ชายแก่คน นั้นทำงานในบริษัท แต่เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่มีคนขับรถขับรถคันเก่าไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง
เขาไม่ใช่คนยากไร้ ตรงกันข้ามเขาเป็นคนร่ำรวยอันดับที่หนึ่งของโลก* ประมาณว่าความร่ำรวยราวห้าหมื่นสองพันล้านดอลลาร์ ด้วยเงินของเขาสามารถซื้อเครื่องบินส่วนตัวได้หลายลำ แต่เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมที่เขาซื้อเมื่อครึ่งศตรรษที่แล้ว กินอาหารง่ายๆ ใช้ชีวิตง่ายๆ การหย่อนใจของเขาคือนอนดูโทรทัศน์รายการโปรดบนโซฟา กินข้าวโพดคั่วที่ทำเอง เขาไม่ใช่คนขี้เหนียว ตรงกันข้ามเขาเพิ่งบริจาคเงิน 83 เปอร์เซ็นต์ของเขาให้องค์กรการกุศล (ประมาณสามหมื่นล้านดอลลาร์) เป็นเงินบริจาคที่สูงที่สุดก้อนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ชายแก่คนนั้นชื่อ วอร์เรนบัพเฟตต์
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มทำงานครั้งแรกกับพ่อตอนอายุสิบเอ็ดขวบ เป็นงานนายหน้าค้าหุ้น ปีนั้นเขาซื้อหุ้นตัวแรก คือหุ้น ซิตีส์ เซอร์วิสเซส หุ้นละ 38.25 เหรียญ เขาขายเมื่อหุ้นขึ้นถึง 40 เหรียญ และไม่กี่ปีต่อมามันขึ้นถึง 200 เหรียญ สิ่งนี้สอนให้เขาเห็นค่าของการลงทุนกับหุ้นที่ดีใน ระยะยาว อายุสิบสี่ เขาซื้อที่ดิน 40 เอเคอร์ ราคา 1,200 เหรียญ แล้วให้ชาวนาเช่า ตอนเป็นนักเรียนมัธยมปลาย เขากับเพื่อนซื้อเครื่องเล่นพินบอลราคา 25 เหรียญ ตั้งในร้านตัดผม ภายในสามเดือนพวกเขามีเครื่องสามเครื่องในร้านต่างๆเมื่ออายุสิบ หกเขามีเงินเก็บถึงห้าพันเหรียญเขารู้สึกว่าการเรียนในวิทยาลัย เป็นความสูญเปล่า แต่ก็ยอมเรียนต่อเพราะพ่อขอไว้ และเป็นนักศึกษาระดับต้นๆ ด้วยคะแนนสูงลิ่วเมื่อเรียนจบ เขาก็ไปทำงานไม่กี่ปีก็ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ในวัยยี่สิบหก สร้างตัวมาจากความไม่มีด้วยสองมือจนกลายเป็นซีอีโอของบ ริษัทขนาดยักษ์เงินเดือนทั้งปีของเขาในปี 2549 คือ หนึ่งแสนเหรียญ จัดว่าน้อยมากสำหรับหมายเลขหนึ่งของบริษัท ซีอีโอทั่วไปมีรายได้ต่อปีเฉลี่ยเก้าล้านดอลลาร์เขาบอกว่า สหรัฐอเมริกาจ่ายเงินให้นักมวยสิบล้านเพื่อที่จะน็อกคู่ต่อสู้ให้ ล้มในเวลาสิบวินาที แต่ไม่สามารถจ่ายเงินดีแก่ครูที่เก่งที่สุด พยาบาลที่ดีที่สุด เป็นการจ่ายที่ไม่สมเหตุผลอย่างยิ่งเขาเห็นคุณค่าของ การทำงานที่เป็นประโยชน์เท่านั้นด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คิดจะย้าย บ้านที่อยู่มาตั้งแต่หนุ่มไปอยู่คฤหาสน์ที่ไหนสักแห่ง เขาบอกว่า ซื้อบ้านใหม่ทำไม ในเมื่อเขามีทุกอย่างที่ต้องการในบ้านหลังนี้แล้ว การย้ายบ้านเพียงเพื่อให้ 'สมฐานะ' ของตัวเองเป็นเรื่องเหลวไหล หลายปีก่อนเคยมีการสัมภาษณ์มหาเศรษฐีชั้นนำของโลกจำนวนหนึ่ง และพบว่ามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจริงๆ ล้วนเป็นคนมัสยัสถ์อย่างยิ่ง ใช้เงินเท่าที่จำเป็น เพราะพวกเขาเห็นว่าเงินทองไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต โลกเราเต็มไปด้วยคนรวยกลวงๆ คนที่พยายามทำตัวให้ดูรวย เมื่อไม่มีเงินก็พยายามกู้เงินมาด้วยค่านิยมที่ว่า"คนที่กู้เงิน ได้คือคนที่มีเครดิต"คนรวยเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ กลับบอกว่าจงหลีกห่างจากบัตรเครดิตไปไกลๆที่แตกต่างจาก คนอื่นก็คือ ลูกหลานของเขาจะไม่ได้รับมรดกมากเท่าส่วนบริจาค เขาบอกว่า "ผมต้องการให้ลูกหลานของผมมากพอที่พวกเขารู้สึกว่า สามารถทำอะไรก็ได้แต่ไม่มากพอที่ทำให้พวกเขาไม่ทำอะไรเลย"เมื่อ มองทะลุวัตถุนิยม ก็เริ่มแลเห็นความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต
Your browser may not support display of this image.
บท สัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศล 31,000 ล้านดอลล่าร์
ต่อไป นี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา:
1) เขา เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบและปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!
2) เขา ซื้อไร่เล็กๆเมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์
3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอนกลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้บ้านเขาไม่มีรั้ว หรือกำแพงล้อม
4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน
5) เขาไม่ เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวแม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขาย เครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่สุดในโลก
6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัทเขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัท เหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียวเพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ
7) เขา ให้กฎแก่ซีอีโอเพียงสองข้อ กฎข้อ1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ1
8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้านคือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์
9) บิล เกตส์ คนที่เคยรวยที่สุดในโลกเพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์ คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือน วอร์เรน บัพเฟตต์ เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อ บิล เกดส์ได้พบ บัฟเฟตต์ จริงๆปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และ บิลเกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์
10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือและไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
11) เขา แนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า: จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง
ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย๔ อย่างพอเพียง นั่นคือ
- มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม 1 มื้อเท่ากัน
- มหา เศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุดก็ใส่ได้ทีละชุดเท่ากัน
- มหา เศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหนพื้นที่ที่ใช้จริงๆก็เหมือนกันคือห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
- มหา เศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหนยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไรสุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน
No comments:
Post a Comment