พฤษภาหน้าร้อนที่เพิ่งพ้นผ่าน มีเสียงกล่าวขาน... “ไข่ปู” แพงกว่า “ไข่มาร์ค”
นักการเมืองกุลีกุจอขานรับ ตั้งท่าขู่คุมราคาไข่ราวสินค้าต้องห้าม ทั้งที่ช่วงที่แพงสุดราคาไข่คละหน้าฟาร์ม ณ ปลายเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ฟองละ 3.30 บาท แต่กระแสข่าวที่ออกมาโพทะนา แพงไปถึงฟองละ 5-7 บาท โดยมิยอมบอกกล่าวว่าไข่เบอร์อะไร
แต่แรงโหมประโคมข่าว ทำให้ไข่เป็นสินค้าการเมือง เพราะเป็นดัชนีชี้วัดความสามารถในการบริหารบ้านเมืองของนักการเมืองโดยที่ไม่ยอมมองว่า ไข่ที่ว่าแพงนั้น ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ฟองละ 2.86 บาท เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ได้กำไรไม่ถึง 50 สต.
ได้กำไรแค่ 15% แถมกำไรเพียงนี้ ใน 1 ปี มีแค่ 2–3 สัปดาห์เท่านั้นเอง
ทั้งที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทุกปี หน้าร้อนไก่ให้ไข่น้อย เพราะไก่มิต่างไปจากคน อากาศร้อนคนจะเครียดกินอะไรไม่ลง ไก่ก็เหมือนกัน ร้อนเครียดกินไม่ลงไข่น้อยลง
ต่างจากหน้าหนาว ช่วงอากาศเย็น ทั้งประเทศจะมีไข่ป้อนตลาดวันละ 30 ล้านฟอง พอเจอร้อนไก่ไข่หดเหลือแค่วันละ 26-27 ล้านฟอง ยิ่งพฤษภาคมเป็นเดือนเปิดเทอม อาหารโปรตีนราคาถูกสุด ที่โรงเรียนจะซื้อหามาทำอาหารกลางวันให้นักเรียน หนีไม่พ้นไข่
ไข่มีน้อย คนกินเพิ่มขึ้น เป็นธรรมชาติไข่ย่อมต้องแพง มิใช่เรื่องแปลก ให้ต้องร้องแรกแหกกระเชอแต่อย่างใด
แถมใน 1 ปี จะมีช่วงที่ไก่ไข่น้อยก็แค่ 2-3 เดือนเท่านั้น...ส่วนเวลาที่เหลือไข่จะถูก เพราะไก่ออกไข่จนล้นตลาด อย่างตอนนี้เข้าหน้าฝนเต็มฤดู อากาศเย็นลง ไก่ไข่มากขึ้นราคาร่วงมาเรื่อย จากราคาไข่คละหน้าฟาร์มที่เกษตรกรขายได้ราคาฟองละ 3.30 บาท วันนี้ลดเหลือแค่ 2.90-3.00 บาท
ราคาไข่เลยร่วงรูดลงทุกวัน ใกล้ถึงจุดเท่าทุน และจะขาดทุนในไม่ช้า
และเมื่อวันที่ไข่ราคาถูกจนเกษตรกรมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง...จะมีนักการเมือง ผู้บริโภคสักคนไหม ที่จะออกมากู่ร้องให้ก้องฟ้า “ไข่ปูถูกจุงเบย เมื่อไรจะแพงสักที คนเลี้ยงไก่ไข่จะไม่ต้องเจ๊ง” บ้างไหมหนอ
เกษตรกรคงได้แต่รอ แบบเดียวกับที่คนไทยทั้งประเทศฝันว่า...นักการเมือง ข้าราชการจะไม่โกงกิน
ในฝันยังยากจะเป็นจริง...แล้วจะไปหวังอะไรในชีวิตจริง.
ชมชื่น ชูช่อ
ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2556
No comments:
Post a Comment