Wednesday, August 31, 2011

ศาลผู้ดีพิพากษา! ส่งเด็กก่อจลาจลวัย11ขวบ เข้าสถานดัดสันดาน

ศาลเยาวชนอังกฤษ มีคำตัดสินให้เด็กวัย 11 ปี ที่มาร่วมก่อกวนในการจลาจลในกรุงลอนดอน เมื่อเดือนก่อน เข้าสถานดัดสันดาน เป็นเวลา 18 เดือน หลังพบว่า เคยก่อคดีอื่นมาก่อนแล้ว...

สำนักข่าว ต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ว่า เด็กชายชาวอังกฤษวัย 11 ปีผู้ก่อเหตุออกไปขโมยของตามร้านค้ากับเพื่อน ระหว่างการจลาจลในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถูกศาลเยาวชนแฮเวอริง ตัดสินให้ส่งตัวเขาสถานดัดสันดาน เป็นเวลา 18 เดือน หลังจากพบคดีเก่าที่เด็กคนนี้ก่อไว้ ก่อนหน้าที่จะเกิดการจลาจลเพียง 5 วัน

โดยก่อนหน้าที่จะเกิดการจลาจล ในลอนดอน 5 วัน เด็กคนนี้ ก่อเหตุใช้มีดคัตเตอร์ กรีดเบาะเกาอี้ของรถบัสโดยสาร จากนั้นจึงพยายามจะจุดไฟเผารถคันดังกล่าว ก่อนที่จะใช้อิฐบล็อกที่เตรียมมา ทุกกระจกรถเพื่อหลบหนี แต่คนขับรถรวบตัวเขาเอาไว้ได้ และถูกคุมความประพฤติ 10 เดือน แต่ก็มาก่อเหตุขโมยเงินในร้านค้า ระหว่างการจลาจลซ้ำอีก

ผู้พิพากษา จอห์น วูลลาร์ด พูดต่อหน้าเด็กหนุ่ม ที่ศาลในเขตรอมฟอร์ด ว่า "เห็นได้ชัดว่า ความประพฤติของเธอไม่สามารถควบคุมได้ ดูเหมือนเธอคิดว่า ไม่มีใครสามารถหยุดยังการกระทำของเธอได้ เธอทำสิ่งที่เธออยากทำ และทุกคนก็ต้องสู้ทนกับมัน ถ้าเธอโตขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เธอจะมีจุดจบอยู่ในคุก กฎหมายบัญญัติไว้ ฉันจึงไม่อาจส่งเธอเข้าคุกใน เพราะอายุของเธอไม่ถึงเกณฑ์" จากนั้นศาลจึงประกาศคำพิพากษา ส่งเด็กคนนี้เข้าสถานดัดสันดาน เป็นเวลา 18 เดือน ซึ่งในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังทำในสิ่งที่เหมาะสมกับเด็กคนนี้มากที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีเด็กผู้หญิงอายุ 11 ปี อีกคน ถูกศาลตัดสิน ควบคุมความประพฤติ หลังจากออกไปกับเพื่อน อายุ 12 อีกสองคน และก่อเหตุทุบกระจก อาคาร เดเบนแฮมส์ ร้านค้าปลีกซึ่งมีสาขาในหลายประเทศ เสียหายหลายบาน รวมมูลค่าได้ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ

อนึ่ง นางวิคกี ธอมสัน ทนายของเด็กชาว พยายามแก้ต่างให้เขาโดยยกเหตุผลที่ว่า เด็กชายคนนี้มาจากครอบครัวที่มีปัญหา พ่อแม่หย่าร้าง และเด็กต้องสลับไปอยู่กับพ่อและแม่ ซึ่งในวันเกิดเหตุจลาจล คนพ่อไม่ทุกไม่ร้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกบ้านเลย

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2554

Riots probe as looter, 11, in court

An 11-year-old boy stole from a department store during London's riots just days after he had been sentenced for arson and criminal damage, a court has heard.
The boy - the youngest prosecuted in the capital so far over the riots - admitted taking a bin less than a week after being punished for trying to start a fire on a bus.
The case came as details of an independent investigation into the causes of rioting that blighted the capital were announced.
The 11-year-old, who cannot be named, was handed an 18-month youth rehabilitation order at Havering Magistrates' Court in Essex and was told that his local authority will dictate where he lives for the next six months.

The court heard the boy, from Romford, Essex, stole a bin worth £50 from Debenhams in the town on August 8 after the windows of the store were smashed by looters.

He was already under a referral order, put in place on August 3 for an incident on July 18 when he cut the seats of a bus with a craft knife and tried to set fire to the exposed foam.

When the driver would not let him off, the boy threw a stone at the exit door of the route 174 bus and then kicked a hole in the shattered glass so he could jump out while it was still moving.

Scotland Yard said he is the youngest rioter in the capital to face prosecution.

The Met said it had made a total of 2,124 arrests relating to the disorder, of which 455 were juveniles.

The 11-year-old's court appearance came as Deputy Prime Minister Nick Clegg announced that a former chief executive of a London borough hit by some of the worst scenes of rioting is to lead the independent investigation into its causes.

Darra Singh, chief executive of Job Centre Plus and the former chief executive of Ealing - which suffered badly in the disturbances - and Luton councils, will chair the panel that aims to give communities and victims a voice over what happened.

pa.press.net, Updated: 31/08/2011 20:59

Wednesday, August 24, 2011

วิจัยแผ่นโปรตีนจากกาวไหม ใช้ปิดแผลสดกระตุ้นคอลลาเจน

การสร้างเนื้อเยื่อของผิวหนังในผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุจากสารเคมี ไฟไหม้ หรือความร้อน จนทำให้เกิดการหลุดลอกของผิวหนัง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แนวทางการรักษาปกติแพทย์จะนำผิวหนังส่วนดีของผู้ป่วยมาปิดบาดแผลเพื่อช่วย ให้การซ่อมแซมผิวหนัง วิธีการดังกล่าวผู้ป่วยต้องสูญเสียเนื้อเยื่อจากอวัยวะดีบางส่วน ก่อให้เกิดการเจ็บปวด และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ฉะนี้...รศ.ดร.พร อนงค์ อร่ามวิทย์ ภาควิชาเภสัชกรรมปฏิบัติ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงทำการวิจัยพัฒนา “แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลจากโปรตีนกาวไหม” ขึ้น

แผ่นเนื้อเยื่อจากโปรตีนกาวไหมปิดแผลสด.

รศ.ดร.พรอนงค์ เปิดเผยว่า ...ปัจจุบันหลายประเทศมีความพยายามที่จะพัฒนาวัสดุปิดแผลเพื่อใช้แทนผิวหนัง จริง แต่วัสดุที่ใช้มักเป็นการสังเคราะห์ทางเคมี จึงขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมทางชีวภาพ และมีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลงานวิจัยพบว่า โปรตีน เซริซิน (sericin) นอกจากสามารถกระตุ้นการสร้างและเพิ่มการยึดเกาะกันของเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ ยังดูดความชื้นได้ดี และมีการนำไปใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง

สำหรับ โปรตีนดังกล่าวมีอยู่ใน “กาวไหม” ซึ่งมีลักษณะเหนียวคล้ายกาวและเคลือบอยู่รอบๆ เส้นไหม โดยก่อนที่จะสาวไหมให้เป็นเส้นใย ชาวบ้านจะนำรังไหมไปต้มในสารละลายด่าง เช่น สบู่ เกลือ เพื่อลอกกาวไหมนี้ออก และน้ำต้มดังกล่าวจะถูกเททิ้งไปในธรรมชาติ โดยไม่มีการนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในทางการแพทย์หรือเชิงพาณิชย์...

การต้มก่อนนำไหมมาสาว.

ส่วนขั้นตอนการวิจัย เริ่มแรกทำการเก็บตัวอย่างสายพันธุ์ไหมจากแหล่งที่มีการผลิตมากที่สุด โดยบริษัทจุลไหมไทยให้การอนุเคราะห์ตัวอย่างมาประมาณ 40 สายพันธุ์ ซึ่งมีทั้งสีขาว เหลือง และชมพู และยังเก็บสายพันธุ์นางน้อยศรีสะเกษ ที่ได้รับความนิยมในการเพาะเลี้ยงจากกลุ่มชาวบ้าน


...แล้วนำมาผ่าน ขบวนการสกัดด้วยความร้อนภายใต้ความดัน เพราะจะทำให้โอกาสปนเปื้อนจากสารเคมีที่ใช้ในการสกัดต่ำมาก อีกทั้งยังกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง โดย รังไหมสีขาว สายพันธุ์จุล 1/1 จะมีโปรตีนเซริซิน ที่มีประสิทธิภาพสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังมนุษย์ได้สูง ก่อให้เกิดการแพ้ต่ำ อีกทั้งยังมีคุณภาพดีกว่าคอลลาเจนจากสัตว์ ซึ่งการค้นพบดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกของโลก...

เพื่อให้สะดวกต่อการ นำไปใช้ จึงขึ้นรูปเป็น แผ่นเนื้อเยื่อจากโปรตีนกาวไหม ซึ่งใช้เวลาพัฒนานานเกือบ 3 ปี เริ่มต้นหากเอาโปรตีนกาวไหมมาเทขึ้นรูป แผ่นที่ได้จะเปราะบาง จึงเพิ่มพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น แล้วนำมาผ่านขบวนการเชื่อมโยงข้าม ทำให้แผ่นโปรตีนกาวไหมละลายลดลง

...พร้อมทั้งเติมสารดูดความชื้นในปริมาณน้อยๆทำให้แผ่นเกิดความชุ่มชื้น ไม่แฉะ เสร็จแล้วนำไปทดสอบในหนูทดลองเปรียบเทียบ โดยปิดแผ่นเนื้อเยื่อทิ้งไว้ไม่ต้องลอกออก แผ่นดังกล่าวจะทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเกิดการเจริญเติบโตในระยะ เวลา 21 วัน บาดแผลจะสมานดีขึ้น...

สำหรับผู้ที่สนใจผลงานดังกล่าว วันที่ 27 สิงหาคมนี้ มีการจัดรายการเจาะลึกวิจัย 4 มิติ ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.สุพัตรา สุภาพ ที่งาน Thailand Research Expo : 2011 ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนช่ันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์.

เพ็ญพิชญา เตียว

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2554



จ่อเชือดร้านเหล้า'ย่านเกษตร' ขายเหล้าเด็ก จนเกิดคดีสลด

จ่อลุยเชือดร้านเหล้าย่านเกษตรนวมินทร์ ขายให้เด็กต่ำกว่า 20 ปี จนเกิดคดีสลด ลุยประสานตำรวจ เอาผิดคุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่น เผย วัยโจ๋แห่รักษาขาหัก พิการ ตายเพียบ แนะจับตา ช่วงสอบเสร็จ กีฬาสี หวั่นเกิดคดีซ้ำซาก...

นพ.สมาน ฟูตระกูล ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำผิดกฎหมายขายเหล้าให้เด็กอายุต่ำกว่า20 ปี จนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เยาวชน อายุ 17 ปี เมาเหล้าแล้วขับรถจนเกิดอุบัติเหตุชนต้นไม้จนเสียชีวิต เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้ได้ให้ทีมนิติกรของสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประสานไปยังสถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของคดี เพื่อให้ขยายผลไปยังร้านขายเหล้าให้กับเยาวชนรายนี้ เนื่องจากมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 29 มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คาดว่าสามารถเชื่อมโยงไปถึงร้านขายเหล้าได้อย่างแน่นอน เพราะรูปคดีไม่ได้มีความซับซ้อน ประกอบกับเพื่อนของผู้เสียชีวิต ให้ปากคำว่า ก่อนเกิดเหตุได้ไปนั่งดื่มแอลกอฮอล์ แถวเกษตรนวมินทร์


นพ.สมาน กล่าวต่อว่า เมื่อมีเหตุการณ์เมาแล้วขับเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะดำเนินคดีในลักษณะเฉพาะหน้า ทำให้มองข้ามสาเหตุที่แท้จริง แต่ก็เห็นใจเพราะมีกฎหมายที่ต้องบังคับใช้อีกจำนวนมาก และเพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุเศร้าสลดแบบนี้ จึงควรทำให้เป็นคดีตัวอย่างต่อร้านขายเหล้ารายอื่น โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ และทำให้เกิดการตื่นตัวกวดขันผู้ประกอบการให้รักษากฎกติกา ตนหวังว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นบทพิสูจน์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“การขายเหล้าให้กับเยาวชนที่อายุไม่ถึงนั้น ถือเป็นการกระทำที่เรียกว่าคิดสั้น และคงไม่คุ้มค่า หากต้องถูกจับดำเนินคดี ที่สำคัญไม่มีโอกาสขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อีก ซึ่งหากดูข้อเท็จจริงจะพบว่ามีร้านค้าอีกจำนวนมากที่ทำผิดกฎหมาย เช่น ผับบาร์ สถานบันเทิงที่ปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการ แต่เจ้าหน้าที่ก็เอาผิดจับกุมยาก ดังนั้นคดีที่เกิดขึ้นนี้ หวังว่าจะทำเป็นคดีตัวอย่าง ไม่ปล่อยให้เยาวชนต้องเสียชีวิตฟรี หรือผู้ปกครองต้องสูญเสียฟรี และฝากไปยังร้านขายเหล้าให้เห็นแก่ความปลอดภัยของเยาวชนมากกว่ารายได้เพียงเล็กน้อยแต่กลับทำลายผู้ที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติ” ผอ.สำนักงานฯควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าว

นพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน กล่าวว่า เฉพาะในเขตเทศบาลเมืองน่าน มีเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลมากถึง 25 ราย ต่อปี ส่วนใหญ่ ขาหัก สมองพิการ เสียชีวิต ดังนั้นหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แพทย์ควรให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการแจ้งข้อมูลต่างๆ รวมถึงผู้ปกครองที่ต้องสูญเสียลูก หรือลูกต้องบาดเจ็บ พิการ ควรจะเข้าแจ้งความ ชี้เบาะแส ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะกฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อคุ้มครองเยาวชนอยู่แล้ว

ด้านน.ส.จิราภรณ์ กมลรังสรรค์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนสร้างสรรค์ รู้ทันแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ปัญหานี้มีมานานแล้วจนถูกมองเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่มันไม่ปกติและเกิดขึ้นกับชีวิตคนที่เป็นเด็กและเยาวชน ในประเทศที่พัฒนาแล้วให้ความสำคัญมากกับการปกป้องเด็กและเยาวชน จากอบายมุข เหล้าเบียร์ แต่บ้านเราแม้จะมีกฎหมายแต่ความเอาจริงเอาจัง ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีน้อยมาก ตนจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับร้านเหล้ารายนี้ให้ถึงที่สุด ไม่ใช่แค่เสียค่าปรับแล้วปล่อยไป ควรทำให้เป็นตัวอย่าง หากไม่จริงจังในการบังคับใช้กฎหมายข่าวแบบนี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และจะเกิดความสูญเสียเหมือนช่วงสงกรานต์หรือปีใหม่ที่ต้องมานั่งนับศพคนเจ็บคนตายจากน้ำเมา

“อยากฝากไปถึงกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ควรเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ด้วย สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีพอให้กับเด็ก เพราะการศึกษาแบบท่องจำแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ดังนั้นการสอดแทรกเนื้อหาผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในลักษณะกิจกรรมให้เด็กเยาวชนร่วมสะท้อนปัญหา และมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาด้วยตัวเขาเองน่าจะดีที่สุด ไม่ใช่ให้ผู้ใหญ่คิดให้เสร็จสรรพ สุดท้ายนี้อยากให้กระทรวงช่วยเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ในช่วงหลังสอบเสร็จ หรือกีฬาสี เพราะเป็นช่วงที่เด็กและเยาวชนนิยมใช้เป็นโอกาสเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และที่สำคัญในสถาบันการศึกษาต้องปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 100 %” น.ส.จิราภรณ์ กล่าว

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2554

---------------

ซิ่งซีวิคชนไฟท่วม นร.ดับสยอง เสียหลักอัดต้นไม้



นักเรียนโจ๋วัยเพียง 17 ปี ซิ่งเก๋งฮอนด้าซีวิค ประสบอุบัติเหตุ อัดต้นไม้ไฟลุกท่วมทั้งคัน พลเมืองดีเห็นเหตุการณ์ พยายามเข้าช่วยแต่เปิดประตูไม่ได้ หวั่นรถจะระเบิดต้องปล่อยให้ไฟคลอกเด็กหนุ่มตายทั้งเป็น เพื่อนมุงดูถึงกับอึ้งพูดไม่ออก เพิ่งไปนั่งสังสรรค์ที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม สงสัยขับเร็วจนเสียหลักชนต้นไม้ข้างทาง

นักเรียนโรงเรียนดังซิ่งรถอัดต้นไม้ไฟคลอกดับสยอง เกิดขึ้นเมื่อเที่ยงคืนวันที่ 21 ส.ค. ร.ต.ท.เข็มกล้า มั่นพลับ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.บางเขน รับแจ้งอุบัติเหตุรถชนต้นไม้มีผู้ติดอยู่ภายใน บริเวณถนนเกษตร-นวมินทร์ ขาออก ช่วงหน้าร้านกาแฟสดปังโก๊ะ แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กทม. จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ที่เกิดเหตุพบรถเก๋งฮอนด้า รุ่นซีวิค ทะเบียน ชบ 42 กรุงเทพมหานคร ชนอัดก๊อบปี้ติดต้นไม้ สภาพด้านหน้ารถพังยับไฟลุกท่วมทั้งคัน ตำรวจต้องประสานรถดับเพลิงฉีดน้ำสกัดนานราว 10 นาทีเพลิงถึงสงบ จากนั้นเข้าตรวจสอบในรถพบศพนายเอก (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นักเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล อยู่คาเบาะคนขับถูกไหม้เกรียมเป็นตอตะโก

นายพรมเดช พงษ์ไพฑูรย์ อายุ 19 ปี พยานที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่า กำลังขี่รถ จยย.อยู่ฝั่งตรงข้าม ได้ยินเสียงรถเบรกดังยาวก่อนชนต้นไม้อย่างแรง จึงรีบขี่ จยย.กลับรถไปดู หวังช่วยเหลือคนขับในรถ ที่อยู่ในอาการหมดสติคาดเข็มขัดนิรภัย แต่เปิดประตูไม่ได้ ปรากฏว่า มีประกายไฟเกิดลุกโชนใต้ท้องรถแล้วลุกลามอย่างรวดเร็ว จนตนต้องตัดสินใจถอยออกมา เพราะกลัวรถจะระเบิด จำเป็นต้องปล่อยให้คนขับรถถูกไฟคลอกทั้งเป็น

ขณะที่เพื่อนผู้ตายหลายคนทราบข่าว รีบไปดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ต่างคนต่างยังทำใจไม่ได้ พากันปิดปากเงียบ ไม่ยอมให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ ทราบเพียงแค่ว่าไปนั่งดื่มเหล้าฉลองกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งฝั่งตรงข้าม คาดว่า ผู้ตายคงจะขับรถด้วยความเร็ว เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน แต่รถอาจเสียหลักพลาดไปชนต้นไม้ข้างทางตายสยอง

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ ทีมข่าวหน้า 1 วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม 2554




Sunday, August 21, 2011

ไขความลับการสร้างชาติ เกาหลีผงาด มหาอำนาจใหม่แห่งเอเชีย

จากอดีตที่ต้องอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น และเป็นเพียงประเทศกำลังพัฒนาในระดับเดียวกับประเทศไทยเมื่อประมาณ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันเกาหลีใต้ กลายเป็นประเทศที่มีความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ยังคงอนุรักษ์ภูมิปัญญา ทั้งทางด้านวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรมจนเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น..

เมื่อเอ่ยถึง ‘สาธารณรัฐเกาหลี หรือ เกาหลีใต้’ ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออก มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี แต่ศักยภาพและคุณภาพของประชากรชาวเกาหลีใต้ไม่ใช่เล็กๆ กลับมีความน่าทึ่งอย่างมากเลยทีเดียว

ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) และผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (สอร.) เปิดเผยว่า เพราะ “การอ่าน” เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากระบวนการคิด และภูมิปัญญา นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพสังคม และประเทศ ดังนั้น ในปี 2552 ที่ผ่านมา ฝ่ายวิชาการ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ ร่วมกับคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “นโยบายส่งเสริมการอ่านของไทย : ศึกษาเปรียบเทียบกับต่างประเทศ” และได้มีการนำเสนอบทความดังกล่าวในงานสัมมนาเวทีสาธารณะเพื่อผลักดันนโยบายการอ่าน (TK Forum 2010) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

โดยผลการศึกษาวิจัยเรื่อง “นโยบายการส่งเสริมการอ่านของสาธารณรัฐเกาหลีใต้”นั้น ถือเป็นบทความที่มีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะเป็นประเทศที่ประชากรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการศึกษาและการอ่าน จากประเทศกำลังพัฒนาเมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกับประเทศไทย ก้าวกระโดดมาสู่ประเทศที่มีความเจริญเติบโตในทุกๆ ด้านทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมไม่แพ้ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ประเทศญี่ปุ่น หรือ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น


นโยบายส่งเสริมการศึกษาและการอ่าน “สร้างคน สร้างชาติ”... เข้มแข็ง!!

“การศึกษา คือการเติมเต็มให้กับตนเอง เช่นเดียวกับการเติมเต็มให้กับสังคม”เป็นทัศนคติที่ฝังรากลึกลงในวัฒนธรรมของประชาชนชาวสาธารณรัฐเกาหลีหรือเกาหลีใต้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการอ่านออกเขียนได้เป็นอันดับที่ 17 ของโลก (United Nation, 2007-2008) โดยมีสถิติอัตราการอ่านออกเขียนได้ ร้อยละ 93.5 และในปี ค.ศ.2006 จากการสำรวจทักษะการอ่านโดยองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) ปรากฏว่าเยาวชนอายุ 15 ปี มีทักษะความเข้าใจในการอ่านสูงเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่น่าทึ่งและเป็นการก้าวกระโดดที่รวดเร็ว เพราะหากมองย้อนไปเมื่อ 3 ทศวรรษก่อน เกาหลีใต้คือหนึ่งในหลายประเทศที่กำลังพัฒนาในทวีปเอเชียที่ประสบปัญหาด้านการอ่าน เนื่องจากอัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชากรอยู่ที่ร้อยละ 20 เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก

จากการที่ถูกมองว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนา รัฐบาลเกาหลีใต้จึงมีนโยบายเพื่อแก้ไขการอ่านออกเขียนได้ของประชากร ด้วยการพัฒนาระบบการศึกษา ควบคู่ไปกับการพัฒนาห้องสมุด พร้อมทั้งออกนโยบายส่งเสริมการอ่านและนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มมีโอกาสเข้าถึงการอ่านและการเรียนรู้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ อาชีพ และสถานที่ รวมถึงการส่งเสริมนโยบายการศึกษาและระบบการศึกษาต่อเนื่องและจริงจัง

ตัวอย่างนโยบายส่งเสริมการอ่าน ได้แก่ การให้ความสำคัญกับห้องสมุด ซึ่งเป็นนโยบายในการส่งเสริมการอ่าน ด้วยการออกกฎหมายงดเก็บค่าบริการห้องสมุดประชาชน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนมาใช้บริการห้องสมุด การจัดตั้งห้องสมุดแห่งชาติ สำหรับเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เช่น โครงการค่ายการอ่าน โครงการครอบครัวนักอ่าน ตลอดจนโครงการระดับประเทศที่มีการดำเนินการต่อเนื่อง เช่น โครงการหนังสือเล่มแรกหรือ Book start โครงการ 1 เมือง 1 เล่ม การจัดตั้งห้องสมุดดิจิตอลแห่งชาติ และการจัดงานเทศกาลหนังสือระดับชาติและนานาชาติ เป็นต้น นโยบายดังกล่าว ทำให้อัตราการเข้าเรียนระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาสูงถึงร้อยละ 99.9 และร้อยละ 98.9 ตามลำดับ
‘มิติใหม่’ เกาหลีใต้ เตรียมเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ภายในอีก 10 ปี
(ค.ศ.2011 – ค.ศ.2020)

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้มีการสนับสนุนนโยบายการศึกษาและนโยบายส่งเสริมการอ่านอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี ค.ศ.1990 รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ “เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ”

เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเชื่อว่านโยบายการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นนโยบายสำคัญที่จะนำประเทศไปสู่ผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เกาหลีใต้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานการอ่านอย่างขนานใหญ่ เพื่อให้เกี่ยวพันและสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยี โดยในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 เป็นยุคแห่งการปฏิวัติสื่อดิจิตอลของเกาหลีใต้ หนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษได้รับความนิยมน้อยลง และถูกแทนที่ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้ผลิตสิ่งพิมพ์จับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์และจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งราคาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตออกมามีราคาถูกกว่าหนังสือที่ทำจากกระดาษประมาณครึ่งหนึ่ง โดยหนังสือออนไลน์สัญชาติเกาหลีที่ได้รับความนิยม อาทิ Yes24 Co.,Ltd. ตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ.1998 ปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนเพื่อซื้อหนังสือถึงประมาณ 750,000 คน และขายหนังสือเฉลี่ย 23,000 เล่มต่อวัน เป็นต้น


ปี ค.ศ.2007 กระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ ได้ประกาศแผนส่งเสริมอุตสาหกรรมความรู้และการพิมพ์ ภายใต้แนวคิด “หนังสือสร้างขุมพลังทางวัฒนธรรมและความรู้ระดับโลก” (Global Knowledge and Culture Powerhouse Built on Book) ซึ่งเป็นแผนระยะยาว 10 ปี คือตั้งแต่ ค.ศ. 2011 ถึง ค.ศ. 2020 โดยมีกลยุทธ์ในการเสริมสร้างเครือข่ายความรู้เพื่อสร้างสังคมความรู้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าถึงการอ่าน และสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมในการอ่านได้อย่างเสรี คาดการณ์ว่าโครงการตามแผนดังกล่าวนี้จะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการผลิตและเผยแพร่ หรือช่องทางการจำหน่าย ซึ่งผู้ประกอบการภาคเอกชนจะได้รับประโยชน์อย่างมากมายจากการสนับสนุนและช่วยเหลือจากภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนอีกอย่างหนึ่งที่ผลักดัน ให้เกาหลีใต้ทะยานขึ้นมาเป็นประเทศที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างรวดเร็ว คือ อิทธิพลจากความเชื่อและความศรัทธาตามหลักขงจื๊อที่สอนสั่งให้ชาวโสมขาว ใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา ซึ่งความเชื่อนี้ยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน บวกกับสภาวะบ้านเมืองที่บอบช้ำและแรงบีบคั้นกดดันจากการถูกยึดครองประเทศโดยประเทศอื่น ส่งผลให้ทุกภาคส่วนของเกาหลีใต้มองเห็นความสำคัญของการศึกษาและกระหายการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเองควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศให้ตามทันประเทศอื่น จนทำให้ปัจจุบันประชาคมโลก ต่างจับตามองด้วยความทึ่งในศักยภาพและมิติใหม่ของประเทศเล็กๆอย่างเกาหลีใต้

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ ทีมข่าวไลฟ์สไตล์ 21 สิงหาคม 2554
------------

Friday, August 19, 2011

สวนกระแส"หนี้ยุโรป"! หญิงสูงวัยเยอรมัน ใช้ชีวิตโดยปราศจากเงินมา 15 ปีแล้ว!

ฮิลเด้มารี ชเวอร์เมอร์ สตรีสูงวัยอายุ 69 ปีชาวเยอรมัน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เธอจะได้ใช้ชีวิตที่ปราศจากเงินมาเป็นเวลานานถึง 15 ปีแล้ว ชเวอร์เมอร์เริ่มจากการทดลองไม่ใช้เงินเป็นเวลา 12 เดือน และตอนนี้ วิถีดังกล่าวก็ได้กลายมาเป็นวิถีการใช้ชีวิตที่แปลกและไม่เหมือนใคร

เอสเตลล์ เพิร์ด ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีได้เขียนรายงานเกี่ยวกับนางชเวอร์เมอร์ ว่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 เป็นต้นมา นางชเวอร์เมอร์ก็ได้เริ่มใช้ชีวิตด้วยการแลกเปลี่ยนอาหารและสิ่งที่ต้องใช้ ในชีวิตประจำวันกับการทำงานตอบแทน ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการของระบบเศรษฐกิจในอดีต

นางฮิลเด้มารี ชเวอร์เมอร์ เป็นชาวเมืองซึ่งอาศัยอยู่ใจกลางเมืองใหญ่ที่แสนจะวัตถุ นิยมอย่างเมืองวิลเฮลม์ เฮเว่น ประเทศเยอรมนี เธอกล่าวว่า ในตอนนี้เธอยังไม่มีแผนการที่จะกลับไปในโลกของเงินเซนต์หรือเหรียญยูโรใน เวลาอันใกล้

"การเลิกใช้เงินได้มอบชีวิตที่ดีให้แก่ฉัน ทั้งอิสรภาพและความมั่งมีจากภายใน" นางชเวอร์เมอร์กล่าว

ทั้งนี้ การหันหลังให้กับวิถีบริโภคนิยมสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเศรษฐกิจอันดับ หนึ่งของยุโรป ซึ่งโดยเฉพาะในตอนนี้ ซึ่งเยอรมนีมีอัตราการเจริญเติบโตสูงกว่าบรรดาเพื่อนบ้านประเทศยุโรปอื่นๆ นั้น ส่วนหนึ่ง อาจเป็นผลมาจากการอดีตที่เธอเคยประสบมา

นางชเวอร์เมอร์เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศปรัสเซียตะวันออกขณะนั้น ตอนเป็นเด็ก เธอเป็นหนึ่งในผู้อพยพซึ่งถูกขับไล่โดยกองกำลังรัสเซีย และครอบครัวของเธอก็ได้เดินทางมาถึงเยอรมนีในสภาพที่ไม่มีแม้แต่สตางค์แดง เดียว

"ฉันเคยเห็นแล้วว่า คุณจะถูกมองเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าไร้ค่าเพียงใด เมื่อไม่มีเงินหรือทรัพย์สมบัติใดๆ" เธอกล่าว

ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1960 เธอได้ใช้เวลาหนึ่งปีในประเทศชิลี และ "ได้เห็นความยากจนแร้นแค้นอย่างถึงที่สุดที่นั่น"

หลังจากที่เธอกลับมายังเยอรมนี เธอมีลูก 2 คน ผ่านการหย่าร้าง และย้ายไปอยู่ในเมืองดอร์ทมุนด์ ทางเยอรมนีตะวันตกในปี ค.ศ. 1982 และทำงานเป็นนักจิตบำบัดอยู่ที่นั่น

"ในตอนนั้น ฉันต้องการที่จะเข้าใจการทำงานของจิตใจมนุษย์ แต่แค่นั้นยังไม่เพียงพอ ฉันอยากจะทำอะไรมากกว่านั้นให้กับโลกใบนี้" เธออธิบาย

ไอเดียที่ว่าจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1994 เพื่อแลกเปลี่ยนอาหารและเครื่องใช้ภายในหมู่ของคนยากจน ซึ่งเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่ และคนแก่ที่ยังชีพอยู่ด้วยเงินบำนาญและนักเรียนผู้ยากไร้ตอบสนองต่อไอเดีย ที่ว่าเป็นอย่างดี

เธอเริ่มการดูแลบ้านให้ผู้อื่นเพื่อแลกกับการอยู่อาศัยฟรี และเริ่มที่จะสังเกตเห็นว่า เธอสามารถดูแลความต้องการทางด้านวัตถุในชีวิตประจำวันได้โดยไม่จำเป็นต้อง ใช้จ่ายเงินแต่อย่างใด

ฮิลเด้มารี ชเวอร์เมอร์ ขณะกำลังทำงานตัดหญ้า

ปี ค.ศ. 1996 เธอได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ โดยลาออกจากงาน ย้ายออกจากบ้านเช่า บริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ ปิดบัญชีธนาคาร ยกเลิกสัญญาประกันสุขภาพทั้งหมด และเริ่มแผนการใช้ชีวิตโดยปราศจากเงินเป็นเวลาหนึ่งปี

ชเวอร์เมอร์ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมา และหนังสือดังกล่าวก็ได้รับการตีพิมพ์และแปลเป็นภาษาอื่นๆอีกหลายภาษา เธอปรากฎตัวในรายการโทรทัศน์ งานเสวนา และเป็นตัวเอกของหนังสารคดีเรื่องหนึ่ง และปัจจุบัน เธอก็กำลังเขียนหนังสือเล่มที่สามของเธออยู่

ชเวอร์เมอร์บริจาคเงินบำนาญเดือนละ 700 ยูโร (ประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ทุกเดือนให้แก่ "คนที่ต้องการมัน" และปฏิเสธที่จะคิดถึงความชราภาพของตนเอง

ตอนที่เธออาศัยอยู่ในเมืองดอร์ทมุนด์ มีร้านขายอาหารสุขภาพแห่งหนึ่งที่ให้สินค้าที่ขายไม่ได้แล้วแก่เธอ และในปัจจุบัน เธอก็มีเพื่อนที่บางครั้งบางคราวจะนำผักในสวนของเขามาให้

"แน่นอนว่า ฉันกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในตู้เย็น แต่สิ่งที่ฉันชื่นชอบที่สุดเกี่ยวกับวิถีชีวิตแบบนี้ก็คือ การที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น"

ชเวอร์เมอร์กล่าวว่า บางที เธออาจจะอยากสะท้อนให้คนอื่นๆเห็น ถึงวิถีการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์ที่เรามีกับมนุษย์คนอื่นๆ

และในอีก 2 เดือนข้างหน้า ชเวอร์เมอร์จะคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็กซึ่งบรรจุทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เธอ มี เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย ที่แม้แต่เองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นที่ใด

ที่มา: รายงาน"Happiness is: a life without money in rich Germany" โดย เอสเตลล์ เพิร์ด (เอเอฟพี)

มติชนออนไลน์ วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ไทยรั้งอันดับ 11 พูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียง "เซ็กซี่" ที่สุดในโลก

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับ "12 สำเนียงการพูดภาษาอังกฤษที่เซ็กซี่ที่สุด" โดยการพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยติดอยู่ในอันดับที่ 11 สำหรับผลการจัดอันดับทั้งหมด มีดังนี้

อันดับที่ 12 สำเนียงอาร์เจนตินา
อันดับที่ 11 สำเนียงไทย
อันดับที่ 10 สำเนียงตรินิแดด
อันดับที่ 9 สำเนียงบราซิลเลียน-โปรตุกีส
อันดับที่ 8 สำเนียงชาวอเมริกันภาคใต้
อันดับที่ 7 สำเนียงอ๊อกซ์ฟอร์ด
อันดับที่ 6 สำเนียงไอริช
อันดับที่ 5 สำเนียงไนจีเรียน
อันดับที่ 4 สำเนียงเชค
อันดับที่ 3 สำเนียงสแปนิช
อันดับที่ 2 สำเนียงฝรั่งเศส
อันดับที่ 1 สำเนียงอิตาเลียน

ที่มา: มติชนออนไลน์ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เผยคนไทยบริโภคยากว่า 1.3 แสนล้านบาท นำเข้ากว่า 9 หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2554 ที่โรงแรมริชมอนด์ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางการวิจัยและพัฒนาระบบยา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) แถลงข่าว “ผลวิจัยและการพัฒนาระบบการจัดทำบัญชีรายจ่ายยาแห่งชาติ” ว่า ปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมาพบเพียงร้อยละ 3-4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือค่าจีดีพี (GDP) แต่ขณะนี้สูงขึ้นถึงร้อยละ 6.5 ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนา อย่างสหรัฐอยู่ที่ร้อยละ 11

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพส่วนใหญ่มาจากการบริโภคยา ซึ่งล่าสุด สวรส. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมกันวิจัยและพัฒนาระบบการจัดทำบัญชียา จากการสำรวจการขึ้นทะเบียนยาของผู้ประกอบการต่างๆ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552-มิถุนายน 2554 พบมูลค่าการบริโภคยาในประเทศสูงถึง 134,482,077,585 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 35 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะไม่เกินร้อยละ 20

นพ.สุวิทย์กล่าวอีกว่า ตัวเลขการบริโภคยาชี้ให้เห็นว่าค่อนข้างสูง โดยตัวเลขส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยานำเข้า 99,663.8 ล้านบาท เป็นยาภายในประเทศ 46,895.7 ล้านบาท และเมื่อนำมาหักตัวเลขส่งออกอีก 12,077.5 ล้านบาท จะทำให้ได้มูลค่ายาที่บริโภคในประเทศทั้งสิ้นกว่า 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมาแยกเป็นกลุ่มๆ จะพบยา 3 กลุ่มที่มีมูลค่าสูงสุด คือ 1.ยาต้านการติดเชื้อ ทั้งเชื้อไวรัสเอชไอวี เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา มีมูลค่าประมาณ 26,000 ล้านบาท

“สาเหตุของมูลค่าการใช้ยาที่สูงขึ้น คือ 1.ผลจากการผูกขาดด้านยา จากการนำเรื่องระบบสิทธิบัตรยาเข้ามาใช้ 2.เรื่องของการเปลี่ยนแปลงของโรค ซึ่งปัจจุบันคนเป็นโรคเรื้อรังกันมากขึ้น ส่งผลให้จำเป็นต้องมีการบริโภคยาโดยตลอด 3.ระบบหลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการมีการใช้จ่ายยามากที่สุด และ4.การใช้ยาที่ไม่สมเหตุสมผล ทั้งหมดเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น” นพ.สุวิทย์กล่าว

ที่มา: มติชนออนไลน์ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กินแอปเปิลบำรุงหัวใจ มีเปลือกอุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์

นักวิจัยเมืองจิงโจ้แนะนำว่าให้บริโภคผลแอปเปิลเอาไว้ จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

นักศึกษาปริญญาเอก วิชาเภสัชวิทยา มหาวิทยาลัยเวสเติร์น ออสเตรเลีย ได้ศึกษาคุณสมบัติของแอปเปิลในการสร้างไนตริกออกไซด์ และการทำงานของเยื่อบุเซลล์ ซึ่งกระทบถึงสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด ได้พบว่า สารฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในเปลือกแอปเปิลได้ช่วยสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยให้กล้ามเนื้อรอบหัวใจผ่อนคลาย ทำให้หลอดเลือดขยายและเดินได้สะดวก

ผลการศึกษาส่อว่าแอปเปิลซึ่งอุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ ช่วยในการสร้างไนตริกออกไซด์และการทำงานของเยื่อบุเซลล์ ซึ่งบำรุงสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554
-----------------------
นี่ช่างสอดคล้องอย่างเหลือเชื่อกับคำกล่าวที่ว่า an apple a day keeps the doctor away.
กินแอปเปิลวันละลูกไม่ต้องไปหาหมอ อิอิ

ฮือฮา โชว์แผนที่ประเทศไทยบนเส้นผม

ฮือฮาโชว์ “แผนที่ประเทศไทยบนเส้นผม” ฝีมือนักวิทยาศาสตร์เนเธอร์แลนด์ มอบเป็นของขวัญให้ประเทศไทยในงาน “เทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ 4”

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2554 นายธนากร พละชัย รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ(อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเจ้าภาพจัด “เทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ 4” (APEC Youth Science Festival - AYSF) ระหว่างวันที่ 20 - 26 ส.ค.นี้ ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และภายในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ



โดยมีนักวิทยาศาสตร์จาก 16 เขตเศรษฐกิจจากกลุ่มสมาชิกเอเปค อาทิ ไทย สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม สิงคโปร์ เกาหลีใต้ บรูไน อินโดนีเชีย เป็นต้น ประมาณ 666 คน เข้าร่วมงานและถือเป็นการชุมนุมนักวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่ที่สุดของเอเชีย เพื่อมาร่วมกันสัมมนาหัวข้อ “จากธรรมชาติสู่เทคโนโลยี - From Nature To Technology” เพื่อสร้างความตระหนักให้เยาวชนเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งผลกระทบที่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกฝ่ายกำลังให้ความสนใจและคาดว่าจะมีผลกระทบ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างเครือข่ายในการช่วยแก้ไขและป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อ เนื่องต่อไปในอนาคต ที่สำคัญการจัดงานเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ 4 นี้ ยังได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรมในคณะกรรมการอำนวย การจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ อีกด้วย

รอง ผอ.อพวช.กล่าวต่อว่า สำหรับไฮไลท์สำคัญ คือจะมีการสแกนแผนที่ประเทศไทยลงบนเส้นผมของมนุษย์ ด้วยนาโนเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการ การสร้างหรือการวิเคราะห์ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ในระดับนาโนเมตรหรือประมาณ 1-100 นาโนเมตร การนำภาพประเทศไทยลงบนเส้นผมของมนุษย์ ที่มีขนาดความกว้างประมาณ 75 ไมโครเมตร ได้ใช้เทคโนโลยีโฟกัส ไอออน บีม ที่ใช้ไอออนของธาตุแกลเลียมกวาดลงบนพื้นผิวของวัตถุ ไอออนบีมสามารถที่จะเจาะลงบนพื้นผิวของวัตถุได้ระดับนาโนเมตร ทำให้สามารถแกะสลักภาพลงบนพื้นที่ผิวที่มีขนาดเล็กมากด้วยความแม่นยำสูง

โดย นายฮันส์ ฮิลเกนแคมป์ นักฟิสิกส์จากสถาบันนาโนเทคโนโลยีเมสา มหาวิทยาลัยทเวนท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เจ้าของผลงานจะนำมามอบเป็นของขวัญสำหรับประเทศไทย ที่สำคัญ จะมีการนำเครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์โซลาอิมพัลส์ขนาด 4 ที่นั่งจากประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาสำหรับอนาคตในการประหยัด พลังงานมาโชว์เป็นครั้งแรกของโลกด้วย

ทั้งนี้ เครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องบินโซล่าอิมพัลส์ เป็นเครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีนักบินขับเคลื่อนเครื่องเดียวในโลกที่ สามารถบินได้ตลอดทั้งกลางวันกลางคืนโดยไม่ใช้น้ำมันแม้แต่หยดเดียว ทั้งนี้ในการบินในระยะเวลา 24 ชั่วโมง แผงโซล่าเซลล์ขนาด 1 ตารางเมตร จะสามารถให้พลังงานได้โดยเฉลี่ย 40 วัตต์ (น้อยกว่าพลังงานที่ได้จากน้ำมัน 1ลิตรถึง 25 เท่า) ซึ่งพลังงานขนาด 40 วัตต์นี้จะใช้ในการรับน้ำหนักที่ใช้บินได้ 8 กิโลกรัม ดังนั้นถ้าจะใช้ขับเคลื่อนเครื่องบินและนักบินที่น้ำหนักรวมกัน 1600 กิโลกรัม ต้องใช้พลังงานถึง 8 กิโลวัตต์ หรือใช้แผงโซล่าเซลล์ขนาดรวม 200 ตารางเมตร แผงความกว้างทั้งหมดของปีกโซล่าอิมพัลส์จึงประกอบด้วยแผงโซล่าเซลล์ขนาดความ ยาวกว่า 6 เมตร

ขณะที่นายโซอิจิ โนงูจิ นักบินอวกาศชาวญี่ปุ่นจากองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานพระพิฆเนศไม้แกะสลัก เมื่อครั้งบินขึ้นสู่อวกาศ จะมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการเป็นนักบินอวกาศ และการเดินทางในอวกาศ เป็นต้น

นายธนากร กล่าวอีกว่า ภายในเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปคจะจัดฐานการเรียนรู้ 9 ฐาน เช่น ฐานหุ่นยนต์ปลา เพื่อเรียนรู้โครงสร้างทางกายภาพและกลไกการว่ายน้ำของปลา, ฐานนักสืบสิ่งมีชีวิตเปล่งแสง เพื่อเรียนรู้กลไกการเปล่งแสงของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ เป็นต้น รวมถึง การนำเสนอผลงานและกิจกรรมของนักเรียนจากประเทศต่างๆ อาทิ ชิ้นงาน สิ่งประดิษฐ์ โปสเตอร์โครงงานวิทยาศาสตร์ รวมทั้ง ผลงานที่ได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ เป็นต้น โดยในวันที่ 21 ส.ค.เวลา 9.30 น.นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ จะเป็นประธานเปิดงานที่ไบเทค บางนา

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554

ยอมรับรัฐบาลโกง ต้นเหตุคนไทยไม่เพียงพอ

น่าเศร้า! โพลแฉคนไทยหลอกตัวเองใช้ชีวิต “พอเพียง” แต่ไม่เพียงพอ โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ ทัศนคติยอมรับรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ผลประโยชน์ด้วย...

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง การใช้ชีวิตพอเพียง กับความสุขของประชาชน กรณีศึกษาประชาชนที่มี อายุ 18-60 ปี ใน 17 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,270 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการวันที่ 1 - 18 สิงหาคม ที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.6 ตอบว่า ตนเองใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง แต่เมื่อวิเคราะห์ดัชนีการใช้ชีวิตของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.2 ไม่ได้ใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง มีเพียงร้อยละ 28.8 ที่ใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ผลสำรวจพบ 5 เหตุปัจจัยของการใช้ชีวิตแบบ “ไม่” พอเพียงของประชาชน ได้แก่ ทัศนคติยอมรับรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ผลประโยชน์ด้วย โดยพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.0 คิดว่า การทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ และร้อยละ 55.2 คิดว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นด้วยกันทั้งนั้น แต่บางรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแล้ว ตนเองได้รับผลประโยชน์ด้วย ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้

ในขณะที่ร้อยละ 43.2 คิดอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่ต้องวางแผนจับจ่ายใช้สอยอะไร ร้อยละ 43.0 หลังซื้อสินค้ามาแล้วมักพบว่าตนเองไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เท่าใดนัก และร้อยละ 43.0 ระบุในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมายังเล่นพนัน ซื้อหวยใต้ดิน และอบายมุข อื่นๆ

ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.5 จะเดือดร้อนต้องพึ่งพาคนอื่น ถ้าไม่มีรายได้เดือนนี้ ในขณะที่ร้อยละ 36.5 ระบุไม่เดือดร้อนยังอยู่ได้ด้วยตนเอง ที่น่าสนใจ พบว่า กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง จะมีความสุขมากกว่า คนที่ไม่ใช้ชีวิตแบบพอเพียงแท้จริง มีความสุขสูงกว่าถึง 4 เท่า

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554

Wednesday, August 17, 2011

หมิ่นประมาท: defamation

การหมิ่นประมาท นั้น มีความผิด ที่เรียกว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท หรือ defamation เพราะ ถือว่า เป็นการสบประมาท การทำให้เสียชื่อเสียง ถือเป็นการใส่ร้าย ถึงแม้ว่า จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่เราไม่มีสิทธิ์ไปพูดให้คนอื่นเสียหายในการเข้าสังคม

การทำให้คนอื่นเสียหาย (Act of injuring another's reputation) ด้วยการพูดหรือการเขียน จึงถือเป็น การหมิ่นประมาท

การฟ้องฐานหมิ่นประมาท นั้น เรียกว่า bring an action for defamation

ถ้าคุณถูกฟ้องฐานหมิ่นประมาท ก็จะเรียกว่า be charged with defamation เช่น

ผู้หญิงที่อ้างว่าถูกข่มขืนถูกฟ้องฐานหมิ่นประมาท Rape claim woman is charged with defamation. (หรือ Rape accusation woman is charged with defamation)

พนักงานรับโทรศัพท์ไอทูนของบริษัทแอฟเปิล ได้รับหน้าที่ให้ฟ้องตามกฎหมายใหม่ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทกับบริษัทเวียคอม iTunes operator Apple Inc. is charged as an accomplice in a new defamation lawsuit filed against Viacom

defamation insurance การประกันภัยการหมิ่นประมาท

Dr.SoS

อยากอยู่คอนโด-เพลิงพิโรธเผาคอนโดหรูกลางกรุง

สุดระทึก เพลิงไหม้คอนโดหรูสูง 29 ชั้น กลางกรุง ผู้อาศัยหนีตายกันจ้าละหวั่น แต่ 5 รายสำลักควันต้องหามส่ง รพ.

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 17 ส.ค. 2554 ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ ทองชะนะ พงส.(สบ.1) สน.ทองหล่อ รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้ เลอรัฟฟิเน่ คอนโดมิเนียม เลขที่ 52/1-52/57 ซอยสุขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อม รถน้ำดับเพลิงหน่วยบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และร่วมกตัญญู จำนวน 20 คัน ที่เกิดเหตุเป็นอาคารที่พักอาศัยสูง 26 ชั้น แบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนเอ และโซนบี พบแสงเพลิงและกลุ่มควันพวยพุ่งจากห้อง ชั้นที่ 18 โซน บี และพักอาศัยติดค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงประสานกับผู้ดูแลอาคาร เพื่อขึ้นไปช่วยลำเลียงผู้ติดค้างออกมา โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย เป็นผู้ใหญ่ 3 ราย เด็ก 2 ราย ซึ่งทั้งหมดพักอาศัยอยู่บนชั้น 24 และพยายามหนีตายทางบันไดหนีไฟแต่ไม่วายสำลักควันไฟ จนต้อง นำส่ง รพ.สมิติเวช แต่เนื่องจากจุดที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูง ทำให้แรงดันน้ำจากรถดับเพลิงขึ้นไปไม่ถึง เจ้าหน้าที่ต้องนำรถน้ำขึ้นไปบนอาคาร ก่อนระดมฉีดน้ำเลี้ยงด้านนอกของตัวอาคารไม่ให้เพลิงลุกลาม และปล่อยให้เปลวเพลิงมอดไปเอง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง จึงควบคุมตัวไว้ได้ ส่วนสาเหตุและค่าเสียหายอยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ เพลิงพิโรธเผาคอนโดหรูกลางกรุง วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2554
----------------

อยากอยู่ม๊ะคอนโด เกือบเป็นผีเฝ้าคอนโดซะแย้วตู ..

Tuesday, August 2, 2011

AISควงเครดิตบูโร ฟัน บ.ทวงหนี้มือถือ-นิสัยเสียขู่ลูกค้า

เอไอเอส ร่วมกับ เครดิตบูโร เอาผิดกับบริษัทรับจ้างติดตามหนี้ที่มีพฤติกรรมข่มขู่ลูกค้า และอ้างว่าชื่อจะติดแบล็คลิสต์ออนไลน์หากไม่จ่ายเงินตามกำหนด เล็งดำเนินการตามกฎหมาย เร่งสร้างความเข้าใจกับลูกค้า...

หลังจากมีกระแสข่าวผู้บริโภคร้องเรียนกรณีถูกบริษัทติดตามหนี้ดำเนินการในลักษณะข่มขู่ และแจ้งว่าการค้างชำระค่าใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นอาจทำให้มีชื่อแบล็คลิสต์ของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ล่าสุด เครดิตบูโร ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส แถลงข่าวการสร้างมาตรฐานใหม่ในการติดตามทวงถามหนี้ค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้ใช้บริการ

โดยเครดิตบูโร ร่วมกับ เอไอเอส เพื่อสอบสวนการกระทำดังกล่าวและพบว่ามีการกระทำดังกล่าวจริง จึงมีข้อสรุปให้ 1.ยกเลิกการว่าจ้าง กับบริษัทภายนอกที่รับจ้างดำเนินการติดตามหนี้ผู้ใช้บริการที่ค้างชำระที่กระทำผิด และจะไม่ทำธุรกิจกับผู้รับจ้างรายดังกล่าวทั้งที่เป็นตัวบุคคล / บริษัทอีกในอนาคตไม่ว่าจะเป็นงานอื่นใด 2.พิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมาย 3. ร่วมกันกับเครดิตบูโรแจ้งแก่ประชาชน ให้ได้รับทราบในสิ่งที่ถูกต้องว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด และ 4.เครดิตบูโรจะส่งเรื่องให้สภาทนายความพิจารณา หากผู้ดำเนินการนั้นเป็นสมาชิกสภาทนายความ

นางวิไล เคียงประดู่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์ เอไอเอส เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ว่าจ้างให้บริษัทภายนอกดำเนินการติดตามหนี้ผู้ใช้บริการที่ค้างชำระ โดยที่ผ่านมาได้มีบางบริษัทใช้ถ้อยคำหรือข้อความกล่าวอ้างถึงบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้ถูกติดตามทวงถามหนี้เข้าใจผิดว่าการค้างชำระค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นจะถูกเป็นแบล็คลิสต์ในเครดิตบูโร บริษัทฯ จึงมีความเห็นว่าควรต้องแจ้งแก่ประชาชนให้ได้รับทราบว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง

“อย่างไรก็ตาม เราได้ดำเนินการยกเลิกการว่าจ้างบริษัทดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป ทั้งยังได้ออกจดหมายแจ้งเตือนไปยังบริษัทอื่นๆ ให้ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจทำให้ผู้ถูกทวงถามหนี้เข้าใจผิดในลักษณะดังกล่าวได้ ซึ่งหากบริษัทใดไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกดำเนินการยกเลิกการว่าจ้างและพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมายเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ออกจดหมายถึงผู้ใช้บริการที่ค้างชำระและถูกทวงถามหนี้จากบริษัทดังกล่าวนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน” นางวิไล กล่าว

ด้าน นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร กล่าวว่า ทั้งเครดิตบูโรและเอไอเอสต่างเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประชาชน การรักษามาตรฐานการเป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม เราจะไม่ต่อรองกับการกระทำลักษณะดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนกับอุตสาหกรรมว่า ผู้นำในอุตสาหกรรมการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ยกระดับมาตรฐานการดำเนินการ ที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับบริษัทที่ดำเนินการอย่างขาดความรับผิดชอบ

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 2 สิงหาคม 2554
----------------
ร่วมสร้างมาตรฐานการให้บริการ ทำประเทศไทยให้น่าอยู่