Friday, April 30, 2010

ลดความตาย ทำไมคนเป็นจึงเดือดร้อนกว่าคนตาย (โลกสดใส-กายสุขสันต์)

เคยอยากถามคนในสังคมไทย มานานแล้วว่า "ทำไม คนที่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์จึงไม่ค่อยห่วงตัวเองเหมือนคนเป็น ที่พยายามอย่างเหลือเกิน ที่จะไม่มีสถิติคนตายเพราะการใช้รถเพิ่มขึ้น"

ที่ อยากรู้เพราะ เห็น แต่ข่าว คนเป็น ทั้งองค์กรณ์ของรัฐ องค์กรของเอกชน พยายามจะสร้างกฎ สร้างระเบียบ สร้างโครงการต่างๆ ขึ้นมาเพื่อหาทางลดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน เริ่มตั้งแต่ ให้รู้จักกฎจราจร ให้รู้จักการใช้รถอย่างปลอดภัย ให้รู้จัก วิธีเอาตัวรอดเมื่อต้องเจอกับอุบัติเหตุ แม้กระทั่ง พยายามห้าม ไม่ให้ ผู้ใช้รถใช้ถนน ดื่มเครื่องดองของเมา ที่จะทำให้ ศักยภาพในการขับรถถดถอยลงไป

แต่แม้ "คนเป็น"เหล่านี้จะใช้ความพยายามทุกอย่าง สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ก็ไม่มีผลลัพธ์ออกมาเป็นที่พอใจ

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) เปิดเผยให้ทราบเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้ใช้รถใช้ถนน ในปี 2553 นี้ว่า การเสียชีวิตของผู้ขับขี่และโดยสารรถปิกอัพ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากปี 2552 อยู่ที่ 13.39% เป็น 17.78% หรือ 1 ใน 5 ของผู้เสียชีวิต และยังพบว่า รถปิคอัพเป็นคู่กรณีที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ 27.46% เป็น 30.37% และในช่วงการเดินทางไป กลับ วันที่ 12 เม.ย. รถปิคอัพเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 42.65% และวันที่ 17 เม.ย. รถปิคอัพเป็นต้นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 48.94% ทั้งนี้ การเข้มงวดผู้กระทำผิดแม้ว่าจะมียอดการเรียกตรวจลดลง แต่สามารถบังคับคดีได้ถึง 501,593 ราย หรือเพิ่มขึ้น 23% โดยเฉพาะกรณีขับขี่รถเร็ว จับกุมได้เพิ่มขึ้นถึง 47% ส่วนคดีอื่นที่เป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ สามารถจับกุมกรณีขับรถย้อนศร 19,410 ราย ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 14,536 ราย ใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถ 8,624 ราย และ แซงในที่คับขัน 8,603 ราย ซึ่งหากหยุดพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยระงับให้เกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่ง จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าภาพรวมของการเกิดอุบัติเหตุลดลงเพียงเล็ก น้อย

โดย นายแพทย์ ธนะพงศ์ กล่าวให้ความเห็น ว่า มาตรการที่ดำเนินการอยู่อาจไม่เพียงพอ ดังนั้นการวางนโยบายการป้องกันอุบัติเหตุจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้กฎหมายให้เข้มงวด ประเมินผลและปรับเปลี่ยนทรัพยากร รวมทั้งแนวทางการทำงาน รวมทั้งศึกษามาตรการที่ปลอดภัยในการโดยสารรถประเภทต่างๆ และทบทวนมาตรการควบคุมการเมาแล้วขับ โดยเฉพาะในเยาวชน เพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตด้วย

จาก ข้อมูลดังกล่าว แสดงให้รู้ว่า ในสังคมไทยทุกวันนี้ ยังมี "คนเป็นๆ" ที่เป็นห่วงความเป็น ความตายของ ผู้ขับขี่รถยนต์อย่างเต็มที่ แต่ คนซึ่ง "ตายไปแล้ว"เหล่านั้น จะเข้าใจบ้างไหมว่า ทำไม คนตาย(ที่ยังอยู่) จึง ยังคงห่วง คนตาย(ที่ตายไปแล้ว)

หากจะ ให้ คนเป็น ตอบ คงบอกได้ว่า เพราะ คนเป็นวันนี้ ไม่อยาก ให้ คนเป็น ต้องกลายเป็น คนตายในวันข้างหน้า นั่นเอง

ส่วน ใครจะเชื่อมากน้อยแค่ไหน คงต้องขึ้นอยู่กับ ใจของคนแต่ละคน ว่า ตัวเองจะ ตั้งเป้ามหมายในชีวิต ว่าจะ มีสถานภาพในประเภทใด ...จะเป็น คนเป็น(ที่ห่วงคนตาย)ต่อไป หรือ จะ เป็น คนตาย (ที่ไม่ใส่ใจกับคนเป็นต่อไป)

หากคิดได้ว่า การ อยู่ ในสถานภาพ "คนเป็น" ดีกว่า อยู่ในสถานภาพ "คนตาย" ก็ขอให้ เชื่อในคำแนะนำของ คนเป็น กันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆที่มี วันหยุดยาวนาน เพราะ ในช่วงเทศกาลดังกล่าว คนส่วนใหญ่มักจะออกนอกบ้านเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆมากขึ้น จึงทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นตามไปด้วย

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) กล่าวถึงการวิเคราะห์สถิติการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ว่าอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลคงที่มาเป็นเวลา 4 ปี อยู่ระหว่าง 361-373 ราย หรือ 52 รายต่อวัน เมื่อพิจารณาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ พบว่า ข้อมูลผู้เสียชีวิต ทั้งผู้ขับและโดยสารที่ ทราบประวัติการดื่มสุรา จากศูนย์นเรนทร สาเหตุหลักยังเป็นเมาสุรา 39.36 % สัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 58.6% สูงกว่าสัดส่วนในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยผู้เสียชีวิตช่วงเทศกาลเกินครึ่งหรือ 59.3% เป็นผู้ขับขี่หรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ในจำนวนนี้ 91% ไม่สวมหมวกกันน็อค และยังพบว่าวันที่ 14 เม.ย. ผู้เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์ทั้งหมด 100% ไม่สวมหมวกกันน็อค

จาก ข้อมูลอันหลังนี้ เห็นได้ชัดเจนถึงอันตรายจากการขับขี่จักรยานยนต์ ในรูปลักษณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก และ ทำให้เห็นเพิ่มเติมอีกว่า อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์นั้น ง่ายกว่า การขับขี่รถประเภทอื่นๆ เลยทำให้ คิดว่า จะมีใคร นึกถึง ต้นเหตุแห่งการเกิดความตายที่เป็นต้นตอกันบ้างไหม

ทุก วันนี้ การหาซื้อ จักรยานต์เพื่อมาใช้ขับขี่ มันง่ายยิ่งกว่า การซื้อวัว ซื้อควายซะอีก คน โดยเฉพาะพวกวัยรุ่นจึงมีโอกาสง่ายที่จะเป็นเจ้าของจักรยานยนต์

และ เมื่อ โอกาสการเป็นเจ้าของ ของพวกวัยรุ่นต่อการมีจักรยานยนต์ได้ง่ายขึ้น ปริมาณวัยรุ่น วัยคะนองที่ใช้จักรยานยนต์ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

เมื่อ เป็นอย่างนี้ โอกาสที่จะให้สถิติการตายเพราะจักรยานยนต์ของพวกวัยรุ่นลดลงคงจะเป็นไปได้ ยาก

"99บาท ออกรถได้เลย" "ปานมณี"แก่จนปานนี้แล้ว เห็นป้ายเชื้อเชิญแบบนั้น ยังอยากจะเดินเข้าไปออกรถจักรยานยนต์มาขี่สักคันเลย

ปานมณี

ที่มา: นสพ.แนวหน้าออนไลน์ 28/4/2010

ความเหมาะสมแห่งวัย งานแห่งชาติที่ผู้ใหญ่ต้องใส่ใจ

.. ในเมื่อสังคมวันนี้ ผู้ใหญ่ยิ่งดื้อ ยิ่งไม่ใช้สมองคิด มากเท่าไร วิถีชีวิตของเด็กก็ยิ่งแย่กว่าผู้ใหญ่อีกเป็นทวีคูณ

พูดง่ายๆก็คือ เมื่อผู้ใหญ่ไม่ดี และไม่สามารถทำดีให้เด็กเห็นได้ ก็ไม่สามารถอบรมสั่งสอนให้เด็กเชื่อถือที่จะทำความดีได้ด้วย

ดัง นั้น การจะปลูกฝังให้เด็กเป็นคนดี จะต้องมีตัวอย่างที่ดีของผู้ใหญ่ก่อน

มิ ฉะนั้นมันก็จะไม่แตกต่างจากไปลักษณะของแม่ปูที่เดินโย้เย้พาลูกปูเดินตามกัน ไปเป็นกระพรวนหรอก แล้วแม่ปูก็ดุด่าลูกปูว่า ให้เดินตรงๆหน่อยซี

สังคม ไทยวันนี้ ความพิการของสังคม เกิดขึ้นจากคุณภาพชีวิตของผู้ใหญ่ เมื่อคุณภาพชีวิตของผู้ใหญ่ไม่ดีเสียแล้ว ก็จะส่งผลต่อเนื่องมาถึงเด็ก

เมื่อ สังคมไม่ดีของผู้ใหญ่คุกคามเข้ามาสู่สังคมที่บริสุทธิ์ของเด็กๆ เด็กเหล่านั้นก็จะซึมซับสิ่งไม่ดีทั้งหมดใส่ไว้กับตัวเอง โดยแยกไม่ออกเลยว่า อะไรควรอะไรไม่ควร

จึงบอกได้เลยว่า การจะจัดเรตติ้งทางทีวี โดยตั้งความหวังจะให้ เด็กได้รับ และได้พบเห็นแต่สิ่งที่ดีๆนั้น.....ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน

เหตุผล เพราะ เด็กสามารถตื่นลืมตามาดูสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ให้ดูได้อย่างสบายๆ ในยามค่ำคืนที่มีรายการที่ไม่ให้เด็กดู

เหตุผล เพราะเด็กยิ่งรู้ว่า มีรายการต้องห้ามของเด็กอยู่ในช่วงใดๆ เด็กจะตั้งตารอคอย....เหมือนพวกผู้ใหญ่ที่รอดูรายการฟุตบอลตอนตีสองตีสาม นั่นแหละ

ผู้ใหญ่ยังทำได้ แล้วทำไมเด็กจะทำไม่ได้

นอกจาก เหตุผลดังกล่าวแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นๆอีก ที่สามารถทำให้เด็กพบกับสิ่งที่ไม่ดีได้ โดยผู้ใหญ่ลืมนึกถึง

สิ่ง ที่ว่านี้คือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์

ท่ามกลางการเอาเป็นเอาตาย ที่ผู้ใหญ่จะจัดเรตติ้งรายการทีวีให้เด็กดู

แต่จะมีผู้ใหญ่คนใดนึก บ้างว่า สิ่งที่เด็กถูกมอมเมาอย่างเอาเป็นตายในเวลานี้นั้น ไม่ใช่มาจากรายการทีวีหรอก แต่มาจาก การโฆษณาที่ยัดเยียดเด็กอยู่ทุกวี่ทุกวันนั่นเอง

จะมีใครคิดควบคุม เรตติ้งโฆษณา และควบคุมพฤติกรรมของผู้ใหญ่บ้างไหม

ถ้าทำได้ ไม่ต้องไปจำกัดเรตติ้งทีวีหรอก เพราะทุกวันนี้รายการทีวีไทย ล้วนแล้วแต่หน่อมแน้ม สร้างแรงจูงใจให้กับคนดูไม่ได้หรอก ....นอกจากสร้างความเขลาให้แก่คนดูได้เท่านั้นเอง

ปานมณี

ที่มา: แนวหน้าออนไลน์ 13/6/2007

Thursday, April 29, 2010

ปฏิรูปผิดพลาด 10 ปี คุณภาพการศึกษายิ่งสาหัสขึ้นทุกที

** นักการศึกษาชี้ “โอเน็ต “ตกต่ำเพราะ ปฏิรูปผิดพลาด 10 ปี คุณภาพการศึกษายิ่งสาหัสขึ้นทุกที จี้ “อภิสิทธิ์” รับเจ้าภาพ ดูแลเอง

วันที่ 7 เม.ย.52 จากผลการวิเคราะห์คะแนนสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอ เน็ต ระดับชั้น ป.6 , ม. 3 และ ม.6 ซึ่งพบว่า คะแนนเฉลี่ยตกหมดทุกวิชา แสดงถึงคุณภาพเด็กไทยที่ตกต่ำลงนั้น

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผย ว่า ข้อมูลของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) แสดงให้เห็นว่าเด็กไทยยิ่งอยู่ในระบบการศึกษานานเท่าไร ยิ่งคุณภาพลดต่ำลง และปัญหาคุณภาพการศึกษาก็ลามเข้ามาถึงระดับอุดมศึกษาแล้ว เพราะได้เด็กที่มีด้อยคุณภาพเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งนี้คุณภาพการศึกษาที่ดิ่งเหวลงไปทุกขณะ กลับไม่มีเจ้าภาพหรือฝ่ายใดเข้ามาแสดงความรับผิดชอบ ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการประจำ จึงยิ่งทำให้คุณภาพการศึกษาสาหัสขึ้นทุกที แต่หาผู้รับผิดชอบไม่ได้

รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่พบได้ชัดเจนจากการสอบโอเน็ต 4 ปีที่ผ่านมาคือข้อสอบโอเน็ตของ สทศ.เน้นการคิด วิเคราะห์ หาเหตุผล แต่กระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนยังเป็นแบบท่องจำ 80-90% เป็นเรื่องที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เป็นตลกทางการศึกษาที่ขำไม่ออก ดังนั้นโรงเรียนจะต้องเปลี่ยนวิธีการสอน และกระบวนการเรียนรู้ครั้งใหญ่ ส่วนฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รมว.ศึกษาธิการ ควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษา เพราะไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยวางเป้าหมายไว้ว่า 2 ปีจากนี้ จะยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างไร เช่นร่วมมือกับกระทรวงอื่นๆ ในการผลิตซอฟแวร์และกระจายองค์ความรู้ในวิชาหลักทั้ง 5 ไปให้ถึงตัวเด็ก ผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล ทั้ง ช่อง 11 และ ทีวีไทย

“10 ปีของการปฏิรูปการศึกษา ได้ผลิดอกออกผลออกมาแล้วว่า คุณภาพของเด็กไทยลดต่ำลงเรื่อยๆ เป็นการล้มเหลวด้านคุณภาพการศึกษาอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันครูและบุคลากรทางการศึกษาก็ก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน เข้าสู่เงินเดือนและวิทยฐานะใหม่ ได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่ผิดพลาดมหาศาล เป็นผลร้ายของการปฏิรูปการศึกษาในรอบที่ผ่านมา ผมอยากเสนอว่า งานการศึกษาอยู่เหนือบ่ากว่าแรงของนายจุรินทร์ และ รมช.ศึกษาธิการ 2 คนแล้ว ควรให้นายอภิสิทิธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ลงมาดูแล้วเองได้แล้ว”รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

ที่มา: สยามรัฐออนไลน์ 7 เมษายน 2552
================

วิธีการประเมินวิทยฐานะของคุณครู อาจารย์ทั้งหลายก็ผิดพลาด เพราะไม่ได้เน้นการนำผลการสอนมาพิจารณา แต่เน้นการทำวิจัยที่ไม่เหมาะสม ทำให้มีการจ้างการทำผลงานต่าง ๆ มัวแต่นั่งติดตามผลงานของตัวเอง จนลืมเด็กนักเรียนตาดำ ๆ แล้วเด็กจะมีความรู้ไปได้ยังไง ..เฮ้อ เหนื่อยใจจิง ๆ

ชีวิตเป็นของมีค่า: Life is a gift

เรื่องราวซึ้ง ๆ ของหญิงสาวตาบอดคนหนึ่ง ที่เกลียดตัวเอง เกลียดโชคชะตาที่ทำให้เธอตาบอด จนพาลไปเกลียดทุก ๆ คนรอบตัวเธอไปด้วย แต่ทว่าเธอกลับทุ่มสุดหัวใจรักแฟนหนุ่มที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอ และให้กำลังใจเธอในทุก ๆ สถานการณ์ เธอบอกกับแฟนหนุ่มของเธอว่า “ถ้าฉันได้กลับมาเห็นโลกที่สวยงามอีกครั้ง ฉันจะแต่งงานกับเธอ”

และแล้ววันหนึ่งได้มีผู้ใจบุญบริจาคดวงตามาให้เธอ หลังจากการผ่าตัดที่ผ่านพ้นไปด้วยดี และแล้วก็มาถึงวันที่ถอดผ้าพันแผลออก ทำให้เธอได้มองเห็นโลกอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งได้เห็นแฟนหนุ่มที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด แล้วแฟนหนุ่มก็ถามเธอว่า “ผมดีใจที่คุณมองเห็นอีกครั้งหนึ่ง ผมอยากจะขอคุณแต่งงานตามที่สัญญากันไว้ คุณจะแต่งงานกับผมมั้ยครับ”

หญิงสาวมองหน้าแฟนหนุ่มของเธอและเห็นว่า แฟนหนุ่มของเธอนั้นตาบอด เธอตกใจอย่างมากกับตาที่ปิดสนิทของแฟนหนุ่ม และไม่คาดฝันมาก่อนว่าแฟนหนุ่มของเธอนั้นตาบอด เธอคิดว่าเธอคงทนไม่ได้ ที่จะต้องอยู่ ต้องเห็นแฟนหนุ่มที่ตาบอดนี้ไปตลอดชีวิตของเธอ ทำให้เธอปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเค้า

แฟนหนุ่มของเธอจากไปพร้อมกับความเศร้าโศกเสียใจ และ น้ำตาที่นองหน้า และหลายวันต่อมาเธอก็ได้พบข้อความที่แฟนหนุ่มเขียนให้เธอว่า “ช่วยดูแลตาของคุณให้ดีที่สุดนะครับที่รัก เพราะก่อนที่ตาคู่นี้จะเป็นของคุณ มันเคยเป็นของผมมาก่อน”

นี่คือเรื่องราวที่อาจจะเกิดกับใครหลาย ๆ คน โดยเมื่อสถานะของเราเปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้ความคิดเปลี่ยนตามไปด้วย บางคนลืมไปเลยว่าชีวิตในอดีตของตนเคยเป็นอย่างไรมาก่อนหน้านี้ ลืมสิ่งที่เคยมีความสำคัญกับเราอย่างมากในอดีต และบางครั้งก็ลืมไปว่าใครที่เคยอยู่เคียงข้างเรา ช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ชีวิต คือ ของขวัญอันล้ำค่า
ในทุกวัน ก่อนที่เราจะพูดถ้อยคำที่หยาบคาบ หรือ ทำร้ายจิตใจใคร ออกไปนั้น จงนึกถึงคนที่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เปล่งเสียงพูดออกมา

  • ก่อนที่จะบ่นถึงรสชาดอาหารที่รับประทาน จงนึกถึงคนที่ไม่มีแม้แต่อาหารที่จะกินในแต่ละมื้อ
  • ก่อนที่เราจะบ่นถึงข้อเสียของภรรยาหรือสามีนั้น จงนึกถึงคนที่เฝ้าสวดมนต์ขอพรเพียงเพื่อจะมีเพื่อน หรือคนมาเคียงข้างเท่านั้น
  • ก่อนที่เราจะบ่นถึงการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน จงนึกถึงบางคนที่ต้องเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
  • ก่อนที่เราจะบ่นเรื่องที่ลูก ๆ ของเรา จงนึกถึงคนที่พยายามอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะมีลูกได้
  • ก่อนที่เราจะว่าบ้านเราสกปรก รกรุงรัง เพราะสมาชิกในบ้านไม่ใส่ใจทำความสะอาด จงนึกถึงคนที่ต้องใช้ชีวิตอันแสนลำบากอยู่ข้างถนน
  • ก่อนที่จะบ่น และรู้สึกท้อกับระยะทางที่คุณต้องขับรถไป จงนึกถึงคนที่จำเป็นต้องเดินทางในระยะทางเดียวกับเรา ด้วยการเดินเท้า
  • ก่อนที่เราจะรู้สึกเหนื่อย ท้อ และ บ่นถึงงานที่ทำ และรับผิดชอบอยู่ จงนึกถึงผู้พิการที่ยินดีจะแลกทุกอย่าง เพียงเพื่อมีโอกาสได้ทำงานแบบเรา
  • ก่อนที่เราจะชี้มือด่าว่า หรือวิจารณ์ข้อผิดพลาดของผู้อื่น จงคำนึงว่าเราทุกคนต่างก็เคยมีความผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น และเมื่อความรู้สึกสลด หดหู่ พยายามจะทำให้เรารู้สึกต่ำต้อย จงต่อสู้ด้วยใบหน้าที่เต็มใบด้วยรอยยิ้มของเรา และคิดเสมอว่า เรายังมีชีวิตที่เป็นของขวัญอันล้ำค่าอยู่
  • ถ้าเราให้อภัยคุณที่คุณเคยทำอะไรผิดหรือเคยทำอะไรแย่ ๆ แล้วคุณจะให้อภัยคนอื่นไหม

Tuesday, April 27, 2010

หมอแนะสตรีมีอาการก่อนมีประจำเดือนกินยา แล้วออกกำลังกายฝึกสมาธิช่วยได้

อาการก่อนมีประจำเดือนของผู้หญิงส่งผลกระทบต่อการทำงานและกิจกรรมทาง สังคม รวมทั้งกระทบถึงความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้างอีกด้วย ทั้งนี้จากการประชุมวิชาการของราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย

วันที่ 22 เม.ย. 2553 ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันผู้หญิงไทยจำนวนมากไม่รู้จักและไม่ทราบด้วยว่าตัวเองมีอาการไม่พึง ประสงค์ก่อนมีประจำเดือน หรือกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน อีกทั้งยังไม่มีการตื่นตัวเกี่ยวกับกลุ่มอาการดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่จะกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ส่งผลให้ผู้หญิงไทยจำนวนมากต้องเผชิญภาวะเครียด หงุดหงิด และอารมณ์แปรปรวน โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ ซึ่งอาจมาจากอาการดังกล่าว และนับวันสถานการณ์กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนในผู้หญิงไทยยิ่งมีแนวโน้มสูง ขึ้น ก่อให้เกิดความแปรปรวนทางร่างกายและจิตใจ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความสัมพันธ์ต่อผู้คนรอบข้าง

อาจารย์ หมอสุรศักดิ์กล่าวต่อว่า ทางวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข จุฬาฯ ได้ทำการวิจัยโดยการสำรวจ ภายใต้หัวข้อ "กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนในผู้หญิงไทย" ซึ่งพบว่า กลุ่มอาการดังกล่าวแบ่งเป็น อาการทางด้านร่างกาย อาทิ คัดตึงเต้านม, ท้องอืดน้ำหนักขึ้น, ปวดศีรษะ, มือเท้าบวม, นอนไม่หลับ และอยากอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีอาการทางอารมณ์ อาทิ หงุดหงิด, กระวนกระวาย, ซึมเศร้า, อารมณ์แปรปรวน, สับสน, เครียด, ขาดสมาธิ, ปลีกตัวออกจากสังคม และจากการสำรวจในกลุ่มผู้หญิงไทยอายุระหว่าง 18-45 ปี อาศัยในเขตกรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 100 คน พบว่า 58% ของผู้หญิงไทยเกิดกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน โดยได้ รับผลกระทบทางด้านอารมณ์มากที่สุด และก่อให้เกิดความกังวลมากกว่าผลกระทบด้านร่างกาย นอกจากนี้ปัจจัยทางด้านสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงความ เครียดและวิถีการดำเนินชีวิต เป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนได้เช่นกัน ส่วนวิธีการปฏิบัติสำหรับผู้มีอาการดังกล่าว คือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต และฝึกควบคุมจิตใจและอารมณ์ รับประทานวิตามิน อาจช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง

นอกจากนี้ นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ ภาควิชา สูติศาสตร์นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงผลการวิจัยสารดรอสไพริโนนในฮอร์โมนสูตร 24/4 ที่ล่าสุดได้มีการคิดค้นยาคุมกำเนิดสูตร 24/4 ประกอบด้วยสารโปรเจสโตเจน สังเคราะห์ตัวใหม่ ซึ่งองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา ให้การรับรองว่า สามารถรักษาอาการอันเนื่อง มาจากกลุ่มอาการก่อนมีประเดือนชนิดรุนแรงได้ โดยผลจากการวิจัยพบว่า สารดรอสไพริโนนในฮอร์โมนสูตร 24/4 มีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา ใกล้เคียงกับฮอร์โมนโปรเจสโตเจนในธรรมชาติ จะช่วยในกลไกยับยั้งการบวมคั่งของน้ำในร่างกาย ตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มโดยไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้ สารตัวนี้ยังช่วยในกลไกรักษาสิว อย่างไรก็ตาม การรักษาหรือกินยา ในกรณีของผู้มีอาการก่อนมีประจำเดือนควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม พร้อมควรปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ฝึกสมาธิ เพื่อให้จิตใจสงบ, พักผ่อนให้เพียงพอ หรือหลีกเลี่ยงความเครียด เป็นต้น

ที่มา: ไทยรัีฐออนไลน์ ทีมข่าวหน้าสตรี อังคารที่ 27 เมษายน 2553

วอลโว่ เรียบร้อยโรงเรียนจีน

สวีเดน - "วอลโว่" ยอดยนตรกรรมนิรภัย ต้องเปลี่ยนสัญชาติเป็นจีนเรียบร้อยแล้ว

หลังซีเจียง กีลีฯ ควัก กระเป๋า 1.8 พันล้านดอลล์ เข้าซื้อกิจการจากฟอร์ด หวังสยายปีกบุก ยุโรป

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า "ซีเจียง กีลี โฮลดิง กรุป" บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในจีน แผ่นดินใหญ่ ได้ลงนามภายหลังจากบรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการทั้งหมดของ วอลโว่ จากบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ จำนวนมูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

รายงานข่าวแจ้งว่า การตกลงเข้าซื้อกิจการวอลโวข้างต้น จะนำเสนอ ให้คณะกรรมการ จัดระเบียบด้านตลาดหลักทรัพย์พิจารณาอนุมัติอีกครั้ง ภายหลัง จากทั้งซีเจียง กีลี โฮลดิง กรุป ลงนามใน ข้อตกลง ซึ่งมีขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของวอลโว่ คาร์ส ในเมือง

โกเต เบิร์ก ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสวีเดน

พร้อมกันนี้ รายงานข่าวระบุว่า หลี่ ซูฟู ประธานผู้บริหารของกีลี และเลวิส บูธ ประธาน ผู้บริหารฝ่ายการเงินของฟอร์ด ซึ่งเป็นคู่สัญญาการซื้อขาย และหลี่ ยี่ ซง รัฐมนตรี อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน พร้อมด้วยมาอุด โอโลฟส์ สัน รัฐมนตรี ธุรกิจและพลังงานของสวีเดน ในฐานะพยาน ได้ลงนามร่วมกันในข้อตกลงซื้อขาย ดังกล่าว

รายงานข่าวยังเผยด้วยว่า การตัดสิน เข้าซื้อกิจการวอลโว่จากฟอร์ดอย่างเต็มรูป แบบของ ซีเจียง กีลี โฮลดิง กรุป ในครั้งนี้ มีขึ้นตามวัตถุประสงค์ของผู้ผลิตรถยนต์อิสระ ของจีน แผ่นดินใหญ่รายนี้ ที่ต้องการขยายรุกตลาดรถยนต์เข้าไปในภูมิภาค ยุโรป ควบคู่ไป การ จำหน่ายในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งได้รับการคาดหมายจากหลายๆ ฝ่ายว่า ประเทศจีนจะเป็นตลาด รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ภายหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง ก็ได้แถลง ข่าวร่วมกันว่า มีความเชื่อมั่นเป็น อย่างยิ่งว่า จากการที่วอลโว่เข้าไปร่วมกิจการกับซีเจียง กีลี โฮลดิง กรุป ก็จะทำให้การ พัฒนาและการบริหาร รวมถึงการจัดจำหน่ายเพื่อทำกำไรของวอลโว่ เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ที่มา: นสพ.สยามรัฐออนไลน์ 29 มีนาคม 2553

เงินหยวนกับการเข้าสู่เงินสกุลหลักโลก...

จีนกำลังก้าวสู่มหาอำนาจเศรษฐกิจโลกใหญ่อันดับ สองภายในปี 2010 นี้อย่างแน่นอน ดัชนีชี้ความแข็ง แกร่งทางเศรษฐกิจของจีนที่สำคัญ คือ เงินหยวน ที่มีเสถียรภาพมากในขณะนี้ และมีการคาดกันว่าอีกไม่ถึง 5 ปี ค่าเงินหยวนจะขยับเป็นเงินสกุลหลัก (Hard Currency) อย่างแน่นอน ดังนั้นจึง ขอเสนอบทความที่เขียนโดย อาจารย์ ดร.ธิดารัตน์ โชคสุชาติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ และ อาจารย์ทรรศ จันทร์ ปิยะตันติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเป็นข้อมูลตอกย้ำความสำคัญของเงินหยวนในตลาดโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ ดังนี้

ที่ผ่านมาการเลือกสกุลเงินที่ใช้ทำการค้าระหว่าง ประเทศนั้นต้องเป็นสกุลเงินของประเทศที่เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งและมี เสถียรภาพ ในศตวรรษที่ 18 - 19 เงินปอนด์ของอังกฤษเป็นเงินสกุลหลักที่ใช้ในการค้าขายโดยมีเงินสกุลฟรังก์ ฝรั่งเศส และเงินมาร์กของเยอรมนีเข้ามามีบทบาทบ้าง ดังนั้นในสมัยนั้นเงินทุนสำรองของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินปอนด์ จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ชนะ สงครามและบอบช้ำจากสงครามน้อยที่สุดได้กลายเป็นผู้ให้กู้และผู้ให้เงินช่วย เหลือรายใหญ่ในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ การค้าขายหรือให้กู้ยืมเงินระหว่างประเทศจึงกระทำกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์สหรัฐก็มีบทบาทเพิ่มขึ้นในเวทีโลกนับตั้งแต่นั้นเรื่อยมา (www.news.quickze.com) จน กระทั่งปี 2009 สหรัฐอเมริกาประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากวิกฤติการณ์ทางการเงิน เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจึงมีความอ่อนแอลง ในขณะที่ประเทศจีนแม้จะได้รับผลกระทบอยู่บ้างจากวิกฤติการณ์ดังกล่าว แต่ก็ยังสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของตนเองอย่างต่อเนื่องได้และยังมีเงินทุนสำรอง ระหว่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาลจนกลายเป็นความหวังใหม่ของประชาคมโลก

นอกจากนี้จากการประมาณการของ Fogel (2009) พบว่า ในปี 2040 ประเทศจีนจะมีขนาด เศรษฐกิจ หรือ GDP ที่ มากกว่าสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อรวมกับอินเดียแล้ว การเจริญ เติบโตของสองประเทศจะคิดเป็นร้อยละ 51 ซึ่งมากกว่าการเจริญเติบ โตของสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นรวมกันที่มีเพียง ร้อยละ 21 (ภาพที่ 1)

ภาพที่ 1 การเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
ต่างๆ ในโลก ปี 2000 เปรียบเทียบกับปี 2040

ในขณะเดียวกันนักวิจัยฝ่ายการเงินและการค้าของ สถาบันสังคมแห่งประเทศจีนได้แสดงความคิดเห็นในงานสัมมนาการดำเนินนโยบายด้าน เศรษฐกิจมหภาคของจีนครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2552 ไว้ ว่า อีก 20 ปีในอนาคต GDP ของ ประเทศจีนจะครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 20 ใน GDP ทั้งหมดของโลก และปริมาณการหมุนเวียนของเงินหยวนก็จะครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 20 ในการหมุนเวียนของเงินทั้งหมดในโลก เมื่อถึงเวลานั้น คาดว่าตลาดการเงินของโลกจะมีเงินสกุลยูโร ดอลลาร์สหรัฐ และเงินหยวน เป็นเงินสกุลหลัก 3 สกุล อาจกล่าวได้ว่าเป็นการตอกย้ำความมีอิทธิพลของเงินหยวนในอนาคต และไม่น่าแปลกใจที่ประเทศจีนจะแสดงความพร้อมในการนำสกุลเงินหยวนขึ้นเป็น สกุลเงินหลักคู่กับเงินดอลลาร์ และหากประสบความสำเร็จเงินหยวนก็อาจกลายเป็นเงินสกุลหลักสกุลใหม่ของโลกไป จริงๆ ที่ผ่านมาจีนได้พยายามรักษาเสถียรภาพค่าเงินหยวนอย่างเต็มที่แม้จะถูกแรงกด ดันจากประเทศตะวันตกให้ปรับเพิ่มค่าเงินหยวนมาตลอดเวลาเกือบทศวรรษที่ผ่านมา ความสามารถในการรักษาค่าเงินหยวนให้มีเสถียรภาพอย่างมั่นคงตลอดมาถือเป็นการ เร่งผลักดันให้เงินหยวนมีอิทธิพลในตลาดโลกมากขึ้นบ้างแล้ว สรุปได้ดังนี้

1. ในปัจจุบันเงินหยวนมีการไหลออกสู่ต่าง ประเทศในปริมาณมากขึ้น เนื่องจากเมื่อเศรษฐกิจจีนเริ่มมีอิทธิพล เงินหยวนก็เริ่มเป็นที่ต้องการส่งผลให้หลายประเทศเริ่มมีการถือครองเงินหยวน เพิ่มมากขึ้น เช่น เวียดนาม รัสเซีย เกาหลีเหนือ พม่า ลาว ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย อาเจนตินาร์ เกาหลีใต้ เป็นต้น โดยเฉพาะในฮ่องกงนั้นมีเงินหยวนไหลเวียนอยู่มากถึง 70,000 ล้านหยวน (ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน กรุงปักกิ่ง, 13 พฤศจิกายน 2552)

2. จีนได้ทำข้อตกลงสว็อปเงินกับหลายประเทศ อาทิเช่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเลเซีย รัสเซีย อินโดนีเซีย อาร์เจนตินา รวมมูลค่าการสว็อปเงิน 650,000 ล้านหยวน (www.nidambe11.net/ekono miz/2009)

3. เมื่อเดือนเมษายน 2552 จีนได้ประกาศให้ เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น จูไห่ และตงก่วน เป็นเมืองทดลองที่สามารถติดต่อการค้ากับฮ่องกงและมาเก๊า โดยใช้เงินหยวนจีน นอกจากนี้ยังเตรียมแผนทดลองใช้เงินหยวนในการทำการค้าระหว่างประเทศระหว่าง มณฑลยูนนาน เขตปกครองตนเองกวางสี และกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งนี้รัฐบาลจีนประเมินว่า แผนทดลองใช้เงินหยวนในการทำการค้าระหว่างประเทศดังกล่าวจะช่วยเพิ่ม เสถียรภาพด้านการค้าระหว่างประเทศของจีน ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของสกุลเงินระหว่างประเทศให้กับผู้ส่งออก และเสริมสถานะของเงินหยวนในระบบการเงินโลก ปัจจุบันธนาคารประชาชนแห่งชาติจีน สาขาเซี่ยงไฮ้กำลังเตรียมทดสอบระบบการใช้เงินหยวนในการทำการค้าระหว่าง ประเทศ ซึ่งจะครอบคลุมเพียงด้านการซื้อขายสินค้า เช่น เหล็ก ปิโตรเคมี และอุปกรณ์การผลิต

4. เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีปัญหา หลายประเทศจึงหันมาใช้เงินหยวนเป็นสกุลเงินในการติดต่อการค้ามากขึ้น

5. รัฐบาลจีนกำลังมีโครงการที่จะให้ความ ช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศอื่นๆ โดยใช้เงินสกุลหยวน เพื่อผลักดันให้เงินหยวนมีการใช้กันอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความพร้อมและความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของจีนเพียงประการเดียวก็ไม่อาจสนับ สนุนให้เงินหยวนเป็นเงินสกุลหลักของโลกหรือแม้แต่ของอาเซียนได้ ทั้งนี้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสมและประโยชน์ สูงสุดที่ประเทศจะได้รับจากการมีเงินทุนสำรองเป็นสกุลเงินหยวน โดยอาจพิจารณาถึงนโยบายของประเทศจีนเป็นสำคัญ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ไม่ควรจะมองข้ามก็คือ แม้ประเทศจีนจะมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ความเชื่อถือของประเทศต่างๆ ที่มีต่อสกุลเงินดอลลาร์ยังคงปรากฏอยู่ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาก็กำลังมีความพยายามอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภาย ในประเทศของตนเอง และยังไม่ได้ลดบทบาทในฐานะประเทศอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินหยวนกำลังเพิ่มศักยภาพของตนเองมากขึ้นไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาของประเทศจีน ประเทศต่างๆในโลกยอมรับการทำการค้าของจีนที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน หากเงินหยวนสามารถเข้ามามีบทบาทเป็นเงินสกุลหลักใช้ควบคู่กับเงินดอลลาร์ หรือใช้แทนที่เงินดอลลาร์ได้จริง การเตรียมความพร้อมในภาคธุรกิจในการนำเงินหยวนมาใช้ในการค้าขายถือว่ามีความ จำเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน

ที่มา: พิษณุ เหรียญมหาสาร สยามรัฐออนไลน์ 27/4/2553

วิธีการดูแลผิวในหน้าร้อน


ปกติ อากาศเมืองไทยก็ร้อนมากมายอยู่แล้ว ยิ่งช่วงหน้าร้อนนี้ ยิ่งร้อนระอุมากเป็นทวีคูณ ทั้งอุณหภูมิความร้อน (และ อุณหภูมิทางการเมืองด้วย) ทราบหรือไม่ว่ารังสีจากแสงแดด ส่งผลร้ายต่อผิวเรามากมายเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิดผิวหมองคล้ำ กระ ฝ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่น จนกระทั่งส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้น นายแพทย์รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ หัวหน้า ศูนย์ผิวหนัง ความงาม เลเซอร์ รพ.นครธน และ กรรมการผู้จัดการ รัสมิ์ภูมิคลินิกจึงแนะนำวิธีดูแลผิวในหน้าร้อนนี้ เพื่อช่วยป้องกันอันตรายของผิวจากแสงแดด

รังสี Ultraviolet หรือ UV ใน แสงแดดเป็นตัวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี โดยผลในระยะแรกจะส่งผลให้เม็ดสีเพิ่มจำนวนสูงขึ้น ทำให้ผิวหนังหมองคล้ำ เกิดกระและฝ้า และถ้าอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดการไหม้เกรียมแดด ผิวจะแสบไหม้ พุพอง และลอกได้แต่ถ้าในระยะยาว แสง UV จะทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินของผิว หนังเสื่อมสลายไปได้เร็วขึ้น ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น และผิวหนังหย่อนยาน อีกทั้งแสง UV ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิวหนังใน ระยะยาว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

เมื่อทราบอันตายจากแสงแดดดังนี้แล้ว เราควรหันมาใส่ใจดูแลผิวพรรณของตัวเอง เพื่อรับมือกับแสงแดดในหน้าร้อนดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการออกกลางแจ้ง โดยเฉพาะช่วงที่แสงแดดจัดๆ ได้แก่ ช่วง10.00 -16.00 น.และไม่ เพียงแต่เลี่ยงการออกกลางแจ้งเท่านั้น เพราะแม้อยู่ในร่ม แต่ใกล้แสงแดด รังสี UVจากแสง แดดก็สะท้อนมาถึงผิวเราได้ ปริมาณเท่ากับ 50% ของการยืนกลางแจ้ง
  • ควร ป้องกันผิวที่สัมผัสกับแสงแดดให้น้อยที่สุด โดยอาจใช้ตัวช่วย เช่น ใส่หมวกปีกกว้าง กางร่ม สวมแว่นกันแดดที่กันไม่ให้แสงแดดทำอันตรายต่อเลนส์ตาและจอประสาทตา รวมทั้งใส่เสื้อแขนยาว
  • ทาครีมกัน แดดเป็นประจำทุกวัน และทาอย่างถูกวิธี โดยจากประสบการณ์ของแพทย์พบว่าคนไข้ส่วนมากยังทาครีมกันแดดไม่ถูกวิธี โดยต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับกิจกรรม เพราะ ถ้าปกติทำงานใน office การใช้ครีมกันแดดSPF ไม่เกิน 30 น่าจะ เพียงพอ แต่ถ้าต้องออกข้างนอก ควรทาครีมกันแดดSPFมากกว่า30 และถ้า ต้องออกกลางแจ้งทั้งวัน ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก2 ชั่วโมง
  • ส่วน กิจกรรมที่ต้องมีเหงื่ออกตลอดเวลา หรือ ต้องออกกำลังกายในน้ำ เช่น การดำน้ำ แนะนำให้ทาครีมกันแดดชนิดกันน้ำ และการทาครีมกันแดดให้ได้ค่าSPFเท่ากับ ที่ระบุไว้ที่ผลิตภัณฑ์ เราต้องใช้เนื้อครีมต่อหนึ่งหน้า ประมาณ 0.5-1 กรัม หรือคิด ง่ายๆ คือ บีบเนื้อครีมออกมาประมาณเกือบหนึ่งข้อนิ้วชี้ ในการทาครีมกันแดดต่อหนึ่งหน้าหนึ่งครั้ง
  • ไม่เพียง แต่ในหน้าหนาวเท่านั้นที่ความชุ่มชื้นจะระเหยจากผิว ในช่วงหน้าร้อน ความร้อนจากแสงแดดก็เป็นตัวที่ทำให้ความชุ่มชื้นสูญเสียออกไปในอากาศ ดังนั้นจึงควรทาครีมบำรุงผิว ทั้งผิวหน้าและผิวกายเป็นประจำทุกวัน
  • ช่วงหน้า ร้อน เหงื่อออกก่อให้เกิดการหมักหมมได้ง่าย ซึ่งก่อให้เกิดกลิ่นตัว และมีโอกาสเป็นเชื้อรา โดยเฉพาะในที่อับชื้น โดยอาจเกิดปัญหาเชื้อราที่รักแร้ และขาหนีบ รวมทั้งอาจเกิดเกลื้อนตามลำตัวได้ง่าย ดังนั้น ถ้าออกกำลังกาย หรือเหงื่อออก ควรอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย เน้นการดูแลความสะอาดเป็นพิเศษในบริเวณที่อับชื้น และหลังอาบน้ำควรเช็ดร่างกายให้แห้งสนิท ก่อนที่จะใส่เสื้อผ้า
  • ดื่นน้ำ ปริมาณมากๆ เพราะความร้อนทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปได้เยอะ ดังนั้น การดื่มน้ำมากๆ นอกจากช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิวเราแล้ว ยังช่วยรักษาระบบสมดุลย์ร่างกายให้เป็นปกติอีกด้วย
  • ส่วนกรณีผู้ที่ออกไปตากแดดมา เกิดอาการผิวแสบร้อนไหม้เกรียม ควรจะปฏิบัติตัวดังนี้ครับ
  • ประคบผิว ด้วยแตงกวาปลอกเปลือกแล้วนำมาบดละเอียด พอกบริเวณผิวที่แสบร้อน และทิ้งไว้ 15-30นาที จึงล้างออก แต่ถ้าไม่มีแตงกวา วิธีง่ายๆ คือ การใช้น้ำเย็นประคบผิวบ่อยๆ
  • ควรทา น้ำมันเคลือบผิวไว้บ่อยๆ เพราะผิวที่ไหม้เกรียมแดด จะสูญเสียความชุ่มชื้นออกไป ทำให้ผิวแห้งตึง และอาจเกิดผื่นคันได้ง่าย กรณีที่ยังไม่ดีขึ้น ผิวยังมีอาการไหม้ แดง อักเสบมาก ควรทาครีมแก้แพ้ หรือพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
  • อย่าลืม ดื่มน้ำมากๆ และบ่อย ๆ เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียออกจากร่างกายและผิวหนังไป

สุดท้ายขอให้ผู้อ่านได้พักร้อนอย่างมีความสุข และมีผิวพรรณที่สวย และสุขภาพดีฝ่าไอร้อนตลอดฤดูร้อนนี้ครับ


ที่มา: สยามรัฐออนไลน์ 20 เมษายน 2553

Sunday, April 25, 2010

สวดมนต์บำบัดโรค..?

สวดมนต์บำบัดโรค..?

พุทธมนต์..ทำให้น้ำธรรมดากลายเป็นน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ได้ แล้วการสวดพุทธมนต์ล่ะจะรักษาโรคได้มั้ย..??? ไม่ลองไม่รู้ค่ะ
พุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ได้...งั้นมาเริ่มสวดมนต์กันเลยดีกว่าค่ะ

ขอท่านทั้งหลายผู้ใฝ่ในธรรมจงถึงพร้อมด้วย ธรรม 4 ประการนี้เทอญสัทธาสัมปทา...ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา
สีลสัมปทา......ความถึงพร้อมด้วยศีล
จาคสัมปทา.....ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค
ปัญญาสัมปทา..ความถึงพร้อมด้วยปัญญา


สวดมนต์บำบัดโรค..?

เชื่อหรือไม่ ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้

การสวดมนต์บำบัด คือ หลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือ การใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็น Vibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???คลื่นแห่งการเยียวยาการสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่าง ๆ กัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิ เป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์
รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

“สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด
บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น
ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุ การทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าว และอาการพาร์กินสัน
นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนิน มีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้ และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า

“หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมอง พร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”

และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้ จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ อาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า “เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์ จึงเกิดพลังของการสั่น” และเมื่อเกิดพลังของการสั่น

การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร? อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า “เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”
นอกจากนี้ ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่าง ๆ เช่น

โอม กระตุ้น หน้าผาก, ฮัม กระตุ้น คอ, ยัม กระตุ้น หัวใจ, ราม กระตุ้น ลิ่นปี่, วัม กระตุ้น สะดือ, ลัม กระตุ้น ก้นกบ เป็นต้น

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวดรองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

1.การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

2.ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า

การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้าย ดังต่อไปนี้1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง 5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก 9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน

สวดมนต์อย่างไร? ให้หายจากโรค

สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ
1.การสวดมนต์ด้วยตัวเอง

เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

-ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน

- หาสถานที่ที่สงบเงียบ

-สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา

-ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน

2.การฟังผู้อื่นสวดมนต์ เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียง จากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา(healing)ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้
3.การสวดมนต์ให้ผู้อื่น

ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้


คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ

บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก


การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป"

เลือกสวดมนต์อย่างไร? ถึงจะดี

แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย


ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด
อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต

เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ


จาก นิตยสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551
เรื่อง Vibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด

อันตรายไวรัส RSV เด็กตายเป็นแสน

กระทรวงสาธารณสุข เตือนอันตราย ไวรัส “อาร์เอสวี” คร่าชีวิตเด็กทั่วโลกปีละ 2 แสนราย ร้อยละ 99 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ในไทยพบเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ กว่า 1 หมื่นคน ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้แล้ว.....

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. นางพรรณสิริ กุลนารถศิริ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยกรณีที่นิตยสารแลนเซต ประเทศอังกฤษ รายงานผลการศึกษาใหม่ของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระในสก็อตแลนด์ซึ่ง เป็นการศึกษาระดับโลกครั้งแรก ค้นพบว่าไวรัสที่มีชื่อว่าอาร์เอสวี (RSV : respiratory syncytial virus บางคนเรียก SRV) เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของการติดเชื้อในปอดของเด็ก ทำให้เกิดโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ คร่าชีวิตเด็กทั่วโลกถึงปีละ200,000 ราย ร้อยละ 99 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว 33.8 ล้านคน ในจำนวนนี้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 3.4 ล้านคน

นางพรรณสิริ กล่าวว่า การศึกษาวิจัยดังกล่าว นับเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากในการพัฒนาสุขภาพเด็กเล็ก โดยเฉพาะการป้องกันโรคปอดบวม ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี สูงเป็นอันดับ 1 ของโรคติดเชื้อทั้งหมด จากการเฝ้าระวังการป่วยของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปีในปี 2552 พบว่าป่วยจากโรคปอดบวม 53,727 ราย เสียชีวิต 46 ราย โดยเกือบครึ่งหนึ่งติดเชื้อไวรัสหลายชนิด และมีประมาณกว่า 10,000 รายที่ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี หรือประมาณ 1 ใน 4 ของสาเหตุติดเชื้อทั้งหมด โดยที่เหลือเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย

รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ที่ดูแลเด็กต่ำกว่า 5 ปีทั่วประเทศให้มีคุณภาพ ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่โรคติดเชื้อทุกชนิด โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ เช่นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม เนื่องจากจะติดต่อกันง่าย เพราะเด็กวัยนี้ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เมื่อมีเด็กป่วย 1 คน ก็อาจจะลุกลามไปได้ทั้งศูนย์ โดยมาตรการสำคัญในการป้องกันคือการล้างมือให้เด็กเล็กบ่อยๆ และพี่เลี้ยงเด็กก็ต้องล้างมือบ่อยๆเช่นกัน เมื่อมีเด็กป่วย หากเป็นไปได้ให้ผู้ปกครองรับกลับบ้าน แต่หากไม่สามารถรับกลับบ้านได้ ให้แยกเด็กและแยกเครื่องใช้ของเด็กป่วย ออกจากเด็กปกติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค

ด้านนพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ไวรัสอาร์เอสวี ทำให้เกิดโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบและโรคระบบทางเดินหายใจ สามารถติดเชื้อได้โดยตรงและเกิดเป็นโรคแทรกซ้อนรุนแรงในกลุ่มทารกที่คลอด ก่อนกำหนด หรือมีความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิด ในประเทศไทยพบโรคนี้ได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนก.ค. - ก.ย. อาการของโรคจะเริ่มจากเด็กเป็นไข้หวัดธรรมดาก่อน อาจมีไข้ต่ำๆ ไอ มีน้ำมูก แต่ต่อมาไข้จะสูงขึ้น หายใจลำบาก เด็กจะซึมลง ไม่กินน้ำ ไม่กินนม มีไข้สูง ไอ หายใจหอบเร็วและมีเสียงหวีดหรือฮื๊ด ซึ่งเป็นสัญญาณของอาการปอดบวมต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน มิฉะนั้นอาจเสียชีวิตได้

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ อาทิตย์ 25 เมษายน 2553
==============
วัคซีนหวัด ช่วยได้ ครับ ปรึกษาหมอเด็ก ได้ ต้องฉีดทุกปี เพราะวัคซีนมีอายุสั้น ทำให้ต้องฉีดบ่อยครั้ง เช่น ทุกเดือน A monthly injection of a medication consisting of RSV antibodies during peak RSV season (roughly April to November) is recommended. Due to that its protection is short-lived, vaccine has to be given in subsequent years/months until the child is no longer at high risk for severe RSV infection. Consult the doctor if your child is considered high risk.

Tuesday, April 20, 2010

ฟ้องมหาวิทยาลัยเอกชน

คู่กรณีในคดีปกครองเป็นเรื่องพิพาทระหว่างราษฎร์กับรัฐเป็นส่วนใหญ่

รัฐเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ราษฎร์เป็นผู้ถูกใช้อำนาจปกครองเป็นของคู่กัน

แต่เมื่อกลายเป็นคู่พิพาทกันเสียแล้ว ราษฎรแบกน้ำหนักขึ้นชกกับอำนาจรัฐนะ ใครได้เปรียบเสียเปรียบเห็น ๆ

แต่ก็ไม่แน่นะโยม ราษฎร์บุกมาแบบมวยวัด รัฐบิ๊ก ๆ ก็ต้องปีนกระไดเผ่นเหมือนกันนะ

ชิมิ

ทางคดีปกครองท่านเรียกคู่กรณีภาครัฐหรือราชการนั่นว่าหน่วยงาน ทางปกครอง

มาตรา ๓ แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติความว่า หน่วยงานทางปกครอง หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และ ให้หมายความรวมถึงหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ ดำเนินกิจการทางปกครอง

อ่านแล้วย่อมเชื่อได้ว่า (ภาษาที่กำลังฮิตที่สุดในวงการกฎหมาย) มหา วิทยาลัยเอกชน ย่อมไม่เข้าข่ายเป็นหน่วยงานทางปกครองตามบทนิยามนี้

เป็นเรื่องของฝ่ายเอกชน ดำเนินการและบริหารการศึกษาโดยภาคเอกชนแท้ ๆ จึงย่อมไม่มีเหตุให้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้สักกรณี

บัดนี้มีนักเลงดีมีฝีมือลองของแล้วครับท่าน ได้ผลอย่างไรโปรดติดตาม

ผู้ฟ้องคดีเป็นอาจารย์สอนกฎหมายประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยา ลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออันเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อมีเสียงเป็นที่ รู้จักกันดีแห่งหนึ่งในวงการศึกษาเอกชน

ท่านอาจารย์สอนมาแปดปีมีลูกศิษย์อยู่หลายรุ่นหลายคน วันดีคืนดีท่านอธิการบดีมีหนังสือแจ้งเลิกจ้างโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แบบว่าถูกเลิกจ้างกันแบบไม่ทันตั้งตัว

เขาหาว่าอาจารย์กระทำผิดวินัยตามระเบียบของมหาวิทยาลัยนั่นแหละ

มือระดับสอนกฎหมายเมื่อเห็นว่าการเลิกจ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖ ก็ต้องพิสูจน์ความผิดถูกกันถึงโรงถึงศาลเป็นธรรมดา

จึงฟ้องมหาวิทยาลัยต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างและให้ชดใช้เงิน เป็นค่าเยียวยาสถานภาพการเป็นอาจารย์ประจำมาเป็นเวลาแปดปีรวมสี่แสนแปดหมื่น บาท

ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของเอกชน ไม่ใช่หน่วยงานทางปกครองตามนิยามในมาตรา ๓ แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

กรณีพิพาทจึง ไม่เป็นคดีปกครอง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครอง

มีคำสั่ง ไม่รับฟ้อง ไว้พิจารณา ให้จำหน่ายคดี

ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะมิใช่กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ

แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก็เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจการบริการ สาธารณะด้านการศึกษา

อันเป็นกิจการทางปกครองและใช้อำนาจทางปกครองในการดำเนินกิจการดังกล่าวตาม กฎหมาย

ผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็น หน่วยงานทางปกครองและอธิการบดีมหา วิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามนัยมาตรา ๓ แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ

แต่ผู้ถูกฟ้องคดีคงเป็นหน่วยงานทางปกครองและอธิการบดีมหา วิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือคงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็เฉพาะ แต่ในกรณีที่จะกระทำการในการดำเนินกิจการทางปกครองและใช้อำนาจทางปกครองใน การดำเนินกิจการดังกล่าวตามกฎหมายเท่านั้น

การเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นอาจารย์ประจำซึ่งเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เป็น การใช้อำนาจทางปกครองในการจัดการศึกษาระดับปริญญาตามที่กฎหมายมอบหมายให้ผู้ ถูกฟ้องคดีจัดทำ

ข้อเท็จจริงในคดี อธิการบดีมีคำสั่งเลิกจ้างตามระเบียบของมหาวิทยาลัยผู้ถูกฟ้องคดีจากผลการ สอบสวนที่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทำผิดวินัยตามที่ถูกกล่าวหาอันเป็น โทษทางวินัยสถานหนึ่ง และมีผลเป็นการถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ตาม นัยมาตรา ๙๗ วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวและผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งและชดใช้ ค่าเยียวยาสถานภาพ

จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่ หน่วยงานทางปกครองหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่งแห่ง พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖ บัญญัติว่ากิจการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่า ด้วยการคุ้มครองแรงงานและกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงาน

ศาลปกครองจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้

อย่างไรก็ตามปรากฏว่าคดีนี้ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสืออุทธรณ์ถึงประธานคณะ กรรมการการอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ แต่มิได้รอให้คณะกรรมการการอุดมศึกษามีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือมิได้วินิจฉัยภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ กลับนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองกรณี จึงเป็นการฟ้องคดีก่อนเวลาที่อาจใช้สิทธิฟ้องคดี ตามมาตรา ๔๒ วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ

มีคำสั่ง ไม่รับฟ้อง ยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น (คำสั่งที่ ๘๘๐/๒๕๔๙)

กำลังทำคะแนนนำอยู่ ถูกจับแพ้ฟาวล์เสียก่อน.

พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com

ที่มา: กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ เสาร์ ที่ 10 เมษายน 2553

ธรรมะโอสถ: ยาดีในการแก้กรรม

การปฏิบัติภาวะนา คือ การใช้ธรรมะในการรักษาโรค ในการแก้กรรม ใช้หลักธรรมในการรักษาจิตใจของเรา เมื่อจิตใจดี ร่างกายก็จะดีไปด้วย การปฏิบัติภาวะ นั่งสมาธิ กรรมฐาน ธรรมะเป็นโอสถที่ดีที่สุด ให้พระท่านช่วยรักษา ต้องหมั่นสวดมนต์ไหว้พระอย่าให้ขาด ทำบุญเป็นประจำ การสวดมนต์ภาวนา เป็นสิ่งมงคล ทำให้สิ่งร้ายทำร้ายเราไม่ได้ ทำให้จิตใจสงบ สุขภาพดี ให้พระธรรมขันธ์เป็นเข็มทิศ

เรียนกรรมฐาน อย่าใจร้อน

ที่มา: คุณ กฤษณะพงศ์ กำลังเอก จาก ละครชีวิตจริง ชุด 84000 ตอน "เบิกบุญ"

นักเรียนนอกทุนรัฐบาล

สมัยนี้หลักสูตรปริญญาโท ปริญญาเอกมีอยู่มากทั้งในกรุงและต่างจังหวัดทั้งรัฐและเอกชน

โฆษณาเรียกลูกค้ากันต่าง ๆ นานา หลายแพ็กเกจหลายโปรโมชั่น เสียว ๆ ว่าสักวันอาจมีหลุดมาว่า "จ่ายครบจบแน่"

ค่าใช้จ่ายในการศึกษาแพงหูฉี่ระดับเงินแสน ก็ต้องจ่ายจนครบนั่นแหละขอรับ

มีเงินน้อยแต่อยากเรียน ท่านว่าต้องหาสปอนเซอร์

หากเป็นข้าราชการก็พอมีทางเลือกขอทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ปริญญาเอกทั้งภายในและภายนอกประเทศโดยทางราชการออกค่าใช้จ่ายให้หมด

ส่วนจบตรีมาใหม่ ๆ ก็มีโอกาสเป็นนักเรียนนอกโดยเงินหลวงด้วยเหมือนกัน อาศัยหัวดีหน่อยสอบชิงทุนรัฐบาลเอา

เป็นนักเรียนนอกย่อมดูหรู เท่ เพอร์เฟกต์น่าอิจฉาตั้งแต่นิยายน้ำเน่าสมัยก่อน แต่อะไรที่มันเหลือง ๆ ไม่ใช่ทองเสมอไป อาจเป็นขี้ เอ๊ย อุนจิก็ได้

ปรากฏว่ามีคดีปกครองของนักเรียนนอกทุนรัฐบาลดังกล่าวมากมาย ออกแนวรันทดซะอีกแน่ะ

คดีนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปลีกเวลาไล่ปิดเน็ตมาฟ้องนักเรียนทุน ของกระทรวงรายหนึ่งต่อศาลปกครอง

โทษฐานส่งไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาในหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาชีวเคมี ที่มหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง

เรียนไม่จบครับท่าน

แล้วกระทำผิดสัญญาการรับทุนรัฐบาลไม่กลับมาปฏิบัติราชการชดใช้ทุน จึงต้องรับผิดขอให้ศาลพิพากษาให้นักเรียนทุนผู้ถูกฟ้องคดีร่วมกับผู้ค้ำ ประกันสัญญาผู้ถูกฟ้องคดีที่สองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินร่วมแสนห้ากับอีก แสนหกหมื่นกว่าดอลลาร์สหรัฐพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดจุดห้านับแต่วันฟ้องจน กว่าชำระเสร็จ

ฝ่ายนักเรียนผู้ถูกฟ้องคดีนั้นเล่าเธอก็มีเหตุผล

การที่เรียนไม่จบนั้นเพราะอุปสรรคในการทดลองวิจัยอันเป็นข้อจำกัดทางด้านสติ ปัญญา แม้จะได้รับการขยายเวลาศึกษาต่อจากสำนักงาน ก.พ.ก็ตาม และที่ไม่อาจกลับประเทศตามกำหนดเพราะข้อจำกัดทางด้านการเงิน

ประการสำคัญกลับประเทศมาแล้วก็มิได้นิ่งเฉยวิ่งเต้นติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ เพื่อชดใช้ทุนแต่การณ์กลับปรากฏว่าส่วนราชการทุกแห่งล้วนปฏิเสธโดยอ้างว่า ไม่มีตำแหน่งว่างหรือตำแหน่งนั้นต้องจบปริญญาโท

ต้องการทำงานชดใช้ให้หลวงจริง ๆ เพราะยังไง ๆ ก็ดีกว่าการเรียกร้องให้ชำระเงินซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีและผู้ค้ำประกันมีฐานะยาก จนไม่อาจชดใช้เงินตามที่เรียกร้องได้

ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีเส้นนักการเมืองจึงขอให้ศาลได้มีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้อง คดีได้ทำงานเป็นการชดใช้เงินให้ราชการก็แล้วกันขอรับ

ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองผิดสัญญาการรับทุนจาก รัฐบาล พิพากษาให้ชำระเงินตามจำนวนที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอทุกประการ

ผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า วัตถุประสงค์ของสัญญาต้องการให้ผู้รับทุนการศึกษาเข้ารับราชการภายหลังจาก สำเร็จการศึกษาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ

มิใช่มุ่งต่อการเรียกให้ผู้รับทุนรัฐบาลต้องชดใช้ทุนเป็นตัวเงินสำคัญ

ผู้ฟ้องคดีกลับมาล่าช้าไปถึงสองปีเศษหลังจากผิดสัญญามิได้กลับภายในยี่สิบ วันนับแต่มีหนังสือเรียกตัวกลับ ก็เนื่องจากพยายามศึกษาให้สำเร็จตามหลักสูตร

ประกอบกับ สำนักงาน ก.พ.มีหนังสืออนุมัติขยายเวลาการศึกษา ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าใจว่าให้ผู้ถูกฟ้องคดีศึกษาจนจบปริญญาโทแล้วจึงเดิน ทางกลับประเทศ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้กลับตามกำหนดดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่มีเหตุผลและไม่ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้เข้าทำงานในหน่วยงานของเอกชนรายใด

การให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าปฏิบัติราชการชดใช้ทุนจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม มากกว่าการเรียกให้ชดใช้เงินคืน

เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้ร้องขอเข้ารับราชการเพื่อชดใช้ทุนอันเป็นการปฏิบัติ การเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว แต่ผู้ฟ้องคดีไม่จัดให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้ารับราชการอันเป็นการไม่ยอมรับชำระ หนี้

พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามฟ้อง

เห็นว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนก่อเหตุทำให้การบังคับตามสัญญานั้นสิ้นสภาพลง ต่างไม่ประสงค์จะให้สัญญามีผลบังคับใช้ต่อไป ถือว่าสัญญาพิพาทเลิกกันโดยปริยาย

คู่สัญญาต่างฝ่ายจะเรียกร้องค่าเสียหายจากกันไม่ได้ คู่สัญญาจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม

เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีรับเงินทุนจากรัฐบาลไว้แล้วจึงต้องคืนแก่ผู้ฟ้องคดีพร้อม ดอกเบี้ยนับแต่เวลาได้รับเงินไว้แล้วตามมาตรา ๓๙๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่สองในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดด้วย

พิพากษาแก้ เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้เงินคืนผู้ฟ้องคดีสี่แสนเก้าหมื่นสี่พัน บาทกับอีกห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยเจ็ดสิบแปดดอลลาร์สหรัฐพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด ร้อยละเจ็ดจุดห้าต่อปี ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลตามส่วนของการชนะคดี (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๖๐/๒๕๔๙)

อุตส่าห์ขอทำงานใช้หนี้แล้วนะเนี่ย.

พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ กฎหมายข้างตัว

Monday, April 19, 2010

คำศัพท์ใหม่ ๆ update ตามกระแส(เหลือง ๆ แดง ๆ)

คำศัพท์ใหม่ ๆ update ตามกระแส
1. เหวง = คืออาการพูดจาไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ได้ศัพย์
ตัวอย่าง = นี่แก!..ทำไมแกพูดจา "เหวง" แบบนี้วะ

2. กี้ = คืออาการดันทุรัง มุทะลุดุดันแบบโง่ๆ
ตัวอย่าง = เมื่อวานนี้เซ็งพวกตำรวจ ship หาย...ก็แมร่ง "กี้" บอกว่ารถกรูวิ่งไม่เปิดไฟหน้าตอนกลางวัน

3. จตุพร = คืออาการของคนไร้สติ และขาดซึ่งปัญญา
ตัวอย่าง = นี่เธอ!..เธอรู้มั้ยว่าสิ่งที่เธอได้ทำลงไปนั้น มันจตุพรมากๆเลย

4. วีระ = คืออาการของคนสำรวม แบบไม่มีความคิดที่เป็นชิ้นเป็นอัน
ตัวอย่าง = นายแป้นเป็นเด็กที่ "วีระ" มากที่สุดในชั้นเรียน

5. ณัฐวุฒิ = คืออาการของคนเมาค้าง แล้วยังสามารถโกหกอย่างหน้าด้านๆ ว่ามันมีอยู่จริงๆ
ตัวอย่าง = เมื่อวานนี้กรูไปเจอคนๆนึงว่ะเพื่อน แมร่ง "ณัฐวุติ" น่าดู มันบอกว่าทักษิณจะได้กลับมาเป็นใหญ่

6. การุณ = คืออาการของคนเถื่อนดิบถร่อย เตะต่อยได้แม้กระทั่งจิ้งจก (คือเลวโดนสันดานอ่ะ)
ตัวอย่าง = นักเรียนที่มีพฤติกรรม "การุณ" หากทางโรงเรียนจับได้ มีโทษถึงไล่ออกสถานเดียว

7. ทักกี้ = คือพฤติกรรมการโกงแบบเชิงนโยบาย และมีวาทะศิลป์ดี
ตัวอย่าง = ปลายเดือนก่อน ตำรวจได้จับข้าราขการผู้หนึ่ง ซึ่งมีพฤติกรรม "ทักกี้" มาสอบสวน

8. โอ๊คอ๊าค = คือพฤติกรรมของการลอกข้อสอบแบบเนียนๆ
ตัวอย่าง = โหเพื่อน!....แก "โอ๊คอ๊าค" ได้งัยวะเนี่ย สุดยอดเลยว่ะ จารย์ยังจับแกไม่ได้เลย...โห...นับถือๆ

9. เอม = คือพฤติกรรมของการแอบฝากเข้าเรียนหนังสือ
ตัวอย่าง = นี่เธอ ดูผู้หญิงคนนั้นสิ ได้ข่าวว่าพ่อเขาแอบ "เอม" เข้ามานะนั่น

10. อุ๊งอิ้ง = คือพฤติกรรมโกงข้อสอบแบบสอบผ่านและคะแนนเกือบเต็ม ทุกวิชา
ตัวอย่าง = ใครเขาจะไปรู้ล่ะว่าลูกของพ่อจะ "อุ๊งอิ๊ง" ได้ขนาดนี้

11. หญิงพจ = คืออาการขี้เหนียว ขี้ตืดอย่างรุนแรง
ตัวอย่าง = ไรวะเพื่อน..เงินแค่นี้ แกอย่ามา "หญิงพจ" กะเพื่อนเลย

12. จิ๋ว = คืออาการของคนรู้ทันเหตุการณ์แล้วหลบเลี่ยงได้หมด
ตัวอย่าง = ทางการได้เข้าทลายแหล่งผลิตยาบ้า ได้ของกลางกว่า 1 ล้านเม็ด แต่ผู้ต้องหา "จิ๋ว" กันหมด

13. เด็จพี่ = คืออาการของคนชอบทำร้ายเมีย/แฟน (เมียจะดีกว่านะแต่แฟนก็ใช้ได้ ไม่ผิดหรอก)
ตัวอย่าง = เมื่อวานนี้ข้างบ้าน ลุงแย้มแก "เด็จพี่" เมียแกอีกแล้ว

14. เหลิม = คืออาการของคนพูดจาวกวนไปมา เสียงดังบ้างในบางครั้ง แล้วมักจะไม่รู้ว่าลูกของตัวเองมีพ่อชื่อว่าอะไร
ตัวอย่าง = เมื่อวานนี้เจอคนเมาว่ะ แมร่ง "เหลิม" น่าดู

15. เสแดง = คืออการของคนที่ชอบพูดจาโวยวาย ซึ่งคล้ายๆกับ "กี้" แต่รุนแรงกว่านิดหน่อย
ตัวอย่าง = เฮ้ย.....ทำไมเวลาแกพูดกะชั้น แกต้องมา "เสแดง" ทุกทีด้วยวะ

16. เคทอง = คืออาการของคนที่ไม่สะทกสะท้านต่อความผิดที่ตัวเองได้ก่อ
ตัวอย่าง = ผู้ต้องหาที่ถูกจับได้นั้นมีอาการ "เคทอง" อย่างเห็นได้ชัดเจน

17. นุพงศ์ = คืออการของคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่แอบแฝงเอาไว้ด้วยเล่ห์เหลี่ยม
ตัวอย่าง = แกเห็นไอ้เป้ามัน "นุพงศ์" ก็เหอะนะ รู้มัยว่ามันมีเงินจากการเล่นแชร์เดือนละหลายแสนเลยนะ

18. เทือก = คืออาการของคนชอบขวางผู้อื่นไม่ให้ทำงานทำการได้ สำเร็จ
ตัวอย่าง = เจ้าเอมันเป็นคนที่ "เทือก" มากๆเลย ใครจะมาจัดการมันได้บ้างเนี่ย

19. นาธาน = คืออาการของคนที่ชอบพูดจาโกหกพกลม หรือแหลขั้นพ่อ
ตัวอย่าง = นี่หล่อน เงินแค่นี้ หล่อนจะมา "นาธาน" กะชั้นทำไม

20. มาร์ค = คืออาการของคนฉลาด รอบครอบ พูดน้อย สุขุม สง่างาม ......ที่สำคัญ หล่อด้วยอ่ะ
ตัวอย่าง = อืม...แฟนของลูกคนนี้ช่าง "มาร์ค" จริง ๆ

21 ครูลิลลี่: “ไพร่” ที่คนเสื้อแดงเรียกตัวเอง และก็ได้รับความนิยมจนสื่อมวลชนนำไปขยายต่อ ซึ่งถือว่าเป็นคำที่สั้น - ง่าย และได้ใจความที่ครบหมดเลย ไม่ว่าจะแดกดัน ประชด ซึ่งจะเป็นไพร่แบบคำกริยา หรือจะเป็น “ไพร่” แบบคำนามก็มีทั้งนั้น หรือคำที่เขาประดิษฐ์กันอย่างคำว่า “สงครามชนชั้นต่ำ” เขาก็ใช้ไปเปรียบกับคำว่า “ไพร่” ซึ่งจริงๆ ในสมัยประชาชนโบราณแล้วคำว่า “ไพร่” มันก็คือ “ประชาชนทั่วไป” ไม่ว่าจะเป็นไพร่สม ไพร่ส่วย ไพร่หลวง ที่สมัยก่อนเขาก็เรียก “ไพร่” แต่กลับประดิษฐ์คำและความหมายใหม่ๆ ขึ้นมาจนได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง แม้กระทั่งเด็กๆ ชั้นประถมที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจการเมืองกลับสนใจพร้อมกับนำคำการเมืองใหม่ๆ เหล่านี้ไปพูด-คุยและโพสต์กันในเฟซบุ๊ก”

ส่วนตัวชอบคำว่า “ไพร่” เนื่องจากคำนี้มันเป็นคำนาม กริยา วิเศษณ์ กินความหมายได้หมดจริงๆ ต้องชื่นชมว่าคนคิดคำนี้เก่งมาก แต่ว่าระวังคิดแล้วมันจะเข้าตัวเองซึ่งก่อนตั้งเขาลืมไปว่าไพร่จริงๆ แล้วมันมีหลายความหมาย

22 ครูลิลลี่: “ปรองดอง” ที่นายกฯ อภิสิทธิ์พูด จริงๆ มันมีความหมายว่าสมานฉันท์นั่นแหละ แต่เราเชื่อว่าที่ท่านใช้คำนี้เพราะว่าคำว่า “ปรองดอง” มันฟังแล้วรู้สึกว่าง่ายกว่า เข้าใจง่ายกว่า มันเหมือนจับต้องได้ แต่คำว่าสมานฉันท์มันเหมือนเป็นอุดมคติมากกว่า บางทีคำมันก็สูงไป

22 ครูลิลลี่: “เด็กดื้อ” ที่เขาใช้เรียกนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็ดีเพราะมันเป็นคำที่มีความหมายมันก็ลึกกว่านั้น ทั้งความคิดเป็นเด็กหรือทำตัวเป็นเด็ก ซึ่งคนคิดคำนี้ขึ้นมาก็ถือว่าเก่งมากๆ เนื่องจากสามารถใช้คำว่าทั้งเด็ก ทั้งดื้อ ไร้เดียงสา ไม่โต ทั้งสองตัวนี้ถ้าเอามารวมกัน”

Sunday, April 18, 2010

บทเรียนคติธรรมจากชีวิตจริงของ แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม

คติธรรมจาก ละครชีวิตจริง ชุด 84000 ตอน ของ แม่ชี ทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม "สิ่งที่เราทำอะไรไว้ เราอาจไม่รู้เรื่อง ว่ามันมีกรรมทำหน้าที่ของมันทุกวัน ไม่มีวันหยุด"

- โกงเขา มันบาปกรรม อย่าทำเลย ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน ถ้าเราโกงเขาวันนี้ วันหน้าเขาก็มาโกงเรา ผลของการโกง เหมือนการลักทรัพย์ ตามศีล 5 การคตโกงคือการลักทรัพย์ คือ มันไม่เจริญก้าวหน้า เมื่อไหร่ที่กรรมดีเราหมด กรรมชั่วก็จะส่งผล เราโกงไว้ยังไง เราก็จมอย่างนั้น นั่นคือ ผลของการคตโกง

- ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อย่าดื้อกับพ่อแม่ อย่าเถียงพ่อแม่ ต้องพูดกับพ่อแม่ดี ๆ เพราะว่าพ่อแม่ให้สิ่งดีอยู่แล้ว เขาอาจจะดุด่าเรา แต่ก็ด้วยความรัก ผลกรรมของการไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ชีวิตถูกซ้ำเติมตลอด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะไปอยู่กับใคร จะไม่มีใครเชื่อใจ เขาจะหาว่าเลวทั้งนั้น เพราะว่าคิดกับพ่อแม่ไม่ดี

- ผลกรรมของการฆ่าสัตว์ ทำให้ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย ไปอยู่กับใครก็ต้องถูกขับไล่


- ผลกรรมของการฆ่าตัวตาย จิตจะไม่สามารถขึ้นสวรรค์ หรือ ลงนรกได้ ลอยไปลอยมาอยู่อย่างนั้น ถ้ามีโอกาสเกิดอีก ก็ยังต้องฆ่าตัวตายอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอบวช(เป็นแม่ชีแล้ว)ได้นั่งกรรมฐาน ถึงได้รู้ว่า ชีวิตมีค่า

..เราทำกรรมอันใดไว้ เราต้องชดใช้กรรมนั้น..

Saturday, April 17, 2010

ชี้ทางรวย

ขอให้รวย ให้ร่ำให้รวย ให้รวย ๆ โดยการไหว้ พระพุทธรูป "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี วัดท่าซุง เคยเป็นที่พำนักของเจ้าอาวาสวัดชื่อดัง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

แม่ชีทศพร บอกว่า หากผู้ใดปารถนาจะได้ลาภเงินทอง และความร่ำรวย ให้ไปที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

เพื่อไปสักการะ พระพุทธรูปองค์หนึ่งที่อยู่ภายในวัด ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร

พระพุทธรูปองค์นี้ มีชื่อว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา"

ขึ้นตอนในการสัการระนะครับ แม่ชีบอกว่า

1 ให้น้อมเคารพ สักการะพระพุทธรูปองค์นี้

2 ให้นำผ้าไตรจีวรของวัดมาห่มคลุมองค์พระพุทธรูปนี้

3 ให้สวดพระคาถาสำหรับบูชาพระพุทธองค์นี้ จากทางวัด

4 ให้อธิษฐานขอพร จากพระพุทธรูปองค์นี้
เพียงข้อเดียวเท่านั้น อย่าขอพร่ำเพรื่อ
(เช่น ขอให้ร่ำรวย มีเงินเป็นแสน เป็นล้าน ก็ว่าไป )

5 ให้กลับมาสวด "พระคาถาเงินล้าน"
ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
สวดทุกวัน วันละ 9 จบ

6 เมื่อสิ่งที่ร้องขอนั้นได้ส่งผลกับคุณแล้ว
อย่าลืมทำบุญและอุทิศส่วนบุญกุศลบูชาคุณพระรัตนตรัย
และบูชา องค์พระพุทธรูป "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" ด้วย


นี่แหละคือสิ่งที่แม่ชีชี้ทางบุญให้สำหรับคนที่อยากมีทรัพย์ เงินทอง
อยากร่ำรวย

ใครอยากร่ำรวย มีเงินทอง หากมีโอกาส
ก็ลองไปสักการะ พระพุทธรูปองค์นี้
และทำตามขั้นตอนที่แม่ชีบอกไว้ดูนะครับ

พระพุทธรูป "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา"

คาถาเงินล้าน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


===คาถาเงินล้าน===

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (ว่า 3 จบ)
* พระพุทธัง ประสิทธิโชคลาภ
* พระธัมมัง ประสิทธิโชคลาภ
* พระสังฆัง ประสิทธิโชคลาภ


นาสังสิโม พรหมมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ , (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมมา จะ มหาเทวา อะภิลาภา ภะวันตุ เม, (คาถาเงินแสน)
มะหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม, (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ ,วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้ผลเร็ว)
เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ
(บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)

5 วิธีคิดหลุดพ้นความยากจนของคนไทย

คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ศึกษาวิจัยความสุขของครอบครัวผู้มีรายได้น้อย พบปัจจัยที่ทำให้ครอบครัวยากจนมีความสุข มี 5 ปัจจัย...

รศ.ดร. สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ได้ศึกษาวิจัยความสุขของครอบครัวผู้มีรายได้น้อย โดยศึกษาครอบครัวผู้ยากจน 100 ครอบครัว ซึ่งมีอาชีพเกษตรกร รับจ้าง ขับรถบรรทุก ภารโรง ผู้ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำ ทั้งในเขตกรุงเทพฯและต่างจังหวัด มีการศึกษาระดับประถม รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,825 บาท รายจ่าย 8,722 บาท มีหนี้สินเฉลี่ย 46,000 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเรื่องการศึกษาบุตร ซึ่งมีเฉลี่ยครอบครัวละ 2 คน เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายด้านอุปโภคบริโภค แต่ค้นพบว่าครอบครัวร้อยละ 80 มีความสุข แม้จะจนแต่ก็หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ เรียกว่าถึงจนก็มีความสุข ส่วนอีกร้อยละ 20 ทั้งจนทั้งทุกข์

อาจารย์คณะครุศาสตร์กล่าวต่อว่า ปัจจัยที่ทำให้ครอบครัวยากจนมีความสุข มี 5 ปัจจัย คือ
1. เป็นครอบครัวที่คิดนอกกรอบ ไม่ถูกครอบงำด้วยระบบทุนนิยม เห็นได้ว่าครอบครัวเหล่านี้ ลูกจะไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ ไม่ฟุ้งเฟ้อไปตามกระแสทุนนิยม

2. เป็นครอบครัวที่คิดดี คิดบวก มีความสุข โดยความสุขของพ่อแม่ คือการศึกษาของลูก และลูกก็เป็นเด็กเรียนดี เชื่อฟังพ่อแม่ ช่วยงานบ้าน ส่วนโรงเรียน ทั้งครูและผู้บริหารก็ให้การสนับสนุน ยกย่องเมื่อเด็กทำดี ทำให้เด็กมีกำลังใจในการทำความดี

3. เป็นครอบครัวที่มีวิถีชีวิตสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข เช่น หวย ทั้งพ่อก็เลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่ โดยนำเงินจากการซื้อเหล้า-บุหรี่ มาใช้เพื่อการศึกษาของลูกแทน เป็นต้น

4. การบริหารการจัดการที่ดี ทั้งเรื่องเงินและเวลา โดยกำหนดว่าทุกวันเวลา 6 โมงเย็น เป็นเวลาครอบครัวที่จะรับประทานอาหารเย็น ดูโทรทัศน์ และปรึกษาหารือกัน การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ เป็นต้น

5. การปฏิวัติความธรรมดาให้เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา เช่น ความคิดที่ว่าคนจนต้องจนต่อไป เปลี่ยนเป็นความจนสามารถหลุดพ้นได้ เป็นต้น

โดย แนวทางการใช้ชีวิตของครอบครัวเหล่านี้ จะเป็นต้นแบบให้รัฐบาลสามารถนำไปขยายผล เพื่อให้ครอบครัวยากจนอื่นๆ ทั่วประเทศ ขณะเดียวกันจุฬาฯก็จะรวบรวมข้อมูล จัดทำหนังสือเผยแพร่ในโครงการฟอรั่มปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อฉลองจุฬาฯครบรอบ 100 ปีต่อไป

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/edu/77220 อาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ.2553