Monday, March 21, 2016

คดีทายาทเครื่องดื่มดังกำลังสอบเพิ่ม-หมดอายุความไปแล้ว1ข้อหา :: OMG


ตีแผ่คดีขับรถชนตำรวจตาย

ถามถึงคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา อายุ 31 ปี ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดัง ที่ขับรถเฟอร์รารี่พุ่งชนดาบตำรวจ สายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต บริเวณ ถ.สุขุมวิท 47 กลางดึก 3 ก.ย.55 ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ อัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีนี้ฝ่ายผู้ต้องหาได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาด้วย และยังมีประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนอยู่บ้าง ดังนั้นก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เมื่อประเด็นไหนที่ยังไม่ชัดเจน อัยการก็ต้องทำให้ชัดเจน....... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/crime/422595

**สังคมวิพากวิจารณ์หนัก comments แรง ๆ จาก social media*************
>> รอ สืบพยานไปเรื่อยๆ รอๆๆๆจนให้มันหมดอายุความ รอจนชาติหน้าตอนบ่ายแก่ๆก็ยังไม่ได้ตัดสิน กฏหมายอ่อนแอแถมคนบังคับใช้กฏหมายมันก็เอื้อประโยชน์ให้แก่คนผิด เฟดเฟ่

>> ขับ Benz คุณมีสิทธิที่จะไม่เป่า
ขับ Ferrari คุณมีสิทธิยืดจนหมดอายุความ
ขับ รถเก๋ง คุณมีสิทธิที่ใต้โต๊ะได้
ขับ รถกระบะ คุณมีสิทธิที่จะต่อรองกับร้อยเวร
ขับ มอเตอร์ไซด์ คุณมีสิทธิทีจะถูกยึดกุญแจทันทีที่เถียง
ขับ ซาเล้งเก็บขยะ ติดคุกไม่มีสิทธิพูดอะไร

>>เจ้าหน้าที่เปลี่ยนอาชีพเป็นเกษครกร เสียหมดแล้วครับ (เอาหูไปนา เอาตาไปไร่)

>> มันไปค้างอยู่ที่ใคร ฝ่ายสืบสวน คนทำสำนวน หรืออัยการ ขอชัดๆจะได้รู้และถล่มถูกหน่วย

>> ทำไม ต้องมีหมดอายุความด้วย คดีความเร็ว ทำไมไม่อยู่ในสำนวน และที่แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบแล้ว และจะหมดอายุความไม่ดำเนินการอะไรต่อ หรือทำให้มันไม่หมดอายุความ อย่างน้อยก็น่าจะบอกหรือแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่าต้องดำเนินการอย่างไรต่อ เพื่อจะไม่ขาดอายุความ เพื่อจะได้เป็นผลดี ต่อรูปคดี เดียวอีกหน่อยยังไม่รู้ข้อหาอะไรจะหมดอายุความอีก แบบนี้ต้องมีคนรับผิดชอบมั่ย ที่ทำให้ข้อกล่าวหานี้หมดอายุความ หรือช่างมัน ข้อหานี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ไม่ใช่รึ ทำไมปล่อยให้ขาดอายุความได้ เออ..ดีวะ มีแบบนี้ด้วย นี้ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้นักขับรถเร็วต้องเอาไปพัฒนาหลีกเหลี่ยง ให้ได้ในอนาคต เพราะมันหมดอายุได้ ถ้ายืดเวลาให้นานที่สุด เดียวหมดอายุไปเอง ข้อหาความเร็ว เซ็งเลยกู

>> คน รวยคนนมันมีโอกาศทำผิดด้วยกันทั้งนั้น แต่ไอ่ผู้คุมกฏ และหรือ บังคับใช้กฏต่างหากที่มันเห็นคนมีเงินละมันจะอ่อนระทวย แข็งห้าวเป้งกะเฉพาะคนจน นี่ละคนรวยบางคนมันจึงลำพอง เหยียบหัวไอพวกนี้ได้ ทำผิดเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก ดำกลายเป็นขาว ผิดเป็นถูก ยอมรับเหอะเมืองไทยตำรวจไทยชนะคนจน แพ้คนรวย และแพ้กระแสสังคมเท่านั้น !!

>>..คดีคนรวย...เห็นแล้วเพลีย...นี่ขนาดตำรวจถูกชนตายนะนี่

>> เหอๆ นอกจากตำรวจแล้ว อัยการก็เป็นอีกหน่วยงานที่ต้องปฏิรูป ประชาชนระอากับมันจริงๆ ไร้ศักดิ์ศรี เรียนรู้กฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยง แล้วใช้คำหรูเพื่อความยุติธรรม อ๊วกกกกกๆๆๆ

>> ปล่อยข้อหาขับรถเร็ว หมดอายุความ .. ทุเรศชิบหาย ความอัปยศของ(คนออก)กฎหมาย

**ปฏิรูปจริงหรือปลอม แต่ที่แน่ ๆ คือ
-ความล้มเหลวของอัยการ
-ความล้มเหลวของตำรวจ
-ความล้มเหลวของกฎหมายไทย
และทั้งหมดกลายเป็น
-ความล้มเหลวของประเทศไทย

------------------------------------






Thursday, February 18, 2016

เลิกกับเมีย(ขี้เหร่) ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี

บทความดีๆ

เห็นเมียขี้เหร่ ไม่สวยเหมือนเดิม จึงขอเลิกซะ
เมียก็ยอม ที่ไหนได้ พอมารู้ตัวอีกที น้ำตาไหลพราก เสียดายเมียสุดๆ!!!

เหตุเกิดที่เมืองจีน  เขาเริ่มจากการทำงานเป็นช่างปูนจนๆคนหนึ่ง และค่อยๆ ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าช่างปูน ในเวลาไม่นานเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งในขณะนี้บริษัทก่อสร้างของเขาเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงพอสมควร และนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดสิ่งยั่วยวนใจเขา

ภรรยาช่างปูนจนๆคน นี้ คอยดูแลสามีมาตลอดหลายปี จากหุ่นที่ผอมเพรียวเริ่มอ้วน ผิวพรรณที่เคยเนียนนุ่มก็เริ่มเหี่ยวลงทุกวัน ผิวพรรณที่หยาบกร้านของภรรยา ทำให้เขารู้สึกแย่เมื่อเทียบภรรยากับผู้หญิงคนอื่น ลักษณะรูปร่างของภรรยาทำให้เขารู้สึกเบื่อ และเมื่อเห็นภรรยาเขาก็คิดถึงแต่เรื่องในอดีตช่วงชีวิตที่ลำบากและจน

เขา คิดว่าชีวิตคู่ของเราทั้งสองคงจะหยุดลงได้แล้ว เขาฝากเงินในบัญชีให้ภรรยาเขา 100 ล้านหยวน เพียงพอต่อการซื้อบ้านใหม่ในเมือง เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบ เขาวางแผนชีวิตในอนาคตของภรรยาไว้ หากเขาไม่ทำเช่นนี้จะรู้สึกแย่ ไม่อยากให้ภรรยาต้องลำบาก.....

ในที่สุดก็ขอหย่ากับภรรยา

เธอ รับฟังข้อเสนอของเขาด้วยแววตาที่สงบและถ่อมตน เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องย้ายออกไปอยู่บ้านที่สามีซื้อไว้ให้แล้ว ช่วงบ่ายโมงเขาก็กลับมาช่วยภรรยาย้ายบ้าน และเป็นการจบในการใช้เวลาอยู่ร่วมกันมา20กว่าปี

ตลอดช่วงเช้าเขาทำงาน ด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น พอถึงตอนบ่ายเขารีบกลับบ้านก็พบว่าภรรยาได้ออกจากบ้านแล้ว เธอวางกุญแจบ้านที่เขาซื้อให้กับสมุดบัญขีที่ฝากไว้ให้จำนวน100 ล้านหยวน (ประมาณ 400-500 ล้านบาท) พร้อมจดหมายที่เขียนข้อความไว้ว่า :

-- ฉันไปแล้วนะ ฉันจะกลับไปบ้านแม่ฉัน

ผ้าปูเตียงซักเสร็จและตากแห้งหมดแล้ว พับเก็บไว้ที่ห้องเก็บแต่งตัวมุมขวาของตู้ อากาศหนาวก็อย่าลืมเอาออกมาใช้นะ

เสื้อเชิตแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ถุงเท้า เข็มขัดเก็บไว้ชั้นล่างของตู้เสื้อผ้านะ

หลังจากที่ฉันไปแล้วอย่าลืมกินยา กระเพาะคุณไม่ค่อยดี ฉันฝากให้เพื่อนซื้อยาไว้ให้คุณน่าจะพอกินถึงครึ่งปี

อ่อ!ยังมีอีกเรื่อง คุณชอบลืมกุญแจบ้านเป็นประจำ ฉันเลยฝากกุญแจสำรองไว้ที่ป้อมยาม ถ้าลืมก็ไปเอาที่ป้อมยามได้

ตอนเช้าก่อนออกไปทำงานอย่าลืมปิดหน้าต่าง เพราะถ้าฝนตกจะสาดเข้าบ้านทำให้พื้นบ้านเปียกและเสียได้

ฉันทำเกี๊ยวที่คุณชอบอยู่ในห้องครัว กลับมาก็ต้มกินเองได้นะ.....

ตัวหนังสือของเธอในจดหมายเขียนได้ขี้เหร่มาก แต่ตัวหนังสือทุกตัวที่แสดงถึงความจริงใจสุดซึ้ง ทำให้เขารู้สึกเจ็บตรงหัวใจ

เขา นั่งมองเกี๊ยวที่ห่อเก็บไว้ให้เขา ทำให้เขานึกถึงเมื่อ 20 ปีก่อน ช่างปูนจนๆคนหนึ่ง นึกถึงเสียงสับผักที่เตรียมห่อเกี๊ยวให้เขา ทำให้เขามีความสุขและสัญญากับตัวเองไว้ว่า : ฉันจะต้องทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุขที่สุด.....

เขารีบขับรถออกไปตามหาภรรยาทันที หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเขาก็เจอภรรยาที่สถานีรถไฟ ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ

เขา พูดด้วยความโมโหว่า : "คุณจะไปไหน ผมเพิ่งเลิกงาน เหนื่อยมาทั้งวัน กลับบ้านยังไม่ได้กินข้าว หน้าที่ภรรยาเขาทำกันแบบนี้หรือไง? ตามผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ! "

ภรรยาเขาน้ำตาคลอ ค่อยๆลุกขึ้นและเดินตามหลังเขาไป จากรอยน้ำตากลายเป็นรอยยิ้ม

แต่ เธอไม่รู้ว่าผู้ชายที่เดินอยู่หน้า ตอนนั้นร้องไห้หนักมาก....ชายคนนี้กลัวมากขณะที่ขับรถมาที่สถานีรถไฟ เขากลัวว่าจะหาเธอไม่เจอ กลัวจะสูญเสียเธอไปตลอดชีวิต

เขาด่าและโทษ ตัวเองว่าทำไมถึงโง่แบบนี้ ทิ้งผู้หญิงที่เขารักมาก ผู้หญิงที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา 20 กว่าปี ซึ่งมันกลายเป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้

ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่จำนวนเงินในสมุดบัญชี
**แต่มันคือรอยยิ้มของคนที่รักต่างหาก

ที่มา สยามอัฟเดทดอทคอม
* รักคืออะไร
*ชีวิตต้องการอะไร
*ถามใจตัวเองดู
***

ข้อคิด*ให้รางวัลชีวิตตัวเองหน่อย

ผมมีเงินมากพอที่จะ...
ถอย BMW ในฝัน แต่ผมไม่ทำ

คนที่จะจนคือ...มีเงินปั๊บ ซื้อของที่ตัวเองอยากได้ก่อน

คนจะรวย มีเงินจะเอาเงินไปซื้อกิจการ
ไปต่อยอดก่อน

ไม่เชื่อไปสังเกตุตัวเองดูนะ
ได้โบนัสมา5หมื่น กินเที่ยว ซื้อนาฬิกาที่ชอบ3หมื่น
แล้วไง?? กี่ปีแล้วที่ชีวิตเป็นแบบนี้

กี่ปีๆก็ตื่นไปให้คนอื่นชี้นิ้วใช้งาน

สิ้นปีมาก็....เหมือนเดิมครับ
อ้างอีกแล้ว....ทำงานเหนื่อยมาทั้งปี
ซื้อของดีๆขอกินดีๆให้รางวัลชีวิตตัวเองหน่อย

ปีนี้ได้โบนัสมากหน่อย6หมื่น
ซื้อโทรศัพท์ใหม่25,000
พากันไปฉลอง2หมื่น เปลี่ยนแม็กรถอีก18,000 ตังค์หมดพอดี

ทุกๆปีทำแบบนี้....

ผ่านไป 10 ปี นั่งกินเหล้ากับเพื่อน
ต่างคนต่างถามกันเอง ทำไมพวกเราจนจังว่ะ?
ทำงานมาตั้งนาน....ไม่รวยสักที!!

ทีนี้รู้ยังทำไมไม่รวย??

คุณไม่เคยเปิดใจ ไม่เคยเปิดตัวเองให้ได้รับโอกาศ
และที่สำคัญ นั่งรอแต่โอกาศ ทำไมไม่สร้างโอกาศเอง??
งอมืองอตีนรอคนอื่นทำไม?

เมื่อก่อนผมก็เป็นครับ
แม่งเอ๊ยยย ทำงานเหนื่อยมาทั้งเดือน
กูขอให้รางวัลชีวิตบ้าง

แดกเหล้าแพงๆ ซื้อทุกอย่างที่อยากได้
นั่งร้านอาหารดีๆ ยังไม่ถึงวันที่10ของเดือนเลย
เงินเดือนหมดแล้ว....

เงินหมดแดกมาม่าบ้าง ยืมเพื่อนบ้าง
กู้เขามาแดกบ้าง

ไหนหล่ะ??? กางเกงตัวละ 1800
เอามาแดกได้มั้ย?? รองเท่าคู่ละ 2000
หั่นแดกให้อิ่มท้องหรือเปล่า?
แดกอาหารแพงๆ มึงอิ่มทั้งเดือนหรือไง?

คนส่วนใหญ่ในสังคม...เข้าใจ
คำว่ารางวัลชีวิตผิดๆ

ไม่รวยจริงๆ อย่ากระแดกทำแบบนี้
ผมเคยเป็นมาก่อน กี่ปีๆแม่งผมก็จนแล้วจนอีก
จนเพราะ เงินเดือนออกมา ก็อ้างเหมือนเดือนที่แล้ว
เหนื่อยมาทั้งเดือนแล้ว ขอให้รางวัลชีวิตกับตัวเองบ้าง!!

คนรวยเขาซื้อของแพงๆหลังจากรวยแล้ว
คนจนซื้อแต่ของแพงไทั้งๆที่ยังไม่รวย

คนรวย สร้างแต่กิจการไปตรงไหนก็มีสาขา
มีร้านตัวเอง หันไปทางไหน มีแต่รายได้

คนจน สร้างแต่หนี้ หันไปทางไหนก็มีแต่เจ้าหนี้
รายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายมากกว่าเดิม

ผมเคยเป็นมาก่อนครับ
ตั้งแต่ผมรู้ว่าควรใช้เงินทำอะไร
ตั้งแต่ผม....ฉลาดกว่าเงิน ผมก็สบาย

ถ้าอายุ 45-50 อยากนั่งทำงานงกๆๆ
ให้คนอื่นชี้นิ้วสั่งงาน ก็ทำบ่อยๆนะครับ

ไอ้ที่ว่า เหนื่อยมาทั้งปีแล้ว ขอให้รางวัลกับตัวเองบ้าง !
---------------------
Cr: สิริทัศน์ สมเสงี่ยม





Sunday, February 14, 2016

วิกฤติการศึกษาไทย: อนุบาลถึงอุดมศึกษา

รศ. ดร.วรากรณ์ ชี้การศึกษาไทยมีแอบแฝงยาพิษ 8 อย่าง อันตรายเทียบได้กับ “ปรอท” เพราะให้เด็กไทยตายลงช้าๆ ซึ่งต้องแก้ปัญหาร่วมกันทั้งครู พ่อแม่ สังคม และสื่อ พร้อมเสนอว่าทักษะวิชาชีพ และทักษะ 4C จะช่วยให้เด็กไทยปลอดยาพิษ ในงาน 100 ปี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 6
รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

รศ. ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ได้กล่าว เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2558 เนื่องในโอกาส คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดงาน 100 ปี ชาตกาล ศ. ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 6 “การศึกษากับยาพิษแอบแฝง” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

รศ. ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ปาฐกถาว่าด้วยเรื่องการศึกษาว่า “ถ้าไม่รู้ว่าการศึกษาคืออะไร ก็ให้ดูว่าอะไรที่ไม่ใช่การศึกษา” ซึ่งการศึกษาในที่นี้คือการศึกษาทั้งในระบบซึ่งมีอยู่ 9 ล้านคน และการศึกษานอกระบบซึ่งมีอยู่ 61 ล้านคน ทั้งนี้ เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ประเทศไทยมีผู้ที่มีการศึกษาในระบบน้อยมาก โดยเปรียบเทียบได้ว่า ถ้ามีผู้เข้าเรียนอนุบาล 100 คน จะพบว่ามีผู้เรียนจบมัธยมปลายเพียง 42 คน หายไประหว่างทางถึง 58 คน นั่นคือหากดูจากจำนวนคนที่มีการศึกษาในระบบแล้วพบว่าประเทศไทยขาดคนที่มีการศึกษาตลอดชีพจำนวนมาก

ขณะนี้ประเทศไทยมีคนในระบบการศึกษาเพียง 9 ล้านคนเท่านั้น เพราะประชากรลดน้อยลง โดยระหว่างปี 2506-2526 มีเด็กเกิดปีละมากกว่า 1 ล้านคนต่อเนื่องตลอด 20 ปี แต่ตั้งแต่หลังปี 2526 เป็นต้นมา คนไทยเกิดต่ำกว่า 1 ล้านคน และลดจำนวนเกิดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2527 มีจำนวนเด็กเกิด 7.7 แสนคนเท่านั้น ในขณะที่มีคนตาย 4 แสนคนต่อปี เพราะฉะนั้น ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนคนเท่านั้นเอง นี่คือคำตอบที่ว่า “คนไทยหายไปไหน ทำไมต้องนำแรงงานต่างชาติเข้ามา”

สำหรับแรงงานไทยในอดีตมีแรงงานเข้าสู่ตลาดร้อยละ 1.2 ต่อปี ปัจจุบันเหลือร้อยละ 0.2 ต่อปีเท่านั้น นี่คือปัญหาของอุตสาหกรรมไทยที่จะไม่มีคนทำงาน ซึ่งอีก 20 ปีข้างหน้าแรงงานไทยจะเหลือเพียงครึ่งเดียวของแรงงานไทยในปัจจุบันเท่านั้น
การท่องจำไม่ใช่การศึกษา

การท่องจำเพียงอย่างเดียว ในบางกรณีการศึกษาต้องมีการท่องจำประกอบ เช่น การศึกษาของแพทย์ แต่การศึกษาไม่ใช่ “รู้หรือไม่รู้” การศึกษาไม่ใช่ “เครื่องมือยกฐานานุภาพ” ที่ทำให้คนมุ่งแต่จำนวนปริญญา การศึกษาไม่ใช่ “เกณฑ์ในห้องเรียนเพื่อสอบให้ผ่าน”

จากประสบการณ์การเป็นอาจารย์ นักศึกษาจำนวนมากถามว่า “อาจารย์ครับ ตรงนี้ออกข้อสอบหรือเปล่า” ซึ่งผมบอกเลยว่า “ฟังให้ดีนะ เราไม่ได้เรียนเพื่อสอบ แต่สอบเพื่อกดดันให้คุณตั้งใจเรียนเท่านั้นเอง” แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเรียนเพื่อสอบในห้อง และเข้าใจว่าการศึกษาคือการเรียนรู้ในห้องเรียน จนลืมไปว่าเส้นอุปสงค์ (demand) อุปทาน (supply) ที่เคลื่อนไปมาในเศรษฐกิจนั้นคือ สิ่งที่อยู่นอกห้องเรียนแต่จำลองมาไว้ในห้องเรียนเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจนอกห้องเรียนมากขึ้น แต่การศึกษาไทยจำนวนมากยังขาดการเชื่อมโยงระหว่างในห้องเรียนกับนอกห้องเรียน

“กระบวนการคิด” ไอน์สไตน์กล่าวว่า “การศึกษาไม่ใช่การเรียนเกี่ยวกับความจริง แต่เป็นการฝึกฝนใจให้คิด” นี่คือคำพูดของบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 เพราะว่าคนที่ปลุกวิญญาณการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตลอดช่วง 100 ปี และในปี พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) ไอน์สไตน์ได้เขียนบทความหนึ่งที่ ณ ตอนนั้นคนยังไม่ค่อยเชื่อว่าเป็นความจริงว่า “แรงโน้มถ่วงของโลกไม่ได้เกิดจากแรงดึงดูดของโลกเหมือนที่นิวตันเคยบอก แต่เกิดจากความโค้งของจักรวาลที่ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงให้ทุกอย่างตกลงบนโลก ซึ่งสังเกตได้จากแสงจากดวงอาทิตย์ที่ไม่เดินทางตรงแต่โค้ง” จนมีศาสตราจารย์ท่านหนึ่งพิสูจน์ได้ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง จากแสงของดวงจันทร์เวลาเกิดสุริยุปราคา นอกจากนี้ ไอน์สไตน์ยังปลุกจิตวิญญาณเรื่องของสังคม ปรัชญา การศึกษา และการดำรงชีวิตของคนด้วย

เช่นเดียวกัน อาจารย์ป๋วยก็ได้ปลุกความคิดเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งหากย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2513-2514 คนไทยยังไม่ได้คิดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำและเรื่องการพัฒนาชนบท แต่อาจารย์ป๋วยเป็นผู้ที่บอกว่า “ภาคชนบทสำคัญที่สุดและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ซึ่งตราบใดที่ไม่เกิดการกระจายรายได้ที่ดี ประเทศลำเอียงแน่นอน”

ไอน์สไตน์กล่าวว่า “การศึกษาไม่ใช่การเรียนเกี่ยวกับความจริง แต่เป็นการฝึกฝนใจให้คิด” นี่คือคำพูดของบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 ที่ปลุกวิญญาณการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตลอดช่วง 100 ปี

“กระบวนการสร้างความใฝ่รู้”ไม่ใช่การตักน้ำใส่ถัง

“กระบวนการสร้างความใฝ่รู้” การศึกษาไม่ใช่การตักน้ำใส่ถัง แต่เป็นการจุดไฟให้ใฝ่รู้ เพราะการสอนบทเรียนสอนได้แค่วันละ 1 บท แต่หากให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองเด็กจะเรียนรู้ได้วันละเป็น 100 บท รวมถึงฝึกการอ่านความคิดซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม และการสร้างทัศนคติของคน เพราะการศึกษาทำให้คนมีทัศนคติที่กว้างและเข้าใจโลกได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะทัศนคติที่เป็นบวก ซึ่งขณะนี้มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากระบุว่า คนที่มีความคิดเป็นบวก ทำให้วงจรสมองบันดาลให้เกิดความกล้าและประสบความสำเร็จ ส่วนคนที่คิดลบทำอะไรก็จะล้มเหลว

“กลไกการสร้างคุณธรรมและจริยธรรม” ถ้าการศึกษาไม่มีกลไกนี้ก็จะไม่มีประโยชน์ โดยความหมายตามพจนานุกรมระบุว่า 1. คุณธรรม คือ เรื่องความดีและเป็นธรรม 2. จริยธรรม คือ ธรรมที่เป็นข้อควรปฏิบัติ 3. ธรรม คือ คุณความดี ความจริง และความถูกต้อง ส่วน 4. จรรยาบรรณเป็นระเบียบที่ต้องประพฤติของผู้ประกอบอาชีพต่างๆ ซึ่งถ้ายึดตามความหมายนี้แล้วแน่ชัดว่าการศึกษาเป็นกลไกที่สร้างคุณธรรม จริยธรรม นอกเหนือจากกระบวนการคิด การอ่าน และการใฝ่รู้

นอกจากนี้ ไอน์สไตล์ยังกล่าวว่า “การศึกษาคือสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากรื้อทุกอย่างที่เรียนที่โรงเรียนเรียบร้อยอยู่ การศึกษาคือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในตัวคน หลังจากลืมทุกอย่างที่เรียนในโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว” ซึ่งผมคิดว่าเป็นความจริง เพราะส่วนตัวผมจำการพิสูจน์ทฤษฎีต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ไม่ได้แล้ว ทั้งเรขาคณิต พีทากอรัส ตรีโกณมิติฯลฯ และก็ไม่รู้ว่าจะจำไปทำไม แต่อย่าลืมว่าการศึกษาคือกระบวนการที่ทำให้เกิดศรัทธาในสิ่งที่เป็นความจริง และฝึกฝนทักษะการใช้ตรรกะการคิด

“เป้าหมายการศึกษาประกอบด้วย 1. ต้องมีความรู้ คือ การจดจำไอเดีย เนื้อหา ปรากฏการณ์ 2. ความเข้าใจ 3. การนำไปใช้ การใช้หลักการหรือกฎเกณฑ์ในสถานการณ์ใหม่ 4. การวิเคราะห์ คือ การแยกแยะสารสนเทศ จับประเด็นความสัมพันธ์ส่วนต่างๆ ของสารสนเทศ 5. การสังเคราะห์ นำองค์ประกอบต่างๆ มารวมกันเพื่อสร้างภาพใหม่ และ 6. การประเมิน”

การศึกษาอาบยาพิษ

สำหรับ “ยาพิษ” ในการศึกษาเปรียบได้กับ “ปรอท” เพราะว่าไม่ได้ทำให้ตายทันที แต่ตายทีละน้อย ซึ่งการศึกษาที่แฝงยาพิษนี้ไม่ใช่การศึกษาจากในโรงเรียนเพียงอย่างเดียว เพราะคนจะเป็นอย่างไร มีการศึกษาแค่ไหน มีจริยธรรม มีความคิด มีความใฝ่รู้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงเรียนเท่านั้น แต่มาจากครอบครัว สิ่งแวดล้อมรอบข้าง และสังคมด้วย

ถ้าเปรียบครูเป็นหมอจะเห็นชัดเจนมากว่า ครูไม่เคยถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเป็นครูเลย ในขณะที่หมอรักษาคนไข้แล้วคนไข้ตายหมอจะถูกฟ้องร้องได้ นั่นคือ ครูอาจจะให้ยาพิษฆ่าคนทีละน้อยๆ เช่น สอนหนังสือก็ไม่ดี ไม่ตั้งใจสอน ฯลฯ แต่ไม่เคยถูกฟ้องร้องเลย เพราะว่าใช้เวลานานมากกว่ายาพิษจะแสดงอาการ ทำให้ครูมีลักษณะพิเศษ คือ ทำร้ายคนโดยที่ตัวเองไม่รู้

“การศึกษาเป็นยาพิษได้ ถ้าการศึกษาที่ให้นั้นเป็นการศึกษาที่ไม่สมควรจะเป็น และการศึกษาที่เป็นยาพิษอย่างดี คือ การศึกษาที่ไม่ได้ทำให้คนเห็นสิ่งที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่กลับทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เสมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความเลวเป็นความดี คุ้นเคยกับความเลว ซึ่งยิ่งเป็นยาพิษมากขึ้นเพราะฝังอยู่ในใจเด็ก เช่น เด็กเห็นทุกวันว่าครูคอร์รัปชันในโรงเรียน, พ่อแม่ทำสิ่งไม่เหมาะสมทางศีลธรรม ฯลฯ และสุดท้ายกลายเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดคือ เด็กเห็นความเลวร้ายนั้นเป็นของธรรมดา แล้วคนเลวก็กลายเป็นเพื่อนกันได้ เห็นอกเห็นใจกัน และมีข้อยกเว้นสำหรับคนเลวได้”
8 ยาพิษที่แอบแฝงในการศึกษา

1. Parent/teacher center คือ การศึกษาที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เรียน (student center) แต่พ่อแม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของลูก ทั้งนี้ พ่อแม่มีลูกเพื่อให้ความทรงจำที่ดีกับลูก เพราะถ้าวันหนึ่งข้างหน้าพ่อแม่ตายไปแล้วเด็กเติบโตขึ้นมาโดยที่พ่อแม่ทำหน้าที่เต็มที่ตั้งแต่เด็กๆ ก็จะทำให้เด็กมีความทรงจำที่ดี แต่ถ้าพ่อแม่หรือครูไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ปัญหาก็จะเกิดขึ้น เป็นเสมือนยาพิษในใจเด็ก

เช่น “ผลประโยชน์ผู้สอนเป็นสำคัญ” คือ เวลาสอนในห้องเรียนครูสอนไม่เต็มที่ เพื่อที่จะได้สอนพิเศษ ซึ่งการกระทำอย่างนี้ของครูเด็กก็รู้เพียงแต่จะพูดหรือไม่เท่านั้น อย่างโรงเรียนมัธยมของไทยหลายแห่งมีเด็กจำนวนมากที่เรียนพิเศษต่อหลังเลิกเรียน เพื่อเป็นรายได้ให้กับครู

แต่การศึกษาไทยไม่ค่อยพูดประเด็นนี้ เพราะว่าแสลงใจ แต่ ณ สถานศึกษาแห่งนี้เราพูดได้เพราะเป็นความจริง และเป็นอุปสรรคของการศึกษา เนื่องจากเด็กและผู้ปกครองหลายคนไม่ได้อยากเรียนพิเศษ แต่ไม่อยากให้มีปัญหาที่ทำให้เด็กกลายเป็นคนแปลกแยก เช่น ครูไม่ชอบหน้า แปลกแยกจากเพื่อน ดังนั้นจึงตัดสินใจให้เรียนพิเศษที่โรงเรียน ซึ่งราคาอาจจะเดือนละ 300-400 บาทต่อคน แต่ความจริงมูลค่าเงินไม่ใช่แค่หลักร้อย เพราะโรงเรียนมีนักเรียนหลักพัน บางแห่งมีถึง 4,500 คน ซึ่งปัญหานี้ครูใหญ่ก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรเพราะปฏิบัติกันมาแบบนี้ตลอด

“สำหรับผมนี่คือยาพิษ เพราะเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่เด็กเคยชินกับความไม่ถูกต้องแล้ว ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือความไม่ถูกต้องนั่นเอง แล้วไม่มีอะไรที่เป็นยาพิษมากกว่าเห็นผิดเป็นถูก เด็กและประชาชนเห็นคอร์รัปชันในโรงเรียน ในสังคม ซึ่งสิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่เพียงทรัพยากรหายไป แต่คอร์รัปต์จิตใจของคนให้เห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องกลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องน้อยลง หรือเคยชินกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”

เรื่องครูหารายได้จากสอนพิเศษเป็นปัญหาที่ต้องพูดคุยกันและหาทางแก้ไข แม้ว่าบางโรงเรียนอาจจะไม่มีการสอนพิเศษหลังเลิกเรียน แต่บางโรงเรียน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด มีจำนวนมาก และช่วงปิดเทอมจะมีเด็กจากอำเภอไกลๆ มาอยู่ในตัวจังหวัดโดยมีหอพักรองรับจำนวนมาก เพื่อมาเรียนพิเศษกับครูที่สอนในโรงเรียนประจำจังหวัด ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นไรเพราะว่าเป็นงานพิเศษของครู แต่ที่แปลกคือนักเรียนในโรงเรียนที่ครูสอนประจำต้องมาเรียนพิเศษด้วย เพราะถ้าไม่เรียนก็จะกลายเป็นคนแปลกแยก ซึ่งเป็นปัญหาแน่นอนเพราะสังคมไทยเป็นสังคมของคนที่ต้องน่ารัก ถ้าใครคิดนอกกรอบ ไม่ว่านอนสอนง่ายจะเป็นปัญหา

รศ. ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ยังกล่าวให้ข้อคิด 
รศ. ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

นอกจากนี้ ยาพิษในใจเด็กยังเกิดจากพ่อแม่ที่ละเลยศีลธรรม เช่น หลายปีก่อนมีกลุ่มพ่อแม่จากโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งมาฟ้องกระทรวงศึกษาธิการให้ย้ายเด็กคนหนึ่งออกจากโรงเรียน ชอบเปิดกระโปรงผู้หญิงเป็นประจำ แต่ปรากฏว่าย้ายไม่ได้ เพราะกระทรวงศึกษาธิการไม่มีกฎไล่เด็กออกจากโรงเรียนนานแล้ว เนื่องจากเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน โรงเรียนจึงไม่สามารถย้ายเด็กออกได้

ดังนั้น จึงเชิญแม่ของเด็กมาที่โรงเรียน ปรากฏว่า แม่บอกว่าลูกไม่ผิดเพราะการเปิดกระโปรงเป็นเรื่องปกติของเด็ก หลังจากนั้นโรงเรียนจึงสืบพฤติกรรมของเด็กต่อไปพบว่าแม่ไม่เคยอยู่กับลูก เพราะหลังจากเลิกรากับพ่อของเด็กแล้วไปมีแฟนใหม่ ทุกวันก็ปล่อยลูกดูแต่โทรทัศน์ หลังจากนั้นก็เรียกผู้ปกครองมาพบอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ทั้งแม่และยายของเด็กมาด้วยกัน ปรากฏว่า ยายของเด็กแรงยิ่งกว่าแม่เสียอีก จนครูควบคุมการสนทนาไม่ได้เลย ณ วันนี้ผ่านมา 10 ปีแล้ว เด็กคนนั้นอายุ 17-18 ปี ซึ่งผมจินตนาการไม่ได้เลยว่าจะน่ากลัวแค่ไหน

“กรณีนี้สิ่งที่ประทับบนตัวเด็กคือการกระทำของแม่และยาย เพราะฉะนั้น พ่อแม่ที่นึกถึงความสุขส่วนตัวโดยละเลยศีลธรรมนั้นจะกลายเป็นยาพิษในใจของเด็ก”

2. ครอบงำความคิดของศิษย์ เป็นธรรมชาติของการสอนที่อยากให้คนอื่นคิดเหมือนตัวเอง โดยนักเขียนชาวอเมริกันคนหนึ่งกล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของการศึกษาคือการทำให้กระจกนั้นกลายเป็นหน้าต่าง” คำว่ากระจกคือ สอนเด็กให้คิดเหมือนตัวเองแต่ต้องการให้ความหลากหลายเป็นหน้าต่าง ซึ่งเป็นธรรมชาติการสอนของมนุษย์ เช่น พ่อแม่สอนลูกถ้าใจกว้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใจแคบก็จะอคติ เอาเรื่องส่วนตัวไปใส่ลูก อาทิ การไม่ชอบบางอย่าง ทั้งคนบางชนชั้น คนบางชาติ บางสีผิว คนที่คิดไม่เหมือนกัน ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะอยู่ที่ตัวเด็กทั้งหมด เพราะว่าพ่อแม่หรือครูไปครอบงำ

สังคมก็เช่นเดียวกัน บางสังคมครอบงำแรงมาก เช่น ญี่ปุ่น ต้องการให้คนคิดเหมือนกัน เพราะต้องการสังคมที่มีความราบรื่น สังเกตจากการที่เด็กนักเรียนใส่เครื่องแบบเหมือนกัน เป้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ใครที่คิดหรือทำอะไรแปลกแยกจะใช้ชีวิตลำบากมาก

“ครู หรือพ่อแม่ที่ครอบงำศิษย์หรือลูกมากเกินไป ผมเชื่อว่าเป็นยาพิษในใจ ยกเว้นอย่างเดียวที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สืบทอดมานานแล้วคือ ศาสนาของลูกที่พ่อแม่เป็นคนเลือกให้ลูกตั้งแต่เกิด ลูกไม่ได้เลือกด้วยตัวเอง”

นักปราชญ์ชาวอเมริกันกล่าวว่า “ความลับของการศึกษาอยู่ที่การเคารพนักเรียน” หมายถึง เคารพสิทธิ์ความเป็นศิษย์ เคารพความคิด ไม่ยัดเยียด เพราะคนเราต้องเป็นตัวเองในขอบเขต ฉะนั้น ครูและพ่อแม่ที่จะต้องมั่นใจว่าลูกจะต้องเหมือนตัวเองนั้นคิดผิดสมัยแล้ว และเป็นยาพิษต่อเด็กด้วย

3. จงใจล้างสมอง ซึ่งมีจำนวนมากในการศึกษาทั่วโลก อาทิ “ชาตินิยม” ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้คำจำกัดความเชิงประวัติศาสตร์และประเทศไทยเชิงชาตินิยมที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ เช่น การบอกว่าในสังคมไทยมีคนไทย 2 ประเภท คือ ไทยแท้กับไทยไม่แท้ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด คนไทยแท้ไม่มีจริง เพราะชาติพันธุ์มนุษย์มาจากคนแอฟริกาเพียง 3,000 คน เมื่อ 150,000 ปีที่แล้ว ดังนั้น ทุกชาติในโลกนี้ล้วนเป็นชาติอพยพทั้งนั้น และชาติไม่ได้ประกอบด้วยคนชาติพันธุ์เดียวกัน แต่ประกอบด้วยคนที่มีความเชื่ออย่างเดียวกัน มีผลได้ผลเสียเหมือนกัน

“คนใส่ยาพิษเรื่องชาตินิยมเข้าไป โดยที่ไม่รู้ว่าความเป็นชาตินิยมคืออะไร จริงๆ แล้วเราต้องนิยมชาติ รักชาติแบบที่อาจารย์ป๋วยทำ คือรักคนในชาติด้วยกันเอง รักเอกราช รักพรมแดนและทรัพยากรของตนเอง รักผลประโยชน์ของชาติ ดังนั้น ชาตินิยมจึงเป็นยาพิษสำคัญที่ทำให้เด็กมองโลกผิดไปจากที่ควรจะเป็น แต่ถ้ามองอย่างถูกต้องแล้วจะพบว่าทุกคนเป็นคนไทยเหมือนกันหมด เพียงใครอพยพมาก่อนเท่านั้นเอง”

นอกจากนี้ ชาตินิยมยังทำให้ประวัติศาสตร์ไทยไม่เป็นสากล เช่น คนไทยไม่เคยรู้เลยว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ไทยเคยไปเผาเวียงจันทน์ถึง 2 ครั้ง และเอาพระบางมาไว้ที่วัดบางขุนพรมที่กรุงเทพฯ แต่คืนกลับไปลาวในสมัยรัชกาลที่ 4

“คนไทยไม่รู้เพราะว่าไม่ได้เรียน ในประวัติศาสตร์คนไทยต้องเป็นพระเอกเสมอ เรารู้อย่างเดียวว่าเจ็บใจพม่า แม้จะผ่านมา 250 ปีแล้ว ในขณะที่ชาวเวียดนามลืมหมดแล้วว่ารบกับอเมริกาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ชาวญี่ปุ่นก็ลืมหมดแล้วว่าโดนชาวอเมริกาทิ้งระเบิดเมื่อ 60 ปีที่แล้ว”

เพราะฉะนั้น ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องต้องมองโลกอย่างสากล อย่างกรณีนครวัด นครธมพังพินาศไปเมื่อ 800-900 ปีที่แล้ว ก็เพราะกองทัพเจ้าสามพระยาในสมัยอยุธยาตีแตก 2 หน และเอาเทวรูปทั้งหลายมาไว้ที่วัดพนัญเชิงด้วย แล้วพออยุธยาแตกพม่าก็ขนกลับไปอีกต่อหนึ่ง ซึ่งตอนนี้อยู่ที่มัณฑเลย์

“สิ่งเหล่านี้เป็นยาพิษที่ใส่เข้าไป แล้วทำให้มองคนชาติอื่นรอบบ้านด้วยสายตาที่บอกว่าเขาด้อยกว่าเรา ทั้งๆ ที่ทุกคนทุกชาติเท่าเทียมกันหมด”

นอกจากนี้ยังมี “ลัทธิการเมือง ศาสนา ความเชื่อ สังคม” ที่จงใจล้างสมอง เช่น แมวออกลูกเป็นลิง กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งเพื่อให้คนแทงหวย อย่างนี้ถือเป็นการมอมเมาล้างสมองเช่นกัน คือ แทนที่สื่อจะทำให้เกิดความคิดเชิงวิทยาศาสตร์กลับสร้างความงมงายมากขึ้น รวมถึง “อุดมการณ์” ซึ่งทุกวันนี้ถ้ามองในเชิงนามธรรมแล้วคือการต่อสู้ของอุดมการณ์ทั้งสิ้นเพียงแต่มองไม่เห็น และทั้งหมดนี้เป็นการใส่ยาพิษแฝงเข้าไปในการศึกษา และทำให้คนตายทีละน้อยหรือไม่เติบโตเท่าที่ควรจะเป็น และบางครั้งสังคมเรา โรงเรียนเรา พ่อแม่เรา ใส่ยาพิษเข้าไปผ่านการศึกษาอย่างจงใจ

4. การศึกษาที่ half-baked/misinformation/disinformation คือ การศึกษาที่ให้ข้อความที่ผิด หรือข้อความที่จงใจให้ผิด และสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในสังคมของเรา และเราก็เข้าใจผิดกันต่อๆ มา ตั้งแต่ความเชื่อผิดๆ เช่น เว็บข่าวระบุว่ามันหมูเป็นสิ่งที่ควรกินอย่างยิ่ง แต่ความจริงคืออันตรายถ้ากินเข้าไปมากๆ ซึ่งจากการศึกษาทั่วโลกระบุชัดว่าครึ่งหนึ่งของจานอาหารควรเป็นผักหรือผลไม้ และส่วนหนึ่งเป็นโปรตีน ส่วนไขมันสัตว์เป็นสิ่งสุดท้ายที่ควรบริโภค

หรือบางเรื่องก็พูดต่อๆ กันมา ซึ่งตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่ใช่ครูอย่างเดียว แต่รวมถึงพ่อแม่และสังคมด้วย ที่ให้ยาพิษนี้ต่อๆ กันไป เพราะเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าไขมันเป็นอันตรายเนื่องจากสะสมคลอเรสตอรอล หรืออย่างแอลกอฮอล์ มีงานวิจัยว่า ไวน์แดงกับเนื้อ ถ้าเพียงเล็กน้อยจะดีต่อร่างกาย แต่ก็สำหรับเพียงบางคน ส่วนยาพิษอื่นๆ ที่ไม่ร้ายแรงมากแต่อยู่ในสังคมไทยคือ การออกเสียงอักษร H ในภาษาอังกฤษผิด ซึ่งความผิดพลาดนี้น่าจะเกิดจากการสอนผิดพลาดใน 20-30 ปีก่อน

ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ กล่าวต่อ

5. การศึกษาที่ทำให้เกิดเด็กลักษณะพิเศษที่ “เชื่อง” และ “หงอย” นั่นคือเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ซึ่งถือเป็นยาพิษอย่างหนึ่ง เช่น การประเมินเด็กในสมุดพกว่า “ไม่ดื้อ” สะท้อนค่านิยมคนไทยว่า ต้องการเด็กที่เชื่อง ซึ่งเด็กที่เชื่องมากเกินไปไม่ดี เพราะทำให้คิดอะไรไม่เป็น คงไม่มีใครชอบลูกที่เชื่องจนคิดอะไรไม่เป็น เกาะหรือเดินจูงพ่อแม่ตลอดเวลา แต่ต้องการคนที่ยืนบนขาตัวเองในขอบเขตหนึ่ง

ส่วนเด็ก “หงอย” เพราะว่าเรียนมากเกินไป ไม่รู้ว่าเรียนอะไรกันมากมาย จะเห็นว่าเด็กแบกกระเป๋าหนักมาก และที่สำคัญคือหลักสูตรไม่ได้ทำให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็น และโรงเรียนที่ดีต้องทำให้เด็กอยากไปโรงเรียนทุกวัน ไม่ใช่กลัวโรงเรียน

ยาพิษที่สำคัญอีกอย่างคือ “ความงมงายอย่างขาดความคิดเชิงวิทยาศาสตร์” โดยสังคมทำให้เกิดผลประโยชน์ด้วยการทำให้คนงมงาย เช่น การดูดวง ที่ปัจจุบันทำธุรกิจกันอย่างเปิดเผย ซึ่งหากสังคมไม่คิดเชิงวิทยาศาสตร์แล้วก็จะทำให้คนคิดไม่เป็นและเกิดปัญหาตามมามากมาย คนที่คิดไม่เป็นอันตรายยิ่งกว่ามีปรอทในร่างกายหลายๆ กรัมเสียอีก เพราะสุดท้ายจะตายเพราะความไม่ทันคน”

นอกจากนี้ เด็กยังมีลักษณะ “เก่งจดจำมากกว่าคิดวิเคราะห์ และโง่ตลอดไป” เพราะมีความสามารถในการคิดที่อ่อนแอ เขาพูดกันว่า ทักษะการคิดสำคัญมาก เพราะทุกคนเกิดมาไม่ได้คิดเป็นแต่กำเนิด แต่มีทักษะการคิด ซึ่งถ้าคิดบ่อยๆ อาจด้วยมีวิธีการต้องคิดหรือถูกบังคับให้ต้องคิด จะทำให้มีทักษะการคิดที่เข้มแข็ง แต่ถ้าถูกบังคับด้วยการท่องจำหรือความเชื่องมงาย โอกาสในการคิดจะเกิดขึ้นไม่ได้

6. การศึกษาขาดคุณภาพ ซึ่งชัดเจนว่าบังคับให้เด็กเข้าโรงเรียนถึง 12 ปี แต่เด็กก็ไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ แม้ประเทศไทยเสียงบประมาณสูงสุดให้กระทรวงศึกษาธิการ เงินเกือบ 5 แสนล้านบาทต่อปี แต่ผลิตคนคุณภาพไม่ได้ดั่งใจ

เรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดว่าทำไมเด็กไทยไม่เรียนอาชีวะ คือ สาเหตุที่เด็กไม่อยากเรียนเพราะได้เงินเดือนน้อยแค่ 8,000 บาท นั่นก็เพราะผู้ประกอบการให้คุณค่าเด็กอาชีวะเพียง 8,000 บาท เนื่องจากสอนในโรงเรียนให้คุณค่ากับโรงงานเพียงเท่านั้น ซึ่งวิธีแก้ปัญหาคือ การทำให้เด็กอาชีวะมีคุณภาพ มีคุณค่ามากกว่า 15,000 บาท

คนไทยเรียนมหาวิทยาลัยจำนวนมากเพราะเรียนแบบหลับๆ ตื่นๆ จบมาก็มีงานทำ เนื่องจากสังคมยังดูดซับคนทำงานได้ตลอดเวลา แต่ช่วงการดูดซับแรงงานได้อย่างนี้ใกล้จะจบสิ้นแล้ว เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาการลงทุนจากต่างชาติลดน้อยลงอย่างน่ากลัวมาก แต่ต่างชาติไปลงทุนมากที่เวียดนาม อินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ซึ่งอุตสาหกรรมหลายอย่างย้ายจากประเทศไทยไปเพราะค่าจ้างที่สูงขึ้น และขาดแคลนคนที่มีความรู้ในราคาที่จ่ายได้

และที่สำคัญคือ ระบบราชการที่ขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เช่น กรณีน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ราชการรู้ล่วงหน้าแล้วว่าน้ำจะท่วมแต่จัดการให้น้ำไม่ท่วมนิคมอุตสาหกรรมไม่ได้ ทำให้วุ่นวายกันไปหมด แล้วใครจะอยากมาลงทุนในประเทศที่วุ่นวายและไม่รู้จะจบเมื่อไร

นอกจากนี้ ยังเป็นการลงทุนที่เสียทรัพยากรอย่างไร้ประโยชน์ เพราะงบประมาณเกือบ 5 แสนล้านบาท ร้อยละ 75 คือเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษา และถึงตัวเด็กเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่แก้ไขระบบราชการให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบแล้ว จะทำให้ประเทศไทยมีปัญหามาก

7. พ่อแม่รังแกฉัน ซึ่งเป็นยาพิษแน่นอน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เขาบอกว่าเป็นเจเนอเรชั่นสตรอว์เบอร์รี คือ ชอกช้ำง่ายมาก เนื่องจากพ่อแม่เลี้ยงดูเหมือนไข่ในหิน พ่อแม่คิดว่าลูกจะตายก่อนพ่อแม่ ที่พ่อแม่สามารถดูแลลูกได้ตลอด แต่ความเป็นจริงคือพ่อแม่ตายก่อนลูก แล้วลูกจะอยู่ได้ยังไง

จากการสังเกตพบว่า ลักษณะหนึ่งที่พ่อแม่รังแกลูก คือ ขาดวินัย พ่อแม่ที่มีลูกแล้วกลัวลูกลำบาก เมื่อต้นชีวิตไม่มีวินัย ตื่นเมื่อไรก็ได้ ทำอะไรก็ตามใจชอบ จะทำให้ลูกสบายตอนต้นของชีวิตแต่จะลำบากไปตลอดชีวิต แต่พ่อแม่ที่มีวินัยกับลูกจะลำบากตอนต้นชีวิตแต่ช่วงชีวิตที่เหลือจะสบาย เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จคือ วินัย เพราะคนที่มีวินัยจะบังคับตัวเองได้ ควบคุมตัวเองได้ แต่คนที่ล่องลอยไปเรื่อยๆ ตามใจชอบคือคนขาดวินัย ซึ่งไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้

    “พ่อแม่รังแกฉัน คือ รังแกด้วยความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของพ่อหรือแม่คนเดียว (single parent) ที่ด่าอดีตสามีหรืออดีตภรรยาให้ลูกฟังทุกวัน นี่คือการเอายาพิษใส่น้ำให้ลูกกิน ทั้งๆ ที่การด่าโทษพ่อโทษแม่ให้ลูกฟังนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ในที่สุดแล้วคนที่กินยาพิษเข้าไปก็คือลูก ส่วนที่ถูกด่าถึงนั้นไม่ได้รับรู้อะไรด้วยแล้ว บางทีลูกก็อาจจะไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ”

8. หลักสูตรที่แอบซ่อน (hidden curriculum) โดย Samuel Bowles และ Herbert Gintis ได้ศึกษาเรื่องโรงเรียนในระบบทุนนิยมของอเมริกา (Schooling in Capitalist America) พบว่า การศึกษาในอเมริกาสอนให้ลูกจากชนชั้นกลางมี work ethics คือ ขยัน ทำงานหนัก ทุ่มเท มาตรงเวลา เพื่อให้เป็นแรงงานที่มีคุณค่าจนมองข้ามความคิดริเริ่มและความคิดอิสระ เพราะต้องการคนกลุ่มนี้ไปเป็นแรงงานที่ส่งเสริมอุตสาหกรรม และพบอีกว่า ทุนนิยมในอเมริกาที่ดำรงอยู่ได้เพราะว่าการศึกษาเป็นรูปแบบหนึ่งที่ควบคุมให้สังคมอยู่ในระบอบที่เป็นไปได้

“อเมริกาเป็นประเทศเดียวที่ไม่ว่าจะแข่งกีฬาอะไรก็แล้วแต่ ร้องเพลงชาติ มือขวาแตะอกซ้ายน้ำตาซึม ซึ่งมีชนชาติเดียวที่เป็นแบบนี้ และเป็นที่ขบขันของคนแคนาดา นั่นเพราะอเมริกาต้องการให้คนที่มาจากหลากหลายเชื้อชาติหลอมรวมเป็นคนอเมริกันเหมือนกัน และอเมริกาประสบความสำเร็จอย่างมากในการหล่อหลอมคนจากหลากหลายวัฒนธรรมให้หลายเป็นคนอเมริกันได้ภายในชั่วคนเดียวเท่านั้น

สำหรับประเทศไทยก็มีหลักสูตรที่แอบซ่อนเช่นกัน เพราะต้องการให้คนไทยเป็นคนไทย คิดอะไรไม่มาก เป็นชาตินิยม ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้ไม่ได้ต้องการให้คนไทยมีความคิดริเริ่ม แต่ต้องการให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการหล่อหลอมชาติเอาไว้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่ดี แต่ดีโดยมีต้นทุนต้องจ่าย
เด็กปลอดยาพิษ

เด็กในศตวรรษใหม่ ต้องเป็นเด็กที่มีทักษะวิชาชีพ แต่คนมีความรู้ในวิชาชีพมากไม่ได้หมายความว่าประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ต้องมีทักษะอื่นเพิ่มเติม คือ ทักษะชีวิต ที่สื่อสารกับผู้อื่นรู้เรื่อง สามารถทำให้คนอื่นชอบตัวเองได้ สามารถโน้มน้าวคนอื่นตามที่ตัวเองต้องการ

นอกจากนี้ต้องมี 4C ประกอบด้วย 1. การสื่อสาร (Communication) คือมีทักษะการสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ 2. การคิด (Critical Thinking) คือ การคิดเป็นตาม 4 ขั้นตอน คือ เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เห็นแนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปได้ แก้ไขปัญหาได้ และเรียนรู้และจดจำไว้สำหรับในอนาคต 3. การร่วมมือ (Collaboration) คือ ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม และ 4. การคิดอย่างสร้างสรรค์ (Creativity) ซึ่งทักษะทั้ง 4 ข้อนี้บวกกับวิชาชีพแล้วจะสามารถต้านทานการศึกษาชนิดยาพิษแอบแฝงได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าใครคิดว่าเป็นการศึกษาที่เหมาะสมแล้วก็ไม่ควรมียาพิษมากขนาดนี้

“การศึกษาไม่ใช่ของที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีแง่มุมยาพิษด้วย ถ้าการศึกษานั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนหรือประชาชนอย่างแท้จริง”


ที่มา:: http://thaipublica.org/2015/09/varakorn-14-9-2558/




Thursday, February 4, 2016

บางส่วน:: ความเป็นจริงของสังคม

คนแรก ... ขับรถเบนซ์ ราคา 3 ล้าน
เขาเป็นหนี้แบงค์ 12 ล้าน
ชีวิตของเขา ... อยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย

คนที่สอง ... ขับโตโยต้า ราคา 7 แสน
เขากู้แบงค์มาผ่อนบ้าน ... ราคา 2 ล้าน
ชีวิตของเขา ... มักมีเรื่องให้กลุ้มใจอยู่เสมอ

คนที่สาม ... ขี่มอเตอร์ไซค์ราคา 5 หมื่น
เขามีเงินฝากแบงค์ 7 แสน
ชีวิตแม้จะราบรื่น ... แต่ก็รู้สึกว่างเปล่าไร้สาระ

เมื่อทั้ง 3 คนมาเจอกัน
คนขี่มอเตอร์ไซค์ ... อิจฉาคนขับโตโยต้า
คนขับโตโยต้า ... อิจฉาคนขับเบนซ์
คนขับเบนซ์ ... อิจฉาคนขี่มอเตอร์ไซค์

นี่คือ "ความเป็นจริงของสังคม"

ที่แต่ละคน ... ต่างเป็นทาสของเงินทอง และโชคชะตา

แมว ... ชอบกินปลา
แต่กลับว่ายน้ำไม่เป็น

ปลา ... ชอบกินไส้เดือน
แต่ก็ไม่สามารถขึ้นบก มาขุดไส้เดือนได้

สวรรค์ ... เอาเหยื่อมากมาย มาล่อเรา
แต่ก็ ... ไม่ให้ได้มันมา โดยง่ายดาย

เรื่องใหญ่สักเท่าใดของวันนี้
ถึงพรุ่งนี้ ... ก็กลายเป็นเรื่องเล็กจิ๊บจ๊อย

เรื่องใหญ่สักเท่าใดของปีนี้
ถึงปีหน้า ... ก็กลายเป็นนิทาน

อย่างมาก ... พวกเราก็เป็นเพียงแค่
คนที่มี "นิทาน" ใว้เล่าให้คนอื่นฟัง

ชีวิต ... ก็มีเพียงเท่านี้

(cr : แชร์ธรรมนำชีวิต)

Sunday, January 24, 2016

เถียงแม่ ก่อนที่จะเถียงแม่

จะเถียงคุณแม่ขี้บ่น .. ก่อนที่จะเถียงแม่ ให้อ่านข้อคิดดี ๆ ต่อไปนี้ก่อน

เย็นวันหนึ่ง ลูกชายวัยมัธยมปลายถูกคุณแม่บ่นว่าเรื่องไม่ยอมเก็บห้องนอน
กินข้าวไม่เป็นเวลา ออกไปไหนไม่บอกก่อนล่วงหน้า ฯลฯ
หนุ่มน้อยทนไม่ได้ เพราะคิดว่าแม่ชอบจู้จี้จุกจิกเรื่องส่วนตัวของเขา
ก็เลยเถียงแม่ออกไปด้วยเสียงอันดัง ทำให้คุณแม่ยิ่งโมโหที่ลูกชายไม่เชื่อฟัง
คุณพ่อเห็นท่าจะไม่ดี ก็เลยกันลูกชายออกมาและพาไปเดินเล่น
เดินไปด้วยกันเป็นนานสองนาน คุณพ่อจึงพูดกับลูกชายว่า
“การที่ลูกจะเถียงแม่ได้นั้น มีข้อแม้ว่า หากลูกทำได้ใน10ข้อนี้ ลูกจึงมีคุณสมบัติที่จะเถียงแม่ได้!”
“อะไรเหรอครับ?” เด็กหนุ่มถามคุณพ่อ
"ตั้งใจฟังนะ"
1.อาเจียนหลังกินข้าวทุกมื้อเป็นเวลาสามเดือน(แพ้ท้อง)
2.หัวนมถูกกัดแต่ต้องยอมอดทนไม่กล้าตี(ช่วงที่ฟันของลูกขึ้นใหม่ๆ)
3.เอาลูกบอลใส่ท้องและเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือนเป็นเวลาสิบเดือน(ตั้งท้อง)
4.เจ็บปวดเหมือนถูกแส้เฆี่ยนตีเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง(ช่วงคลอดลูก)
5.งดน้ำแข็ง ชา กาแฟและของชอบแต่ส่งผลร้ายต่อลูกในครรภ์เป็นเวลาสิบเดือน
6.เวลานอนพลิกตัวไม่ได้เป็นเวลาห้าเดือน
7.งดเที่ยว งดกระโดดโลดเต้นเป็นเวลาสิบเดือน
8.ห้ามป่วยเป็นอันขาดเป็นเวลาสิบเดือน ต่อให้ป่วยก็กินยาปฏิชีวนะไม่ได้
9.เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเช็ดอ๊วก เปลี่ยนผ้าอ้อมซักผ้าอ้อม ล้างก้นเป็นปีๆ
10.กลางคืนต้องตื่นทุกๆ สองชั่วโมง แต่ละช่วงใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีประมาณสามเดือน
พ่อลูกเดินคุยกันจนมาถึงหน้าบ้าน คุณพ่อตบบ่าลูกชาย แล้วพูดว่า
“เดี๋ยวเข้าบ้านไป ให้เกียรติกับผู้หญิงของฉันด้วยนะ”
“ฮ่าๆ ครับๆ ต่อไปผมจะให้เกียรติผู้หญิงของพ่อให้มากกว่านี้ครับ”
เมื่อลูกชายเข้าบ้านก็ตรงไปกอดและขอโทษคุณแม่
......................
ก่อนที่จะเถียงแม่ คิดก่อนว่าคุณมีคุณสมบัติในสิบข้อนี้หรือเปล่า?

ที่มา:: ส่งต่อกันมา ไม่ทราบที่มาที่แน่ชัด

Tuesday, December 15, 2015

ขำขัน – ใครจะรอดจากเครื่องบินตก??

ขำขัน – ใครจะรอดจากเครื่องบินตก??

เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อเครื่องบินลำหนึ่ง
เกิดปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องอย่างกะทันหัน

กำลังจะโหม่งพื้นดินในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว

เครื่องบินลำนี้ มีผู้โดยสารเป็นผู้ชาย ทั้งหมด 5 คน

แต่มีร่มชูชีพเพียง 4 ชุดเท่านั้น

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก…..จะทำยังไงกันดี?
ชายคนแรก  เป็นนายพลตำรวจ ตะโกนขึ้นมาว่า
บ้านเมืองเรามีแต่โจรผู้ร้ายชุกชุม ผู้ค้ายาเสพติด
และปัญหาอื่นๆอีกมากมายสารพัดสารพัน
ถ้าขาดผมไป ประชาชนคงอยู่อย่างไม่สงบสุขแน่ๆเลย
ว่าแล้ว ท่านนายพลก็หยิบร่มชูชีพ แล้วกระโดดลงจากเครื่องบินไป
ชายคนที่สอง เป็นรัฐมนตรี ก็พูดขึ้นบ้างว่า
ตอนนี้ประเทศของเรากำลังพัฒนา และประชาชนก็รอความช่วยเหลือ
จากผมอยู่ ถ้าขาดผมไป ประเทศชาติและประชาชนจะเป็นอย่างไร
ผมขอไปก่อนนะ พูดจบ ท่านรัฐมนตรีก็คว้าร่มชูชีพกระโดดตามไป

ชายคนที่สาม เป็นเจ้าของธุรกิจพันล้าน รีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า
ธุรกิจผมมีพนักงานหลายพันคนที่ต้องดูแล เราเป็นครอบครัวใหญ่
หากขาดผมไป บริษัทต้องปิด พนักงานต้องตกงาน ผมขอไปด้วยคน
ว่าแล้ว ก็คว้าถุงร่มชูชีพแล้วรีบกระโดดตามไปทันที

สุดท้าย เหลือชายอีก 2 คนนั่งมองตากันปริบๆ
ชายคนหนึ่งเป็นชายชราเจ้าของไร่ข้าวโพด

และ เด็กอีกคนหนึ่ง เป็นลูกเสือ
ชายชราก็พูดขึ้นว่า ไอ้หนูเอ๊ย ลุงแก่มากแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน
เอ็งเอาร่มชูชีพที่เหลือไป แล้วรีบโดดตามพวกเขาไปเถอะ

ก่อนที่เครื่องจะดิ่งลงพื้น เดี๊ยวจะตายกันหมด...

เด็กหนุ่มลูกเสือยิ้มเล็กน้อย หันไปมองร่มชูชีพ แล้วตอบชายชราว่า
เราไปด้วยกันเถอะครับคุณลุง มีร่มชูชีพเหลือ 2 ชุดพอดี
..
เพราะเมื่อกี๊นี้ ...........

ไม่รู้ว่าใครหยิบเอาเป้ลูกเสือของผมไปครับ ???55555

**ข้อความนี้ ไม่ได้มุ่งโจมตีใคร ให้เพียงความขำเท่านั้น
Cr: ส่งไปทั่ว

Thursday, December 3, 2015

ทำไมคนเพื่อน/คนในครอบครัวเรา ถึงไม่ค่อยสนับสนุนการกระทำของเรา ..

ทำไมคนข้าง ๆ เราถึงไม่ค่อยสนับสนุนการกระทำของเรา ..
ทำไมคนเพื่อน/คนในครอบครัวเรา ถึงไม่ค่อยสนับสนุนการกระทำของเรา ..

Jack Ma เศรษฐีชาวจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวว่า
"เมื่อคุณเริ่มสร้างธุรกิจของคุณ
คนกลุ่มแรก.....ที่ให้ความเชื่อถือในตัวคุณคือ คนแปลกหน้า
เพื่อน.....จะตั้งกำแพงใส่คุณ
เพื่อนห่างๆ.....จะยิ่งถอยห่างออกจากคุณ
คนในครอบครัว.....ก็จะดูถูกคุณ
สุดท้ายแล้ว.....เมื่อคุณประสบความสำเร็จ
ทุกๆครั้งที่มีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จ หรือเลี้ยงสังสรรค์ใดๆ
คุณกลับต้องจ่ายสำหรับคนที่เคยดูแคลนคุณเหล่านี้
โดนปราศจาก คนแปลกหน้า " ที่มีส่วนในความสำเร็จของคุณ
ดังนั้น อย่าไปสนใจใครๆ จงก้าวต่อไป อย่าได้ถอย"


ดังนั้น เราขอให้คุณให้กำลังใจตัวเอง ให้สู้ต่อไป อย่าได้ถอย

Cr:: Unknown

Friday, November 20, 2015

ทหารไทย...ไม่เคยโกง

ใครที่บอกว่าทหารไทยโกงเรื่องอุทยานฯ แสดงว่า คุณไม่รู้จักทหารไทย

เติบโตมากับบ้านประจำตำแหน่ง น้ำไฟฟรีตลอดชีวิต เกษียณแล้วก็ยังไม่ออก เขาเรียกว่า สวัสดิการต่อเนื่อง

เกณฑ์ทหารได้เงินเป็นกอบเป็นกำทุกปี เขาเรียกว่า โบนัส

ปล่อยทหารเกณฑ์กลับบ้าน แต่เบิกเบี้ยเลี้ยง ไม่ต้องตัดค่าอาหาร เขาเรียกว่า เบี้ยทหารเกณฑ์

กองทัพมีนโยยายจะซื้ออาวุธ เอกชนพาไปดูถึงโรงงาน แวะสวิสแจกนาฬิกาคนละเรือนสองเรือน เขาเรียกว่า ไปดูงาน

รับเงินบริจาคมาแต่ส่งไม่ครบ เขาเรียกว่า เงินส่วนต่าง

ชื่อไปอยู่ในสี่จังหวัดภาคใต้ แต่ตัวลงไปไม่เกินหัวหิน เขาเรียกว่า ค่าฝ่าอันตราย

โดดร่มหนเดียว แต่รับเงินทั้งชีวิต เขาเรียกว่า ค่าปีก

คิดอะไรไม่ออก เบิกเงินไว้ก่อน เขาเรียกว่า งบแก้ปัญหา

สุดท้าย หาเหตุแดกเงินไม่ได้จริงๆก็จะเอา เขาเรียกว่า งบลับ

ตรงไหนเรียกว่าโกง...บอกหน่อย 555

ที่มา:: ว่อนเน็ต ทั่ว Line Twister

Friday, November 13, 2015

“คิดดี-คิดบวก”

“คิดดี-คิดบวก”

โดย “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ผู้บริหารดีแทคพูดเรื่อง “เกมคิดดี” ในงาน Ignite Thailand

เขาเชื่อว่าฝึกได้

“ธนา” เล่าถึงทีมขายเคลื่อนที่ของบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เงินเดือนน้อยที่สุดขององค์กร แต่ทำงานหนักที่สุด

แต่ปรากฏว่าน้องกลุ่มนี้เป็นคนที่มีพลังมาก ไม่เคยบ่น และเมื่อว่างจากการทำงานก็มีจิตสาธารณะไปช่วยชุมชนกวาดลานวัด

“ธนา” สงสัยมานาน ว่าทำไมคนกลุ่มนี้จึงมี “ทัศนคติ” ที่ดี

จนเมื่อเขาได้คลุกคลีกับน้องๆ กลุ่มนี้

“ธนา” จึงได้รู้จัก “เกมคิดดี”

เกมนี้น้องๆ จะเล่นกันเป็นประจำตอนพัก มีกติกาคือให้ทุกคนคิดถึงทุกอย่างในแง่ดี

หัวหน้าจะตั้งคำถาม

“แดดออกดีอย่างไร?”

น้องคนหนึ่งยกมือ
"ดีเพราะชาวบ้านจะมาที่ตลาด ทุกคนมารวมตัวกันที่เดียว ไม่ต้องไปขายไกลๆ"

“ฝนตกดีอย่างไร”

อีกคนหนึ่งตอบ “ฝนตก คนออกจากบ้านไม่ได้ เราจะมีโอกาสคุยกับลูกค้านานขึ้น”

“หมาเห่าดีอย่างไร”

คราวนี้เริ่มยาก ทุกคนหันไปมองหน้ากัน แล้วคนหนึ่งก็คิดได้

“เราจะไม่เจ็บคอตะโกนเรียก เพราะเจ้าของบ้านจะเดินออกมาเอง”

โหย…ใช้ได้

หา “มุมบวก” เก่งจริงๆ

“ธนา” เชื่อว่า “ทัศนคติ” เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต

หลักคิดของเขาก็คือ ถ้าเราไม่ชอบอะไรก็ตาม ให้พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้ได้

แต่ถ้ายังเปลี่ยนไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติต่อสิ่งนั้น

“ธนา” เชื่อว่าการมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นทั้ง “พรสวรรค์” และ “พรแสวง”

ใครที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก็ถือว่าเป็นคนโชคดี

แต่ถ้าใครไม่มีเรดาร์แบบนี้ติดตัวมา เขาก็เชื่อว่าสามารถฝึกฝนได้

แล้ว “ธนา” ก็เริ่มต้นเล่น “เกมคิดดี” บนรถกับลูกสาวทั้ง 2 คน

คนหนึ่งอายุ 7 ขวบ อีกคนอายุ 5 ขวบครึ่ง

เขาบอกลูกๆว่าลองคิดทุกอย่างในแง่บวก หา “ข้อดี” ของทุกเรื่องราวในชีวิตให้เจอ

ถามว่าอยู่ที่บ้านดีอย่างไร
“มีของเล่นเยอะ”

อยู่ที่โรงเรียนดีอย่างไร
“ได้เจอเพื่อน”

“แล้วรถติดดีอย่างไร”
คราวนี้ลูกสาวทั้ง 2 คนเริ่มโยเย เพราะแต่ละคนเบื่อสภาพรถติดมาก จะบ่นตลอดเวลา

“ไม่เห็นมีอะไรดีเลย” ลูกคนโตเริ่มโวย

“ไม่ได้ ก็บอกแล้วไงว่าเราเล่นเกมคิดดี” คุณพ่อไม่ยอม

ลูกสาวคนเล็กนั่งคิดอยู่แวบหนึ่งแล้วก็ยกมือ

“พ่อ หนูคิดออกแล้ว รถติดมีข้อดี เพราะพ่อจะได้หันหน้ามาคุยกับหนู”

น่ารักมาก…

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่รถติด ลูกสาวทั้ง 2 คน จะตะโกนลั่นรถ

“รถติดแล้ว คุณพ่อหันมาคุยหน่อย”

ลูกสาวของ “ธนา” ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนชื่อดังแถวชิดลม ซึ่งก็ไม่ไกลจากออฟฟิศของเขา อาคารจามจุรี สแควร์ ใกล้สวนลุมพินี

ตอนที่รู้ว่าลูกสอบติดที่ “มาแตร์” ด้านหนึ่งก็ดีใจ แต่ด้านหนึ่งก็ทุกข์ใจ เพราะต้องไปส่งลูกสาวทุกเช้า

จากเดิมตื่น 7 โมง ก็ต้องตื่นตี 5 ครึ่ง เพื่อไปส่งลูกให้ทันเข้าเรียน 7 โมง

สัปดาห์แรก “ธนา” ทุกข์หนัก และคิดในแง่ลบว่าชีวิตของเขาต้องเป็นอย่างนี้อีก 12 ปี เชียวหรือ

แต่เมื่อตั้งหลักได้ เขาก็เริ่ม “เกมคิดดี”

เขาใช้เวลาช่วงส่งลูกเสร็จ ก่อนเข้าทำงาน ไปวิ่งที่สวนลุมพินี

เช้าวันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งมาทักทายเขา “ประเสริฐ” เป็นนักวิ่งระดับแข่งมาราธอน
เขาวิ่งทุกเช้าวันละ 40 นาที ระยะทาง 10 กิโลเมตร

“ตอนแรกผมวิ่งแค่ 300 เมตร ก็จะเป็นลม แต่ตอนนี้วิ่งทุกเช้ามา 4 ปีแล้ว”

“ธนา” เริ่มเอะใจ จึงถามถึงเหตุผลที่ “ประเสริฐ” หันมาวิ่ง

“ลูกสาวผมเรียนที่มาแตร์” เขาตอบ

“ลูกพี่อยู่ ป.4 ใช่ไหม” ธนาถาม

“ใช่” ประเสริฐทำหน้างงๆ “คุณธนารู้ได้ไง”

“ธนา” ไม่ได้เล่าต่อ

แต่เขาจบเรื่องเล่าบนเวทีด้วยการทำนายอนาคตตัวเอง

“ผมรู้แล้วว่าอีก 4 ปี ผมจะเป็นนักวิ่งมาราธอนแน่นอน”

นิทาน เรื่องนี้  สอนให้รู้ว่า  เราเปลี่ยน โลก  ไม่ได้  แต่  เราเปลี่ยน วิธีคิด  เราได้   มาฝึก คิดบวก กันเถอะ ครับ

: ไม่ทราบที่มา

Thursday, November 12, 2015

รู้ทันประกันภัยรถยนต์

แชร์ด่วน รู้หรือไม่ ? นอกจากประกันของคู่กรณี จะต้องซ่อมรถให้เราแล้ว ยังต้องจ่ายเงินสินไหม ค่าขาดประโยชน์ จากการไม่มีรถใช้ ระหว่างซ่อมให้เราด้วย

เป็นความรู้ แบ่งปันกันครับ เชื่ออว่าหลายคนคงไม่รู้
เรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม

ประโยชน์ของผู้ใช้รถที่ถูกละเมิดที่หลายคนไม่เคยเรียก จากการถูกคู่กรณีชน
เราก็มักจะซ่อมจบๆกันไปคือสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม

อันดับแรก หลังจากเฉี่ยวชนเรียกประกันมาเครียร์แล้ว ให้ใช้มือถือถ่ายหัวกระดาษของใบเคลมที่ประกันคู่กรณีออกให้ด้วย ว่าที่ไหน เบอร์อะไร
2.เอาใบเคลมของประกันฝ่ายเราเข้าซ่อมในศูนย์หรืออู่ในเคลือ ก่อนให้อย่าลืมถ่ายเอกสารไว้
3.เมื่อรถซ่อมเสร็จ ขอสำเนาเอกสารรายการซ่อม และใบรับรถส่งรถที่มีวันที่ชัดเจน

มาถึงขั้นตอนเรียกสินไหมล่ะ

4.โทรหาประกันคู่กรณี แจ้งเลยว่าจะยื่นเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม
5.เขาจะให้เบอร์ fax ฝ่ายเคลมมา
6.เอกสารที่ต้อง fax คือ
6.1หนังสือที่ผมมีตัวอย่างจากการใช้จริงให้ด้านล่างของกระทู้ หากมีเส้นทางแน่นอนต้องเขียนแผนที่เดินทางด้วย
6.2สำเนาใบเคลมหรือรายละเอียดการซ่อม และเอกสารที่ระบุวันรับและส่งคืน
6.3สำเนาบัตรบัตรประชาชน
6.4สำเนาหน้ากรมธรรนของเรา

ไม่ต้อง fax เบอร์บัญชี

7.Fax แล้วรอ 2วันทำการ แล้วโทรตามไปถามว่าใครรับเรื่อง จะมีหมายเลขเคลมขึ้นมาด้วย จดไว้จะได้ติดต่อกันง่าย
8.รออนุมัติ จะมี จนท.นั้นๆโทรมาแจ้งว่าได้เท่าไร ต่อรองได้ จะได้ 50%เสมอ
9. มี fax ใบตกลงรับค่าชดเชย มาเซ็นต์แล้ว fax กลับ
10.จะออกเชคให้อาจไปรับเองหรือส่งไปรษณีย์ ใช้เวลาออกเชคใน 7วัน

ประกันโทรมาครั้งแรกให้วันละ 500×28=14000 ผมก็เลยขอ1000 ต่อวัน รวม 28000 จบที่วันละ 600×28=16800 บาท
แปลว่าทุกท่านที่เคยถูกละเมิด ถูกคนอื่นขับรถชนท้ายแล้วท่านไม่เรียกสินไหม ท่านกำลังเสียประโยชน์ไป 16800 บาทนะครับ
ตอนนี้เคสผมอยู่ในขั้นตอนรอเชคครับ ดีกว่าไม่ได้เลย
—————————–

ข้าพเจ้า xxxxxx เจ้าของรถ mitsubishi lancer ex ทะเบียน xxxx กทม ถูกรถยนต์ที่ขับโดยคุณ xxxxxx ยี่ห้อ xxxxx ทะเบียน xxxx กทม ชนท้ายที่ xxxx เมื่อวันที่ xxxxx
ทำให้รถข้าพเจ้ามีความเสียหายคือ
xxxxx
xxxxx
xxxxx
xxxxx

ข้าพเจ้าได้จึงได้นำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์มิตซูบิชิสาขา xxx ในวันที่ xxxx ซ่อมเสร็จ วันที่ xxxxx เป็นเวลา 28 วัน
ข้าพเจ้าทำงานเป็น xxxxxx ทั่วกรุงเทพปริมณฑลต้องใช้รถทุกวันราวๆ xxx กม./วัน ต้องนั่งแท๊กซี่ไปทำงานแทนประกอบกับความไม่สะดวกในการเดินทางอย่างมาก
จึงขอเรียกสินไหมดังนี้
1. ค่าขาดผลประโยชน์จากการใช้รถ xxxx บาทต่อวัน เป็นระยะเวลา 28วัน รวม xxxxx บาท
2. ค่าเสื่อมสภาพรถจากอุบัติเหตุ xxxxx บาท

รวมทั้งสิ้น xxxxx บาท

ค่าชดเชยประโยชน์จากการใช้รถที่หายไป ลืมบอกไปว่า..ในข้อ 2. ค่าเสื่อมสภาพรถจากอุบัติเหตุไม่อนุมัตินะครับ เพราะถือว่าเขาเปลี่ยนชิ้นส่วนให้เราแล้วจึงไม่เกิดการเสื่อมสภาพ ได้แต่ 1. ค่าขาดผลประโยชน์จากการใช้รถ

ถ้าไม่พอใจสินไหมที่อนุมัติตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องร้องต่อ คปภ. แต่ต้องดำเนินการเอง fax เคลมไม่ได้ ยุ่งยากและเสียเวลาเรา

ซึ่งข้อนี้ บ.ประกันมันรู้เลยกดราคาเราเผื่อต่อเพราะรู้ว่าเราไม่อยากไปร้องอีก
จุดที่เขาประเมินคือรถอยู่ในอู่จริงกี่วันมากกว่าครับ

สูงสุดที่มีคนได้กันคือ 1500บาทต่อวันแต่ต้องร้องไปที่ คปภ.ถึงได้นะครับ เคสทั่วไปมักได้ 500 เท่านั้นแหละ

ถ้าเช่ารถก็ขอใบเสร็จมายืนยันด้วยนะครับ แต่ก็ไม่ได้เต็มค่าเช่าอยู่ดี เข้าเนื้อแน่นอน
จริงๆต่อให้ทดแทน 1000 ต่อวันก็ไม่คุ้มหรือกำไรหรอกนะครับ รถที่ถูกซ่อมไม่มีวัน100%เหมือนเดิม

บ.ประกันคู่กรณีก็ไม่ได้เด่นดังอะไร เกิดมาพึ่งได้ยิน ได้แค่นี้ก็บุญแล้ว ทำใจๆ
เลยคิดแบบง่ายๆว่าดีกว่าไม่ได้ก็พอใจแล้วครับ

Cr.Somkiat Rodchum A รู้ทันประกันภัยรถยนต์

Sunday, November 1, 2015

เสี่ยอู๊ดน้อยใจในโชคชะตา

คำสารภาพของเสี่ยอู๊ด นายสิทธิกร บุญฉิม
:: ผมมิได้ว่าใครไม่ดี หรือจะว่าใครชั่ว ก็หาไม่

---------------------------------

การตายของเสี่ยอู๊ดนั้น ทำให้คนไทยได้ทราบว่า
"**พูดไม่ออก อ่านเองข้างล่าง**"

มหากาพย์เรื่องยาว 11 ประเด็นที่ทำให้เสี่ยอู๊ดน้อยใจในโชคชะตา ซึ่งแกได้เขียนบทความนี้ลงในไลน์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2558
____________________________________________
คำคมข้อคิด จากบัณฑิต ม.3
"ผู้ให้ทำชั่ว ไม่มี..ผู้รับทำดี ไม่มีชั่ว"
หมายเหตุ
11 เรื่องจริง อิงอุทาหรณ์สอนใจ!!
การจะหาคนดีที่ไหนก็ไม่มีแน่ ถ้าตัวเราไม่ดีแท้ในสายตาเขา สำหรับปุถุชนคนทั่วไปที่ยังยึดติดลาภ ยศ สุข สรรเสริญ วันใดเราหมดสิ้นหรือไม่ให้ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ บุคคลเหล่านั้นก็ใช่จะเห็นเราว่าเป็นคนดี
ถ้าหวังให้ใครดีกับเรา ตลอด
เราก็ต้องคิดดี พูดดี และทำดี ให้กับเขาตลอดไป แม้เราจะเคยทำดี เคยช่วยเหลือ เคยให้เขามามากมาย ยิ่งใหญ่ และยาวนานขนาดไหน แต่ถ้าวันใดเราขัดใจไม่ดีกับเขาแม้เพียงครั้ง เขาก็จะเห็นเราไม่ใช่คนดีทันที
ผมเชื่อ ไม่ว่าใครๆในโลกก็อยากให้ อยากช่วย หรืออยากทำดี กับคนที่เป็นคนดีจริงๆ แต่ในความเป็นจริง คนที่จะดีจริง ดีตลอดไป กลับไม่มี เพราะถ้าเขาไม่ได้รับสิ่งที่ดีจากเราตลอดไป การกระทำก็จะปรับเปลี่ยนไปตลอดกาล เหตุการณ์ที่ผมจะกล่าวข้างล่างต่อไปนี้ ผมมิได้ว่าใครไม่ดี หรือจะว่าใครชั่ว ก็หาไม่ หากแต่การกระทำของทุกท่าน เป็นธรรมชาติความจริงของมนุษย์ครับ
ขอยกอุทาหรณ์ 11 เรื่อง ดังนี้...

1.ม.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผมเคยมอบเงิน 186 ล้านบาท สร้างศูนย์กลางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตามที่ขอ สมัยนั้นเขายกย่องผมเป็นประธาน แต่เมื่อพระพรหมบัณฑิต อธิการบดีทำไม่ถูกต้องเป็นเหตุทำให้ผมเกือบติดคุกสมัยนั้น รวมทั้งทำให้ผมต้องตกเป็นข่าวเสื่อมเสีย เขาจึงถูกผมตำหนิ นับแต่นั้นพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับผม ต่อมาผมตำหนิที่เขาปกปิดบิดเบือนความจริงอันเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ของผม 8 ปีนับจากเกิดคดีสมเด็จเหนือหัว เขาจึงไม่ไปเยี่ยมที่คุก ถึงวันที่พ้นโทษผมได้มามหาวิทยาลัยนี้เป็นครั้งแรก เขาทั้งหลายรังเกียจสถานภาพนักโทษของผม จึงไม่ต้อนรับ และไม่รับผิดชอบต่อสัญญาที่เคยทำไว้กับผม เหตุเพราะเขาเห็นผมเป็นคนชั่วไปแล้ว

2.สภาสังคมสงเคราะห์ฯ
ผมเคยมอบเงินกว่า 100 ล้านบาท ให้สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ และพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ตามที่เขาขอ สมัยนั้นเขาให้เกียรติผมกว่าใครๆ แต่พอนายอำนวย อินทุภูติ ประมุขของ 2 องค์กรถูกผมสอบถามเรื่องการใช้เงินบริจาค และการไม่นำเงินของผมออกมาช่วยประชาชนคราวน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 นับแต่บัดนั้นเขาก็เสนอเรื่องให้ประมุขท่านปัจจุบัน ฟ้องร้องแก้เกี้ยวเรียกจะเอาเงินเพิ่มอีก 100 ล้าน ที่ตนเคยขอความอนุเคราะห์จากผม 194 ล้าน แต่ได้ไปแค่ 94 ล้าน เขาอ้างว่าผมยังต้องให้เขาอีก 100 ล้าน เขาจะฟ้องผมทั้งๆที่เป็นการขอจากผมแท้ๆ ที่เขาจะฟ้องเพราะเห็นผมเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ทั้งๆที่เงิน 100 ล้าน จากปัญญาของผม เขายังใช้ไม่หมด เงินยังคงเหลืออยู่ แต่เจ้าของเงินกลายเป็นคนชั่วไปแล้ว

3.มูลนิธิ โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี
ผมเคยอุปถัมภ์เงิน 132 ล้านบาท ให้โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี พอนพ.ชัยพร กันกา อดีตผู้อำนวยการเป็นต้นเหตุทำให้ผมถูกกลั่นแกล้งจนเป็นคดีความติดคุกเสื่อม เสียสถานภาพ นับแต่บัดนั้นพวกเขาก็ไม่เห็นความสำคัญเหมือนครั้งแรกๆที่ขอเงินจากผม และเมื่อผมออกจากคุกได้พูดเรื่องเงินของผมที่สูญหายไป พูดเรื่องที่พวกเขาทำป้ายประวัติการอุปถัมภ์ของผมเป็นเท็จ พร้อมพูดเรื่องต่างๆที่ทีมมูลนิธิศูนย์มะเร็ง โดยนางวัชรี เทียนสุวรรณ, นพ.ชัยพร กันกา เคยทำไม่ดีกับผม ณ วันนี้ นางวัชรี เทียนสุวรรณ ประธานมูลนิธิฯ, นพ.ชัยพร กันกา อดีตผอ.,นางวันเพ็ญ ไกรพันธ์ เลขา ซึ่งเคยมีอำนาจในโรงพยาบาล จากที่เคยเอาอกเอาใจต้อนหน้าต้อนหลังผม ครั้งอยากได้เงิน แต่เมื่อได้เงินไปเกินขอแล้ว ตอนนี้ทั้งทีมก็เปลี่ยนไปทันที ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เริ่มขอเงินผม ปัจจุบัน นางวัชรี, นพ.ชัยพร, นางวันเพ็ญ หายหน้าไปไม่เห็นแม้เงา คงเหลือแต่ นพ.สมภพ ผู้อำนวยการท่านปัจจุบัน พร้อมทีมคณะผู้บริหาร และคณะแพทย์-พยาบาล จนท.ท่านอื่นๆ ยังเหมือนเดิม!!! ส่วนทีมผู้มีอำนาจเดิมที่หายหน้าไป เพราะวันนี้เห็นผมเป็นคนไม่ดีไปแล้วครับ

4.มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ
ผมเคยมอบเงินทำให้มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีทุนครบ 100 ล้านบาท สมัยนั้นมูลนิธิทำโล่มามอบให้ แต่ผมไม่ไปรับ ต่อมามูลนิธิให้ผมสร้างพระสมเด็จเหนือหัวแทน พอผมเกิดคดีความถูกจับ ทันใดนั้นประธานมูลนิธิก็พูดกับ DSI ว่า "นายสิทธิกร บุญฉิม ทำให้มูลนิธิเสื่อมเสียชื่อเสียง" และเหล่าคณะกรรมการมูลนิธิก็ไปปฏิเสธที่ศาลอาญา ว่ามิได้ให้ผมจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว นับตั้งแต่บัดนั้นชาวมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ก็รังเกียจผมเป็นต้นมาในฐานะคนชั่วที่ทำงานให้พวกเขาเเล้วเสียชื่อเสียง เขาว่าผมชั่วทั้งๆที่เงินสมทบทุน 100 ล้านจากผม พวกเขายังใช้ดอกผลอยู่

5.บ้านเกิด อำเภอบ้านฉาง
ผมเคยสร้างสาธารณประโยชน์ ให้วัดและโรงเรียนในบ้านเกิด อำเภอบ้านฉาง มากมายหลายสิบล้าน สร้างให้ชนิดที่ไม่มีใครในอำเภอกล้าทำ สมัยนั้นทางวัดยกย่องสรรเสริญผมเหมือนเทวดา แต่คราวผมติดคุกเสื่อมเสียชื่อเสียง พระครูวรธรรมโกษาภิรักษ์ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณรังสรรค์(วัดยายร้า) ก็รังเกียจผมตามกระแสสังคม จึงไม่ยอมไปเบิกความจริงช่วยผมที่ศาลอาญา ผมจึงตำหนิออกจากคุกกรณีที่ท่านไร้น้ำใจ นับแต่นั้นเจ้าอาวาสและเหล่าพระเณรบางรูป และบุคคลบางกลุ่ม ก็ไม่ดีต่อผมทันที โดยเจ้าอาวาสจะไม่ยอมให้อาคารเรียนติดชื่อผม ตามที่ท่านเคยตั้งนามผมเองคราวรับเงินไปสร้าง และท่านก็ทวงเงินเพียง 2 หมื่นที่ให้น้องสาวผมคราวคลอดลูก เจ้าอาวาสปล่อยให้พระบางรูปในวัดด่าว่าผมและพี่น้องของผม โดยท่านลืมการกระทำของตนสมัยก่อน ที่เอาอกเอาใจผมทุกอย่าง ขนาดผมจะกลับท่านจะส่งผมขึ้นรถ ปิดประตูให้ ปัจจุบันการกระทำของท่านเปลี่ยนไป ทั้งๆที่ถาวรวัตถุที่ผมสร้างให้วัด โรงเรียน ยังคงได้ใช้ ได้อาศัยอยู่ แต่ความดีที่ท่านเคยดีกับผมไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะเขาเห็นผมเป็นคนไม่ดี ไม่มีผลประโยชน์ให้ได้ดังเดิม

6. วัดสุทัศนเทพวราราม
ผมเคยหาเงินให้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และวัดสุทัศนเทพวราราม มากมายหลายสิบ หลายร้อยล้าน สมัยนั้นเวลาผมมาพบสมเด็จที่วัดท่านจะเดินไปส่งผมถึงประตูคณะ แต่ยามที่ผมติดคุกเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะปกป้องเรื่องการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ไม่ให้ความผิดถึงตัวสมเด็จฯ นับจากนั้นชาววัดสุทัศนเทพวราราม ก็รังเกียจผม ด่าผม แม้กระทั่งพระที่ผมเคยอุปการะบวชจนได้เป็นเจ้าคุณและเคยให้ทุนเล่าเรียนสมัย บวชใหม่ๆ ท่านก็ยังด่าผม ส่วนที่ผมแพ้คดีล่มสลายมาจนบัดนี้ ตามคำพิพากษาระบุว่า เป็นเพราะคำให้การของสมเด็จเจ้าอาวาสวัดสุทัศนฯที่ผมปกป้อง ณ วันนี้พระในวัดสุทัศนฯล้วนรังเกียจผมว่าเป็นคนชั่ว ทั้งๆที่พระทั้งหลายยังเดินอยู่บนถนนที่ผมบูรณะให้ และยังนั่งอยู่บนเก้าอี้มุขที่ผมทำถวายไว้นับร้อยๆตัว สรุปพระทั้งวัดเห็นผมเป็นคนไม่ดีไปแล้ว

7. ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์
ผมเคยช่วย เคยให้ แก่ครอบครัวฟิล์ม รัฐภูมิ ในยามล้มละลายเกือบ 10 ล้านบาท (ให้ฟรี) สมัยนั้นผมเมื่อยตัว แม่ฟิล์ม นางโคมนต์ ก็จะคอยมาบีบนวดให้ พี่ชายฟิล์มก็มาขับรถให้ ต่อมาฟิล์มไปบอกสื่อว่า ผมไปแอบอ้างว่ารู้จักเขา ผมจึงต้องตำหนิเขา นับบัดนั้นฟิล์มและครอบครัวก็ด่าว่าผมเป็นคนไม่ดี ผมติดคุก 5 ปี นอกจากพวกเขาไม่ไปเคยเยี่ยมแล้ว ยามมีคนสนิทของผมพูดถึงชื่อผม แม่ฟิล์มได้ยินจะตำหนิว่า "จะคุยเรื่องอะไรก็ได้ แต่อย่าเอ่ยถึงคนชื่อนี้ให้ได้ยินอีกนะ" และล่าสุดผมออกจากคุก ตัวฟิล์มให้ข่าวว่า "ขอเตือนเหล่าดารา ระวังจะถูกผมหลอกลวง" วันนี้ฟิล์มและพ่อแม่ พี่ชาย เห็นผมเป็นคนชั่วร้าย เขาจึงกล่าวเช่นนั้น ทั้งๆที่ยังอาศัยอยู่ในตึกที่ผมประมูลจากแบงค์เอากลับมาให้ฟรีๆ นอกจากฟิล์มจะเห็นผมเป็นคนชั่วแล้ว พ่อแม่เขา ก็ไม่คบและไม่ยอมพบหน้าผมนับตั้งแต่ได้บ้านไป อีกเลย

8. วัดนิยามยาตรา บางบ่อ
ผมเคยหาเงินให้ครึ่งนึง ครั้งริเริ่มสร้างอาคารเรียน และบริจาคเงินทั้งหมดบูรณะอุโบสถ ให้ทุนริเริ่มสร้างศาลา สร้างพระเครื่องให้วัดจำนวนมาก พร้อมทำสิ่งของต่างๆไว้มากมายให้วัดนิยมยาตรา อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ รวมทั้งขอพัดยศให้เจ้าอาวาส สมัยนั้นทางวัดเอาใจผมทุกอย่าง แต่หลังจากที่ผมเข้าคุก ก็ไม่มีกำลังจะมาช่วยสร้างสิ่งต่างๆต่อ ภายหลังในอาคารเรียนที่สร้างเสร็จ ได้ปรากฏจารึกชื่อผู้เกี่ยวข้องมากมาย ยกเว้นชื่อนักโทษอย่างผม ทั่วทั้งวัด ไม่มีสิ่งใดที่จะทำยกย่องผม รวมทั้งตัวเจ้าอาวาสก็ไม่เคยพบหน้าผมตั้งแต่ก่อนเข้าคุกจนปัจจุบัน แม้ผมพ้นโทษและมาไหว้พระถึงวัดหลายครั้ง เจ้าอาวาสก็ไม่ยอมเจอหน้าผม เหตุเพราะสิทธิกร บุญฉิม เป็นคนไม่ดี!!!

9. วัดสมบูรณาราม บ้านฉาง
ผมเคยถวายเงินและหาเงินรวม 23 ล้านให้วัดสมบูรณาราม อ.บ้านฉาง จ.ระยอง สร้างอุโบสถใหม่ สมัยนั้นทางวัดจะให้คณะกรรมการมาตั้งแถวต้อนรับผม ติดคุกแล้วผมยังหาเงินให้วัดหลายครั้ง ต่อมาผมสั่งออกจากคุกให้ยกพระประธานประดิษฐาน โดยห้ามชาวบ้านเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะผมกลัวแก้วแหวนเงินทองจำนวนมากที่นำมาบรรจุ จะหาย!!! เท่านั้นเอง เจ้าอาวาส กรรมการวัด และชาววัดสมบูรณาราม ก็ครหาว่าผมแอบเอากระดูกคุณพ่อคุณแม่มาบรรจุใต้ฐานพระประธานวัดสมบูรณฯ ทั้งๆที่อัฐิคุณพ่อคุณแม่ของผมยังอยู่ที่วัดยายร้า(ที่เดิม) นับจากนั้นทางวัดก็ไม่ยอมสร้างอุโบสถตามรูปแบบของผม ตามเจตนาของผม และตามศรัทธาของผม พร้อมทั้งเอาช่อฟ้าเอกที่เคยทำเอกสารมอบให้ผมเป็นประธานยก ไปหาเจ้าภาพอื่น ขอเงินเขา 1 แสน และให้เป็นประธานยกขึ้นไปแทนผมทันที เหตุผลที่วัดสมบูรณารามทำเช่นนี้ เพราะเห็นผมเป็นคนไม่ดีนั่นเอง

10. นักเรียนทุนในอุปการะ 57 คน
ผมเคยอุปการะผู้คนเล่าเรียนจำนวนมากรวมเกือบร้อยคน ที่แจกทุนทั่วไปมีเป็นพันๆคน สมัยนั้นนักเรียนทุกคนเวลาคุยกับผมจะนั่งกับพื้น เมื่อผมติดคุกยังสั่งการออกมาให้มอบเงินทุนรวมหลายล้าน เป็นรางวัลแก่ทุกคนที่มีผลการเรียนดีบ้าง ที่จำเป็นจะใช้บ้าง และก็ให้ทุนทั่วๆไปทุกงานบ้าง ผมสั่งออกจากคุกให้แจกทุนหลายครั้งแก่ทุกคน สมัยติดคุกมีครั้งนึงผมคิดถึงบุคคลที่ผมเคยอุปการะ จึงมอบหมายให้คนโทรไปสอบถามการเรียน การทำงาน ของนักเรียนทุนที่จบไปแล้ว และที่ยังศึกษาอยู่ กลับมีพ่อแม่และนักเรียนทุน(หลายคน)ตำหนิกลับมาว่า "ไม่ได้ให้ทุนแล้ว จะโทรมาสอบถามอะไรอีก" นั่นคือความตะลึงของผมครั้งแรก!! ส่วนนักเรียนทุนที่ยังไดัเงินอยู่ ก็จะแสดงความเป็นคนดีโดยเขียนจดหมายถึงผมในคุกต่อเนื่อง แต่พอผมพ้นโทษและไม่มีเงินมากพอ จึงไม่ได้มอบทุนต่อ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ก็ทยอยหายไปจากชีวิต แม้แต่นิสิตแพทย์จุฬาฯ นักเรียนนายร้อยจปร. ที่เคยเขียนจม.พรรณาว่าอยากเจอผม ถึงวันนี้ 8 ปีที่ไม่เคยได้พบหน้ากัน หลังผมติดคุกแล้ว นักเรียนทุนส่วนใหญ่กลับไม่ยอมพบหน้าผม และไม่จริงใจที่จะไปพบผมเอง ส่วนนักเรียนทุน 57 คน ที่จบการศึกษาไปแล้วส่วนใหญ่ แต่กลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่รับพระราชทานปริญญาแล้วจะใส่ครุยพร้อมนำปริญญาบัตรมาขอถ่ายรูปกับผม และไม่มีนักเรียนทุนคนใดจะกล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนในเฟสบุ๊ค,ทามไลน์,อินสตา ร์แกรม ว่า สำเร็จการศึกษาด้วยเคยรับเงินทุนจากนักโทษในคุก!!!! อดีตนักเรียนทุนทั้งหลาย ที่ทำเช่นนี้กับผมเพราะ ต่างเห็นพี่สิทธิกร บุญฉิม เป็นคนชั่ว ไม่น่าเคารพนับถือไปแล้ว

11. วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์
ผมเคยมอบเงินและอุปถัมภ์หาเงินรวม 56 ล้าน ช่วยสร้างอาคารอำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ พร้อมสร้างพุทธอุทยานนครสวรรค์ เมื่อผมติดคุก พระเทพปริยัติเมธีและคณะสงฆ์นครสวรรค์ ได้บิดเบือนความจริงอันเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ของผม จึงถูกผมตำหนิ จากนั้น 8 ปีหลังเกิดคดีถึงวันที่พ้นโทษ ผมได้มา ณ พุทธอุทยานนครสวรรค์เป็นครั้งแรก พระเทพปริยัติเมธีและคณะสงฆ์นครสวรรค์ จากเคยเอาใจผมสมัยขอเงิน แต่ตอนนี้กลับไม่ต้อนรับ และไม่ให้ความสำคัญดังเดิม 8 ปีแล้วที่ผมต้องเข้าคุก พระเทพปริยัติเมธี เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ไม่ยอมพบหน้าผม ไม่ยอมเจอ ไม่เหมือนสมัยที่ขอเงินจากผม เพราะในสายตาของท่านเห็นผมหมดประโยชน์ เป็นคนไม่ดี ไม่น่าสมาคมแล้ว

**ยังมีอีกหลายท่าน หลายบุคคล หลายองค์กร หลายวัด จากเคยทำดีกับผมแรกๆ เพราะเห็นผมมีดีในยามที่เขาขอและได้เงินจากผมไป แต่ตอนนี้จากการที่เป็นคนดีของเขาต้องเปลี่ยนไป เหตุเพราะเขามองว่า ผมเป็นคนชั่ว ด้วยคิดพูดทำสิ่งชั่ว เป็นคนไม่ดีสำหรับเขาไปแล้ว ทั้งๆที่เงินหรือคุณูปการที่เขาเคยขอ เคยได้จากผม ก็ยังคงคุณอยู่กับเขา เช่น..
"วัดและองค์กรต่างๆ ที่ได้เงินจากการจำหน่ายพระกริ่งและพระเครื่องของผม"
แต่วันนี้ พวกเขากลับลืมสิ่งที่เคยขอ เคยได้ ซึ่งบุคคลลักษณะนี้ มีจำนวนมากนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะพระภิกษุ แต่โพสต์นี้ผมพิมพ์ไม่ไหว จึงขอยกตัวอย่างมาบอกเล่าเพียงเท่านี้ นะครับ!!!
 (นายสิทธิกร บุญฉิม)

================
คำคมข้อคิด จากบัณฑิต ม.3
"อยากมีมิตรที่ได้ดี เราจงมีลาภยศสุขสรรเสริญ...อยากมีมิตรจิตจำเริญ เราจงเมินสรรเสริญสุขลาภยศ"


ที่มา: Line เสี่ยอู๊ดน้อยใจในโชคชะตา (Line ส่วนตัว)

ขอให้ดวงวิญญาณของเสี่ยอู๊ด (นายสิทธิกร บุญฉิม) ไปสู่สวรรค์ อย่าได้น้อยใจอีกต่อไปเลยคร้า บุญของท่านมากมายนัก ..

-------------------------



วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้ถามฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์  ดารา-นักร้องชื่อดัง ที่เคยรู้จักและมีข่าวพัวพันกับนายสิทธิกร เสี่ยอู๊ด ระหว่างไปร่วมงานมหกรรมบันเทิง ช่อง 8 พบเพื่อน ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 ถึงความรู้สึกที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของเสี่ยอู๊ด โดยฟิล์มเผยว่า เมื่อทราบข่าวก็ตกใจ ตนไม่ได้คุยหรือติดต่อเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เมื่อถามถึงวินาทีที่ได้ยินว่าเสี่ยอู๊ดเสียชีวิตรู้สึกอย่างไร ฟิล์มตอบว่า ตนไม่ได้ยินเอง พี่ๆนักข่าวโทร.มาถามกันเต็มไปหมด ประหนึ่งว่าเป็นญาติ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ก็บอกเขาไปว่าผมไม่ได้เป็นญาติ แล้วก็ไม่รู้เรื่อง แต่ก็แสดงความเสียใจกับทางญาติเขาด้วย
เมื่อถามว่า จะไปรดน้ำศพหรือร่วมพิธีสวดหรือไม่ ฟิล์มตอบว่า คงไม่มี เดี๋ยววันนี้ก็บินไปอเมริกาแล้ว ติดงานด่วน เมื่อถามว่า จะมีการไปทำบุญให้เสี่ยอู๊ดหรือไม่ ฟิล์มตอบว่า ไม่รู้มันไม่เกี่ยวอะไรกับตน ถามตนทำไม ก็งงที่มีแต่คนมาถาม ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีข่าวว่าเสี่ยอู๊ดได้เขียนพ็อกเกตบุ๊กทิ้งไว้ตัดพ้อดาราคนหนึ่งในทำนอง ว่าหลังจากได้บ้านแล้วก็ไม่เคยมาเหลียวแลเขาทั้งแม่ทั้งลูก คนก็ตีความว่าเป็นฟิล์ม นักร้องดังเผยว่า ถ้ามองจากเหตุผลและความถูกต้องก็ไม่น่าใช่ตน เอาเป็นว่าไม่เกี่ยวกับตนดีกว่า




Friday, October 30, 2015

สำนวนพูดตกลง (แต่ไม่)ทำอย่างที่ตกลง talk the talk ... walk the walk

สำนวนของฝรั่งอังกฤษ ที่ง่าย ๆ
talk the talk ... walk the walk
เรารู้กันอยู่ว่า talk แปลว่า พูดคุย
ส่วน walk แปลว่า เดินไง

ก็คือ สมมุติว่า สมมุตินะสมมุติ นาย ก พูดดูดี (พูดให้ตัวเองดูดีอ่ะเปล่า) ว่าจะทำโน่นนี่นั่น แต่ไม่เคยทำอย่างที่พูด ไม่เคยทำอย่างที่ว่า อย่างนี้ เราก็พูดได้ว่า (เช่น นาย ก ช่างสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม When it comes to environment he ​talks the talk but he doesn't ​walk the ​walk.)

Assuming you say that Mr.A ​talks the talk but does not ​walk the ​walk, you ​mean that Mr.A does not ​act/do in a way that ​agrees with the things he says: When it comes to environment he ​talks the talk but he doesn't ​walk the ​walk.

แต่ถ้าเขาพูดและทำอย่างที่ตัวเองพูด เช่น When it comes to environment he does not only ​talk the talk but he also ​walk the ​walk.

สำนวนพูดตกลง (แต่ไม่)ทำอย่างที่ตกลง talk the talk ... walk the walk

เข้าใจเน้อ
So...  Don't talk the talk, if you can't walk the walk
----------------------------------


Wednesday, October 28, 2015

เรามัวแต่มองออกไปภายนอก จนลืมมอง ถึงสิ่งดีๆ ที่เรามี อยู่กับตัว

มหาเศรษฐีท่านหนึ่ง บ้านช่องสวยงามตระการตาแต่อยู่ติดกับบ้านที่เป็นรั้วบ้านเก่าสังกะสีผุๆ ท่านตื่นขึ้นมาทุกเช้า มองออกไปเห็นบ้านเฮงซวยหลังนี้ ทิวทัศน์ ทัศนวิสัย แย่มาก
วันหนึ่งทนไม่ไหวแล้ว เห็นตาแก่เจ้าของบ้านสังกะสีตื่นมาพอดี จึงเดินเข้าไปหาและถามว่าบ้านมึงขายเท่าไร ? กูเห็นทุกวันอุบาทว์ตามาก จะขายเท่าไรก็ซื้อ
เจ้าของบ้านสังกะสีอันซอมซ่อ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดจานุ่มนวลอ่อนโยนว่า.. ท่านผู้มีอันจะกิน ไม่ขายขอรับ ทุกเช้าผมตื่นขึ้นมา ก็ได้เห็นปราสาทที่งดงามของท่าน ผมมีความสุขที่ได้เห็นแต่สิ่งที่สวยงามตระการตา ทุกเช้าสายบ่ายเย็น ถ้ากระผมขายบ้านให้ท่านไป กระผมก็จะไม่ได้เห็นสี่งที่งดงามตระการตานี้อีกต่อไป
มหาเศรษฐีถามต่อ แล้วมึงไม่ดูบ้านตัวเองว่า อุดจาดตาแค่ไหน อยู่ได้ยังไงนี่
เจ้าของบ้านสังกะสีอันซอมซ่อ ตอบว่า..ขอรับกระผม กระผมก็แค่อาศัยอยู่ด้วยจิตที่เสาะแสวงหาแต่ความดี และความงาม อะไรที่มันไม่งาม กระผมก็ไม่สนใจดู กระผมดูแต่ความงามความดีเท่านั้น อะไรที่ไม่ดีไม่งามกระผมก็ไม่ใส่ใจขอรับ กระผมก็ไม่เข้าใจท่านเหมือนกัน บ้านท่านออกใหญ่โตงดงาม แต่ท่านกลับไม่สนใจ ตื่นเช้ามาก็สนใจแต่บ้านเฮงซวยของกระผม ถ้ากระผมเป็นท่าน จะชื่นชมความงามพร้อมของบ้านตัวเอง และไม่สนใจบ้านที่เฮงซวยของคนอื่น
ท่านเศรษฐี ได้คิดว่า.. จริงด้วย เราคงบ้าไปแล้ว
ที่เอาจิตของตัวเองไปจับแต่เรื่องเลวร้าย บ้านของตัวเองที่สวยงามมากกลับไม่สนใจ แถมยังไปวุ่นวายกับของนอกกายรอบข้างที่สกปรก นับตั้งแต่นั้นมา ท่านมหาเศรษฐีก็เข้าใจในธรรมของผู้ยากไร้
และกลายเป็นกัลยาณมิตรกัน จวบจนสิ้นอายุขัย
บางครั้ง เรามัวแต่มองออกไปภายนอก จนลืมมอง ถึงสิ่งดีๆ ที่เรามี อยู่กับตัว หากเราได้...ตั้งสติ และมองออกจากภายใน มองด้วยจิตใจที่งดงาม เราคงได้เห็น ความงดงาม และ คุณค่า ของสิ่งต่างๆ อีกมากมาย ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ใจของเรา..คงผ่องใส ชีวิตของเรา..คงมีแต่ความสุข ได้ทุกวัน
(ที่มา facebook Siriwatt Takchan )

:: เรามัวแต่มองออกไปภายนอก จนลืมมอง ถึงสิ่งดีๆ ที่เรามี อยู่กับตัว 

ขำขำ:: คำถวายเงินภรรยา

สวดแล้วขำกลิ้งเลย

คำถวายเงินภรรยา

อิมานิ ภริยา ภันเต ...
สามีทานานิ สะปะริวารานิ
ภริยาสังฆัสสะ โอโณชะยามะ
ภริยา ภันเต ภริยา สงโฆ
อิมานิ ภริยานานิ สะปริวารานิ
ปฏิคคัณหาตุ สามีจะหาตัง มานะ
หลายๆตัง ภริยาจ๊ะ สุขัง จังนะจ๊ะ

คำแปล >>>
ข้าแต่ภรรยาผู้เจริญ ข้าพเจ้าสามีทั้งหลายขอน้อมถวาย ร่างกายและชีวิต อีกทั้งเงินเดือนทั้งหลายเหล่านี้ แด่ภรรยาของข้าพเจ้า

ขอภรรยาจงรับ เงินเดือนทั้งหลายเหล่านี้
เพื่อประโยชน์ และความสุข ของภรรยา
บนความทุกข์ ของบรรดาสามีทั้งหลาย
ตลอดกาลนาน เทอญ สาาาาาาาาธุ

ผู้แต่ง:: ไม่ทราบ แชร์กันสนั่น

Sunday, October 18, 2015

ตั้งชื่อ:: ข้อสังเกตการตั้งชื่อ

ตั้งชื่อ:: ข้อสังเกตการตั้งชื่อ

ตามตำรา"นามาลิขิต" การตั้งชื่อนั้น ชื่อที่ส่งผลให้ไม่ได้แต่งงาน หรือแต่งแต่ไม่มีลูก (ส่งผล 70% ขึ้นไป) (ชื่อในที่นี้ ให้รวมถึง นามสุกล ด้วย) การมีชื่อ เช่น
*ล เช่น พล สมพล กมล
*ดิ์ เช่น ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งศักดิ์
*ธิ์ เช่น เลิศฤทธิ์
*ษ์ เช่น รักษ์ พงษ์พันธุ์
*ย์ เช่น ทรัพย์ กฤตย์ วิทย์
*นี *รี เช่น สาวิตรี


ตำราตั้งชื่อ ว่ามาเช่นนั้น การตั้งชื่อโปรดใช้วิจารณญาณ

:: ตั้งชื่อ:: ข้อสังเกตการตั้งชื่อ





Sunday, September 7, 2014

จดหมายฉบับสุดท้าย (เพลงเก่า ต้อม เรนโบว์)

จดหมายฉบับสุดท้าย
นักร้อง:: ต้อม เรนโบว์

Bb Intro 9 bars...8...
9...ความ รักเราเคย มั่น
บอกคำสัญญากันจาก ใจ ซึ้งในความรัก
ผูกใจสัมพันธ์ ไม่เสื่อมคลาย
แต่นานไป นั้น ดั่งเธอใจ ร้าย
กลับทำลาย หัวใจ ไม่คืนมา
ใจ ฉันเกินทน ได้
หากยามพบใครเคียงคู่ เธอ
เห็นเธอมีรัก จะไปแสนไกลไม่อยาก เจอ
แต่จงจำไว้ ฝากดวงใจ เพ้อ
ยังรักเธอ .. คนเดียว ไม่เปลี่ยนแปลง
จะกลับมาหา เสี้ยวเวลา ที่เคยรัก
ครั้นมีเรา รักซึ้ง ตรึงอุรา
จะบอกเธอ ให้เธอได้รู้ ใจนี้
ว่ายังมี เธออยู่ ทุกครา
ความรัก ยังคงมั่น
ฝากความรักจริง ในจดหมาย
ขอเธอเพียงรู้ จะมีรักเธอไม่เสื่อมคลาย
ฝากเป็นรอยรัก สลักเป็นความหมาย
หากตัวตาย รักยังไม่คลาย .. ต่อเธอ
Solo 9 bars...8...
9... ใจ ฉันเกินทน ได้
หากยามพบใครเคียงคู่ เธอ
เห็นเธอมี รัก จะไปแสนไกลไม่อยาก เจอ
ให้จงจำไว้ ฝากดวงใจเพ้อ
ยังรักเธอ คนเดียว ไม่ เปลี่ยนแปลง
จะกลับมาหา เสี้ยวเวลา ที่เคยรัก
ครั้นมีเรา รักซึ้ง ตรึงอุรา
จะบอกเธอ ให้เธอได้รู้ ใจนี้
ว่ายังมี เธออยู่ ทุกครา
ความรัก ยัง คงมั่น
ฝากความรักจริง ในจดหมาย
ขอเธอเพียงรู้ จะมีรักเธอไม่เสื่อม คลาย
ฝากเป็นรอยรัก สลักเป็นความหมาย
หากตัวตาย รักยังไม่คลายต่อเธอ
เลือดแห่งความรัก สลักเป็นความหมาย
หากตัวตาย รักยังไม่คลายต่อเธอ
..

Tuesday, September 2, 2014

พ่อไม่ยอมแก่:: “พ่อคะ หนูขอโทษ”

พ่อไม่ยอมแก่

พ่ออายุเยอะกว่าฉัน 50 ปี พ่อมีฉันตอนที่อายุมากแล้ว วันที่ฉันเกิด พ่อเลี้ยงญาติพี่น้อง 10 โต๊ะ

ตอนที่ฉันอายุได้ 8 ขวบ พ่ออายุ 58 ปี หัดขี่มอเตอไซค์ แล้วตัดสินใจซื้อมอเตอร์ไซค์ 1 คัน เพื่อไปรับฉันจากการเรียนขิมหลังจากเลิกโรงเรียน ไม่งั้น ฉันคงต้องนอน 5 ทุ่มทุกวันเป็นแน่

ตอนที่ฉันอายุ 10 ขวบ พ่ออายุ 60 ปี

หลังจากเกษียณได้ 3 วัน พ่อก็ไปรับจ้างซ่อมรองเท้าที่ตลาด เพื่อนของพ่อต่างก็แปลกใจในสิ่งที่พ่อทำ
“แปะ เงินบำเหน็จไม่พอใช้เหรอ? อายุขนาดนี้แล้วจะมาซ่อมรองเท้าอีกทำไม?”
พ่อทำงานไปยิ้มไป

“ยังหนุ่มอยู่เลย อยู่บ้านเฉยๆ เดี๋ยวโรคภัยก็ถามหา” ฉันฟังอยู่ ก็รู้สึกสงสารพ่อจัง
ตอนที่ฉันเรียนมัธยมปลาย พ่อตัดสินใจเช่าบ้านใกล้ๆ โรงเรียน เลียนแบบพ่อแม่คนอื่นเพื่อมาคอยดูแลฉัน และพ่อก็ยังคงรับซ่อมรองเท้าเหมือนเดิม

ตอนที่ฉันไปเรียน พ่อทำกับข้าวอยู่ที่บ้าน ตอนที่ฉันเลิกเรียน พ่อก็เปิดแผงซ่อมรองเท้า ตอนเก็บร้าน ฉันเข้าไปช่วยพ่อ คุณน้าที่มาซ่อมรองเท้าพูดกับพ่อว่า

“หลานก็โตเป็นสาวแล้วนะ ลุงทำไมไม่อยู่บ้านให้ลูกๆ เลี้ยงละ มาซ่อมรองเท้าทำไหม?” ฉันได้ฟังก็รู้สึกโมโหมาก

“พ่อคะ วันหลังพ่อไม่ต้องซ่อมรองเท้าได้ไหม บ้านเราใช่ว่าจะลำบากอะไรนี่นา!”
พ่อนิ่งไปครูหนึ่ง สีหน้าไม่สบายใจนัก

“พ่อยังแข็งแรง ยังหาเงินได้อยู่ อยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไร” ตอนที่พ่อพูดกับฉันวันนั้น พ่ออายุ 68 ปีแล้ว
ตอนที่ฉันเรียนมหาวิทยาลัย ฉันต้องไปเรียนที่อื่น นานๆ ถึงกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่
มีเพียงสิ่งเดียวที่พอจะทำให้เราพ่อลูกไม่ห่างกันเกินไปก็คือโทรศัพท์ พ่อมักจะบอกกับฉันเสมอว่า “อยากกินอยากได้อะไรก็ซื้อเลยนะลูก ไม่ต้องอดนะ พ่อยังไม่แก่ เลี้ยงลูกได้สบาย”
หลังจากเรียนจบแล้ว ฉันก็ได้งานทำที่ไกลจากบ้านมากขึ้น งานที่กดดันมาก ทำให้ฉันแทบไม่ได้โทรหาพ่อเลย แต่ทุกครั้งที่โทรไปหาพ่อ ก็มักจะได้ยินคำเดิมๆ
“พ่อสบายดี พ่อยังหนุ่มอยู่ หากงานหนักเกินไปก็กลับมาอยู่บ้านนะลูก พ่อเลี้ยงได้ ไม่ต้องห่วง”

ได้ยินพ่อพูดอย่างนี้ ฉันก็รู้สึกสบายใจหายห่วงทุกที แม้แต่ตอนแต่งงาน เงินที่ซื้อบ้านก็เป็นเงินของพ่อแม่ ตอนนั้น พ่ออายุ 80 แล้ว ฉันรู้ พ่อแก่ชรามากแล้ว
ฉันคิดว่าพ่อยังแข็งแรง พ่อไม่มีโรคภัยอะไรใดๆ จนถึงตอนที่แม่โทรมา ฉันถึงรู้ว่าพ่อปิดบังอะไรมากมายไม่ให้ฉันได้รู้

พ่อเส้นเลือดในสมองแตก พ่อเป็นความดันโลหิตสูง พ่อกินยามาเป็นเวลานาน แม่บอกว่า วันที่เกิดเหตุอากาศร้อนมาก เด็กหนุ่มๆ ยังทนไม่ไหว แล้วคนแก่อย่างพ่อจะทานทนได้ยังไง

พ่อนอนอยู่บนเตียง เบ้าตาลึก ผอมจนหนังหุ้มกระดูก ผมบนศีรษะขาวก็ไปหมด แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พ่อยังพูดกับฉันทางโทรศัพท์

“พ่อยังหนุ่มอยู่”

เมื่อเห็นฉัน ก็พยายามที่จะพูดกับฉันด้วยเสียงอับแหบพร่า “พ่อไม่กล้าแก่ เกรงว่าถ้าพ่อแก่แล้ว ลูกจะไม่มีพ่อให้ช่วยเหลือ ไม่มีพ่อให้รัก แต่พ่อก็แก่แล้วจริงๆ”
ที่แท้ หลายปีที่ผ่านมา พ่อพยายามบอกตัวเองว่ายังไม่แก่ เพื่อให้ตนเองรู้สึกว่ายังหนุ่มอยู่ หาเงินให้ฉันใช้จ่าย หาเงินให้ฉันเรียน ให้ความรักแก่ฉันอย่างไม่เคยขาดพร่อง

พ่อพยายามไม่ให้ฉันเป็นห่วง ว่าพ่อแก่ชราแล้ว
แต่ฉันนี่สิ เนรคุณไม่รู้ความ ฉันไม่รู้ว่าพ่อทำไมต้องลำบากตรากตรำ ทุกครั้งที่พ่อบอกฉันว่า “พ่อยังหนุ่มอยู่” ฉันแอบรู้สึกว่าพ่อไม่ยอมรับความจริง

มาถึงวันนี้ พ่อที่นอนอยู่บนเตียง แก่ชราดั่งไม้เก่าที่ผุกร่อน

“พ่อคะ หนูขอโทษ”

Wednesday, August 27, 2014

ต้องแจ้ง กรณีนำเงิน เข้า*เอาออก จากสิงคโปร์ เกิน 20000 เหรียญสิงคโปร์ (หรือเทียบเท่า)

ผู้ที่เดินทางเข้าออกสิงคโปร์ ต้องแจ้ง (declare) กรณีนำเงิน เข้า*เอาออก จากสิงคโปร์ ที่มีเงินเข้า / ออก มากกว่า 20000 เหรียญสิงคโปร์ (เทียบเท่า) กฎนี้รวมทุกอย่าง ไม่ว่า จะเป็นเงินสด เช็คเดินทาง  ทั้งนี้ กฎนี้ มีเพื่อตรวจสอบการไหลเงินของผู้ก่อการร้าย และ อาชญากรต่าง ๆ

ทั้งนี้ อเมริกา ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ มีกฎที่ต้องแจ้ง เมื่อนำ เงิน เข้า*เอาออก จากประเทศนั้น ที่มีการนำเงินเข้า / ออก มากกว่า 10000 เหรียญของเงินประเทศนั้น (เทียบเท่า)  

Each traveler needs to declare to the authorities if you carry more than S$20,000 in or out of Singapore (equivalent amount).  This starts from September 01, 2014.

Well, United States, Australia and New Zealand are $10,000 thresholds that each traveler needs to declare.


Thursday, August 21, 2014

龜苓膏 ไม่ใช่เฉาก๊วย ??


龜苓膏 ไม่ใช่เฉาก๊วย

# Summer snacks including guiling
guiling is traditional medicine with a long history, legend, initially was exclusively for the Emperor in Qing dynasty palace food expensive drugs. It mainly with rare turtle of the olecranon and smilax glabra as raw materials, with licorice, formed along with drugs such as Habitat. Is generally solidified cream, jelly, or hot drinks.

#‎消夏小食大搜羅‬ 龜苓膏
龜苓膏是歷史悠久的傳統藥膳,相傳最初是清宮中專供皇帝食用的名貴藥物。它主要以名貴的鷹嘴龜和土茯苓為原料,以甘草,再配生地等藥物精製而成。一般呈凝 固的膏狀,似涼粉,也可熱飲。其性溫和,不涼不燥,老少皆宜,具有清熱去濕,旺血生肌,滋陰補腎,養顏提神等功效,因而倍受人們喜愛,暢銷中外。
夏天食用龜苓膏時,可隨意搭配入蜂蜜、鮮牛奶、優酪乳、紅豆羹、椰汁等製成龜苓膏甜品或飲料。

Wikipedia::
เฉาก๊วย หรือ หญ้าเฉาก๊วย (xiancao (仙草, 仙人草, 仙草舅, 涼粉草) ใน ภาษาจีนกลางsian-chháu ในภาษาจีนไต้หวันleung fan cao (涼粉草) ใน ภาษาจีนกวางตุ้ง sương sáo ใน ภาษาเวียดนาม

ลิเบีย:: รู้แล้วจะอึ้ง!!! ทำไมต้องสังหาร"กอซซาฟี" ???

อาลัย‘กอซซาฟี’และ เหตุผลการล่าสังหาร‘กอซซาฟี’ เรื่องบางอย่างที่คุณไม่เคยรู้ เกี่ยวกับ กอซซาฟี่
หากจะเทียบความโชคดีของประชาชนในประเทศต่างๆโดยวัดจากสวัสดิการที่รัฐบาลให้แก่ประชาชนแล้ว ชาวลิเบียน่าจะเป็นประชาชนที่โชคดีที่สุด
เพราะอะไรหรือครับ?

คำตอบก็คือ ชาวลิเบียทั้งหมดใช้ไฟฟ้าฟรีเนื่องจากไม่มีการเก็บค่าไฟฟ้าในลิเบีย
ธนาคารในลิเบียเป็นของรัฐและกฎหมายกำหนดให้ประชาชนกู้เงินโดยปลอดดอกเบี้ย ประชาชนลิเบียจึงกู้เงินโดยไม่เสียดอกเบี้ย
การมีบ้านเป็นของตนเองถือเป็นสิทธิมนุษยชนในลิเบีย
คู่แต่งงานใหม่ทุกคู่ในลิเบียจะได้รับเงินจากรัฐบาลเป็นเงิน 60,000 ดีนาร์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) เพื่อซื้อบ้านหลังแรกเป็นการเริ่มต้นครอบครัว
ประชาชนลิเบียได้รับการศึกษาและการรักษาพยาบาลโดยไม่คิดมูลค่า ก่อนหน้าสมัยพันเอกมุอัมมาร์ กอซซาฟี เป็นผู้นำ ลิเบียมีผู้อ่านออกเขียนได้เพียง 25% แต่ปัจจุบันลิเบียมีผู้อ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้นจำนวน 83%
ชาวลิเบียคนใดที่ต้องการประกอบอาชีพเกษตรกรรมจะได้รับที่ดินทำการเกษตร บ้าน เครื่องมือการเกษตร เมล็ดพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์แบบให้เปล่าเพื่อเริ่มต้นอาชีพเกษตรกรรม
ถ้าชาวลิเบียคนใดไม่สามารถหาบริการทางด้านการศึกษาและการแพทย์ที่ตัวเองต้อง การ รัฐบาลจะจ่ายเงินให้และยังจัดสรรเงินอีกประมาณ 70,000 บาทเป็นค่าที่พักและค่าพาหนะอีกด้วย
ถ้าชาวลิเบียคนใดซื้อรถ รัฐบาลจะออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง
ราคาน้ำมันรถยนต์ในลิเบียลิตรละประมาณ 5-6 บาท
ลิเบียไม่มีหนี้ภายนอก เงินสำรองของลิเบียมีอยู่ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ทั่วโลกซึ่งขณะนี้ถูกอายัดโดยชาติมหาอำนาจ
ถ้าชาวลิเบียจบการศึกษาและไม่สามารถหางานทำ รัฐจะจ่ายเงินเดือนให้พอๆกับคนที่ทำงานจนกว่าจะหางานได้
เงินส่วนหนึ่งจากการขายน้ำมันของรัฐบาลจะถูกโอนเข้าบัญชีพลเมืองชาวลิเบียโดยตรง

ผู้หญิงลิเบียที่คลอดลูกจะได้รับเงิน 150,000 บาท
ขนมปัง 40 ก้อนในลิเบียราคาประมาณ 5 บาท
ปัจจุบันชาวลิเบีย 25% จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
กอซซาฟีเป็นผู้ทำโครงการชลประทานที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เรียกกันว่า
“โครงการแม่น้ำใหญ่ที่มนุษย์ทำขึ้น”
เพื่อส่งน้ำไปเลี้ยงผืนทะเลทรายทั่วประเทศ
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พันเอกมุอัมมาร์ กอซซาฟี จะปกครองประเทศลิเบียนานถึง 42 ปีโดยที่ไม่มีชาวลิเบียลุกขึ้นมาประท้วงผู้นำของตนว่าเป็นเผด็จการ
ในทางตรงข้าม ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่กองทัพนาโต้โจมตีลิเบียอย่างไร้เหตุผล ประชาชนชาวลิเบียตามเมืองต่างๆประมาณ 1.7 ล้านคนได้ออกมาเดินขบวนสนับสนุนผู้นำของตน แต่ภาพเหล่านี้กลับไม่ได้ถูกนำออกมาเผยแพร่ในตะวันตก
แต่สิ่งที่สื่อกระแสหลักของตะวันตกนำมาแพร่เพื่อลวงโลกก็คือ กอซซาฟีเป็นเผด็จการ ทั้งๆที่ก่อนกองทัพภาคีนาโต้จะโจมตีลิเบีย สหประชาชาติกำลังเตรียมที่จะมอบรางวัลให้แก่ประธานาธิบดีมุอัมมาร์ กอซซาฟี ในฐานะผู้สร้างความสำเร็จในด้านสิทธิมนุษยชน
ลิเบียผลิตน้ำมันดิบคุณภาพสูงและการผลิตน้ำมันของลิเบียมีต้นทุน 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ชาติตะวันตกซื้อไปกลั่นขายในตลาดโลกราคาบาร์เรลละหลายสิบหรือบางครั้งก็ เหยียบ 100 ดอลลาร์ กระนั้นก็ตาม สหภาพยุโรปและสหรัฐกลับเป็นหนี้ลิเบีย 200,000 ล้านดอลล่าร์สำหรับค่าน้ำมัน
ใน ค.ศ. 2012 สัมปทานการขุดเจาะน้ำมันของชาติตะวันตกจะหมดอายุลง และกอซซาฟีกล่าวว่าถ้าชาติตะวันตกไม่จ่ายหนี้ให้ลิเบีย เขาจะให้สัมปทานใหม่แก่บริษัทของจีนและรัสเซีย นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งสำหรับจุดจบของกอซซาฟี
เหตุผลของการกำหนดเขตห้ามบินและการทิ้งระเบิดลิเบียมิใช่เพื่อคุ้มครอง พลเมืองลิเบียดังที่ชาติภาคีนาโต้กล่าวอ้าง แต่มันคือความเหี้ยมโหดของบริษัทน้ำมันและนายธนาคารโลกที่ต้องการปล้น ทรัพย์สินของลิเบียไปแก้ปัญหาการเงินที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐและยุโรป
ทหารกบฏที่ไล่ล่ากอซซาฟีมิใช่ทหารลิเบีย แต่เป็นทหารรับจ้างจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์ที่นาโต้ส่งเข้าไป เพราะกองกำลังนาโต้ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะส่งทหารจากชาติภาคีของตนเข้าไป ปฏิบัติการในลิเบีย
แม้จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่ลิเบียก็ไม่มีแสนยานุภาพทางทหารเพียงพอที่จะไปต่อกรกับกองทัพนาโต้ ยิ่งถ้าต่อสู้ บ้านเมืองก็มีแต่จะเสียหาย ผู้คนจะต้องบาดเจ็บและล้มตายอีกเป็นจำนวนมาก กอซซาฟีจึงได้แต่ถอยหนีเพื่อรักษาชีวิตประชาชนที่เขาดูแลมาตลอดเวลาที่ครอง อำนาจ และในที่สุดก็ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสงสาร
สิ้นผู้นำที่ชื่อว่ามุอัมมาร์ กอซซาฟีแล้ว ชาวลิเบียจะได้รับสวัสดิการเหมือนกับที่ตัวเองได้รับจากผู้นำคนเก่าหรือไม่ เป็นเรื่องที่หลายคนเริ่มสงสัย?
เหตุผลการล่าสังหาร ‘กอซซาฟี’
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกจะร่วมกันลงขันหาทางสังหาร ประธานาธิบดีมุอัมมาร์ ก็อซซาฟี ผู้นำประเทศลิเบีย ที่เป็นชาติเล็กๆในแอฟริกาอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนกับที่สหรัฐใช้เวลานับสิบปีและงบประมาณอีกหลายพันล้านดอลลาร์ตามฆ่า “บิน ลาดิน” เพียงคนเดียว
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ชาติตะวันตกพยายามเข่นฆ่าสังหารก็อซซาฟี?
ไม่ใช่เพราะกอซซาฟีเข่นฆ่าสังหารประชาชนของตนอย่างที่สื่อตะวันตกพยายามจะลวงชาวโลกแน่นอน
กอซซาฟีจะฆ่าประชาชนของตัวเองทำไม ในเมื่อเขาให้การศึกษา การรักษาพยาบาลแบบให้เปล่าแก่ประชาชน ไม่เพียงเท่านั้น หนุ่มลิเบียคนใดที่แต่งงานและยังไม่มีงานทำก็จะได้รับห้องพักอาศัยโดยไม่ ต้องเสียค่าเช่า ประชาชนลิเบียจึงไม่ได้ลุกขึ้นประท้วงเขาเหมือนในตูนิเซียและอียิปต์ก่อน หน้านั้น
แต่เหตุผลสำคัญที่ผู้นำชาติตะวันตกต้องการให้กอซซฟาฟีตายก็คือ
เขาต้องการปลดปล่อยชาติแอฟริกาให้พ้นจากการถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบโดยชาติตะวันตกนั่นเอง
ใน ค.ศ. 1992 ชาติต่างๆในทวีปแอฟริกา 45 ประเทศได้ตัดสินใจที่จะมีดาวเทียมเป็นของตัวเองเพื่อให้บริการสื่อสารโทร คมนาคมในแอฟริกา โครงการนี้ต้องใช้เงินถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจำเป็นต้องจ่ายเงินทันที 400 ล้านดอลลาร์เพื่อให้โครงการเกิดขึ้น เดิมทีชาติแอฟริกาตัดสินใจจะไปกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แต่ใน ค.ศ. 2007 ก็อซซาฟีได้อาสาเข้ามาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่โดยจ่ายให้ 300 ล้านดอลลาร์ แน่นอนการสนับสนุนทางการเงินเช่นนี้เป็นการทำให้ไอเอ็มเอฟสูญเสียประโยชน์ จากดอกเบี้ยเงินกู้และการมีอิทธิพลในแอฟริกา
เหตุผลประการต่อมาก็คือ ประธานาธิบดีก็อซซาฟีต้องการที่จะสร้างสถาบันการเงินที่สำคัญ 3 แห่งขึ้นในแอฟริกา
1) สถาบันการเงินแรกคือ กองทุนการเงินแอฟริกา (African Monetary Fund) ซึ่งจะตั้งขึ้นใน ค.ศ. 2011 โดยมีสำนักงานใหญ่ในแคเมอรูน ถ้าสถาบันการเงินนี้เกิดขึ้นก็จะทำให้ชาติแอฟริกาไม่ต้องพึ่งพาอาศัยไอเอ็ม เอฟอีกต่อไป นั่นหมายความว่าไอเอ็มเอฟจะสูญเสียผลประโยชน์ในอนาคต
2)สถาบันการเงินแห่งที่สองที่จะตั้งขึ้นโดยความร่วมมือกันของชาติแอฟริกาภาย ใต้การนำและการสนับสนุนของก็อซซาฟีก็คือ ธนาคารกลางแอฟริกา (Central African Bank) ซึ่งจะมีสำนักงานใหญ่ในเมืองอาบูญาของไนจีเรีย สถาบันการเงินนี้จะทำให้ชาติแอฟริกาเลิกใช้สกุลเงินยุโรปและหันมามีสกุลเงิน กลางของตัวเอง
3)สถาบันการเงินแห่งที่สามที่จะเปิดคือ ธนาคารเพื่อการลงทุน (Bank of Investment) จะเปิดขึ้นในลิเบีย ธนาคารนี้จะควบคุมการลงทุนในแอฟริกา
ใครๆในโลกนี้ก็รู้ว่าชาติผิวขาวดูถูกและเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีดชนชาติผิวดำซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกามานานแล้ว ก็อซซาฟีจึงคิดที่จะปลดปล่อยชาติแอฟริกาให้พ้นจากกับดักของชาติตะวันตก ผู้นำชาติต่างๆในทวีปแอฟริกาจึงเห็นชอบร่วมกันในโครงการดังกล่าว แต่มหาอำนาจชาติยุโรปไม่ชอบด้วยเพราะตัวเองจะเสียประโยชน์
เหตุผลอีกประการที่ทำให้ประธานาธิบดีกอซซาฟีตกเป็นเป้าสังหารคือ
เขาต้องการที่จะรวมชาติต่างๆในแอฟริกาเป็นสหรัฐแอฟริกา (United States of Africa) เหมือนกับสหรัฐอเมริกา แน่นอนถ้าชาติแอฟริการวมตัวกันเมื่อใด แอฟริกาก็จะเป็นชาติใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองมากขึ้นและถูกเอารัดเอาเปรียบน้อย ลง
จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เราจะเข้าใจได้ว่าทำไมชาติมหาอำนาจของโลกจึงใช้ นโยบายแบ่งแยกแล้วปกครอง และแบ่งแยกแล้วทำลาย แน่นอน ใครคิดจะทำลายบ้านหลังใหญ่ที่มีความรักใคร่กลมเกลียวกันก็ต้องหาทางให้คนใน บ้านหลังนั้นทะเลาะกัน
ประการถัดไปก็คือ ทำให้คนในบ้านนั้นไร้การศึกษา เพื่อที่คนในบ้านหลังนั้นจะได้ไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของตน
สุดท้ายก็คือการตั้งผู้ปกครองเผด็จการขึ้นมาปกครองประเทศที่ตัวเองต้องการจะ ครอบงำและมีอิทธิพล เมื่อประชาชนในตูนิเซียและอียิปต์ลุกขึ้นประท้วงผู้ปกครองของตน ชาติตะวันตกต่างสนับสนุนผู้นำเผด็จการที่ตัวเองหนุนหลังให้สังหารประชาชน แต่ในกรณีของลิเบีย ประชาชนมิได้ประท้วงผู้นำของตน ชาติตะวันตกจึงสนับสนุนฝ่ายกบฏและร่วมกันสังหารประชาชนลิเบียเอง มิหนำซ้ำยังหน้าด้านอ้างว่าทำไปเพื่อมนุษยธรรมเสียอีก
ชาติยุโรปในสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) กำลังจะล่มสลาย สหรัฐเองก็เป็นชาติที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก ด้วยความกังวลว่าจะสูญเสียแอฟริกา นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ อุตส่าห์เดินทางไปยังประเทศต่างๆในแอฟริกา เพื่อชักชวนชาติเหล่านั้นไม่ให้สนับสนุนกอซซาฟี ชักชวนพวกกบฏในลิเบียให้ไปเปิดสถานทูตของตัวเองในวอชิงตัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังชักชวนให้ชาติแอฟริกาเลิกคบค้ากับจีนด้วย เพราะจีนและรัสเซียจะช่วยผลิตดาวเทียมให้แอฟริกานั่นเอง

(ฝรั่ง)ช่างสามานย์ไม่สร่างจริงๆ นับเป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริง นักเลง อันธพาลของโลก

บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน

หมายเหตุ :: บทความนี้แพร่หลายใน Facebook
:: post in ประชาชาติแห่งอิสลาม(Islamic Nations)

Tuesday, August 5, 2014

ToT บริการห่วย แถมโกงอีก

ที่บ้านติดเน็ต ToT จากศูนย์ ToT ธรรมศาสตร์รังสิต ระบบห่วย ระบบ Call Center สุดห่วย  แถมโกงอีก ผมติดเน็ต วันที่ 5 แต่คิดเงินว่าติดวันที่ 2 ทำเรื่องร้องไปก็เงียบ ตอนนี้ ตัดเน็ตผมบ่อย เพราะผมจ่ายเงินช้า ติดเงินแค่สองสามพัน ทำเป็นติดมากมาย ตอนกรรมการ ToT เอาเงินเป็นล้านไปตีก๊อฟ Golf ไม่เป็นไร ลูกค้าติดเงินนิดหน่อย ทำนิสัยแย่ ๆ



วันที่ ToT คิดเงินผมหรือเปล่า ???
วันนี้ตัดขาด ToT อย่างสมบูรณ์แบบ

ศูนย์ ToT ธรรมศาสตร์รังสิตบริการดีพอควร แต่ยังไงก็สงสารเด็กธรรมศาสตร์รังสิต ที่ต้องใช้เน็ต ToT อย่างไม่มีทางเลือกไปใช้เน็ตบริษัทอื่น ๆ .. ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ควรพิจารณาบริษัทอื่น ๆ เป็นทางเลือกด้วย ไม่ใช่ให้แต่ ToT

สรุปในภาพรวม ToT บริการห่วย แถมโกงอีก ปรับโครงสร้างหนี้คงไม่ช่วยให้รอดไปได้  ..




Sunday, January 12, 2014

เหตุผลของการที่ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง !!!!




•ไม่อยากอยู่ในประเทศที่อันธพาลเป็นใหญ่
•ไม่อยากมีรัฐบาลที่ได้เสียงข้างมากด้วยการใช้กิเลสหนักๆเป็นตัวล่อ โดยไม่สนใจอนาคต (เพราะผลประโยชน์มหาศาลมันน่าสนใจกว่า)
•ไม่อยากเห็นคนจนต้องเป็นเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อของเงินตรา หรือเหยื่อของความรุนแรง (ซึ่งการชุมนุมของนปช.เราก็เห็นๆกันอยู่)


จะดีกว่าไหมถ้าท่านแก้ 1เรื่อง เพื่อไปแก้อีก 1เรื่อง โดยเรียงลำดับ
ถ้า ท่านมาเสริมการปฏิรูปก่อน การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยพลังที่หลายๆท่านมี และในทางกลับกัน ด้วยพลังของพวกท่าน ก็สามารถคานความคิด จนเกิดส่วนผสมที่ลงตัวต่อการปฏิรูปได้


 อย่าลืม!!
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
"ใน บ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"


*******
กรรมที่เกิดแก่ชาติบ้านเมือง

".. กรรมที่เกิดแก่ส่วนรวม คือเกิดแก่บ้านเมืองแก่ประเทศชาติ
ตามเหตุผลแล้วต้องเป็นกรรมของส่วนรวมของประเทศชาติ

ซึ่งมีเราทุกคนรวมอยู่เป็นหนึ่งแน่นอน

ยอมรับว่า ความร้อนของบ้านเมืองเรา
ซึ่งต้องเกิดแต่กรรมไม่ดีไม่งามแน่นอน

เราต้องเป็นหนึ่งในผู้ก่อกรรม
อันยังให้ความเดือดร้อนนั้นเกิด

ถ้าทุกคนหรือมากคน ยอมคิดได้เช่นนี้

...แล้วยอมแก้ไขด้วยการพยายามทำกุศลกรรม

คือทำดี ลดละการทำอกุศล คือทำไม่ดี
ให้เต็มสติปัญญาความสามารถ

ย่อมยังให้เกิดผลดีได้ มากคนคิดได้ มากคนทำดี
มากคนลดละเลี่ยงหลีกการทำความชั่ว การทำบาปอกุศล

ย่อมยังให้เกิดผลดีได้มากเป็นธรรมดา แก่ประเทศชาติ
ทำเหตุดีมาก ผลดีย่อมมาก แน่นอน .."

พระนิพนธ์ แสงส่องใจ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


ศักดิ์ศรีตำรวจไทย?

ตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า

ศักดิ์ศรี น. เกียรติศักดิ์ เช่น ประพฤติตนไม่สมศักดิ์ศรี.

อาชีพตำรวจ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” เป็นอาชีพที่มีเกียรติในตัวเอง ตำรวจที่ดีจะต้องรู้จักรักษาศักดิ์ศรี เกียรติศักดิ์ของตนเอง “เกียรติศักดิ์รักของข้า มอบไว้แก่ตัว”

ประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้กล่าวไว้ชัดเจน
สิ่งที่ทำให้ตำรวจต้องไร้ศักดิ์ศรี หลัก ๆ มาจากตำรวจเอง เพราะท่านต้องหาเงินส่งนาย (???) ทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธากับ การรับส่วย รับสินบน คุมซ่อง คุมบ่อน คุมวิน คุมหวย เป็นการหารายได้พิเศษอันมิชอบแล้วแบ่งปันกัน วิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง ไม่รู้จักพอใจในฐานะหน้าที่ของตน ไม่รู้จักข่มใจตน ยอมตนตกเป็นทาสของความอยากมี อยากเป็น อยากได้ จึงทุจริตเพื่อหาเงินซื้อตำแหน่ง

ตำรวจมาเลเซียปฏิรูป ตามแผนปี 2020 เพิ่มเงินเดือน ห้ามรับสินบน ห้ามรับส่วย ห้ามยัดข้อหา อยากให้ตำรวจไทยปฏิรูปด้วย .. เพื่อให้ท่านเป็นที่พึ่งของประชาชน ไม่ใช่เป็นลูกเบี้ยของนักการเมืองโกงชาติ


ประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ พ.ศ. ๒๕๕๓
(แนบท้ายกฎ ก.ตร. ว่าด้วยประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓)
ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอำนาจและหน้าที่ที่ สำคัญ ได้แก่ การรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์ และพระราชอาคันตุกะ และการรักษากฎหมายคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม บริการชุมชนให้เกิดความร่มเย็น ป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย และดำเนินการเพื่อนำผู้กระทำผิดกฎหมายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และประชาชนมีความศรัทธาเชื่อมั่น จึงจำเป็นต้องกำหนดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ เป็นกรอบการประพฤติปฏิบัติของข้าราชการตำรวจให้มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณที่ดีและเป็นมาตรฐาน
ข้อ ๑ ประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจประกอบด้วย
ส่วนที่ ๑ มาตรฐานคุณธรรม และอุดมคติของตำรวจ เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งให้ข้าราชการตำรวจอยู่ในกรอบของศีลธรรมและคุณธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นแนวทางชี้นำให้ข้าราชการตำรวจบรรลุถึงปณิธานของการเป็นผู้ พิทักษ์สันติราษฎร์
ส่วนที่ ๒ มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ ประกอบด้วย
(๑) มาตรฐานทางจริยธรรมตำรวจ คือ คุณความดีที่เป็นข้อประพฤติตนและปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจเพื่อให้ ประชาชนศรัทธา เชื่อมั่นและยอมรับ
(๒) จรรยาบรรณของตำรวจ คือ ประมวลความประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่ของวิชาชีพตำรวจที่ข้าราชการตำรวจต้อง ยึดถือปฏิบัติ เพื่อธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของข้าราชการตำรวจและวิชาชีพตำรวจ
ข้อ ๒ ในประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจนี้
“การไม่เลือกปฏิบัติ” หมายความว่า การไม่ใช้ความรู้สึกพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจส่วนตัวต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล อันเนื่องมาจากชาติกำเนิด เพศ ศาสนาหรือความเชื่อ เชื้อชาติ สัญชาติ อายุ การศึกษา ความเห็นทางการเมืองหรือความเห็นอื่น ความนิยมทางเพศส่วนบุคคล ความพิการ สภาพร่างกาย จิตใจหรือสุขภาพ หรือสถานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
“ประโยชน์” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน บริการ ตำแหน่งหน้าที่การงานสิทธิประโยชน์ หรือประโยชน์อื่นใดหรือคำมั่นสัญญาที่จะให้หรือจะได้รับสิ่งดังกล่าวในอนาคต ด้วย
“การทารุณหรือทารุณกรรม” หมายความว่า การปฏิบัติหรือกระทำใด ๆ ต่อร่างกายหรือจิตใจของบุคคล ในลักษณะที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส หรือดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ข้อ ๓ ข้าราชการตำรวจต้องเคารพและปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ อย่างเคร่งครัด เมื่อตนได้ละเมิด ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ จะต้องรายงานผู้บังคับบัญชาเป็นหนังสือทันที
หากไม่แน่ใจว่าการที่ตนได้กระทำหรือตัดสินใจ หรือจะกระทำหรือจะตัดสินใจเป็นหรือจะเป็นการละเมิด  ฝ่าฝืน  หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจหรือไม่ ให้ข้าราชการตำรวจนั้นปรึกษาหารือผู้บังคับบัญชา หรือปรึกษากับศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำตามกฎ ก.ตร. ข้อ ๘ วรรคสาม

ส่วนที่ ๑
มาตรฐานคุณธรรม และอุดมคติของตำรวจ
ข้อ ๔ ข้าราชการตำรวจพึงยึดถือคุณธรรมสี่ประการตามพระบรมราโชวาทเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งในการประพฤติตนและปฏิบัติหน้าที่ ดังนี้
(๑) การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
(๒) การรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกตนเองให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัจ ความดีเท่านั้น
(๓) การอดทน อดกลั้น และอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าด้วยเหตุประการใด
(๔) การรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง
ข้อ ๕ ข้าราชการตำรวจพึงยึดถืออุดมคติของตำรวจ ๙ ประการ เป็นแนวทางชี้นำการประพฤติตนและปฏิบัติหน้าที่เพื่อบรรลุถึงปณิธานของการ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดังนี้
(๑) เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่
(๒) กรุณาปราณีต่อประชาชน
(๓) อดทนต่อความเจ็บใจ
(๔) ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก
(๕) ไม่มักมากในลาภผล
(๖) มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
(๗) ดำรงตนในยุติธรรม
(๘) กระทำการด้วยปัญญา
(๙) รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต
ข้อ ๖ ข้าราชการตำรวจพึงหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อพัฒนาตนเองให้ทันโลกทันเหตุการณ์ และมีความชำนาญการในงานที่อยู่ในความรับผิดชอบ รวมทั้งต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ธรรมเนียมการปฏิบัติของส่วนราชการในกระบวนการยุติธรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับ หน้าที่และความรับผิดชอบของตน เพื่อสามารถประสานงานได้อย่างกลมกลืนแนบเนียน และเป็นประโยชน์ต่อราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ส่วนที่ ๒
มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ
(๑) มาตรฐานทางจริยธรรมของตำรวจ
ข้อ ๗ ข้าราชการตำรวจต้องเคารพ ศรัทธา และยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) จงรักภักดีและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระรัชทายาท และไม่ยอมให้ผู้ใดล่วงละเมิด
(๒) สนับสนุนการเมืองประชาธิปไตยด้วยศรัทธา มีความเป็นกลางทางการเมือง ไม่เป็นผู้บริหารหรือกรรมการพรรคการเมือง และไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่พรรคการเมือง หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น
ข้อ ๘ ข้าราชการตำรวจต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมายอื่นโดยเคร่งครัด โดยไม่เลือกปฏิบัติ
ข้อ ๙ ข้าราชการตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการ ประชาชน ชุมชน และประเทศชาติเป็นสำคัญ ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรวดเร็ว กระตือรือร้น รอบคอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้และเป็นธรรม
(๒) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ  ขยันหมั่นเพียร เสียสละ ใช้ปฏิภาณไหวพริบ กล้าหาญและอดทน
(๓) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความเต็มใจ ไม่ละทิ้งหน้าที่ ไม่หลีกเลี่ยงหรือปัดความรับผิดชอบ
(๔) ดูแลรักษาและใช้ทรัพย์สินของทางราชการอย่างประหยัดคุ้มค่า โดยระมัดระวังมิให้เสียหายหรือสิ้นเปลืองเยี่ยงวิญญูชนจะพึงปฏิบัติต่อ ทรัพย์สินของตนเอง
(๕) รักษาความลับของทางราชการ และความลับที่ได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือจากประชาชนผู้มาติดต่อราชการ เว้นแต่เป็นการเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรม หรือการตรวจสอบตามที่กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ กำหนด
ข้อ ๑๐ ข้าราชการตำรวจต้องมีจิตสำนึกของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เพื่อให้ประชาชนศรัทธาและเชื่อมั่น ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติดังนี้
(๑) มีท่าทีเป็นมิตร มีมนุษยสัมพันธ์อันดี และมีความสุภาพอ่อนโยนต่อประชาชน ผู้รับบริการ รวมทั้งให้บริการประชาชนด้วยความเต็มใจ รวดเร็ว และไม่เลือกปฏิบัติ
(๒) ปฏิบัติตนให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของประชาชน ไม่เบียดเบียน ไม่แสดงกริยาหรือท่าทางไม่สุภาพหรือไม่ให้เกียรติ รวมทั้งไม่ใช้ถ้อยคำ กริยา หรือท่าทาง ที่มีลักษณะหยาบคาย ดูหมิ่น หรือเหยียดหยามประชาชน
(๓) เอื้อเฟื้อ สงเคราะห์ และช่วยเหลือประชาชนเมื่ออยู่ในฐานะที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ หรือประสบเคราะห์จากอุบัติเหตุ การละเมิดกฎหมาย หรือภัยอื่น ๆ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้ต้องสงสัยหรือผู้กระทำผิดกฎหมายหรือไม่
(๔) ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการอย่างเคร่งครัด การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนที่ร้องขอ ต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ไม่ถ่วงเวลาให้เนิ่นช้า และไม่ให้ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จแก่ประชาชน
          ข้อ ๑๑ ข้าราชการตำรวจต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริตและยึดมั่นในศีลธรรม โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเหนือประโยชน์ส่วนตน ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ไม่ใช้ตำแหน่ง อำนาจหรือหน้าที่ หรือไม่ยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่ง อำนาจหรือหน้าที่ของตน แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น
(๒) ไม่ใช้ตำแหน่ง อำนาจหรือหน้าที่ หรือไม่ยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่ง อำนาจหรือหน้าที่ของตน ไปในทางจูงใจหรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ การใช้ดุลพินิจ หรือการกระทำของข้าราชการตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น อันเป็นผลให้การตัดสินใจ การใช้ดุลพินิจ หรือการกระทำของผู้นั้นสูญเสียความเที่ยงธรรมและยุติธรรม
(๓) ไม่รับของขวัญนอกเหนือจากโอกาสและกาลตามประเพณีนิยม และของขวัญนั้นต้องมีมูลค่าตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติประกาศกำหนดเว้นแต่ญาติซึ่งให้โดยเสน่หาตามจำนวนที่เหมาะสมตาม
ฐานานุรูปหรือการให้โดยธรรมจรรยา
(๔) ไม่ใช้เวลาราชการหรือทรัพย์ของราชการเพื่อธุรกิจหรือประโยชน์ส่วนตน
(๕) ไม่ประกอบอาชีพเสริมซึ่งมีลักษณะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน หรือเป็น
การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม
(๖) ดำรงชีวิตส่วนตัวไม่ให้เกิดมลทินมัวหมองต่อตำแหน่งหน้าที่ ไม่ทำผิดกฎหมายแม้เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่หมกมุ่นในอบายมุขทั้งหลาย ไม่ฟุ้งเฟ้อหรูหรา และใช้จ่ายประหยัดตามฐานะแห่งตน
          ข้อ ๑๒ ข้าราชการตำรวจต้องภาคภูมิใจในวิชาชีพ กล้ายืนหยัดกระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามเพื่อเกียรติศักดิ์และศักดิ์ศรีของ ความเป็นตำรวจ ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามครรลองของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างเคร่งครัด
(๒) ไม่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติการในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อคุณธรรมและศีลธรรม
(๓) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ตนรู้หรือควรจะรู้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการนี้ให้ทักท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้บังคับบัญชาผู้สั่ง
(๔) ไม่เลี่ยงกฎหมาย ใช้หรือแนะนำให้ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือทำให้สูญเสียความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม
ข้อ ๑๓ ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชา ข้าราชการตำรวจต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างที่ดี รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาและที่พึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชา
(๒) หมั่นอบรมให้ผู้ใต้บังคับบัญชายึดถือปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณ ว่ากล่าวตักเตือนด้วยจิตเมตตา และให้ความรู้เกี่ยวกับงานในหน้าที่
(๓) ปกครองบังคับบัญชาด้วยหลักการและเหตุผลที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ยอมรับฟังความคิดเห็น และไม่ผลักความรับผิดชอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
(๔) ใช้หลักคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลที่อยู่ในความรับผิดชอบ    ของตนอย่างเคร่งครัด และปราศจากความลำเอียง
ข้อ ๑๔ ?ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน  ข้าราชการตำรวจต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) เคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ชอบด้วยกฎหมาย
(๒) รักษาวินัยและความสามัคคีในหมู่คณะ
(๓) ปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานด้วยความสุภาพมีน้ำใจ รักใคร่สมานฉันท์ และมีมนุษยสัมพันธ์ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน
(๔) อุทิศตนเอง ไม่หลีกเลี่ยงหรือเกี่ยงงาน ร่วมมือร่วมใจปฏิบัติหน้าที่โดยยึดความสำเร็จของงานและชื่อเสียงของหน่วย เป็นที่ตั้ง
ข้อ ๑๕ ข้าราชการตำรวจต้องปฏิบัติตามค่านิยมหลักของมาตรฐานจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินกำหนด ดังนี้
(๑) การยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม
(๒) การมีจิตสำนึกที่ดี ซื่อสัตย์ สุจริต และรับผิดชอบ
(๓) การยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
(๔) การยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และถูกกฎหมาย
(๕) การให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว มีอัธยาศัย และไม่เลือกปฏิบัติ
(๖) การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และ         ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง
(๗) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน รักษามาตรฐาน มีคุณภาพ โปร่งใส แ?ละตรวจสอบได้
(๘) การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(๙) การยึดมั่นในหลักจรรยาวิชาชีพขององค์การ
(๒) จรรยาบรรณของตำรวจ
ข้อ ๑๖ ข้าราชการตำรวจจะต้องสำนึกในการให้บริการประชาชนด้านอำนวยความยุติธรรม และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ประชาชนมีความเลื่อมใส เชื่อมั่นและศรัทธา ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการร้องทุกข์ กล่าวโทษ ขออนุญาต ขอข้อมูลข่าวสาร หรือติดต่อราชการอื่น ด้วยความเต็มใจ เป็นมิตร ไม่เลือกปฏิบัติ และรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ประชาชนเสียสิทธิหรือเสรีภาพตามกฎหมาย
(๒) สุภาพ อ่อนน้อม และให้เกียรติประชาชนเพื่อให้เกิดความน่าเคารพยำเกรง ไม่ใช้ถ้อยคำ กริยา หรือท่าทาง ที่มีลักษณะหยาบคาย ดูหมิ่น หรือเหยียดหยามประชาชน
(๓) ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ต้องดำรงตนให้อยู่ในสภาพที่พร้อมและเหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความน่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจ
(๔) พกพาอาวุธตามระเบียบแบบแผน ไม่จับหรือถืออาวุธ หรือเล็งอาวุธไปยังบุคคลโดยปราศจากเหตุอันสมควร
(๕) พกพาเอกสารหรือตราประจำตัว และแสดงเอกสารหรือตราประจำตัวเมื่อมีบุคคลร้องขอ
ข้อ ๑๗ เมื่อเข้าจับกุมหรือระงับการกระทำผิด ข้าราชการตำรวจต้อง
ยึดถือและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติดังนี้
(๑) แสดงถึงการอุทิศตนและจิตใจให้แก่การปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญและมีสติปัญญา
(๒) ยืนหยัดเจตนารมณ์ในการรักษากฎหมายให้ถึงที่สุด และดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำความผิด ทั้งนี้ให้ระลึกเสมอว่าการใช้กฎหมายจะต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมด้วย
(๓) ไม่ใช้มาตรการรุนแรง เว้นแต่การใช้มาตรการปกติ แล้วไม่เพียงพอ      ที่จะหยุดยั้งผู้กระทำความผิดหรือผู้ต้องสงสัยได้
ข้อ ๑๘ ข้าราชการตำรวจต้องตระหนักว่า การใช้อาวุธ กำลัง หรือความรุนแรงเป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุด ข้าราชการตำรวจอาจใช้อาวุธ กำลัง หรือความรุนแรง ได้ต่อเมื่อมีความจำเป็นภายใต้กรอบของกฎหมายและระเบียบแบบแผน หรือเมื่อผู้กระทำความผิดหรือผู้ต้องสงสัยใช้อาวุธต่อสู้ขัดขวางการจับกุม หรือเพื่อช่วยบุคคลอื่นที่อยู่ในอันตรายต่อชีวิต
เมื่อมีการใช้อาวุธ กำลัง หรือความรุนแรง ไม่ว่าจะมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ ข้าราชการตำรวจต้องรายงานเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบแบบแผน ทันที
ข้อ ๑๙ ในการรวบรวมพยานหลักฐาน การสืบสวนสอบสวน การสอบปากคำ หรือการซักถามผู้กระทำความผิด ผู้ต้องหา ผู้ที่อยู่ในความควบคุมตามกฎหมาย  ผู้เสียหาย  ผู้รู้เห็นเหตุการณ์  หรือบุคคลอื่น  ข้าราชการตำรวจต้องแสดงความเป็นมืออาชีพโดยใช้ความรู้ความสามารถทางวิชาการ ตำรวจ รวมทั้งใช้ปฏิภาณไหวพริบและสติปัญญา เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ไม่ทำการทารุณหรือทารุณกรรมต่อบุคคล หรือต่อบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลนั้น
(๒) ไม่ใช้ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือปล่อยปละละเลยให้มีการทารุณหรือทารุณกรรมต่อบุคคล หรือต่อบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลนั้น
(๓) ไม่กระทำการข่มขู่หรือรังควาน หรือไม่ใช้อำนาจที่มิชอบ หรือแนะนำเสี้ยมสอนบุคคลให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จหรือปรักปรำผู้อื่น
(๔) ไม่กักขังหรือหน่วงเหนี่ยวบุคคลที่ยังไม่ได้ถูกจับกุมตามกฎหมาย เพื่อการสอบปากคำ
(๕) ไม่ใช้อำนาจที่มิชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน         
ข้อ ๒๐ ข้าราชการตำรวจต้องควบคุมดูแลบุคคลที่อยู่ในการควบคุมของตนอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายและมีมนุษยธรรม ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ไม่ผ่อนปรนให้บุคคลนั้นมีสิทธิหรือได้ประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผน
(๒) ไม่รบกวนการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลกับทนายความตามสิทธิแห่งกฎหมาย
(๓)  จัดให้บุคคลได้รับการรักษาพยาบาลหรือการดูแลทางการแพทย์ตามสมควรแก่กรณีเมื่อบุคคลนั้นมีอาการเจ็บป่วยหรือร้องขอ
(๔) ไม่ควบคุมเด็กและเยาวชนร่วมกับผู้กระทำความผิดที่เป็นผู้ใหญ่หรือไม่คุมขัง ผู้หญิงร่วมกับผู้ชาย เว้นแต่เป็นกรณีที่มีกฎหมายและระเบียบแบบแผนอนุญาต
ข้อ ๒๑ ข้อมูลข่าวสารที่ข้าราชการตำรวจได้มาจากการ ปฏิบัติหน้าที่ตามข้อ ๑๙ หรือจากการปฏิบัติหน้าที่อื่น ข้าราชการตำรวจจะต้องรักษาข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นความลับอย่างเคร่งครัดเพราะ อาจเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์หรือชื่อเสียง
ของบุคคล หรืออาจเป็นคุณหรือเป็นโทษทั้งต่อผู้เสียหายหรือผู้กระทำความผิด   ข้า ราชการตำรวจจะเปิดเผยข้อมูลนั้นได้ต่อเมื่อมีความจำเป็นต่อการปฏิบัติ หน้าที่หรือเพื่อประโยชน์ในราชการตำรวจที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
-------------------------------------
ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ว่าด้วย จรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน พ.ศ.๒๕๔๔

----------------------------------------------
ตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ที่ ๔/๒๔๙๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๔๙๙ เรื่อง วางระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ซึ่งในลักษณะ ๘ การสอบสวน บทที่ ๑ ได้วางระเบียบว่าด้วย หลักทั่วไปว่าด้วยการสอบสวนไว้เป็นทางปฏิบัติแล้ว นั้น
เนื่องจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติตระหนักถึงความสำคัญของการสอบสวนคดีอาญาอันเป็นภารกิจ หลักในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน โดยมีพนักงานสอบสวนเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้ ซึ่งการดำเนินการจะต้องมีความโปร่งใส สุจริต รวดเร็ว เสมอภาค และเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง จึงได้กำหนดเป็นนโยบายเน้นหนักมุ่งปรับปรุงงานอำนวยความยุติธรรมทางอาญา โดยยึดหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ควบคู่ไปกับการรักษาความสงบสุขของสังคม และพัฒนาพนักงานสอบสวนให้มีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณที่เหมาะสมต่อการดำรงไว้ซึ่งบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบขององค์กรต้นธารของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา การที่พนักงานสอบสวนจะปฏิบัติหน้าที่ให้สัมฤทธิผลและมีแนวทางการดำรงตนตาม ครรลองที่ถูกต้องได้ดีเพียงใดนั้น จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือในลักษณะของจริยธรรม หรือจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษ นอกเหนือจากจริยธรรมของข้าราชการตำรวจโดยทั่วไป ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๗๗ ได้บัญญัติให้รัฐจัดทำมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมของข้าราชการตำรวจ เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบและเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติ หน้าที่แผนปฏิรูป
ระบบบริหารภาครัฐกำหนดให้มีการรณรงค์และส่งเสริมค่านิยมสร้างสรรค์และ จรรยาบรรณวิชาชีพของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งหลักการของระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข ยุติธรรม โปร่งใสและความมีส่วนร่วม เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน สำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นเป็นการสมควรปรับปรุง พัฒนาจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวนให้เป็นมาตรฐานเหมาะสมสอดคล้องกับปัจจัย ต่างๆ และมีความชัดเจน บังเกิดผลในการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นโดยอาศัยการมีส่วนร่วม จากกระบวนการประชาสังคม จึงสมควรแก้ไขระเบียบในเรื่องนี้เสียใหม่เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในการประพฤติ ปฏิบัติของพนักงานสอบสวนควบคู่ไปกับอุดมคติของตำรวจ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนและสังคมส่วนรวม
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๓ แห่งข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ที่ ๔/๒๔๙๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๔๙๙ ประกอบกับมาตรา ๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาโอนกรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย ไปจัดตั้งเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๑ ที่ให้อำนาจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยกเลิก แก้ไข เพิ่มเติม ประมวลระเบียบการตำรวจทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับคดีและในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับ คดีได้ จึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในลักษณะ ๘ การสอบสวน บทที่ ๑ ข้อ ๒๐๘ แห่งประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีเสียทั้งหมด และให้ใช้ความที่แนบท้ายระเบียบนี้แทน
ข้อ ๒ ให้เพิ่มความที่แนบท้ายระเบียบนี้ เป็นบทที่ ๑๗ จรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน ลักษณะ ๘ การสอบสวน แห่งประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี

ข้อ ๓ ให้ใช้ระเบียบนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๔
(ลงชื่อ) พลตำรวจเอก พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์
(พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์)
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ลักษณะ ๘
การสอบสวน
บทที่ ๑๗
จรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน

-------------------
ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติตระหนักถึงความสำคัญของการสอบสวนคดีอาญา อันเป็นภารกิจหลักในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนโดยมีพนักงานสอบสวน เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้ ซึ่งการดำเนินการจะต้องมีความโปร่งใส สุจริต รวดเร็ว เสมอภาคและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง โดยยึดหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญควบคู่ไปกับการรักษาความสงบสุขของสังคม และพัฒนาพนักงานสอบสวนให้มีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณที่เหมาะสมต่อการดำรงไว้ซึ่งบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบขององค์กร ต้นธารของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่พนักงานสอบสวนจะปฏิบัติหน้าที่ให้ สัมฤทธิผล จึงจำเป็นต้องกำหนดให้มีจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวนเป็นกรอบและแนวทางในการ ประพฤติปฏิบัติควบคู่ไปกับ "อุดมคติของตำรวจ" ที่ได้กำหนดไว้แล้วในประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ ๑๖ ตามผนวก แนบท้าย เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนและสังคมส่วนรวม ไว้ดังต่อไปนี้
          ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน พ.ศ.๒๕๔๔"
ข้อ ๒ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งอื่นใดในส่วนที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ ๓ จรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน ที่ต้องประพฤติปฏิบัติควบคู่ไปกับอุดมคติของตำรวจตามผนวกแนบท้ายระเบียบนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนและสังคมส่วนรวม มีดังนี้
(๑) พนักงานสอบสวนต้องเคารพในสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
(๒) พนักงานสอบสวนต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต และยึดมั่นในศีลธรรม
(๓) พนักงานสอบสวนต้องอำนวยความยุติธรรม ด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง โปร่งใส และเป็นธรรมโดยปราศจากอคติ
(๔) พนักงานสอบสวนต้องกล้ายืนหยัดกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
(๕) พนักงานสอบสวนพึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เสียสละ และอดทน เพื่อประโยชน์แห่งการอำนวยความยุติธรรม
(๖) พนักงานสอบสวนพึงมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ด้วยความสุภาพอ่อนโยนมีไมตรีจิต และเต็มใจให้บริการประชาชน
(๗) พนักงานสอบสวนพึงหมั่นศึกษาหาความรู้ และพัฒนาตนเองตลอดเวลา
(๘) พนักงานสอบสวบพึงสำนึก และยึดมั่นในวิชาชีพการสอบสวน มีความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีและวิชาชีพของตนเอง
ให้ผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนทุกระดับชั้น ทำความเข้าใจและสอดส่องควบคุม ดูแล ให้พนักงานสอบสวนยึดถือประพฤติปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน อย่างแท้จริง เพื่อให้บังเกิดผลดีแก่ทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของตน และสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นแก่สังคม หากมีการละเลยหรือทำให้เห็นว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดฝ่าฝืน ก็ให้ผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาไปตามระเบียบแบบแผนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหากเข้าข่ายผิดวินัยก็ให้ดำเนินการในเรื่องวินัยด้วย (ผนวกแนบท้ายระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน พ.ศ.๒๕๔๔ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๔)

อุดมคติของตำรวจ
เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่
กรุณาปรานีต่อประชาชน
อดทนต่อความเจ็บใจ
ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก
ไม่มักมากในลาภผล
บำเพ็ญประโยชน์แก่ประชาชน
ดำรงตนในยุติธรรม
กระทำการด้วยปัญญา
รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต
*********************

จรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน พ.ศ.๒๕๔๔
ข้อกำหนด
ข้อ ๑ พนักงานสอบสวนต้องเคารพในสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
แนวทางปฏิบัติ
- ต้องศึกษา ทำความเข้าใจกฎหมายและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างถ่องแท้
- ต้องแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
- ปลูกจิตสำนึกของพนักงานสอบสวนให้ตระหนักในหน้าที่ ต้องเคารพในสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญโดยผู้บังคับบัญชาให้การอบรมเป็นประจำ
- ให้พนักงานสอบสวนมีบทบาทในการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ในเรื่องสิทธิตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ
ข้อกำหนด
ข้อ ๒ พนักงานสอบสวนต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต และยึดมั่นในศีลธรรม
แนวทางปฏิบัติ
- การปฏิบัติหน้าที่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสุจริต ตรงไปตรงมา ไม่มุ่งหวังหรือแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้จากการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะด้วยการเรียกร้อง แสดงท่าทีหรือกิริยาอาการอื่นใด และสามารถตรวจสอบได้
- ไม่พยายามหลีกเลี่ยงหรือแสวงหาช่องว่างของกฎหมายเพื่อกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
- มีจิตสำนึกในการปฏิบัติงานในกรอบของศีลธรรมตามหลักศาสนา
ข้อกำหนด
ข้อ ๓ พนักงานสอบสวนต้องอำนวยความยุติธรรม ด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง โปร่งใส และเป็นธรรมโดยปราศจากอคติ
แนวทางปฏิบัติ
- ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
- ให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว อย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ตามลำดับขั้นตอนภายในระยะเวลาที่ ตร.กำหนด
- ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยความเต็มใจ
ข้อกำหนด
ข้อ ๔ พนักงานสอบสวนต้องกล้ายืนหยัดกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
แนวทางปฏิบัติ
- ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดมั่นในความถูกต้อง ดีงาม และชอบธรรม
- ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักวิชาและจรรยาวิชาชีพ
- ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใดๆ
ข้อกำหนด
ข้อ ๕ พนักงานสอบสวนพึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เสียสละ และอดทน เพื่อประโยชน์แห่งการอำนวยความยุติธรรม
แนวทางปฏิบัติ
- ปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ และอุทิศตนทุ่มเทสติปัญญา
ความรู้ความคิดที่มีอยู่ให้กับงานอย่างเต็มที่
- ปฏิบัติงานในหน้าที่โดยมีจิตสำนึกและหลักการตามกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งการอำนวยความยุติธรรม
- ปลูกฝังจิตสำนึกพนักงานสอบสวนในเรื่องการเสียสละ อดทนและความรับผิดชอบในหน้าที่
ข้อกำหนด
        ข้อ ๖ พนักงานสอบสวนพึงมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ด้วยความสุภาพ อ่อนโยน มีไมตรีจิต และเต็มใจให้บริการประชาชน
แนวทางปฏิบัติ
- พนักงานสอบปฏิบัติหน้าที่และให้บริการประชาชนด้วยความเป็นธรรม เอื้อเฟื้อมีน้ำใจและใช้กิริยาวาจาที่สุภาพ อ่อนโยน โดยมีจิตสำนึกการให้บริการประชาชน
- เต็มใจแนะนำ ช่วยเหลือในการบริการประชาชนเสมือนญาติ
ข้อกำหนด
ข้อ ๗ พนักงานสอบสวนพึงหมั่นศึกษาหาความรู้ และพัฒนาตนเองตลอดเวลา
แนวทางปฏิบัติ
- ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม พัฒนาตนให้มีความรู้ ความชำนาญทันต่อเหตุการณ์
- ขยันหมั่นเพียร ทำความเข้าใจต่อกฎหมายและระเบียบปฏิบัติและนำไปยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด
- มีความริเริ่ม สร้างสรรค์ พัฒนาการปฏิบัติงานให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ข้อกำหนด
         ข้อ ๘ พนักงานสอบสวนพึงสำนึกและยึดมั่นในวิชาชีพการสอบสวน มีความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีและวิชาชีพของตนเอง
แนวทางปฏิบัติ
- ดำรงตนให้เหมาะสมกับการเป็นข้าราชการในกระบวนการยุติธรรม ด้วยการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีหลักการ มีคุณธรรม เป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชน
- ปฏิบัติหน้าที่ในวิชาชีพการสอบสวนด้วยความมั่นคงและความภาคภูมิใจใน เกียรติคุณและศักดิ์ศรีของความเป็นพนักงานสอบสวน          
- ปฏิบัติงานด้วยจิตวิญญาณของพนักงานสอบสวนให้เป็นที่เชื่อถือและศรัทธาของประชาชน


วิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์
ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
วิสัยทัศน์ (Vision)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ประชาชน       ให้ความไว้วางใจ เชื่อมั่น ศรัทธา และบริการประชาชน
พันธกิจ (Mission)
๑. ถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
๒. ให้บริการที่ดีโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางและชุมชนเป็นฐาน
๓. ป้องกันและควบคุมอาชญากรรมโดยส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน และท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
๔. อำนวยความยุติธรรมโดยยึดหลักนิติธรรม
๕. รักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติด้วยการบริหารจัดการที่ดี
ยุทธศาสตร์ (Strategies)
ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ดังนี้
. ยุทธศาสตร์การให้บริการที่ดีแก่ประชาชนและชุมชน
๑.๑ กระจายบริการลงสู่ชุมชนและรักษาความสงบเรียบร้อย           ในชุมชนอย่างทั่วถึง
๑.๑.๑ กระจายบริการลงสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง
๑.๑.๒ ปรับระบบและวิธีการทำงานให้สั้นกระชับ สะดวก รวดเร็ว และเสร็จสิ้น ณ จุดบริการประชาชน (One stop/contact service)
๑.๑.๓ มีศูนย์บริการรับแจ้งเหตุ (One call center) ที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ
๑.๒ บริการอย่างมืออาชีพและมีภาวะผู้นำ
๑.๒.๑ บริการประชาชนอย่างมีทักษะตามศาสตร์ของวิชาชีพตำรวจ (Police Science)
๑.๒.๒ บริการด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้
๑.๒.๓ มีความพร้อมในการปฏิบัติและแก้ไขสถานการณ์      ด้วยความรัดกุมรอบคอบ
๑.๓ บริการด้วยความเป็นกลาง เสมอภาค และไม่เลือกปฏิบัติ
๑.๓.๑ ถือปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพตำรวจอย่างเคร่งครัด
๑.๓.๒ มีระบบการตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจอย่างสม่ำเสมอ
๑.๔ บริการภายใต้กรอบกฎหมาย โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ       ส่วนบุคคล
๑.๔.๑ ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักนิติธรรม (Rule of law) หรือเจตนารมณ์ของกฎหมาย
๑.๕ บริการด้วยความสุภาพ เป็นมิตร และมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์และทรัพย์สินสาธารณะ
๑.๕.๑ บริการด้วยความเต็มใจ กระตือรือร้น และมีจิตสำนึก    ในการให้บริการ (Service Mind)
๑.๕.๒ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคเป็นธรรมโดยยึดมั่นอยู่ในอุดมคติของตำรวจ และปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมอันดีงามของตำรวจ
. ยุทธศาสตร์การควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในระดับที่ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขของประชาชน
๒.๑ ป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรม โดยให้ประชาชน ชุมชน และท้องถิ่นมีส่วนร่วม
๒.๑.๑. การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และท้องถิ่น
๒.๑.๑.๑ ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานในการป้องกันอาชญากรรม
๒.๑.๑.๒ วิเคราะห์และประชาสัมพันธ์สถานการณ์อาชญากรรมในชุมชนให้ประชาชนได้รับทราบเป็นประจำ
๒.๑.๑.๓ รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนในสังคมร่วมเป็น   พลังแผ่นดินในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรม
๒.๑.๑.๔ ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมชุมชนเข้มแข็งเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในชุมชน/หมู่บ้าน
๒.๑.๒ การพัฒนาระบบสายตรวจ
๒.๑.๒.๑ จัดระบบสายตรวจให้ปฏิบัติงานในเชิงรุกและมีผลในเชิงป้องปราม
๒.๑.๒.๒ มีความพร้อมที่จะไปถึงที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว สามารถระงับเหตุ และให้บริการประชาชนได้ทันสถานการณ์
๒.๒ สืบสวนปราบปรามอาชญากรรม
๒.๒.๑ สืบสวนปราบปรามอาชญากรรมทั่วไป
๒.๒.๑.๑ จัดระบบฐานข้อมูลชุมชนและข้อมูลท้องที่ ให้เป็นปัจจุบันไว้ใช้ในการสืบสวนปราบปราม
๒.๒.๑.๒ มีการบูรณาการการข่าวอาชญากรรมกันได้ระหว่างหน่วยงาน
๒.๒.๑.๓ มีความพร้อมที่จะเข้าเผชิญเหตุและแก้ไขสถานการณ์พิเศษได้ทันกาล
๒.๒.๒ สืบสวน ปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นขบวนการหรือเครือข่าย
๒.๒.๒.๑ มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจน (Roadmap) ในการสืบสวนปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นขบวนการหรือเครือข่าย
๒.๒.๒.๒ จัดให้มีฐานข้อมูลอาชญากรรมในลักษณะเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
๒.๒.๒.๓ พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ และ  ความชำนาญ/เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการสืบสวนปราบปรามอาชญากรรม        ที่เป็นขบวนการหรือเครือข่าย
. ยุทธศาสตร์การอำนวยความยุติธรรม
๓.๑ พัฒนาโครงสร้าง ระบบงาน และบุคลากรด้านการสอบสวน
๓.๑.๑ ให้มีโครงสร้างสายงานสอบสวนที่ชัดเจน
๓.๑.๒ ให้พนักงานสอบสวนมีความรู้และทักษะพื้นฐานในงาน   นิติวิทยาศาสตร์
๓.๑.๓ ให้พนักงานสอบสวนได้รับค่าตอบแทนที่เทียบเคียงได้กับข้าราชการฝ่ายอื่นในกระบวนการยุติธรรม
๓.๑.๔ ปรับสารบบและเนื้อหาในสำนวนการสอบสวนให้กระชับและชัดเจน
๓.๑.๕ นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการสอบสวน
๓.๑.๖ ติดตามผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินคดีและการใช้ดุลยพินิจในการสอบสวน
๓.๒ พัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์
๓.๒.๑ ปรับปรุงงานนิติวิทยาศาสตร์ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
๓.๒.๒ มีความพร้อมที่จะทำงานควบคู่กับพนักงานสอบสวน
๓.๓ บูรณาการกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
๓.๓.๑ มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายแบบบูรณาการ
๓.๓.๒ เชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด      ในชั้นการสอบสวน การพิจารณาของอัยการ ศาล ราชทัณฑ์และหน่วยงานอื่น
. ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ
๔.๑ การถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์และพระบรม   วงศานุวงศ์
๔.๑.๑ มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจนในการถวายความปลอดภัย โดยถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุด
๔.๑.๒ สร้างเอกภาพในการกำหนดแผนงาน การควบคุม และ การกำกับดูแล
๔.๑.๓ มีมาตรการในการถวายความปลอดภัยอย่างรัดกุมและ  มีประสิทธิภาพ
๔.๑.๔ มีความพร้อมทางด้านบุคลากร ยานพาหนะ และเครื่องมือเครื่องใช้อื่น ๆ
๔.๑.๕ นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการถวายความปลอดภัย
๔.๒ การอารักขา และรักษาความปลอดภัยบุคคลและสถานที่สำคัญ
๔.๒.๑ มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจนในการอารักขาและรักษาความปลอดภัยบุคคลและสถานที่สำคัญ
๔.๒.๒ มีความพร้อมในด้านบุคลากร และเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ
๔.๓ งานการข่าวเพื่อความมั่นคงของชาติ
๔.๓.๑ พัฒนางานการข่าวด้านความมั่นคง
๔.๓.๑.๑ มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจนเพื่อให้ได้ข่าวกรองที่ถูกต้อง รวดเร็วและ ทันสถานการณ์
๔.๓.๑.๒ พัฒนาบุคลากรสายการข่าวกรองให้มีความรู้ ทักษะและความชำนาญ/เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
๔.๓.๒ จัดให้มีระบบการต่อต้านข่าวกรอง
๔.๓.๒.๑ มีความพร้อมในด้านบุคลากร และเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ
๔.๓.๒.๒ พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะและความพร้อมในการปฏิบัติงาน
๔.๔ งานความมั่นคงของชาติในหน้าที่ตำรวจ
๔.๔.๑ มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจนในการบริหารจัดการเชิงบูรณาการในงานความมั่นคงของชาติ
๔.๔.๒ รักษาความสงบเรียบร้อยและสนับสนุนการเสริมสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็งป้องกันตนเองตามแนวชายแดน
๔.๔.๓ เฝ้าระวัง ตรวจสอบ สกัดกั้น และสืบสวนปราบปรามการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง นำเข้าบุคคลและสิ่งผิดกฎหมายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
๔.๔.๔ ต่อต้านการก่อการร้ายสากล
๔.๔.๕ ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวกับความมั่นคง
          ๕. ยุทธศาสตร์การควบคุมการจราจรและการบริการสังคม
๕.๑ ควบคุมการจราจรให้สะดวกปลอดภัย
๕.๑.๑ มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจนในการควบคุมการจราจร
๕.๑.๒ มีความพร้อมในด้านบุคลากรและเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ
๕.๑.๓ ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานในการป้องกัน    และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน
๕.๑.๔ รณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาจราจร
๕.๒ บริการประชาชนและสังคมภายในอำนาจหน้าที่ตำรวจ
๕.๒.๑ มีความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน    ที่ประสบอุบัติภัยและบริการสังคมภายในอำนาจหน้าที่ตำรวจ
๕.๒.๒ บริการและให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว
. ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่ดี
๖.๑ พัฒนาผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ให้มีทักษะการบริหารจัดการที่ดีและบูรณาการทั้งภายในหน่วยและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
๖.๑.๑ เน้นการทำงานอย่างมียุทธศาสตร์ มุ่งผลสำเร็จของงาน
๖.๑.๒ ปรับวิธีการทำงานในทุกระดับให้มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจน (Roadmap)
๖.๑.๓ มีการวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์อาชญากรรม    และการดำเนินการตามยุทธศาสตร์แต่ละด้านอย่างสม่ำเสมอในทุกระดับ
๖.๒ ปรับโครงสร้างและระบบการบริหารงานในทุกระดับ ( ตร.    บช. บก./ภ.จว. สน./สภ. ) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
๖.๒.๑ ให้มีความเชื่อมโยงในการบูรณาการระหว่างตำรวจท้องที่ (Area) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของตำรวจ กับหน่วยงานเฉพาะหน้าที่หรือเฉพาะทาง (Function) ในลักษณะการสนับสนุน/ต้นแบบ
๖.๒.๒ จัดให้มีชั้นการบังคับบัญชาที่สั้นลง (Flat Organization)       มีความรวดเร็วในการตัดสินใจและการบริการประชาชน
๖.๓ พัฒนาระบบการบริหารงานบุคคล
๖.๓.๑ มีความเป็นธรรมในการให้ความดีความชอบและ      ลงทัณฑ์ข้าราชการตำรวจ โดยจัดให้มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเทียบเคียงได้กับข้อกำหนดของ ก.พ.
๖.๓.๒ ปรับค่าตอบแทนและสวัสดิการให้เหมาะสมสอดคล้องกับ  ค่าครองชีพที่เป็นปัจจุบันโดยเฉพาะข้าราชการตำรวจในระดับล่าง
๖.๓.๓ มีข้อมูลประวัติงานเฉพาะบุคคล (Profile) และมีการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำเดือน เพื่อใช้เป็นฐานในการพิจารณาความชอบ อันจะทำให้บุคคลได้ใช้ศักยภาพให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน
๖.๓.๔ ดำรงชีพอยู่ในความพอดีตามรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง   ไม่ใช้จ่ายเกินฐานะ โดยให้ผู้บังคับบัญชาประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดี
๖.๓.๕ มีความพิถีพิถันในการสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมาเป็นตำรวจที่ดี
๖.๔ พัฒนาการศึกษาและฝึกอบรม
๖.๔.๑ มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจนในการให้การศึกษา อบรมข้าราชการตำรวจ
๖.๔.๒ ผลิตและพัฒนาบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของหน่วยงานและงานที่ปฏิบัติบนพื้น ฐานแห่งศาสตร์ของวิชาชีพตำรวจ โดยให้สถาบันอุดมศึกษาเข้ามามีส่วนร่วม
๖.๔.๓ มีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยนำเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้สนับสนุน
๖.๔.๔ สงเสริมจริยธรรมในการทำงานโดยจัดให้มีการอบรมคุณธรรมอย่างสม่ำเสมอ
๖.๕ งานข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี
๖.๕.๑ จัดระบบสารสนเทศ ให้สามารถนำมาช่วยในการบริหารจัดการ และสนับสนุนการปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัย เชื่อถือได้
๖.๕.๒ นำเทคโนโลยีมาใช้ในการสนับสนุนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และการให้บริการประชาชนในทุกระดับในลักษณะศูนย์บริการ   รับแจ้งเหตุ (One call center)
๖.๕.๓ พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะและความชำนาญ/เชี่ยวชาญเฉพาะในการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางเทคโนโลยีและ คอมพิวเตอร์ (Computer Forensics)
๖.๕.๔ สามารถบูรณาการกับหน่วยงานภายในและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นโดยเฉพาะหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
๖.๖ งานกฎหมายและระเบียบ
๖.๖.๑ ยกเลิกกฎหมายและระเบียบที่ล้าสมัย ขาดสภาพการบังคับใช้
๖.๖.๒ ปรับปรุง แก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการบริการประชาชน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
๖.๖.๓ จัดให้มีกฎหมายและระเบียบที่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และบริการประชาชน
             ๖.๗ จัดให้มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจน รองรับสถานการณ์เฉพาะในรอบปี เช่น วันเทศกาล และวันนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ (วันปีใหม่ วันตรุษจีน    วันสงกรานต์ ฯลฯ)
๖.๗.๑ จัดให้มีหน่วยงานหลักเป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการเชิงบูรณาการตามยุทธศาสตร์ย่อยเพื่อรองรับสถานการณ์เฉพาะ
๖.๘ จัดให้มียุทธศาสตร์ย่อยและแนวทางที่ชัดเจน รองรับสถานการณ์พิเศษ เช่น การเลือกตั้ง การประชุมระดับนานาชาติต่างๆ
๖.๘.๑ จัดให้มีหน่วยงานหลักเป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการเชิงบูรณาการตามยุทธศาสตร์ย่อยเพื่อรองรับสถานการณ์พิเศษ