Saturday, October 31, 2009

คนมีไข้ กับอาหารต้องห้าม Flu and forbidden/prohibiting foods

คนมีไข้ ภายในกำลังอยู่ในสภาวะบอบบาง จึงควรงดทานอาหารและผลไม้ หลายชนิด
เช่่น คนมีไข้ควรงดอาหารต่อไปนี้ โดยเฉพาะผู้ที่กินยาสมุนไพรจีน Forbidden/Prohibiting foods for people having flu especially those having Chinese herbal medicine
-อาหารที่มีฤทธิ์เย็น/ธาตุเย็น ได้แก่อาหารที่มีน้ำมาก watery-food/fruit เช่น ส้ม orange น้ำแข็ง ice สัปปะรด pineapple แก้วมังกร dragon-fruit แตงโม water-melon หัวไช้เท้า radish แตงกวา cucumber ฟัก(เขียว)
-อาหารที่มีรสขม bitter taste เช่น บอระเพ็ด Tinospora cordifolia
-อาหารที่ร้อน/เหม็น hot/stink smell เช่น กระเทียม Garlic หน่อไม้ bamboo-shoot
-อาหารที่มัน oily food เช่น ข้าวผัด fried-rice เพราะย่อยยาก
-อาหารบำรุง analeptic/nourishment food เช่น เก๋ากี้ Chinese Lycium

สิ่งที่คนมีไข้ควรทาน คือ ข้าวต้มปลา หรือ ข้าวต้มหมู ที่ย่อยง่าย (สามารถใส่ใบตำลึงสับได้) ทานขณะกำลังร้อน พร้อมกับทานน้ำมาก ๆ และนอนพักผ่อน What people having flu should eat is wet-rice boiled with fresh water adding some fish or pork for easily digestion. Drink lot of water and sleep more

-ขอให้หายไข้เร็ว ๆ เด้อ Recover soon

มองที่ปัญหา หรือ มองที่ทางออก Look @ problem or solutions

มองที่ปัญหา หรือ มองที่ทางออก
เคยได้รับเมล์ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย ขอถ่ายทอดให้อ่าน


เรื่องแรก
อเมริกาส่งนักบินไปในอวกาศเจอปัญหาปากกาเขียนไม่ออก
นักวิทยาศาสตร์ระดมปัญญาเพื่อประดิษฐ์ปากกา
ที่สามารถเขียนในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้
ต้องทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญและใช้เวลาไปหลายปี
ในที่สุดได้ปากกาที่สามารถเขียนได้ทุกพื้นผิว
แม้ใต้น้ำก้อเขียนได้
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง
แต่นักบินอวกาศรัสเซีย ประสบปัญหาเดียวกัน
ใช้ดินสอเขียนแทนปากกา


*******************************

เรื่องที่สอง
โรงงานผลิตสบู่ในญี่ปุ่นประสบปัญหา
เมื่อส่งสินค้าไปแล้วลูกค้าบ่นเรื่องบางกล่องไม่มีสบู่ เป็นกล่องเปล่าๆ
ทางโรงงานติดตั้งเครื่อง X-Ray เพื่อตรวจสอบ
ใช้เงินลงทุนไปหลายล้านเยน กล่องไหนไม่มีสบู่ก้อตรวจจับได้
ทำให้สามารถส่งสบู่ที่ไม่มีกล่องเปล่าอีก
แต่โรงงานเล็กๆ อีกโรงประสบปัญหาเดียวกัน
ช่างคุมงานใช้พัดลมตัวใหญ่ๆ เป่าลมบนสายพาน
กล่องเปล่าก็ปลิวออกไป
******************************


คนเราเวลาประสบปัญหา ส่วนมากมักคิดแต่จะแก้ปัญหา
ทุ่มกำลังสติปัญญาและทุ่มเทเวลาเพื่อแก้ปัญหานั้น
ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นมองที่ทางออก
ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายดูจะกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย
******************************


เมื่อคุณเจอปัญหา ลองเปลี่ยนวิธีคิด
แล้วคุณจะประหลาดใจ

Thursday, October 22, 2009

อาหารสีดำ บำรุงไต? 黑色食品是补肾?


อาหารสีดำ บำรุงไต?
黑色食品是补肾?

มีคนบอกว่า กินงาดำบำรุงไต กินงาขาวบำรุงปอด เพราะสีดำเกี่ยวกับไต สีขาวเกี่ยวกับปอด เรื่องแบบนี้มีข้อเท็จจริงอะไรที่น่าเชื่อถือ?
แพทย์แผนจีน อาศัยทฤษฎี ยิน-หยาง 阴阳และทฤษฏี ปัญจธาตุ五行มาอธิบายสรรพสิ่งเป็นเวลาหลายพันปี มาถึงยุคไฮเทคแบบนี้แล้ว การเอาทฤษฏีโบราณแบบนี้มาอธิบาย ดูเหมือนจะทะแม่งๆสิ้นดี
แต่ถ้าใครลองเปิดใจให้กว้าง เข้าศึกษาปรัชญาแนวคิดยินหยาง หรือแนวคิดของเต๋า ของปรมาจารย์เล่าจื้อ ก็จะพบว่า หลักคิดของยินหยาง เป็นภูมิปัญญาระดับสูง ที่เป็นกฏของจักรวาล เช่นเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เลยทีเดียว
อีกทฤษฏีหนึ่ง คือเรื่องปัญจธาตุ ซึ่งได้พยายามแยกแยะลักษณะพลังในธรรมชาติ ที่มีลักษณะสะท้อนออกมาในปรากฏการณ์ธรรมชาติทุกอย่าง เช่นฤดูใบไม้ผลิ จะมีพลังของการเกิด, ความอบอุ่น, การเริ่มต้น, การเกิดลม พลังแห่งแสงสีเขียว ฯลฯ ซึ่งพลังเหล่านี้ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมนุษย์และสรรพสิ่ง อย่างแยกจากกันไม่ได้
เอาเฉพาะเจาะจงลงมาใกล้ตัว คือ แสง สี ที่เรามองเห็นด้วยตา ก็มีพลังที่จำเพาะของมัน และมีอิทธิพลต่ออวัยวะภายในร่างกายที่แน่นอน เช่น
สีขาว จะมีการนำพลังเข้าสู่ปอด-ลำไส้ใหญ่
สีดำ จะมีการนำพลังเข้าสู่ไต-กระเพาะปัสสาวะ
สีเหลือง จะมีการนำพลังเข้าสู่ม้าม-กระเพาะอาหาร
สีแดง จะมีการนำพลังเข้าสู่หัวใจ-ลำไส้เล็ก
สีเขียว จะมีการนำพลังเขาสู่ตับ-ถุงน้ำดี

อาหารสีดำกับการบำรุงไต
-อาหารสีดำ โดยธรรมชาติ (ไม่ใช่การปรุงแต่งสี) มีฤทธิ์บำรุงไต, บำรุงเลือด (ตับกับไตมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน) ตัวอย่างเช่น งาดำ, ถั่วดำ, ข้าวเหนียวดำ, ไก่ดำ, เห็ดหูหนูดำ, ผลต้นหม่อน, สาหร่ายใส่แกงจืด (จี๋ไฉ่) ฯลฯ
-การพิจารณาแต่สีของอาหาร ไม่ได้บ่งชี้ว่าอาหารนั้นจะบำรุงไตหรือไม่ ต้องพิจารณาคุณสมบัติ ยิน-หยาง ของอาหารด้วย คืออาหารสีดำนั้นมีฤทธิ์อุ่น, ร้อน ค่อนเย็น,หรือเย็น
-ถ้าอาหารสีดำมีรสออกไปทางหวาน และคุณสมบัติอุ่น หรือร้อน มักจะมีฤทธิ์บำรุง เช่น ไก่ดำ,ข้าวเหนียวดำ,ผลต้นหม่อน ฤทธิ์การบำรุงไต บำรุงเลือดก็จะมาก
-ถ้าอาหารสีดำ คุณสมบัติหรือฤทธิ์กลางๆ เช่น ถั่วดำ, งาดำ, ก็มีฤทธิ์บำรุงไต แต่อาจไม่เด่นชัดเหมือนกลุ่มแรก
-ถ้าอาหารสีดำที่มีฤทธิ์เย็น เช่น เห็ดหูหนูดำ, สาหร่ายสีดำ ฯลฯ มักมีลักษณะขับพิษ ทำให้เลือดไหลไม่ติดขัด และฤทธิ์การบำรุงไตก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สีดำของอาหารบ่งบอกว่า จะนำพลังเข้าสู่ไต แต่จะมีคุณสมบัติบำรุงมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับคุณสมบัติยิน-หยาง และรสชาติของอาหารนั้นด้วย

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการกินอาหารให้เหมาะสมและสอดคล้อง
อาหารสีดำ เช่น เห็ดหูหนู สาหร่าย เหมาะที่จะกินในฤดูร้อน หือช่วงเวลากลางวัน ไม่ควรกินฤดูหนาว หรือตอนกลางคืน ถ้าจำเป็นต้องกินควรกินแต่น้อย หรือเสริมรสเผ็ดร้อน เช่น พริก, ขิง, พริกไทย, ประกอบอาหารเข้าไปด้วย
อาหารทะเล โดยเฉพาะพวกปู, หอย, จัดเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เย็น รสเค็ม เข้าไตเหมือนกัน เวลาปรุงจะเห็นว่า ส่วนใหญ่จะปรับให้สมดุลด้วยกระชาย, พริกไทย, พริก เช่น ผัดเผ็ดทะเล ผัดฉ่า ทั้งยังจะดับความคาวของอาหารไปด้วย
ที่เล่าสู่กันฟัง พอจะทำให้เกิดความเข้าใจบ้าง เกี่ยวกับหลักทฤษฎีแพทย์แผนจีน ในเรื่องปัญจธาตุ ยินหยาง รสชาติของอาหาร
ถ้าอาหารที่มีฤทธิ์ไปทางอุ่นร้อน รสชาติหวานเผ็ดร้อน มักจะให้การเสริมบำรุง และให้เลือดลมเดิน
อาหารที่มีฤทธิ์ไปทางเย็น, ค่อนข้างเย็น, รสชาติเปรี้ยว, ขม,เค็ม, มักจะเป็นการขับ, ระบาย, พลังส่วนเกิน
สีของอาหารจะบ่งบอกว่า ยาควรจะไปอวัยวะใด
ถ้าคิดจะบำรุงอวัยวะใด ควรพิจารณาให้รอบด้าน อย่ารู้เพียงแค่ว่าสีดำบำรุงไต ใครเป็นโรคไตควรกินสีดำมากๆ อะไรทำนองนั้น เพราะการบำรุงไตของท่านอาจเป็นการทำลายไตของท่านก็ได้.

หมายเหตุ-ไตในทัศนะแพทย์แผนจีนมีความหมายครอบคลุมหลายระบบมีความหมายเฉพาะตัว ไม่ใช่เฉพาะตัวอวัยวะไตเท่านั้น
ที่มา: นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล วารสารหมอชาวบ้าน

วิธีเปล่งเสียง 6 คำอักษร ขจัดโรค-ทำให้อายุยืน


วิธีเปล่งเสียง 6 คำอักษร ขจัดโรค-ทำให้อายุยืน
祛病延年六字法

ความสนใจเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ด้วยความรู้และสิ่งที่ได้รับจากการแพทย์แผนปัจจุบันแบบสูตรสำเร็จ เช่น กินอาหารให้ครบ 5 หมู่, ออกกำลังกาย, พักผ่อนให้เพียงพอ, หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์, ควบคุมจิตอารมณ์, ขับถ่ายของเสีย ฯลฯ ดูเหมือนจะไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาสุขภาพเสียแล้ว การแสวงหาภูมิปัญญาโบราณ ที่สั่งสมประสบการณ์นับพันๆ ปี เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ โดยเน้นการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติ จึงเป็นเรื่องที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน เพราะรายละเอียดในแง่หลักการ, วิธีการ การปฏิบัติ มีความแตกต่างกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญในการอธิบายสิ่งต่างๆ ในสิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ แต่เพียงด้านเดียว คือเน้นไปทางด้านวัตถุ หรือสิ่งที่มองเห็นแต่ขาดมิติของสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ คือพลังงาน พลังลมปราณเป็นตัวกำหนดความมีอยู่ของชีวิต พลังชีวิตที่มีอยู่จริง แต่มองไม่เห็น
การฝึกพลังลมปราณ ชี่กง เพื่อปรับสมดุลของอวัยวะภายใน และการไหลเวียนของเลือด -พลังในเส้นลมปราณ ซึ่งเส้นลมปราณ จะเชื่อมต่อระหว่างอวัยวะภายในร่างกายกับภายนอกร่างกาย รวมถึงการเชื่อมต่อกับพลังแห่งคลื่นธรรมชาติ (ฟ้า-ดิน) การฝึกพลังลมปราณ ชี่กง เป็นวิถีการเชื่อมพลังร่างกาย-จิตใจ กับพลังธรรมชาติ ให้เป็นหนึ่งเดียวอีกวิธีหนึ่ง เป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้ง ล้ำลึก มีมิติทางจิตที่เป็นนามธรรม ไร้รูปลักษณ์ ควบคู่กับการเคลื่อนไหวภายนอก และการหายใจที่มองเห็นได้
วิธีการฝึกลมปราณมีหลายวิธี มีเทคนิคง่ายๆ ที่จะแนะนำ คือ “สูตรเสียง 6 คำอักษร” 六字诀
หลักการง่ายๆ คือ หายใจออกในท่าที่เหมาะสม พร้อมเปล่งเสียงที่มีลักษณะจำเพาะกับการกระตุ้นอวัยวะภายใน
เสียงต่างๆ ที่กำหนดขึ้นตามอักษรจีน 6 คำ เสียงต่างๆ ที่เปล่งออกมายาวๆแรงๆขณะหายใจออกทางปาก จะทำให้มีการสั่นสะเทือนของอวัยวะภายในไม่เหมือนกัน
ท่าต่างๆ ถูกดัดแปลงให้สอดคล้องกับ การเคลื่อนไหวกระตุ้นของอวัยวะภายในเช่นกัน
1. เสียง ซวี 嘘 xu -บำรุงตับ
ทำปกติ สรรพคุณ : บำรุงตับ ทำให้ตาสว่าง กระตุ้นการไหลเวียนเส้นลมปราณตับ
2. เสียง เคอ 呵 ke - บำรุงหัวใจ – ขับร้อนของหัวใจ
สรรพคุณ : ขับความร้อนของหัวใจ รักษานอนไม่หลับ ทำให้กระบังลมถูกยกขึ้นด้านบน
3. เสียง ฮู. 呼 hu -บำรุงม้าม
สรรพคุณ: ช่วยการย่อยและการดูดซึมอาหาร, รักษากระเพาะอาหารหย่อนยาน
4. เสียง ซือ 呬 si .- บำรุงปอด
สรรพคุณ : บำรุงปอด ขับสิ่งก่อโรคที่รุกรานปอด
5. เสียง ชุย 吹 chui - บำรุงไต
สรรพคุณ : เสริมธาตุน้ำ, ยินของไต
6. เสียง ซี 嘻 xi - บำรุงซานเจียว
สรรพคุณ : ทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดและพลังในช่องลำตัว คือทรวงอก- ช่องท้อง- อุ้งเชิงกราน ไหลคล่องตัวไม่ติดขัด
เทคนิคการหายใจที่สำคัญคือ หายใจเข้าทางจมูกยาวๆ หายใจออกทางปาก พร้อมการเปล่งเสียงที่ละอักษร เริ่มจาก ซวี, เคอ, ฮู, ซือ, ชุย, ซี คือ กระตุ้นอวัยวะ ตับ, หัวใจ, ม้าม, ปอด, ไต, ซานเจียว ตามลำดับ
เปล่งเสียงแต่ละคำ 6 ครั้ง และพักปรับการหายใจ หายใจเข้าออกทางจมูก แล้วต่อด้วยเสียงคำอักษรตัวอื่นๆ ต่อไป
ในช่วงไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ระบาด ถ้าต้องการเน้นการขับพิษจากภายนอก และเสริมพลังปอด แนะนำการออกเสียง ซือ 呬 si ให้บ่อยๆ เพื่อบำรุงปอดและขับสิ่งก่อโรคที่รุกรานปอด
การเปล่งเสียงตาม “สูตรเสียง 6 คำอักษร”六字诀 เป็นวิธีที่ง่าย พึ่งตนเองได้ มีผลต่อการเสริมสร้างอวัยวะภายในโดยตรง ใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพ, ป้องกันโรค และรักษาโรคได้ แพทย์จีนเชื่อว่า ถ้าเลือดและพลังการไหลเวียนที่ดี ทำให้หยินหยางสมดุล ทำให้พลังเจิ้งชี่ดี ปัจัยก่อโรคก็ทำอะไรไม่ได้ 正气存内,邪不可干
-----------------------------------------------
ที่มา: นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล วารสารหมอชาวบ้าน

ยางลบกับดินสอ

ความผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอในชีวิตประจำวัน ลองอ่านบทความดี ๆ เรื่อง ยางลบกับดินสอ ดูนะฮะ



idea4 -

ต้องอ่าน CEO = เสี่ยว CEO is just a friend

ทันทีที่อ่านหนังสือ A Day Bulletin เล่มใหม่จบ
สิ่งแรกที่คิดก็คือ ต้องเขียนถึงคนคนนี้
"ทัศพล แบเลเว็ลด์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ "CEO" ของ "ไทยแอร์เอเชีย" สายการบินต้นทุนต่ำรายแรกของเมืองไทย
หนังสือ a day BULLETIN เป็นหนังสือแจกฟรีของค่าย a day ที่ฮิตและฮอตจนต้องเปิดรับสมาชิก
จุดเด่น! ของหนังสือเล่มนี้คือ บทสัมภาษณ์
อย่างบทสัมภาษณ์ "ทัศพล" เล่มนี้
"ทัศพล" เป็นอดีตกรรมการผู้จัดการ "วอร์เนอร์ มิวสิค" ก่อนจะมารับตำแหน่ง CEO ของ "ไทยแอร์เอเชีย" ที่เป็นบริษัทในเครือชินคอร์ป
เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน มีทัศนคติทางบวก
วันที่กลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เครื่องบินของไทยแอร์เอเชียจอดอยู่ 10 กว่าลำ
ในขณะที่คนอื่นกำลังทุกข์
เขากลับคิดในแง่ดีและมีอารมณ์ขัน
"เครื่องบินของคนอื่นเขาก็จอดอยู่เหมือนกัน"
เป็นความคิดแบบ "เฉลี่ยทุกข์"
เราทุกข์ เขาก็ทุกข์
หรือเมื่อมีคนถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าทุกปัญหาที่มีทางออก
"ทศพล" บอกว่าที่มีคนบอกว่ามืด 8 ด้าน แสดงว่าด้านที่ 9 ต้องมีทางออก
"ไม่มีปัญหาอะไรในโลกนี้ที่ไม่มีทางออก เพียงแต่ออกไปแล้วจะบาดเจ็บหรือเปล่า แต่บาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างก็ดีกว่าตายไปเลย"
นอกจากอารมณ์ขันและทัศนคติทางบวกแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ "ทัศพล" CEO ของสายการบินต้นทุนต่ำมี
นั่นคือ "ลูกบ้า" ... ลูกบ้า "ต้นทุนสูง"
วันที่ "ทัศพล" รับตำแหน่ง CEO
บริษัทไทยแอร์เอเชีย มี "แอร์เอเชีย" ของมาเลเซียถือหุ้น 49% บริษัทเอเชียเอวิเอชั่น ของชินคอร์ปถือหุ้น 50%
อีก 1% เป็นของ "ทัศพล"
แต่พอ "ชินคอร์ป" ขายหุ้นให้กับ "เทมาเส็ก"
"ทัศพล" สัมผัสได้ถึง "ความไม่แน่นอน"
เพราะ "เทมาเส็ก" นั้นสนใจเฉพาะบริษัทด้านโทรคมนาคม ส่วนธุรกิจสายการบินหรือการเงินอย่างแคปิตอล โอเค ซึ่งอยู่นอกสายธุรกิจหลัก
มีโอกาสมากที่ "เทมาเส็ก" จะขายทิ้ง
สภาพเช่นนี้ทำให้พนักงานขวัญหนีดีฝ่อ มาทำงานด้วยสีหน้าที่เป็นทุกข์เพราะไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง
"ทัศพล" รู้สึกว่าเขาต้องรับผิดชอบต่อพนักงาน 1,200 คน
หลายคนเขาเป็นคนชวนให้มาทำงานที่นี่โดยวาดภาพว่าบริษัทนี้อนาคตสดใส
"ถ้าวันหนึ่งผมไปบอกคนเหล่านั้นว่า โอเค...เราปิดบริษัทแล้วนะ โชคดีนะ บางทีผมอาจมองหน้าพวกเขาไม่ต! ิดอีกเลยก็ได้
มันเป็นเรื่องที่คาใจกันไปทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้า โลกหน้า...ผมคิดว่ามันไม่แฟร์สำหรับพนักงานพวกนี้"
"ทัศพล" ตัดสินใจนัดคุยกับผู้บริหารที่ร่วมบุกเบิกมาด้วยกัน 5 คน
"พรอนันต์ เกิดประเสริฐ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน
น.อ.ธนภัทร งามปลั่ง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการการบิน
"ปรีชญา รัศมีธานินทร์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม
ม.ล.บวรนวเทพ เทวกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
และ "สันติสุข คล่องใช้ยา" ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์
เขาชวนทั้ง 5 คนไปกินข้าวกลางวันที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ก่อนปิดห้องประชุม
"ทัศพล" เล่าถึงแนวคิดในการแก้ปัญหาความอึมครึมในบริษัท
เมื่อ "เทมาเส็ก" จะขายหุ้น ไทยแอร์เอเชีย
แทนที่จะต้องมาลุ้นว่าขายได้-ไม่ได้ หรือจะขายให้ใคร
ทำไมเราไม่ซื้อหุ้นจาก "เทมาเส็ก" เอง
เปลี่ยนสถานะตัวเองจากพนักงาน เป็น "ผู้ถือหุ้น" และ "ลูกหนี้"
"ผมบอกทุกคนว่าคิดดูให้ดีนะว่าจะเอาหรือไม่เอา แล้วผมก็ส่งกระดาษชิ้นเล็กๆ ให้ทุกคนเพื่อให้เขียนว่า เอาหรือไม่เอา แค่นั้น
ใครจะไม่เอาก็ไม่ว่ากัน ไม่มีการกดดัน ใครไม่เอาก็ยังจะทำงานด้วยกันเหมือนเดิม"
บนกระดาษชิ้นเล็กๆ ทุกใบ เขียนคำเดียวกัน
"เอา"
จากนั้นกระบวนการกู้เงินก็เริ่มขึ้น ทุกคนต้องเอาบ้านและรถมาจำนองแบงก์เพิ่มนอกเหนือจากหุ้นไทยแอร์เอเชีย
มูลค่าทั้งหมดพันกว่าล้านบาท

วันที่ผู้บริหารทั้ง 6 คนเซ็นสัญญากับแบงก์ และโอนเงินให้เทมาเส็ก
"ทัศพล" เรียกประชุมทุกคนในบริษัทที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ ตอนหกโมงเย็น
เขาประกาศว่าวันนี้ทุกคนมีงานทำต่อ เพราะผู้บริหาร 6 คนได้กู้เงินมาซื้อหุ้นคืนแล้ว
พนักงานทุกคนเฮกันลั่นห้อง
"ตอนนั้นผมรู้สึกเลยว่า เฮ้อ กูเป็นไทแก่ตัวแล้ว แต่จะเป็นหนี้ต่อไป"
บรรยากาศในบริษัทเปลี่ยนไปทันที ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสและให้ใจกับบริษัทเต็มที่
ตอนน้ำมันแพง พนักงานบางคนส่งเมลมาบอกว่าเธอเป็นพนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่รู้จะช่วยบริษัทอย่างไร
"หนูขอไม่เบิกค่าใช้จ่ายที่หนูเบิกได้ ยกเว้นค่าโอทีและเบี้ยเลี้ยง"

จนถึงวันนี้ "ทัศพล" ยืนยันว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดที่ซื้อหุ้นจากเทมาเส็ก
"ผมไม่เคยคาใจอีกเลยว่า กูไม่น่าทำเลย"
"ทัศพล" เป็น CEO ที่ให้เบอร์โทรศัพท์ของเขากับพนักงานทุกคน
มีปัญหาโทร.มาได้ทันที

เพราะ CEO ในความหมายของเขาไม่เหมือนกัน
"CEO แปลตามแบบของผม อ่านว่า "เสี่ยว"
"เสี่ยว" ในภาษาอีสานแปลว่า "เพื่อนรัก"
"CEO คือ คนที่จะต้องทำตัวให้เป็นที่รักของทุกคน โดยเฉพาะคนในองค์กรของเรา พอคนรักกันมันก็มีใจทำงานให้กัน"
CEO ที่ดีไม่ใช่คนที่ชี้นิ้วสั่ง
สำหรับเขา "นิ้วชี้" ห้ามใช้
ให้ใช้ "นิ้วก้อย" ที่แปลว่าเราดีๆ กันนะ
ที่สำคัญห้ามใช้ "นิ้วโป้ง"
...ห้ามโกรธกัน
ครับ ถ้า "นิ้วโป้ง" ยังห้ามใช้

"นิ้วกลาง" ก็ไม่ต้องพูดถึง!!

=====
บักเสี่ยวนกแอร์ คิดได้ไง ขายบัตรสมาชิกที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขเป็น 10 ข้อ ไอ้บักเสี่ยวเอ๊ย

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ How to repay our parents

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ Moral: Buddhist's way of thinking: How to repay our parents

จากหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
วิธีใช้หนี้พ่อแม่ ฉบับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน


1. จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก

2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

3. ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ

4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ

5. บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ

ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะ)

ตัวอย่างที่ 1 บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล (กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว

ตัวอย่างที่ 2 เมื่อเร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อตาย แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ

6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้…….. คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ

นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้ ให้ ให้ ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ

หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ
นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา

ตัวอย่างที่ 3 "หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง" เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้ บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง... พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด

7. ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล

8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี

9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา......... พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้างฯ



10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว

---------------------------------------------------------------------
สว่างตา ด้วยแสงไฟ
สว่างใจ ด้วยแสงธรรม


พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

สรณะอื่น ไม่มี ชีวิตนี้เพื่อพระรัตนตรัย

brighten your eyes with day light
brighten your mind with dharma light (Budda's doctrine)

ธรรมะสวัสดี dharma Sawasdee

12 ราศี กับ ความรู้สึกเชิงเพศสัมพันธ์ Sexuality-based Horoscopes

ความลับเรื่อง sex ของ 12 ราศี Secret sexuality-based horoscopes according to birth-date astrology

ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน) ในเรื่องของเซ็กซ์แล้ว ชาวเมษจะเปรียบเสมือนเสือที่ออกล่าเหยื่อเป็นอาหาร คือจะเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกใจ สำหรับความสัมพันธ์ทางเพศแล้ว ชาวเมษจะเป็นคนเปิดเผยและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้คนรักพอใจ เขา(หรือเธอ)ยกให้คุณจนหมดใจ ขอเพียงแค่คุณมีความจริงใจและรักอย่างแท้จริง เพราะถ้าคุณไม่สามารถทำให้เขาเชื่อใจได้ เขาจะระแวงและคอยกันท่า หรือหึงหวงคุณเสมอ

อะไรที่ชาวราศีเมษต้องการ

ชาวเมษไม่ต้องการของขวัญแบบที่ดูหวานๆ เช่น พวกดอกไม้ ของขวัญรูปหัวใจต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขา(หรือเธอ) ให้ความสำคัญเท่าใดนัก สิ่งที่เขาต้องการคือเวลาและกิจกรรมที่ทำร่วมกันมากกว่า ต้องการความเข้าใจและการกระทำที่ดีทั้งกายและใจ กิจกรรมที่น่าตื่นเต้นโลดโผน และการแสดงออกถึงความรัก การสัมผัสและถ่ายทอดความรัก เช่น การหอมแก้ม การกอด การจูบบ้าง คือสิ่งที่ชาวเมษต้องการมากกว่าสิ่งใดๆ

ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
ชาวพฤษภเป็นอีกหนึ่งราศีที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างง่ายดาย เขา(หรือเธอ)จะใช้สิ่งเหล่านี้แหละเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง สำหรับเขาการแสดงออกในความรักจะแสดงออกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เป็นคนที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกที่ดีในการอยู่ร่วมกัน เป็นคนที่มีความโรแมนติก เพราะเขารู้สึกว่าเซ็กซ์มาจากความรู้สึกข้างในที่เต็มไปด้วยความรัก ซึ่งเป็นสิ่งสวยงามในชีวิตเขา

อะไรที่ชาวราศีพฤษภต้องการ

ชาวพฤษภต้องการใครสักคนที่หนักแน่นและมั่นคง ที่จะทำให้ชีวิตของเขามีความสุขได้ ต้องการคนที่ให้ทั้งความรัก การดูแล และสิ่งของที่มีความหมายดีๆ ที่จะติดตรึงอยู่ในใจของชาววัวตลอดไป การดูแลให้ความอบอุ่นและความเชื่อมั่น คือวิธีที่เหมาะที่สุดที่จะปฏิบัติให้กับชาวพฤษภ และก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ ชาวพฤษภเป็นคนที่พึ่งพาอาศัยได้และเป็นคนที่คอยดูแลเอาใจใส่สม่ำเสมอ หากใครต้องการเป็นคนที่โชคดีที่จะใช้ชีวิตในโลกอันสวยงามร่วมกับเขาได้ จะต้องใจเย็นและใช้เวลาในการค่อยๆบ่มเพาะความรัก ความรู้สึกในการพิชิตใจชาวพฤษภ

ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 21 มิถุนายน)
ชาวเมถุนไม่ค่อยมีอารมณ์ในเรื่องเซ็กซ์มากมายนัก แต่จะมีความรู้สึกในเรื่องนี้เมื่ออยู่ในบรรยากาศดีๆ และเหมาะสมเท่านั้น เซ็กซ์เปรียบเสมือนกีฬาอย่างหนึ่งของชาวเมถุน เขาจะค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอในแบบที่ถูกใจ ชาวเมถุนให้ความสำคัญกับการสัมผัสและเสียง และต้องการหาสิ่งที่ดีที่สมบูรณ์แบบให้กับชีวิตรักของเขา

อะไรที่ชาวราศีเมถุนต้องการ

ใครสักคนที่สามารถตามเขาทัน เข้าใจเขา รู้ใจและพร้อมจะผจญภัยกับเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและเป็นเพื่อนที่ดีของเขาได้ และสำหรับคนรักนั้นก็เช่นกัน แต่อาจจะไม่ต้องฉลาดเฉลียวมากมายนัก แต่ขอให้เป็นคนที่สามารถทำให้เขาสบายใจได้ในยามที่เขาทุกข์ใจ

ราศีกรกฎ (22 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
สำหรับชาวกรกฎ เรื่องเซ็กซ์เปรียบเสมือนกิจกรรมในยามพักผ่อน เขาเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดีในเรื่องนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความพอใจในแต่ละครั้ง นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ยอมรับอารมณ์ของคู่รักได้เสมอ ในยามที่มีอารมณ์ ความต้องการที่ไม่ตรงกัน ชาวราศีกรกฎถือเป็นคู่รักที่ดีและไม่เคยบกพร่องในเรื่องนี้แต่อย่างใด

อะไรที่ชาวราศีกรกฎต้องการ

ชาวกรกฎต้องการคนที่ใจเย็น สบายๆ ทำอะไรไม่รีบร้อน และมีความมั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งจะทำให้คบกันได้นาน เขาต้องการคนที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความคิดเห็นได้ เพราะเขาคิดว่าความเข้าใจและความสม่ำเสมอ คือหัวใจสำคัญที่สุดในการคบหากัน

ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)
ราศีสิงห์นั้นตรงกับธาตุไฟ จึงมีอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนแรง และมีพละกำลังเหลือเฟือ เขาจึงจะแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึกต่อคนรักเสมอๆ แต่การถ่ายทอดความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ ของชาวสิงห์นั้น จะเป็นแบบสวยงาม ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่จะเร่าร้อนมากมายเหมือนความรักของหนุ่มสาวทั่วไป เพราะชาวสิงห์จะมีมาด มีฟอร์มของความเป็นผู้นำอยู่ ดังนั้นเวลาจะทำอะไรจึงมีมาดนี้อยู่ด้วย เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ชาวสิงห์เป็นคนที่มั่นคงในรัก ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และจริงใจต่อคุณเสมอ

อะไรที่ชาวราศีสิงห์ต้องการ

สิ่งที่ชาวสิงห์ต้องการก็คือ การได้รับการยอมรับนับถือ คำชื่นชม ซึ่งจะทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากและเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักอย่าง ดีด้วยความเต็มใจ ชาวสิงห์ต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด ดังนั้นคนรอบตัวของเขาจะต้องเข้าใจในความมุ่งมั่นของเขา และจงอย่ากวนใจเขา ในยามที่เขากำลังตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ และสำหรับคนรักของชาวสิงห์ จงจำไว้ว่าเขาจะต้องเป็นที่หนึ่งในใจคุณเสมอ และอย่านอกใจหรือทรยศเป็นอันขาด

ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน)
เซ็กซ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับชาวกันย์ ชาวกันย์จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อให้เซ็กซ์เป็น สิ่งที่สวยงาม เป็นที่ประทับใจของตัวเองและคนรักมากที่สุด แต่ชาวราศีกันย์ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์หรือความรู้สึกในเรื่องนี้บ่อยนัก หรือบางครั้งก็อาจจะรู้สึกอาย ดังนั้นชาวกันย์จึงต้องการการกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดขึ้น และหลังจากนั้น ชาวกันย์ก็จะสานต่อได้อย่างดี ชาวราศีกันย์เป็นคนไม่เจ้าชู้ และมั่นใจได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลหูไกลตา

อะไรที่ชาวราศีกันย์ต้องการ

ด้วยความที่ชาวกันย์เป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่สุขภาพร่างกายตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องการคนที่จะมาเป็นเพื่อนในการออกกำลังกาย ดูแลเรื่องสุขภาพ อาหารและของใช้อื่นๆ ร่วมกัน ชาวกันย์ต้องการคนรักที่มั่นคง เชื่อใจได้และให้เวลาในการเป็นส่วนตัวบ้าง และคนคนนั้นต้องเป็นคนใจเย็น อารมณ์ดี และสามารถปรึกษาพูดคุยกันได้เสมอ

ราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม)
เซ็กซ์เป็นเพียงแค่อารมณ์หนึ่ง ชาวตุลย์หากถูกใจใครเป็นพิเศษ คนๆ นั้นก็จะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับชาวตุลย์ได้ไม่ยากนัก ชาวตุลย์เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และหากใครที่กล้าพอที่จะเข้ามาคบ ก็พร้อมจะพิจารณาเสมอ และยิ่งถ้าเป็นคนที่พร้อมจะให้ทุกอย่างได้ ก็พร้อมที่จะลองคบและมีความสัมพันธ์กันแบบลึกซึ้ง แต่ระวัง เพราะคุณอาจจะเป็นของเล่นของเขาได้ และเมื่อเขาเบื่อหรือเจอคนใหม่ที่น่าสนใจกว่า เขาก็อาจจะโยนของเก่าอย่างคุณทิ้งก็ได้

อะไรที่ชาวราศีตุลย์ต้องการ

คนที่พร้อมจะหยิบยื่นสิ่งต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือการกระทำ และคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่มั่นคงและไว้ใจได้ แต่ชาวราศีตุลย์กลับไม่ต้องการให้ใครมาผูกมัด หรือตั้งกฎเกณฑ์มากๆ และอีกอย่างที่เขาต้องการคือ คนที่สามารถพูดคุยและเป็นที่ปรึกษาได้ หากใครทำได้อย่างนี้ ชาวตุลย์ก็พร้อมที่จะญาติดีด้วย และมอบความรู้สึกดีๆ ให้ รวมๆ แล้วดูเหมือนชาวตุลย์เอาแต่จะได้ แต่แท้จริงแล้วแค่เป็นคนที่คิดพิจารณามาก เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองเท่านั้นเอง ถ้าคบไปแล้วชาวตุลย์ก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ได้ น่าคบหาคนหนึ่งทีเดียว

ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน)
ชาวพิจิกถือเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ ให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กซ์มากทีเดียว เพราะชาวพิจิกจะเป็นคนที่เร่าร้อน มีอารมณ์ทางเพศสูง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชาวพิจิกมักจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นเรื่องนี้ก่อนเสมอ ชาวพิจิกถึงแม้จะดูเป็นคนมีเสน่ห์และเจ้าชู้ แต่ภายในใจของเขา เป็นคนที่รักใครรักจริง เทิดทูนและให้เกียรติคนรักของเขา

อะไรที่ชาวราศีพิจิกต้องการ

ชาวพิจิกไม่พิสมัยความท้าทายหรืออุปสรรคที่ดูจะเสี่ยงและไม่แน่นอนว่าจะดี หรือไม่ ชอบอะไรที่ดูแน่นอนและความสมบูรณ์แบบมากกว่า ต้องการและแสวงหาคนรู้ใจที่มีความหนักแน่นและเข้าใจในตัวเขาได้ดีทุกเรื่อง และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องการคนรักที่มีความอบอุ่น อ่อนโยนและมีความโรแมนติก ซึ่งจะทำให้ความรักของเขาหวานชื่นอยู่เสมอ

ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)

ชาวธนูเป็นคนธาตุไฟ มีความเร่าร้อนอยู่ในตัว ถ้าไม่พูดถึงเรื่องความรักที่ลึกซึ้งแล้ว ชาวธนูก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กซ์อยู่มากพอดู เขาไม่อายในเรื่องนี้ ถ้าไม่จริงจังและมีเงื่อนไขกับมันมากนัก เขาพร้อมเสมอ ชอบการพบปะสังสรรค์กับผู้คน เขาเป็นคนที่บริหารเสน่ห์ได้ดี และสำหรับคนรักของเขาจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กซ์ด้วยเพื่อที่ว่าทั้ง เขาและคุณจะไปด้วยกันได้ดี

อะไรที่ชาวราศีธนูต้องการ

เพื่อนรู้ใจที่พร้อมจะไปกับเขาได้ทุกสถานการณ์ และไม่ทำให้เขาหนักใจหรือมีเรื่องเดือดร้อนถึงตัวเขา สำหรับคนรักของชาวธนูจะต้องเข้าใจและยอมรับในนิสัยที่รักอิสระเสรีของเขา ต้องไม่เป็นคนคิดมากหรืออ่อนไหวกับอะไรง่ายๆ ชอบคนที่ซื่อสัตย์ เปิดเผย หากคุณเป็นอย่างที่เขาต้องการหรือมีนิสัยที่คล้ายกัน คุณก็จะเป็นทั้งเพื่อนและคนรักของเขาด้วยในเวลาเดียวกัน

ราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม)
ภายใต้ความเยือกเย็นสุขุมที่ปกคลุม อยู่ภายนอก น้อยคนที่จะได้รู้ถึงความรู้สึกภายในที่เร่าร้อน ซึ่งรอคอยผู้ที่มาสัมผัสและเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริง ชาวมังกรเป็นคนธาตุดิน เป็นคนไม่หวือหวา โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง อีกทั้งเขามองว่าเป็นเรื่องที่ต้องสำรวม จะแสดงออกต่อเมื่อถึงเวลาเท่านั้น ถ้ายอมเผยความรู้สึกในเรื่องนี้กับใครแล้ว แสดงว่าเขามั่นใจว่าคนคนนั้นคือคนที่เขาจะใช้ชีวิตรักไปด้วยอีกนาน

อะไรที่ชาวราศีมังกรต้องการ

ชอบการแข่งขัน ความท้าทายและอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ชาวมังกรจึงเหมาะกับคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความสง่าสูงศักดิ์ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับชาวมังกรได้เสมอ ต้องมีความเก่งพอๆกัน และสิ่งที่ชาวมังกรต้องการอีกสิ่งคือ คนรักที่เข้าใจในธรรมชาติของเขาผู้ซึ่งไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ต้องปรามเขาได้ และไม่เป็นคนอ่อนไหวจนเกินไป

ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
ด้วยความเป็นคนธาตุลมที่ต้องการความเข้าใจ ความสุขใจ เรื่องบนเตียงจะเกิดขึ้นเพื่อต้องการความสุขทางใจมากกว่าความสุขทางกาย แคร์ความรู้สึกของคนรักมาก แม้ชาวกุมภ์เป็นคนที่มีเพื่อนมาก แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องส่วนตัวเขาจะให้เวลากับมันอย่างดี เพราะกลัวว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับคนรัก ชาวกุมภ์กับเรื่องเซ็กซ์ไม่มีอะไรหวือหวา จะเป็นไปตามธรรมชาติ

อะไรที่ชาวราศีกุมภ์ต้องการ

ชาวกุมภ์เป็นคนที่มีความคิดและมีมุมมองกว้างขวาง มักเชื่อมั่นในความคิดและสิ่งที่ตัดสินใจลงไป ดังนั้นคนรักจึงควรเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของเขาได้ดีที่สุด ต้องการคนที่สามารถพูดคุย ให้คำปรึกษากับเขาได้และพร้อมที่จะเป็นกำลังใจเพื่อให้เขาก้าวไปสู่สิ่งที่ ดียิ่งขึ้นไป นอกจากนี้เขาเป็นคนที่ไม่ดูแลตัวเองเอาเสียเลย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องดูแลเอาใจใส่เขาให้มากๆ และคุณต้องเป็นคนรักครอบครัวด้วย นั่นคือสิ่งเขาต้องการ เพราะจะช่วยประคับประคองให้ชีวิตคู่ยั่งยืน

ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
เซ็กซ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ ซึ่งไม่แน่นอน บางครั้งอาจมีมากบางครั้งอาจมีน้อย ซึ่งถ้าหากคุณควบคุมอารมณ์ของคนราศีนี้ได้ ก็สามารถคุมเรื่องเซ็กซ์ของเขาได้เช่นกัน เขาเป็นคู่รักที่ดีเสมอในเรื่องนี้ ไม่เคยทำให้คุณต้องผิดหวัง มีแต่จะยิ่งหลงใหลในตัวเขามากขึ้น

อะไรที่ชาวราศีมีนต้องการ

คนที่สามารถมาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตได้ ถ้าเขาหมดหวัง อีกคนจะช่วยเป็นกำลังใจให้ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจากคนที่เขารัก ทำให้เขาอุ่นใจได้เสมอแม้เมื่อเจอปัญหา คุณจะต้องไม่ดูถูกความฝันของเขา แต่จะต้องคอยดึงเขาออกจากฝันนั้นบ้าง เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นหลงอยู่ในความฝันจนลืมนึกถึงความเป็นจริง


คะน้าตาช่วยให้ห่างต้อ Chinese Kale


  • กินคะน้า (Chinese Kale, Kailaan (Kai-lan) or Chinese Broccoli) เป็นประจำช่วยให้ตาไม่เป็นต้อ

  • คะน้า เป็นผักสีเขียวอมน้ำเงินเข้มใบเป็นมัน มีใบค่อนข้างหนา ถ้าเราตัดต้นเหลือตอ-รากไว้ คะน้าจะงอกออกมาอีกหลายต้นให้เก็บกินได้อีก เราสามารถปลูกคะน้าได้ในสภาพอากาศที่หลากหลาย คะน้าอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน 187 ไมโครกรัม/100 กรัม ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งเต้านม และคะน้ายังมีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้พบว่า คะน้ามีแคลเซี่ยมช่วยเสริมสร้างกระดูก คะน้าประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต คะน้ายังมีสาร "ลูทีน" ซึ่ง เป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

    อย่างไรก็ดี สาร "กอยโตรเจน (goitrogen)" ในคะน้า ทำให้ท้องอืด ถ้าบริโภคมาก ๆ

    Chinese Kale, also called Kailaan (Kai-lan) or Chinese Broccoli, has blue-green glossy leaves with crisp and thick stems. After the first cutting of the main stem, the plant will grow many branches for subsequent harvests. Chinese Kale is full with beta-carotene, vitamins C, E, folate, Lutein. Thai Kale frequently eaten will help your eyes protection

    Thursday, October 15, 2009

    ถูกดำเนินการทางวินัยเพราะมีการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง

    ต้องทำภายในหนึ่งปี --กฎหมายข้างตัว

    ที่กล่าวกันว่าข้าราชการเกษียณอายุราชการแล้วเป็นอันพ้นพงหนามได้ใช้ชีวิตอันสงบสุขหมดเรื่องเครียดต่อไป

    สมัยนี้น่าจะไม่ใช่นะขอรับ

    ดังความที่มีท่านผู้อ่านซึ่งเคยเป็นข้าราชการในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งถามมาที่กฎหมายข้างตัว

    เนื้อหาสาระอันน่าจะเป็นทั้งประโยชน์และสร้างความเครียดต่อข้าราชการที่เกษียณอายุไปแล้ว ดังต่อไปนี้

    ข้าพเจ้าเป็นอดีตข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ๗ ในมหา วิทยาลัยของรัฐพ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุราชการ เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว ต่อมามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและมีมติให้ ดำเนินการสั่งลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงต่อไป อยากทราบว่า มหาวิทยาลัย เจ้าสังกัดเดิมจะสั่งลงโทษทางวินัยขั้นร้ายแรงแก่ข้าพเจ้าได้หรือไม่ เพราะข้าพเจ้าพ้นจากราชการไปแล้ว

    เห็นแมะ พ้นพงหนามเสียที่ไหน อยู่บ้านเลี้ยงหลานสบายใจมาสามปีดันมีเรื่องจากการทำการทำงานมากวนใจอีก

    ข้าราชการในสังกัดมหาวิทยาลัยของรัฐต่าง ๆ นั้น เขาเรียกว่าข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา

    มีกฎหมายใช้บังคับเฉพาะแตกต่างไปจากข้าราชการพลเรือนโดยทั่วไปที่ใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๘ ที่รู้จักกันดี

    พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗

    กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้มีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือ ก.พ.อ.

    ทำหน้าที่วางกรอบนโยบายและมาตรฐานการบริหารงานบุคคล การพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ การดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ เป็นแนวทางสำหรับสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ มีอิสระในการดำเนินการบริหารงานบุคคล การพิจารณาตำแหน่งวิชาการ การดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ให้มีความคล่องตัวและสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของ สถาบันอุดมศึกษา

    การดำเนินการทางวินัยมีบัญญัติในหมวด ๖ ตามมาตรา ๕๓ ซึ่งบัญญัติความว่า ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งพ้นจากราชการอันมิใช่เพราะเหตุตายอาจ ถูกดำเนินการทางวินัยเพราะมีการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงก่อนพ้นจากราชการ ได้ แต่ต้องดำเนินการทางวินัยภายในหนึ่งปีนับแต่วันพ้นจากราชการ ทั้งนี้ตามที่กำหนดในข้อบังคับที่ออกตามมาตรา ๑๗

    แล้วรวบรัดมาที่ ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง มาตรฐานการดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งพ้น จากราชการไปแล้วอันมิใช่เพราะเหตุตาย ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

    กรณีตามคำถามมีคำตอบอยู่ที่ ข้อ ๓ ของประกาศฯ ซึ่งกำหนดว่า ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดวินัยอย่าง ร้ายแรงหรือความปรากฏต่อผู้บังคับบัญชาว่าข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษาผู้ใดกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแม้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษาผู้นั้นจะพ้นจาก ราชการไปแล้วอันมิใช่เพราะเหตุตายผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ต้องดำเนินการทาง วินัยแก่ข้าราชการผู้นั้นภายในหนึ่งปี นับ แต่วันที่พ้นจากราชการ

    จากคำถามของท่านผู้ถามต้องดูว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนท่านอันน่าจะเป็น จุดเริ่มต้นของการดำเนินการทางวินัยเมื่อใด ถ้าเพิ่งตั้งกันหมาด ๆ ในปีที่สามที่ท่านพ้นจากราชการก็ถือว่าเรื่องราวเป็นอันจบแล้วครับนาย

    กรณีนี้ถือว่า ไม่อาจดำเนินการทางวินัยกับท่านได้ตามมาตรา ๕๓ แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาฯ ดังกล่าว

    เรื่องนี้ถ้ากระผมฟันธงวืด หรือคอนเฟิร์มเข้าป่าเข้าดงเหมือนโหรหนุ่ม ๆ รุ่นใหม่ ก็ขอความกรุณาท่านผู้เชี่ยวชาญรู้ลึกรู้จริงในเรื่องนี้ได้โปรดชี้แนะให้ ความรู้มาด้วย จะเป็นวิทยาทานอย่างยิ่งขอรับ.

    พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
    praepim @ yahoo.com


    ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 10 ตุลาคม 2552
    http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=337&contentID=25082

    ความสำคัญของ"อาวุโส"

    คาถาอาวุโส --กฎหมายข้างตัว

    ทิ กุ จะ นัง มึ มะ นัง ทิ มึ นัง มึ มิ นัง

    โปรดทราบเมื่อมีเสียงบทสวดจากหลวงพี่ หลวงน้อง ทำนองนี้ แสดงว่ามีปัญหานั่งผิดที่ผิดทางตามลำดับอาวุโสเกิดขึ้น

    ญาติโยมโปรดอยู่ในความสงบ

    ที่กูจะนั่งมึง (ดัน)มานั่ง ที่มึงนั่ง มึงไม่นั่ง เว้ย

    พระที่อายุมากแต่บวชหลังพระหนุ่มแค่วันเดียวต้องนั่งหลังพระหนุ่มลำดับถัดไป

    โปรดอย่าคิดว่ามีแต่อาวุโสในวัด

    สายธารแห่งกระบวนการยุติธรรมก็ถือเอาอาวุโสเป็นหลักอย่าง เคร่งครัด

    การแต่งตั้งประธานศาลฎีกา และอัยการสูงสุด จึงไม่เคยมีข่าวออกมาเป็นที่เสื่อมเสียกับองค์กร

    ครั้นมาที่ต้นธารแห่งกระบวนการยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติบ้างเล่า

    กรุณาอย่าหลงลมนักการเมืองว่าไม่มีหลักเรื่องอาวุโส

    ตั้งแต่ พลตำรวจเอกสุรพล จุลละพราหมฌ์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ไล่มา พลตำรวจเอกณรงค์ มหานนท์ จนถึงพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนแรก จนถึง พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ปี ๒๕๕๑ มาจนถึงความวุ่นวายในขณะนี้

    เป็นผู้มีอาวุโสลำดับสูงสุดในขณะแต่งตั้งทั้งสิ้น

    ยังมี กฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ระดับรองสารวัตรถึงจเรตำรวจแห่งชาติและรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ มาตอกย้ำเรื่องลำดับอาวุโสให้มั่นคงยิ่งขึ้น

    ยกเว้นตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินี่แหละที่มาตรา ๕๓ (๑) พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เขียนไว้ไม่สะเด็ดน้ำ กำหนดให้เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อแล้วเสนอ ก.ต.ช.พิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ต่อไป

    ประดานักการเมืองจึงได้ช่องตีความกฎหมายถือเอาเป็นอำนาจตนเข้าไปยุ่มย่ามทั้งล้วงทั้งควักการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

    บวกกับตำรวจเองที่ได้ชื่อว่าจอมวิ่งเต้นระดับเทพ หน่วยราชการอื่นต้องเรียกพี่

    ไม่เสร็จเขาวันนี้แล้วจะไปเสร็จเขาวันไหนเล่า ทูนหัว

    วันนี้ขอเถียงนักเรียนออกซฟอร์ดหน่อยที่ว่าการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้ บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยการเสนอรายชื่อของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ต.ช.

    เป็นอำนาจของท่านเท่านั้น แบบว่าเสี่ยชอบเบอร์ไหน คนเชียร์แขกไม่มีสิทธิขัดใจ

    พูดอีกก็ถูกอีก แต่ไหนเห็นเคยคุยฟุ้งว่าบ้านนี้ เมืองนี้ ปกครองด้วยระบบนิติรัฐ

    ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า การใช้อำนาจกระทำการทางปกครองใดนั้น ต้องมีกฎหมายให้อำนาจกระทำได้ไว้โดยชัดแจ้ง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีการกระทำ ไม่เหมือนภาคชาวบ้านที่ถ้าไม่มีกฎหมายห้ามแล้วย่อมกระทำได้ทั้งสิ้น

    อำนาจการคัดเลือกของท่านตามมาตรา ๕๓ (๑) ดังกล่าวย่อมเป็นดุลพินิจของท่านอย่างเต็มที่

    แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักความชอบด้วยกฎหมาย

    ดุลพินิจของท่านในฐานะฝ่ายปกครองจึงต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์และความมุ่งหมาย ของกฎหมายเท่านั้น จะไปคิดเห็นเอาเองไม่มีกฎเกณฑ์ใดเป็นแนวทางในการใช้ดุลพินิจย่อมหาชอบไม่

    แบบนั้นท่านว่า เป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจครับผม

    เจตนารมณ์ของมาตรา ๕๓ (๑) ที่ไม่ระบุเรื่องอาวุโสไว้นั้นก็ด้วยความมุ่งหมายว่าถ้าเผื่อผู้มีอาวุโส ลำดับแรกดังกล่าว เมื่อญาติโยมเห็นชื่อ ต่างพากันร้องฉิบหายแล้วกันเป็นแถว

    จึงเว้นช่องไว้ให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้บรรเทาทุกข์ให้ราษฎรด้วยการใช้ดุลพินิจไม่เสนอชื่อที่อธิบายเหตุและผลได้ชอบด้วยกฎหมาย

    แต่ที่มาตัดสิทธิพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อาวุโสอันดับหนึ่งที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งทางโลกและทางธรรมว่าไม่เหมาะสม กับสถานการณ์ทางการเมืองนั้น

    อันนี้เป็นความคิดเห็นทางการเมืองนะโยม เป็นการคาดคะเนถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่มีบทกฎหมายใดรองรับ แถมผู้ถูกกล่าวหาไม่มีโอกาสชี้แจงโต้แย้งได้ในสภาที่มีกฎหมายคุ้มครองเหมือน ท่านนะขอรับ

    ผลของการแหกจารีตประเพณีของข้าราชการตำรวจในเรื่องการถือลำดับอาวุโสในการแต่งตั้งมาร่วมสามสิบปี ด้วยนัยทางการเมืองครั้งนี้

    ต่อไปในภายภาคหน้า ตำรวจที่ทำงานไต่เต้ามาจนถึงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ย่อมใส่เกียร์ว่างงานในหน้าที่ หันไปหาหนทางที่จะประจบสอพลอนักการเมืองดีกว่า

    การลักวิ่งชิงปล้นเชิญราษฎรทั้งหลายดูแลตนเองตามกุศลหรือบาปบุญของแต่ละคน

    ก้มหน้าก้มตาทำงานไม่รู้จักคบหาพรรคการเมืองที่มีแววเป็นรัฐบาล

    ไม่คบเขาก็ไม่มีเรา

    เดี๋ยวก็โดนข้อหาไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเมืองเข้าตามแนว

    ญาติโยมที่ฟังเรื่องนี้จนจบ (มีอีกหลายประเด็น) ต่างพากันสวดคาถาสุภาษิตสนั่นศาลาการเปรียญ

    ทำอะไร ตามใจตน ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่มีหลักการ ท่านว่านั้นแหละวิสัยเด็กน้อย

    ซ้า...า...า ...ธุ.

    พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
    Praepim @ yahoo.com


    ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 29 สิงหาคม 2552
    http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=337&contentID=16816

    ใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    วิธีใช้ดุลพินิจ -กฎหมายข้างตัว วันเสาร์ ที่ 12 กันยายน 2552

    วัฒนธรรมราชการไทย การโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง หรือการแต่งตั้งตำแหน่งในระดับต่าง ๆ ว่ากันว่าเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จของเจ้านายที่จะเมตตา รักใคร ชังใคร

    เป็นดุลพินิจของท่าน

    ลูกน้องไม่มีเส้นตายหมด ตามหลักการค่าของคนอยู่ที่คนของใคร

    เมื่อโม้กันว่าบ้านเราอยู่ในระบบนิติรัฐ สมัยนี้ก็ต้องดูหลักการในเรื่องนี้จากศาลปกครองสูงสุด

    ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจดูสำนวนการสอบสวนผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่งที่คณะกรรมการสอบสวนรายงานว่าพี่ผู้ใหญ่บกพร่องในความประพฤติ

    บกพร่องยังไง ท่านว่าผู้ใหญ่บ้านใช้วาจาไม่สุภาพในการพูดหอกระจาย ข่าว ด่าสนั่นหมู่บ้าน สงสัยอภิปรายเรื่องหมา ๆ ตามสมัยนิยม

    ได้ความต่อมาว่าพี่ผู้ใหญ่แกด่าพวกเด็กแว้นในหมู่บ้าน

    รายการต่อมา เล่นของหนัก มีพฤติการณ์ก้าวร้าว ด่าโจมตีนายอำเภอผู้บังคับบัญชาตัวเอง ในที่ประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านประจำเดือน

    ลำดับต่อไป ร้องเรียนผู้ใหญ่บ้านอีกหมู่หนึ่งที่ได้รับรางวัลผู้ใหญ่บ้านดีเด่นว่า บริหารงานกองทุนหมู่บ้านไม่โปร่งใส ในหมู่บ้านมีวัยรุ่นดมกาวและเสพยาบ้ามากที่สุด

    ท่านผู้ว่าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนเป็นการลับเรื่องนี้แล้วได้ความว่าไม่เป็นความจริง ผู้ใหญ่แกโม้เอาเอง

    ระหว่างสอบสวนเรื่องบกพร่องทั้งหมดพี่ผู้ใหญ่ไปก่อเหตุซ้ำ ข่มขู่พยานถึงขั้นเอาชีวิต

    ความทั้งปวงเหล่านี้ผ่านกระบวนการสอบสวนมารายงานท่านผู้ว่าฯดังกล่าว จึงเห็นว่าเมื่อประมวลพฤติกรรมและความประพฤติที่ผ่านมาถือได้ว่าผู้ใหญ่บ้าน รายนี้เป็นผู้มีความบกพร่องในทางความประพฤติหรือความสามารถไม่เหมาะสมกับ ตำแหน่งตามมาตรา ๑๔ (๗) แห่ง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗

    มีคำสั่งให้ออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน

    พี่ผู้ใหญ่ร้องทุกข์ต่อกระทรวงมหาดไทยให้ครบขั้นตอนเพราะยังไง ๆ ท่านก็ไม่ฟังอยู่แล้ว ซึ่งกระทรวงก็สั่งยกคำร้องทุกข์ตามนั้น

    แล้วจึงยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดดังกล่าว

    ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

    ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำพิพากษา

    ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าคดีมีประเด็นที่จะพิจารณาเป็นรายกรณีได้ดังนี้

    ประเด็นที่หนึ่ง กรณีมีพฤติกรรมก้าวร้าวกล่าวโจมตีนายอำเภอในที่ประชุม ท่านว่าเกิดจากความไม่พอใจที่นายอำเภอยังไม่ลงนามในใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนโดย ใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม การที่ผู้ถูกฟ้องคดีเห็นว่าผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์ก้าวร้าว ไม่ให้เกียรติผู้บังคับบัญชาจึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยข้อเท็จ จริงที่ปรากฏโดยชอบด้วยเหตุผลแล้ว

    ประเด็นที่กล่าวหาว่าผู้ฟ้องคดีรายงานเท็จร้องเรียนผู้ใหญ่บ้านหมู่อื่น ท่านว่าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่าผู้ฟ้อง คดีมีเจตนาร้องเรียนเท็จต่อผู้บังคับบัญชาหรือไม่ ผู้ถูกฟ้องคดีเพียงแต่นำผลจากการสืบสวนการร้องเรียนดังกล่าวที่เห็นว่าผู้ ถูกร้องเรียนไม่มีพฤติกรรมตามข้อร้องเรียนมาเป็นเหตุผลว่าผู้ฟ้องคดีรายงาน เท็จ ซึ่งเป็นความเข้าใจของผู้ถูกฟ้องคดีเอง เมื่อไม่มีการสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยความยุติธรรมให้เป็นที่ยุติ การรับฟังว่าผู้ฟ้องคดีรายงานเท็จแล้วนำไปเป็นข้อเท็จจริงประกอบการใช้ ดุลพินิจพิจารณาให้เป็นโทษแก่ผู้ฟ้องคดี จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    ในกรณีกล่าวหาว่าผู้ฟ้องคดีข่มขู่พยานนั้น ไม่ปรากฏว่าในชั้นสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนว่าได้มีการสอบสวนพยานที่ถูกข่ม ขู่ ทั้งหมดล้วนเป็นการเล่าให้ฟัง พยานอื่นที่ถูกสอบสวนต่างให้การว่าตนไม่ได้ถูกข่มขู่แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังให้เป็นยุติว่าผู้ฟ้องคดีข่มขู่พยาน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีนำข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอและไม่มี เหตุผลเพียงพอไปประกอบการใช้ดุลพินิจ ในการพิจารณาเป็นโทษแก่ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    ประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าการใช้ดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๔ (๗) แห่ง พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ฯ เป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

    เห็นว่าแม้ พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ฯ ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ใช้ดุลพินิจควบคุมทางวินัยตามมาตรา ๖๑ ทวิหรือควบคุมความประพฤติตามมาตรา ๑๔ (๗)

    แต่ อำนาจดุลพินิจก็ไม่ใช่อำนาจสัมบูรณ์ซึ่งปราศจากเงื่อนไขที่องค์กรฝ่ายปกครอง จะใช้ได้ตามอำเภอใจ แต่จะต้องเป็นการเลือกที่จะออกคำสั่งหรือมาตรการที่กฎหมายเปิดช่องให้กระทำ โดยพิจารณาว่าตนสมควรจะออกคำสั่งหรือใช้มาตรการใด จึงจะสามารถดำเนินการ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อประโยชน์ของมหาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ดีที่สุด ซึ่งศาลก็จะมีอำนาจที่จะควบคุมมิให้องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองใช้ดุลพินิจโดย ไม่มีเหตุผลรองรับอย่างเพียงพอเพื่อให้ใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายก่อให้ เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วยความยุติธรรมและชอบด้วยเหตุผล

    คดีนี้ตามข้อเท็จจริง แม้ผู้ฟ้องคดีจะบกพร่องในความประพฤติแต่เห็นว่าผู้ฟ้องคดีเป็นคนพูดจาโผงผาง ไม่สำรวม เป็นคนพูดตรง ซึ่งพฤติการณ์ยังไม่ร้ายแรงที่วิญญูชนไม่อาจรับได้หากให้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่ บ้านต่อไป

    จึงเป็นการ ใช้ดุลพินิจเกินความจำเป็น ในการใช้มาตรการควบคุมความประพฤติของผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่ง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ฯ ที่ให้อำนาจ อันเป็นการใช้ดุลพินิจขัดต่อหลักแห่งความได้สัดส่วนหรือเกินสมควรแก่เหตุ

    ถือว่า ใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษากลับ เป็นให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดดังกล่าว (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.๓๒๖/๒๕๕๑)

    ดุลพินิจในการประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านครั้งต่อไปรับรองได้มีแต่มธุรสวาจาทั้งสองฝ่าย


    ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์
    http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=337&contentID=19672

    ถ้าท่านถูกนำสำเนาบัตรไปก่อหนี้

    สาระพัด กลโกงของคนสมัยนี้ มีการแอบนำเอาสำเนาบัตรประชาชนของคนอื่นไป ก่อหนี้ก่อสิน สร้างหนี้ จนเจ้าของบัตรตัวจริงต้องปวดหัวอย่างหนัก การจะแก้ปัญหานี้ทำได้ไม่ง่ายเลย การรู้ว่าถ้าท่านถูกนำสำเนาบัตรไปก่อหนี้ โดยเฉพาะใช้กับหน่วยงานของรัฐ กฎหมายข้างตัว เรื่อง ไม่ตรวจตัวจริง น่าช่วยท่านได้บ้าง

    ไม่ตรวจตัวจริง -กฎหมายข้างตัว วันเสาร์ ที่ 26 กันยายน 2552
    ดูแต่สำเนาบัตร ไม่ตรวจสอบกับตัวจริง ใครจะนึกว่าเรื่องแค่ นี้ทำให้กรมเจ้าสังกัดต้องจ่ายเงินให้ชาวบ้านเกือบแสนบาท

    ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเตรียมหาเงินมาใช้หลวงตามลำดับต่อไป

    จำเลยในคดีฟ้องบังคับจำนองเป็นงงมากเพราะในชีวิตไม่เคยไปจำนองอะไรสักอย่าง

    หลังจากสู้คดีกับธนาคารโจทก์แบบสุดชีวิตจนศาลจังหวัดพิพากษายกฟ้อง

    ย้อนมาดูต้นสายปลายเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพบว่ามีมือที่สามแอบปลอมลายมือชื่อไปขอจดทะเบียนสิทธิลงชื่อเป็นผู้ซื้อ และผู้จำนองห้องชุดแห่งหนึ่ง

    ด้วยเหตุนี้ ห้องก็ไม่ได้ ได้แต่หนี้จำนองมาติดตัวแล

    สืบสาวราวเรื่องให้ลึกลงไปจึงพบว่า เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน ผู้รับผิดชอบการจดทะเบียนสงสัยงานเยอะ ไม่ตรวจเอกสารเสียให้ดี จนเกิดเหตุความเสียหายขึ้น

    จึงเรียกค่าเสียหายจากเหตุครั้งนี้ไปยังกรมที่ดิน ท่านก็ปฏิเสธ ตามสูตร

    จั๋งซี่ ต้องเจอกันที่ศาลปกครอง จำเลยเปลี่ยนเป็นผู้ฟ้องคดีฟ้องกรมที่ดินขอให้ชำระค่าเสียหายเบาะ ๆ แค่สามล้านห้าพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดจุดห้าถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปและชำระ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนด้วย

    ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ ฟ้องคดี และวินิจฉัยค่าเสียหายไว้เป็นแนวทางดังนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ฟ้องคดีเสียไปในการต่อ สู้คดีฟ้องบังคับจำนองเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีส่วนก่อ ให้เกิดขึ้นจึงต้องรับผิดชดใช้เป็นเงิน ๒๑๘,๐๐๐ บาท แต่ความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับจากการถูกฟ้องคดีดังกล่าวมิได้เกิดจากการ กระทำของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีฝ่ายเดียวและไม่พอฟังว่าเจ้าหน้าที่ได้ ร่วมกันกระทำผิดกับฝ่ายเจ้าของห้องชุดและเจ้าหน้าที่ของธนาคาร พิจารณาแล้วจึงกำหนดความรับผิดของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นจำนวนหนึ่งในสามของค่า เสียหายจริงเป็นเงิน ๗๓,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการกระทบกระเทือนทางจิตใจ เครียดกังวลเป็นความรู้สึกทางด้านจิตใจ ไม่มีกฎหมายบัญญัติคุ้มครอง ให้เรียกร้องได้ กรณีขอให้ชำระดอกเบี้ยผู้ฟ้องคดี มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนับจากวันทำละเมิด แต่เมื่อฟ้องขอให้ชำระนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดนับจากวันฟ้องเป็นต้นไป ส่วน คำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ฟ้องคดีนั้น ไม่มีบทบัญญัติให้ศาลสั่ง

    พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระ ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๗๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระค่าสินไหมทดแทนเสร็จ ค่าธรรมเนียมให้คืนผู้ฟ้องคดีตามส่วน ให้ยกคำขออื่น

    กรมที่ดินอุทธรณ์ คราวนี้จึงรู้ว่าทำไมจึงเป็นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

    ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี หรือไม่ เห็นว่า เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีในคดีเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในการจด ทะเบียนเกี่ยวกับห้องชุดตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยออกตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มีหน้าที่สอบสวนคู่กรณีในสิทธิและความสามารถของบุคคลตลอดถึงความสมบูรณ์ของ นิติกรรมรวมทั้งหลักเกณฑ์อื่น ๆ ก่อนการจดทะเบียนตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๓๐ แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๓ ประกอบมาตรา ๗๔ และมาตรา ๗๗ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินและระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๓ กฎกระทรวงฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗)

    ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเจ้าหน้าที่ (เดิมถูกฟ้องเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓) มิได้ดำเนินการสอบสวน คู่กรณีด้วยตนเอง ไม่ได้ตรวจสอบว่าคู่กรณีที่มาขอจดทะเบียนเป็นบุคคลเดียวกับผู้ที่ลงชื่อใน เอกสาร หรือไม่ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากบัตรประจำตัวต้นฉบับของคู่กรณี ผู้ถูกฟ้องคดีเพียงแต่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่ยื่นประกอบคำขอจดทะเบียนเท่า นั้น เมื่อเห็นว่าครบถ้วนถูกต้องจึงได้จดทะเบียนลงชื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ซื้อและ ผู้จำนอง

    ประกอบกับในคดีฟ้องบังคับจำนองศาลจังหวัดฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ฟ้องคดีไม่ได้ ไปขอจดทะเบียนด้วยตนเองในวันซื้อขายและจำนองห้องชุดดังกล่าวพิพากษายกฟ้อง จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีมิได้ไปร่วมยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและ จำนองในวันดังกล่าว

    แม้จะฟังได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีเจตนากลั่นแกล้งผู้ฟ้องคดีก็ตาม แต่เมื่อมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์คู่กรณีที่มาจดทะเบียนโดยละเอียดรอบคอบ การไม่ตรวจสอบบัตรประจำตัวต้นฉบับของผู้ฟ้องคดีจึงถือได้ว่าเป็นการประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายถูกฟ้องเป็นคดีแพ่ง

    จึงเป็น การกระทำละเมิดเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ ผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิด จึงต้องรับผิด ต่อผู้ฟ้องคดี ค่าสินไหมทดแทนไม่มีประเด็นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

    พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๔๐/๒๕๔๙)

    ไม่พกบัตรประชาชนให้ท่านตรวจถูกปรับร้อยสองร้อย รายนี้ ดันไม่ตรวจเขาโดนซะเจ็ดหมื่นกว่า.

    พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
    praepim @ yahoo.com

    ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์
    http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=337&contentID=22432

    Sunday, October 11, 2009

    แบ่งปันกำลังใจ ให้กันและกัน

    ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต..
    หลายคนคงผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมานับไม่ถ้วน..
    ทั้งบทเรียนแห่งความผิดหวัง..
    บทเรียนแห่งความท้อแท้..แพ้ชีวิต..
    บทเรียนแห่งความสำเร็จ..

    ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใด ๆ ก็ตาม..
    เมื่อเราเกิดความผิดหวัง...ท้อแท้..ในชีวิต..
    เราต้องพยายามปรับใจ..วางใจให้ถูก..
    ด้วยวิธีการคิดที่จะปรับเปลี่ยน..ชีวิตของเรา..
    ให้มีกำลังใจ..สู้ต่อไป..

    ๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ..
    วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น
    >>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข
    >>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย...
    >>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..

    วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น
    >>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง
    >>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน..
    >>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้..
    >>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย...
    >>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...

    วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว..
    >>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ..
    >>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม..
    >>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..
    >>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..

    วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก..
    >>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น..
    >>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง..
    >>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ..
    >>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ...
    >>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...

    ดังนั้น..
    ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต..
    จงพยายามคิดให้ใจสู้...
    อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ..
    อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม..
    อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ..
    อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง..
    จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ....
    การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”

    โดย คุณ"เฉาก๊วย" 01 ธันวาคม 2008
    http://www.innovaclub.net/SMF-Board/index.php/topic,6089.0/prev_next,next.html#new

    วิธีไล่จิ้งจก How to take away home-lizard ..

    จริง ๆ แล้ว จิ้งจกน่ารักดี ช่วยกินแมลงในบ้านได้ด้วย In fact, home-lizard is pretty. It helps with eating insects in the home.

    แต่ใครที่ประสบกับปัญหาจิ้งจกกวนใจ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีไล่จิ้งจกมาบอก...
    But who struggle with worry lizard. Today we'll tell how to rid of home-lizard ...
    วิธีแรก ใช้ผ้าชุบน้ำมันก๊าดผสมน้ำ แล้วนำไปวางตามมุมอับ กลิ่นเหม็นของน้ำมันก๊าด จะเป็นตัวไล่ให้จิ้งจกไม่กล้าเข้าใกล้ หรือนำการบูร ลูกเหม็น ไปวางแทนที่ก็ใช้ได้เช่นกัน First, using cloth immersed the mixed of kerosene and water. Then place it the corner or point where lizard might be around. Bad smell of kerosene will make the lizard away. Camphor or mothball can be used as replacement.
    อีกวิธีให้ใช้น้ำฉีดไปที่เท้าของจิ้งจก เพราะน้ำจะเข้าไปแทนที่สูญญากาศใต้พังผืดบริเวณเท้า ทำให้หล่นลงมา
    Alternatively, spray water to lizard's feet. Because water takes place under vacuum membrane area on its feet. It will fall down.
    เพียงเท่านี้ จิ้งจกก็จะไม่มากวนใจอีกต่อไป That's it.. home-lizard would not bother any longer.


    ที่มา: เกร็ดความรู้ เดลินิวส์ออนไลน์ วันอาทิตย์ ที่ 11 ตุลาคม 2552
    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=24967

    Note: น้ำมันก๊าดมีชื่อทางเคมีว่า คีโรซีน เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเราใช้เป็นเชื้อเพลิงในตะเกียง และเป็นตัวทำละลาย เช่น ละลายสี บางทีมือเปื้อนสี เราก็เอาน้ำมันก๊าดมาล้างสีออก มันเป็นส่วนของน้ำมันชักเงาด้วย ความจริงแล้วการสัมผัสน้ำมันก๊าดระยะ สั้นไม่เป็นอันตรายเท่าใดนัก แต่ต้องรีบล้างออกทันที การสัมผัสบ่อยๆเป็นเวลานาน ทำให้ผิวหนังระคายเคืองและซึมเข้าสู่ร่างกาย นานเข้าเป็นโรคโลหิตจางและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ อันตรายแบบเฉียบพลันจะเกิดขึ้นถ้ากลืนกินเข้าไป ทำให้อาเจียน มีอาการร้อนปากและลำคอ ท้องร่วง มึนซึม ไอ ละอองสารทำให้ทางเดินหายใจระคายเคือง ถ้ามากทำให้ปวดศีรษะและหมดสติได้ วิธีแก้ไขให้รีบย้ายผู้ป่วยออกห่างจากสารไปในที่อากาศบริสุทธิ์ หากหยุดหายใจ ต้องรีบกระตุ้นให้หายใจแล้วส่งแพทย์ หากในสถานที่ทำงานมีการใช้น้ำมันก๊าด ต้องไม่ปล่อยให้มีการระเหยฟุ้งกระจายในบรรยากาศ มิฉะนั้นคนงานจะหายใจเอาไอระเหยเข้าไป แต่ถ้าจำเป็นต้องเกี่ยวข้องโดยตรง เช่นทำหน้าที่ผสมสีในน้ำมันก๊าด ก็ควรใส่ถุงมือและหน้ากากที่ป้องกันได้ อันตรายอีกประการหนึ่งคืออันตรายจากไฟ เพราะน้ำมันก๊าดก็คือเชื้อเพลิงดีๆนี่เอง ความไวไฟจะทำให้ไฟลุกได้ง่ายถ้ามีอะไรมาจุดติดเข้า อย่าให้มีประกายไฟในบริเวณใกล้เคียง ถ้าหกหรือรั่วไหล ใช้ทราบซับ เก็บใส่ภาชนะปิดมิดชิด นำไปจุดไฟเผาทิ้งในที่ปลอดภัย
    (ที่มา: รศ.สุชาตา ชินะจิตร 20 ก.ค. 2549 http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=1&ID=84)

    Friday, October 9, 2009

    พร 4 ข้อ จากการบรรยายธรรมโดย ว.วชิรเมธี Blessing from W. Vajramedhi

    ท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้

    1. อย่าเป็นนักจับผิด Do not be a faultfinding / carping at people surrounding you

    คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
    " กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก "
    คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส " จิตประภัสสร " ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี
    " แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามอง'เป็น' ก็เป็นสุข "

    Captious people who show the error of others, indicate they think they are better than others and cannot see their own defects.
    "Their passion/voluptuary is fully over their head and they do not know themselves ".
    For Hypercritical people, their hearts will pensive/grieve, no chance to reach "pure mind" So you should see the world positively.
    "Despite all that suffering if you 'know' the way to view it then you become happy [chipper, beatitude]."


    2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
    " แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน "
    คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า " เจ้ากรรมนายเวร " ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอน
    ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น " ไฟสุมขอน " ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
    เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี " แผ่เมตตา " หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป


    3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
    90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ " ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น "
    มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
    ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ " อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน "
    " อยู่กับปัจจุบันให้เป็น " ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี " สติ " กำกับตลอดเวลา


    4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
    " ตัณหา " ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วย น้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วย เชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ " ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม "
    ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ ใส่เพื่อความโก้หรู
    คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์
    เราต้องถามตัวเองว่า " เกิดมาทำไม " " คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน" ตามหา " แก่น " ของชีวิตให้เจอ


    คำว่า "พอดี" คือ ถ้า "พอ" แล้วจะ"ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

    มองแต่แง่ดีเถิด Mere Look at Things Positively

    มองแต่แง่ดีเถิด Mere Look at Things Positively



    He has/does some bad things, I don't care
    I choose to see what good things he has/does
    It might benefit the world somehow, I like to know
    What bad in him I should not learn

    If you want to find a man who has/does mere good things
    You should not waste you time to search, my friend
    It just likes looking for beard/moustache/mustache from a turtle
    Get used to look mere good, really beneficial.

    Buddh-Tas

    Thursday, October 8, 2009

    พระคาถาหลวงพ่อพุทธโสธร


    พระคาถาหลวงพ่อพุทธโสธร (ย่อ)
    อิติ อิติ อิติ
    โสธโร นโม
    พุทธา ยะ ยะธา
    พุทโมนะ

    ไปไหนนึกถึง
    พระคาถานี้ จะปลอดภัย



    คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์

    พระคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ เป็นพระคาถาที่สำคัญอย่างมาก คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ ซึ่งเป็นที่นิยม สวดกันมากที่สุด คือ พระคาถาพระเจ้า 5 พระองค์ ของหลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา ดังนี้

    ตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่าคาถานี้ทุกวัน จะปลอดภัย
    ร่มเย็น เป็นสุขตลอดชีวิต
    (อย่าทำทุจริตใด ๆ เลย)

    นะ ทรงฟ้า โม ทรงดิน พุทธ ทรงสินธุ์
    ธา ทรงสมุทร ยะ ทรงอากาศ
    พุทธังแคล้วคลาด ธัมมังแคล้วคลาด สังฆังแคล้วคลาด
    ศัตรูภัยพาล วินาศสันติ
    นะกาโร กุกกุสันโธ สิโรมัชเฌ
    โมกาโร โกนาคะมะโน นานาจิตเต พุทธกาโร กัสสะโป
    พุทโธ จะ ทะเวเนเต
    ธา กาโร ศรีศากะยะมุนี โคตะโม ยะกันเน
    ยะกาโร อะริยะ เมตตรัยโย ชิวหาทีเต
    ปัญจะพุทธา นะมามิหัง


    ที่มาของ พระคาถาพระเจ้า 5 พระองค์ เป็นการเขียนโดยใช้ ตัวย่อนามพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ คือ

    นะ หมายถึง พระกุกกุสันโธ ใช้เขียนแทน ธาตุน้ำ ซึ่งเรียกว่า อาโปธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๑๒

    โม หมายถึง พระโกนาคม ใช้เขียนแทน ธาตุดิน ซึ่งเรียกว่า ปฐวีธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๒๑

    พุท หมายถึง พระกัสสป ใช้เขียนแทน ธาตุไฟ ซึ่งเรียกว่า เดโชธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๖

    ธา หมายถึง พระสมณะโคดม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ใช้เขียนแทน ธาตุลม ซึ่งเรียกว่า วาโยธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๗

    ยะ หมายถึง พระศรีอารยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าองค์ถัดไป หลัง พ.ศ.๕๐๐๐) ใช้เขียนแทน อากาศธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๑๐ เมื่อรวมกำลังธาตุทั้ง ๕ ก็จะเป็นคุณพระพุทธเจ้า ๕๖

    คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ เป็นคาถาที่นิยมใช้กันมาก เพื่อความเป็นสิริมงคล ป้องกันสิ่งไม่ดีต่าง ๆ

    Wednesday, October 7, 2009

    ลายมือผู้มีจิตใจสูงส่ง Palmline/Handline of Highly Moral Persons

    คนที่มีจิตใจดีมีคุณธรรมสูง มีความเสียสละเพื่อชาติ เพื่อคนที่รักหรือคนที่นับถือ มีความกตัญญู แม้ความสุขส่วนตัวรวมทั้งเสียสละได้ แม้ชีวิตเพื่อเสี่ยงให้การช่วยเหลือให้เกิดความปลอดภัย
    People with good heart of highly moral, sacrifice for his nation, his lover, his respectful person. He are grateful and duteous, considering as a gratitude guy. He can devote his own leisure. He even can risk his life for the safety of others who he loves/respects.

    ความหมายตามลายเส้น

    หมายเลข ๑-๑

    เส้นหัวใจมีแฉกขึ้นไปสู่เนินพฤหัส และโค้งไปริมขอบมือ แสดงถึงความรักที่มั่นคง มีจิตใจแน่วแน่ที่จะเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อคนที่รักเคารพนับถือและผู้มีพระ คุณ



    หมายเลข ๒-๒

    เส้นสมองที่ปลายเป็นแฉกและโค้งไปทางเนินจันทร์ แสดงถึงความคิดและจิตใจมีเมตตาสงสารคนที่ได้รับความทุกข์ยากทั้งปวง และมีความพร้อมที่จะช่วยเหลือ

    หมายเลข ๓-๓

    เส้นที่ให้การช่วยเหลือและมีความสำเร็จปลอดภัย คนที่มีอาชีพกับการช่วยเหลือคนอื่นให้มีความปลอดภัย และมีความสำเร็จทุกอย่าง รวมทั้งความปลอดภัยที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นสำเร็จอย่างดี.

    ต้อย ตุลา


    ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์

    ความสุขทางพระพุทธศาสนา Highest Level of Happiness within the Buddhist's Way

    เทปสัมภาษณ์ที่อยากให้คุณฟัง ท่าน ว.วชิรเมธีกับวู๊ดดี้

    เป็นเทปที่ละเอียดอ่อนที่ คุณวู๊ดดี้ตั้งคำถามล่อแหลมเกี่ยวกับสุขกามารมณ์
    (แต่ถ้าไม่ใช่คุณวู้ดดี้ก็ยากนะที่จะมีพิธีกรคนไหนกล้ายิงคำถาม ที่หลายคนแอบคิดแบบนี้)
    แต่ท่าน ว.วชิระเมธี ตอบได้อย่างละเอียดกระจ่างใสในทางธรรมอย่างหมดจด
    จนอยากให้ได้เพื่อนๆที่สนใจธรรมะและพลาดโอกาสได้ฟัง ได้ดูสักครั้ง
    ขอเป็นหนึ่งช่องทางในการเผยแพร่ครับ


    วู้ดดี้ : ท่านเป็นเพศชายแน่นอน ท่านเข้ามาอยู่ในโลกของธรรมะเนี่ย…ท่านสามารถระงับอารมณ์
    ทางเพศได้ยังไง?

    ว. : เรื่องแบบนี้นี่มันอยู่ที่เราจะไปให้ความสำคัญกับมันมากหรือน้อย คนทุกคนนี่มีนะ อารมณ์ทุก
    อย่างที่มีในปุถุชนก็มีในพระเหมือนกันทั้งหมด แต่พระเราจะถูกสอนให้เรียนรู้ที่จะไม่ต่อยอดกับสิ่ง
    เหล่านี้

    วู้ดดี้ : แสดงว่าเวลาเกิดกำหนัดเราแค่ไม่ต่อยอด…จบ

    ว. : เราก็เดินหนี แค่นั้นเอง กามารมณ์เกิดจากความคิด

    วู้ดดี้ : งั้นเวลาสมมติว่าท่านท่องเน็ต แล้วมันดันเผอิญไปคลิกผิด…เอาอย่างนี้ดีกว่า แล้วมันมีไซท์
    โป๊ขึ้นมา เคยมีมั้ยฮะ?

    ว. : มันยากมาก เพราะอาตมาไม่ไปท่องเว็บที่มันไร้สาระแบบนั้นอยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ แต่ถ้ามันเข้ามา
    ก็ไม่เป็นปัญหาถ้าเราไม่ต่อยอด พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดหลังตรัสรู้แล้วนี่นะ ว่ากามารมณ์ก็คือ
    ความคิด ถ้าคุณไม่คิด ความรู้สึกในเชิงกามารมณ์ไม่เคยมีตัวตน

    วู้ดดี้ : มนุษย์เราต้องมีเพศสัมพันธ์ ถูกมั้ยฮะ? มันก็ต้องยอมรับว่ามันคือความสุขทางโลก ถ้าไม่มี
    เพศสัมพันธ์ก็จะไม่มีเราทุกวันนี้ ถูกไหมครับพระอาจารย์? เราจะอธิบายได้อย่างไร เราจะแยกแยะได้
    อย่างไร ไม่งั้นโลกทั้งโลกใบนี้ผู้ชายทุกคนก็ควรจะต้องเป็นพระสิ ถูกไหมครับ?

    ว. : ไม่มีใครพูดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่พูดอย่างนั้น เรามักจะคิดว่าความสุขที่เข้มข้นที่สุดถึงอก
    ถึงใจที่สุดคือความสุขเชิงกามารมณ์ ใช่ไหม? หยิบจับสัมผัสได้ แต่คุณลืมไปว่าความสุขมันเป็นขั้นบันไดนะ
    แต่มนุษย์นี่มาติดอยู่บันไดขั้นแรกคือความสุขจากกามารมณ์
    แล้วก็คิดว่าถึงที่สุดแล้ว โอ้โฮหลวงพ่อไม่เท่าชั้นหรอกน่าาาา…(วู้ดดี้หัวเราะ) ไอ้พวกนี้มันอยู่ใน
    มูตรในคูถแล้วมันก็คิดว่ามันมีความสุขที่สุดน่ะ เออ…แล้วมันไปสงสารคนอื่นที่ไม่มีความสุขเหมือน
    ตัวเอง (ใช่ครับ) คิดว่าความสุขจากกามารมณ์เป็นความสุขที่วิเศษที่สุด หลวงพ่อหลวงพี่ทั้งหลายไม่
    มีโอกาส สู้พวกเราไม่ได้

    วู้ดดี้ : เพราะเราถึงจุดสุดยอด แต่พระไม่ถึง

    ว. : ใช่ เราลืมไปว่าสุขสุดยอดนี่นะ ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเกิดจากกามารมณ์เท่านั้น มันอาจ
    จะเป็น spiritual orgasm (สุขสุดยอดทางจิตวิญญาณ)

    วู้ดดี้ : เอ้ออออ…มันมีออร์แก๊สซั่มหลายแบบเนอะพระอาจารย์

    ว. : ใช่…ทำไมคุณไปคิดว่ามันมีแค่นั้นล่ะ

    วู้ดดี้ : งั้นความสุขในทางโลกของเราเนี่ย จริงๆ แล้วในหลักพุทธศาสนามันไม่ใช่อย่างนั้นเลยใช่มั้ย?

    ว. : คือความสุขที่มนุษย์บอกว่าสุขถึงที่สุดและก็ทุกข์ถึงที่สุด ก็เพราะความสุขชนิดนี้นี่นะ
    คือสุขเพราะกามารมณ์นี่ พระอาจารย์อยากจะบอกว่ามันเป็นแค่ความสุขขั้นต่ำที่สุด จุดสุดยอด
    ในวงการพุทธศาสนาคือการเป็นพระอรหันต์ การบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเหมือนที่พระพุทธ
    เจ้าบรรลุ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปถึงที่สุดทุกข์ เราบรรลุมรรคผลนิพพาน เราวิวัฒนาการถึงจุดสูงสุดแห่ง
    ความเป็นมนุษย์และเรามีความสุขตลอดกาล

    ยังมีขั้นที่สองนะ ปัญญาสุข สุขจากการแสวงหาปัญญา

    ขั้นที่สาม สมาธิสุข สุขจากการที่หลับตานั่งนิ่งๆ ตามดูลมหายใจ พอจิตสงบร่างกายก็สดชื่นเบิก
    บานหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมานะ เท่านั้นแหละวู้ดดี้จะรู้สึกว่ามันชุ่มเย็นมันเบิก
    บานไปทั้งเนื้อทั้งตัว

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า เวลาสารแห่งความสุขมันหลั่งออกมานะ ไม่มีที่ไหนตั้งแต่หัวจรด
    เท้าที่รังสีแห่งความสุขแผ่ไปไม่ถึง นี่เรียกว่าสมาธิสุขนะ วันหลังลองนั่งสมาธินานๆ นะ ซักครั้งละ
    ครึ่งชั่วโมงนะ แล้ววู้ดดี้จะเห็นว่าสุขจากกามารมณ์ที่ตัวเองเคยผ่านพบนะมันเป็นแค่อะไรที่เล็กที่สุด ต่ำ
    ต้อยที่สุด แล้วเธอจะหันไปมองความสุขชนิดนั้นเหมือนกับคนที่ถ่มน้ำลายทิ้งแล้วไม่เสียดายเลย แล้ว
    คุณจะรู้ว่าคุณมันหลงอยู่ตรงนั้นซะตั้งนาน สุขสูงกว่านั้นก็มีอยู่ทำไมไม่มอง ไม่เพียงแต่ไม่มองบางครั้ง
    มันดูถูกด้วยนะ เห็นมั้ย นี่ก็แค่ขั้นที่สามนะ สมาธิสุขนี่นะ สุขจนน้ำหูน้ำตาไหลนี่แค่ขั้นที่สาม

    สุขที่สี่ สุขที่สุดท้ายปลายทางชีวิตมนุษย์ทุกคนควรไปให้ถึง นิพพานสุข เป็นความสุขที่เราเป็นอิสระจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง

    —————————————————————————————-
    ด้วยความคารวะอย่างสูงต่อท่าน ว.วชิระเมธี ครับ


    ที่มา: http://www.geranun.com วันที่ 08 ตุลาคม 2552
    {{{ ถอดเทปเป็นตัวอักษร }}}

    เครดิต คนภูธรGO ONนครบาล
    ยูทูป และถอดข้อความโดยคุณ Edna Mode
    และกระทู้จากพันทิปครับ

    พระพยอม เล่ากรรมที่ทำกับพ่อ Sin due to Phra PaYom's misbehave to his dad

    พระพยอม เล่ากรรมที่ทำกับพ่อ Phra PaYom told his own remorseful sin story, misbehave made to his dad

    สิ่งที่พระพยอมเสียใจที่สุดในชีวิต
    It was the most saddest thing in Phra PaYom's life ..
    โยมพ่อของอาตมาเป็นคนขี้เหล้า... หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็กินเหล้าหมด
    His dad was an alcoholic. All earnings were spent on the drinks.
    พอเมาก็ดุด่าโยมแม่กับอาตมา อาตมาไม่ชอบพ่อมาก.......
    When his dad got drunk (intoxicated), his dad scold at him and his mom. That made him very dislike his dad.
    วันหนึ่ง โยมพ่อเมากลับบ้านไม่ได้ มีคนให้อาตมาพายเรือไปรับ
    One day, his dad got drunk and could not back home on his own. PaYom needed to take a boat to pick his dad.
    ตอนนั้น อาตมายังเป็นวัยรุ่น ทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอน....อยากพักผ่อน....
    At that time, he was a teenager. He worked all day so he very much wanted to sleep, taking a rest.
    อาตมารู้สึกโมโหมาก
    He felt greatly angry.
    พอพายเรือกลับบ้าน ก็ทิ้งโยมพ่อไว้ในเรือ
    When he took the boat home, he left his dad in the boat.
    แต่พ่อเมามากลุกไม่ไหว ตะโกนเรียก....
    His dad got very drunk and could not get up on his own, so shouted ..
    “ ไอ้ยอม... ไอ้ยอม... มาอุ้มกรูขึ้นบ้านหน่อย... กรูขึ้นไม่ไหว ”
    "PaYom .. PaYom .. come and take me into the house. I cannot do it by my own".
    ไอ้เราก็ทนรำคาญไม่ไหว เดินกระทืบเท้า ตึง.. ตึง.. ตึง..
    PaYom felt very annoying, so he walked with lousy noise along his footsteps.
    กระชากร่างพ่ออุ้ม ในขณะที่อุ้ม..
    He pulled his dad with full force. During he was carried his dad
    ความรู้สึกเจ็บแค้นที่พ่อทำให้เราลำบาก ชอบด่าว่าเราเจ็บๆ
    he felt lodged as his dad causing him difficulties and liking to scold at him and his mom.
    พออุ้มพ่อขึ้นมาจากเรือ... ถึงหัวสะพาน
    By the way of carrying his dad, they approached bridgehead .
    จับร่างพ่อกระแทกกับหัวสะพาน ก้นพ่อกระแทกกับ พื้นไม้อย่างแรง
    เสียงดังโครม.... he impinged his dad with wooden floor at the bridgehead, with lousy noise.
    พ่อแกร้องไห้.... แล้วพูดว่า
    His dad cried .. and said
    “ ไอ้ยอมนะ... ไอ้ยอม.. กรูอุ้มมรึงมาแต่เล็กแต่น้อย....
    " PaYom .. PaYom .. I carried you since you were little.
    กรูนอนหลับ.. แต่มรึงไม่ยอมนอน... ร้องไห้กวน..
    I slept .. but you did not want to .. kept crying/bothering.
    กรูต้องลุกมาอุ้มมรึง...ร้องเพลงกล่อมให้มรึงนอน
    I had to carry you and sang a song for you to sleep.
    จะไปไหนมรึงไม่ไหว.. มรึงเหนื่อย.. กูก็ต้องอุ้มมรึง.. ทั้งที่กรูก็เหนื่อย
    You want to go anywhere but you tired .. I had to carry you even I was so tired.
    กรูอุ้มมรึง.. มรึงทั้งขี้..ทั้งเยี่ยว.. ใส่กรู
    I carried you .. you let shit & pee on me
    แต่กรูไม่เคยทุ่มมรึงลงกับพื้นเลย....
    but I have never ever impinged you on the floor.
    เพราะกรูรักมรึง......Because I love you.

    วันนี้... มรึงอุ้มกรู เหล้ากรูไม่ได้หกโดนมรึงสักนิด มรึงทุ่มกรูลงพื้นทำไม.....”
    Today .. you carried me, not a drop of my drink spill at you, why you impinged me on the floor?"
    พอพ่อพูดจบ น้ำตาไม่รู้มาจากไหน มันไหลพรูลงมาอาบสองแก้ม
    His dad just finished saying then the tears flowed down along his both cheeks.
    อาตมาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน
    Phra PaYom feels so heart-pain, so heartbroken.
    ก้มลงกราบพ่อ แล้วพูดว่า
    He prostrated/worshiped his dad and said
    “ พ่อครับ ต่อจากนี้ไป... ผมจะอุ้มพ่อตลอดชีวิต
    " Dad from now on .. I will carry you my whole life
    โดยไม่บ่นและทุ่มพ่อ ลงพื้นอีกแล้วละครับ”
    without any complains & impingement you on the floor"
    หลังจากนั้น อาตมาทำงานอย่างหนักเพื่อมาให้พ่อ หวังให้พ่อสบายขึ้น
    Afterward, Phra PaYom had worked very hard in order to help his dad to have a better living.
    แต่เมื่อถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว
    When the waiting day arrived, it became too late.
    โยมพ่อได้จากอาตมาไปแล้ว
    His dad passed away.
    คิดแล้วมันทรมานใจเหลือเกิน อาตมาทำผิดพลาดไปแล้ว และแก้ไขไม่ได้
    Thinking about this made him so heart-misery. It was his wrong doing and can't be corrected.
    จึงอยากเตือนทุกคนเอาไว้ ไม่อยากให้เสียใจไปตลอดชีวิต
    So he wants to warn everyone and does not want to feel regret the whole life.
    แล้วคุณล่ะ เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า
    Well ,, have you ever made your dad regret at you?
    บางครั้งเราอาจเข้าใจท่านผิด
    Hm .. Sometimes we may misunderstood at him.
    บ้างครั้งท่านเฉยเราก็คิดว่าท่านไม่สนใจ
    Sometimes he looks silently and we thought he does not care.
    แต่พอเราโตเราก็จะรู้เองว่า
    When we grow up, we learn
    สิ่งที่ท่านทํากับเรามันเป็นสิ่งที่ท่านหวังดีกับเราเสมอ
    all the things he has done are with well-intentioned
    ขอให้รู้จักค้นหาหัวใจตัวเองให้ทันเวลา
    so you should find your heart in due time
    ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป....."
    before everything is too late
    ---------------------------------------------
    สำหรับบางคน......For someone

    บางสิ่งบางอย่าง ลำบ๊ากลำบาก แต่เราสามารถ มุมานะทำเพื่อแฟนหรือคนรักของเรา
    something is so greatly difficult to get/do, but we can do it for our mate/girl-friend/boy-friend
    แต่บางสิ่งง่าย ๆ สำหรับพ่อแม่ของเรา เรากลับไม่ค่อยอยากทำให้ท่าน
    On the other hand, something is so easily to get/do, but we do not have a feeling of doing it.
    ทั้ง ๆ ที่ท่านลำบากเลี้ยงเรามา มาคิดได้เมื่อสายไปแล้ว....
    As our parents bear difficulties to raise us, you recognize when it is too late.
    เคยได้ยินมาว่า....
    Have you ever heard
    ข้าวร้อนๆกับปลาเค็ม 1 ชิ้น ตอนพ่อมีชีวิตอยู่
    hot rice with a piece of salted fish when our parents are alive
    มีค่ามากกว่า "เนื้อมังกร...หน้าศพ" ตอนพ่อตาย...
    is much more valuable than "dragon meat in front of his dead body"

    Saturday, October 3, 2009

    ภรรยา 4 คน Our Four Wives

    ชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน
    ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้ทุกอย่าง
    ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ
    ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว
    ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหาไม่คิดถึงเลยด้วยซ้ำ
    ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิด ร้ายแรง และถูกจับต้องถูกประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหารเขาขอ ร้องว่า เขาขอกลับบ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง ผู้คุมเห็นใจจึงอนุญาต เมื่อกลับมาถึงบ้านเขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟังและถามภรรยาคนที่ 1 ว่า
    'ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่างไร? '

    ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า 'ถ้าเธอตายเราก็จบกัน คำตอบที่ได้รับเหมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่างยิ่งนึกเสียดายว่า … เขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย จากนั้นเขาก็ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังและถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า
    'ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 2 จะทำอย่างไร? '
    ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า 'ถ้าเธอตายฉันจะมีใหม่ ' เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเสียใจมาก แ ละนึกเสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน เขาเดินคอตกมาหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังและถามภรรยา คนที่ 3 ว่า
    'ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 3 จะทำอย่างไร?'
    ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า 'ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง' ทำให้เขา คลายความเศร้าโศกขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยก็ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา ก่อนกลับไปรับโทษเขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคน ซึ่งไม่เคยไปหาเลยจึงไปหาภรรยาคนที่ 4
    และถามว่า 'ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร?'
    ภรรยาคนที่ 4 ตอบ ว่า 'ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไปด้วย' แทนที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ด้วย แล้วชายคนนี้ก็กลับไปรับโทษประหารและเมื่อเขาตายภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไปด้วย

    เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้ … มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร? ทีนี้เรามาดูกันว่า ภรรยาคน ที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกันบ้าง
    ภรรยาคน ที่ 1
    ร่างกายของเรา เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่งทุกอย่าง อยากได้อะไรก็หาให้ แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตายร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น
    ภรรยาคน ที่ 2
    ทรัพย์สมบัติ เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคนอื่น
    ภรรยาคนที่ 3
    พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง เพราะพอเราตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้แปลว่า เขาแค่ไปส่งเราเท่านั้น
    ภรรยา คนที่ 4
    บุญกับบาปเมื่อเราตายไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วย ได้ มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเรา ไป …
    อืมม… หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง? จะให้ความสำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน? แล้วหากคุณถูกพันธนาการด้วยรัก คุณจะเป็นนักโทษที่มีความสุขมากที่สุด …


    A dead man and his 4 wives :
    Wife #1 who he loves the most, being together all the time. He always gives anything she want to have.
    Wife #2 who he loves the second most. He will do everything for this wife. And he frequently comes to see her.
    Wife #3 who he loves with moderate care. He visit her sometimes.
    Wife #4 he never gives much interest to this wife. Never care. Never come to see her. He never ever miss her at all.
    Later this man does serious sin. He is captured. As a punishment, he will be executed. During on his death row, he is allowed to meet his four beloved wives. First, he sees wife #1 and tells she the whole story. And he asks his wife #1 a question.
    'I am going to die, what would wife #1 do? '.

    Wife #1 responses with the cold voice. 'If you die, it is over between us.' The answer was like a thunderbolt split burning! down at him very nice. He fells the pain and sorrow with a great pity. He thinks ... he should not give this much dedication to his wife #1.
    He goes on to his wife #2 with sad feeling. He again tells the whole story. Then he asks the same question and listens to his wife #2 answer:
    'If you die, I will have a new one'.
    The answer just likes a thunderbolt! Split down to him very nice. The very saddened answer makes he thinks that he should not dedicate to his wife #2 as well.
    With his tragic feeling, he asks his wife #3. She speaks normally
    'If you die, I will go to send you'.
    With this answer, he feels a bit better. At least he still has a wife who sincere to him. He now looks at his wife #4 who he hardly visits. With the same question, his wife #4 says
    'If you die, I will go with you.' After hearing the answer, instead of feeling rejoice, he feels very sad again ... This is because it is too late. During his life he has never seen the value of this wife. But his wife #4 does not has a thought of leaving him. Then this man dies and his wife #4 die following him as she says before.
    ***
    We all have four wives. The question is who are these four wives? Let's see.
    Wife #1.
    Our body, when we alive, we surrender our own bodies with all of kind of things whatever the bodies want
    to have. When we die, the bodies do not care. The bodies won't go with us. Our dead bodies are just like dead timbers.
    Wife #2:
    Wealth, because when we alive, we will do everything to get the most of it. But when we are dead, it becomes others' property.
    Wife #3:
    Father, mother, sister, brother, sons, daughters, and all relatives: They do dead ceremony for us.. They just come to send us at funerals.
    Wife #4:
    Our sin and good deed, when we are dead, follow us. We can not take any other thing else with us. Mere merit (good and bad things we did when we alive) are attached to us as we go ...
    Hm..m ... after the reading finished, and what have you learn? Will what wife you love the most? If you are chained with love, you will be the most happiest inmate ...


    The Buddhist's way of thinking

    ว.วชิรเมธี -ข้อคิดขอบคุณ Thought of thankings


    ชวนคิด ชวนคิด ---> แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้ ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน ก็ยังโง่เท่าเดิม ว วชิรเมธี

    Let's think, do the second thought ---> upside down a glass in the middle of the rain. Even with heavy raining the whole night, it can not filled with water. People who do not agree to open their mind for learning, even associate with educator/sage all night and day, they still have the same fool. By W. Vajramedhi

    ขอเสนอบทความธรรมะ โดยท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว วชิรเมธี)
    ........................
    นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”

    ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
    ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
    ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

    ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
    ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
    ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

    ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
    ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
    ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

    ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
    ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
    ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

    ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
    ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
    ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ
    เจริญพร
    ว วชิรเมธี



    An articles on moral (Buddhist's way of thinking), by W. Vajramedhi.
    ........................
    Implications of the word "thanks".

    Thanks ignorance/unknown, made knowing how to get up and fight.
    Thanks poverty, made one an endeavor.
    Thanks failure, made one an expertise.

    Thanks mistake, making one more intelligent than ever.
    Thanks envy, making one a bold innovative.
    Thanks criticism, making one the bloom, without any flaws.

    Thanks ignorance, making to know a teacher whose name is "experience."
    Thanks disappointment, making consciousness to start-up again.
    Thanks proficient enemy, making known that we are not yet professionals.

    Thanks corruption festival, making we want to create new political types.
    Thanks illness, making we paid more to health care.
    Thanks suffering, making we know the value of happiness.

    Thanks to separation, making us to abandon ...
    Thank fire passion. That is why we want to attain Him.
    Thank death. That the final scene of life complete.
    Yes.
    That Chunhavajira heart.

    คติธรรม Buddhist Moral Thinking

    คติธรรม

    เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
    เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
    เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
    เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
    เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดละออ
    เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
    เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี

    ดังนั้น ตรองดูซักนิด ว่า.....
    คุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้

    Moral:

    When you plant honesty, you will be trusted.
    When you plant goodness, you will receive friendship.
    When you plant the humble, You will be great.
    When you plant industriousness, you will be successful.
    When you plant a review, you will be thoroughly.
    When you plant the hard work, you will be successful.
    When you plant a pardon, you will be healing.

    So think what do you want to plant? .....
    You can define what you will be receiving.

    ปรัชญา น่ารัก Soft-Philosophy

    ปรัชญา น่ารัก ๆ หลายข้อ A lovely collection of "Thai's Soft Philosophy"

    1. อย่าขับรถเร็วเกินที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทัน เป็นอันขาด
    Never drive faster than your angel can follow.
    2. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึก ดีขึ้นเหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ
    Revenge can't make you feel any better, just like drinking sea water when feeling thirsty.
    3. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น
    The meaning of happiness depends upon what you want it to be
    4. 'อย่ากลัวความฝันของคุณ: มันง่ายกว่าที่คิด'
    Don't fear to dream, it is easier than you thought
    5. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุก ๆ 4 คนจะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยน ๆ ลองเช็ค เพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดีก็คุณน่ะ แหละ Scientist said every one out of four persons is insane. Check out 3 of your friends. If they are okay, then you are the one (who is insane).
    6. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว
    Share your smile to everyone, but keep the kiss for the only special one.
    7. น้ำตาจะให้คุณ ก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความ สำเร็จ
    Tear can only give sympathy, but sweat provides you the success.
    8. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่ วัตถุ แต่คือ ความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ต่อกัน แต่ที่สำคัญยิ่ง กว่าก็คือเป็นคนดี
    The best in our live is not thing, but good feeling given to each other. However, the most important is being a good man.
    9. การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับ จิตใจ คือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น
    The best physical exercise for your mind is to bend and help other(s) to stand up
    10. คน ๆ หนึ่ง อาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่าง แต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไป จริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น A man can do a lot of mistakes, but he will become a loser when he start to throw way his mistakes to others.
    11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือปีกที่จะบินออกไปเอง
    Give two things to your kids: One is a good foundation, the other is a pair of wings to fly by their own.

    12. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ Only dead fishes float along the flowing water .

    13. คุณค่าของคน ๆ หนี่งบอกได้จากวิธี ที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ Value of a man can be told by the act he given to his unwanted person.

    14. เงยหน้าขึ้นรับ แสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงา มืด Look up to the Sun and you will never see the dark shadow.

    15. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยกับใครไม่เป็น การให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง
    Only weak persons will never know how to "forgive." This is purely because it is a property of strong persons.

    16. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับ เรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่า นั้น
    There are no strangers, only persons who never meet.

    17. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำ อะไรทั้งนั้น
    When you speak the truth, you don't have to remember anything.

    18. เด็ก ๆ ต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวก เขาทำตัวไม่น่ารัก
    Little child most need is love when they do not do lovely behavior.

    19. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัว อักษรชุดเดียวกับคำว่า silent ( เงียบ)
    The words "listen" and "silent" use the same letters.

    20. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริง ๆ แล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง
    True friend is the one who believes you are perfect even in fact you are already half broken.

    21. วัตถุมงคลที่ดีที่สุด ที่มีคุณค่าที่สุด คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรานั่นเอง
    The best and most valuable sacred objects are our own dad, mom, grandpa, and grandma.

    คณิตพิลึก 2 Weird Math / Strange Math II

    Here is an interesting and lovely way to look at the beauty of mathematics, and of God, the sum of all wonders.


    1x8+1 = 9
    12x8+2 = 98
    123x8+3 = 987
    1234x8+4 = 9876
    12345x8+5 = 98765
    123456x8+6 = 987654
    1234567x8+7 = 9876543
    12345678x8+8 = 98765432
    123456789x8+9 = 987654321


    1x9+2 = 11
    12x9+3 = 111
    123x9+4 = 1111
    1234x9+5 = 11111
    12345x9+6 = 111111
    123456x9+7 = 1111111
    1234567x9+8 = 11111111
    12345678x10+10 = 1111111111


    9x9+7 = 88
    98x9+6 = 888
    987x9+5 = 8888
    9876x9+4 = 88888
    98765x9+3 = 888888
    987654x9+2 = 8888888
    9876543x9+1 = 88888888
    98765432x9+0 = 888888888


    1x1 = 1
    11x11 = 121
    111x111 = 12321
    1111x1111 = 1234321
    11111x11111 = 123454321
    111111x111111 = 12345654321
    1111111x1111111 = 1234567654321
    11111111x11111111 = 123456787654321
    111111111x111111111 = 12345678987654321


    From a strictly mathematical viewpoint :
    What Equals 100%?

    What does it mean to give more than 100%

    Ever wonder about those people who say they are giving more thaqn 100%?

    We have all been in situations where someone wants you to

    GIVE OVER 100%

    How about ACHIEVING 101%?
    What equals 100% in life?


    Here's a little mathematical formula that might help
    Answer these questions :
    A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z

    Is represented as :
    1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 .


    H-A-R-D-W-O-R-K

    8+1+18+4+23+15+18+11 = 98%

    And :

    K-N-O-W-L-E-D-G-E

    11-14-15-23-12-5-4-7-5 = 96%


    BUT

    A-T-T-I-T-U-D-E
    1+20+20+9+20+21+4+5 = 100%

    THEN, look how far the love of God will take you :

    L-O-V-E-O-F-G-O-D
    12+15+22+5+15+6+7+15+4 = 101%

    Friday, October 2, 2009

    ผู้นำ 4 ทิศ 4 ธาตุ Four Directional Leadership Styles

    ==> ผู้นำ 4 ทิศ 4 ธาตุ Leadership can be divided into four styles according its characteristics
    ผู้นำ มีความสำคัญยิ่ง ภาระกิจที่สำคัญขององค์กรจะบรรลุได้เพียงใด ลักษณะของผู้นำ นับเป็นปัจจัยที่สำคัญ ในรูปแบบ ผู้นำ 4 ทิศผู้นำ 4 ธาตุ คุณเป็นผู้นำแบบใหน With heavy burdens of the organization, characteristics of leader are central to organizational success / failure. What type of leadership are you in?

    1.ทิศตะวันออก -พญาอินทรี ธาตุลม คือ จอมโปรเจ็ค : ทำอะไรหลายใจ - มักมีตามใจ
    Eastward Leadership style -analogous as the eagle -windy characteristic -Multi-project based type of leader

    2.ทิศเหนือ -กระทิง ธาตุไฟ คือ มุทะลุ ดุดัน : ทำอะไรทันใจ - มักมีเสียใจ
    Northward Leadership style -analogous as the fire -hotty characteristic -Speedy based type of leader

    3.ทิศตะวันตก -หมี ธาตุดิน คือ เจ้าหลักการ : ทำอะไรมั่นใจ - มักมีเคืองใจ
    Westward Leadership style -analogous as the soil -Surety characteristic -Confident based type of leader

    4.ทิศใต้ -หนู ธาตุน้ำ คือ เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล : ทำอะไรเกรงใจ - มักมีได้ใจ
    Southward Leadership style -analogous as the water -Slippery characteristic -Mutable based type of leader

    อ่านต่อ "ผู้นำ 4 ทิศ" ที่นี่ หรือ ผู้นำ 4 ทิศ 4 ธาตุ

    ผู้นำ 4 ทิศ 4 ธาตุ

    สอนศิษย์ให้คิด"ไร้กรอบ" Frameless Thinking

    งานสอนหนังสือไม่ใช่งานง่าย ๆ ที่จะสอน "คนให้เป็นคน(ดี)" ให้มีความรู้ รู้จักใช้สติ ปัญญา ในการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ รู้จักใช้เหตุ ใช้ผล เพื่อแก้ปัญหา และตอบโจทย์ของสังคม รวมทั้งชี้นำเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตในสังคม
    ครูดี นั้นยังมี แต่หายาก
    .ครูทุ่มเท นั้นมีบ้าง หายากยิ่ง
    ..ครูทั้งดีและทุ่มเท มีแสนน้อย ยิ่งหายาก
    ...[ครุ แปลว่า หนัก หนักมากจนตัวครูสมัยใหม่ อาจจะรับไม่ไหว]

    จะวัดคน วัดที่ผลของงาน วัดที่กระบวนการ วัดที่ความทุ่มเท วัดที่ความเสียสละ
    .จะวัดครู วัดที่ความสำเร็จ ในการนำพาศิษย์ สู่ฝั่ง ให้สามารถเลี้ยงตนให้มีชีวิตรอด และเป็นคนดีของสังคม
    ..การคิดแบบ"ไร้กรอบ" อาจเหมาะสม และ ถือเป็นทางเลือกใหม่ ของวงการการศึกษาของไทย กับ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ"

    ====== ไม่ทราบที่มา ไม่ทราบผู้เขียน =======
    เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมครับ เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา
    ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับ
    เครื่องยนต์ไอพ่นตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ
    1.อยากดูแลพ่อแม่
    2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
    3.อยากเที่ยว
    และ 4.ชอบกินอาหารอร่อย

    เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง
    ผมประทับใจบทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน "เสาร์สวัสดี" ของ"กรุงเทพธุรกิจ " เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก
    คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย

    ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น "ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา" เขาบอก
    เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆว่ายน้ำไปด้วย คาดว่าคงไปเรียน เรื่อง
    "คลื่น" ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากันระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ
    แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้

    แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก "จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย"
    โหย...เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด ผลปรากฎว่า
    ได้ศูนย์กันทั้งห้อง เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม
    เหตุผลที่ ดร.วรภัทร ออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเองเป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก

    "ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้ว อาจารย์จะปรับให้"

    เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ ไม่รู้จักคิดเอง
    "ถ้ารอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่า เพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่คนอื่นป้อนให้"

    โหย...เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่าชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัย ที่ต้องตั้งโจทย์เองและตอบเอง
    ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง ถ้าใครที่คุ้นกับ "ชีวิตปรนัย"
    ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก 1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา
    ติดกับ "กรอบ"ที่คนอื่นสร้างให้ ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิดและตั้งคำถามเอง

    เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่าเพราะมี "คำถาม"จึงมี "คำตอบ"
    เมื่อมี "คำตอบ" เราจึงเลือกเดิน พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง โสเครติส" เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก
    ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้ จาก "คำถาม"

    กลยุทธ์ของ "โสเครติส" ในการสอนคือไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของนักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้
    "โสเครติส" เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน "ความไม่รู้" ของตนเอง เขาจะเริ่มต้น แสวงหา " ความรู้"
    แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี "ความรู้" เขาก็จะไม่แสวงหา "ความรู้ "

    การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมายโจมตีและทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน
    เป็นกลยุทธ์เท "น้ำ" ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำ แล้วจึงเริ่มให้เขาเท "น้ำ" ใหม่ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง
    "น้ำ" ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก "คำตอบ" ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง "คำตอบ" จาก "คำถาม" ของ "โสเครติส"

    "โสเครติส" นิยามศัพท์คำว่า "คนฉลาด" และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ "คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้น
    ไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง แต่ "คนฉลาด" คือคนที่รู้ว่าตัวเอง"ไม่รู้" ส่วน "คนโง่" นั้น คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้