Monday, April 30, 2012

เรียนอย่างไร? ในยุคปริญญาล้นประเทศ

ประเทศเราทุกวันนี้จะมีคนจบปริญญาตรีประมาณปีละ 600,000 คน มีบัณฑิตจบใหม่มากมายที่หางานทำไม่ได้ เพราะส่วนมากจะจบจากคณะสาขาด้านศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ปีละมากกว่า 400,000 คน) ซึ่งเกินความต้องการของตลาดแรงงาน ในบ้านเราหลายคนตกงาน บางคนเรียนต่อ ที่รองานไม่ไหวก็ต้องไปทำงานไม่ตรงวุฒิ หรือต่ำกว่าวุฒิ

ส่วน ที่จบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็จะมีโอกาสหางานได้ง่ายขึ้นมาหน่อย แต่ก็ต้องมีความสามารถจริง เพราะจำนวนที่จบด้านนี้ก็ประมาณ 2 แสนคน ซึ่งล้นตลาดเช่นเดียวกัน สาขาที่จะมีตลาดงานรองรับแน่นอน จะมีเฉพาะบัณฑิตในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ น้องๆ ที่จบจากคณะ แพทย์ เภสัช ทันตะ เทคนิคการแพทย์ พยาบาล สาธารณสุข หางานไม่ยาก เพราะที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยต่างๆ มีการเปิดรับน้อย ช่วงนี้จึงมีคนที่จะจบด้านนี้รวมกันทั้งประเทศก็แค่ปีละไม่เกิน 30,000 คน

ดัง นั้น น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย คงต้องปรับตัวกันบ้าง อย่าไปเข้าใจผิด คิดว่าจบแล้วจะเอาปริญญาไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สมัครงานทำได้ง่ายๆ เหมือนสมัยก่อน ในยุคปริญญาล้นประเทศอย่างนี้ เราจึงควรใช้เวลาที่เรียนอยู่อย่างมีเป้าหมาย เป้าหมายของเรา ไม่ใช่..
เรียน เพื่อ สอบ 
สอบ เพื่อ จบ
และจบ เพื่อ ปริญญา

แต่ เป้าหมายเราที่ควรจะเป็น คือเรียนเพื่อพัฒนาคุณค่าในตนเอง เพราะถึงแม้ว่าปริญญาจะล้นประเทศ แต่บัณฑิตที่มีคุณค่านั้นขาดแคลนจริงๆ ผมมีคำแนะนำง่ายๆ ให้ลองไปปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิต เพื่ออนาคตของเราเองครับ ลองมาลงทะเบียนหลักสูตร พัฒนาคุณค่าของเราเอง เป็นหลักสูตรที่เราคิดเอง เรียนรู้เอง และให้เกรดตัวเอง หลักสูตรนี้มี 4 วิชา

1.วิชาชอบ

คือชอบอะไรสนใจอะไรก็แบ่งเวลา ไปทำในเรื่องที่ตนเองชอบ อย่ามัวแต่เรียน สอบ และ เที่ยวไปวันๆ สิ่งที่เราชอบ ถ้าชอบมันจริงศึกษาจริง บางทีมันจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานในอนาคต มีรุ่นน้องคนหนึ่งเรียนสังคม ภูมิศาสตร์ แต่ชอบถ่ายรูปมาก ถ่ายจริงจัง พอจบมาก็ไม่ได้ไปทำงานด้านที่เรียน แต่ไปเป็นช่างภาพนิตยสาร ตอนนี้กลายเป็นช่างภาพ National Geographic กลายเป็นช่างภาพระดับโลก มีนักศึกษามาคุยกับผมทางเฟซบุ๊ก บอกว่าเรียนไม่ดี เพราะเอาเวลาไปเล่นหมากรุก มาปรึกษาเรื่องเรียนต่อ ผมก็แนะนำไปว่าให้ศึกษาจริงจังเรื่องหมากรุก ก็จะมีช่องทางหารายได้เลี้ยงตัวได้ คนนี้ก็ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติไปแล้วกำลังจะไปแข่งซีเกมส์ที่อินโดนีเซีย และก็รับสอนหมากรุก มีรายได้ มีความสุขทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบ อาชีพใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ ความถนัดทางหมากรุกอาจเกิดขึ้นอีกมากมาย เช่นไปอยู่ในทีมทำเกม (คนเล่นหมากรุกจะมีความถนัดในด้านเกมที่ใช้ความคิด) ไปอยู่บริษัท Board game online (เช่นหมากต่างๆ ไพ่บริดจ์) หรืออนาคตอาจเป็นนักหมากรุกอาชีพระดับโลกก็ได้

2.วิชาชีพ
ใคร ที่เรียนคณะสาขาที่หางานง่ายอยู่แล้วก็อาจไม่ต้องใส่ใจในวิชานี้ แต่ใครที่เรียนในสาขาที่จบแล้วหางานทำยาก ต้องรีบหาวิชาชีพกันตั้งแต่ตอนนี้แล้ว เช่น แบ่งเวลาไปสนใจกิจการครอบครัว ใครไม่มีธุรกิจ ที่บ้านไม่ได้ค้าขาย ก็ควรหาทางไปฝึกงานที่ตนเองมีความชอบ อย่ารอจนจบ มันช้าไป ใครสนใจเรื่องทำขนม ทำผม ก็เริ่มเรียนได้เลย อย่างน้อยก็มีอาชีพแน่ มีงานแน่ ถ้าไม่มีใครรับเข้าทำงานก็สามารถหาเลี้ยงตนเองได้

3.วิชาช่วย
คือ ภาษาอังกฤษ จำเป็นที่สุด เพราะตลาดงานที่ใช้ภาษาอังกฤษนั้นกว้างมากและรายได้ก็สูง โอกาสที่เราจะได้ไปทำงานในบริษัทข้ามชาติมีสูงขึ้นทุกวัน หลายบริษัทในยุโรป อเมริกา หันมาจ้างคนอินเดีย คนจีน และคนในเอเซียที่มีความรู้ และสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ ในบ้านเราก็มีบริษัทข้ามชาติมากมาย และจะมากขึ้นเรื่อยๆ เขตการค้าเสรีอาเซียนก็เป็นอีกโอกาสที่เราจะมีงานดีๆ ถ้าเราใช้ภาษาอังกฤษได้ พวกเราต้องฝึกฝนตนเองให้สามารถอ่านได้ พูดได้ เขียนได้ เริ่มตั้งแต่วันนี้ได้เลย ดูหนังซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ ดูบอลก็เสียงพากย์ภาษาอังกฤษ เข้าเว็บ อ่านข่าว ให้เป็นภาษาอังกฤษ จะได้ผลดีกว่าไปลงทะเบียนเรียนภาษา การที่เราสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการอ่านเขียน พูดคุยและค้นหาความรู้จะช่วยให้เราเป็นบัณฑิตที่มีคุณค่าเพิ่ม อย่างนี้หางานทำได้แน่

4. วิชาใช่
วิชาสุด ท้ายของหลักสูตรเพิ่มคุณค่าให้ตนเองนี้ คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด ทุกวันนี้เจ้าของกิจการมักจะบ่นเรื่อง เด็กจบใหม่ไม่สู้งาน เด็กจบใหม่ขาด Royalty (ความจงรักภักดีต่อองค์กร) ขาดความรับผิดชอบ ชอบเบี้ยวงาน เอาตัวรอดไปวันๆ ดังนั้น จึงอยากบอกพวกเราว่าคนจะประสบความสำเร็จได้ ต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม ความซื่อสัตย์ ความอดทน การมีน้ำใจ ความกตัญญู ความรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้จะต้องฝึกฝน จนเกิดผล เมื่อเกิดผลเราจะยิ่งมั่นใจ และทำต่อไป จนเป็นนิสัย และสุดท้ายกลายเป็นบุคลิกภาพของตัวเรา ใครๆ ก็อยากได้ ลูกน้องที่รับผิดชอบ ใครๆ ก็ยกย่องหัวหน้าที่ซื่อสัตย์ คนโกงอาจดูเหมือนจะได้เปรียบ อาจคล้ายๆ จะชนะ แต่มันก็เหมือนในหนังนั่นแหละคือ ตอนจบคนดีความดีชนะทุกที.


อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์


::เรียนอย่างไร? ในยุคปริญญาล้นประเทศ ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2555

No comments:

Post a Comment