Tuesday, May 24, 2011

น้ำมันแพง เพราะ ปตท.

พอดีไปอ่านเจอในหนังสือ "Positioning" ที่บอกถึงที่มาของราคาน้ำมันที่แพง เลยเอามาแบ่งปัน
ข้อความบางตอนมีการพาดพิงชื่อบุคคล ก่อนจะฟอร์เิว์ริดลบผมออกก่อนนะคร้าบ มันเสียว ๆ


ไม่ผิดหาก ปตท. จะกำไร และมีเป้าหมายอย่างที่ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ซีอีโอของ ปตท. ตั้งเป้าหมายให้ ปตท. เป็นบริษัทข้ามชาติภายในปี 2555 มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 94,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปี 2550 ที่มีรายได้ 47,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และตั้งแต่ปี 2555 รายได้เพิ่มอีกปีละ 8 เปอร์เซ็นต์ จนในปี 2563 มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 176,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับความเป็นบริษัทชั้นนำ ติดอันดับ 100 บริษัทของฟอร์จูนภายในปี 2555 จากเมื่อปี 2550 ป ตท. อยู่ในอันดับ 207

บิ๊ก ปตท. รวยล้น

เมื่อบริษัทร่ำรวยย่อมทำให้ผู้บริหารที่มาทำงานที่นี่ร่ำรวยไปตามกัน รายงานประจำปีของ ปตท. ระบุชัดเจนถึงผลตอบแทนทั้งโบนัส เงินเดือนที่บอร์ด ปตท. ได้รับ และผู้บริหารที่ร่ำรวยจากหุ้น

เฉพาะบอร์ดกว่า 10 คน ได้เบี้ยประชุม โบนัส เฉพาะที่ทำงานให้ ปตท. เท่านั้นรวมกันถึง 42 ล้านบาทโดยมี โอฬาร ไชยประวัติ ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยชินวัตร และประธานกรรมการตรวจสอบ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ สุชาติ ธาดาธำรงเวช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง อดีตที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายก รัฐมนตรี ได้รับสูงสุดคนละกว่า 3 ล้านบาท

สำหรับผู้บริหาร ระดับสูงของ ปตท. ตั้งแต่ระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้เงินเดือน โบนัส รวมประมาณ 74 ล้านบาท ซึ่งผู้บริหารที่มีหุ้นมากสุดคือ จิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และก๊าซธรรมชาติ ณ 31 ธันวาคม 2550 มีหุ้นเหลืออยู่ 175,830 หุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 65,408,760 บาท เฉพาะประเสริฐที่วันนี้เจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีหุ้นแล้ว แต่หากย้อนหลังไปเมื่อปี 2548 เขาได้หุ้น ESOP เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2548 จำนวน 243,000 หุ้น (บันทึกราคาที่ 0.00 บาท) และ 1 ปีให้หลังได้โอนออก 60,700 หุ้น และ 29 กันยายน 2549 ได้อีก119,000 หุ้น จากนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 ได้ขายออกครั้งละ 5,000 หุ้นบ้าง 60,000 หุ้นบ้าง ในราคาเฉลี่ย 330-370 บาท จน ล่าสุดเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ได้ ESOP อีก 87,000 หุ้น

นี่คือความร่ำรวยของ ปตท. ซึ่งถูกตั้งคำถามว่าเป็นธรรมหรือไม่ที่รายได้มากมาย มาจากความลำบากของประชาชนคนไทย เพราะการผูกขาด และการคิดราคาน้ำมันอย่างไม่เป็นธรรม

น้ำมันแพงตามสูตรสิงคโปร์

ปตท. ผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นทั้งหมด 5 โรงจากที่มีอยู่ทั้งหมด 7 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ ปั๊มน้ำมันทั่วประเทศต้องซื้อจากโรงกลั่นในเครือของ ปตท. โรงกลั่นที่ต้องการกำไรทำให้ ปตท. อ้างอิงราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ที่เป็นแหล่งซื้อขายและปั่นราคาน้ำมันที่ คิดล่วงหน้า 1-2 เดือน ทั้งที่โรงกลั่นซื้อน้ำมันดิบส่วนใหญ่จากตะวันออกกลางและบางส่วนจากในประเทศ ไทย

แม้จะมีเสียงคัดค้านว่าไม่จำเป็นต้องอ้างอิงราคาสิงคโปร์ แต่ ปตท. ก็พยายามชี้แจงว่าจำเป็นเพราะเป็นไปตามการคิดราคาในกลไกของตลาดโลก แม้จะฟังไม่ขึ้น แต่ ปตท. ก็ยังคงเดินหน้าคิดราคาน้ำมันที่ยึดราคาสูงเป็นที่ตั้ง นอกเหนือจากภาษีต่างๆ และค่าขนส่งหลายส่วนมาประกอบกันจนแพงอย่างที่ต้องจ่ายกัน

ราคา หน้าโรงกลั่น = ราคานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ (Import parity Price) ที่มาจากราคาน้ำมันจรในตลาดจรที่สิงคโปร์ (FOB)+ค่าขนส่ง+ค่าประกันภัย+ค่าจัดเก็บน้ำมัน+ภาษีศุลกากรนำเข้า

ค่าการตลาด = ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ+ค่าขนส่ง+ค่าส่งเสริมการตลาด+ค่าผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจ

ในที่สุดปัญหาจากราคาน้ำมันแพง ไม่ใช่เพราะตลาดโลกหรือเพราะตลาดสิงคโปร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะประเสริฐได้เฉลยออกมาด้วยตัวเองว่าเพราะ ปตท. ต้องกำไรและ ปตท. อยู่ใ นตลาดหลักทรัพย์ฯ

“อยู่ ที่ว่าสังคมไทยอยากให้ ปตท. เป็นยังไง และวันนี้ ปตท. ก็อยู่ในตลาดฯ (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ก็อยู่ที่สังคมไทยว่าอยากให้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเปล่า ผมเป็นผู้บริหาร เป็นพนักงาน ปตท. ผมก็อยากทำอะไรให้ดีที่สุดแก่ทุกฝ่าย และสอดคล้องกับแนวทางที่ทั่วโลกทำกัน ถ้าเผื่อว่าเราซึ่งเป็นประเทศ Net Import Country มาบิดเบือนโครงสร้างราคาและเราต้องนำเข้า ประชาชนก็ไม่รู้จักประหยัด เราก็ต้องไปเอาก๊าซหุงต้มเข้ามาแล้ว เราต้องอุดหนุน สุดท้ายจะเอาเงินมาจากไหน ปตท. ก็อุดหนุนไปหลายหมื่นล้านบาทแล้ว ถ้าเอา ปตท. เป็นหน่วยอุดหนุน ปตท. ก็ต้องไปเป็น Non Profit Organization ก็อย่าให้ ปตท. เป็นบริษัทอยู่ในมหาชน ก็เอา ปตท. ออกจากตลาดฯ ปตท. ก็จะเป็นเหมือนรัฐวิสาหกิจที่จะไม่สามารถสนองนโยบายรัฐได้เหมือนในบางรัฐ วิสาหกิจ”

ณ วันนี้เค้าลางที่คนไทยจะต้องลำบากต่อไปกับราคาพลังงานที่แพงขึ้นกำลังชัด ขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นก๊ าซ แอลพีจี เอ็นจีวี และแม้แต่อี 85 ก็กำลังถูกครอบงำด้วยกลุ่มทุนที่มีรากฐานมาจากธุรกิจที่ต้องการกำไรเป็นที่ ตั้งทั้งสิ้น และที่สำคัญคือการผูกขาดโดย ปตท.

กลุ่มทุนฮุบ E85-LPG-NGV

ไม่ว่าจะเป็น E20 หรือ E85 คือหนทางทำให้คนไทยได้ใช้น้ำมันถูกขึ้น เพราะมันเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่นำเอทานอลมาผสมน้ำมันเบนซิน ซึ่งเอทานอลมาจากพืชและมันสำปะหลัง

โรงงานเอทานอลขนาดใหญ่ ล้วนมาจากทุนระดับบิ๊ก ไม่ว่าจะเป็นของค่ายเบียร์ช้างที่เปิดเผยตัวชัดเจน และยังมีเครือข่ายที่ไม่เปิดเผยตัวชัดเจน ทั้งกลุ่มเบียร์สิงห์ กลุ่มคอมลิงค์ ตัวแทนและกลุ่มของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จนมาถึงกลุ่มเทมาเส็กที่ยอมจ่ายเงิน73,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นชินคอร์ป
&n bsp;
เช่นเดียวกับธุรกิจก๊าซที่ต้องยกให้ว่าเป็นลับ-ลวง-พรางฉบับ ปตท. เพราะผู้เล่นในตลาดก๊าซ LPG ที่รับช่วงจาก ปตท. ไม่ว่าจะเป็นสยามแก๊สหรือเวิลด์แก๊สล้วนก๊วนเดียวกัน

สยามแก๊ส หรือ สยามแก๊สแอนด์ปิโตรเคมีคัลส์ ที่กำลังเข้าตลาดหุ้นในเร็ววัน ก็พบชื่อ พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานกรรมการ ส่วน เวิลด์แก๊ส นั้นถือหุ้นเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์โดย ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น ที่รุ่งเรืองจากธุรกิจก๊าซ และถังก๊าซ จนเข้าตลาดหุ้นได้ มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือคนใ น ตระกูลลาภวิสุทธิสิน

นี่คือเครือข่ายที่น่าสะพรึงกลัว เพราะก่อนแปรรูป ปตท. รัฐบาลใช้นโยบายตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ขายถังละ 160 บาท หลังเข้าตลาดฯ ราคาเพิ่มมาเป็นถังละ 290-300 บาท

จึง ไม่แปลกหาก ปตท. จะเดินหน้าแยก LPG เป็น 2 ราคา เพราะบรรดาโบรกเกอร์ทั้งหลายต่างวิเคราะห์หุ้น ปตท. ว่า ราคาต่ำของ LPG เป็นปัจจัยกดดัน ปตท. ในเชิงสร้างกำไร เนื่องจากปัจจุบันรัฐมีการควบคุมราคาขาย LPG ในประเทศ 315 เหรียญต่อตัน ขณะที่ราคาส่งออกในตลาดโลกสูงถึง 800 - 900 เหรียญต่อตัน ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว ปตท. มียอดส่งออก LPG 8.9 พันบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากปี 2549 ถึง -51.8 เปอร์เซ็นต์ เพราะมีการใช้ภายในประเทศเพิ่มขึ้น

นี่ จึงเป็นนัยสำคัญว่าทำไมจึงต้องดันราคา LPG ในประเทศให้สูง โดยตั้งราคา 2 มาตรฐานเพื่อตรึงราคาภาคครัวเรือนเพื่อรักษาความนิยมของรัฐบาลต่อไป ขณะที่ลอยตัวราคาภาคขนส่งและอุตสาหกรรมจะ ช่วยลด Demand ของ LPG ในตลาดรถ เพื่อให้ปริมาณ LPG เหลือมากพอให้ ปตท. ส่งออกทำกำไรได้มากยิ่งขึ้นกว่าเงินที่ได้รับจากการชดเชยกองทุนน้ำมัน และยังเป็นเครื่องมือช่วย ปตท. ครองตลาดก๊าซเพื่อยานยนต์ด้วย NGV แต่เพียงผู้เดียว ไม่ต่างจากการ“ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว

ตราบ เท่าที่ ปตท. ยังสามารถซื้อสื่อและสร้างภาพด้วยงบโฆษณาพีอาร์และซีเอสอาร์ ปีหนึ่งหลักพันล้านบาท การผูกขาดของ ปตท. และกลุ่มทุนที่เหนียวแน่น คนไทยคงต้องลำบากกับน้ำมันและก๊าซที่ถูกปั่นราคาไปอีกนาน


LPG หรือก๊าซปิโตรเลียมเหลว มาจาก 2 แหล่ง คือการกลั่นน้ำมันดิบในโรงกลั่นน้ำมันและการแยกก๊าซธรรมชาติ จึงถือเป็นผลพลอยได้สุดๆ โดยมีต้นทางมาจาก ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) บริษัทในกลุ่ม ปตท.

นอกจากนี้ ยังให้สัมปทานขุดเจาะ 30 ปีในอ่าวไทย และบางแปลงมีพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชา แก่บริษัท เชฟรอน สำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมทั้งร่วมทุน 16 เปอร์เซ็นต์ ในโครงการอาทิตย์ของ ปตท.สผ. อีกด้วย โดยเชฟรอนผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวได้ 47,147 บาร์เรลต่อวัน นอกเหนือจากผลิตก๊าซธรรมชาติ 1,668 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และน้ำมันดิบ 85, 387 บาร์เรลต่อวัน โดยส่งต่อก๊าซธรรมชาติทั้งหมดให้ ปตท. ที่เชฟรอนแจ้งว่า 75 เปอร์เซ็นต์นำไปผลิตกระแสไฟฟ้า 25 เปอร์เซ็นต์เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมี

ดังนั้น เมื่อแยกก๊าซเรียบร้อยแล้ว ส่วนหนึ่งจะใช้เป็นวัตถุดิบผลิตกระแสไฟฟ้า ขณะที่ ปตท. ครองตลาดก๊าซธรรมชาติ NGV แต่เพียงผู้เดียวและใช้กับตลาดยานยนต์เท่านั้น โดย ปตท. ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 60,000 ล้านบาท แต่ยังอยู่ในภาวะขาดทุนสะสมกว่า 6,000 ล้านบาท

ส่วนที่เป็นก๊าซเหลว LPG นั้น นอกจาก ปตท. จะขายปลีกมีส่วนแบ่งตลาดรวม 45 เปอร์เซ็นต์ยังขายส่งให้บริษัทก๊าซ โดยมี สยามแก๊สแอนด์ปิโตรเคมีคัลส์และเวิลด์แก๊สเป็นยักษ์ใหญ่รองจาก ปตท. ด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์และ 21 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ


เบื้องหลังราคาน้ำมันมหาโหด

ปตท และ ก.พลังงาน เห็นสิงโปร์เป็นพ่อ เลยอ้างอิงราคาน้ำมัน

1. กลั่นเองก็ถูกกว่า เพราะซื้อราคาจำนำล่วงหน้า 3-5ปี แต่อ้างราคาตลาดโลกรายวัน
2. อ้างสิงโปร์ตลาดใหญ่ แต่ทำไม รถยนต์ไม่อิงราคา ดีทรอย ทั้งที่ภาษีอาฟต้าก็ 0%
3. FTA ก็ถูกลงเฉพาะผักผลไม้ทางเกษตรกร แต่สินค้าอุตสาหกรรม ของพ่อค้านักการเมืองยังแพงเหมือนเดิม
4. อ้างเป็นมหาชนต้องลอยตัวตามตลาดโลก100% ก็ไม่ถูกต้องเพราะรัฐถือหุ้นเกินครึ่งแถมบังคับด้วยเอกสิทธิของรัฐให้หน่วยงานราชการซื้อน้ำมัน ปตท เท่านั้นไม่ได้ลอยตัวใครถูกแพงก็เลือกซื้อเอา
5. อ้างการค้าเสรี แต่ผูกโควต้านำเข้ากับยักใหญ่4-5บริษัท ตลาดจรและมาเลก็ขายถูก(14-16บาท/ลิตร) แต่นำเข้ากันไม่ได้
6. อ้างการค้าเสรีลอยตัว แต่ ปิโตนัส นำเข้าจะขายได้ถูกกว่าก็ไม่ใด้ เพราะมีการฮั้วราคาตรึงราคาไว้ที่40กว่าบาท
7. มาเลเซียขายส่งออกลิตรละ15-16 บาท ก็ใม่ยอมนำเข้ามาขาย เพราะกลัวรู้ราคาทุน (ถ้าอ้างราคามา เลเซีย+ภาษี8บาท+ค่าการตลาด3บาท=27บาท)ใช่ไหม
8. แต่ยังดันทุรังอ้างราคาโคตรพ่อสิงโปร์ 41- 43บาท

*ราคาน้ำมันตลาดสิงโปร์รายวันคือ= ต้นทุนกลั่นของสิงโปร์+กำไรพ่อค้าสิงโปร์+ค่าโบรกเกอร์นายหน้า3% + ค่าการเก็งกำไรรายวันของพ่อค้าหน้าเลือด
*คิดได้ไง เป็นต้นทุนกลั่นอ้างอิงของน้ำมันไทยเพราะมันบวกกำไรใว้แล้วถึง3ต่อ แล้วเอามาตั้งต้นนับหนึ่งเป็นต้นทุนกลั่นของไทย
*ราคาที่ถูกต้องคือ ราคาเฉลี่ย ระหว่างต้นทุนซื้อ จำนำราคาล่วงหน้า กับราคาขายตลาดโลกรายวันที่ดูไบ(ใม่ใช่ของ นิวยอร์ค หรือ สิงโปร์) เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจเกินครึ่งและเป็นมหาชนไม่ถึงครึ่งเดียว
*จับตาดูให้ดีคิวต่อไปก๊าซLPGจะลอยตัวถึงลิตรละ15-18บาท NGVจะลอยตัว12บาท จะอ้างอะไรได้อีกทั้งๆที่ขุดเจาะได้ในประเทศแท่นขุดเจาะเต็มอ่าวไทย ไหนว่าก๊าซโชติช่วงชัชวาลตั้งแต่สมัยนายกเปรมฯ แถมก๊าซNGVซื้อจำนำราคา จากพม่ากิโลละ1บาท ยังหน้าด้านจะอ้างตลาดโลกรายวันอยู่อีกหรือ

ผลกระทบต่อสังคมไทย
1. ปตท กำไร1 แสนล้าน เงินที่ไหลออกก็4แสนล้าน (เชลล์,คาลเท็ก,เอสโซ่,ปิโตนัส) ถ้าปีนี้ ปตท กำไร2.5แสนล้าน เงินไทยก็จะไหลออกนอกประเทศ= 2.5แสนล้านคูณ4เท่า
2 . เศรษฐกิจลูกโซ่ล่มสลายอีกไม่รู้กี่หมื่น แสนบริษัท รัฐเก็บภาษีไม่ได้อีกกี่แสนล้าน คนไทยยากจนลง ต้องฆ่าตัวตายไม่รู้กี่ครอบครัว นักเรียนนักศึกษา ต้องขายตัวแลกค่าหน่วยกิต ประชาชนตกงาน ไม่มีเม็ดเงินจะหากิน ต้องก่อ อาชญกรรม แลกความอยู่รอด เข้าใจบ้างรึยัง
หยุดบริหารเศรษฐกิจแบบคนสิ้นคิด ระวังจะสิ้นชาติ เพราะกลไกเกมส์โกง ของพ่อค้าน้ำมัน สิงโปร์ไม่ใช่ โตคร
พ่อคุณ แต่ลูกหลานคุณกำลังจะอดตายทั้งประเทศ เพราะกลเกมส์ กลโกง ทำกำไรของพวกคุณ


ข้อความบางตอนมีเนื้อหาไม่เหมาะสมและเข้าข่ายผิดกติกากรุ๊ป ผมจึงต้องมีการตัดแต่งเสียใหม่ และยังคงเนื้อความเดิมไว้ หากท่านใดสนใจสามารถหาอ่านเพิ่มในหนังสืือครับ

ที่มา: forward mail

อันตราย อย่านวด “หัว” และ “ต้นคอ”

อันตราย อย่านวด “หัว” และ “ต้นคอ”

ขอนำเรื่องของคุณแม่ของผมมาเป็นอุทาหรณ์ครับ

แม่อายุ 59ปี มีประวัติความดันสูง และมีอาการปวดหัวอยู่บ้าง แต่ก็หายลงด้วยการกินยาลดความดัน หลังจากเกิดอาการปวดหัวบ่อยขึ้น แม่ก็คิดเองว่าอาจเกิดจากความเครียด เลยหาหมอนวดมือหนักๆ นวดหัว และต้นคอเผื่อผ่อนคลายเสมอๆมา

กว่าสองอาทิตย์การนวดไม่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว และ อาการรุนแรงมากขึ้น ต้องไปพบหมอและเอ็กซเรย์เพือดูความผิดปรกติภายใน

จันทร์ที่ 2 พ.ค. 54 คุณหมอจาก โรงพยาบาลโทรเรียกแม่ให้กลับโรงพยาบาลด่วน ภายหลังจากหมอทราบผลการอ่านฟิล์มเอ็กซเรย์ว่า มีน้ำและเลือดคั่งอยู่ภายในสมอง 2 ข้าง (bilateral subdural hematoma ไม่มี intra-axial hematoma)
อาการนี้ส่วนใหญ่มักเกิดจากศรีษะกระแทกอย่างรุนแรง ถูกทำร้าย หรือไม่ก็เกิดอุบัติเหตุหกล้ม

ก่อนเข้าห้องผ่าตัด หมอถามแม่และน้องชายย้ำหลายครั้งว่าถูกทำร้ายมาหรือเปล่า เพราะหากถูกทำร้ายต้องกลายเป็นเรื่องคดีความต่อ ทุกคนต่างยืนยันว่าไม่เคยล้ม และไม่เคยเกิดอุบัติเหตุมาก่อน สาเหตุของน้ำและเลือดคั่งในสมองแม่ ยังคงเป็นปัญหาคาใจหมอ ?

พยาบาลโกนหัวแม่ทันทีในคืนนั้น พร้อมกับบอกว่าต้องเจาะเอาน้ำและเลือดออกจากสมอง เพื่อให้คลายอาการปวดหัว “นิดเดียว เดี๋ยวก็หาย ” พยาบาลย้ำกับแม่เพื่อให้สบายใจ ก่อนส่งตัวให้คุณหมอ เปิดหนังศรีษะ พร้อมเจาะกะโหลก ฝั่งซ้ายและขวา

จากคำบอกเล่าของพยาบาล ในหัวแม่มีน้ำผสมกับเลือดไหลออกมา 4 ถุง (ไม่แน่ใจปริมาณ) ผ่านไปช่วงเย็นของอีกวัน แม่เริ่มพูดคุยได้

แม่ขอดูกระจก พร้อมกับเอามือลูปหัวตัวเอง และบ่นว่า “ พยาบาลหลอกว่าทำนิดเดียว แต่ทำตั้งเยอะ” เนื่องจากน้ำและเลือดคั่งในสมองสองข้าง ต้องผ่าตัดพร้อมๆกันทั้งสองข้าง หลังการผ่าตัดมีรอยเย็บที่หัวข้างละ 8 เข็ม และมีรอยเจาะเล็กๆ อีกสองจุด ผมยังแซวแม่ว่า “ทำไมไม่บอกหมอดึงหน้าให้ตึงไปเลยละ ไหนๆก็ผ่าหัวละ” แม่นั่งยิ้มไม่คุยต่อ

หลังจากนั้นก็หลอกถามอีกครั้งว่า มีใครตีหัวแม่หรือเปล่า เคยล้มไหม เพราะหมอยืนยันว่าอาการมีน้ำปนเลือดคั่งในสมองเกิดจากการกระแทกย่างรุนแรง

แม่เริ่มเล่าให้ฟังด้วยความจำนนต่อหลักฐานทางการแพทย์ว่า ทุกครั้งที่ปวดหัวจะไปหาหมอนวดให้นวดหัวซึ่งวิธีการนวดก็มีการใช้มือสองข้าง สับ สับ สับ กด กด กด คลึง คลึง คลึง ที่หัว แม่บอกว่านวดมานานหลายอาทิตย์ เข้าใจว่านานมากพอที่จะทำให้เกิดน้ำและเลือดปนในสมองได้มากถึง 4 ถุง หลังจากรู้สาเหตุก็ปรึกษาคุณหมอ คุณหมอยืนยันว่าการนวดนี้แหละคือสาเหตุ คุณหมอเล่าว่าอุบัติเหตุจากการนวด คอ และนวดหัว เกิดขึ้นบ่อย มีคนเป็นอัมพาตเพราะการนวดที่ลำคอ เนื่องจากการนวดจะส่งผลให้เส้นเลือดเส้นหลักถูกบีบ ถูกกระแทก คนแก่บางคน ในเส้นเลือด มีแคลเซียมและ ไขมันเกาะอยู่ในเส้นเลือด การนวด ทำให้แคลเซียมและไขมันในเส้นเลือดย้ายที่และอุตตันในเส้นเลือด ส่งผลให้เลือดส่งไปไม่ถึงสมองบางส่วน และเป็นอัมพาตในที่สุด

ตอนนี้แม่ผมอยู่ในระหว่างการพักฟื้น หลังการผ่าตัดเพียงสองวันก็สามารถเดินและพูดคุยได้ และที่สำคัญอาการปวดหัวหายไป

ทุกครั้งที่คิดจะนวดหัว หรือนวดคอ อยากให้นึกถึงเรื่องของแม่ผมไว้ จะได้ไม่ประมาทครับ
และที่สำคัญคนแก่ที่มีภาวะความดัน ไม่ควรนวดที่หัวและที่คอ

ขอให้ทุกท่านโชคดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายแข็งแรงนะครับ

ที่มา: forward mail

Monday, May 23, 2011

เพลง"จอมใจจักรพรรดิ์" (หยดผึ้งในดวงใจ)

เพลงหยดผึ้งในดวงใจ: "จอมใจจักรพรรดิ์"




ญ: รักของชายคล้ายฟองสบู่ ฟองนั้นอยู่มิคงมั่น เดี๋ยวเดียวพลัน ระเหยแห้งหาย กลัวนักรักชาย ผันกลายตามอารมณ์

ญ: ลิ้นของชายหวานดั่งตาลฉาบ แต่ก็เป็นเหมือนดังดาบคม เคยเชือดใจหญิง เจ็บนัก ด้วยเล่ห์คารม เล่ห์ลวงจากลิ้นแสนคม หญิงตรมเสมอมา

ช: ช่างสรร..คำมากล่าว ช่างสาว..คำมาว่า ชายที่เห็นค่า..รักยิ่งกว่าชีวิต..นั้นยังมี (ญ พูด) “ฮึหายาก”

ช: เช่นรักของพี่นี้ ชั่วชีวิต(ชีวี)มิมีวันผันแปร (ญ พูด) “ใครจะเชื่อได้คำพูดของชาย”

ช: ความรักพี่จริงแท้ ไม่ปรวนแปร ของแท้ย่อมทานทน

ญ: นิสัยชายคล้ายดังภมร คอยไชชอนดอกไม้หมองหม่น

ช: ดอกไม้ก็เกิดผล ให้ปวงชนได้ชิมสราญใจ

ญ: นิสัยผึ้ง พึงลิ้มชิมหวาน ลิ้มแล้วผ่านผละเลยจากไป

ช: ไม่ทิ้ง..น้องไปไหนจะมอบใจและกายให้ทุกสิ่ง

(ญ พูด) “คำหวานของชายหญิงคนใดเชื่อ ก็ต้องชอกช้ำ”


ญ: ลมเอย โอ้ลิ้น..คารมชายหวานกินตายมามากจริง หญิงต้องเกรงกริ่ง หวงตัวหยิ่งไม่หลงในวจี

ช: ทุก ๆ ถ้อยกล่าวมาจากใจ ยอด..รักอย่าผลักใส โปรดเชื่อในหัวใจที่ภักดี

ญ: น้ำล้นฝั่งนั้นยังเคยแห้ง ยังคลางแคลงด้วยน้ำใจพี่

ช: บ่อน้ำ..ใจพี่นี้ชั่วชีวีมิมีวันเหือดแห้ง

ญ: เกรงใหม่ ๆ กระแสความรักยังเชี่ยวแรง พอเก่าใจรักกลับหน่ายแหนง ดังไฟไหม้ขอนคุแดง ร้อนแรงแล้วเป็นเถ้า

ช: ดวงใจรัก..พี่เย็นฉ่ำ แม้เปรียบดังน้ำคอยเนา พรมร้อนเร่าให้หายกลายชื่น จะยงยืนชื่นเย็นเหมือน เช่นสายธาร

ญ: ที่กล่าวมา.. แม้ใจวาจาจริงแน่ก็จงสาบาน ให้พระพรหมท่าน..นั้นเป็นพยานว่าใจรักมั่นคง

ช: ถ้าต้องการ สาบานเพียงใดก็ได้ว่าใจนั้น..แสน.ซื่อตรง เอ้า..น้องจงรับฟังคำสาบาน

ชายพูด “ถ้า.พี่.มิ.มี.ใจ.ภักดิ์ ให้.พี่.ถูก.รัก.ประหาร ถ้า.พี่.รัก.ซื่อ.ยืน.นาน ให้.เทพ.ประทาน.สุข.รัก.เรื่อยไป”

ช: สาบานให้เธอแล้วดั่งหมาย คงหายข้องใจ

ญ: ใจชายถ้ามีรักจริง หญิงก็รักชายได้

ช: รักเหมือนคำสาบานที่ให้

ญ: จะมอบใจให้พี่ดั่งปอง

(พร้อมกัน)รักร่วมครองชิดเชยชื่น ทุกวันคืน ยั่งยืนนาน มิหน่าย


เพลงหยดผึ้งในดวงใจ - : "จอมใจจักรพรรดิ์"

ทำนองเพลงจีน ซี่เฟิ่ง (戏凤) ซึ่งเป็นเพลงประกอบจากภาพยนตร์จ­ีนเรื่อง จอมใจจักรพรรดิ์ (江山美人 ) เพลงจีนต้นฉบับขับร้องคู่โดย จิ้งถิง(静婷) และเจียงหง (江宏) ซึ่งไพเราะมาก ๆ ทั้งเวอร์ชั่นจีนและไทย (RenovA2512)

YouTube จอมใจจักรพรรดิ์ (ไทย)

YouTube จอมใจจักรพรรดิ์ (Madarin Chinese)

เพลงเก่า
Shaw Brother YouTube ทำนองจอมใจจักรพรรดิ์ (Madarin Chinese) 静婷与江宏_戏凤【电影江山美人_片中插曲】


Lyric (歌词) เพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง จอมใจจักรพรรดิ์
静婷与江宏_戏凤【电影江山美人_片中插曲】

「戏凤」 歌词 作词:李隽青作曲:王纯

(李凤姊):人潇洒 性温存若 有意似无情不知他家何处
不知它何姓名倒叫 我坐立难安睡不宁
(皇帝):姓朱 名德正家住北京城 二十岁 还没定过亲
(李凤姊):嘿 你来做什么
(皇帝):我爱上酒家人 我进了酒家门
(李凤姊):我哥哥不在家 今天不卖酒
(皇帝):卖酒的风情好 你比酒更迷人
(李凤姊):我们卖酒做营生 不懂爱也不懂情
(皇帝):为什么 坐立难 安睡不宁
(大牛):你说爱又谈情 存的是什么心再要不安份 我 送你进衙门
(李凤姊):大牛别胡说快去扫地说什么好人心 原来是假正经人家的手帕给你涂得满天星
(皇帝):满天星价连城皇帝题的诗皇后绣的凤
(李凤姊):你假戏当成真欺君罪你罪不轻 (皇帝):店名叫龙凤 难道不欺君
(李凤姊):我们龙凤店远近都知名皇帝都不管 我劝你少费心
(皇帝):不必提龙凤还是论婚姻你貌美丽你性聪明 一见就倾心再见就钟情你愿意我带你进京城我和妳双双对对配龙凤深宫上苑度晨昏
(大牛):我一见你就讨厌再见你更伤心 你要带她走 我就跟你把命拼别以为梅龙镇上好欺人
(李凤姊):我们梅龙镇守礼最严明 我担心受议论 不敢留客人还是哥哥回来再上门 再上门

เลือดออกทางทวารทั้ง 7

เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ มันอาจช่วยให้คุณรอดจากงื้อมือยมบาลที่เป็นตัวคุณเอง

ไต้หวัน-- -- หญิงคนหนึ่งเลือดออกทางทวารทั้ง 7 โดยไม่รู้สาเหตุ เสียชีวิตในข้ามคืนเดียว จากการชันสูตรศพเบื้องต้น ลงความเห็นว่าตายเพราะพิษสารหนู แล้วสารหนูมาจากไหนล่ะ ตำรวจเริ่มสืบสวนในวงกว้าง และเชิญศาสตราจารย์นิติเวชมาร่วมคลี่คลายคดี

ศาสตราจารย์ตรวจวิเคราะห์สิ่งตกค้างในกระเพาะ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เปิดโปงสาเหตุการตายฉับพลัน " ผู้ตายไม่ได้ฆ่าตัวตาย ไม่ได้ถูกลอบสังหาร แต่ตายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถูกมันฆ่า"

ศาสตราจารย์ฟันธง ผู้คนงงเป็นไก่ตาแตก อะไรคือ "มันฆ่า "แล้วสารหนูมาจากไหน

ศาสตราจารย์กล่าวว่า สารหนูเกิดในกระเพาะผู้ตาย ผู้ตายกินวิตามินซีทุกวัน นี่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เธอกินกุ้งจำนวนมากในมื้อเย็น กินกุ้งโดยลำพังก็ไม่มีปัญหา คนในบ้านกินกันก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ผู้ตายกินวิตามินซีพร้อมกันด้วย ปัญหาจึงเกิดตรงนี้แหละ

นักวิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโกเคยทำการทดลอง พบว่าสัตว์เปลือกอ่อนเช่นกุ้งมีสารประกอบอาเซนิกเข้มข้นในปริมาณสูง สารประกอบชนิดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายก็ไม่มีพิษภัยอะไร แต่เมื่อรับประทานวิตามินซีพร้อมกัน จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้สารประกอบเดิมที่มี สูตร เคมี As2O5 หรืออาเซนิกออกไซด์ซึ่งไม่มีพิษ กลายเป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี As2O3 หรืออาเซนิกไตรออกไ ซด์ซึ่งมีพิษ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าสารหนูนั้นเอง

พิษสารหนูจะทำให้การทำงานของเส้นโลหิตฝอยและเอนไซม์ของซัลฟีดรีลขัดข้อง เกิดอาการเลือดคั่งในหัวใจ ตับ ไต และลำไส้ เซลล์ผิวหนังตายด้าน เส้นโลหิตฝอยขยายตัว ดังนั้น ผู้ที่รับพิษจนตาย จะมีเลือดออกทางทวารทั้งเจ็ด

เพราะฉะนั้น ในระยะที่รับประทานวิตามินซี ต้องงดกินอาหารประเภทกุ้ง เพื่อความไม่ประมาท

เมื่ออ่านจบ โปรดส่งต่อไปยังเพื่อนฝูงด้วย

Wednesday, May 18, 2011

การทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ (หรือผู้น่าเกลียด) เรียกร้องขึ้นเงินเดือนเป็นแสน

สันดานเสีย ..

- ขาดประชุม
- ไม่ตั้งใจทำหน้าที่ โดยการ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์นั่งหลับ ชกต่อยกัน เล่นเกมส์


















ที่มา: forward mail

Thursday, May 5, 2011

ศึกน้ำลาย สนง.ตำรวจแห่งชาติกับ ปปท.

สังคมไทยนับวันมันเสื่อมถอย เพราะผู้รับผิดชอบไม่เข้าใจในบทบาทหน้าของตนเอง เมื่อหาทางออกไม่ได้ผลตามมาคือ แพะรับบาป ลงเอ๋ยด้วยการเปิดศึกสงครามน้ำลาย ขอถามว่า ชาวบ้านได้อะไรจากพวกคุณ กรณี สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ปปท.นำกำลังบุกจับ ร้านตู้เกมในห้างดังย่านรัชดา โดยอ้างว่าเป็นบ่อนการพนันออนไลน์ แต่ผลสุดท้าย ก็ตามมาด้วยปัญหาความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน จากกรณีอ้างไม่ได้รับความร่วมมือจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ จนต่อมา ฝ่ายตำรวจนั่งไม่ติด เปิดฉากโต้แหลก ถึงการทำงานของ ปปท. จากเรื่องการขอความร่วมมือประสานงาน สิ่งที่เกิดขึ้นมันแสดงออก คือ ต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน แล้วต่อไปข้างหน้า มันจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร
เมื่อหน่วยงานราชการที่กินเงินภาษีประชาชน ยังเปิดศึกสาวไส้ให้กากิน ยำกันเอง คำถามที่ประชาชนเขาตั้งข้อสังเกต ว่า มันเกิดอะไรขึ้น ที่อยู่ๆถึงออกมาลุยแหลกจับ สถานบันเทิงผิดกฎหมาย บ่อนการพนัน อบายมุข แทนที่จะทำมานานแล้ว หรือ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยปะละเลย กันจนสังคมมันเสื่อม คำตอบนี้ คงหนีไม่พ้นนักการเมืองตัวดี ที่ใกล้หมดอำนาจ อาศัยช่วงจังหวะ สบโอกาสหรือฉวยโอกาสสร้างกระแส ก่อนหมดลมหายใจ ที่ผ่านมาบริหารงานล้มเหลว จึงสร้างกระแสจัดระเบียบสังคมหวังหาเสียงก่อนเลือกตั้ง ถ้าพวกคุณบริสุทธิ์ใจ หวังดีต่อบ้านเมือง ต่อสังคม เหตุใดถึงไม่ลงแขกลุยจับแต่เริ่ม ปล่อยกันมากนาน การที่อ้างเหตุผลต่างๆนานา ในขณะนี้คงไม่มีผล เพราะชาวบ้านเขากินข้าว ไม่ได้กินหญ้า เขารู้ใครทำใครไม่ทำ
ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุด ต่างฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหากัน จับมือร่วมกันทำงานมากกว่า เปิดศึกโต้กันไปมา จนบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน ทำดีไม่ต้องกลัว ว่าชาวบ้านเขาไม่ชื่นชม ถ้าหน่วยงานพวกคุณทำงานด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรแอบแฝง แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความรักความสามัคคี ทำงานประสานร่วมกัน เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ที่ผ่านมา เราพยายามบอกชาวบ้านให้รักสามัคคีกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน แต่พวกคุณประพฤติตนกลับกัน ในขณะที่ คุณตำรวจ เองก็ต้องเข้าใจด้วยว่า บ้างครั้งสังคมยังมีข้อกังขากับการทำงาน เราในฐานะผู้รักษากฎหมาย ก็ต้องแสดงให้เห็นถึง ความเป็นมืออาชีพไม่ลูบหน้าปะจมูก ล่าสุด ชาวบ้านซอยเพชรบุรี 39 เขาร้องเรียนมาว่ายัง มีสถานบันเทิงผิดกฎหมาย ที่อยู่ในซอยแอบเปิดเกินเวลา ไม่เกรงกลัวใครจับ ขณะที่เขาไล่จับกันยกใหญ่ เปิดกันถึงตี4 ตี5 มีสีกากีไปนั่งเฝ้าระวัง กลัวคนอื่นมาจับ แล้วอย่างนี้ มันหมายความว่าอย่างไร
เรื่องนี้คงต้องฝากไปยัง สน.ท้องที่ ที่รับผิดชอบ อย่าปิดตาข้างเดียว เพียงเกรงกลัว ว่า สถานบันเทิงดังกล่าวเส้นใหญ่ มีคนคุมดี มีเส้นสายในเส้นสายนอก ถ้าหมูยังไม่กลัวน้ำร้อน คงต้องให้ “บิ๊กแป๊ะ”พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัย จินดา ผบช.น. ช่วยตรวจสอบ อย่าปล่อยให้ลูกน้องแหกตานาย เดียวหน่วยนอกเขามาบุกจับ เดียวหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ ในขณะที่คนอื่นๆเขากำลังอยู่ในกรอบอยู่ในระเบียบ แต่มีบ้างโรงพักแหกกฎ มันจะทำให้หน่วยงานเสื่อม ไฟมันกำลังแรงอย่าไปโหมให้มันเผาพล่านมากขึ้น ถึงเวลาอด ก็ต้องอดอย่างเสือ ถึงเวลากิน ก็ต้องกินไม่มูมมาม อย่าเห็นแก่ได้ อย่าเห็นแก่กิน เดียวความย่อยยับมันจะตามมา ก็คงต้องฝากให้ผู้รับผิดชอบช่วยสร้างสังคมให้มันดี แล้วสิ่งดีๆมันจะเกิดในสังคมไทย

กูรูสีกากี

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 06 พฤษภาคม 2554

จุดด่างดำทำลาย'ครู' 'วุฒิ..ซื้อ-ขาย' 'บาป'ธุรกิจการศึกษา

"เรื่องนี้ถือเป็นจุดด่างดำของการศึกษา ซึ่งต้องจัดการให้ดี เพราะปัจจุบันกำลังมีการปฏิรูปครูกันอยู่" ...เป็นการระบุของ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ต่อกรณีข่าวอื้อฉาว ’ซื้อ-ขายวุฒิ ป.บัณฑิต“ ซื้อ-ขายประกาศนียบัตรบัณฑิต ’วิชาชีพครู“

ทั้งนี้ หลังจากอึมครึมอยู่ระยะหนึ่งว่าเรื่องอื้อฉาวครึกโครมนี้เกิดที่ใด-อย่าง ไร?? ล่าสุดทางฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาแล้ว ดังที่ทราบ ๆ กัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้มีนัยมิใช่เพียงผู้ที่กระทำไม่ถูกต้อง ผู้ที่ขาย-ผู้ที่ซื้อ แต่ยัง ’เกี่ยวโยงถึงเด็ก ๆ - อนาคตชาติ“

ในภาพรวมนั้น รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ทุกวันนี้มีสิ่งที่สะท้อนว่า ปัจจุบันนี้การศึกษาเป็นเรื่องของธุรกิจการศึกษาเต็มตัว และบางกรณีมีการใช้อำนาจ-ใช้นักการเมืองเป็นโลโก้ปรามระบบราชการ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็พยายามปกป้องสถาบัน ปกป้องตัวเอง

ทั้ง ๆ ที่เป็นข้อเท็จจริง ทั้ง ๆ ที่มีการทำไม่ถูกต้อง

สำหรับการซื้อขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิต (ป.บัณฑิต) วิชาชีพครูนั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเป็น ’ครู“ ซึ่งการจะเป็นครูได้นั้น ไม่ใช่เพียงเอาใครก็ได้มาสอนหนังสือ โดยไม่มีจิตวิญญาณครู ไม่มีจิตวิทยาเด็ก เพราะผลกระทบจะมีกับเด็กแน่นอน ในอนาคต โดยการจะสั่งสอนในเด็กคนหนึ่งเป็นคนดี เป็นคนมีคุณธรรม มีจริยธรรม จะเป็นไปไม่ได้เลย หากคนที่มาสอนไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม

’เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องน่าอาย น่าขายหน้ามาก ๆ ทำลายวงการการศึกษา ทำลายวิชาชีพครู ต้องรีบจัดการให้ดี ไม่ใช่ช่วยเหลือหรือปกปิดให้เรื่องเงียบหายไป“ ...รศ.ดร.สมพงษ์ ระบุ

ทางด้าน ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า... เรื่องลักษณะนี้เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และสภามหาวิทยาลัยโดยตรง ซึ่งจะต้องไม่ให้การศึกษากลายเป็นธุรกิจมากเกินไป เพราะจะทำให้การศึกษาไม่มีคุณภาพ

’หากเราได้ครูที่ได้วุฒิจากการซื้อ-ขายวุฒิการศึกษาปลอม ในอนาคตเด็กของเราก็เดือดร้อน ซึ่งไม่ควรให้เกิดเรื่องแบบนี้“ ...เลขาธิการสภาการศึกษา ระบุถึงกรณีอื้อฉาว ซื้อ-ขายวุฒิ ป.บัณฑิต วิชาชีพครู

ขณะที่ตัวแทนภาคีเครือข่ายเพื่อความเป็นธรรมทางการศึกษา คมเทพ ประภายนต์ ก็สะท้อนเรื่องนี้ผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ที่ผ่าน ๆ มาลำพังการเรียน-การสอนโดยครูที่ได้วุฒิอย่างถูกต้อง เด็กนักเรียนก็ยังต้องเรียนพิเศษกันมากมายอย่างที่เห็นกันอยู่ ซึ่งหากว่า มีการซื้อ-ขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือ ป.บัณฑิต วิชาชีพครู สภาพเด็กในอนาคตจะเป็นอย่างไร?? คงจะไม่ต้องพูดถึง...

ตัวแทนภาคีเครือข่ายเพื่อความเป็นธรรมทางการศึกษา ยังระบุอีกว่า... เรื่องของ “ครู” นั้น ส่วนตัวมองว่าปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการกำลังขาดบุคลากรด้านนี้ จึงพยายามสร้างสายอาชีพครูขึ้นมาอย่างจริงจัง

ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือน การให้สวัสดิการต่าง ๆ

และคนที่เข้าเรียนในสายวิชาชีพนี้ก็รู้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะมีงานทำแน่นอน มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง ดังนั้น สำหรับบางคนแล้ว ลึก ๆ แล้วอาจไม่ทราบว่าการเข้ามาเรียนในสายวิชาชีพครูนั้น เรียนเพื่อเหตุอันใด?

’อาชีพครูนี้ ก็คล้าย ๆ กับหมอ ทนายความ ซึ่งผู้ที่จะเป็นครูจะต้องมีจริยธรรม ต้องมีคุณธรรม และต้องมีจิตวิญญาณประกอบด้วย หากคนมาเป็นครูไม่มีสิ่งเหล่านี้ประกอบด้วย ก็คงเกิดความวิบัติกับวงการศึกษาไทยแน่นอน รวมทั้งกับเด็กของเราในอนาคตด้วย“ ...คมเทพ ระบุทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ก็แน่นอนว่าจากกรณีอื้อฉาวครึกโครม การซื้อ-ขาย ป.บัณฑิต หรือประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู ส่งผลให้แวดวงการศึกษา และโดยเฉพาะแวดวงวิชาชีพครู สั่นสะเทือนไม่น้อยเลย เสมือนปลาเน่าไม่กี่ตัวทำให้ปลาดีตัวอื่น ๆ พลอยเหม็นไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม สังคมก็ต้องไม่เหมารวม สังคมต้องแยกแยะต้องไม่ให้เรื่องนี้ทำให้ครูดี ๆ ท้อแท้

ครูที่สามารถเป็นที่พึ่งของศิษย์ ทั้งด้านวิชาการ และด้านการพัฒนาชีวิต ครูที่มีวัตรปฏิบัติที่ดีงาม สะท้อนถึง “จิตวิญญาณครู” ที่แท้จริง ครูที่มีจิตวิญญาณการเป็นครู สามารถถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์

ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียรพยายามพัฒนาการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับศักยภาพ และข้อจำกัดของเด็ก เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีของชาติ ซึ่งสังคมควรต้องเชิดชูยกย่อง และร่วมกันส่งเสริมให้มีครูดีกลุ่มนี้มาก ๆส่วนที่หวังผลประโยชน์โดยขายให้ใครก็ได้เป็นครูและที่ใช้เงินซื้อเพื่อให้ ได้เป็นครูโดยหวังประโยชน์ สังคมจะ ’ประณาม-สาปแช่ง“ ก็จัดหนักได้เลย!!!

ที่มา: จุดด่างดำทำลาย'ครู' 'วุฒิ..ซื้อ-ขาย' 'บาป'ธุรกิจการศึกษา วันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2554

'สังคมตอแหล?': ถล่ม'ดอก(ส้มสี)ทอง' 'ชิงชังเรยา'

กระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ อันสืบเนื่องจากเนื้อหาของละครทีวีเรื่อง ’ดอกส้มสีทอง“ จนวันนี้ก็ยังไม่จาง ซึ่งนอก จากชาวบ้านร้านตลาดแล้ว กับการเคลื่อนไหวของคนระดับรัฐมนตรีอย่างน้อย 2 คน และผู้บริหารของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีการทำโพลสำรวจความเห็นประชาชน นี่ก็ยิ่งเสริมให้กระแสนี้ “แรง”

ดอกส้มสีทอง เป็นเรื่องราวของตัวละครเอก ’เรยา“ ลูกสาวคนใช้กับยาม ซึ่งไปพัวพันผู้ชายหลายคน และมีพฤติกรรมกราดเกรี้ยวกับผู้เป็นแม่ ซึ่งละครเรื่องนี้นัยว่าเป็นละครภาคต่อของละครเรื่อง ’มงกุฎดอกส้ม“ ที่เป็นเรื่องราวของ ’เจ้าสัว“ อายุประมาณ 60 ปีคนหนึ่ง ซึ่งมีคุณนายหรือ ’มีเมียถึง 5 คน“ และทำให้มีเรื่องวุ่น ๆ รวมถึงมีการ ’ฆ่าเมีย“ บางคนหมกบ่อน้ำด้วย ซึ่งในรายละเอียดนั้น คอละครไทยก็คงทราบ ๆ กันดี

ละคร ’ดอกส้มสีทอง“ สร้างกระแสวิพากษ์อึงมี่

แล้วก็มีคนตั้งปุจฉาว่าที ’มงกุฎดอกส้ม“ ล่ะ??

ในขณะที่เรื่องของ เรยา ในละคร ดอกส้มสีทอง กระหึ่ม ทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ได้รับเสียงสะท้อนเผ็ดร้อน ที่ก็น่าพิจารณา กล่าวคือมีการตั้งข้อสังเกตประมาณว่า... สังคมไทย โดยเฉพาะบุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ ทำไมเพิ่งจะมาตื่นเต้น? ที่ผ่านมาหายไปไหน? ทำไมกรณี เจ้าสัว ตอนละคร มงกุฎดอกส้ม ออกอากาศจนจบ ถึงไม่มีการออกมาเต้น? ทั้งที่เจ้าสัวมีเมียตั้ง 5 คน เจ้าสัวจะไปนอนห้องเมียคนไหนจะมีโคมแดงไปแขวนหน้าห้องเมียคนนั้น ถ้าไม่มีโคมแสดงว่าไม่ไป เจ้าสัวไม่พอใจเมียคนไหนก็ไม่ไปนอนด้วย เมียที่เจ้าสัวไม่ได้ไปหาเกิดอาการหัวใจสลายที่เจ้าสัวไม่ให้ความรัก แถมในเรื่องยังมีบทที่รุนแรงถึงขั้นมีการ “ฆ่า”

มีการตั้งข้อสังเกตประมาณว่า... หรือนี่สะท้อน ’สังคมชนชั้น“ คือเจ้าสัวรวย ทำอะไรผิดแต่ก็ดูไม่ผิด? ถ้าเรยาเป็นคนรวย เอาแต่ใจตัวเอง ชอบผู้ชายก็เอาเงินซื้อ จะมีกระแสด่าทออย่างวันนี้หรือไม่? หรือว่าที่มีกระแสเพราะเรยาเป็นลูกคนใช้กับยาม เพราะเป็นคนจน? หรือนี่สะท้อน ’ชาย-หญิง ไม่เสมอภาค“ กรณีเจ้าสัวเป็นผู้ชาย...เลยดูว่าธรรมดา แต่เรยาเป็นผู้หญิง...เลยดูว่าไม่ถูกต้อง หรือตอนนี้ที่นักการเมืองออกมาเต้นเป็นการ ’โหนกระแสหาเสียง“ หรือเปล่า? ก็แล้วตอน เจ้าสัว - มงกุฎดอกส้ม นักการเมืองหายหน้าไปไหนหมด?

เสียงสะท้อนยังมีอีกว่า... หรือว่าสังคมไทยเป็นอย่างที่มีนักมานุษยวิทยาบางคนที่ทำวิจัยและชี้ไว้ว่า เป็น ’สังคมลิเก“ หรือเป็น ’สังคมดัดจริต“ เป็น ’สังคมตอแหล“ ...ใช่หรือไม่???????

ทั้งนี้ กับกระแสวิพากษ์ละครในระยะนี้ และกับประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกต ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน บอกว่า... เรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องชนชั้น หรือสิทธิสตรีอะไร ถามว่าเป็นเรื่องการทำตามกระแสหรือไม่? เนื่องจากเรื่องนี้มีผู้จุดประกาย จุดกระแสขึ้นมา แน่นอนที่สุด ก็มีคนร่วมสร้างกระแสแน่นอน “คล้ายกับมีคนจัดงานปาร์ตี้ ก็ต้องมีผู้ร่วมงานเป็นธรรมดา เพราะพฤติกรรมของตัวละครเรื่องนี้ (ดอกส้มสีทอง) มันโหด และแรงเกินไป จึงเป็นกระแสสังคมขึ้นมา” ...ดร.เสรี ระบุ

ขณะที่ รศ.วิระดา สมสวัสดิ์ ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่า... ในประเด็นสิทธิหญิง-ชาย หรือชนชั้นนั้น มองในมุมมองของสตรีศึกษาแล้ว คิดว่าละคร 2 เรื่องที่ว่ามีเรื่องเวลาที่ต่างกัน มงกุฎดอกส้มเป็นยุคที่สตรีไม่มีทางเลือกทางเศรษฐกิจและสังคม และสังคมยุคนั้นไม่เปิด ผู้หญิงทำอะไรมากไม่ได้ ต้องอยู่ในภาวะจำยอม ส่วนดอกส้มสีทองเป็นสังคมยุคใหม่ สังคมเปิด ผู้หญิงสามารถแสดงออกได้

ในแง่ของความเท่าเทียมชาย-หญิง ระหว่างการแสดงออกทางเพศของเจ้าสัว กับเรยา ในมุมของสตรีศึกษานั้น นักสิทธิสตรีเชื่อเรื่องสิทธิทางเพศ เพศวิถี คือสามารถแสดงออกทางเพศได้ เริ่มต้นได้ แต่ ต้องไม่ใช่การสำส่อนทางเพศ หรือละเมิดสิทธิคนอื่น แนวคิดสตรีนิยมไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมสำส่อนของผู้ชายโดยการใช้เนื้อตัวร่าง กายของผู้หญิงเป็นที่ระบายความใคร่ และผู้หญิงก็ต้องไม่ทำแบบนั้นเช่นกัน

’เรื่องชนชั้น รวย-จน ก็เช่นกัน ซึ่งก็ใช่ เพราะ เพศชาย หากมีอำนาจ มีเงิน มีฐานะทางสังคม สิ่งนี้จะเป็นส่วนส่งเสริมให้ผู้ชายมีเมียกี่คนก็ได้ตามใจต้องการ ต่างกับผู้หญิงจน ๆ ลูกแม่บ้านอย่างเรยา ที่ต้องดิ้นรนด้วยวิธีการหาผู้ชายรวย ๆ เพื่อสร้างฐานะและหน้าตา ให้กับตนเอง แต่แนวคิดสตรีนิยมก็ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่วิธีที่ถูก เพราะเป็นการลดคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเอง” ...รศ.วิระดา ระบุ

ด้าน นัยนา สุภาพึ่ง ผอ.มูลนิธิธีรนารถ กาญจนอักษร เห็นว่า... เพราะสังคมคาดหวังบทบาทของชาย-หญิงต่างกัน จึง มีการเดือดเนื้อร้อนใจกับพฤติกรรมของเรยามากกว่าพฤติกรรมของเจ้าสัว ทั้งที่เป็นพฤติกรรมเดียวกัน และในเรื่องฐานะเศรษฐกิจชนชั้น ก็ไม่มีการตั้งคำถามกับกรณีเจ้าสัว ดูเป็นเรื่องธรรมดา ยอมรับได้ เข้าใจได้ แต่อาจมีการสรุปว่าผู้หญิงหลายคนยอมเป็นเมียเจ้าสัวเพราะอยากมีฐานะ รักสบาย

นัยนา ทิ้งท้ายว่า... ถ้าในทางกลับกัน หากเรยาเป็นผู้ชาย และใช้วิธีเดียวกัน หาผู้หญิงรวย ๆ เป็นเมีย ก็อาจจะไม่มีการต่อว่า แถมอาจจะเห็นใจอีกด้วย ซึ่งก็มองว่า ’อย่าว่ากล่าวแต่กรณีเรยาเพียงด้านเดียว...

อยากจะให้ย้อนคิดในมุมกลับด้วย!!“.

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 06 พฤษภาคม 2554

นี่คือสังคมไทย
  • 'สังคมตอแหล' - นักการเมืองตอแหล
  • ’สังคมลิเก' - นักการเมืองลิเก
  • ’สังคมดัดจริต' - นักการเมืองดัดจริต

Wednesday, May 4, 2011

ภาษาอังกฤษผิดพลาด

บริษัทดัง ใช้ภาษาอังกฤษผิดพลาด ส่อคุณภาพต่ำ-



จุดที่ผิด คือ all incusive
1. ฝรั่งเขาไม่ใช้แบบนี้ แต่จะใช้ว่า All Included ซึ่งจะหมายถึงรวมทุกอย่างแล้ว
2. พิมพ์ผิด incusive นั้น ถ้าไปเปิดพจนานุกรมนั้น จะหาไม่พบ แต่จะมี inclusive (adj)

ถ้าใช้ได้ถูกต้องจะทำให้ดูดีขึ้นมากอีกหลายโข

Dr.SoS

Tuesday, May 3, 2011

ปลูกต้นไม้เสริมดวง ตามวันเกิด

ปลูกต้นไม้เสริมดวง ตามวันเกิด

เริ่มจากคนที่เกิด วันอาทิตย์ ไม้มงคลประจำวัน คือ มหาลาภ นำโชคลาภมาให้ โป๊ยเซียน ควรจะเป็นสีส้ม หรือสีเหลือง เป็นไม้ที่ปลูกแล้วจะนำโชคลาภมาให้กับผู้ปลูก ส่วนต้นไม้ชนิดอื่นที่เสริมดวงด้านต่างๆคือ โกศล ช่วยคุ้มครองให้อยู่อย่างเป็นสุข จำปา นำโชคลาภมาให้ ชบา นำความสดใสมาให้ ราชพฤกษ์ หรือ คูน ทำให้มีเกียรติและศักดิ์ศรี กุหลาบ(สีเหลืองและส้ม) เพิ่มความสง่างาม

วันจันทร์ ไม้มงคลประจำวัน คือ ว่าน 4 ทิศ นำทางชีวิตที่ดี ส่วนต้นไม้ชนิดอื่นที่เสริมดวงด้านต่างๆคือ วาสนา มีโชควาสนาเกิดความสุขสมหวังตามปรารถนา โกศล ช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข คิดและทำดี มะลิ สร้างความเป็นมงคล มีจิตใจที่บริสุทธิ์ มีความรักคนทั่วไป ราตรี เพิ่มความเป็นสิริมงคล กวนอิม มีฐานะดีร่ำรวย โป๊ยเซียน นำโชคลาภมาสู่ผู้ปลูก จำปี ทำให้มีชีวิตรุ่งเรืองการงานก้าวหน้า พลูด่าง เกิดความเจริญงอกงามในชีวิต

วันอังคาร ไม้มงคลประจำวัน คือ เศรษฐีเรือนนอก ส่วนต้นไม้ชนิดอื่นที่เสริมดวงด้านต่างๆคือ กุหลาบ (แดง-ชมพู) เกิดความสุขสบายใจ ความภาคภูมิ สง่างาม โป๊ยเซียน (แดง-ชมพู) นำมาซึ่งความโชคดี อัญชัน เป็นสิริมงคลแก่คนในครอบครัว โกศล อยู่เย็นเป็นสุข จิตใจดี เกิดคุณงามความดี เข็ม(แดง-ชมพู) เกิดความคิดความอ่านที่ดี พญายอ ชีวิตราบรื่นเป็นสุข

วันพุธ ไม้มงคลประจำวัน คือ เสน่ห์จันทร์ขาว นำมาซึ่งความเมตตา ส่วนต้นไม้ชนิดอื่นที่เสริมดวงด้านต่างๆคือ วาสนา มีวาสนา ความสุขความสมหวัง โป๊ยเซียน (สีเหลือง) นำโชคลาภมาให้ กุหลาบ (สีเหลือง) สุขสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน ชบา (ชบาสีเหลือง) ถูกโฉลกกับคนวันพุธ ขจัดอุปสรรค กล้วย ร่มเย็นเป็นสุขสบายใจ

วันพฤหัสบดี ไม้มงคลประจำวัน คือ ธรณีสาร นำความโชคดีมาให้ ส่วนต้นไม้ชนิดอื่นที่เสริมดวงด้านต่างๆคือ มะลิ มีจิตใจบริสุทธิ์รักผู้คน พุด มั่นคง แข็งแรงสมบูรณ์ กุหลาบ (สีขาว) มีความสูงค่า จิตใจบริสุทธิ์ ราตรี เป็นสิริมงคล จำปี รุ่งเรืองก้าวหน้า

วันศุกร์ ไม้มงคลปะจำวัน คือ ว่าน 4 ทิศ อำนวยโชคมีลาภทั้ง 4 ทิศ ส่วนต้นไม้ชนิดอื่นที่เสริมดวงด้านต่างๆคือ กุหลาบ (แดง-ชมพู) เกิดความสง่างาม ภาคภูมิ อัญชัน ประสบความสำเร็จในชีวิต เข็ม (แดง-ชมพู) ชีวิตก้าวหน้าไกลด้วยดี ชบา (แดง-ชมพู) เป็นสิริมงคลขจัดอุปสรรค โกศล สร้างคุณงามความดี อยู่เย็นเป็นสุข

วันเสาร์ ไม้มงคลประจำวัน คือ เศรษฐีในเรือน นำความร่ำรวยมาให้ ส่วนต้นไม้ชนิดอื่นที่เสริมดวงด้านต่างๆคือ วาสนา เกิดโชควาสนา มะลิ จิตใจบริสุทธิ์ รักผู้คน กวนอิม ฐานะดีร่ำรวย จำปี ชีวิตก้าวหน้ารุ่งเรือง จำปา นำโชค ราชพฤกษ์ หรือคูน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มะม่วง ร่ำรวย

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 04 พฤษภาคม 2554

ผ่าแผนพัฒน์ ฉบับที่ 12 ของจีน

- ผ่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ของจีน

สภาประชาชนจีน (Nation People’s Congress หรือ NPC) ไทยเรียกว่า รัฐสภาจีน ได้อนุมัติร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นแผน 5 ปี ฉบับที่ 12 เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

แผนนี้มี 5 เป้าหมาย คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านเทคโนโลยี ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเกษตร และด้านสังคม

โดยด้านเศรษฐกิจ จีนตั้งเป้าจะขยายตัว 7% ต่อปี ในช่วง 2011 – 2015 จะสร้างงานใหม่ในเขตเมือง 45 ล้านตำแหน่ง ควบคุมการว่างงานในเมืองต่าง ๆ ไม่ให้เกิน 5% คุมสินค้าประจำวันให้มีเสถียรภาพ (ไม่ใช่แปลว่าต้องราคาถูก แต่ต้องไม่ขึ้นลงวูบวาบ) เตรียมรับภาวะการส่งออกที่อาจชะลอตัว ด้วยการเพิ่มกำลังบริโภคภายในประเทศมาทดแทน มุ่งเพิ่มมูลค่าการค้าภาคบริการให้ถึง 47% ของ GDP (คือเพิ่มปีละ 4%) แปลว่า ไม่มุ่งขยายกำลังผลิตของโรงงานมากนักอีกต่อไป และพัฒนาชนบทให้เป็นเมือง จนได้สัดส่วนเมือง / ต่อชนบทเท่ากับ 51.5 / 48.5

ส่วนด้านเทคโนโลยี จีนตั้งงบวิจัยและพัฒนาเพิ่มเป็น 2.2% ของ GDP แปลว่า เราจะได้เห็นผลผลิตจาก Lab และนักคิดนักวิจัยของจีนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดขึ้นอีกภายใน 5 ข้างหน้า จีนมุ่งจะทำให้มีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ 3.3 ชิ้น / ประชากรหมื่นคน นี่จะทำให้คล้ายญี่ปุ่น เกาหลี ที่นักคิดนักประดิษฐ์นั้นก็คือ ประชาชนช่างคิดช่างประดิษฐ์นั่นเอง อาจเป็นการออกแบบกลไกง่าย ๆ แต่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน หรือ เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อน แต่พยายามตอบโจทก์ที่ท้าทาย แม้ไม่ตอบสนองการใช้สอยในชีวิตประจำวัน แต่ก็จะเป็นพื้นฐานสำคัญให้เกิดการก้าวข้าม (Break though) ไปสู่สิ่งประดิษฐ์ที่ทรงมูลค่าสูง คล้ายกับกรณีหุ่นยนต์อะชิโมะของญี่ปุ่น โดยบริษัทฮอนด้าวันนี้ที่เดินได้ วิ่งได้ พูดได้ เท่านั้นแต่วันหน้ามันจะกลายเป็นคนขับรถให้มนุษย์ พร้อมบริการสารพัด เช่น ขับรถไปก็ทำการจองโต๊ะอาหาร จองตั๋วเครื่องบิน จ่ายค่าซักรีด หิ้วกระเป๋าไปเช็คอิน และกอดคุณตอนที่พบหน้าพร้อมอุ้มลูก ๆ ของคุณ และสุนัขจากที่บ้านไปรอรับคุณที่สนามบินก็ได้

ด้านสิ่งแวดล้อม จีนมุ่งประหยัดการใช้พลังงานให้ได้ 16% ลดการปล่อยก๊าซ CO2 17% เพิ่มพื้นที่ป่าไม้เป็น 21.6% เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดให้ได้ 11.4% และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำต่อหน่วย 30% (เพราะน้ำใต้ดินของโลกเข้าถึงภาวะวิกฤตแล้ว)

ด้านการเกษตร จีนจะผลิตธัญพืชให้ได้ไม่ต่ำกว่า 540 ล้านตัน จะรักษาพื้นที่เกษตรให้ไม่ต่ำกว่า 1,818 หมู่

ด้านสังคม จีนจะคุมประชากรให้อยู่ที่ 1,390 ล้านคนใน 5 ปี ข้างหน้า จะเพิ่มอายุขัยเฉลี่ยของคนสูงวัยเพิ่มอีกหนึ่งปี สร้างที่อยู่อาศัยราคาถูกให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 36 ล้านยูนิต เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอย่างน้อย 13% / ปี น่าสนใจที่สุดคือ จะเพิ่มจำนวนอาสาสมัครสังคมให้ได้ 10% ของประชากร นั่นคือ 139 ล้านคน (เพราะหัวใจของอาสาสมัครนั้น คือ พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ชาติใดก็ตามจะมีได้จริง เพราะสร้างสรรค์กว่า ถูกกว่า ทุ่มเทกว่า และมีหัวใจกว่าจ้าง)

อ่านดูแล้วน่าสนใจไหมครับ...

จีนส่งสัญญาณว่า จีนจะลดการพึ่งพาโลกภายนอกลงในระยะยาว แต่จะเน้นการขยายพลังเศรษฐกิจจากภายในประเทศตัวเองเป็นจุดเน้น (ซึ่งน่าจะมั่นคงกว่าควบคุมดูแลได้ดีกว่า) จีนจะก้าวสู่พลังงานร้างสรรค์ และก้าวสู่ผู้นำของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร พลังงานทดแทน การลงทุนใน Low Carbon Society (สอดคล้องกับรายงานการลงทุน หรือ World Investment Report ของ UNCTAD) อุตสาหกรรมชีวภาพ
ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ และก้าวสู่การผลิตอุปกรณ์ชั้นสูง การใช้วัสดุใหม่ (Material Science) และผลิตรถยนต์พลังงานทดแทน

ภาพพจน์ของจีนกำลังจะเปลี่ยนอย่างยิ่งใหญ่ในช่วง 5 ปีนี้แล้วครับ ทัศนะของโลกที่ว่า จีน คือ โรงงานสกปรก ผลิตสินค้าโหล แรงงานไม่มีความรู้ ได้เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่โลกจะคุ้นเคยคล้ายแบรนด์เยอรมัน หรือเกาหลี
ที่ไฮเทคและเชื่อถือได้หรืออาจจะมากกว่านั้น

ส่งท้ายด้วยเรื่องที่ปรากฎในแผนเป็นครั้งแรกคราวนี้ คือ เรื่องพลังทางวัฒนธรรม หรือ Soft Power ของจีน ซึ่งจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนในอนาคต จีนถือว่าจากจุดนี้เป็นโอกาสการเปลี่ยนธรรมเนียมการทำงานการทูตของโลกสากล ที่ยุโรปเคยครองและมีบทบาทมานาน โดยเฉพาะการที่โลกตะวันตกเห็นการเผชิญหน้าทางกฎหมายเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับโลกชาวตะวันออกอย่างจีนแล้ว มิตรภาพและความเข้าใจสำคัญกว่า เพราะถ้าคิดจะอยู่ร่วมต้องคิดอย่างเพื่อนอย่างมิตร ถ้าคิดจะอยู่รอดก็คิดอย่างนักกฎหมาย หรือทนายความ

ส่งท้ายด้วยคำ อาจารย์ประเวศ วะสี ที่เคยสอนผมว่า เวลาเราจะทำอะไรให้สำเร็จ ให้ถอดออกทุกหมวก อย่าเป็นนักอะไรทั้งนั้น อย่าเป็นนักบัญชี อย่าเป็นนักกฎหมาย อย่าเป็นนักการเมือง อย่าเป็นนักการทูต อย่าเป็นนักทหาร อย่าเป็นนักการศึกษา อย่าเป็นข้าราชการ แต่ให้เป็น... มนุษย์...ครับ

ขอจบลงด้วยจิตคารวะครับ

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา


ที่มา: ผ่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีน ฉบับที่ 12 เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 21 เมษายน 2554