สมัยเป็นเด็กนักเรียนประถม คุณครูสอนว่าประเทศไทยเป็นประเทศในเขตมรสุม
ฝนตกน้ำท่วมจึงเป็นเรื่องธรรมดาตามธรรมชาติ ปู่ย่าตายายจึงสร้างบ้านเรือนยกสูง หน้าน้ำขึ้นไปอยู่บนเรือน หน้าแล้งลงมารับลมโกรกชั้นล่างเย็นสบายดี สมัยนี้ผู้คนมากขึ้น ตัดไม้ทำลายป่ารุนแรง พื้นที่รับน้ำหมดเกลี้ยง ถนนตัดผ่านทางน้ำเดิม ชุมชนมีหนาแน่นทุกแห่ง จากฝนตกน้ำท่วมจึงกลายเป็นอุทกภัยร้ายแรงที่พี่น้องประชาชน กำลังประสบกันในขณะนี้
ยังไม่เห็นทางแก้เลยขอรับ
เหมือนมรสุมในชีวิตการรับราชการในปัจจุบันที่มีมากกว่าแต่ก่อนเช่นกัน
โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นปัญหาใหญ่ท่ามกลางระบบคุณธรรมที่มีไว้ใช้เฉพาะในราชการ วงสัมมนาเท่านั้น
ส่วนของจริงท่านนักการเมืองผู้มีอำนาจท่านจัดระบบตามคุณธรรมของท่านเอง
ยังไม่เห็นทางแก้เหมือนกัน
แล้วมันก็มีผลกระทบลงไปทุกระดับ ทุกเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องการบำเหน็จความชอบเลื่อนขั้นเงินเดือนขวัญกำลังใจข้าราชการทั้งหลาย
บัดนี้กำลังอยู่ในระบบคุณธรรมตามหลักการเด็กใคร เด็กมันอีกจนได้
ท่านที่เจอมรสุมลูกนี้ โปรดตรวจดูเรื่องราวตามกฎหมายในเรื่องนี้ไว้ช่วยตนเองสักหน่อย
เดี๋ยวนี้มีทั้ง คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) มีศาลปกครองไว้เป็นที่พึ่ง ไม่ต้องเซ็งชีวิตเพียงโดดเดี่ยวเหมือนสมัยก่อน
คดีนี้เกิดขึ้น ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๗๒ ท่านว่าการเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญให้ผู้บังคับบัญชา พิจารณา โดยคำนึงถึง คุณภาพและปริมาณงาน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน ที่ได้ปฏิบัติมา ความสามารถและความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน ตลอดจนการรักษาวินัยและการปฏิบัติตนเหมาะสมกับการเป็นข้าราชการ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
ท่านกำหนดไว้ตาม กฎ ก.พ. วรรคสอง ว่าการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้ข้าราชการพลเรือนสามัญที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตาม วรรคหนึ่งให้อยู่ใน ดุลพินิจ ของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณา
นี่แหละญาติโยมทั้งหลาย พอเป็นดุลพินิจของท่าน ท่านก็ใช้ดุลพินิจแบบไทย ๆ เป็นเรื่องทุกที
แบบนี้ต้องดูคดีที่ศาลปกครองท่านวินิจฉัยการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชากันหน่อย
ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการระดับ ๖ ประจำศูนย์ในต่างจังหวัดของกรมใหญ่กรมหนึ่ง
มีทั้งหมด ๓๑ ศูนย์ทั่วประเทศ ทำงานทำการตามความรับผิดชอบเดียวกัน แต่ปรากฏว่าศูนย์ที่ผู้ฟ้องคดีทำงานอยู่ได้รับการประเมินว่าทำงานได้มีผลดี เป็นลำดับที่ ๗ ใน ๑๕ อันดับแรกของศูนย์ทั้งหมด
เจ้านายที่ศูนย์รับรองตอกย้ำด้วยการประเมินผลงานในระดับดีเด่น แบบนี้ต้องได้รับบำเหน็จความดีความชอบแหง ๆ
แต่ก็เป็นอย่างที่คาดไว้นั่นแหละขอรับ สองขั้นดันไปสิงสู่อยู่ที่กรมเป็นส่วนใหญ่ ตนเองจึงแห้วได้ขั้นเดียวตามระบบคุณนะทำ
แล้วมีข้อสังเกตด้วยว่าเมื่อเทียบกับศูนย์ที่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้นในกลุ่มข้าราชการระดับ ๖ และระดับ ๗ ทั้ง ๓๑ ศูนย์
มีอยู่สามศูนย์ใน ๑๕ ศูนย์อันดับแรกดังกล่าวที่ข้าราชการระดับ ๖ ได้เลื่อนสองขั้น ผู้อำนวยการศูนย์ได้ขั้นครึ่ง
ไม่ได้อิจฉานะ แต่ทั้งสามศูนย์ดังกล่าวมีภาระงานน้อยกว่า ใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายมากกว่า
แล้วจะไม่คิดมากได้ไง อุทธรณ์ขอความเป็นธรรมไปสองครั้งก็เงียบสนิท
ก็ต้องเป็นคดีที่ศาลปกครอง เจ้านายใช้ดุลพินิจโดยมิชอบนี่หว่า
งานนี้ ท่านชี้แจงมาง่าย ๆ ตามสูตรว่า เป็นเรื่องของการคำนวณสัดส่วนของแต่ละกลุ่ม ไม่มีเงินเหลือตามสัดส่วนสองขั้นในกลุ่มระดับ ๖ ระดับ ๗
มีให้หนึ่งขั้นน่ะบุญแล้วน้องเอ๋ย
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้กรมผู้ถูกฟ้องคดีเลื่อนขั้นเงินเดือนให้น้องเขา ซะดี ๆ ใหม่อีกครั้งหนึ่งภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
ยัง ยังดื้อตาใส กรมผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเรื่องความจำเป็นของส่วนสัด เอ๊ย สัดส่วนเหมือนเดิม
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่กรมผู้ถูกฟ้องคดีเลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้นให้แก่ข้าราชการระดับ ๖ และหนึ่งขั้นครึ่งแก่ผู้อำนวยการศูนย์ทั้งสามศูนย์ดังกล่าว
ทั้งที่ศูนย์ของผู้ฟ้องคดีได้รับมอบหมายงานจากผู้ถูกฟ้องคดีมากกว่าทั้งสามศูนย์ดังกล่าวและมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานน้อยกว่ามาก
ท่านว่าเป็นการพิจารณาเลื่อนขั้นโดย ไม่คำนึงถึงปริมาณงาน ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการดำเนินงานแต่ละศูนย์
ผู้ฟ้องคดีสมควรได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้นก่อนสามศูนย์ดังกล่าว
เป็นการใช้ดุลพินิจ โดยมิชอบตามมาตรา ๗๒ แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๓๕ พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๓๑๔ / ๒๕๔๙)
ค่าของคนต้องไปคุยกันที่ศาลปกครองนะครับ
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
ที่มา: ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2553
No comments:
Post a Comment