สำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจภาวะการครองชีพ พบข้าราชการติดหนี้อ่วมทั่วไทย มีหนี้สินเฉลี่ยครอบครัวละกว่า 8.72 แสนบาท เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2549...
นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยว่า สสช.ได้สำรวจภาวะการครองชีพของข้าราชการพลเรือนสามัญประจำปี 2553 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากข้าราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ทุกประเภท และระดับตำแหน่งที่ตกเป็นตัวอย่างทั่วประเทศ รวม 12,886 ราย ไม่รวมข้าราชการประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ พบว่า ครอบครัวข้าราชการทุกประเภทและระดับตำแหน่งมีหนี้สิน 84.1% ของจำนวนครอบครัวข้าราชการทั้งหมด โดยมีหนี้สินเฉลี่ย 872,388 บาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2549 ที่มีจำนวนครอบครัวข้าราชการที่เป็นหนี้เพียง 81.6% และมีหนี้สินเฉลี่ยเพียง 657,449 บาท
ส่วนรายได้นั้นมีเฉลี่ยเพียงเดือนละ 43,650 บาท ขณะที่มีรายจ่ายเฉลี่ยเดือนละ 32,386 บาท เมื่อเปรียบเทียบรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สิน พบว่าครอบครัวข้าราชการมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าใช้จ่าย และทั้งรายได้และค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จากผลสำรวจยังพบว่าครอบครัวข้าราชการต้องการให้รัฐเพิ่มเงินเดือน เป็นสัดส่วนมากที่สุดถึง 91.9% รองลงมาคือต้องการให้เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานเอกชนได้ มีสัดส่วน 47.8% โดยสามารถเบิกได้ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก อีก 44.4% ต้องการให้เพิ่มค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับการเดินทางไปราชการ และ 44% ต้องการให้ยกเลิกค่าเช่าบ้านแต่ให้ได้รับเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยแทน และยังต้องการให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลโดยวิธีจ่ายตรงไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน การจัดโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อที่อยู่อาศัย และการเบิกเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากค่าเล่าเรียน เป็นต้น
นางจีราวรรณกล่าวว่า จากผลสำรวจพบว่า หนี้สินเฉลี่ยของครอบครัวข้าราชการมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 56.4% เป็นหนี้สินเพื่อที่อยู่อาศัย รองลงมา 15.2% เพื่อซื้อหรือซ่อมแซมยานพาหนะอีก 13.3% เป็นหนี้สินเพื่อใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภค และ 5.8% เป็นการลงทุนในธุรกิจของครอบครัว ส่วนหนี้สินเพื่อใช้ในการศึกษามีเพียง 3.9% เท่านั้น โดยข้าราชการประเภททั่วไประดับชำนาญงาน มีสัดส่วนของการมีหนี้สูงที่สุด คือ 88.3% มีหนี้สินเฉลี่ย 851,801 บาท สำหรับรายได้ของครอบครัวราชการส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนที่ได้รับเป็นประจำจากการทำงาน เช่น เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มพิเศษ
โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ ไทยรัฐออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน 2553
No comments:
Post a Comment