่าที่ประชุมในทางลึกพอสมควรแตกต่างจากที่สื่อนำเสนอว่าน้ำท่วมมีความขัดแย้งของพื้นที่รับผิดชอบของนักการเมือง
“บางคนที่สื่อบอกว่าทะเลาะกัน ตอนประชุมเขายังเสนอให้เอาน้ำผันไปในพื้นที่ของเขาเองเลย จะเรียกว่าขัดแย้งได้ไหม จริงๆ มันเป็นเรื่องของการทำงานการปฏิบัติติดขัด ขาดการประสานงานมากกว่า พอสั่งการไป บางทีรู้แค่ 2 คน ระบบการสั่งการลงไปตามสั่งที่หัวก็แจ้งต่อไป แต่จริงๆ มันต้องให้คนรู้เยอะแล้วให้ทุกคนไปคิดปลายทางแก้ไขตามสถานการณ์ ไม่ใช่ว่าประตูเปิดน้ำ 30 ซ.ม. แล้วเปิดแค่นั้นทั้งที่มันวิกฤต ดังนั้นก็กำชัดกันว่าสิ่งที่สั่งการลงไปนั้นต้องเอาไปปรับใช้ตามสถานการณ์ด้วยเพราะ มันเปลี่ยนแบบวันต่อวัน แต่คิดว่าอาทิตย์ก่อนวันลอยกระทงสถานการณ์จะดีขึ้นอย่างแน่นอน” นักวิชาการผู้ที่ได้รับความเชื่อถืออีกคนกล่าวในที่สุด
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2554
--------------
เบื่อคนตอแหล เหม็นขี้ฟัน
--------------
วิกฤติน้ำท่วม 2554 ต้องมีคนรับผิดชอบ?
ทั้งวันของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราๆ ท่านๆ คงได้มีโอกาสฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดยขุนพลของพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามนำข้อมูลการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด และพฤติกรรมที่ส่อว่ามีการทุจริตมาแฉทุกแง่ทุกมุมแต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นต่อการอภิปรายใน Social Media ก็ดูจะแตกต่างกันไป บ้างก็บอกว่า ประชาธิปัตย์เอาข้อมูลเก่าที่เคยมีการแฉในสื่อต่างๆ และ Social Media มาอภิปราย บ้างก็ว่า อภิปรายคราวนี้ ทำให้เห็นว่า ศปภ.บริหารงานแบบไม่บริหารอย่างชัดเจนขึ้น จนทำให้วิกฤติน้ำครั้งนี้บานปลายเดือดร้อนกันไปทั่ว
ส่วนกลุ่มที่ค่อนข้างจะผิดหวังกับการอภิปรายครั้งนี้ ก็จะสะท้อนออกมาว่า ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านยังต่างฝ่ายต่างเล่นการเมือง ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากกำลังได้รับความเดือดร้อน
จะว่าไปแล้ว ความเดือดร้อนจากมหาอุทกภัยครั้งนี้ นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงกับประชาชนที่อยู่ในเขตพื้นที่น้ำท่วมแล้ว ยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่แน่ใจว่าน้ำจะเข้ามาถึงยังพื้นที่ของตนหรือไม่ เพราะหลายคนต้องเสียเงินลงทุนทำระบบป้องกันน้ำท่วมไปมากมาย ยังไม่นับรวมผลกระทบทางจิตใจที่ต้องหวาดผวากับน้ำที่ยังมาไม่ถึง และไม่มีใครบอกได้ว่าจะมาถึงหรือไม่
ขณะนี้ หลายฝ่ายกำลังวุ่นวายกับการฟื้นฟูเยียวยาที่ประเมินแล้วคงจะเกิดความยุ่งยากพอสมควร กับปัญหาการจัดการที่ไม่เป็นระบบของรัฐบาล อีกทั้งพฤติกรรมการทุจริตคอรัปชัน ที่ยังคงส่อแววให้เห็นอยู่ตลอด แต่สิ่งที่ยังเป็นคำถามของคนไทยจำนวนมากรวมทั้งนักลงทุนต่างชาติในไทย คือ อุทกภัยเช่นนี้ จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
ทั้งนี้ ก่อนที่เราจะก้าวไปถึงการป้องกันปัญหาอุทกภัยในระยะยาว เรามีความจำเป็นต้องค้นหาสาเหตุของอุทกภัยครั้งนี้ ให้ได้เสียก่อน เพราะยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า สาเหตุที่แท้จริงของมหาอุทกภัยครั้งนี้มาจากเรื่องใดกันแน่ ระหว่างปริมาณฝนที่ตกลงมามากกว่าทุกปี หรือหน่วยงานของรัฐบริหารจัดการน้ำผิดพลาด หรือทั้งสองเรื่อง
แน่นอนว่า ฝ่ายการเมืองคงไม่ต้องการยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของฝ่ายตน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านที่เป็นพรรคการเมืองที่บริหารราชการกรุงเทพมหานครอยู่ในปัจจุบัน
แต่จากข้อมูลที่นักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญต่างสรุปตรงกันคือ ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในปีนี้นั้น มีมากกว่าปกติเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น แต่ด้วยความอ่อนด้อยในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ ที่มัวแต่เร่งหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยม จนไม่สนใจปัญหาน้ำที่เริ่มก่อตัวตั้งแต่ช่วงที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ จึงทำให้ปัญหารุนแรงกว่าที่จะควบคุมได้ ซึ่งยังไม่นับปัญหาทางการเมืองอื่นๆ ในพรรคร่วมรัฐบาล ที่ทำให้ตัดสินใจระบายน้ำผิดพลาด
ข้างฝ่ายกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำเกือบสุดท้ายก่อนที่น้ำจะไหลลงทะเล ฝ่ายบริหารของ กทม. ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขาดการเตรียมพร้อม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็บริหารจัดการกันแบบรูทีนไปวันๆ ไม่มีการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำจำนวนมหาศาลที่จะเข้ามา ดังจะเห็นได้จากการปล่อยปละละเลยให้คูคลองตื้นเขิน เต็มไปด้วยขยะและวัชพืชที่เป็นอุปสรรคในการระบายน้ำ
การป้องกันน้ำท่วมในเขต กทม. จึงทำได้เพียงการก่อกระสอบทรายยันน้ำเอาไว้ แต่ไม่สามารถระบายออกไปได้ตามระบบการระบายน้ำที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกเหนือจากความสำเร็จในการสกัดน้ำไม่ให้ทะลักผ่านคลองบางซื่อ ตรงบริเวณถนนรัชดาภิเษก วิภาวดีรังสิต และพหลโยธินแล้ว เราก็จะเห็นการระบายน้ำเข้าสู่ระบบระบายน้ำในเมืองที่จะออกสู่ทะเลและแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งอุโมงค์ระบายน้ำและคูคลองชั้นใน ไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น
สภาพคูคลองชั้นในที่ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งระหว่าง 1-2 เมตร เช่น ที่คลองแสนแสบและคลองเปรมประชากร ขณะที่น้ำทางตอนเหนือของ กทม.และปริมณฑล ยังคงท่วมขังอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 1 เดือน ย่อมแสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในการระบายน้ำของ กทม.อย่างชัดเจน
ทั้งหมดนี้ เป็นบางตัวอย่างของสาเหตุที่ทำให้ปัญหาอุทกภัยครั้งนี้ เลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ปัญหาทุจริตคอรัปชันของข้าราชการประจำและนักการเมืองที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติภัยธรรมชาติเช่นนี้ รุนแรงเกินกว่าที่จะควบคุมได้
ดังนั้น ก่อนที่จะเราเดินไปสู่กระบวนการป้องกันปัญหาในระยะยาว ก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจสาเหตุแห่งปัญหาเสียก่อน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเราทราบสาเหตุของปัญหาว่าไปพาดพิงถึงนักการเมืองและข้าราชการประจำคนใดบ้าง ก็จำเป็นที่จะต้องมีผู้รับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
ไม่ใช่เมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว ใช้เสียงข้างมากลากกันมาลงมติไว้วางใจ โดยไม่สนใจว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมจะรู้สึกอย่างไร จากนั้นก็ลอยตัวหนีปัญหาไปเรื่อยๆ ด้วยการปัดความรับผิดชอบไปวันๆ เพราะมั่นใจว่าฐานเสียงสำคัญไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
ถ้าคิดได้แค่นี้ ก็วังเวงเต็มทีแล้วกับประเทศไทย...
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ โดย ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี 30 พฤศจิกายน 2554
-------------
สื่อนอกตีข่าวน้ำท่วมไทย สังเวยอย่างน้อย 657 ศพ อยุธยาตายเยอะสุด
สื่อต่างประเทศรายงานยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุด ในรอบมากกว่าครึ่งศตวรรษของไทย ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 657 รายแล้ว โดยพบข้อมูลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของไทย ถือเป็นจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ขณะที่ "เดวิด แม็คคอลีย์" ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ประจำธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ระบุ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศในเอเชีย จะต้องเตรียมแผนรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในระยะยาว แทนการคอยแก้ปัญหาแบบปีต่อปี...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบมากกว่าครึ่งศตวรรษของไทย ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 657 รายแล้ว โดยพบข้อมูลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของไทย ถือเป็นจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
รายงานข่าวของสื่อต่างประเทศหลายสำนักระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กินระยะเวลานานกว่า 4 เดือนและสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ 64 จาก 77 จังหวัดในประเทศไทย ได้เพิ่มเป็นอย่างน้อย 657 รายแล้ว และยังมีผู้สูญหายอีกอย่างน้อย 3 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นผู้เสียชีวิตในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มากที่สุดถึง 139 คน รองลงมาคือ จังหวัดนครสวรรค์ ที่มีผู้เสียชีวิต 72 คน
ขณะที่ เดวิด แม็คคอลีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ประจำธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ออกมาระบุว่า เหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทย ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคให้หันมาตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติให้มากยิ่งขึ้น และถึงเวลาแล้วที่ประเทศในเอเชียจะต้องเตรียมแผนรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในระยะยาว แทนการคอยแก้ปัญหาแบบปีต่อปี
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 2 ธันวาคม 2554
No comments:
Post a Comment