Thursday, February 10, 2011

ให้เป็นคนหนักแน่น

** ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ **
ยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้
+++++++++++++++++++++

ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครแช่ง ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

คุณนามแฝงสิงโตหมอบ ได้กล่าวไว้ว่า กลอนบทนี้ไม่ได้บอกสอนให้เราเป็นคนเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง หรือ ไม่ได้ชี้นำว่าเราควรไม่แยแสคำคน หรือความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อตัวเรา บางครั้งคำพูด หรือการแสดงออกของคนอื่น ก็เป็นกระจกสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเรา เพียงแต่กลอนบทนี้สอนให้เราหนักแน่น และไม่รวนเรไปตามคำคน และที่สำคัญ ปลดปลงให้เป็น เย็นให้ได้ ไม่ใช่ใครว่าอะไรทีก็เสียใจ ซวดเซ เป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นเดือดเป็นแค้น ไปเสียทุกครั้งคราว

ชอบก็ช่าง เขาไง เราไกลหนี
ชอบก็ดี วางไว้ ไม่ฉลอง
ชอบไม่เห็น ไม่รู้ ดูดั่งทอง
ชอบไม่ต้อง เกี่ยวแวะ นั่นแหละดี

ใครรักเรา เรารู้อยู่ ว่ารัก
ใครไม่ทัก รักใคร่ ก็ไปหนี
ใครสรรเสริญ เยินยอ ก็พอที
ใครราวี คิดร้าย ไม่หมายสู้

ชังก็ช่าง ไม่อีนัง ไปขังขอบ
ชังเกินชอบ ตอบช่าง วางไว้หู
ชังหนังหน้า ไม่เห็น เช่นไม่ดู
ชังก็อยู่ แค่ชัง ไม่ฟังเขา

ช่างเขาเถิด ถ้าเขา ไม่เข้าจิต
ช่างเขาเถิด ไม่คิด ให้มันเศร้า
ช่างเขาเถิด ใจเขา มิใช่เรา
ช่างเขาเถิด ไม่เอา เขามาคิด

เถิดขอร้อง อย่ามอง เขาเศร้าสร้อย
เถิดอย่าคอย ขุ่นแค้น แสนหงุดหงิด
เถิดอย่าเห็น คนอื่น ตื่นสัมฤทธิ์
เถิดอย่าติด ใจเขา เฝ้าใจตน

ใครดีมา ดีไป ได้ทั้งนั้น
ใครเดียด ฉันไม่ดู รู้ไม่สน
ใครรักนิด คิดตอบ มอบกมล
ใครจะบ่น คนนั้น ฉันไม่รู้

เชิดมาใส่ ใครอ้าง ก็ช่างเขา
เชิดจะเอา ไม่เห็น เป็นอดสู
เชิดจะจริง นิ่งเฉย ไม่เงยดู
เชิดคอชู อยู่ไหน ก็ไม่ว่า

ใครนินทา ว่าใคร ก็ไม่เห็น
ใครดีเด่น เกินใคร ไม่ถือสา
ใครรักใคร เกลียดใคร ไม่นินทา

แช่ง ช่างเขา เราไม่เห็น ต้องรู้
แช่ง ก็อยู่ ช่างแช่ง ไม่แขว่งแขน
แช่ง จะผุดขุดชัก ไม่หนักแทน
แช่ง ก็แสน ไม่เห็นจะเป็นไร

ช่างเขาเถิด ถ้าเกิดเขา ไม่เข้าท่า
ช่างเขาเถิด เมินหน้า ไม่กล้าใกล้
ช่างเขาเถิด ปล่อยเขา เราทำใจ
ช่างเขาเถิด หยุดไป ใส่ใจติด

เขาจะพูด แบบไหน ก็ไม่ว่า
เขาจะด่า แบบไหน ก็ไม่คิด
เขาจะบ่น บ่นไป ไม่หงุดหงิด
เขามีสิทธิ์ ส่วนเขา เรามองเมิน

เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา

จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่

เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู

ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย

จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว

อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย

เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย

ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง

...พุทธทาส ภิกขุ ...


** ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ **
ยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้
Let it be ยอมให้เป็น
Let me cooled เย็นให้พอ
Let me waited รอให้ได้
*********************

ข้อความข้างล่างต่อไปนี้ โดย พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
..มักจะมีความทุกข์มาเยือนมากกว่าความสุข การดำเนินชีวิตของมนุษย์ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความสุขคือ “การรู้จักยอมหรือยอมเป็น”คือยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นจนเป็นนิสัย บางครั้งแม้ว่าสิ่งที่เขาคิดหรือพูดนั้นเราจะไม่เห็นด้วย แต่การยอมรับฟังความคิดที่แตกต่างก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไม่เกิดความ วุ่นวาย เมื่อสังคมสงบสุขตัวเราเองก็มีผลแห่งความสันตินั้นด้วย คนที่รู้จักยอมรับฟังคนอื่น มักจะเป็นคนที่มีความสุข

มีเรื่องเล่าว่าสามีภรรยาคู่หนึ่งพึ่งแต่งงานใหม่ๆ โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ได้รักชายที่เป็นสามีเลย แต่เพราะเห็นแก่พ่อแม่จึงจำเป็นต้องแต่งงาน สุภาษิตโบราณเรียการแต่งงานแบบนี้ว่าคลุมถุงชน ถ้าสามีภรรยาปรับความต่างให้กลายเป็นความเหมือนได้ก็อาจจะอยู่ด้วยกันยืด แต่ถ้าปรับความเห็นให้ลงรอยกันไม่ได้ ชีวิตแต่งงานก็ล้มเหลวต้องเลิกราแยกทางกันในที่สุด

ฝ่ายภรรยาซึ่งไม่ได้รักสามีมาก่อนเลยจึงคิดหาทางแกล้งสามีเพื่อที่ว่าสามีจะ ทนไม่ได้ จะได้ขอแยกทางกัน คิดหาวิธีอยู่หลายวัน จึงคิดออกโดยเริ่มที่อาหารการกินนี่แหละเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด แม้ภรรยาจะไม่ได้รักสามีแต่ก็ยังคงทำหน้าที่ของภรรยาไม่ขาดตกบกพร่อง

วันหนึ่งภรรยาหุงข้าวใส่น้ำมากเกินไป เพื่อต้องการให้ข้าวแฉะสามีจะได้ทานข้าวไม่ได้และเกิดความไม่พอใจ พอยกสำหรับกับเข้ามาให้สามี ด้วยความที่สามีเป็นคนรู้จักยอม พอตักข้าวใส่ปากจึงบอกภรรยาว่า “ข้าววันนี้หุงข้าวได้นิ่มดีกินแล้วคล่องคอ”จากนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี และรับประทานข้าวจนหมดจาน

วันต่อมาภรรยาหุงข้าวใส่น้ำน้อยข้าวเลยไหม้ ฝ่ายสามีก็รับประทานอย่างหน้าตาเฉย พลางบอกว่า “ข้าววันนี้หอมดี” แล้วก็ก้มหน้าก้มตารับประทานต่อไปอย่างหน้าตาเฉยด้วยความสงบเยือกเย็น

แม้ภรรยาจะหาเรื่องแกล้งสามีด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่สามีก็ยอม ไม่โต้เถียงใดๆ เรียกว่าจะแกล้งอย่างไรก็รอได้ รอว่าสักวันภรรยาคงเห็นใจ จนในที่สุดภรรยาก็ต้องยอมแพ้ความอดทนและความใจเย็นของสามี ทั้งสองครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่ชรา มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง สิ่งหนึ่งที่สามีภรรยาคู่นี้อยู่ด้วยกันได้ส่วนหนึ่งมาจากการรู้จักยอมหรือ การยอมเป็น เย็นพอ และรอได้ของสามี หากสามีขึ้นเสียงเถียงภรรยาตั้งแต่วันแรกๆที่อยู่ด้วยกัน ภรรยาร้อนมาผัวร้อนไป ก็จะเกิดความร้อนใจประดุจไฟเผาทรวง ไฟได้เชื้อมีแต่จะเกิดเปลวไฟเผาผลาญ ตราบใดที่ไฟได้เชื้อก็จะไม่หมดเปลว แต่หากคนหนึ่งร้อนคนหนึ่งเย็นก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขได้ ชีวิตมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากได้เชื้อกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงคอยเติมอยู่ตลอดก็มีแต่จะเกิดความร้อนภายในจิตใจไม่มีวันหมดสิ้น แต่หากบรรเทาโลภ โกรธ หลงลงได้ก็จะพบกับความสงบเย็น ไฟดับได้ด้วยน้ำ จิตใจร้อนดับได้ด้วยธรรม

ในสังคมมนุษย์ปัจจุบันมีแต่คนที่หวังแต่จะเอาชนะคนอื่น จึงไม่มีใครยอมใคร อีกอย่างยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีการทำมาหากินฝืดเคืองก็มีผลทำให้คนใจร้อน ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหา แต่ถ้าต่างฝ่ายมีความใจเย็นสังคมก็น่าอยู่ และบางอย่างก็ต้องรู้จักรอโอกาสเหมือนปลูกไม้ดอกไม้ประดับก็ต้องรอจนถึงเวลา ที่ไม้นั้นจะออกดอก การศึกษาก็เหมือนกันต้องค่อยเป็นค่อยไปต้องรอให้ได้จึงจะเห็นผลในบั้น ปลาย ดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า "ต้นไม้ออกดอกช้าฉันใด การศึกษาก็เป็นไปฉันนั้น" หากมนุษย์ทุกคนรู้จักยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ การดำเนินชีวิตก็จะมีความสุข โลกนี้ก็จะสงบสันติและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

No comments:

Post a Comment