สภาพัฒน์เผยหนี้สินครัวเรือนไทยพุ่ง เพราะความฟุ้งเฟ้อใช้จ่ายเกินตัวตามค่านิยมสังคม ส่วนหนึ่งมาจากโครงการรถคันแรกและบ้านหลังแรก พบความสามารถในการชำระหนี้ลดลง ชี้ขึ้นค่าแรง 300 ไม่ได้ช่วยอะไรกลับพบออมเงินน้อยลงทำให้มีแนวโน้มยิ่งแก่ยิ่งจนสูง...
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2555 นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ว่า สถานการณ์ครัวเรือนไทยมีหนี้สินเพิ่มขึ้นแต่มีความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ลด ลง ซึ่งจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่ายอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีมูลค่า 2.74 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสสองและไตรมาสแรกของปี 2555 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้สิทธิ์ตามโครงการรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรก โดยสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 33.6% สินเชื่อเพื่อการบริโภคอื่นๆ 30.3% และสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย 10.3%
นอกจากนี้ ยังพบว่าความสามารถในการชำระหนี้คืนกลับลดลง เห็นได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล จากสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 25.1% คิดเป็นมูลค่า 56,527 ล้านบาท หรือ 21.4% ของเอ็นพีแอลรวมทั้งหมด ขณะที่มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ผิดนัดชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไปเพิ่มขึ้น 37.8% หรือ 7,382 ล้านบาท และสินเชื่อบัตรเครดิตที่ผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือนเพิ่มขึ้น 11% ชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกินตัวมากเกินขึ้น และเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามโดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้มีรายได้ปาน กลางถึงน้อย ที่มีแนวโน้มใช้จ่ายตามค่านิยมของสังคมหรือแรงจูงใจจากการโฆษณาขายสินค้า
ทั้งนี้ แม้ว่าแรงงานจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากนโยบายค่าแรง 300 บาท แต่กลับพบว่ามีการออมเงินที่น้อยมาก มีเพียง 7.8% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ เทียบกับญี่ปุ่นมีสัดส่วนการออมเงินมากกว่า 50% โดยแรงงานไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะแรงงานผู้สูงอายุมากขึ้นแต่ยังจนเช่นเดิม แตกต่างกับคนญี่ปุ่นมีการออมเงินตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้น มีความจำเป็นในการนำระบบเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างจริงจัง พร้อมกับการส่งเสริมให้มีการออมเงินตั้งแต่วัยเด็ก โดยกระทรวงการคลัง ต้องทบทวนเรื่องเงินออมแห่งชาติใหม่ซึ่งรอช้าไม่ได้
สศช.เผยคนไทยหนี้พุ่งเพราะฟุ้งเฟ้อ แนวโน้มยิ่งแก่ยิ่งจน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2555
No comments:
Post a Comment