ชีวิตของผู้นั้นก็จะเป็นชีวิตที่ทุกข์น้อย แต่สุขมาก
เรื่อง...วรธาร ทัดแก้ว
ความคิดของคนเรามีส่วนสำคัญอย่างมากในการดำเนินชีวิตรวมถึงเรื่องงาน ถ้าใครมีความคิดในเรื่องของการดำเนินชีวิตในเชิงบวก มองในแง่ดีเป็นพื้นฐานแล้ว ชีวิตของผู้นั้นก็จะเป็นชีวิตที่ทุกข์น้อย แต่สุขมาก หรือแทบจะไม่ทุกข์ ในส่วนของเรื่องงานก็ช่วยทำให้มีพลังในการทำงาน หรือทำงานแบบมีชีวิตชีวา สนุกกับงาน ทำงานสำเร็จได้เร็วพลัน ไม่ท้อแท้ ไม่รู้สึกว่างานยากเกินไป ช่วยให้บรรยากาศดี ไม่หดหู่ซึมเศร้า เป็นต้น ในทางกลับกันถ้าใครคิดหรือมองแต่ทางลบ ชีวิตของผู้นั้นก็คงจะหนีไม่พ้นความวุ่นวายที่ประดังเข้ามาไม่หยุด เพราะว่าการคิดหรือการมองแต่ทางลบนั้นย่อมก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ซึ่งถ้าเปรียบความคิดเชิงลบก็เหมือนกับการราดน้ำมันไว้รอไฟให้มาติดและลุก ไหม้นั่นเอง
อาจารย์รัศมี ธันยธร ศิษย์ของ ดร.เอเวิร์ด เดอ โบโน ปรมาจารย์ด้านความคิดสร้างสรรค์ ผู้อำนวยการสถาบันความคิดสร้างสรรค์ ได้แนะนำเคล็ดลับง่ายๆ 3 ประการ ในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข และงานก็ไปได้ดีและประสบความสำเร็จ
ฝึกมองส่วนดีที่ 95%
อาจารย์รัศมี กล่าวว่า ในโลกนี้ธรรมชาติจะมีสิ่งที่เป็นทั้งบวกและลบ ไม่มีบวกอย่างเดียวหรือลบอย่างเดียว โดยส่วนดีจะมีประมาณ 95% อีก 5% เป็นส่วนไม่ดีหรือส่วนที่ไม่ถูกใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ให้มองไปที่ 95% ไว้ก่อน
“คือพยายามมองไปส่วนที่ดีเข้าไว้ โฟกัสไปที่ 95% เข้าไว้ ห้ามมองที่ 5% ซึ่งเป็นส่วนไม่ดีเป็นอันขาด เพราะแม้ว่าจะแค่ 5% ซึ่งน้อยนิด แต่ก็ทำให้ชีวิตและจิตใจของทุกคนมัวหมอง เป็นทุกข์กังวลได้มากทีเดียว เช่น วันนี้เห็นคนอื่นขับรถปาดหน้า ปาดหลัง คันหลังก็บีบแตรลั่นถนน แทนที่จะโกรธเคืองทั้งสองคน ก็มาคิดในทางที่ดีว่าที่เขาทำอย่างนั้นคงมีเหตุผลของเขา ซึ่งถ้าไม่มีเหตุผลเขาคงไม่ทำ เป็นต้น ซึ่งการคิดหรือการมองในลักษณะอย่างนี้คือการคิดหรือการมองเชิงบวก โดยการโฟกัสไปที่ 95% ทั้งนี้เพราะถ้าเราคิดโกรธคนที่ขับรถปาดหน้า ปาดหลัง หรือคิดด่าคนที่บีบแตรข้างหลัง นั่นก็หมายความว่าเราเอาใจของเราโฟกัสไปที่ 5% ซึ่งเกิดผลเสียแน่นอน”
ผู้อำนวยการสถาบันความคิดสร้างสรรค์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแต่เช้าต้องคิดบวก มองบวกไว้ก่อน โดยมองไปที่ 95% เท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี เหตุการณ์ไม่เป็นที่พอใจ ใครจะด่าหรือใครจะว่าอะไร ก็ต้องฝึกมองเรื่องนั้น คนนั้นในแง่ดีไว้ก่อน แล้วอะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น ปัญหาและความยุ่งยากก็จะไม่เกิดให้ต้องปวดหัว แต่ถ้าคิดว่าทำไมขับรถอย่างนี้ ขับไม่ได้เรื่อง ไม่เคารพกฎหมาย เป็นต้น ก็จะทำให้อารมณ์เสียได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นตื่นมาจุดสตาร์ตที่ดีที่สุดคือ คิดบวกไว้ก่อนที่ 95%
อาจารย์รัศมี กล่าวว่า ในโลกนี้ธรรมชาติจะมีสิ่งที่เป็นทั้งบวกและลบ ไม่มีบวกอย่างเดียวหรือลบอย่างเดียว โดยส่วนดีจะมีประมาณ 95% อีก 5% เป็นส่วนไม่ดีหรือส่วนที่ไม่ถูกใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ให้มองไปที่ 95% ไว้ก่อน
“คือพยายามมองไปส่วนที่ดีเข้าไว้ โฟกัสไปที่ 95% เข้าไว้ ห้ามมองที่ 5% ซึ่งเป็นส่วนไม่ดีเป็นอันขาด เพราะแม้ว่าจะแค่ 5% ซึ่งน้อยนิด แต่ก็ทำให้ชีวิตและจิตใจของทุกคนมัวหมอง เป็นทุกข์กังวลได้มากทีเดียว เช่น วันนี้เห็นคนอื่นขับรถปาดหน้า ปาดหลัง คันหลังก็บีบแตรลั่นถนน แทนที่จะโกรธเคืองทั้งสองคน ก็มาคิดในทางที่ดีว่าที่เขาทำอย่างนั้นคงมีเหตุผลของเขา ซึ่งถ้าไม่มีเหตุผลเขาคงไม่ทำ เป็นต้น ซึ่งการคิดหรือการมองในลักษณะอย่างนี้คือการคิดหรือการมองเชิงบวก โดยการโฟกัสไปที่ 95% ทั้งนี้เพราะถ้าเราคิดโกรธคนที่ขับรถปาดหน้า ปาดหลัง หรือคิดด่าคนที่บีบแตรข้างหลัง นั่นก็หมายความว่าเราเอาใจของเราโฟกัสไปที่ 5% ซึ่งเกิดผลเสียแน่นอน”
ผู้อำนวยการสถาบันความคิดสร้างสรรค์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแต่เช้าต้องคิดบวก มองบวกไว้ก่อน โดยมองไปที่ 95% เท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี เหตุการณ์ไม่เป็นที่พอใจ ใครจะด่าหรือใครจะว่าอะไร ก็ต้องฝึกมองเรื่องนั้น คนนั้นในแง่ดีไว้ก่อน แล้วอะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น ปัญหาและความยุ่งยากก็จะไม่เกิดให้ต้องปวดหัว แต่ถ้าคิดว่าทำไมขับรถอย่างนี้ ขับไม่ได้เรื่อง ไม่เคารพกฎหมาย เป็นต้น ก็จะทำให้อารมณ์เสียได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นตื่นมาจุดสตาร์ตที่ดีที่สุดคือ คิดบวกไว้ก่อนที่ 95%
เลี่ยงส่วนเสีย 5%
อาจารย์รัศมี กล่าวต่อว่า สิ่งที่ควรระวังก็คือพยายามเลี่ยงส่วนเสีย 5% นั้นอยู่เสมอ อย่าเผลอให้ใจเราไปคิดกับเรื่องที่ไม่ดีแค่น้อยนิดนั้น เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้จะแค่ 5% แต่ 95% ก็สู้ไม่ได้ เพราะว่าพลังของ 5% นั้นใหญ่มาก สามารถที่จะทำให้จิตใจของคนเราหวั่นไหว หมองหม่น เศร้าซึม ไม่มีความสุข และเต็มไปด้วยความทุกข์ จนหมดแรงกายแรงใจที่จะทำงานและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขได้
ผู้อำนวยการสถาบันความคิดสร้างสรรค์ กล่าวต่อว่า แม้ว่า 5% จะเป็นเรื่องจริงที่เห็นแล้วยากที่จะยอมรับได้ แต่ก็ต้องพยายามมองเรื่องนั้นในแง่ดีไว้ก่อน เช่น ตื่นมาเห็นบรรยากาศข้างนอกมัวๆ ก็คิดว่าดีเหมือนกัน วันนี้ไม่มีแดด อากาศไม่ร้อนดี แต่ถ้าใสขึ้นมา แดดจ้า โอ๋...วันนี้อากาศสดใส แดดจ้า สว่างดีจริงๆ อย่างนี้ต้องหาอะไรเย็นๆ กิน เป็นต้น
“เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดนอกจากฝึกมองไปที่ 95% แล้ว จะต้องเลี่ยงส่วนที่เป็น 5% นั้นด้วย คือ ต้องฝึกที่จะไม่ทำให้เรื่องต่างๆ แค่ 5% นั้นเกิดปัญหาเพิ่มพูนขึ้นในใจอีกด้วย” อาจารย์กล่าว
อาจารย์รัศมี กล่าวต่อว่า สิ่งที่ควรระวังก็คือพยายามเลี่ยงส่วนเสีย 5% นั้นอยู่เสมอ อย่าเผลอให้ใจเราไปคิดกับเรื่องที่ไม่ดีแค่น้อยนิดนั้น เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้จะแค่ 5% แต่ 95% ก็สู้ไม่ได้ เพราะว่าพลังของ 5% นั้นใหญ่มาก สามารถที่จะทำให้จิตใจของคนเราหวั่นไหว หมองหม่น เศร้าซึม ไม่มีความสุข และเต็มไปด้วยความทุกข์ จนหมดแรงกายแรงใจที่จะทำงานและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขได้
ผู้อำนวยการสถาบันความคิดสร้างสรรค์ กล่าวต่อว่า แม้ว่า 5% จะเป็นเรื่องจริงที่เห็นแล้วยากที่จะยอมรับได้ แต่ก็ต้องพยายามมองเรื่องนั้นในแง่ดีไว้ก่อน เช่น ตื่นมาเห็นบรรยากาศข้างนอกมัวๆ ก็คิดว่าดีเหมือนกัน วันนี้ไม่มีแดด อากาศไม่ร้อนดี แต่ถ้าใสขึ้นมา แดดจ้า โอ๋...วันนี้อากาศสดใส แดดจ้า สว่างดีจริงๆ อย่างนี้ต้องหาอะไรเย็นๆ กิน เป็นต้น
“เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดนอกจากฝึกมองไปที่ 95% แล้ว จะต้องเลี่ยงส่วนที่เป็น 5% นั้นด้วย คือ ต้องฝึกที่จะไม่ทำให้เรื่องต่างๆ แค่ 5% นั้นเกิดปัญหาเพิ่มพูนขึ้นในใจอีกด้วย” อาจารย์กล่าว
คิดทำดีต่อคนอื่น
อาจารย์รัศมี กล่าวว่า การที่ตื่นมาในตอนเช้าการคิดจะทำอะไรสักอย่างให้คนอื่นได้ชื่นใจเป็นสิ่งที่ ควรทำอย่างยิ่ง โดยเริ่มต้นตั้งแต่ทำกับคนในครอบครัวก่อน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เช่น การพูดจาดีๆ การทำอาหารให้ทาน การถามไถ่สุขภาพ เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว
“เมื่อทำกับคนที่อยู่ในบ้านแล้ว ก็คิดทำกับคนอื่นๆ เช่น สมมติวันนี้ขับรถไปทำงานก็คิดว่าจะให้ทางกับคนที่ต้องการจะเปลี่ยนเลนสัก 3 คน หรือว่าเวลาที่ขึ้นรถเมล์จะหยุดให้คนอื่นขึ้นก่อนแล้วขึ้นทีหลัง เป็นต้น ซึ่งความคิดอย่างนี้ถือเป็นความคิดที่สร้างสรรค์ ได้ทำแล้วก็มีความสุข และเป็นความสุขที่ไม่จำเป็นต้องมีคนมาเชิดชูสรรเสริญ แต่เราจะรู้เองจากความคิดและการกระทำของเรา”
อาจารย์รัศมี กล่าวต่อว่า คนเราสามารถที่จะคิดดี พูดดี และทำดีต่อคนอื่นได้เสมอ โดยให้ยึดหลัก 95% และเลี่ยง 5% ที่กล่าวมาข้างต้นให้ได้ อย่าเอาทั้งสองอย่างมาผสมผสานกันเป็นอันขาด เดี๋ยวจะยุ่งกันใหญ่
เพราะฉะนั้นคนเราสำคัญที่สุดอยู่ที่ถ้าความคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยนด้วย ถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุข การงานไปโลด ก็ต้องโฟกัสความคิดไปที่ 95% เท่านั้น ห้ามดึงเอา 5% มาเกี่ยวข้องด้วย
อาจารย์รัศมี กล่าวว่า การที่ตื่นมาในตอนเช้าการคิดจะทำอะไรสักอย่างให้คนอื่นได้ชื่นใจเป็นสิ่งที่ ควรทำอย่างยิ่ง โดยเริ่มต้นตั้งแต่ทำกับคนในครอบครัวก่อน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เช่น การพูดจาดีๆ การทำอาหารให้ทาน การถามไถ่สุขภาพ เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว
“เมื่อทำกับคนที่อยู่ในบ้านแล้ว ก็คิดทำกับคนอื่นๆ เช่น สมมติวันนี้ขับรถไปทำงานก็คิดว่าจะให้ทางกับคนที่ต้องการจะเปลี่ยนเลนสัก 3 คน หรือว่าเวลาที่ขึ้นรถเมล์จะหยุดให้คนอื่นขึ้นก่อนแล้วขึ้นทีหลัง เป็นต้น ซึ่งความคิดอย่างนี้ถือเป็นความคิดที่สร้างสรรค์ ได้ทำแล้วก็มีความสุข และเป็นความสุขที่ไม่จำเป็นต้องมีคนมาเชิดชูสรรเสริญ แต่เราจะรู้เองจากความคิดและการกระทำของเรา”
อาจารย์รัศมี กล่าวต่อว่า คนเราสามารถที่จะคิดดี พูดดี และทำดีต่อคนอื่นได้เสมอ โดยให้ยึดหลัก 95% และเลี่ยง 5% ที่กล่าวมาข้างต้นให้ได้ อย่าเอาทั้งสองอย่างมาผสมผสานกันเป็นอันขาด เดี๋ยวจะยุ่งกันใหญ่
เพราะฉะนั้นคนเราสำคัญที่สุดอยู่ที่ถ้าความคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยนด้วย ถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุข การงานไปโลด ก็ต้องโฟกัสความคิดไปที่ 95% เท่านั้น ห้ามดึงเอา 5% มาเกี่ยวข้องด้วย
ที่มา: โพสต์ทูเดย์ดอทคอม พื้นฐานความคิด (ต้อง) อยู่ที่คิดบวก โดย วรธาร ทัดแก้ว 23 สิงหาคม 2553
===
เรื่องไม่ดีต้องวางอุเบกขา "ตถตา-มันเป็นเช่นนั้นเอง" ตั้งจิตอยู่ ตรงกลางระหว่าง + และ - คือ "0 = สุญญตา" แล้วจะมีสุข
สมการความสำเร็จของชีวิต = ความสามารถ x ความพยายาม x ทัศนคติ
ตัวแปรคือทัศนคติ ถ้าทัศนคติเป็นลบ ผลจะออกมาเป็นลบทั้งหมด
(โดย montol)
No comments:
Post a Comment