Thursday, December 12, 2013

สิว รอยตีนกา ลักยิ้ม pimple wrinkle dimple


วันนี้เรามาพูดเรื่องที่เกิดขึ้นบนใบหน้ากัน ..

นั่นคือ สิว รอยตีนกา ลักยิ้ม

สิว = pimple / pimply, acne, zit, pustule, papule, blackhead

รอยตีนกา = wrinkle

ลักยิ้ม = dimple

เริ่มกันด้วเรื่องสิว ๆ

สิวหัวช้าง = large pimple = large acne

สิวเสี้ยน = small pimple = small acne = come-do (อ่าน คอมมีโด)

สิวหัวดำ สิวหัวปิดนั้น เรียกว่า blackhead

สิวหัวแดง เรียกเป็๋น Red come-done

ส่วนตุ่ม คล้าย ๆ สิว สีขาว ๆ บนร่างกายโดยเฉพาะบนหน้า นั้น เรียกว่า white-head

papilla เป็นพวก"ตุ่ม หูด"

If you are stressed, you'll get pimples.
if you cry, you'll getwrinkles..
So, why don't you smile & get dimples

นั่นให้ข้อคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดบนใบหน้า ว่า

If you are stressed, you get pimples
ถ้าเราเครียด เราจะได้สิว

if you cry, you'll getwrinkles..
ถ้าเราร้องไห้ เราจะได้รอยเหี่ยวย่นรอยตีนกา

So, why don't you smile & get dimples
แล้วทำไมเราไม่ยิ้มหล่ะ เพราะเราจะได้ลักยิ้ม

Dr.SoS





Saturday, December 7, 2013

อังกฤษที่พูดผิดบ่อย ..

จาก Slang A-hO-lic

โอ้ยย...เจ้าพ่อคุณทูลหัว จะพูดผิดกันไปถึงหน๊ายยยย!

โอ้ย นี่มันเรื่องเก่าเล่าใหม่ชัด ๆ กับภาษาอังกฤษแบบ Thailand Only! ที่คน ไทยพูดผิดตลอด แล้วยังหลง..คิดว่าตัวเองพูดถูกอีกนะ เวร(น่ารุมสะ)กรรมจริง ๆ ตลอดเวลาที่เขียนเพจมา แอดมินก็พยายามพูดแล้ว พูดอีก แต่ถึงยังไงก็ดี ผมก็ยังได้ยินคนไทยพูดประโยคเหล่านี้อยู่ตลอด เอาล่ะ ไม่เป็นไร เรามาทบทวนกันอีกซักรอบ Here we go!

------------------------------------
1. เลิกพูดได้และ Again please!
------------------------------------
โอ้ย รอบที่ 100 แล้วมั้งที่บอกว่า again please! ที่คนไทยพูดกันเนี่ย ฝรั่งไม่ เคยใช้เลยสักแอะ (ใครแม่งคิดฟะ) ลองคิดกันง่าย ๆ นะ again = อีกครั้ง , please คะ/ครับ สรุปแล้ว Again please? (อีกครั้งได้มั้ยคะ) - ตกลงคุณจะ สื่ออะไรล่ะครับ? นั่งอีกครั้ง? กินอีกครั้ง? ชิมอีกครั้ง? หรือจะนอนอีกครั้ง? - อ้ะ ผมรู้นะคุณคิดไรกันอยู่ 55+ จริง ๆ แล้วไอ้ again please ที่คนไทยพูดกัน เพื่อสื่อความหมายว่า "ขอโทษนะคะ พูดอีกทีได้มั้ย ฟังไม่ได้ยิน" ฝรั่งเค้าพูดว่า I'm sorry? (อะไรนะคะ) / Can you say that again? (พูดอีกทีได้มั้ย) / What was that? (เมื่อกี้ พูดว่าไรนะ) ตะหากเล่า วู้ววว

--------------------------------------------------
2. ฝรั่งขอโทษ อย่าไปพูด You're welcome.!
--------------------------------------------------
คนไทยหลายล้าน ชอบจำว่า You're welcome. แปลว่า ไม่เป็นไร พอฝรั่งพูด I'm sorry. (ขอโทษครับ) ดั้นนนไปพูด You're welcome. (ไม่เป็นไรค่ะ ด้วยความยินดี) - อะเห้ย! ผิดมหันต์เลยนะครับ You're welcome. เอาไว้ใช้เฉพาะ เวลามีคนขอบคุณเรา ซาบซึ้งเรา อย่างเช่น Thank you for doing that. (ขอบคุณที่ทำสิ่งนั้นให้นะ) เราถึงมีสิทธิ์พูดว่า You're welcome. (ยินดีจ้ะ) สรุปแล้วหากใครมาพูด I'm sorry. ใส่เราอย่างเช่น เค้าเดินชนเรา ตอบกลับไปว่า That's okay. หรือ It's okay. ก็พอครับ

-------------------------------------------------------------------
3. เลิกพูด pattern I'm fine. Thank you. and you? ได้แล้ว
-------------------------------------------------------------------
pattern นี้ ไม่ได้ผิด แต่มันเป็นอะไรที่คนไทยท่องจำกันมา คือทั้งชีวิตคุณจะพูดกันแค่ประโยคนี้เรอะ? and you? (แล้วคุณล่ะ) ที่คนไทยพูด กันเนี่ย จริง ๆ ใช้ What about you? หรือ How about you? (แล้วคุณล่ะ เป็นไงบ้าง) ก็ได้ หรืออย่าง I'm fine. เนี่ย พูด I'm good. (ก็ดี) / I'm okay. (ก็โอเค) / I'm great. (เยี่ยมเลยล่ะ) ก็ได้ ซึ่งควรจะฝึกใช้หลากหลายครับ อย่าตายตัวพูดอยู่แบบเดียว มันซ้ำซาก จำเจ และบ่งบอกให้รู้ว่า คุณท่อง ๆ จำ ๆ มา แค่นั้น!

--------------------------------
4. พอทีเหอะกับ UP TO YOU
--------------------------------
คือภาษาอังกฤษกับภาษาไทยมันไม่ได้เหมือนกันเป้ะ ๆ นะครับ อย่างภาษาไทยคือ "มันก็แล้วแต่คุณ" สุดท้ายคนไทยก็พูดว่า "ก็แล้วแต่แก" (แม่ง)เลยทึกทักตัดมาแค่ up to you แล้วก็พูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งผิด! น้อยคำมากในภาษาอังกฤษที่จะละประธานมาได้ เพราะฉะนั้นให้พูด It's up to you. เสมอนะครับ หลายคนเถียงก็หนูได้ยินฝรั่งพูด up to you มานี่คะ! - เอิ่มมีอยู่หลายกรณีครับ คือ 1.) เค้าอาจอยู่ไทยมานาน ได้ยินคนไทยแม่งพูดกะท่อนกะแท่นแบบเนี๊ย กุเลยพูดล้อเล่นตามซะเลย (เมิงจะได้เข้าใจกุ 55+) และ 2.) คือประมาทการรับฟังคุณอาจจะไม่ดีพอ เพราะฝรั่งมักชักรวบคำ It's-sup-to-you. สุดท้ายเลยได้ยินแค่ UP TO YOU เลยทึกทักตามอีหรอปคนไทย!

พอเข้าใจนะครับ นี่สรุปมาให้สั้น ๆ แล้วนะครับ (สั้นแล้วจริง ๆ 55+)

นายทีม เจ้าเก่า!

จาก Slang A-hO-lic FaceBook

(ไร้)จุดยืนของ นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ..


ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์

จาก Facebook ชูวิทย์ I'm No.5

จุดยืนของชูวิทย์
จุดยืนของผมชัดเจน เพราะไม่มีแม้แต่ครั้งเดียว ที่ผมจะแสดงว่าเข้าข้างฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ผมอยู่ตรงนี้ และทำหน้าที่ของผม การที่ผมไม่แสดงตัวว่าอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีจุดยืน เพียงแต่ผมเบื่อที่จะต้องมาทะเลาะ และขัดแย้งกันอยู่ร่ำไป

จริงอยู่ รัฐบาลมีอำนาจมากเกินไป และย่ามใจกับอำนาจ เพราะรัฐบาลคิดว่าระยะเวลาที่ผ่านมาสองปี การบริหารงานราบรื่น จึงนำเอากฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภาฯ ทั้งยังเร่งรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกพรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน

อย่างที่เขาบอก มีอำนาจมาก ก็ใช้อำนาจอย่างสิ้นเปลือง นี่ยังไม่พูดถึงบรรดาข้าราชการ ที่พยายามเอาใจรัฐบาลและเล่นการเมือง ทั้ง "มีวันนี้เพราะพี่ให้" และ "DSI คุณธาริต"

ไม่มีสักครั้ง ที่ผมจะโหวตแตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ผมโหวตตามพรรคประชาธิปัตย์ทุกครั้ง แม้ว่าผมไม่เคยได้ร่วมประชุมกับพรรคประชาธิปัตย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว
นี่เป็นเพราะเสียงของผม มีสัดส่วนที่น้อยเกินไป

พรรคประชาธิปัตย์มีเสียงสู้รัฐบาลไม่ได้ มันเป็นคณิตศาสตร์ง่ายๆ ตัวเลขที่น้อยกว่า ย่อมแพ้ไปโดยปริยาย "น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ" แตกต่างจากพรรครัฐบาลที่ใครๆก็ต้องการเข้าร่วม ไม่ว่าคุณบรรหาร คุณสุวัจน์ หรือแม้กระทั่งพรรคการเมืองบางพรรคที่เป็นฝ่ายค้าน แต่ทำตัวเข้าข้างรัฐบาล
ผมไม่ไว้ใจคุณทักษิณ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมไว้ใจคุณสุเทพ ผมอยู่ในสภาฯ ย่อมรู้อะไรลึกซึ้งกว่าประชาชนคนธรรมดา แต่ผมไม่โทษใคร เพราะการเมืองไม่มีผิดหรือถูก อยู่ที่ความคิด ความเชื่อของแต่ละคน

พ่อผมเคยบอกว่า "จะเสียมารยาทมาก ถ้าเอาเรื่องการเมืองหรือเรื่องศาสนามาคุยกันบนโต๊ะอาหาร"
ผมเป็นพวก "ไทยอดทน" ไม่ใช่ "ไทยเฉย" ผมรับฟังทั้งสองฝ่ายมามาก อดทนกับความขัดแย้งนี้มานาน และถ้าปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายผลัดกันขึ้นผลัดกันลงแบบนี้ มันจะเป็นแบบที่คุณเห็น ไม่จบไม่สิ้น ผมอดทนเงียบ และฟัง เป็นเพราะว่าเสียงของผมมันน้อยนิด ที่สำคัญ ผมไม่ชอบเล่นนอกกติกา

ดังนั้น จุดยืนของผมชัดเจนมั่นคง ตรงไปตรงมา หากผมจะเข้ามาหาประโยชน์ ผมจะไม่ประกาศตัวเป็น "ฝ่ายค้าน" ตั้งแต่เลือกตั้ง ผมไม่ได้ต้องการมีอำนาจ แค่อยากมาทำงานให้บ้านเมือง

ผมไม่จำเป็นจะต้องเข้าข้างฝ่ายใด หากคุณอยากให้ผมไปอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ขอให้เลือกพรรคฝั่งนั้นเลยดีกว่า ผมไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ ผมผิดด้วยหรือที่ไม่ได้เข้าข้างใคร?

ผมเป็นหัวหน้าพรรครักประเทศไทย และผมไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคุณสุเทพ ที่ไปบุกโน่นปิดนี่ จัดตั้ง "สภาประชาชน" เพราะมันไม่ถูกต้องตามกติกา
ผมต่อต้าน พรบ.นิรโทษกรรม แต่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งนายกฯมาตรา 7 ผมเห็นด้วยที่คุณสุเทพออกมาต่อสู้ข้างนอก มันเป็นความกล้าหาญ ประกาศตัวตนชัดเจน และเป็นสิทธิของคุณสุเทพ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับ "ทางลัด" ที่เริ่มก้าวออกห่างจากคำว่า "ประชาธิปไตย"

กติกามันมีอยู่ว่า เมื่อบ้านเมืองเดินไม่ได้ นายกฯต้องลาออก หรือไม่ก็ยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง พรรคการเมืองต้องใช้นโยบายมาต่อสู้ตอนหาเสียง เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเลือก ตามวิถีทางประชาธิปไตย

แต่วิธีการของคุณสุเทพ เป็นการอ้างอำนาจของประชาชนเพื่อขับไล่รัฐบาล และนำอำนาจนั้นมาอยู่กับตัวเอง จัดตั้งสภาประชาชนด้วยตัวเอง แบบนี้ผมไม่เห็นด้วย

ผมมีอุดมการณ์ของผม ผมจึงตั้งพรรครักประเทศไทย ผมกับคุณอาจมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณกับผมจะเป็นศัตรูกัน

==(ไร้)จุดยืนของ นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ===
ลองอ่านดู ..

เช็คบิลล์ร้านอาหาร...คุณนั่งไล่ดูที่ละรายการเพราะกลัวเค้าคิดค่าปูผัดผงกระหรี่ที่ไม่ได้เสริฟหรือเปล่า (ขอร้อง...อย่ามามั่วกะฉัน!)
แม่ค้าทอนเงินขาดแม้ไม่กี่บาท...คุณก็ขอคืน (ตั้งใจหรือเผลอเนี่ย!)
คนที่ทำงานแอบฝากตอกบัตรกันประจำ...คุณรีบบอกเจ้านาย ( ไม่ได้ขี้ฟ้อง แต่ฉันรักความยุติธรรม!)
คาดโทษลูกชายไว้ มันยังทำอีกไม่เกรงกลัว...มีหรือคุณจะไม่จัดการ (คำสั่งพ่อมันไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่มั้ย?)
เฮ้ย...คุณทำถูกแล้ว คุณรักษาความถูกต้อง คุณปกป้องสิทธิ์ คุณไม่ได้ผิดหรือเห็นแก่ตัว....ผมนับถือคุณโคตรๆ

แต่ผมงง...

มีคนหลอกให้คุณเป็นหนี้นับแสนๆล้าน
มีคนตอกบัตรแทนในภาระที่สำคัญสุดๆต่อประเทศ
มีคนเอาเงินคุณไปใช่มหาศาลโดยห้ามคุณรู้อะไร
มันทำผิดมากมายแต่ไม่ยอมรับโทษ แต่บังคับคุณยอมรับกฎระเบียบ
คุณที่รัก...ทำไมคุณยอมรับได้? คุณทำใจได้? คุณเงียบเป็นเป่าสาก คุณไม่ขยับปากแม้สักแอะ !!!!!
ที่เด็ดกว่า...คุณดันไปด่าคนที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้องว่า โง่ ถูกหลอกใช้ สร้างความวุ่นวาย เอ๊ะ ผมงง หรือคุณงง มันมีอะไรผิดๆอยู่นะครับ

วันนี้ประชาชนทั้งประเทศกำลังต่อสู้กับความถูกต้อง มีคนทำผิดใหญ่หลวง มีคนเอาเปรียบหน้าด้านๆ มีคนโกงเราโกงลูกเรา มีคนจะทำความชั่วให้เป็นความถูก และข่มขืนให้เรายอมรับ !!!!
วันนี้มันไม่ใช่แค่ประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทย วันนี้คนไทยก้าวข้ามการเมืองเละๆไปแล้ว เรากำลังต่อสู้เพื่อความดี ความถูกต้อง ความสวยงามแบบที่เมืองไทยเคยเป็น และควรเป็น...เพื่อเรา เพื่อพ่อแม่เรา เพื่อลูกเรา

วันนี้คนทั้งหลายกำลังทำสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง แบบที่ครั้งหนึ่ง..คุณก็เคยทำที่ร้านเซเว่นหรือที่ร้านอาหารนั่นแหละครับ เพียงแต่วันนี้...
เราทำที่...ประเทศไทย


Saturday, November 2, 2013

ทำนายนิสัยผู้หญิงตามวันเกิด

ทำนายนิสัยผู้หญิงตามวันเกิด

ผู้หญิงวันอาทิตย์ = ผู้หญิงที่เกิดวันนี้มักมีความปรารถนาในอารมณ์และจิตใจที่เกินอารมณ์ของบุคคลธรรมดา อาจจะอธิบายได้อย่างเข้าใจได้เด่นชัดก็ตรงจุดที่ว่าเป็นคนที่มีความคิดโลดแล่นและรวดเร็วใจร้อน และเจ้าอารมณ์สูงอยู่เหมือนกัน บางทีคิดจะทำอะไรก็โลดแล่นก้าวไกลอย่างรวดเร็ว บางทีก็ใจ เย็นชาไม่มีอารมณ์ทำอะไรได้เลยก็มีความคิดความอ่านก็มักจะรุดหน้า และพัฒนาด้วยความ ฉลาดที่แตกฉานของตนเองเป็นส่วนใหญ่ วัยเด็กเป็นคนที่มีชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในครอบ ครัว บ้างก็จนก็รวยได้ทันที บ้างที่รวยก็ล้มล่มจมได้ทันทีเช่นกัน เพราะดวงดาวเกี่ยวกับธาตุนิสัย ของตนเองนั้นเป็นดวงดาวที่มีความร้อนรุ่มอยู่บ้าง ชอบการศึกษาและศาสตร์อันเร้นลับมีความ เชื่อและศรัทธาในอำนาจที่เร้นลับเป็นอย่างมาก ธาตุของหัวใจเป็นหินจึงมักเป็นคนที่ใจเค็ม และ ช่างตระหนี่คนหนึ่งเหมือนกัน

ผู้หญิงวันจันทร์ = ดวงอังคารเป็นดาวสงครามอารมณ์ ทำให้คุณที่เกิดวันจันทร์มักจะเป็นคนมีอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย เจ้าอารมณ์และโกรธง่ายหายเร็ว เวลามีพลังอารมณ์โกรธจะเอาจริงเอาจังที่ สำคัญ ตอนช่วงนั้นใครใกล้ชิดควรจะรู้จักเงียบเสีย เรื่องก็จะสงบจบเร็วขึ้น อารมณ์ดูเหมือนเรียบ สงบนิ่ง แต่จะเป็นคนที่คิดมาก กังวลสงสัยบ่อยจนทำให้รู้สึกรำคาญตัวเอง ผู้หญิงที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนช่างเจรจา และมักเป็นคนชอบอ้างเหตุผลร้อยแปดหากต้องการให้คนเคียงข้างสยบเข้าใจ ตัวเอง วาจาอ่อนหวานและมีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางใบหน้าได้ชัดเจน เป็นคนสนใจเรื่อง งานศิลปะ แต่หนักไปทางการวิจารณ์มากกว่าการปฏิบัติ เด็ดเดี่ยวและเชื่อมั่น จึงเป็นคนที่ต้อง ระวังว่าการตัดสินอะไรก็ตามด้วยอารมณ์โกรธ และหูเบาจะนำความหายนะมาให้ตนเองเสมอ มีเสน่ห์คนรักและเมตตามาก วัยเด็กจึงเป็นคนที่ได้รับการเลี้ยงดูเอาอกเอาใจ ระวังหากไม่ ได้ดั่งใจจะทำให้ตนเองหมดเสน่ห์ด้วยอารมณ์ได้ ชอบการเดินทางและการท่องเที่ยวเป็นพิเศษช่าง พูดและออดอ้อนเก่ง จึงเป็นที่รักของผู้ใหญ่มาก อย่าปล่อยให้อารมณ์เอาแต่ใจตนเองสิงในจิตใจ มากนัก โตแล้วจะแก้ไขลำบาก แม้ว่าภายนอกจะดูอ่อนโยน แต่ในจิตใจเป็นคนมีทิฐิมาก หาก มากเกินพอดี ย่อมเกิดผลเสียกับตนเอง อุปนิสัยที่น่าสังเกตเป็นพิเศษของผู้หญิงที่เกิดวันจันทร์ก็ คือเป็นคนเจ้าชู้เงียบ ชอบแอบมองคนที่ตรงสเป็คมากหน้าหลายคนเมื่อมีโอกาส แต่มีพฤติกรรม เป็นคนอนุรักษ์นิยม โบราณมากกว่าที่คนอื่น ๆ จะคิด

ผู้หญิงวันอังคาร = แม้ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงที่เกิดวันอังคาร แต่ดาวพุธมาเล็งบนพื้นฐานอุปนิสัยของคุณด้วย ทำให้คุณมีลักษณะเป็นคนโลเล สับสน และเป็นคนเปลี่ยนแปลงอารมณ์ในการตัดสินใจแนวทาง ชีวิตของตัวเองอยู่เสมอ ช่างวิตกกังวลบางครั้งเครียดเป็นอาจิณ เป็นคนทรนง ต่อสู้ ภายนอกดู เหมือนจะเป็นคนอ่อนแอ แต่ภายในจะเป็นคนเอาจริง สู้ไม่ถอย พลังของดาวแห่งราศีชีวิต ทำให้ คุณเป็นคนฉลาด ช่างพูด และมีแววเป็นคนไม่ยอมคน มาตั้งแต่วัยเยาว์ ผู้หญิงที่เกิดวันอังคารไม่ ว่าจะกี่โมงกี่ยามก็ตาม จะเป็นคนมีอุปนิสัย จริงจังชัดเจน และเป็นคนที่ให้โอกาสคนผิดอยู่เสมอๆ ใจอ่อนทำให้เสียการปกครองในการทำงาน และมีเมตตามากจนเกินไป สำหรับคนที่ทำให้คุณบาด เจ็บ หลายต่อหลายครั้ง แต่ยังไม่รู้จักจำ อันนี้จะต้องระวังและให้เป็นคนมีเหตุผล ทำตามเหตุผล มีสติทุกครั้ง หากทำตามอารมณ์จะเป็นคนอ่อนไหว และเสียรู้คนรอบข้างเสมอๆ ชีวิตเมื่อวัยเด็กเป็นคนดื้อ และดันทุกรัง ไม่ยอมใคร แม้ว่าจะมีท่าทีที่เงียบเหมือนตั้งใจฟัง คำสอน แต่ลึกๆ ดวงตาจะบอกเสมอว่า ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ฟัง ฉันจะไปฉันจะทำในสิ่งที่ฉันฝัน ทำให้ เป็นคนที่ต้องเผชิญทุกข์หรือมรสุม ด้วยสองมือของตัวเอง จึงรู้สึกว่าคำเตือนมีผล การเลี้ยงดูผู้ หญิงที่เกิดวันอังคาร พ่อแม่อย่าไปห้ามเสียทุกอย่างจะเลี้ยงยาก จะต้องให้เธอลองบ้าง แล้วค่อย มาเตือนว่าเห็นไหม เหตุผลที่ห้ามก็ไม่อยากให้หล่อนต้องล้มและทรุดลงนั่นเอง มีความฝันและ จินตนาการ ชอบอิสระ และทำงานที่มีหนทางแห่งความฝัน อยากเป็นใหญ่ บางทีหากกิเลสตรงนี้ มันมากเกินวาสนา คุณจะเป็นคนที่น่ากลัว เพราะว่าทำได้ทุกวิธีเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ระวัง … โดยทั่วไปเป็นคนที่ชอบความสวยงาม และชอบการแต่งตัวให้เนี้ยบก่อนไปกรุยกรายสู่สังคม เสมอๆ ลำบากตอนวัยเด็ก และเป็นคนที่จะต้องประสบโชคร้ายดีอย่างรุนแรงเสมอในชีวิต ยามดีก็ ดีจนน่ามหัศจรรย์ ยามตกต่ำก็น่าช็อคตกใจ…

ผู้หญิงวันพุธ = ดาวพุธเป็นดาวแห่งราศีชีวิตคุณ ส่งผลให้ผู้หญิงที่เกิดวันพุธเป็นคนที่มีไหวพริบ เรียนรู้เร็ว และเป็นคนที่ชอบการพบปะผู้คน ช่วยเหลือ โอบอ้อมอารี มีน้ำใจมากคนหนึ่ง โดยทั่วไปจะชอบ การแต่งตัว รักสวยรักงาม มากกว่าวันอื่นๆ เพราะดาวแห่งราศีเป็นเทพีแห่งความงดงาม และการ สร้างสรรค์ ด้วยความเป็นคนที่เชื่อมั่นในความดีผู้หญิงวันนี้ จึงเป็นคนที่ช่วยตัวเอง ในการทำงาน สร้างฐานะ หรือว่าเจรจาพาทีในการทำงานได้ดีมากคนหนึ่ง ที่ เห็นชัดก็คือ เป็นคนชอบสังเกต และ วิเคราะห์ คิดละเอียดต่อสิ่งที่ตัวเองสัมผัส หากมีพลาดบ้างก็ตรงที่ว่าเป็นคนไว้ใจคนง่าย และเชื่อ ใจให้อภัยคนเกินไป ผู้หญิงราศีใดก็ตามที่เกิดวันพุธ มักจะเป็นคนสองอารมณ์เสมอ นั้นก็หมายถึง ว่า บางอารมณ์ก็อ่อนหวานมีเมตตา และเกื้อกูลมากมาย แต่ยามไม่พอใจ หรือว่ามีสิ่งกระทบใจ จะเป็นคนที่ปล่อยวางได้ทันที เป็นผู้หญิงมีทั้งความอ่อนหวานและเด็ดขาดในตัวเอง ให้สังเกตดูนะ ครับ อย่างไรก็ตาม คุณเป็นคนที่อยู่เฉยๆไม่ได้ ในตลอดชีวิตจะต้องหาเรื่อง หรือหางานทำอยู่ร่ำ ไป เพราะกลัวจะเป็นคนที่ไม่มีคุณภาพ ชีวิตเริ่มต้นด้วยการต่อสู้ หรือว่าเป็นคนที่มาจากฐานะแห่ง ชีวิตปานกลาง แต่จะสร้างตัวเองได้ด้วยตนเอง อย่างภาคภูมิใจ วัยเด็กเป็นคนที่ติดพ่อมากกว่าแม่ แต่ในที่สุดก็จะต้องดูแลแม่ในบั้นปลายชีวิต ชอบความร่มรื่นและชื่นเย็น อยู่ใกล้น้ำ หรือในที่ร่มๆจะ ถูกใจมากเป็นพิเศษบางคนความรู้ไม่จำเป็นต้องมีปริญญา แต่ภูมิปัญญาของตนเองพัฒนาได้ อย่างรวดเร็ว มักมีบริวารหรือเพื่อนรอบข้างมาก ที่ต้องระวังสำหรับผู้หญิงเกิดวันพุธเช่นกัน แต่เป็น เวลาหลัง 18.00 น. ตกวันพุธกลางคืน จะเป็นคนที่มีทั้งความเป็นคนดีมีเมตตา กลายเป็นนางยักษ์ ที่โหดร้ายได้เหมือนกัน อันนี้มันมาจากอิทธิพลของเวลาแห่งการเกิดนั้นเอง....

ผู้หญิงวันพฤหัส = แม้ว่าดาวแห่งอำนาจของคุณ จะเป็นดาวที่ส่งผลให้คนทั่วไป มีพลังความอดทนและต่อสู้เพื่อความสำเร็จ แต่สำหรับดวงชะตาของผู้หญิงที่เกิดวันพฤหัสบดีอย่างคุณ อำนาจของ"ดาวพฤหัสบดี" เป็นดาวที่เล็งแล้วเกิดอิทธิพลทั้งด้านบวกและลบให้แต่ละช่วงของชีวิตแตกต่างกันไป ทำให้ลักษณะนิสัยของผู้หญิงที่เกิดวันนี้ จะต้องทำนายด้วยการเพ่งมองอิทธิพลดาวจันทร์เป็นหลัก และเสริมด้วยกำลังของดาวพฤหัสบดีจึงจะชัดเจน บ่งชัดเจนว่านิสัยของผู้หญิงที่เกิดวันนี้ เป็นคนที่มีความอดทน บากบั่น และต่อสู้กับความ ยากลำบากได้เป็นอย่างดี เหนื่อยกายสำหรับคุณเป็นเรื่องไม่เคยท้อแท้ แต่คุณจะแคร์ความเหน็ดเหนื่อยทางจิตใจมากที่สุด อิทธิพลดวงดาวส่งผลให้ดวงชะตาคุณ ต้องเกิดขึ้นมาท่ามกลางคำถามมากมาย ความสับสนกับเรื่องภายในครอบครัว และคนใกล้ชิดจะเกิดขึ้นเสมอ ๆ ความอบอุ่นที่คุณเรียกร้องข้างในจิตใจ ก็เป็นสิ่งที่อ้างว้างและแสวงหาอย่างโหยหิว อยู่ตลอดเวลา แม้บางคนจะโชคดี เกิดในวงศ์ตระกูลมีทรัพย์มาก แต่ขาดความร่ำรวยทางหัวใจแน่นอน ในวัยเยาว์ของคุณ คุณเป็นคนชอบอาสา หรือว่าเป็นคนมีน้ำใจ สม่ำเสมอในการอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคม ทำให้เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ต้องแก้ไขบ้างก็คงจะเป็นเรื่องของการอดทนในการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น โดยแท้แล้วคุณจะเป็นชอบพูด ช่างเจรจาให้คนอื่นฟังคุณมากกว่า แต่ขาดการพิจารณารับฟังจากผู้อื่น ระวังโตขึ้นจะเป็นคนที่หูเบา ระแวงง่าย และนิสัยเช่นนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายในจิตใจทั้งด้านการทำงานและครอบครัว หากไม่ระมัดระวังปรังปรุงตั้งแต่วัยเยาว์ของชีวิต เป็นคนที่มีความมานะแม้ยากจนในวัยเยาว์ แต่จะดิ้นรนสร้างตัวจนได้ดีและประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของตนเอง หากลดความเป็นคนขี้บ่น จู้จี้ลดบ้าง จะเป็นคนที่มีพร้อมทั้งสติปัญญา ความอดทน และความสง่างามอย่างพอดีทีเดียว สิ่งที่จะช่วยแก้อิทธิพลของดาวพฤหัสบดีที่ส่งผลกับดวงชะตาด้านนิสัยของคุณก็คือ การฝึกสมาธิหรือการใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อทบทวนสิ่งที่ผ่านมาในแต่ละวัน อย่างมีสติปัญญา คุณจะคลายความฟุ้งซ่านของชีวิตลงได้บ้าง เพื่อความสุขของตัวคุณเอง

ผู้หญิงวันศุกร์ = ดาวศุกร์ เป็นดาวที่ส่งอิทธิพลอย่างเต็มดวงกับเรื่องของอุปนิสัย และลักษณะของชีวิตพื้นฐานของผู้หญิงที่เกิดวันนี้ อำนาจของดาวศุกร์จะเป็นอำนาจแห่งศิลปะ และความรอบรู้ ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีพลังสังหรณ์ แต่ต้องมีสมาธิ และมีความสงบเงียบเป็นพื้นฐานด้วย คุณจึงสามารถจะคาดการณ์ ความคิดของผู้สนทนาร่วมด้วย ว่าเขาคิดอย่างไร ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ผู้หญิงที่เกิดวันศุกร์ เป็นคนที่มีความฝัน และ เดินไปตามความต้องการ และปรารถนาของจินตนาการตัวเอง ด้วยความมั่นใจ เป็นคนมีเสน่ห์และอ่อนหวานได้อย่างจับใจ ยิ่งกว่านั้นคุณยังเป็นคนที่มีวาจาเฉลียวฉลาด ใช้คำพูดชัดเจน และมีความหมายเสมอ มีเพื่อนฝูงและมนุษย์สัมพันธ์ค่อนข้างดี แต่ระวังอารมณ์ที่ฉุนเฉียวหรือว่าร้อนอย่างวูบวาบ ก็เกิดขึ้นบ่อย ๆ เช่นกัน ทั่วไปผู้หญิงที่เกิดวันนี้ จะเป็นคนที่ดิ้นรน และต่อสู้ แม้ว่ามีความทุกข์และยากลำบากเพียงใดก็ตาม แต่ไม่เคยท้อแท้ หากว่าได้รับความเข้าใจจากคนรอบข้างที่ใกล้ชิด คุณจะทรุดหรือหมดกำลังใจ ก็ต่อเมื่อคุณรู้ว่าคนที่ใกล้ชิดของคุณ ไม่เข้าใจคุณเท่านั้นเอง เป็นคนที่กล้าได้ กล้าเสีย มีน้ำใจ เมื่อวัยเยาว์เป็นเด็กที่ช่างสังเกตอยากรู้อยากเห็นมาก และมักจะมีความน้อยใจในชะตาชีวิตตัวเองบ่อย ๆ ซึ่งไม่ควรจะสะสมอย่างยิ่ง เพราะบางสิ่งเป็นเรื่องไร้เหตุผล หากสะสมมากเกินไป ก็ย่อมเป็นอารมณ์กดดันเมื่อโตขึ้น ดาวศุกร์แม้ว่าจะส่งผลให้เทพแห่งความรักโอบกอดคุณไว้ในความอบอุ่นก็ตาม แต่ต้องระวังดาวราหูซึ่งมักจะมาแทรกดวงคุณ อันเป็นศัตรูของดาวศุกร์อย่างหนักดวงหนึ่ง ทำให้อารมณ์ของคุณโผงผาง ฉุนเฉียวง่าย และเป็นคนปากร้าย แต่จิตใจดีงามเหลืองาม....

ดวงวันนี้ของผู้หญิงวันเสาร์ = ดาวที่ส่งอิทธิพลต่อดวงชะตาชีวิตของคุณ ตั้งแต่เมื่อแรกเกิดจนกระทั่งดวงชะตาชีวิตสู่เส้น ทางการต่อสู้ การฝ่าฟัน ความสุขและความสำเร็จ สำหรับผู้หญิงที่เกิดวันเสาร์นั้น นอกจาก “ดวง เสาร์” ดวงแห่งอำนาจในเจ้าเรือนแล้วยังมีดาว “จันทร์” เป็นดาวที่เล็งกับดวงชะตาพื้นของคุณด้วย อำนาจของดาวเสาร์และดาวจันทร์ ทำให้คุณเป็นคนตื่นตัวและเป็นคนมีไหวพริบ และความทรงจำดีเป็นพิเศษ ผู้หญิงที่เกิดวันเสาร์นอกจากเป็นคนฉลาด และช่างสังเกต และโตเกินกว่าวัยของตนเองแล้ว ยังเป็นคนที่รับผิดชอบตนเองได้อย่างดี เป็นคนมีความฝันและมักจะวาดวิมานใน ความฝัน อย่างสวยงาม ไม่ท้อหากว่ามันล้มละลาย คุณจะแกร่งและลุกขึ้นมาเพื่อจะสร้างความฝันให้ เป็นจริงใหม่ให้จงได้ ลักษณะของดาวเสาร์ทำให้คุณเป็นคนซุกซน และระวังจะมีตำหนิ อาทิ แผล เป็น หรือว่าไฝปานในที่สำคัญ ๆ อย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เป็นคนใจร้อน และชอบความซื่อสัตย์ และ จริงใจ หากใครก็ตามคิดว่าจะคบหาผู้หญิงเกิดวันเสาร์ จำไว้ว่าคุณจะต้องเป็นคนจริงใจ และเป็น คนชัดเจน คุณจะสามารถเอาหัวใจของเธอมาครองได้ อุปนิสัยเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่ด้วย ความเป็นคนใจอ่อนมีเมตตาสูง จึงมักเสียเปรียบคนที่คอยจ้องล่าผลประโยชน์จากคุณอยู่เสมอ ๆ วัยเยาว์เป็นคนที่มีความเก่ง และฉลาด เห็นได้ชัดว่ามีแววของคนที่จะเติบโตเป็นคนที่ มีความสามารถในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ด้วยความที่คุณเป็นคนค่อนข้างพูดจา ตรงไปตรงมา หรือว่าเป็นคนชัดเจน ทำให้คุณจะเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัวบ้าง หรือว่ามีเพื่อนสนิท น้อยคน แต่รู้ใจกัน ดาวจันทร์ เป็นดาวแห่งความเมตตา และแสงแห่งความนิ่มนวล ทำให้คุณเป็น คนที่มีจริตความเป็นผู้หญิง อันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เพศตรงข้ามสนใจเป็นอย่างดีทีเดียว งานฝีมือหรือ งานเกี่ยวกับอาหารการกิน ผู้หญิงที่เกิดวันเสาร์จะเป็นคนที่มีความสามารถ หรือว่าพอจะโชว์อวด เขาได้บ้างไม่มากก็น้อยแหละครับ อารมณ์อันร้อนแรง ชัดเจน ทำให้คุณดูภายนอกอาจจะเป็นคน ที่ใคร ๆ ก็บอกว่า ท่าจะเป็นผู้หญิงเย่อหยิ่งจองหอง แต่เมื่อได้มาสัมผัสมาคบหาแล้วจะรู้ว่า คุณ เป็นผู้หญิงที่น่ารัก และเป็นคนที่มีน้ำใจงามมากคนหนึ่งเลยทีเดียว บางคนชีวิตในวัยเยาว์ จะต้อง ยากลำบาก หรือว่าอยู่ในอุปถัมภ์ของญาติผู้ใหญ่ จึงเป็นคนแสวงหาความอบอุ่นจากคนรอบข้าง อยู่เสมอ ๆ จากอำนาจของดาวเสาร์และดาวจันทร์ที่สัมพันธ์ส่งผลกัน ทำให้ดวงชะตาของคุณ เป็น คนที่มีสองอารมณ์อยู่ในคน ๆ เดียวกัน บางอารมณ์ก็อ่อนหวาน และเยือกเย็น บางอารมณ์ก็จะ โผงผาง ชัดเจน ตรงไปตรงมา สุดแต่ว่าใครจะอยู่ในสถานการณ์ของชีวิตช่วงไหน

Friday, August 30, 2013

ปลาทูไหม้ สอนคติธรรม

สอนคติธรรม จาก ปลาทูไหม้

"แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน ปลาทูไหม้ตัวเดียว ไม่เคยทำร้ายใครหรอก
แต่คำพูดว่ากัน ต่างหากที่จะทำร้ายกัน"....

แม่ของผมชอบทำอาหาร...
คืนหนึ่งหลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน
แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราปกติ
ที่โต๊ะอาหาร แม่วางจานที่มีปลาทูที่ไหม้เกรียมบนโต๊ะต่อหน้า พ่อ และทุกๆคน....

ผมรอว่าแต่ละคนจะว่าอย่างไร...
แต่...พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตา กินปลาทูไหม้ตัวนั้น
และหันมาถามผมว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

คืนนั้นหลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า
ได้ยินแม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูไหม้...
และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย
"โอย...พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ...อร่อยมากจ้ะแม่"

คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจก่อนนอนถามพ่อว่า
พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ จริงๆ เหรอ
พ่อลูบหัวผม และ ตอบว่า...
"แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน ปลาทูไหม้ตัวเดียว ไม่เคยทำร้ายใครหรอก
แต่คำพูดว่ากัน ต่างหากที่จะทำร้ายกัน"

"ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ
และแต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ
ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ"

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยจำวันเกิดภรรยา วันครบรอบวันแต่งงาน
ทั้งตัวเองและลูกก็ไม่เคยฉลองหรือแม้แต่ทำบุญวันเกิด

แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้ ในช่วงชีวิตคือ...
การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น
และการเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคล
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างชีวิตครอบครัวที่มีความสุขและยืนยาว

ชีวิตเราสั้นเกินกว่าจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจที่ว่า
เราทำผิดกับคนที่เรารัก และ รักเรา
ดูแล และทะนุถนอม คนที่รักคุณ
และเข้าใจในคนที่ไม่ชอบคุณจะดีกว่านะครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับชีวิตนะครับ
เพราะชวิตคนเรา....มันมีวันหมดอายุ...

ทำวันนี้...เดี๋ยวนี้...เพื่อวันพรุ่งนี้กันเถอะครับ
☆・゚・:*:・゚☆。。☆,。・:*:・゚☆

(Unknown)
Sudkanung @ร้อย8-พัน9


ปลาทูไหม้ สอนคติธรรม

..

หุงข้าวยังไงไม่ให้บูด

หุงข้าวยังไงไม่ให้บูด

วันนี้แม่บ้านคนไหนที่มีเรื่องกังวลใจหรือกลุ้มใจในเรื่องของหุงข้าวไม่ทันไรข้าวก็บูดเสียแล้ว ซึ่งหลายคนนั้นคิดว่าการที่เราเคยทิ้งข้าวให้บูดคาหม้อครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อไปข้าวที่คุณนั้นหุงอีกก็อยู่ได้ไม่นานแล้วจะบูดอีก ซึ่งความคิดนี้เป็นความจริงค่ะ และเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีเชื้อสปอร์ของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารบูดเสียตกค้างอยู่ในหม้อหุงข้าว แม้ว่าเรานำหม้อมาล้างด้วยน้ำยาล้างจานสูตรฆ่าเชื้อจุลินทรีย์เป็นอย่างดีแล้วก็ตาม เชื้อจุลินทรีย์เล่านี้ก็ถูกขจัดออกไปไม่หมด และวันนี้ผู้เขียนมีเคล็ดลับ หุงข้าวยังไงไม่ให้บูด มาฝากกันค่ะ

วิธีที่ 1 ใส่น้ำส้มสายชูลงไป 1 ช้อนชา แล้วกดหุงตามปกติ ที่ทดลองก็หุงข้าว 2 ถ้วย รสชาติก็ไม่มีอะไรแปลกไป ไม่มีรสเปรี้ยว ข้าวจะอยู่ในอุณหภูมิห้องได้ 4-5 วัน โดยที่ไม่มีกลิ่น ไม่แฉะ ไม่บูด

วิธีที่ 2 นำหม้อที่บูดใส่เกลือ ที่อยู่ในครัว นำมาใส่ในหม้อผสม แล้วทิ้งไว้ประมาณ1-2 ชม.เสร็จแล้ว แล้วล้างหม้อให้สะอาด นำไปหุงเหมือนเดิม ครั้งต่อไป จะล้างหม้อใส่เกลือผสมกับน้ำล้างตามปกติ ประมาณ 2-3 ครั้ง หม้อที่บูดก็จะหายบูด

วิธีที่ 3 ให้ทำความสะอาดหม้อหุงข้าวด้วยน้ำยาล้างจาน และน้ำสะอาดตามวิธีปกติก่อน 1 ครั้ง จากนั้นเติมน้ำเปล่าลงในหม้อหุงข้าวประมาณ 2 ถ้วยตวง และกดปุ่ม Cook เป็นระยะเวลานาน 15 นาที (สำหรับหม้อหุงข้าวขนาดครัวเรือน) การหุงน้ำเปล่่านี้ จะสามารถช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ตกค้างอยู่ได้ และช่วยแก้ปัญหาข้าวบูดเสียง่ายกว่าปกติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อาจใส่เกลือลงไปในน้ำเปล่าที่หุงสัก 1 ช้อนโต๊ะ

เพียงแค่คุณแม่บ้านนั้นลองทำตามวิธีหุงข้าวยังไงไม่ให้บูดที่ผู้เขียนนำมาฝากสัก 1 วิธี แค่นี้ปัญหาข้าวบูดนั้นก็จะหมดไปแล้วละค่ะ
************
Cr:: หุงข้าวยังไงไม่ให้บูด

Monday, August 26, 2013

การแผ่เมตตา(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

การแผ่เมตตา(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

ที่ลพบุรี ข้างร้านวรทัศน์ ตอนเย็นๆ เวลาประมาณ ๑๘ นาฬิกา
จะเห็นคนแก่โบราณ ถือตะกร้าหมาก เดินไปมาหลังร้านที่วัง และที่โรงหนัง
เป็น เจ้าของที่ เห็นกันหลายคน

เขาเลยไปนิมนต์พระมาสวดนักขัตรบ้าง
เอาทราบซัดบ้าง ราดน้ำมนต์บ้าง ยายคนนั้นก็หายไป

ลูกสาวของป้าข้างรานวรทัศน์ ทำงานอยู่ที่องค์การโทรศัพท์
ยังไม่มีครอบครัว เกิดมีอาการผิดปกติตอนบ่าย ๓ โมง

จะมีอาการทำเป็นคนหลังค่อม ทำเป็นนมยาน
พิมพ์หนังสือไม่ได้เลย กวาดโน่น กวาดนี่

มีคนพาไปหาหมอดู และเข้าตรวจที่โรงพยาบาล
หมอก็บอกว่า ไม่มีโรคอะไร

หัวหน้าองค์การโทรศัพท์บอกว่า ให้ไปรักษาให้หาย
ถ้า ๓ เดือนไม่หายให้ออกจากที่ทำงาน

ยายคนนี้เป็นเจ้าของที่ที่โรงหนังหลังร้านวรทัศน์ แก่หลังค่อม
นมยาน ถือกระจาดหมาก ถูกเขาไล่ที่ลพบุรี
เลยไปเข้าลูกสาวเขาที่กรุงเทพฯ วิญญาณอาฆาตนะ

อย่าลืมนะ ถ้าใครพบเห็นอย่างนี้ อย่าไล่นะ
อย่าไปเอาพระมาสวด อย่าเอาน้ำมนต์ราด ขอฝากไว้ “อย่า”

ท่านต้องแผ่เมตตา แผ่เมตตาไปนี่ ผีมันรักท่านนะ
ขอประทานโทษ ไม่ต้องแค่ผี แค่คนหรอก กับสุนัขยังใช้ได้

อาตมาเมื่อสมัยเด็ก จะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ไปลาป้า
มีไอ้โทนตัวหนึ่ง เราไปขว้างหัวมัน
พอเรียนหนังสือจบจากกรุงเทพฯ มาหาป้า
มันเห่าเราคนเดียว เพื่อนไม่เห่า หมายังเกลียดแล้ว ผีจะไม่เกลียดหรือ

ในที่สุด เขาก็รักษาไม่หาย
จึงไปหาพระองค์หนึ่งอยู่ที่ปากน้ำ สมุทรปราการ
นั่งทางในเก่ง แม่กับเตี่ยเขาไปด้วย
พระท่านถามว่า เคยเห็นยายแก่หลังค่อม นมยานไหม เขามาสิงอยู่

พ่อแม่ก็ยังไม่เชื่อใจ ก็ไปหาแม่ชีคนหนึ่งที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ
ก็บอกตรงกันกับพระเลย

จึงถามวิญญาณว่าจะเอาอะไร ไม่อย่างนั้นลูกสาวจะไม่หาย
เพราะเขาเคียดแค้นมาก จะเอาลูกสาวให้ตาย

แม่ชีก็ถาม ได้ความว่า เอาสังฆทาน สิ่งของต่อไปนี้ ไม้กวาด มีด ช้อนส้อม ๒๐ คู่

เขาก็ถามว่า จะเอาไปไหน แม่ชีก็บอกว่า

“ยายคนนี้จะมาอยู่วัดอัมพวัน เขารู้จักหลวงพ่อวัดอัมพวัน
แผ่เมตตาให้ทุกวัน และให้ทานทุกวัน เขาบอกอย่างนั้น”

แม่ชีคนนั้นก็ไม่รู้จักวัดอัมพวันด้วย
เขาบอกว่า เอาไม้กวาด เพราะมาอยู่วัดต้องกวาดวัด
และบอกว่าที่วัดกินข้าวเขาใช้ช้อนกัน

เขาก็เลยพามาเต็มวัดเลย มาถวายสังฆทานและนิมนต์พระอนุโมทนา
ไม้กวาดยังอยู่เลย วัดนี้ดี ผีช่วยกวาดเยอะ คนขี้เกียจจัง

พอถวายสังฆทานเสร็จเรียบร้อย พระอนุโมทนา “พุทธาโภคา....” เรียบร้อย
ลูกสาวหายทันที เดี๋ยวนี้ยังอยู่ ถามร้านวรทัศน์ดูได้ เป็นหัวหน้ากองไปแล้ว

ขอฝากไว้อย่าไปไล่ผีแบบนั้นนะ ต้องแผ่เมตตา ขอเสนอแนะว่า ถ้าผีเข้าจริง
เราก็แผ่เมตตาไปแบบเจ้าคุณธรรมกิตติ (สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี)

คาถาว่า “เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง”
ถ้าเชื่อจำไป ขับรถ ผีช่วยเราหมด

ถ้าจะภาวนาเป็นหัวใจ ก็ภาวนาว่า “เมตตา คุณณัง อรหัง เมตตา”

ก็ไม่น่าเชื่อนะ ตอนเช้าอยู่ดีๆ พอบ่าย ๓ โมง ทำเป็นคนแก่ กวาดเหมือนคนแก่
พิมพ์หนังสือไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เป็นสาว ทำนมยานได้ แปลกดี !

"บุหรี่" ยิ่งสูบยิ่งเสี่ยง มะเร็ง-เซ็กซ์เสื่อม-แก่เร็ว-หัวใจ-กระดูกพรุน-อัมพาต ฯลฯ !!!

"บุหรี่" ยิ่งสูบยิ่งเสี่ยง
มะเร็ง-เซ็กซ์เสื่อม-แก่เร็ว-หัวใจ-กระดูกพรุน-อัมพาต ฯลฯ !!!

โทษภัยของบุหรี่นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าร้ายแรง ก่อให้เกิดโรคและความเสี่ยงต่างๆ มากมาย รวมถึงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

โดยโรคที่เกิดจากการได้รับควันบุหรี่นั้น มักจะติดอันดับต้นๆ ของสาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งยังคงทวีความรุนแรงและเพิ่มอุบัติการณ์มากขึ้นทุกวัน

คุณภาพชีวิต (ผู้จัดการออนไลน์) ได้รวบรวมผลกระทบและความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสูบบุหรี่ไว้ ดังนี้

1.เสี่ยงต่อมะเร็ง สารพิษในควันบุหรี่ก่อให้เกิดมะเร็งส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งนอกจากมะเร็งปอดแล้ว

ยังก่อให้เกิดมะเร็งที่ช่องปาก ลำคอ กล่องเสียง หลอดลม หลอดอาหาร เม็ดเลือดขาว ตับอ่อน ปากมดลูก ไต กระเพาะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะได้

2.ผลต่อการตั้งครรภ์และทารก ผู้ที่สูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการเป็นหมัน ตั้งครรภ์นอกมดลูก แท้ง

และยังเพิ่มอัตราการตายในทารก ยอกจากนี้ ลูกที่เกิดจากแม่ที่สูบบุหรี่มักจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ

สำหรับเด็กที่เติบโตในสิ่งแวดล้อมที่พ่อหรือแม่ที่สูบบุหรี่จะมีอุบัติการณ์การเกิดโรคหอบหืด เป็นหวัดบ่อย

หลอดลมอักเสบจนถึงปอดบวม และเพิ่มความเสี่ยงต่อการไหลตาย

3.เซ็กซ์เสื่อม สารพิษในควันบุหรี่จะทำให้เกิดการตีบตันของเส้นเลือดแดงที่ไปเลี่ยงอวัยวะเพศ

ทำให้เลือดไปเลี้ยงได้น้อยลง ประสาทที่ควบคุมเกี่ยวกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ส่งผลให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

4.แก่เร็ว เมื่อสารพิษในควันบุหรี่ถูกดูดซึมผ่านปอดเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระมากมาย

ทำให้เกิดอาการอักเสบและอุดตันของเส้นเลือดฝอยในอวัยวะต่างๆ เลือดจึงไปเลี้ยงได้น้อยลง

ทั้งยังไปทำลายคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแห้งกร้านและเหี่ยวย่นเร็วขึ้น

5.โรคหัวใจ สารพิษมากมายในควันบุหรี่จะทำให้เกิดความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด

ทำให้ไขมันชนิดดีลดลง และไขมันชนิดไม่ดีเพิ่มขึ้น อีกทั้งทำให้เกล็ดเลือดเกาะตัวกันง่ายขึ้น เลือดจะมีความหนืดเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันสารพิษในควันบุหรี่ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของผนังหลอดเลือดขึ้น

6.โรคกระดูกและกล้ามเนื้อ เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน โดยนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่จะไปลดการสร้างกระดูก

และลดการดูดซึมแคลเซียมทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักได้ง่าย และโรคข้อและกระดูก

การสูบบุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบของข้อและกระดูกจากการออกกำลังได้ง่าย รวมถึงการฉีกของเอ็นและกล้ามเนื้อ

ในรายที่กระดูกหักก็จะต่อติดกันได้ยากและทำให้แผลหายช้า

7.ปัญหาสุขภาพช่องปาก ควันบุหรี่จะทำลายเนื้อเยื่อที่ยึดระหว่างเหงือกและฟัน

ทำให้เหงือกร่น เหงือกอักเสบเนื้อตายแบบเฉียบพลัน เสียวฟัน ฟันผุ แผลในช่องปากหายช้า มะเร็งช่องปาก

ความสามารถในการรับรสและกลิ่นลดลง มีกลิ่นปาก มีคราบบุหรี่ติดที่เหงือกและฟัน

8.โรคทางเดินอาหาร เช่น ร้อนใน ผู้ป่วยจะมีอาการจุกหน้าอก

ซึ่งเกิดจากการที่บุหรี่ทำให้หูรูดที่กั้นระหว่างกระเพาะและหลอดอาหารหย่อนตัว กรดจากกระเพาะล้นไปยังหลอดอาหาร

ทำให้เกิดอาการอักเสบ โรคกระเพาะอาหาร บุหรี่ทำให้เกิดการติดเชื้อ Helicobacter pylori (H.pylori_ ได้ง่าย

และโรคตับ เนื่องจากตับมีหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกาย การสูบบุหรี่จะทำให้ความสามารถในการกำจัดของเสียลดลง

9.อัมพาต การตีบตันของเส้นเลือดในสมองเป็นผลจากสารพิษในควันบุหรี่

ถ้าผู้ป่วยรู้ตัวเร็ว เส้นเลือดในสมองตีบแต่ยังไม่ถึงตัน หรือตันแต่เส้นเลือดขนาดเล็ก ผู้ป่วยก็จะเป็นอัมพฤกษ์

แต่หากตันที่เส้นเลือดขนาดใหญ่ก็จะทำให้เป็นอัมพาต

10.มะเร็งปอด เป็นโรคแรกที่ได้รับการประกาศว่าเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่

ซึ่งพบว่ามะเร็งปอดสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ โดยร้อยละ 80-90 ของผู้ที่เป็นมะเร็งปอดมาจากการสูบบุหรี่ และได้รับควันบุหรี่มือสอง

และ 11.ถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่คนสูบบุหรี่เป็นมากที่สุด เพราะปอดเป็นอวัยวะที่ได้รับควันบุหรี่มากที่สุด

โดยสารพิษจากควันบุหรี่ก่อให้เกิดการอักเสบแก่อวัยวะต่างๆ ของหลอดลมและเนื้อปอด

ซึ่งเนื้อเยื่อปอดส่วนปลายสุดที่เป็นถุงลมขนาดเล็กจะค่อยๆ ถูกทำลายโดยควันบุหรี่ ทำให้มีอาการเหนื่อยง่ายขึ้น เนื่องจากเนื้อปอดถูกทำลายไป

CR:: ข้อมูลจากหนังสือ “บุหรี่ภัยร้ายทำลายคุณ” หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต

สาขาเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์ โรงเรียนเวชนิทัศน์พัฒนา

สถานเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

::"บุหรี่" ยิ่งสูบยิ่งเสี่ยง 
มะเร็ง-เซ็กซ์เสื่อม-แก่เร็ว-หัวใจ-กระดูกพรุน-อัมพาต ฯลฯ !!!

"ก่อนแม่จะสิ้นลมหายใจ" :: เรื่องจริง


อ่านจบช่วยแชร์ด้วยครับ.... ขอบคุณ


** "ก่อนแม่จะสิ้นลมหายใจ"

บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยืยนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้ว เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่ เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็กๆ ที่สมภารเจ้าอาวาส อดีตนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผม ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธาถวายท่านมาปลูกสร้าง เพื่อให้ผู้เฒ่า ผู้ชรา ได้มาพักอาศัยยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง มีโยมผู้หญิงวัยกลางคน ไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลก มาบำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบ พร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้น แวะเวียนผลัด เปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแลผู้ชราทั้งหญิงชาย ที่ถูกทอดทิ้งรวม13 ชีวิต

ค่าจ้าง คนดูแล น้ำ ไฟ เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลาอาหาร สมภารใจดี อดีตนักเรียนช่างกล ที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516เหมาจ่าย คนเดียว โดยไม่เคยพิมพ์ฏีกาเรี่ยไรใคร พูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับผมควักเงิน 500 บาทใส่ซอง ถวายท่านเป็นค่าใช้ จ่าย ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ ชวนผมเดินลงจากศาลา ไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้น เปิดนรกบนดินอีกขุมหนึ่ง ให้คนบาปอย่างผม มีดวงตาเห็นธรรม โดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใดๆ

หญิงชรารูปร่างเล็ก ผิวสองสีบอบบางทอดกาย เหยียดตรงบนเตียงเล็กๆ แต่สะอาด มีผ้าห่มผืนบางๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบาๆ ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อยหน่าย แม่เฒ่าพยายามยกมือขึ้นประนมไหว้ เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตาเปล่งวาจา ถามไถ่อาการ และให้ศีลให้พรเบาๆ แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ หยาดน้ำตาแห่งความปิติ ท่วมท้นดวงตาสีขาวขุ่น แล้วค่อยๆ ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตา ที่เหี่ยวย่นบนใบหน้า เวทนาบังเกิดจนผมต้องเบือนหน้าหนี ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่

เรื่องราวทั้งหลายในอดีตยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ เหมือนเพิ่งเกิด เมื่อวาน.......

แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน

60 ปี ที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ในระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด สามี ของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกินค่า แรงรายวัน โดยแม่เฒ่ารับจ้างทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น สามารถสร้างหลักฐาน จนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ แต่สามีก็ยังทำงานหนัก ไม่ยอมพัก หวังจะฟูมฟักลูก 3 คนให้อยู่อบอุ่น กินอิ่ม โดยไม่ต้องลำบาก ช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้ว อยู่บ้านเลี้ยงลูก 3คน ที่อยู่ในวัยซวนไล่เรียงตามลำดับ เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบ สามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ตื่น มาร่ำลาหมอที่โรง พยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิดเป็นร้านค้าโชห่วย ขายของสารพัดชนิด อดทนอด ออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียน จนจบปริญญา ครอบครัวอบอุ่น พี่น้องรักใคร่กันดี ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหัก ดั่งหนึ่งคนละสายเลือด

ลูกชายคนโตแต่งงานไปกับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่า ไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่งงาน สมบัติที่มี แม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทอง ตามที่สะใภ้ต้องการ ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคน แม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสองคูหาสามชั้น ให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดี โดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย

สองปีถัดมา ลูกสาวคนสุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วย ความปรีดา

สัตว์โลกทั้งหลายล้วนเวียนว่ายก่อเกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้าน ไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือน ซักผ้า ทำกับข้าว จัดสำรับคับค้อนตั้งโต๊ะ คอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดปัดถูบ้านช่องเรียบร้อยแล้วจึงได้พักผ่อน ด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิด ที่ซื้อมาทำกับข้าว ต้องถามราคา แล้วยกไปชั่งน้ำหนักราคาสินค้า กับเงินทอนที่เหลือ ต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์ แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่ หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโต เพื่อกินกันแค่สองผัวเมีย แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันละยี่สิบบาท ไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึกๆ ในใจ ไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้นเส่วนเกิน
แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้น เพราะความรักลูก

หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโต ที่เปิดร้านขายทองในตลาด แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้าน สะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอกลัวแม่ผัวขโมยของในบ้านจ ะคุยกับลูกชายนั่น ก็ออกอาการไม่ว่าง ถามคำตอบคำ เหมือนหนามตำโดนโคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่ เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโต ที่ห้อยแขวนพระเครื่องราคาแพง ในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมา ส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส และไม่แม้แต่จะชายตามองแม่เฒ่า ที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย เก้ ๆ กัง ๆ อยู่พักใหญ่ ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโตอย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูก หิ้วถุงผลไม้ ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทาง ก็แวะทักทายคนรู้จักเพื่อรักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่า มันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้างระหว่างทาง

ลูกสาวคนเล็ก ที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่น แทบไม่ต้องพูดถึง เธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่าตั้งแต้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหา เพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัว และพ่อค้าวานิชเข้าพบผัวของเธอ เพื่อขออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูก ก็ควรจะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย แม่เฒ่าไม่เข้าใจ ว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้น ต้องทำอย่างไร แม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดี ลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคน แม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้ม ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมการเป็นเจ้าคนนายคน จึงเหมือนกำแพงชนชั้น ปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่สอง กระทบธุรกิจของสองผัวเมีย จนทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่า ที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้าน ส่งสัญญาณถึงขาลง สองผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุกครั้ง ลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด...


12 มิถุนายน ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับ ปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว แม่เฒ่าจำได้ว่า วัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด แม่เฒ่ารับเงินแล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชัก โดยไม่ระแวงว่า สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่อง ช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อย สองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้าน ช่วยกันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ๆ เคยวาง เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่ จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่า ที่กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่าไม่เห็น ก่อนปักธูปลงกระถาง เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชาย ก็ดังสวนสนั่นบ้าน ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์

ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร แม่เฒ่าให้การไม่รู้ ด้วยซื่อบริสุทธิ์ โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว กว่าชั่วโมงในห้อง แอร์เย็นเฉียบ แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำ ให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้านโดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่า ที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้าน ด้วยความหนาวเหน็บ สายฝนยังสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่าที่บ้าน บ้านซึ่งประตูเหล็กถูกปิดสนิท แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้าน แล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีด กับภาพเบื้องหน้า ที่พื้นหน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่าๆ ยัดแน่นอยู่ในถุง ถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูปและรูปถ่ายของสามี แตกกระจายเกลื่อนกราด หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำของสามี จนเปียกปอนขาดวิ่น แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความรันทดทะลักล้นปนน้ำฝน ปวดร้าว เหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ

แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้องจากสายฝนสุดชีวิต สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณเข้าตลาดไป หยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทองของลูกชายคนโต เหมือนเป็นการบอกลาแล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝน ไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคนเล็ก เก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้าร้องระงม สลับกับเสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาท บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติ ติดตามมาทวงคืน ให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระของสมภารเจ้าวัดตอนตีสามเศษๆ คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนน
เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยใจเมตตา

เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช แม่เฒ่ามักคุ้นกับสมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่ นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต จึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิงเหมือนร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนะทั้งสาม ฟ้าเริ่มขมุกขมัวใกล้ค่ำลงทุกขณะ ผมจำเป็นต้องบอกลาท่านสมภาร และแม่เฒ่า เจ้าของเรื่องราวน่าสลด นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัดเหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคยออกติดตามถามหา จะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัด แต่ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่เงาของลูกทั้งสาม

ผมจากลาออกมา ทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา.. ' แม่จำลูกได้ทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดจนโตจ ะทุกข์จะสุข ก็คือลูกของแม่ แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคนเป็นการตอบแทน ลูกเอ๋ย... เมื่อลูกยังเป็นทารก ทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำนมจากเต้า สองมือน้อยๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหวๆ วันนี้แม่สิ้นแรงแทบ สิ้นใจ จะมีมือของลูกคนไหน เอื้อมมาปิดตาให้แม่ก่อนสิ้นลม....

อ่านจบแล้วจะแชร์ได้ก็ขอบคุณมากๆๆครับ 

"ก่อนแม่จะสิ้นลมหายใจ" 

Cr:: คุณชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา



Sunday, August 25, 2013

วาจาปราชญ์จีน สอนคน

วาจาปราชญ์จีน สอนคน

๑ "ซุนวู"
" ชมคนด้วยวาจา... มีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ
ทำร้ายคนด้วยวาจา... สาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ.."

๒ "ฮั่วหลัวเกิง"
" คนอื่นช่วยเรา... เราจะจำไว้ชั่วชีวิต
เราช่วยคนอื่น... จงอย่าจำใส่ใจ "

๓ "หวังติ้งเป่า"
" มีชีวิตอย่างไร้คุณธรรม... มิสู้ตายอย่างมีคุณธรรม
ได้มาด้วยความคดโกง... มิสู้ยอมเสียอย่างซื่อตรง..."

๔ "ปันกู้"
" น้ำใสสะอาดเกินไป... ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา
คนที่เข้มงวดเกินไป... ย่อมไร้ซึ่งบริวาร "

๕ "หลี่ต้าเจา"
" ความไม่พอใจ... ความกลัดกลุ้มหงุดหงิด ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฮึดสู้มากยิ่งขึ้น ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เราท้อแท้... ห่อเหี่ยวยอมจำนนต่ออุปสรรค์..."

๖ "ปาจิน"
" ในชีวิตของเรา... มิตรภาพเปรียบเสมือนโคมส่องสว่างดวงหนึ่ง... ซึ่งสาดส่องจิตวิญญาณของเราให้สว่างไสว ทำให้ชีวิตของเรามีแสงสีอันงดงาม.."

๗ "หยางว่านหลี่"
" ตัวสกปรกก็คิดจะอาบน้ำ เท้าสกปรกก็คิดจะล้างเท้า แต่ใจสกปรก กลับไม่คิดที่จะชำระใจ..."

๘ "หูหลินอี้"
" สุขสบายเกินไป... เส้นสายก็พลอยหย่อนยาน จิตใจก็พลอยขลาดกลัว"

๙ "ซุนซือเหมี่ยว"
" พูดน้อย กลุ้มน้อย ตัณหาน้อย นอนน้อย... ถ้าสี่อย่างนี้น้อย ก็ใกล้จะเป็นเซียนแล้ว"

๑๐ "ลู่ซู"
" คนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป... เป็นคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด!"

๑๑ "ฟังเสี้ยวหยู"
" ไม่มีอะไรแย่เท่ากับความเย่อหยิ่งอวดดี... ผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ คือ คนที่ดีพอ... ผู้ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว คือ ผู้ที่ดีไม่พอ...!"

๑๒ "จางจื้อซิน"
" ต้องกล้าที่จะมองความจริง... แม้ว่าความจริงอาจจะทำให้เราเจ็บปวดมากๆ"

๑๓ "ซุนยาง"
" ความอิจฉา... เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพ ความระแวงสงสัย... เป็นศัตรูตัวร้ายกาจของความรัก ความรัก... ถ้าปราศจากความซื่อสัตย์จริงใจต่อกันเสียแล้ว ก็ไม่อาจเชื่อถือซึ่งกันและกันได้"

๑๔ "เจิงก่วงเสียนเหวิน"
" ยามมีควรคิดถึงความจน... ยามจนไม่ควรคิดถึงยามมี..!"

๑๕ "เผยสงจือ"
" อย่าทำความชั่ว เพราะคิดว่าผิดนิดเดียว... อย่าละเว้นการทำความดี... เพราะคิดว่าได้บุญกุศลแค่นิดเดียว..."

๑๖ "ซูลิน"
" รู้เหตุผลไม่อับจน รู้กาละไม่ถูกด่า รู้ประหยัดไม่ขัดสน "

๑๗ "เจิงจิ้นเสียนเหวิน"
" ใช้จิตใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น... มาตำหนิตัวเอง...
ใช้จิตใจที่ชอบให้อภัยตัวเอง...ให้อภัยผู้อื่น.."

๑๘ "ก่วนจ้ง"
" ขี้เกียจแล้วยังฟุ่มเฟือย... ย่อมยากจน
ขยันและประหยัด... ย่อมร่ำรวย.."

๑๙ "ขงเบ้ง"
"…สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง ชนะแต่ไม่ลำพอง ปราดเปรื่องแต่รู้จักลงเวที เข้มแข็งแต่มีความอดกลั้น.."

๒๐ "หลี่ปุ๊เหว่ย"
"...ก่อนที่จะเอาชนะคนอื่น... จักต้องเอาชนะตัวเองให้ได้เสียก่อน
ก่อนที่จะว่าคนอื่น... ควรพิจารณาดูตัวเองเสียก่อน
ก่อนหน้าที่จะรู้จักคนอื่น... ควรจะรู้จักตัวเองเสียก่อน.."

๒๑ "เล่าจื้อ"
" ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด... ผู้ที่รู้จักตัวเองเป็นคนมีสติ.."

๒๒ "เหลียงฉี่เชา"
" การตกระกำลำบากเป็นมหาวิทยาลัยชั้นสูงในการฝึกฝนยอดคน..!!"

๒๓ "ขงจื้อ"
" สิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ... จงอย่าทำกับคนอื่น.."

๒๔ "ซือหม่าเชียน"
" คนที่ทำได้อาจพูดไม่ได้... คนที่พูดได้อาจทำไม่ได้.!!"

๒๕ "ซือหม่าเชียน"
" คนเราหนีไม่พ้นความตาย... แต่ความหมายการตายนั้น ไม่เหมือนกัน... บ้างมีค่าหนักกว่าขุนเขา... บ้างไร้ค่าเบากว่าขนนก...!"

สว่างตา... ด้วยแสงไฟ
สว่างใจ... ด้วยแสงธรรม

“ธาตุแท้ของคน ..”

การตรวจสอบ "ชนิด" ของความเป็นมนุษย์ (น่าอ่านครับ)

อับราฮัม ลิงคอล์น (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา)
บอกเอาไว้ว่า....

"ถ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ก็เอา "อำนาจ" ใส่มือเขาดู

และ “ธาตุแท้” ของเขาก็จะปรากฏให้เห็นตัวตนและจิตใจของเขา"

”.... ลิงคอล์น เป็นคนกระจอกมาก ทำงานหนัก แต่ไม่ได้เงินซักบาท ไม่รู้ทำงานไปทำไม ปากบอกว่า ทำเพื่อประชาชน แล้วก็โดนยิงตายฟรีๆ

ลิงคอล์นไม่เห็นร่ำรวยอะไร ทิ้งเงินไว้ให้ลูกเมียสักบาทก็ไม่มี... รัฐมนตรีก็ไม่ได้เป็น .......ลิงคอล์น โง่มากๆ จริงๆ.....”

แหม..ต้องถามเรื่องการเอาอำนาจออกจากมือด้วยครับ
เหมือนอ้อยเข้าปากช้าง


เอาให้เขาแล้ว เขาไม่ยอมคืนจะทำอย่างไรดี

ได้แล้วไม่ยอมวางอำนาจ คิดจะผูกขาดตลอดไปเลย


Cr:: ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์



Wednesday, August 21, 2013

อย่าประมาทชีวิต

เขาอายุเพียง ๕๓, เป็นผู้บริหารสูงสุดของ
บริษัทตรวจบัญชียักษ์ “KPMG” ของสหรัฐฯ,
ได้รับเงินเดือนอันดับต้น ๆ ของสุดยอดนักบริหารมะกัน, กำลังอยู่จุดสูงสุดของอาชีพ...
กำลังเตรียมเดินทางรอบโลก, เตรียมไปร่วมงานวันแรกของลูกสาวขึ้นเรียนชั้นมัธยม,
ทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างเฟื่องฟู
และวันดีคืนดี, หมอก็ตรวจพบว่า
นาย “ยูจีน โอ’เคลลี่” (Eugene O’Kelly)
มีมะเร็งในสมองและอยู่ในขั้นสุดท้ายเสียด้วย

หมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน ๓ ถึง ๖ เดือน
ไม่ต่างอะไรกับสวรรค์อับปางลงต่อหน้าต่อตา,
ความฝันทุกอย่างที่มีสำหรับตัวเองและครอบครัว
พังสลายลงมาฉับพลัน
ยูจีนตัดสินใจว่าเขาจะไม่ยอมนอนรอวันตาย,
เขาตัดสินใจปรับแผนชีวิตเพื่อให้ไม่กี่สิบวันของชีวิต
ที่เหลือมีความหมายที่สุด

ผมรู้จักเขาจากหนังสือ
“Chasing Daylight” (“ไล่ล่าแสงตะวัน”)
ที่ออกขายมาในอเมริการะยะหนึ่งแล้ว
เป็นหนังสื่อที่เขาเล่าชีวิตวันต่อวันจนถึงวันสุดท้าย
โดยมีบทส่งท้ายเขียนโดยภรรยาที่ชื่อ “คอรีนน์”
ซึ่งเป็นทั้งเงาประจำตัวและเป็นพยาบาลตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ที่เล่าถึงนาทีสุดท้ายของชีวิตของสามี
เรื่องราวน่าทึ่งของนักธุรกิจใหญ่ที่ต้องเผชิญกับ
“กำหนดตารางวันตาย” นี้เป็นการบันทึก
“การเดินทางวาระสุดท้าย” อย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว

ภายใต้ชื่อหนังสือนั้น, คนเขียนอธิบายว่ามันคือเรื่องราวส่วนตัวที่เล่าขานอย่างละเอียดละออว่า
“ความตายที่กำลังจะมาถึง
ไปปรับเปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าอย่างไรบ้าง”
“ทันทีที่หมอบอกว่าผมจะมีชีวิตอยู่อีก ๓ ถึง ๖ เดือน,
ผมก็ถามตัวเองว่า “ทำไมช่วงสุดท้ายของชีวิตคนเรา
จะต้องเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุด?”

เขาบอกตัวเองว่าเขาจะทำให้วันเวลาช่วงสุดท้ายก่อนตายนั้นเป็น
“ประสบการณ์ทางสร้างสรรค์ที่ควรจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของชีวิต” ให้ได้
เมื่อมีเวลาไตร่ตรองและพูดคุยกับตัวเองเพียงพอ,
ยูจีนก็บอกว่าถือว่าเป็น “โชคดี” ที่เขารู้ล่วงหน้าว่าจะตาย
เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีเวลาคิดถึงความตายของตัวเองก่อนด้วยซ้ำ เพราะมันมาอย่างรวดเร็ว, กระทันหัน,
และเจ้าตัวตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำไป

หมอบอกเขาว่ามะเร็งในสมองของเขาส่วนนั้นจะไม่ทำให้มีอาการเจ็บปวดมากนัก ความเสื่อมของสมองมาค่อย ๆ มาในรูปของเงามืด สายตาจะพร่ามัว และเมื่อถึงเวลาอาการก็จะทรุดเข้าสู่โคม่า ความมืดของกลางคืนจะมาถึง และเขาก็จะตาย
เขานับนิ้วแล้วว่าจะเหลือชีวิตเพียง ๑๐๐ วัน
เขาย้อนมองชีวิตการทำงานเขาแล้วก็ปลงว่าเขาไม่เคยมีเวลาให้กับครอบครัว, ไม่ค่อยได้กลับบ้านกินข้าวเย็นกับภรรยาและลูก,
แม้ลูกจะอ้อนว้อนขอร้องให้เขาไปร่วมงานโรงเรียนของลูก
เพราะพ่อแม่ของเพื่อนๆ ต่างก็ไปร่วมทั้งนั้น,
เขากลับอ้างว่ามีนัดหมายเรื่องงานการ
ที่ไม่อาจจะไปเป็นเพื่อนของลูกได้

ยูจีนนั่งเสียใจว่าเขาใช้ชีวิตอย่าง
“นักธุรกิจที่ไม่เคยมีเวลาให้กับครอบครัว”
ทั้งๆ ที่เขาอ้างว่าที่เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ,
ต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงขึ้น
และได้รายได้เพิ่มพูนขึ้นนั้น
ก็เพราะเขารักครอบครัว

“ในฐานะซีอีโอของบริษัทใหญ่ที่มีพนักงานถึง ๒๐,๐๐๐ คน, ผมมีสิทธิ์พิเศษมากมาย แต่งานในตำแหน่งนั้นก็กดดันให้ผมต้องทำงานอย่างบ้าเลือด ปฏิทินงานการของผมกำหนดไว้ ๑๘ เดือนล่วงหน้า ผมเคลื่อนไหวด้วยความเร็ว ๑๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมงตลอดเวลา,
ผมทำงานตลอดเวลา, แม้วันสุดสัปดาห์ก็ไม่ได้เว้น,
กลางดึกกลางดื่นผมก็ยังทำงาน,
ผมไม่เคยได้ไปงานโรงเรียนของลูกสาวคนเล็กของผมเลย สิบปีแรกหลังการแต่งงาน ผมไม่เคยไปพักร้อนกับภรรยาเลย...”

แต่เขารู้วันที่เขามีชีวิตเหลือไม่กี่เดือนว่านั่นเป็นข้ออ้างที่เขาไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก
ยูจีนตัดสินใจว่าเขาจะทำให้การจากโลกของเขา
เป็น “ความตายที่ดีที่สุด” เท่าที่จะทำได้
เขาเรียกมันว่า “the best possible death”

เขานั่งลงเขียน “สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย” อย่างนี้
๑. จัดแจงเรื่องกฎหมายและการเงินของตัวเองให้ครอบครัวให้เรียบร้อย
๒. “ร่ำลา” ครอบครัว, เพื่อนสนิท, และเพื่อนร่วมงาน
๓. ทำให้ทุกอย่างที่เหลือของชีวิตเป็นเรื่อง “ง่ายๆ และสบาย ๆ”
๔. อยู่กับปัจจุบันทุกนาที
๕. สร้างและเปิดอารมณ์ให้รับ “นาทีอันสมบูรณ์” (“perfect moments”) ตลอดเวลาจนถึงลมหายใจสุดท้าย
๖. เริ่มต้นกระบวนการ “ผ่องถ่าย” ไปสู่ภาวะถัดไป
๗. เตรียมงานศพของตัวเอง

น่าแปลกว่า สำหรับคนที่ต้องรับการรักษาที่ทำให้ร่างกายต้องผ่ายผอมและสมองทำงานช้าลงไปเรื่อยๆ นั้น,
ยูจีนสามารถทำตามตารางที่วางไว้ให้กับตัวเองเกือบทั้งหมดทุกวัน, เขาจะนั่งลงเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยปากกา
เพราะสมองไม่พร้อมจะให้ใช้นิ้วพิมพ์คอมพิวเตอร์ได้
และลายมือก็เริ่มจะเฉๆ ไฉๆ ไม่เป็นตัวหนังสือแล้ว
แต่เขาก็มีความอดทนและมุ่งมั่นเขียนจนถึงอีกไม่กี่วันก่อนที่จะจากไปโดยมีภรรยาของเขาเป็น “ผู้เขียนร่วม”
เพื่อปิดฉากชีวิตด้วยหนังสือที่เขาเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งชีวิตอันยุ่งเหยิงและวุ่นวายกับการ “สร้างเนื้อสร้างตัว”
หรือ “สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัว” นั้น
จะต้องปิดฉากลงอย่างฉับพลันอย่างนั้น

ยูจีนร่ำลาเพื่อนฝูงด้วยการเขียนจดหมายไปขอบคุณเขาที่ได้เป็นเพื่อนอันแสนดีหรือเพื่อนร่วมกันที่น่ารัก....และบอกด้วยว่า เขากำลังจะจากโลกนี้ไปในเร็ววัน ขอให้เพื่อนได้รับความขอบคุณจากเขาด้วย
หนึ่งในหลายร้อยฉบับที่เขาเขียนอำลาเพื่อนนั้นมีสั้นๆ อย่างนี้

“ดั๊กเพื่อนรัก...
เพื่อนคงได้ยินข่าวแล้ว, สุขภาพฉันย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เพราะเจ้ามะเร็งสมองระยะสุดท้าย ที่ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้มาก็เพื่อจะบอกเพื่อนว่ามิตรภาพของเราตั้งแต่เราเรียนที่ Penn State ด้วยกันนั้นมีความหมายต่อชีวิตฉันอย่างมากทีเดียว
ขอให้เพื่อนโชคดีในชีวิต ขอให้พระเจ้าคุ้มครองเพื่อนด้วย
ยูจีน...”

เขานั่งลงกับลูกทีละคนเพื่อ “พูดจาสั่งลา” กันอย่างสนิทสนม
อยากคุยเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอดีต,หรือสิ่ง ที่เคยทำด้วยกันหรือประสบการณ์อันน่าประทับใจที่เคยใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นการแสดงความอาลัยอาวรณ์,
ไม่จำเป็นต้องเป็นการพูดคุยกันอย่างเป็น “สาระ” เกินไป.
.จะคุยอะไรก็ได้ระหว่างพ่อกับลูก, ลูกกับพ่อ, ผัวกับเมีย, เมียกับผัว...หัวเราะต่อกระซิก, กระเซ้าเย้าแหย่กันได้ก็ยิ่งดี
และสิ่งที่ยูจีนค้นพบที่สำคัญที่สุดก่อนหมดลมหายใจก็คือความสำคัญของการ “อยู่กับปัจจุบัน” หรือ here and now
เพราะตลอดชีวิตของการทำงานนั้น,เขาไม่เคยอยู่กับตัวเอง, ไม่เคยอยู่กับปัจจุบันเลย...มีแต่อดีตกับอนาคต
เมื่อเขารู้ว่าเหลือชีวิตเหลือเพียงแค่ประมาณ ๑๐๐ วัน,
เขาจึงรู้ว่าการ “อยู่กับปัจจุบัน” นั้นมีความหมายอันลึกซึ้งเพียงใด

Cr:: Fb philawan.chaikitkosi

วันนี้เจอกันนี้วันพรุ่งนี้อาจไม่ พระไพศาล บอกว่าคนเราอยู่ใกล้กับภพหน้ามากกว่าวันพรุ่งนี้เสียอีก

สิวบอกโรค

ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผิว จากศูนย์สุขภาพผิวเลียวนาร์ด เดรก มีหลักในการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ Face Mapping ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพผิวที่ละเอียดกว่าการวิเคราะห์ผิวโดยทั่วไป โดยแบ่งส่วนใบหน้า ลำคอ และแผ่นอกออกเป็น 4 โซน

สิวบอกโรค : โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

สิวบอกโรค : โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป

สิวบอกโรค : โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง

สิวบอกโรค : โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

สิวบอกโรค : โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

สิวบอกโรค : โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด

สิวบอกโรค : โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน

สิวบอกโรค : โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด

สิวบอกโรค : โซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง


ดังนั้นลองเช็คตัวเองดูค่ะว่าคุณมีแนวโน้มจะเสี่ยงเป็นโรคอะไรได้จากตำแหน่งที่เป็นสิวในที่เดิมซ้ำๆกันแบบนี้นะคะ

รักษาสุขภาพควบคู่กับดูแลผิวพรรณกันด้วยค่ะ ^^

Cr:: Finale Skincare Fb


Sunday, August 18, 2013

ละครไทย หนังไทย ..

อาจารย์จิตวิทยาท่านหนึ่งพูดไว้วงการหนัง/ละคร/สื่อ ทั้งหลายว่า

"ในประเทศเกาหลี สื่อเขาสร้างหนังที่พระเอกเป็นผู้ชายอบอุ่น โรแมนซ์เพราะสังคมเขา ผู้ชายที่แต่งงานแล้วถือว่ามีสิทธิ์เด็ดขาดในตัวภรรยาและบ้านเมืองเขามีข่าวตบตีภรรยาในครอบครัวสูงมาก ถ้าติดตาม

เขาจึงใช้กลยุทธ์ของ modeling process สร้างค่านิยมใหม่ในสังคมให้ผู้ชายเป็นคนโรแมนติคมากขึ้น นี่คือการสร้างหนังเพื่อปรับพฤติกรรม

แม้กระทั่งในญี่ปุ่น เขาก็สร้างการ์ตูนผู้พิทักษ์ต่างๆ
อุลตร้าแมน ฯลฯ เพื่อให้เด็กซึมซับความยุติธรรม การต่อสู้กับความชั่ว
หรือในประเทศจีน ก็จะมีหนังในทำนองนี้เช่นกัน ...

ย้อนกลับมามองประเทศไทยสิ
ทำไมละครไทยถึงมีแต่เรื่องเดิมๆ เป็นอยู่อย่างนี้มา 50 กว่าปี
พออาจารย์ไปถามผู้จัด ก็ได้รับคำตอบว่า
'เราสร้างละครเหล่านี้เพื่อสะท้อนสังคม'

เราจะไป"สะท้อนสังคม"เพื่ออะไร
เพราะเราสะท้อนมา กว่า 50 ปีแล้ว
และเนื้อเรื่องมันก็วนเวียนอยู่แค่แย่งตบตีกันแค่นั้น
ทำไม เราไม่สร้างละคร "เพื่อนำสังคม" เพื่อจูงใจให้เกิดพฤติกรรมดีๆ ล่ะ
มัวแต่ไปสร้างเพื่อสะท้อนสังคม มันก็ไม่เห็นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมเลยสักนิด

ในทางจิตวิทยาแล้วสื่อมีบทบาทสำคัญมากๆ ในกระบวนการเรียนรู้ผ่านตัวแบบ ....."



คัดลอกมาจาก
https://www.facebook.com/jubjitTU

ของขึ้น Black magic / Voo doo...

ของขึ้น Black magic / Voo doo...

ว่ากันว่าใครที่ได้รับวิชาจากครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นคาถาอาคมหรือสักยันต์ หากประพฤติผิดกฏของครูบาอาจารย์มักจะมีอาการที่เรียกว่าของขึ้น ...
วานนี้เข้าเวร มีชายคนหนึ่งถูกพามารักษาด้วยอาการนอนแน่นิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นใดๆ ญาติเลยหามใส่รถปิ๊กอัพมาที่รพ. สารภี เมื่อมาถึงสักครู่ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้น เมื่อชายคนนี้ ลุกขึ้นและทำท่าคล้ายเสือโคร่ง ขู่ผู้คนที่อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สังเกตว่าบนหลังและท่อนแขนชายคนนี้สักยันต์ ผู้ช่วยพยาบาลมารายงานว่าหมอคนผีเข้า หมอพอจะมีของดีไปปราบคนผีเข้าไหม เราก็แปลกใจว่าอยู่ที่นี่มานานพอควรยังไม่เห็นคนไข้ถูกผีเข้า เลยตามออกไปดูที่หน้าโอพีดี ญาติกำลังเฝ้าระวังชายคนนี้ที่กำลังขู่ฟอดๆอยู่ที่ท้ายรถกระบะ ไอ้เราก็อยากลองของ เลยเอาสเตรทโตสโคปหรือหูฟัง ไปแกว่งๆ พร้อมนึกในใจว่าพุทโธๆ 555 สักครู่ชายคนนี้ก็เพ่งสายตาด้วยความอาฆาต ปานจะกินเลือดกินเนื้อ เลยจ้องสบตาอยู่พอควร เราก็แผ่เมตตาให้ แต่สงสัยรับไม่ได้ ชายคนนี้กระโดดใส่เรา เรายืนนิ่งอยู่แต่เพราะแกโดจากขอบกระบะรถปิ๊คอัพพลาด เลยหัวขะเมนขะมำลงเกือบฟาดพื้น ยามกับพนักงานเปลเลยจัดหนัก เอามือล๊อคแขนแกสองข้าง เอาเท้ายันที่หน้าอกไว้ พลันพยาบาลอีอาร์ก็เอายาhadol 5mg. และValium 10 mg. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ สักครู่ก็หลับไป เลยหามเข้าไปนอนเปลในห้องฉุกเฉิน สอบถามมารดาให้การเพิ่มว่า แกไปกินเหล้า ดื่มแก้วเดียวกันกับเพื่อน ของเลยขึ้น!!!
สอยบถามผู้ที่เชื่อเรื่องของขึ้น เขาบอกว่าใครก็ตามที่รับคาถาอาคม ของดีมาไว้กับตัวแล้ว มีข้อห้ามอย่างเคร่งครัด คือ
๑. ไม่เป็นคนเจ้าชู้กับเมียใคร
๒. ไม่ด่าว่าพ่อแม่ของใครๆ โดยเด็ดขาด
๓. ไม่ทำลายพระพุทธศาสนา
๔. ไม่ลบหลู่บิดา-มารดา เวลาท่านต่อว่า
๕. ไม่เสพสิ่งเสพติดที่ผิดกฎหมายทุกประเภท
๖.ห้ามไม่ให้เป็นคนผิดในศีลธรรม
๗.ห้ามเป็นนักเลงหัวไม้ และ
๘.ห้ามตีรันฟันแทงกับใครอย่างเด็ดขาด

เห็นทีชายคนนี้รักษาครูบาอาจารย์ไม่ได้เลยมีอาการดังกล่าวแต่ในฐานะหมอ คิดถึงฤทธิ์ของยาเสพติด เลยให้พยาบาลสวนปัสสาวะไปตรวจเมทแอมเฟตามีน แต่ปรากฏว่าเป็นลบ หลังมัดไว้ราวๆสองชั่วโมงก็ตื่นขึ้นมา พูดจาดี เลยคิดว่าเป็นพวกสุรากินคน คือกินเหล้าแล้วนิสัยเสีย พฤติกรรมเปลี่ยนไป แต่ก็ยังอดใจไม่ได้ว่า ของน่าจะขึ้นร่วมด้วยจริงๆ!!!

เก็บมาเล่าให้ฟังม่วนๆบ่ดายจ้า.....

ของขึ้นที่ รพ.สารภี
...............
วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2556

Saturday, August 17, 2013

เฉียดต้มยำปู :: “หนี้ครัวเรือน” ทะลุ 80% ซ้ำรอยวิกฤต “ซับไพรม์” ผู้ว่าฯ ธปท.ยันใช้ “นิยามหนี้ฯ” เป็นสากล

“หนี้ครัวเรือน” ทะลุ 80% ซ้ำรอยวิกฤต “ซับไพรม์” ผู้ว่าฯ ธปท.ยันใช้ “นิยามหนี้ฯ” เป็นสากล

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2556

ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยัน “นิยามหนี้ครัวเรือน” หมายถึง สินเชื่อที่ปล่อยให้บุคคลธรรมดา และกิจการขนาดเล็กที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งเป็นนิยามเดิมที่ ธปท.ใช้ และเป็นนิยามเหมือนกับในต่างประเทศ ยอมรับตัวเลขพุ่งขึ้น 80% น่าตระหนก แต่ยังไม่ใช้ยาแรงคุม เพราะอาจกระทบ ศก. ชะลอตัวหนัก เตือนหากแตะ 85% ของจีดีพีอาจซ้ำรอยวิกฤต “ซับไพรม์” ในสหรัฐฯ

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาตำหนิคำนิยามหนี้ครัวเรือนในงานวิจัยของ ธปท. ไม่เป็นสากล โดยยืนยันว่า นิยามหนี้ครัวเรือนของ ธปท. คือสินเชื่อที่ปล่อยให้บุคคลธรรมดา และกิจการขนาดเล็กที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งเป็นนิยามเดิมที่ ธปท.ใช้ และเป็นนิยามเหมือนกับในต่างประเทศ

ทั้งนี้ ประเด็นที่ ธปท. เป็นห่วงคือ การเร่งตัวของหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากร้อยละ 50 ของจีดีพี เป็นร้อยละ 80 ของจีดีพี หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท จากมูลค่าจีดีพี 10 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน โดยประมาณร้อยละ 2 เป็นสินเชื่อเพื่อธุรกิจ สินเชื่อการค้า ซึ่งเมื่อลบส่วนนี้ออกไปสัดส่วนหนี้ครัวเรือนยังสูงอยู่ถึงร้อยละ 78 ที่มาจากสินเชื่อบ้าน รถยนต์ และอุปโภคบริโภค

นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ พบว่า หนี้ครัวเรือนเร่งตัวสูงกว่ารายได้มาก และเกรงว่าจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ให้ลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้เฝ้าระวัง และติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่เป็นปัญหาที่รุนแรงจนถึงขั้นที่ ธปท. ต้องออกมาตรการพิเศษมาดูแลหนี้ครัวเรือน

“การออกมาตรการจะต้องมีความระมัดระวัง เพราะอาจกระทบให้เศรษฐกิจภาพรวมยิ่งชะลอตัวลงแรง หากมีการใช้มาตรการแรงเกินไป เพราะในขณะนี้การอุปโภคบริโภคชะลอตัวลงมาก ซึ่งเป็นการปรับตัวของประชาชนที่ระมัดระวังการใช้จ่ายหลังจากที่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น”

ทั้งนี้ ธปท. ได้ให้ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือ ศคง. รณรงค์ผ่านสื่อให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่าย อย่าก่อหนี้สูงเกินตัว และรู้จักเก็บออม ผ่านโครงการ รู้จักแบ่ง ก็ไม่ต้องแบกหนี้ เพื่อป้องกันปัญหาก่อนเกิดวิกฤต เพราะหากปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้นจนถึงร้อยละ 85 ของจีดีพี อาจจะเกิดปัญหาเหมือนที่สหรัฐฯ มีปัญหาหนี้ครัวเรือนจนเกิดวิกฤต เพราะไม่สามารถขายสินทรัพย์ เช่น บ้าน และรถยนต์เพื่อเสริมสภาพคล่องได้ เพราะทรัพย์สินเหล่านี้ราคาตก ขายไม่ออก

นายประสาร ยอมรับว่า การดูแลเศรษฐกิจจำเป็นต้องสร้างความสมดุลใน 3 ด้าน คือ หนี้ภาคธุรกิจ หนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน ซึ่งขณะนี้หนี้ครัวเรือนที่มีอยู่ในระบบทั้งหมด 8 ล้านล้านบาทนั้น เป็นหนี้ในระบบสถาบันการเงินราว 3.8 ล้านล้านบาท หนี้กับธนาคารเฉพาะกิจอยู่ 2 ล้านล้านบาท หนี้ในระบบสหกรณ์ 1 ล้านล้านบาท หนี้ในระบบ non-bank และอื่นๆ อีก 1 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้ที่ ธปท.ดูแลมีเพียงหนี้ในระบบสถาบันการเงินเท่านั้น ยังมีหนี้ส่วนอื่นยังอยู่นอกเหนืออำนาจของ ธปท.กระจายอยู่หลายกลุ่ม

ดังนั้น จึงต้องอยู่ในความไม่ประมาท และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลในส่วนนี้ ส่วนหนี้สาธารณะที่มีอยู่ในระดับร้อยละ 44 ของจีดีพี ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ เช่นเดียวกับหนี้ภาคเอกชนที่ระดับหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับ 2 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าช่วงปี 2540 ที่สูงถึง 8-9 เท่า ซึ่งไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
Cr:: ASTVผู้จัดการออนไลน์ วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2556
--------------------------

จำได้ก็เข้ามาในยุคทักษิณนี่แหละ รัฐมือเติบใช้เต็มวงเงินไปหลาย แต่ครัวเรือนเพื่อความอยู่รอด มีเงินซุกที่ไหน ก็จะแคะไปหมด ที่นา บ้าน ควายไว้ไถ่นา ไปหมดแล้ว ถึงประชาชนไม่ขับไล่รัฐมาร ก็อยู่ไม่ได้ เพราะถังแตก ใช้เป็นแต่เงิน แต่หาเงินไม่เป็น เจ๊งแล้ว ไทยคงเฉยไม่ได้อีกแล้ว ภัยมาถึงตัว เพราะรัฐมารที่เลือกกันเข้ามา ทำพิษใส่ประเทศไทย กู้ลูกเดียว ..

*รมต.ขี้เลื่อยมาเถียงปลายทางเหตุเรื่องนิยามศัพท์ โถ่!!!








มะเขือพวง:: หนึ่งในยาอายุวัฒนะ

มะเขือพวง

นักวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้วิจัยเรื่องสรรพคุณวิเศษของมะเขือพวง ผักพื้นบ้านของไทย และพบว่า มีฤทธิ์ช่วยลดอนุมูลอิสระ ลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน มีเส้นใยที่ช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินได้ดี

มีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนโบราณหลายประการ เช่น ช่วยเจริญอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี แก้ปวด ฟกซ้ำ ปวดกระเพาะ แก้อาการฝีบวมหนอง อาการบวม อักเสบ ขับปัสสาวะ

ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยพบว่า มะเขือพวงมีสารจำพวก “ไฟโตนิวเทียนท์” ที่ช่วยให้ร่างกายที่อยู่ในสภาวะขาดสารอาหาร ให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ มีกลุ่มสาร “ทอร์โวไซด์” ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ และกระตุ้นให้ตับนำคอเลสเตอรอลในเลือดไปใช้ได้มากขึ้น

รวมทั้งยับยั้งการดูดซึมกลับของคอเลสเตอรอลในลำไส้ จึงอาจช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่ง มีสาร “ซาโปนิน” มีฤทธิ์ขับเสมหะ นับเป็นพืชที่มีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาว 3 เท่า มากกว่ามะเขือเปราะ 65 เท่า

มะเขือพวง เดลินิวส์ออนไลน์, อังคารที่ 13 สิงหาคม 2556
มะเขือพวง จัดเป็น หนึ่งในยาอายุวัฒนะ

เรียนจบ รับปริญญา แต่ ..

แปลกมั้ย.....ที่วันเกิดเรา
พ่อแม่เราดีใจที่สุด
แต่.....เรากับไปทานข้าวกันเพื่อน

แปลกมั้ย.....ที่คุณเลี้ยงข้าวเพื่อนตอนรับปริญญา
แต่คุณไม่เคยเลี้ยงข้าว คนที่ส่งคุณจนจบปริญญา

แปลกมั้ย.....ที่บางวันตื่นขึ้นมา
พร้อมกีับคนที่คุณรู้จักไม่ถึง 1 วัน

แปลกมั้ย.....ที่เรารักเพื่อนที่เคยเลี้ยงข้าวเราเพียง 1 มื้อ
แต่เรากับไม่เคยส่งเงิน ให้คนที่เลี้ยงเรามา 22 ปี

แปลกมั้ย.....ที่เรารักใครบางคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะจับกางเกงในของเรา
แต่เรากับเบื่อเสียงเตือนของคนที่กล้าล้างก้นให้เรามากกว่า 3 ปี

แปลกมั้ย.....ที่เพื่อนชวนเราออกไปไหน เราก็ออกไป
แต่พ่อแม่จะมาหา เรากับบอกว่าไม่ว่าง

แปลกมั้ย.....ที่เราทำอะไรทุกๆอย่างเพื่อใครบางคน
แต่คุณไม่เคยทำอะไรที่ให้พ่อแม่คุณเองดีใจ

แปลกมั้ย.....ที่คุณต้องพูดจาเพราะๆเพื่อให้เขายอมรับ
แต่ไม่เคยพูดครับ...ค่ะ กับพ่อแม่ของคุณเอง

แปลกมั้ย.....ทำไมคุณต้องให้เวลาและโอกาศพิเศษ
กับพ่อแม่ เฉพาะวันพ่อวันแม่เท่านั้น
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ผ่านวันแม่มาหลายวัน ยังมีท่านอยู่ในใจหรือเปล่า
เอาอาหารอร่อยๆ ไปให้ท่านเหมือนวันแม่หรือเปล่า
..
..
..


เวลาเจ็บปวดมากๆ จิตคนเรามักจะทุรนทุราย



เวลาเจ็บปวดมากๆ จิตคนเรามักจะทุรนทุราย ถูกความเจ็บปวดครอบงำจนเป็นทุกข์ พยายามดิ้นรนอยากจะพ้นจากความทรมานนั้น แต่ถ้าเราพยายามถอยตัวเองออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู ว่าเจ้าตัวความปวดเป็นสิ่งหนึ่ง จิตที่ไปรับรู้ความปวดก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง. จิตใจจะไม่ทรมานเลย ต้องพยายามฝึึกแบบนี้บ่อยๆ เอาไว้ใช้เวลาใกล้ตาย




คนเราไม่ควรประมาทในชีวิต เพราะไม่มีใครรู้วันตายของตัวเอง อาจจะตายที่ีนี่เดี๋ยวนี้ก็ยังได้ ดังนั้นเราควรฝึกเตรียมตัวก่อนตายเอาไว้ การฝึกสติจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน

ต้องพยายามฝึกดูจิตตัวเอง บ่อยๆ

Cr:: M Sasa



คุณค่าของเรา

วันหนึ่งเณรน้อยเจ้าปัญญา มาหาพระอาจารย์ ....“พระอาจารย์ คุณค่าในตัวของข้าคืออะไร ”

พระอาจารย์ “ไปสวนหลังบ้านเก็บก้อนหินก้อนใหญ่มา 1 ก้อน เอาไปวางขายที่ตลาด ถ้ามีคนถามราคา ไม่ตอบ แค่ชู 2 นิ้ว ถ้าเขาต่อรอง อย่าขาย เอากลับมา อาจารย์จะบอกเองว่า คุณค่าในตัวของเจ้าคืออะไร”

วันรุ่งขึ้น เณรน้อยอุ้มหินไปวางขายที่ตลาด คนจ่ายตลาดเดินผ่านไปผ่านมา ต่างแปลกใจ มีแม่บ้านเดินมาถาม “ก้อนหินขายเท่าไหร ?”

เณรน้อยชู 2 นิ้ว
“2 เหรียญ”
เณรน้อยสั่นหัว

“งั้นก็ 20 ก็ได้ จะได้เอาไปทับผักกาดดอง”

เณรน้อยคิดในใจ “แม่เจ้าโว๊ย หินไร้ค่านี้ขายได้ตั้ง 20 เหรียญ บนเขาวัดข้ามีเยอะแยะเณรน้อยก็ไม่ขายตามที่พระอาจารย์บอก ไปพบพระอาจารย์ด้วยความดีใจ

“อาจารย์ วันนี้มีแม่บ้านคนหนึ่งให้ราคา 20 เหรียญจะซื้อหินของข้า อาจารย์บอกได้หรือยังว่า คุณค่าในตัวของข้าคืออะไร”

อาจารย์ “ไม่ต้องรีบ พรุ่งนี้ เอาไปวางไว้ในพิพิธภัณฑ์ ถ้ามีคนถามราคา ไม่ตอบพูด แค่ชู 2 นิ้ว ถ้าเขาต่อรอง อย่าขาย เอากลับมา แล้วมาคุยกันใหม่”

วันต่อมา ใน พิพิธภัณฑ์ มีจีนมุงล้อมวง คุยกันเองว่า “หินธรรมดาก้อนหนึ่ง มีค่าอะไรมาวางไว้ในพิพิธภัณฑ์” มาวางไว้ในพิพิธภัณฑ์ได้ มันก็ต้องมีคุณค่าของมัน แต่เราอาจจะไม่รู้ตอนนี้ มีคนโผล่มา ตะโกนถามเณรน้อยว่า “เณรน้อย หินก้อนนี้เท่าไหร่ขาย ”

เณรน้อยชู 2 นิ้ว

“200 เหรียญ”

เณรน้อยสั่นหัว

“งั้นก็ 2000 แล้วกัน กำลังหาหินไปแกะสลักพระพุทธรูป”

เณรน้อยตกใจ มากกว่าเมื่อวานอีก ก็ไม่ขายตามที่พระอาจารย์บอก ไปพบพระอาจารย์ด้วยความดีใจ

“อาจารย์ วันนี้มีคนให้ราคา 2000 เหรียญจะซื้อหินของข้า วันนี้อาจารย์ต้องบอกข้าแล้วนะว่า คุณค่าในตัวของข้าคืออะไร”

อาจารย์หัวเราะชอบใจ “พรุ่งนี้เอาไปที่ร้านขายวัตถุโบราณ เหมือนเดิม แล้วเอากลับมา ครั้งนี้ อาจารย์บอกคำตอบเธอแน่ ๆ “

วันต่อมา เณรน้อยเอาหินไปที่ร้านขายวัตถุโบราณ ก็ยังมีคนมามุงดู มีคนพูดว่า นี่มันหินอะไรว่ะ มาจากถิ่นไหน ของราชวงศ์ไหน ใช้ทำอะไร
สุดท้ายมีคนมาถามราคา “ เณรน้อย หินก้อนนี้เท่าไหร่ขาย ?”

เณรน้อยชู 2 นิ้ว

“20,000 เหรียญ”

เณรน้อยตกใจอ้าปากค้าง อุทานเสียงดัง “หา” คนนั้นนึกว่าตัวเองให้ราคาต่ำไปทำให้เณรน้อยรมณ์เสีย แก้ไขทันทีว่า “ไม่ ๆ ๆ ข้าพูดผิดแล้ว ข้าจะให้เจ้า 200,000”

เณรน้อยได้ยินดังนั้น อุ้มหินวิ่งหนีกลับไปบนเขาหาพระอาจารย์ทันที พูดกับอาจารย์แบบกระหือกระหอบว่า “อาจารย์ครั้งนี้เรารวยแล้ว มีโยมจะให้ราคาเรา 2 แสนเพื่อซื้อหินก้อนนี้ อาจารย์บอกได้หรือยังว่า คุณค่าในตัวของข้าคืออะไรกันแน่?”

อาจารย์ลูบหัวเณรน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูว่า

“เจ้าหนูน้อย คุณค่าในตัวเจ้าก็เหมือนหินก้อนนี้ ถ้าวางตัวเองในตลาดสด เจ้าก็มีค่า 20 ถ้าเอาตัวเจ้าไปวางไว้ในพิพิธภัณฑ์ เจ้าก็มีค่า 2000 ถ้าไปอยู่ในร้านขายวัตถุโบราณ เจ้าก็มีค่า 2 แสน เวทีชีวิตต่างกัน ตำแหน่งวางตัวต่างกัน คุณค่าของคนก็เปลี่ยนไป”

ขอให้เข้าใจนะ และ ประสบผลดีกับตนเองทุกคนครับ

ที่มา line.

---คุณค่าของตัวเรา---
---ประมาณค่าไม่ได้ในสายตาของคนที่รักเรา---
---I Love U

ได้มาบ้าง เสียไปบ้าง ช่างปะไร

ถ้าทุกคน ได้ทุกอย่าง ได้ดั่งคิด
สิ้นชีวิต จะเอาของ กองไว้ไหน
ได้มาบ้าง เสียไปบ้าง ช่างปะไร
หน้าที่ใคร ทำให้ดี เท่านี้พอ

อีกไม่นาน วันผันผ่าน ก็ต้องจาก
จะมีมาก หรือมีน้อย วัยถอยถอน
เอาอะไร ไปไม่ได้ นั้นแน่นอน
วันจากจร เหลือเพียงแต่ แค่ตำนาน

ก็วันนี้ มีพอกิน มีพอใช้
ไม่เท่าใคร แต่เพียงพอ ก็สุขได้
ทำหน้าที่ สมควร ก่อนด่วนไป
จากเมื่อไหร่ หลับตาได้ ไม่อาวรณ์

ที่มา line

-----อ่านอีกครั้ง ฟังอีกรอบ----------------
ถ้าทุกคน ได้ทุกอย่าง ได้ดั่งคิด
สิ้นชีวิต จะเอาของ กองไว้ไหน
ได้มาบ้าง เสียไปบ้าง ช่างปะไร
หน้าที่ใคร ทำให้ดี เท่านี้พอ

อีกไม่นาน วันผันผ่าน ก็ต้องจาก
จะมีมาก หรือมีน้อย วัยถอยถอน
เอาอะไร ไปไม่ได้ นั้นแน่นอน
วันจากจร เหลือเพียงแต่ แค่ตำนาน

ก็วันนี้ มีพอกิน มีพอใช้
ไม่เท่าใคร แต่เพียงพอ ก็สุขได้
ทำหน้าที่ สมควร ก่อนด่วนไป
จากเมื่อไหร่ หลับตาได้ ไม่อาวรณ์

ที่มา line

Thursday, August 15, 2013

ญี่ปุ่นสอนคุณค่าของคนแก่ ..รักของแม่

~~รักของแม่~~ .....^____^

ในสมัยเอโดะ (ค.ศ.1603-1867) ประเทศญี่ปุ่นมีการปกครองด้วยระบบขุนนาง มีเจ้าเมืองและซามูไรที่มีอำนาจลดหลั่นกันไป
ประชาชนทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าเมืองแบบไม่มีเงื่อนไข
ช่วงที่ญี่ปุ่นถูกภัยแล้งคุกคามนานหลายปี เจ้าเมืองได้ออกกฏหมายขึ้นมาข้อหนึ่งว่า หากครอบครัวไหนมีพ่อแม่ที่อายุเกิน70ปี ลูกต้องนำพ่อแม่ไปทิ้งบนเขา มิฉะนั้นจะถูกประหาร เพราะถือว่าคนสูงวัยถึงเพียงนั้นเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ ยิ่งอยู่นานยิ่งเป็นภาระ
ในทางตรงกันข้าม การตายเพื่อให้ลูกหลานได้อยู่ต่อนับเป็นการตายที่มีเกียรติสูงยิ่ง
ภูเขาสูงหลายแห่งจึงกลายเป็นหลุมฝังศพคนแก่ ขึ้นไปสองคน แต่กลับลงมาหนึ่ง ต่อเนื่องกันไปอย่างนี้เรื่อยมา
ชาวญี่ปุ่นเรียกภูเขาเหล่านี้ว่า "อุบะสุเทะ" ("อุบะ" แปลว่า คนแก่ "สุเทะ" แปลว่า ทิ้ง)
...และแล้วก็ถึงวันที่แม่ของ"เขา"อายุครบ70ปี เช้าวันนั้นเขาจัดเตรียมข้าวเป็นเสบียง เตรียมสานตระกร้าสำหรับใส่แม่
.......เมื่อทุกอย่างพร้อมก็อุ้มแม่วางลงในตระกร้า แบกขึ้นหลังและออกเดินทางไปยังภูเขา ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจดจ่อกับการปีนเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แม่ผู้ชราก็สังเกตเห็นว่าท้องฟ้ากำลังมืดลงทุกทีๆ
นางเกิดความกลัวขึ้นมาว่าถ้าฟ้ามืดลูกชายอาจหลงทางอยู่บนเขาก็ได้ นางจึงเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้ กิ่งแล้วกิ่งเล่าเพื่อที่ว่าหลังจากทิ้งนางไว้บนภูเขาแล้ว ลูกชายจะสามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
เมื่อถึงเวลาที่แม่ลูกต้องจากกัน นางได้บอกลูกชายว่า "ลูกแม่ ตอนที่เราขึ้นมาบนเขา แม่ได้หักกิ่งไม้ไว้ตลอดทาง ตอนลงจากเขาเจ้าจงสังเกตรอยไม้ที่แม่หักไว้ ก็จะถึงบ้านโดยปลอดภัย"....
เมื่อลูกชายได้ยินดังนั้น.... ทันใดสายตาก็มองเห็นมือที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของแม่ เขาอดหลั่งน้ำตาออกมามิได้และตัดสินใจว่าจะไม่ยอมทิ้งแม่ไว้บนภูเขาเด็ดขาด.....
..... เขาอุ้มแม่วางลงในตระกร้า แบกขึ้นหลังพาลงภูเขาและซ่อนแม่ไว้ในยุ้งฉางเพื่อหลบสายตาจากคนภายนอก
........ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าเมืองก็ประกาศคำปริศนาไว้สองข้อ และบอกว่าหากใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ก็จะให้คนผู้นั้นสมปรารถนาหนึ่งประการ ปริศนาข้อแรกคือ ให้ฟั่นเชือกขึ้นมาจากขี้เถ้า และสองคือให้ร้อยเส้นไหมลอดผ่านเปลือกหอยสังข์
.......เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ก็ยังไม่มีใครแก้ปริศนาได้ ลูกชายจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ฟัง เมื่อเล่าจบแม่ก็ยิ้มแล้วสอนว่า
....."ลูกแม่ เจ้าจงทำตามที่แม่บอกต่อไปนี้ สำหรับปริศนาข้อแรกให้เจ้าฟั่นเชือกขึ้นมาแล้วนำไปเผาให้ไหม้เป็นถ่าน ขี้เถ้าจะคงรูปเหมือนเชือกอยู่อย่างนั้น ส่วนปริศนาข้อที่สอง ให้ผูกเส้นไหมกับขามดแล้วจับมดไปใส่ในเปลือกหอย หลังจากนั้นให้โรยน้ำตาลและจุดเทียนอีกด้านหนึ่งของเปลือกหอย เมื่อมดได้กลิ่นน้ำตาลและเห็นแสงเทียนก็จะพยายามเดินออกไปอีกด้าน"...
...ภายหลังเมื่อเจ้าเมืองรู้ว่าคนที่แก้ปริศนาได้ แท้จริงแล้วคือหญิงชราธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงเกิดความเลื่อมใสในภูมิปัญญาของคนชราและตัดสินใจยกเลิกกฎให้ทิ้งพ่อแม่ตั้งแต่นั้นแม่กับลูกชายจึงใช้ชีวิตต่อมาอย่างมีความสุข
~~~ความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งอัศจรรย์...ราวกับไม่มีอยู่จริง~~~
เพราะเป็นความรักที่มีแต่คำว่า"ให้"อย่างที่ไม่มีลูกคนไหน"ให้"คืนกลับได้อย่างเท่าเทียม
การดูแลพ่อแม่ในยามที่ท่านดูแลตัวเองไม่ได้ถือเป็นการทดแทนบุญคุณของท่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากใครบอกว่าไม่สามารถดูแลพ่อแม่ได้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม โปรดจำเรื่องนี้ไว้เป็นคติสอนใจ
ตำนานอุบะสุเทะเป็นเรื่องที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่รู้จักดี แต่คนทั่วไปอาจได้ยินเรื่องนี้จาก Ballad of Narayamaภาพยนต์ผลการกำกับของผู้กำกับอิมะมุระ โชเฮ(Imamura Shohei) ที่เล่าเรื่องราวชีวิตปีที่ 69 ย่าง 70 ของ โอริน หญิงชราซึ่งพยายามใช้ปีสุดท้ายก่อนจะถูกนำไปทิ้งบนภูเขานารายาม่า เพื่อช่วยลูกชายและหลาน จนแน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถเผชิญความทุกข์ยากแร้นแค้นได้หลังจากที่เธอตายไปแล้ว

จากนิตยสาร Secret ฉบับที่ 51 ประจำเดือน ส.ค.53 หน้า 81

คติสอนใจ~~เอี๋ยนหุย กับ ขงจื้อ~~

~~เอี๋ยนหุย กับ ขงจื้อ~~

คติสอนใจ...............เสียเวลาหน่อยแต่ก็ได้ข้อคิดที่ดีๆ....
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
เอี๋ยนหุย ไปทำธุระที่ตลาด พบว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า ได้ยินลูกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า“3 x 8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า
“พี่ชาย 3 x 8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า
“ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า“ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า
“3 x 8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุยไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป

ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้

ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมา หากเสร็จกิจธุระแล้ว พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า
“อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า
“ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่ จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่

ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ? เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา

เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน! เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง

พอฟ้าสาง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้ ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”

ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่ จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย อาจารย์จึงเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”

ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3×8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก หากอาจารย์บอกว่า 3×8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ?”

เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด” จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่ง หนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

Wednesday, August 14, 2013

สมการชีวิต

สมการชีวิต ~ ♡

โง่ + ขยัน = เหนื่อย
โง่ + โลภ = เหยื่อ
โง่ + ขี้เกียจ = ยากจน
โง่ + บริโภคนิยม = หมดตัว
โง่ + ช้า = ล้าหลัง
โง่ + รีบร้อน = สะดุด
โง่ + อดทน = ถึงจุดหมาย แต่ช้าหน่อย
โง่ + ขยัน + อดทน = ลืมตาอ้าปากได้
โง่ + ซื่อสัตย์ = คนเมตตา
โง่ + กตัญญู = พระคุ้ม
โง่ + เรียนรู้ = ไม่โง่

ฉลาด + ขยัน = ความสำเร็จ
ฉลาด + อดทน = ความเจริญ
ฉลาด + ขี้เกียจ = โกง
ฉลาด + ขี้เกียจ + โลภ = โคตรโกง
ฉลาด + โอกาส = ติดปีก
ฉลาด + โอกาส + ขยัน = ติดจรวด
ฉลาด + กตัญญู = สัตบุรุษ
ฉลาด + ซื่อสัตย์ = ยอดคน
ฉลาด + ไม่เรียนรู้ = ไม่ฉลาด

โลภ + ขี้เกียจ = ชีวิตหมดไปกับการหาทางลัด
โลภ + ขยัน = รวย
โลภ + โกรธ = โรคหัวใจ

โกรธ + เกลียด = ไฟในอก
โกรธ + อโหสิ = สวรรค์

รัก + หลง = อุปาทาน
รัก + ใจร้อน = ชิงสุกก่อนห่าม
รัก + ใจเย็น = ไม้เท้ายอดทอง ตะบองยอดเพชร
รัก + เข้าใจ = รักจริง
เข้าใจ + ให้อภัย = รักแท้
รัก + อดทน = บ้านเย็น
รัก + อกหัก = ปรากฏการณ์ธรรมชาติ

อกหัก + เหล้า = ยืดเวลาอกหัก
อกหัก + เข้าใจ = ลดเวลาอกหัก
อกหัก + เมตตา = หายอกหัก

ความรู้ + ความโลภ = โมหะ
ความรู้ + ความหลง = เอาตัวไม่รอด
ความรู้ + จริยธรรม = ปัญญา

สติ + ปัญญา = ความเจริญ

จินตนาการ + ความคิดสร้างสรรค์ = นวัตกรรมด้านบวก
จินตนาการ + โมหะ = นวัตกรรมด้านลบ
จินตนาการ + อารมณ์ลบ = ฟุ้งซ่าน

ปัญหา + กลุ้มใจ = ปัญหา + กลุ้มใจ
ปัญหา + วิเคราะห์ = ลดปัญหา

ใจเย็น + รอบคอบ = สำเร็จมั่นคง
รีบร้อน + มีแผน = วิ่งสะดุด
รีบร้อน + ไม่มีแผน = วิ่งอยู่กับที่

รวย + เมตตา = บุญ
รวย + ธรรม = กุศล

ทำบุญ + ชื่อเสียง = แบกโลก
ทำบุญ + ชาติหน้า = การลงทุน
ทำบุญ + เมตตา = ปล่อยวาง

ไม่เข้าใจ + ไม่ปล่อยวาง = อุปาทาน
เข้าใจ + ไม่ปล่อยวาง = โซ่ตรวน
เข้าใจ + ปล่อยวาง = เย็น

สูตรชีวิตสำเร็จ

ขยัน + อดทน + เรียนรู้ + ใจเย็น + เมตตา +
ปล่อยวาง = ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและจิตใจ

ณ. ฉันรักเธอ


Cr: นิรนาม

ใจสู้หรือเปล่า ..ปัญหา มีไว้พิชิต อุปสรรค มีไว้ฝ่าฟัน ความทุกข์ มีไว้ให้ใจเข้มแข็ง

ใจสู้หรือเปล่า ..

ปัญหา มีไว้พิชิต

อุปสรรค มีไว้ฝ่าฟัน

ความทุกข์ มีไว้ให้ใจเข้มแข็ง

"When life is giving you a hard time, try to endure and live through it.
You must never run away from a problem.
Convince yourself that you will survive and get to the other side."

เมื่อคุณเห็นการมีชีวิตเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส ลองพยายามอดกลั้นและต่อสู้กับมัน จงอย่าวิ่งหนีต่อปัญหาใดๆที่คุณเผชิญอยู่ และเชื่อใจในตัวเองว่าสองมือของคุณสามารถทำให้คุณฝ่าฟันช่วงวิกฤตและผ่านมันไปได้

- "Margaret Ramsey" - : British literary agent

Hard time เป็นเวลาที่ยุ่งยาก มีอุปสรรค มีปัญหา ที่ทำให้ปวดหัว ..

endure คือ ทนมัน ยื้อมันไว้ ..

run away คือ วิ่งหนี

convince คือ ทำให้เชื่อว่า มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

Survive มีชีวิตรอด

the other side ก็คือ อีกฝั่งหนึ่ง

กำลังใจเต็มเปี่ยม

จุดหมายแค่เอื้่อม

ถ้าไม่เอื้อมคงไม่ถึง

Dr.SoS


ช่วยกันกิน ไข่ ช่วยเกษตรกร แถมยังได้ประโยชน์และวิตามินเต็มพิกัด

ไข่ ประโยชน์เยอะ วิตามินแยะ อุดมด้วยสารอาหาร

พฤษภาหน้าร้อนที่เพิ่งพ้นผ่าน มีเสียงกล่าวขาน... “ไข่ปู” แพงกว่า “ไข่มาร์ค”

นักการเมืองกุลีกุจอขานรับ ตั้งท่าขู่คุมราคาไข่ราวสินค้าต้องห้าม ทั้งที่ช่วงที่แพงสุดราคาไข่คละหน้าฟาร์ม ณ ปลายเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ฟองละ 3.30 บาท แต่กระแสข่าวที่ออกมาโพทะนา แพงไปถึงฟองละ 5-7 บาท โดยมิยอมบอกกล่าวว่าไข่เบอร์อะไร

แต่แรงโหมประโคมข่าว ทำให้ไข่เป็นสินค้าการเมือง เพราะเป็นดัชนีชี้วัดความสามารถในการบริหารบ้านเมืองของนักการเมืองโดยที่ไม่ยอมมองว่า ไข่ที่ว่าแพงนั้น ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ฟองละ 2.86 บาท เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ได้กำไรไม่ถึง 50 สต.

ได้กำไรแค่ 15% แถมกำไรเพียงนี้ ใน 1 ปี มีแค่ 2–3 สัปดาห์เท่านั้นเอง

ทั้งที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทุกปี หน้าร้อนไก่ให้ไข่น้อย เพราะไก่มิต่างไปจากคน อากาศร้อนคนจะเครียดกินอะไรไม่ลง ไก่ก็เหมือนกัน ร้อนเครียดกินไม่ลงไข่น้อยลง

ต่างจากหน้าหนาว ช่วงอากาศเย็น ทั้งประเทศจะมีไข่ป้อนตลาดวันละ 30 ล้านฟอง พอเจอร้อนไก่ไข่หดเหลือแค่วันละ 26-27 ล้านฟอง ยิ่งพฤษภาคมเป็นเดือนเปิดเทอม อาหารโปรตีนราคาถูกสุด ที่โรงเรียนจะซื้อหามาทำอาหารกลางวันให้นักเรียน หนีไม่พ้นไข่
ไข่มีน้อย คนกินเพิ่มขึ้น เป็นธรรมชาติไข่ย่อมต้องแพง มิใช่เรื่องแปลก ให้ต้องร้องแรกแหกกระเชอแต่อย่างใด

แถมใน 1 ปี จะมีช่วงที่ไก่ไข่น้อยก็แค่ 2-3 เดือนเท่านั้น...ส่วนเวลาที่เหลือไข่จะถูก เพราะไก่ออกไข่จนล้นตลาด อย่างตอนนี้เข้าหน้าฝนเต็มฤดู อากาศเย็นลง ไก่ไข่มากขึ้นราคาร่วงมาเรื่อย จากราคาไข่คละหน้าฟาร์มที่เกษตรกรขายได้ราคาฟองละ 3.30 บาท วันนี้ลดเหลือแค่ 2.90-3.00 บาท

ราคาไข่เลยร่วงรูดลงทุกวัน ใกล้ถึงจุดเท่าทุน และจะขาดทุนในไม่ช้า

และเมื่อวันที่ไข่ราคาถูกจนเกษตรกรมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง...จะมีนักการเมือง ผู้บริโภคสักคนไหม ที่จะออกมากู่ร้องให้ก้องฟ้า “ไข่ปูถูกจุงเบย เมื่อไรจะแพงสักที คนเลี้ยงไก่ไข่จะไม่ต้องเจ๊ง” บ้างไหมหนอ

เกษตรกรคงได้แต่รอ แบบเดียวกับที่คนไทยทั้งประเทศฝันว่า...นักการเมือง ข้าราชการจะไม่โกงกิน

ในฝันยังยากจะเป็นจริง...แล้วจะไปหวังอะไรในชีวิตจริง.

ชมชื่น ชูช่อ

ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2556



ผลาญงบประมาณของรัฐสภา ด้วยการซื้อนา

ผลาญงบประมาณของสภาฯ

เช่นเดียวกับงบประมาณของทุกกระทรวง ทบวง กรม ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลแทบทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ "เส้นสาย" หรือ "คอนเนคชั่น" ของผู้ที่มีอำนาจอนุมัติ ผลลัพธ์คือ "คอมมิชชั่น" หรือ "เงินทอน" ที่ถูกแจกจ่ายไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

นาฬิกาที่ติดอยู่ทั่วพื้นที่ของรัฐสภา อย่างในภาพนี้ ติดอยู่เหนือประตูห้องสูบบุหรี่ของ ส.ส. ใกล้ห้องอาหาร นาฬิกานี้มีมูลค่า 75,000 บาทต่อเรือน แน่นอนว่าเป็นราคาที่ "สูงมาก" และผมก็ไม่เห็นเหตุผลใดที่จะต้องซื้อนาฬิกาเรือนละ 75,000 บาท เพื่อเอามาแขวนเหนือประตูห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องสูบบุหรี่ หรือห้องน้ำ

ผมไม่อยาก "โต้เถียง" ถึงการสิ้นเปลืองเงินจากผู้เสียภาษี แต่นี่มันมากเกินไป นาฬิกา "ไซโก้" ราคา 1,500 บาท ก็ใช้แขวนได้ เดินตรงเวลา และทนทาน อย่างที่ "ลีกาซิง" ชาวฮ่องกง ผู้ที่รวยที่สุดในเอเชีย สวมนาฬิกา "ซิตี้เซน" เขายังคงทำเงินมากกว่าใครทุกคนในเอเชีย เขาพูดประโยคที่ว่า "เขาไม่สนใจหรอกว่านาฬิกาจะแพงแค่ไหน ขอให้มันเดินตรงเวลา แค่นั้นก็พอ"

มิน่าเล่า เขาถึงรวยที่สุดในเอเชีย ส่วนคนไทยก็ยัง "รวยหนี้" เหมือนเดิม

Cr:: ชูวิทย์

===================

เลวจนหาเหี้ยเปรียบไม่ได้ ..
มันจะซื้อไปติดที่ไหนตั้ง 200 เรือน
ผลาญงบแผ่นดิน 15 ล้านบาท
รัฐสภาเฮงซวย
คนจัดซื้ออุบาทว์
คนอนุมัติอัปรีย์
คนขายเหี้ยเลว
===================

การเมือง - เปิดเวปตะลึง!!ราคานาฬิกาสภา ยี่ห้อเดียวกันแพงสุด2.5หมื่น

  14 ส.ค.56 นายประสงค์ นุรักษ์  ส.ว.สรรหา เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐสภามีการดำเนินการปรับปรุงในส่วนต่างๆ ว่า การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ทำได้ตลอดเวลาเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่ต้องมีเหตุผลที่สมควร ซึ่งประธานรัฐสภาสามารถควบคุมดูแลกิจการภายในสภาได้ แต่ขณะนี้สำนักงานเลขาธิการก็ไม่ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยขณะนี้การที่รัฐสภามีการปรับปรุงในส่วนต่างๆ คิดว่าก็ไม่ได้มีความผิดปกติ แต่เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว ขณะนี้มีการดำเนินการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ในพื้นที่ย่านเกียกกาย  แต่ทำไมมีการปรับปรุงกันมากขนาดนี้ ดังนั้น ควรที่จะมีการชะลอออกไปก่อน

ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในการปรับเปลี่ยนนาฬิกาภาย ในรัฐสภานั้น นายประสงค์ กล่าวว่า การดำเนินการติดตั้งนาฬิกาแบบดังกล่าวของรัฐสภา ปรากฏอยู่ทุกห้องในอาคารรัฐสภา ซึ่งมีคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ว่า นาฬิกาดังกล่าวที่มีกว่า 200 เรือนนั้น เป็นนาฬิกาที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ทุกเรือนสามารถเดินตรงตามเวลาที่แท้จริงได้ทุกเรือน ถ้ามีนาฬิกาเรือนใดเรือนหนึ่งเสียนาฬิกาเรือนที่เหลือก็จะหยุดเดินทันที และสามารถบอกวันเวลาของต่างประเทศ รวมทั้งบอกอุณหภูมิได้ด้วย แต่มีราคาแพงเกินเหตุถึง 70,000 – 80,000 บาท นาฬิกาในรูปแบบอื่นๆ ทีมีราคาถูกกว่า ก็สามารถดูเวลาวันเดือนปีได้ไม่เหมือนกัน

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์ต่างมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าวอย่างกว้างขวาง โดยชาวอินเทอร์เน็ตต่างร่วมตรวจสอบราคานาฬิกาดังกล่าวจากเว็บไซต์ต่างๆใน ต่างประเทศและพบว่า นาฬิการุ่นที่รัฐสภาจัดซื้อ มีราคารขายเฉลี่ยแค่ 16,800 - 25,000บาทเท่านั้น และการจัดซื้อนาฬิกาของรัฐสภาเป็นการใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง เว็บไซต์ www.bri-gmbh.de ในเยอรมันขายนาฬิกาติดผนังรุ่นดังกล่าวในราคาเรือนละ 420 ยูโร ตกเรือนละ 16,800 บาท (1ยูโร = 40 บาท) หากสั่งซื้อ 200 เรือน =16,800x200 =3,360,000 บาท ขณะที่เว็บไซต์ www.timingireland.com ขายนาฬิการุ่นนี้ในราคายังไม่รวมภาษีที่ 428 ยูโร หรือเรือนละ  17,120 บาท


อย่างไรก็ตาม ในการประชุมพิจารณางบประมาณปี 57 ในวาระ 2 ฝ่ายค้านจะได้อภิปรายถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ของรัฐสภาพร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ใช้งบประมาณมากเกินกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อนาฬิกาติดผนังยี่ห้อ Bodet ของอังกฤษ รุ่น Cristalys Date ที่มีการจัดซื้อจำนวน 200 เรือนโดยใช้งบประมาณกว่า 15 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาเรือนละ 75,000บาท

Cr: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
..........

ปิกอัพแหกโค้ง ทางหลวงชะอำ ตาย6ศพ (รวมเด็ก 3 ศพ)

หนุ่มหัวหิน ประจวบฯ ซิ่งกระบะกลับบ้าน รถเสียหลักแหกโค้งพลิกคว่ำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ตายระนาว 6 ศพ มีเด็กรวม 3 ศพ บาดเจ็บอีก 3

เมื่อ วันที่ 14 ส.ค. มีรายงานว่า พ.ต.ท.อุดมชาติ ทองไซร้ สภ.ชะอำ จ.เพชรบุรี รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถกระบะ เสียหลักตกร่องกลางถนน บนทางหลวงหมายเลข 37 บายพาสชะอำ ขาล่องใต้ ช่วงกิโลเมตรที่ 22+500 หน้าศูนย์วิจัยพืชสวน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ 6 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย จึงเข้าตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบกระบะ โตโยต้า วีโก้ สีเขียว ทะเบียน ตล 31 กทม. อยู่ในร่องกลางถนนพลิกตะแคงสภาพพังยับ เมื่อตรวจสอบ พบผู้เสียชีวิต นอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้นถนน และร่องกลางถนน จำนวน 6 ราย เป็นชาย 3 ราย และหญิง 3 ราย ทราบชื่อต่อมา คือ 1.ด.ญ.พิชญา ภู่ชัย อายุ 9 ปี 2.น.ส.วาสนา มีศรีผ่อง อายุ 42 ปี 3.นายสมบัติ ภู่ชัยอายุ 48 ปี 4.ด.ช.ธนดล ภู่ชัย อายุ 2 ปี 5 เดือน 5.ด.ญ.นิศาชล ภู่ชัย อายุ 4 ปี ส่วนอีกรายยังไม่ทราบชื่อ ทั้งหมดเป็นครอบครัวเดียวกันและเป็นชาวบ้านในพื้นที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 3 ราย คือ ด.ญ.พรนาขวัญ ภู่ชัย 10 ปี ด.ญ.เมทินี ภู่ชัย 12 ปี และ นายอำพร ปลีกทรัพย์ อายุ 45 ปี มีอาการกระดูกขาผิดรูป เจ้าหน้าที่ช่วยกันนำส่ง ร.พ.ชะอำ แล้ว
จาก การสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุ รถกระบะคันดังกล่าว ที่วิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นทางโค้งส่งผลให้รถกระบะเสียหลักตกร่องกลางถนนพลิกคว่ำ ให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะได้ทำการสอบสวนตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

Cr:: ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2556

ขอแสดงความเสียใจด้วย ** ลดความเร็วเพิ่มความปลอดภัย
ขอให้ดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตไปสู่สุคติภพเทอญ






Tuesday, August 13, 2013

KBank - ศาสตร์ "นวดคน" สู่องค์กรสร้างสรรค์และยั่งยืน

» ถอดรหัสความคิด บิ๊กบอส แห่ง KBank
» ศาสตร์ "นวดคน" สู่องค์กรสร้างสรรค์และยั่งยืน

คุณ "บัณฑูร ล่ำซำ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBank เปิดเผยแนวคิดหลักในการบริหารองค์กรว่า...

• หน้าที่หลักที่สำคัญของซีอีโอคือทำเรื่อง "คน" ไม่ใช่เรื่องการกำหนด เป้ารายได้ เพราะเรื่องเหล่านี้มีคนทำอยู่แล้ว

แต่ซีอีโอต้องทำเรื่องคน ควบคู่ไปกับเรื่องฮวงจุ้ย ถ้าเรื่องฮวงจุ้ยแก้ให้หมดแล้ว ทำให้หมดแล้ว หากยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็แสดงถึง "ฝีมือ" ของ "คน" แล้ว


ซีอีโอเคแบงก์ย้ำว่าการทำเรื่องคน ผู้บริหารต้องนวด ต้องอดทน ต้องพูดซ้ำ ๆ ถึงยุทธศาสตร์ขององค์กร เพื่อให้องค์กรพัฒนาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์

"ต้องมียุทธศาสตร์ที่มีความหมาย เป็นหลายแผน ที่จะนำทุกคนไปในทิศทางนี้ เพราะคนมีจำนวนมาก

และคนต้องเชื่อว่ายุทธศาสตร์นั้นมีความหมายและร่วมทำงานกันในลักษณะที่ว่าสร้างสรรค์ไม่ทะเลาะกันจนวงแตก"

::::::::::::::::::


คุณ "บัณฑูร" ให้สัมภาษณ์บทบาทซีอีโอในการทำเรื่อง "คน" ว่า

การสร้างองค์กรที่ยั่งยืน คือ

- องค์กรที่มีความสามารถในการปรับตัว แม้กระทั่งเปลี่ยนแนวของธุรกิจ

- แต่ก็สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้ต้นทุนไม่แพง

- กับสามารถดึงคนเก่ง ๆ ให้อยู่ด้วยได้ 3 ปัจจัยหลัก คือ

1. มีความสามารถ ปรับยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับความเป็นไปของโลกที่เปลี่ยนไป

2. มีกระบวนการผลิตที่ปรับปรุงตลอดคือการรีเอ็นจิเนียริ่งตลอด

3. ทำอย่างไรคนเก่งจะมาชุมนุมอยู่ที่นี่ ซึ่งทำไม่ง่ายเพราะตลาดเมืองไทยคนเก่งมีไม่พอใช้ และคนเก่งของสังคมไทยมาชุมนุมอยู่สายการเงิน

คนจบวิศวะที่เก่งที่สุดไม่ได้อยู่ในโรงงาน แต่มาอยู่ในธนาคาร (พร้อมกับเสริมด้วยท่าทีหัวเราะว่า...มันถึงพังไง)

ดูของเราตั้งแต่ ดร.ประสารลงไป ผมก็วิศวะ คุณโทนี่ (ชาติศิริ โสภณพนิช) คุณบุญทักษ์ (หวังเจริญ) คุณอภิศักดิ์ (ตันติวรวงศ์) ก็วิศวะ

เหตุผลที่มาชุมนุมอยู่ที่นี่ (แบงกิ้ง) เยอะ คือ ที่นี่ผลตอบแทนสูง เพราะถ้าไม่ใช่ก็ไปเป็นเถ้าแก่เอง

มนุษย์เงินเดือนสายที่ค่าตอบแทนสูงที่สุดคือสายการเงิน อุตสาหกรรมไทยถึงเสียคน ภาคอุตสาหกรรมถึงไม่ได้คนเพราะไปอยู่ในแบงก์กัน

::::::::::::::::::


Q1 : มีขบวนการสร้างคนอย่างไร ?

ก่อนอื่นต้องดึงคนก่อน หมายความว่า เขาต้องเชื่อก่อนว่าแนวธุรกิจขององค์กรนี้มีความหมาย เพราะใครก็อยากประสบความสำเร็จ มีการพัฒนาในวิชาชีพ

คนที่เก่งก็จะดูว่าธุรกิจที่นี่มีอนาคต ดึงคนเข้ามาก็ต้องมีระบบอบรม จะเห็นว่าหลัก ๆ HR (human resource) เป็นเรื่องใหญ่

แต่เดิม HR ถูกมองว่าทำแค่บัญชีเงินเดือน แต่ทุกวันนี้ HR เป็นส่วนหนึ่งของการทำแผนธุรกิจไปพร้อมกับสายธุรกิจ

เพราะสายธุรกิจวาดแผนไว้วิเศษอย่างไร ไม่มีคนไปทำมันก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่มีคนไม่มีคุณภาพเพียงพอใส่ไปก็ทำไม่ได้

ต้องไปหาคนที่เก่งในตลาดเข้ามาและมาอบรมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น HR กับธุรกิจต้องทำไปด้วยกัน

ที่กสิกรไทยมีความพิเศษที่ผู้บริหารสาย HR กับ IT หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นคนที่มาจากสายธุรกิจ อันนี้หายาก เพราะคนที่เก่งก็อยากอยู่สายธุรกิจ เพราะมันมีผลประโยชน์อะไรก็ว่ากันไป

แต่ผมโชคดีที่ได้คน 2 คนที่เก่งมาทำหน้าที่นี้ ทำไมเขาถึงมายอมทำงานที่มองเผิน ๆ เหมือนงานแบ็กออฟฟิศ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะจริง ๆ HR กับงานไอทีต้องทำร่วมกับแผนธุรกิจ เพียงแต่คนละมุม

แต่ต้องทำร่วมกัน เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้ มีคนไปทำงาน และมีระบบสารสนเทศที่จำเป็น สนับสนุนการทำธุรกรรมทางการเงิน


::::::::::::::::::


Q2 : เห็นความสำคัญของ HR และ IT มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

ทุกคนเห็นทั้งนั้น แบงก์ไม่มีตัวนี้สู้คนอื่นไม่ได้ ตอนนี้สนามที่สู้กันไม่ใช่สนาม "เงินกู้ แต่คือคน" สนามนี้แย่งกันดุเดือดมาก โทร.ถึงตัวเลย

ผู้บริหารระดับท็อปของผม เฮดฮันเตอร์โทร.ถึงตัวทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะไปหรือไม่ไป เพราะคนในตลาดมีไม่พอ


::::::::::::::::::


Q3 : การที่เฮดฮันเตอร์เจาะรายคนอย่างนี้ จะทำอย่างไรให้คนอยู่กับเรา ?

ก็เขาอยู่ เขาดึงคนของเราไปได้ไม่กี่คน ดึงได้ระดับล่าง ๆ ที่ขึ้นไม่ได้เพราะว่าเขาติดคนเก่งอยู่ข้างบน เขาก็บอกว่าเขาไปที่ที่เขาได้ขึ้น

อย่างนี้เข้าใจว่าทำไมเขาทำแบบนั้น ทีมทำงานเราก็มีทีมเอ ทีมบี

ทีมเอดึงไม่ได้ ดึงได้คนสองคน ก็ต้องดึงทีมบี เพราะถ้าอยู่ที่นี่โอกาสขึ้นมันยาก ก็เป็นเรื่องธรรมดา

ทีมเอดึงไม่ได้เพราะเขามีความเชื่อถือที่นี่ เมื่อไหร่ที่หมดความเชื่อถือ คนหมดความศรัทธาว่าที่นี่เป็นโอกาสทางวิชาชีพที่สูง เงินไม่เกี่ยว เงินให้ได้ อัดกันเต็มที่ ...น้อยกรณีที่เงินเป็นประเด็น

เช่นว่าเราปรับขึ้นให้คนคนนี้ มีคนอีก 30 คนเดือดร้อน อย่างนั้นก็ต้องปล่อยไป แต่เขาไปแล้ว เขาก็จะมีปัญหาในองค์กร ที่ถูกมองว่าคนนี้วิเศษมาจากไหน เงินเดือนแพง

คนไทยยิ่งมีนิสัยหมั่นไส้ใครเงินเดือนสูง ให้เขาทำงานไป อย่างไทย ๆ จะเป็นอย่างนี้ อันนี้จึงเป็นความละเอียดอ่อนว่าความสมดุลมันอยู่ตรงไหน


เรื่อง "คน" เป็นเรื่องตะลุมบอนกันมากที่สุด เป็นเรื่องที่ผมทำเยอะที่สุด เพราะว่าเรื่องธุรกิจมันไม่มาถึงโต๊ะผม โต๊ะผมเป็นเรื่อง HR คนที่ทำ HR จะมาโต๊ะผมมากกว่าผู้บริหารคนอื่น

เพราะธุรกิจมันมีสูตรของมันอยู่แล้วว่าธุรกิจจะต้องสู้อย่างนี้ ๆ แต่เรื่องของคนมันละเอียดอ่อน ว่าคนคนนี้เราจะสู้ได้แค่ไหน ศาสตร์นี้เป็นทั้งศิลป์และศาสตร

คือต้องมีวิทยาศาสตร์เข้ามาคำนวณว่า ถ้าเราขยับคนคนนี้ มันจะกระทบคนอีกกี่คน ในเครือธนาคารกสิกรไทย


::::::::::::::::::


Q4 : เรื่องวัฒนธรรมองค์กรสำคัญไหม?

สำคัญมาก วัฒนธรรมองค์กรที่คนเก่งทำงานแล้วอีโก้ไม่ไปเหยียบเท้ากัน อันนี้สำคัญ...สำหรับผมมันต้องเป็นโจทย์ที่ทลายกำแพง เพราะทุกคนจะมีกำแพงว่านี่สายงานของฉัน

สิ่งที่เป็นอุปสรรคกับการทำลายกำแพงคืออัตตา ว่าฉันวิเศษอย่างงั้นอย่างงี้ ฉันมีศักดิ์ศรี ในรูปแบบต่าง ๆ

เราพูดทุกวัน หาวิธีพูดที่จะไม่ให้คนทะเลาะกัน ไม่มีความรู้สึกว่าฉันวิเศษอยู่คนเดียว

ถ้าเป็นฟุตบอลต้องเล่นได้ทุกตำแหน่ง ไม่ใช่ตั้งแคมป์รออยู่หน้าประตูแล้วรอให้ส่งลูกมาฉันจะได้เตะเป็นดาราอยู่คนเดียว ทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้ ทุกคนต้องทำด้วยกัน

แต่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมียุทธศาสตร์ที่บรรยายออกมาแล้วคนเชื่อ ซึ่งผมก็เชื่อว่าทีมงานของผมมีความเชื่อ ต่อจากนั้นก็ต้องนวด เพราะคนเก่งมีอีโก้ มีอัตตาและมีอารมณ์

ถ้าเราไม่ระวัง จุดหนึ่งอารมณ์ระเบิดหรืออัตตาแสด งออกมาอย่างรุนแรง มันก็ทำให้วงแตก นี่เป็นความละเอียดอ่อน ยิ่งผู้บริหารระดับสูงยิ่งเป็น ระดับล่างไม่เป็นไร แต่ระดับสูงทุกคนก็เก่ง มีจุดยืนมีมุมมอง มีทางเลือกที่จะไปที่อื่นจะไปไหนก็ได้

การบริหารคนเป็นเรื่องการจัดการทาง จิตมากกว่า ทางเทคนิคทุกคนทำได้ จัดการกับจิตมันยาก เพราะจิตคิดไปไม่เหมือนกัน บางคนสะดุ้งไปกับเรื่องนี้ สัมผัสไปกับแต่ละเรื่อง ไม่เหมือนกัน จะไปห้ามก็ไม่ได้

เช่น ไปตักเตือนว่าอย่าไปกัดเขาอย่างนั้น อย่างนี้ บางทีก็งอนเลยลาออกไปเลย ต้องระวัง คนเก่งใครก็ต้องการ การจะว่า จะติใครระดับสูง ๆ ต้องมีศิลปะ เพราะไปติเหมือนติเด็ก ก็ได้เรื่องเลย ต้องมีวิธีนวดให้เขาไม่รู้สึกว่า เสียหน้าเกินไป

::::::::::::::::::


Q5 : ต้องมีการวางแผนเรื่องทายาทธุรกิจ (succession planning) หรือไม่ ?

นั่นเป็นอีกจังหวะหนึ่ง การแต่งตั้งรองกรรมการผู้จัดการรุ่นใหม่ทีเดียว 10 คน (แต่งตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2552) ก็เป็นการเติมเต็มสายงานต่าง ๆ อันนั้นถึงวันหนึ่งที่เปลี่ยนยุคเปลี่ยนรุ่นก็จะเป็นโจทย์สำคัญ ทายาทระบุเป็นตัวบุคคลไม่ได้

แต่ถ้าเป็นรุ่นระบุได้ว่ารุ่นถัดไปก็ต้องอายุน้อยกว่าผมสัก 10 ปี ระบุตัวได้ แต่ไม่ได้ แทงกันขาดในวันนี้ต้องแสดงฝีมือกันอีก

ดังนั้นโจทย์ของผู้บริหารระดับสูงไม่ได้อยู่ที่เรื่องของธุรกิจ แต่เป็นเรื่องของการคิด การปกครองผู้คน การวางตัวในสังคม

ผมว่าตอนนี้นามสกุลไม่ใช่ประเด็น เพราะเราก็ถือหุ้นในสัดส่วน ไม่ได้มีจำนวนที่มาชี้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้

ณ ขณะนี้ ยังไม่มีใครมีคุณสมบัติครบถ้วน มันต้องนวด ต้องพัฒนาทดลองกันไป แม้แต่คนที่เป็นอยู่แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีคุณสมบัติครบถ้วน มันมีโจทย์ที่ต้องเรียนรู้ ทำผิดบ้างถูกบ้าง

เวลาผ่านไป จากโลกที่ดูเหมือนเป็นโลกของสโมสรเล็ก ๆ ของคนไม่กี่ตระกูล ก็กลายเป็นโลกการเงินแบบกว้าง คนที่ขึ้นมาบริหารก็มีไม่กี่คนที่มาจากตระกูลดั้งเดิม และมีนักการเงินโดยทั่วไปที่ขึ้นมา

ตลอดเวลา 30 ปีที่ผมทำงานด้านการเงินมาประเด็นนี้ (ธนาคารพาณิชย์อยู่ในมือคนไม่กี่ "ตระกูล") มันก็กลายเป็นเรื่องเล็ก เพราะประเด็นทุกวันนี้มันอยู่เรื่องความโปร่งใส บริหาร ความเสี่ยงดีหรือเปล่า มากกว่าว่าไอ้นี่ (ผู้บริหาร) มันนามสกุลอะไร

::::::::::::::::::


Credit : ประชาชาติธุรกิจ


บริหาร ทรัพยากรมนุษย์