Thursday, September 22, 2011

หนุ่ม​สาว​มะ​กัน​ยึด​วอ​ลล์​สตรี​ท ต้าน​ความ​แตก​ต่าง​ทาง​ชน​ชั้น

หนุ่ม​สาวชาวอเมริกัน​ ปักหลัก​ชุมนุม​ประท้วงบริเวณ​หัว​มุม​ถนน​วอ​ลล์​สตรี​ท​ ใกล้กับตลาดหลักทรัพย์​นคร​นิวยอร์ก ต่อต้าน​ความ​แตก​ต่าง​ทาง​ชน​ชั้น แต่​ไม่​มี​รายงาน​การ​เกิด​เหตุ​ปะทะ​หรือ​ใช้​กำลัง...

ชาวอเมริกัน​หนุ่ม​สาว​อายุ​ราว 20 ต้นๆ ประมาณ 200 คน ปักหลัก​ชุมนุม​ประท้วง​เป็น​วัน​ที่ 5 บริเวณ​หัว​มุม​ถนน​วอ​ลล์​สตรี​ทบ​น​เกาะแมน​ฮัต​ตัน ไม่​ห่าง​จาก​ตลาดหลักทรัพย์​นคร​นิวยอร์ก (เอ็น​วาย​เอส​อี) ของ​สหรัฐฯ เมื่อ 22 ก.ย.2554 หลัง​ผู้​ชุมนุม​ราว 1,500 คน ​รวม​ตัว​กัน​ใน​วัน​แรก​เมื่อ 18 ก.ย.2554 ​เพื่อ​ต่อต้าน​ความ​แตก​ต่าง​ทาง​ชน​ชั้น แต่​ผู้​ชุมนุม​บาง​ราย​ระบุ​ว่า​ออก​มา​ชุมนุม​เพราะ​ไม่​พอใจ​ที่​ประสบ​ภาวะ​ว่างงาน ขณะ​ที่​บาง​ราย​ระบุ​ว่า​เป้าหมาย​การ​ชุมนุม​คือ​การ​ลด​ภาวะ​โลก​ร้อน พร้อม​ระบุ​ว่า​จะ​ปักหลัก​ไป​จนกว่า​ชาวอเมริกัน​ส่วน​ใหญ่​จะ​ลุก​ขึ้น​มา​ต่อสู้​กับ​ความ​ไม่​เป็น​ธรรม

อย่างไรก็ดี การ​ชุมนุม​ได้​รับ​ความ​สนใจ​จาก​ประชาชน​ที่​เดิน​ผ่าน​ไป​มา และ​มี​ผู้​บริจาค​เงิน​สนับสนุน รวม​ถึง​ซื้อ​พิซ​ซ่า​มูลค่า​กว่า 10,000 ดอลลาร์ (ราว 300,000 บาท) เพื่อ​เลี้ยง​ผู้​ชุมนุม​ทั้งหมด ขณะ​ที่​ตำรวจ​ตรึง​กำลัง​เฝ้า​ดู​ผู้​ชุมนุม​อยู่​ห่างๆ แต่​ไม่​มี​รายงาน​การ​เกิด​เหตุ​ปะทะ​หรือ​ใช้​กำลัง รวม​ถึง​ยัง​ไม่​มี​ผู้​ถูก​จับกุม​ข้อหา​ก่อ​ความ​ไม่​สงบ

ขณะ​เดียวกันมี​รายงาน​ด้วย​ว่า ​เครือ​ข่าย​ภาค​ประชา​สังคม​ใน​ประเทศ​มาลาวี ทวีป​แอฟริกา ประกาศ​จัด​ชุมนุม​ใหญ่​ใน​กรุง​ลิ​ลอง​เว เมืองหลวง​ของ​มาลาวี รวม​ถึง​เมือง​แบ​ลน​ไท​ร์ ศูนย์กลาง​ทาง​เศรษฐกิจ และ​เมือง​เอ็ม​ซูซู ทาง​เหนือ​ของ​ประเทศ เพื่อ​เรียก​ร้อง​ให้​ประธานาธิบดี​ บิ​ง​กู มู​ทาริกา ปฏิรูป​ระบบ​เศรษฐกิจ​และ​แก้ไข​ปัญหา​ขัดแย้ง​ทางการ​เมือง แต่​นัก​วิเคราะห์​เกรง​ว่าการ​ชุมนุม​ครั้ง​นี้​จะ​นำ​ไป​สู่​เหตุการณ์​นองเลือด​ซ้ำ​รอย​กับ​ที่​เคย​เกิด​ขึ้น​ใน​เดือน ก.ค. ซึ่ง​ตำรวจ​ใช้​อาวุธ​สลาย​การ​ชุมนุม และ​มี​ผู้​ถูก​ยิง​เสีย​ชีวิต​ถึง 19 ศพ

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2554

แม่ปินส์คลอดลูกบนเครื่องบิน 'ถกสัญชาติเด็ก' หวังได้เป็นพลเรือนสหรัฐฯ

แม่ชาวฟิลิปปินส์คลอดลูกบนเครื่องบิน ระหว่างเดินทางไปซานฟรานซิสโก หวังลูกได้สัญชาติสหรัฐฯอัตโนมัติ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้หากอยู่เหนือน่านน้ำสากลต้องถือสัญชาติตามพ่อแม่...

สำนักข่าวต่างประเทศ รางานเมื่อ 22 ก.ย.2554 ว่า นางไอดา อลามิลโล หญิงวัย 41 ปี ชาวฟิลิปปินส์ คลอดลูกชายคนใหม่ ระหว่างเดินทางไกลด้วยเครื่องบินโดยสารสายการบิน ฟิลิปปินส์ แอร์ไลน์ส จุดหมายจากกรุงมะนิลา ปลายทางซาน ฟรานซิสโก ของสหรัฐฯ ขณะที่แพทย์ของเธอไฟเขียวให้เดินทางไปที่ไหนก็ได้แม้กำลังท้องแก่

ทั้งนี้ เมื่อ ไอดา เริ่มมีอาการเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ลูกชายวัย 13 ปี ของเธอที่เดินทางมาด้วยกัน ได้ร้องขอความช่วยเหลือ ด้านยาต่างๆ จากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ส่วนการคลอดเป็นไปอย่างราบรื่น โดยได้พยาบาล 3 คน ที่อยู่บนเครื่องบิน และลูกเรือคอยให้ความช่วยเหลือ แต่ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเด็กที่เกิดมาจะได้รับสัญชาติอะไร เพราะเชื่อว่าระหว่างคลอดเครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือน่านน้ำสากล จึงมีเรื่องสัญชาติของเด็กให้ต้องหาคำตอบกันต่อไป

อย่างไรก็ดี ครอบครัวดังกล่าว กำลังย้ายไปอาศัยที่สหรัฐฯ หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า ลูกน้อยเกิดมาในเขตสหรัฐฯ เพราะจะได้รับสัญชาติอเมริกันโดยปริยาย ด้าน เจนนิเฟอร์ วอห์น เจ้าหน้าที่ศูนย์อพยพศึกษา เผยกับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ว่า "หากเด็กเกิดเหนือน่านน้ำสากล การพิจารณาสัญชาติจะเป็นไปตามสัญชาติของพ่อและแม่" ขณะที่ นางไอดา ตั้งชื่อลูกชายคล่าสุดว่า เควิน เรย์มาร์ ฟรานซิส โดมินโก โดยคำว่า ฟรานซิส มาจาก ซาน ฟรานซิสโก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ครอบครัวตั้งใจเดินทางมา และผู้เป็นแม่ให้กำเนิดบุตรโดยบังเอิญระหว่างการเดินทาง

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2554

ดาวเทียมเกษียณอันตราย!! ผอ.สำนักวิจัยดาราศาสตร์ฯ เตือนภัย 'ไทย' มีสิทธิ์โดน!

ประเทศไทยก็อันตราย ผอ.สำนักวิจัยดาราศาตร์ฯ เตือนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด แต่อย่าตื่นตระหนก เผยข้อมูลนอกจากดาวเทียมยูเออาร์เอส บนท้องฟ้ายังมีดาวเทียมพร้อมตกมากมาย...

ภายหลังแถลงการณ์ว่า ดาวเทียมสำรวจสภาพอากาศเก่าแก่อายุ 20 ปี น้ำหนักกว่า 6 ตันขององค์การนาซาจะเดินทางเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกในช่วงบ่ายวันศุกร์นี้ ตามเวลาของสหรัฐฯ และอาจเหลือเศษดาวเทียมที่ยังเผาไหม้ไม่หมดประมาณ 26 ชิ้น โดยมีน้ำหนักรวม 1,200 ปอนด์ หรือประมาณ 544 กิโลกรัม แต่ยังไม่สามารถระบุสถานที่และเวลาในการปะทะที่ชัดเจนได้

แต่เชื่อว่าจะไม่ผ่านเข้าไปในพื้นที่อเมริกาเหนือ และมีโอกาสตกลงในทะเลมากกว่าบนพื้นดิน และคาดการณ์ไว้ว่า เศษชิ้นส่วนน่าจะไปตกในมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงบ่ายแก่ๆของวันศุกร์ โดยเผื่อเวลาไว้ 14 ชั่วโมง ทั้งนี้นักวิเคราะห์ของนาซาวาดภาพสยดสยองในกรณีที่เลวร้ายที่สุดด้วยว่าอาจเหลือเศษซากขนาดใหญ่น้ำหนัก 300 ปอนด์ หรือราว 136 กิโลกรัม ตกใส่โลก ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายแก่จุดประทะเป็นระยะทาง 500 ไมล์เลยทีเดียว

รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผอ.สำนักวิจัยดาราศาตร์ฯ ซึ่งตามติดข้อมูลอย่างใกล้ชิดกล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า เท่าที่ติดตามและเช็กข้อมูลจากนาซา ไม่เพียงดาวเทียมยูเออาร์เอสที่ปลดประจำการดวงนี้มีโอกาสวิ่งสะเปะสะปะผ่านชั้นบรรยากาศร่วงลงมาใส่โลกแล้ว หลายคนยังไม่รู้ว่ายังมีขยะอวกาศและดาวเทียมหมดอายุการใช้งานที่ลอยอยู่บนอวกาศมากมายตกมาใส่โลกแบบไม่สามารถคำนวณวันเวลาเหมือนกับดาวเทียมดวงนี้ได้เช่นกัน

“ดาวเทียมที่ชื่อ "ยูเออาร์เอส" เป็นดาวเทียมในการทำการวิจัยบรรยากาศชั้นบนของโลก ซึ่งรอยต่อระหว่างโลกกับอวกาศโดยประมาณอยู่ที่ 100 กว่ากิโลเมตร มีหน้าที่สำรวจชั้นบรรยากาศของโลกเราว่าพบรังสีจากดวงอาทิตย์ รังสีคอสมิกเป็นอย่างไร เมื่อสภาพมันหมดอายุก็จะถูกทิ้งเอาไว้เป็นขยะบนท้องฟ้า แต่ที่น่าตกใจก็คือคนไม่ค่อยรู้ว่าบนท้องฟ้ายังมีดาวเทียมอื่นๆ อีกนับพันนับหมื่นลอยอยู่ ชนิดที่เราไม่สามารถคำนวณการตกเช่นเดียวกับยูเออาร์เอสเช่นกัน"

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ถามว่าประเทศไทยมีสิทธิ์โดนแจ็กพอตนี้หรือไม่เท่าที่ดูแล้วทุกประเทศทั่วโลกก็โชคร้า่ยได้ทั้งนั้น ประเทศไทยก็อยู่ในข่ายอันตรายเหมือนกัน แม้โอกาสมันจะน้อย

“ถามว่าไม่มีโอกาสเลย ก็ไม่ใช่ ที่บอกว่ามีโอกาส เพราะว่ามันลอยอยู่ในอวกาศ วงโคจรมันก็ผ่านประเทศไทยด้วย แต่สิ่งที่เราคำนวณก็คือขณะที่มันวิ่งเข้าในชั้นบรรยากาศของโลกที่มันจะเสียดสี ซึ่งปกติมันจะเสียดสีอยู่ที่ระดับสูงประมาณ 120 กิโลเมตร มันจะเริ่มเสียดสี น้ำหนัก 6 ตัน หลังจากนั้นขนาด 6 ตันเมื่อผ่านการเสียดสีแล้วน่าจะแตกกระจายเป็นลูกไฟ แต่สิ่งที่เราต้องคำนึงก็คือโลกเรามีน้ำ 3 ส่วน แผ่นดิน 1 ดังนั้นก็มีโอกาสจะตกลงในน้ำมากกว่าบนพื้นดิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตกในพื้นโลก ความเสี่ยงที่มันจะไปตกที่ใดที่หนึ่ง เช่น ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งหากตกลงมาด้วยความเร็ว มันจะสร้างความเสียหายมากมาย”

สุดท้าย ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า ที่เตือนไปก็ไม่อยากจะให้ตื่นตระหนก แต่อยากให้ติดตามข่าวสารจากนาซ่าอย่างใกล้ชิดและมีสติให้มากๆ เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 ก็ยังไม่เคยมีประวัติดาวเทียมตกแล้วมาทำให้คนตายเลย

Twitter : raydo_thairath

ที่มา: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ไลฟ์สไตล์ วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2554

Wednesday, September 21, 2011

โจ๋แสบ"แบงก์เก๊"ซื้อเบียร์-แม่ค้าร้องจ๊าก

โจ๋แสบ"แบงก์เก๊"ซื้อเบียร์-แม่ค้าร้องจ๊าก

ระบาดหนักที่ขอนแก่น เกลื่อนทั้งใบละ20กับ100

แบงก์ 20 บาทปลอมระบาดหนักทั่วเทศ บาลขอนแก่น โจ๋แสบซีรอกซ์แบงก์ร้อยและยี่สิบมาหลอกซื้อเบียร์ช่วงก่อนร้านปิด คาดเป็นแก๊งเดียวกันหลังหลายร้านค้าโดนกันระนาว ส่วนมากเป็นธนบัตรใบละ 20 และ 100 บาท "แบงก์ชาติ" เผยแบงก์ปลอมกลับมาระบาดหนักในพื้นที่ภาคอีสาน เตือนประชาชนตรวจสอบให้ละเอียด สัมผัส ยกส่อง พลิกเอียง พบเบาะแสแหล่งผลิต-จำหน่ายแจ้งตร.จับทันที

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 13 ก.ย.2554 ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากผู้ประกอบการร้านค้าในเขตเทศบาลนครขอนแก่นว่า มีกลุ่มมิจฉาชีพนำเงินธนบัตรแบงก์ 20 ปลอมมาหลอกซื้อสินค้าตามร้านค้า สร้างความเสียหายให้แก่ร้านค้าจำนวนมาก จึงเดินทางไปตรวจสอบที่ร้านขายของชำชื่อว่า "อัมรินทร์" ตั้งอยู่เลขที่ 161/ 25 ถ.ชาตะผดุง ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งมีนายสมชาย และ นางอุทัย พรมศาสตร์ สองสามีภรรยาเป็นเจ้าของร้าน ซึ่งนำธนบัตรปลอมฉบับละ 20 บาท 3 ฉบับ มาให้ผู้สื่อข่าวตรวจสอบ เมื่อเปรียบเทียบกับฉบับจริง พบว่าแบงก์ปลอมมีตำหนิชัดเจน กระดาษ สีซีด อ่อนกว่าของจริง มีหมายเลขเดียวทุกฉบับ คือ 5 D 5174331 เมื่อนำแบงก์ปลอมมาส่องกับแสงไฟจะเห็นความแตกต่างกับแบงก์ฉบับจริงไม่มากนัก และในวงกลมสีขาวไม่มีรูปพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังไม่มีเส้นแถบอีกด้วย

นางอุทัย กล่าวว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 ก.ย.2554 ขณะที่ตนและสามีกำลังขายของอยู่ในร้าน ได้มีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คนขับรถกระบะโตโยต้า ใส่หลังคาแครี่บอย สีขาว สภาพกลางเก่ากลางใหม่ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนเป็นพาหนะ เข้ามาทำทีขอซื้อเบียร์ 3 ขวดราคา 100 บาท และชำระเงินด้วยธนบัตรปลอมใบละ 20 บาท 5 ใบ แล้วรีบออกจากร้านอย่างมีพิรุธ เมื่อสามีเข้าไปรับเงินจึงทราบว่าเป็นธนบัตรปลอมแต่ชายคนดังกล่าวได้ขึ้นรถกระบะขับหลบหนีไปแล้ว หลังเกิดเหตุได้พยายามสอบถามร้านค้าต่างๆ ในเทศบาล พบมีร้านค้าหลายแห่งถูกแก๊งมิจฉาชีพนำธนบัตรใบละ 20 ปลอมเข้าไปหลอกซื้อสินค้า และคาดว่าคนร้ายน่าจะเป็นแก๊งเดียวกัน ซึ่งพบว่าขณะนี้แบงก์ปลอมกำลังแพร่หลายอย่างมากโดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครขอนแก่น

ด้านเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารรับทราบข้อมูลว่า ได้มีธนบัตรปลอมฉบับละ 1,000 บาท แพร่ระบาดอย่างมากในหลายจังหวัดของภาคอีสาน โดยเฉพาะจ.ขอนแก่น จึงได้ให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อช่วยสังเกตธนบัตรฉบับละ 1,000 บาทอย่างละเอียด ด้วยการสัมผัส ยกส่อง และพลิกเอียง แต่ไม่นึกว่าคนร้ายจะหันมาปลอมธนบัตรฉบับละ 100 บาท และ 20 บาทแทน อย่างไรก็ตามหากพบแหล่งผลิต จำหน่าย หรือคนร้ายที่มีแบงก์ปลอมไม่ว่าจะราคาไหนก็ตามมาซื้อสินค้าในร้าน ขอให้แจ้งธนาคารแห่งประเทศไทยหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อติดตามจับกุมผู้ผลิตหรือนำมาซื้อสินค้าไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ ข่าวสดรายวัน วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

อึ้ง!เด็กไทยยอมรับพฤติกรรม “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส”

อึ้งผลสำรวจเด็กไทยพร้อมลอกข้อสอบ-ขี้โกงถ้ามีโอกาส

น.พ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) เปิดเผยผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551–2552 ในส่วนของพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ สังคมและจริยธรรม(อีคิว)ของเด็กไทยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 1-14 ปี จำนวน 9,035 คน ใน 20 จังหวัด ด้วยการใช้แบบทดสอบพ่อแม่ และเด็ก โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ อายุ 1-5 ปี 6-9 ปีและ 10-14 ปี เนื่องจากเด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการต่างกัน เปรียบเทียบเมื่อปี 2544 พบว่า กลุ่มเด็กอายุ 6-9 ปี สำรวจ 8 ด้าน คือ วินัย สติ-สมาธิ เมตตา อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัด การควบคุมอารมณ์และพัฒนาสังคม พบว่า ผลการทดสอบพัฒนาการด้านสังคม ได้คะแนนสูงกว่าด้านอื่นๆ ส่วนด้านที่ได้คะแนนต่ำ คือ ความมีวินัย ความมีสติ-สมาธิ ความอดทนและความประหยัด โดยพัฒนาการด้านที่เด็กได้คะแนนน้อยซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ได้แก่ พัฒนาการด้านความมีวินัยในเด็กชาย การมีสมาธิในเด็กหญิง ด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ทั้งเด็กชายและหญิง

ด้านกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี สำรวจ 14 ด้าน ได้แก่ ความตระหนักรู้ในตน ความภาคภูมิใจในตนเอง ความเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการกับอารมณ์ การจัดการกับความเครียด การสื่อสาร สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความคิดสร้างสรรค์ค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์และคุณธรรมจริยธรรม พบว่า ในภาพรวมแม้ว่าเด็กจะมีคะแนนดีขึ้น แต่มีหลายด้านที่พบว่าคะแนนการสำรวจยังไม่ดีขึ้นกว่าปี 2544 ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การแก้ปัญหา และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ เมื่อแยกย่อยในส่วนของด้านจริยธรรม เด็กกลุ่มนี้ เห็นว่า “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น” เป็นพฤติกรรมที่เด็กยอมรับได้มากขึ้น

“ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมีปัญหาจริยธรรม พบว่า ตัวแปรสำคัญคือระดับการศึกษาของพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดู พ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงขึ้น เด็กจะมีจริยธรรมและพฤติกรรมในทางที่ดีมากขึ้น อาจเป็นเพราะพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงมีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ว่าควรจะเลี้ยงลูกอย่างไร

ทั้งนี้ สิ่งที่ควรพัฒนาในเด็กอายุ 1-5 ปี คือ การทำตามระเบียบกติกา

สิ่งที่ควรพัฒนาในเด็ก 6-9 ปี ในเด็กชายและเด็กหญิงควรพัฒนาด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์

และสิ่งที่ควรพัฒนาสำหรับเด็กอายุ 10-14 ปี ควรฝึกการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งการคิดวิเคราะห์วิจารณ์” รศ.นพ.วิชัย กล่าว

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554
--------------------

สวรส.เปิดวิกฤติจริยธรรมเด็กไทย อึ้ง!ยอมรับพฤติกรรม “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น”มากขึ้น แนะพ่อแม่ ครู เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก สื่อช่วยบ่มเพาะพฤติกรรมที่ดี ...

เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2554 รศ.นพ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข( สวรส.) เปิดเผยผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551 – 2552 ในส่วนของพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ สังคมและจริยธรรมของเด็กไทยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 1-14 ปี จำนวน 9,035 คน ใน 20 จังหวัด ด้วยการใช้แบบทดสอบพ่อแม่ และเด็ก โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ อายุ 1-5 ปี 6-9 ปีและ 10-14 ปี เนื่องจากเด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการต่างกัน โดยผลการสำรวจที่ได้จะเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนหน้าเมื่อปี 2544 กลุ่มเด็กเล็กอายุ 1-5 ปี สำรวจ 7 ด้าน ได้แก่ การสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิด การทำตามระเบียบกติกา ความจดจ่อมีสมาธิ การเลียนแบบ/เล่น แรงจูงใจใฝ่สำเร็จ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และการชอบสังคมกับเพื่อน พบว่า มีมากกว่าร้อยละ 10 ของกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนต่ำกว่าผลจากการสำรวจปี พ.ศ. 2544

ในด้านการทำตามระเบียบกติกา (Compliance) ในกลุ่มเด็กชาย เป็นข้อสังเกตที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะสะท้อนถึงแนวโน้มที่เด็กอาจมีนิสัยที่ต้องการจะได้อะไรก็ต้องได้ ขาดความพยายาม เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวโยงกับความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานของบุคคลกลุ่มเด็กอายุ 6-9 ปี สำรวจ 8 ด้าน คือ วินัย สติ-สมาธิ เมตตา อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัด การควบคุมอารมณ์และพัฒนาสังคม พบว่า ผลการทดสอบพัฒนาการด้านสังคม ได้คะแนนสูงกว่าด้านอื่นๆ  ส่วนด้านที่ได้คะแนนต่ำ คือ ความมีวินัย ความมีสติ-สมาธิ ความอดทนและความประหยัด โดยพัฒนาการด้านที่เด็กได้คะแนนน้อยซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ได้แก่ พัฒนาการด้านความมีวินัยในเด็กชาย การมีสมาธิในเด็กหญิง

ด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ทั้งเด็กชายและหญิงกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี สำรวจ 14 ด้าน ได้แก่ ความตระหนักรู้ในตน ความภาคภูมิใจในตนเอง ความเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการกับอารมณ์ การจัดการกับความเครียด การสื่อสาร สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความคิดสร้างสรรค์ค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์และคุณธรรมจริยธรรม พบว่า ในภาพรวมแม้ว่าเด็กจะมีคะแนนดีขึ้น แต่มีหลายด้านที่พบว่าคะแนนการสำรวจยังไม่ดีขึ้นกว่าปี 2544 ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การแก้ปัญหา และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ เมื่อแยกย่อยในส่วนของด้านจริยธรรม เด็กกลุ่มนี้ เห็นว่า “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น” เป็นพฤติกรรมที่เด็กยอมรับได้มากขึ้น

“ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมี ปัญหาจริยธรรม พบว่า ตัวแปรสำคัญคือระดับการศึกษาของพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดู พ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงขึ้น เด็กจะมีจริยธรรมและพฤติกรรมในทางที่ดีมากขึ้น อาจเป็นเพราะพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงมีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ว่าควรจะเลี้ยง ลูกอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่ควรพัฒนาในเด็กอายุ 1-5 ปี คือ การทำตามระเบียบกติกา (Compliance) ในเด็ก 6-9 ปี ในเด็กชายและเด็กหญิงควรพัฒนาด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ และสำหรับเด็กอายุ 10-14 ปี ควรฝึกการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ ” รศ.นพ.วิชัย กล่าว

ด้านรศ.พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัย สวรส. กล่าวว่า ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ควรให้น้ำหนักต่อการพัฒนาเด็กในด้านวุฒิภาวะด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม และจริยธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการดำรงชีวิตของบุคคลและเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความ สำเร็จในชีวิต ยิ่งไปกว่าปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา ซึ่งการศึกษาวิจัยระยะยาวในต่างประเทศ บ่งบอกว่า ระดับเชาวน์ปัญญาหรือ IQ มีผลต่อความสำเร็จในชีวิตเพียงร้อยละ 20 ในขณะที่พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคมร่วมกับพัฒนาการด้านสติปัญญาที่สมวัยใน วัยต้นของชีวิต เป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการด้านภาษา ด้านสติปัญญา และด้านจริยธรรมในขั้นต่อๆ ไป และจากศึกษาติดตามระยะยาวจากเด็กจนเป็นผู้ใหญ่ พบว่า ระดับเชาวน์ปัญญาในวัยเด็กมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในชีวิตการงาน และระดับเงินเดือนค่อนข้างน้อย ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ควบคุมความขัดแย้งและการเข้ากับคนอื่นได้ง่ายกลับมีส่วนทำให้ประสบความ สำเร็จในชีวิตมากขึ้น

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการดำเนินงานเพื่อสร้างเสริมพัฒนาการเด็กให้มาก ขึ้น และผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเด็กคือ พ่อแม่และครู ซึ่งต้องเน้นการเลี้ยงดูและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก นอกจากนั้น สื่อต่างๆโดยเฉพาะทีวี และภาพยนตร์ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็ก โดยสื่อสามารถนำหน้าที่บ่มเพาะพฤติกรรมที่ดีให้แก่เด็ก ทั้งในการให้ความรู้ผ่านทางรายการบันเทิงหรือรายการเด็กที่เหมาะสมกับการ เรียนรู้ รวมทั้งต้องคำนึงถึงเนื้อหาในการนำเสนอเพื่อปลูกฝังเรื่องดีๆ ให้กับเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของกรมสุขภาพจิต มีแผนด้านการพัฒนาด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม และจริยธรรมให้กับเด็กไว้อย่างชัดเจน

นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผอ.สวรส. กล่าวว่า สวรส.จะนำเสนอสถานการณ์ผลการสำรวจและข้อเสนอแนะเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขต่อไป

ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน 2554

ตัวต่อตัว: man to man, one per one, hand to hand, face to face, word for word, between two persons

ตัวต่อตัว - มีลักษณะโดยลำพัง ให้ความหมายใน 2 ลักษณะ

1. การพูดคุยระหว่างคนสองคน ในแบบเปิดเผย จริงใจต่อกัน ตรงไปตรงมา

2. (ในการต่อสู้หรือแข่งขันส่วนมากจะใช้"หนึ่งต่อหนึ่ง") เช่น เขาร้องท้าคู่แข่ง (คู่อาฆาต / ศัตรู) ให้ออกมาสู้กันแบบตัวต่อตัวโดยไม่มีการยกพวกรุมหรือลอบกัด อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ลูกผู้ชาย (ซึ่งเดี๋ยวนี้หายากมากขึ้นไปทุกที)

คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ให้ความหมายในเชิง"ตัวต่อตัว" ได้แก่ man to man, one per one, hand to hand, face to face, word for word, between two persons, eyeball to eyeball, eye to eye, facing, man-to-man, one-on-one, person to person, vis-à-vis, woman-to-woman

man-to-man เป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงการเปิดเผย (openness) ตรงไปตรงมา (directness + frank) โดยแฝงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัว เช่น บอกว่า พ่อได้มีการพูดตัวต่อตัวอย่างเปิดอกกับลูกชายในเรื่องเพศ Dad had a man-to-man talk with his son about sex.

eyeball to eyeball เป็นการประจันหน้ากันแบบตัวต่อตัว (ลูกกะตาต่อลูกกะตา)

Monday, September 19, 2011

อย.ประกาศลดราคายาแก้ปวด-ยาสลบ

อย.ประกาศลดราคายาแก้ปวด-ยาสลบ ชี้ช่วยให้สถานพยาบาลประหยัดงบประมาณจัดหายา สามารถนำงบประมาณไปใช้บริการประชาชนในด้านอื่นๆ ได้มากขึ้น ด้าน "วิทยา" เผย อาจหนุนเข้าบัญชียาหลัก หากลดราคาลงจริง

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุขเปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีกลุ่มเงินทุนหมุนเวียนยาเสพติด ทำหน้าที่ในการจัดหายาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ประเภท 4 และวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 สำหรับใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ได้ประกาศลดราคายาลงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี เนื่องจากได้มีการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการใหม่ตั้งแต่ปี 2552 โดย อย. ได้เปิดกว้างให้วัตถุเสพติดที่ใช้ทางการแพทย์ที่เป็นยาสามัญ (Generic drug) ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า มีสรรพคุณเท่าเทียมกับยาต้นแบบ (Original drug) เข้าแข่งขันประกวดราคาในการจัดซื้อยาได้ ทั้งนี้ในปัจจุบัน มียาสามัญจากหลายประเทศ เช่น เยอรมัน กรีซ สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพเทียบเท่ายาต้นแบบ สามารถเข้ามาแข่งขันอย่างเสรีในการเข้าร่วมประกวดราคา ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อระบบการบริหารยา ได้ผู้ผลิตใหม่ๆ เข้ามา ไม่เกิดการผูกขาดที่อาจทำให้เกิดปัญหายาขาดตลาด

นอกจากนี้ อย. ยังดำเนินการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอนิกส์อย่างถูกต้องตามระเบียบ พัสดุ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม รวมทั้งมีนโยบายการจัดซื้อยาครั้งละ 2 ปี แต่แบ่งการส่งยาออกเป็นงวด ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศต้องแข่งขันด้านราคา โดยยาบางตัวที่ผ่านการประกวดราคาแล้วมีราคาลดลงกว่าครึ่งในขณะที่ อย. ยังคงได้ยาที่ดี มีคุณภาพในการรักษา และเกิดความมั่นคงในการบริหารยาคงคลังอีกด้วยสำหรับยาที่ได้ปรับลดราคาลงมี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มยาแก้ปวด กลุ่มยานำสลบที่ใช้ในการผ่าตัด และกลุ่มยานอนหลับซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป 

รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ตัวอย่างยาที่ใช้กันมากและมีราคาลดลงอย่างชัดเจน เช่น ยาเฟนทานิล ชนิดแผ่นแปะผิวหนัง ขนาด 12 ไมโครกรัม/ชั่วโมง สำหรับ แก้ปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง บรรจุกล่องละ 5 แผ่น ราคาขายปี 2551 กล่องละ 1,060 บาท ลดราคาครั้งที่ 1 ปี 2554 เหลือ 795 บาท (ลดลง 25% เมื่อเทียบกับราคาปี 2551) ลดราคาครั้งที่ 2 ปี 2555 เหลือ 580 บาท (ลดลง 45% เมื่อเทียบกับราคาปี 2551) ยาเฟนทานิล ชนิดแผ่นแปะผิวหนัง ขนาด 25 ไมโครกรัม/ชั่วโมง บรรจุกล่องละ 5 แผ่น ราคาขายปี 2551 กล่องละ 1,895 บาท ลดราคาครั้งที่ 1 ปี 2554 เหลือ 1,210 บาท (ลดลง 36% เมื่อเทียบกับราคาปี 2551) ลดราคาครั้งที่ 2 ปี 2555เหลือ 1,000 บาท (ลดลง 47% เมื่อเทียบกับราคาปี 2551) ยาเฟนทานิล ชนิดแผ่นแปะผิวหนัง ขนาด 50 ไมโครกรัม/ชั่วโมง บรรจุกล่องละ 5 แผ่น ราคาขายปี 2551 กล่องละ 3,475 บาท ลดราคาครั้งที่ 1 ปี 2554 เหลือ 2,190 บาท (ลดลง 37% เมื่อเทียบกับราคาปี 2551) ลดราคาครั้งที่ 2 ปี 2555 เหลือ 1,700 บาท (ลดลง 51% เมื่อเทียบกับราคาปี 2551)
ทั้งนี้ยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์เหล่านี้ ส่วนใหญ่มีราคาสูง จึงไม่ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่หากราคาลดลง อาจมีการพิจารณานำเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับผู้มีสิทธิในกลุ่มต่างๆ ต่อไป ซึ่งการปรับลดราคายาในครั้งนี้ ช่วยให้สถานพยาบาลประหยัดงบประมาณในการจัดหายา สามารถนำงบประมาณไปใช้บริการประชาชนในด้านอื่นๆ ได้มากขึ้น

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2554

Sunday, September 18, 2011

ร้านแต้ (แต้เฮี้ยงอิ้ว) สงขลา

ร้านคนแซ่แต้ (แต้เฮี้ยงอิ้ว) สงขลา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ที่ผมต้องเดินทางไปหาดใหญ่ สงขลา ทุกครั้งที่ผมเดินทาง ผมมักจะเลือกเดินทางไปในทริปที่สนุกสนาน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมเสียใจเป็นที่สุด ที่จะต้องเดินทางไปงานศพเพื่อนอันเป็นที่รัก ซึ่งคำที่น้องเหยาได้กล่าวไว้ก่อนเสียว่า “พี่ผมไม่สบาย ไม่รู้จะอยู่ตีกอล์ฟไปอีกนานเท่าไหน ผมโทรไปชวน พี่อย่าปฎิเสธผมนะ” ครั้งแรกที่ได้ยิน นึกในใจว่า เฮ้ยทำไมพูดอย่างนี้ จากวันที่น้องเหยาพูดกับผมเมื่อต้นปี วันนี้เหยาไม่อยู่กับเราอีกแล้ว ขอให้น้องไปดี สุขสบายใจ สาเหตุในการเสียน้องไป คือการสูบบุหรี่อย่างจริงจังของเหยา สูบมากจนปอดพัง มะเร็งถามหา ขอให้หลายท่านเลิกเถอะ เดี๋ยวจะเสียใจภายหลัง
ผมเดินทางมาที่สงขลา มื้ออาหารนี้ผมควรมากับเหยา เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของน้อง แต่ก็ได้น้องเชื่อง ซึ่งเป็นน้องชายของเหยา ได้ส่งคนมาช่วยต้อนรับเป็นอย่างดี แม้ว่าเวลานี้มีงานยุ่งกับเรื่องที่วัด เชื่องรู้ว่าผมชอบกิน หาของกินไปทั่ว หลายร้านในกรุงเทพฯ ผมก็พาครอบครัวนี้ไปกิน มาครั้งนี้มาถึงบ้านน้องเชื่องก็บอกให้ผมรู้ว่าร้านนี้เหยาชอบมากและอร่อย อยากให้พี่มาลองกิน เอาเป็นว่าผมก็มา ได้ลองกินตามคำแนะนำ “ร้านแต้เฮี้ยงอิ้ว” เป็นร้านเก่าแก่ของจังหวัด ไม่ว่าใครไปใครมาจะต้องไม่พลาดร้านนี้โดยเด็ดขาด ผมไปถึงร้านคนที่ร้านก็เอาสมุดที่มีลายเซ็นต์ของคนมีชื่อเสียงต่างๆ มาให้ดู ทั้งคุณสมัคร ทั้งส.ส.สงขลา และเจ้านาย ก็ได้มาลิ้มลองอย่างไม่ขาดสาย นับว่าฝีมือร้านนี้ไม่เปล่าเอาทีเดียว สมแล้วที่อยากให้ผมได้มาลิ้มลอง จะลืมไปเสียนี่ทางน้องเชื่องส่งพี่อ้อ (เลขาสาวสวยของเหยา) มาพร้อมน้องบอย มาพาผมไปที่ร้าน อ๋อ...อย่าลืมกินกันเสร็จแล้ว ข้ามถนนสายเล็กๆหน้าร้านเป็น ร้านขนมไทยมีหลายอย่างที่ผมเคยเห็นตอนเด็กๆ คิดว่าเขาไม่ทำขายกันแล้ว กลับมีขาย เลยซื้อเยอะเลย คิดถึงเด็ก เฮ้ย!!ไม่ใช่ คิดถึงตอนเด็กๆๆ เกือบไปแล้วตู...
มาสั่งกันเลยดีกว่า พี่อ้อจัดการสั่งให้เอาเป็นตัวไฮไลท์กันเลย ว่าเข้าไปนั้น จานแรกลุยด้วย ยำมะม่วง (อันนี้อย่าดูแคลนนะครับ) เขาใช้มะม่วงเบามายำใส่กุ้งแห้งป่น หอมแดง พริกขี้หนู จัดเต็ม รสดี ไม่เปรี้ยวจนเข็ดฟัน ไม่เค็มจนจับใจความไม่ได้ แต่ได้รสสัมผัสของเนื้อกุ้งแห้งแบบเต็มๆ จานที่สอง เต้าหูราดหน้า เห็นพื้นๆ อีกแล้ว แต่ต้องบอกว่าใส่เนื้อปูเส้นมาเพียบ ไม่รู้ว่าจะเรียกราดหน้าปูดีกว่าไหม ส่วนจานเด็ดอีกจานคือ สะตอผัดหมูสับและกุ้งสับ อร่อยมากครับ
แม้มาถึงนี่แล้วเมืองสองน้ำ ทั้งเค็มและกร่อย ปลาที่ดีต้องปลากระพง ที่ร้านเลือกเฉพาะเนื้อท้องล้วนๆ มาผัดเผ็ด สุดยอดครับ ไม่บรรยายแล้ว เขียนไปน้ำลายไหลไป อยากกินครับ อีกจากยังไม่จบ เนื้อปูผัดพริกขี้หนู แม่เจ้าโว๊ย กินไปไม่รู้จักอิ่ม รู้ว่าที่นี่มีของอร่อยและสาวสวย มาตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ว่ะ...ตรู เมืองนี้ไปที่ไหนก็เจอปลาที่เป็นปลาสองน้ำ ปลากระบอก เป็นแหล่งใหญ่ที่หาได้มีทุกร้านแต่มาคราวนี้ขอสั่งหน่อยเอามาต้มส้มเสียหน่อย รสชาติพอดิบพอดี ไม่เปรี้ยวไม่แรงจนบาดคอ เยี่ยม...เอาว่าจบแบบนี้เลย ส่วนผัดผักที่เข้าท่า มีสองจานให้เลือกระหว่างคะน้ากับผักบุ้ง แล้วแต่ชอบ ส่วนพวกผมขอสั่งคะน้าปลาเค็มมากินกับข้าวสวยร้อนๆ เอาอันเต็มพุงครับ อ้าว อาเล็กวองค์บอกว่าขออีกจาน เอาเป็ดพะโล้มาลองกันหน่อย จัดไป อร่อยกว่าที่คิด รู้อย่างนี้สั่งเป็นจานแรกแล้ว...

ร้านนี้ไปไม่ยากครับ มาที่ถนนนางงาม ต.บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา ไปไม่ถูกเอาเบอร์ไปโทรก่อน 074-311-505 เขาเปิดเป็นเวลานะครับ รอบแรก 11.30-14.00 น. รอบที่สอง 17.00-20.00 น. ที่นี่เขากินไว จบไว อย่าโอ้เอ้นะ เดี๋ยวจะอดไม่รู้ด้วย

Rating : ที่สุดในแผ่นดิน (5 ดาว)

Latitude : 7.19589 Longitude : 100.59085

เรื่องและภาพโดย ธนา ทุมมานนท์ (เบย์พาเลส) www.facebook.com/baypalace

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ โดย ธนา ทุมมานท์ 22 สิงหาคม 2554

สุดยอด"บะหมี่สะพานสูง"

บะหมี่สะพานสูง: อีกแห่งของความอร่อย วันนี้ได้มีโอกาสมาเยือนร้านที่เป็นตำนานอีกร้าน "บะหมี่สะพานสูง" ประวัติเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ที่จำได้ว่ากินมาตั้งแต่ 20 ปีกว่าๆ มาแล้ว อร่อยมาก แต่ที่จะทำให้ไม่สบอารมณ์ก็ความช้าของที่ร้าน เขาค่อยๆ ทำค่อยๆ ปรุง ทำไปเรื่อยๆ ใครที่ใจร้อนคงต้องไปกินร้านอื่น ร้านนี้ต้องละเมียดละมัย ทั้งคนทำและคนกิน ที่สำคัญร้านนี้ไม่ค่อยจะมีใครรู้จักเท่าไร เอาเป็นว่าผมของแนะนำว่าที่แน่ๆ ในกรุงเทพฯ เจอร้านนี้ต้องหลบในฝีมือครับ
ตำนานความอร่อย
อยากกิน
เห็นแล้วน้ำลายหก
มาลุยกันเลยคณะของเรายังคงเป็นกลุ่มเดิมที่ต้องการสรรหาของกิน เน้นของอร่อย ราคามิตรภาพ หลังจากหาที่จอดรถได้เรียบร้อยแล้ว หาโต๊ะจัดการสั่งกันเลย ผมขอบะหมี่แห้งปูหมูแดง 2 ครับพิเศษด้วย คุณปลาไอบีเอ็ม บะหมี่แห้งปูหมูแดงและเกี๊ยวน้ำอย่างละหนึ่ง คุณหน่อยบะหมี่เกี๊ยวแห้งหมูแดงปู ส่วนคุณแอนดาราเดรี่ก็จัดบะหมี่เช่นกัน มาดูกันเลยครับ ที่เด็ดขาดต้องตัวเส้นเหนี่ยวนุ่มมาก มีกลิ่มหอมได้ใจ ที่สำคัญคือ วิธีการลวกเส้นที่ยังคงกรรมวิธีแบบโบราณอยู่ ส่วนเกี๊ยวผมว่าไม่ควรเรียกว่า เกี๊ยว ต้องเรียกว่าขนมจีบมากกว่า ใหญ่และอัดแน่นไปด้วยหมูปรุงรส ส่วนน้ำซุปดูดีเลยครับ กินแล้วชื่นใจ คงลืมร้านนี้ยากครับ...

ที่มา: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2554

ซื้อรถเล็กรับส้มหล่น เงินคืนสูงสุด 100000฿

คลอดออกมาแล้วเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา สำหรับนโยบายคืนภาษีให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรก

มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นรถประกอบในประเทศ ให้สิทธิ์เฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี และรถกระบะทุกประเภท ซึ่งรวมทั้งรถกระบะดับเบิ้ลแค็บ หรือรถกระบะ 4 ประตู โดยราคารถต้องไม่เกิน 1 ล้านบาท,

ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ ที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป ซึ่งซื้อรถตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.ปีนี้ถึง 31 ธ.ค.ปีหน้า ทั้งนี้ ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวไม่น้อยกว่า 5 ปี

สำหรับ รูปแบบการคืนภาษีสรรพสามิต จะคืนให้เมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปี หลังจากซื้อไปแล้ว โดยเงินที่คืนให้จะเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

นั่นหมายความว่า นักเลงรถจะต้องจ่ายเงินซื้อรถในราคาเต็มๆไปก่อน

จากนั้นต้องรอให้ครบ 1 ปีถึงจะได้เงินภาษีคืน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานราคา ณ หน้าโรงงาน ไม่ใช่ราคาที่ขายจริง
แน่ นอนว่า มาตรการดังกล่าวจะปลุกตลาดรถที่คึกคักอยู่แล้วให้อู้ฟู่มากขึ้น เพราะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อรถมากขึ้น เนื่องจากราคารถบ้านเราที่แพงเหลือหลาย เป็นเพราะอัตราภาษีที่ค่อนข้างสูง
อานิสงส์จากมาตรการคืนภาษีดังกล่าว จึงเท่ากับช่วยลดราคารถยนต์ทางอ้อม

โดย อีโคคาร์จะได้เงินภาษีคืน 60,000-70,000 บาท, รถยนต์นั่งขนาดซับคอมแพ็กจะได้คืนประมาณ 100,000 บาท และรถกระบะได้คืนเกือบ 20,000 บาท ส่วนปิกอัพดับเบิ้ลแค็บได้เงินคืน 80,000 ถึงเกือบ 100,000 บาท

งานนี้ จึงเป็นรายการส้มหล่นเข่งใหญ่ใส่รถซับคอมแพ็กและ
บี เซ็กเมนต์อย่างโตโยต้า วีออส, โตโยต้า ยาริส, ฮอนด้า ซิตี้, ฮอนด้า แจ๊ซ, มาสด้า 2, ฟอร์ด เฟียสต้า รวมทั้งเชฟโรเลต อาวีโอ้ เครื่อง 1.4 ลิตร

เพราะได้คืนภาษีอื้อซ่า!!

ขณะ ที่รถอีโคคาร์อย่างนิสสัน มาร์ช, ฮอนด้า บริโอ้ และอีโคคาร์ของมิตซูบิชิที่จะเปิดตัวปลายปีนี้ ส่วนอีโคคาร์ของซูซูกิจะเปิดตลาดปีหน้า ก็ได้คืนภาษีไม่น้อย

แต่อด เสียวไม่น้อย เพราะหากหักลบเม็ดเงินภาษีที่จะคืนมาแล้ว ราคาของรถในกลุ่มซับคอมแพ็ก อย่างโตโยต้า วีออส, โตโยต้า ยาริส, ฮอนด้า ซิตี้ และฮอนด้า แจ๊ซ จะใกล้เคียงกับรถอีโคคาร์

ขณะที่รถซับคอมแพ็กคาร์มีขนาดตัวถัง เครื่องยนต์ และออปชั่นที่มากกว่ารถอีโคคาร์
ใน ส่วนของรถปิกอัพแม้จะได้คืนภาษีไม่มากนัก เพราะทุกวันนี้เก็บภาษีต่ำอยู่แล้ว แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้คืนเลย ช่วยให้มีแรงจูงใจซื้อรถมากขึ้น ขณะที่รถปิกอัพ 4 ประตูจะได้คืนภาษีมากหน่อย

แต่ปัญหาคือส่วนใหญ่คนใช้รถปิกอัพจะไม่ใช่ เพิ่งมาเป็นเจ้าของคันแรก จึงต้องไปหานอมินีมาอ้างเป็นเจ้าของแทน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากของประเทศนี้ที่อุดมด้วยนอมินี

โครงการนี้ให้ สิทธิ์เฉพาะรถประกอบในประเทศ ดังนั้น แม้ว่าบางค่ายจะมีเก๋งเล็ก แต่เป็นรถนำเข้า ก็ไม่ได้สิทธิ์คืนภาษี ทำให้เสียเปรียบเชิงกล อย่างเช่น ซูซูกิ สวิฟต์ โปรตอน ซาก้า/เซฟวี่ เกีย ปิแคนโต เฌอรี่ คิวคิว/ เอ 1 เป็นต้น

สรุปงานนี้ค่ายรถญี่ปุ่นมีแต่ได้กับได้

ขณะที่เต็นท์รถมือสองที่เน้นเก๋งเล็ก ได้นั่งตบยุงทั้งปี!!!

อัลคาโปน
motorwars @ thairath.co.th
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ อัลคาโปน 18 กันยายน 2554

Friday, September 16, 2011

ยิ่งเล็ง ยิ่งลักษณ์ ยิ่งเละ


โปรดใช้วิจารณญาณ Please read with discretion / good judgement:




ยิ่งเล็ง ยิ่งลักษณ์ ยิ่งเละ
สะเปะ สะปะ สะเหร่อ
ดูโพย ดูเพี้ยน ดูเอ๋อ
พร่ำเพ้อ พร่ำเผื่อ พร่ำไป
สามสิบ สามร้อย สามปี
เลื่อนลี้ เลื่อนเรื่อย เลื่อนหาย
หลอกคน หลอกผี หลอกควาย
วุ่นวาย วุ่นวน วุ่นเวียน

หมื่นสาม หมื่นสี่ หมื่นห้า
ปีหน้า ปีนี้ หรือปีไหน?
ถมทะเล ถมทุกข์ ถมไทย
ดูไบ ดูบอก ปูทำ
น้ำเหนือ น้ำท่วม น้ำมา
ปูขา ปูไป อยู่ไหน?
นั่งฮอ นั่งวน นั่งไป
ดูคน ดูควาย ใกล้จม

ของแพง ของขึ้น ราคา
ปูขา ปูไม่ เคยสน
ปูรู้ ตัวปู ไม่จน
อดทน อดกลั้น เถอะคนไทย
เลือกเอง เลือกแล้ว เลือกปู
ไม่รู้ ไม่สน ปูไม่ให้
ฉันเลือก จะช่วย แต่พี่ชาย
พวกควาย ต้องช่วย ตัวเอง
ที่มา: forward mail และ นสพ. thaipost


เปิดข้อมูลนโยบายรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 1"  ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง ที่ได้ฤกษ์แถลงอย่างเป็นทางการต่อรัฐสภาในวันที่ 23-24 ส.ค. ที่ทางพรรคเพื่อไทยได้จัดทำเป็นเอกสารมีจำนวน 43 หน้า โดยแบ่งออก เป็นทั้งหมด 8 หัวข้อใหญ่ ดังนี้

1. นโยบาย ที่รัฐบาลใช้คำว่า"เร่งด่วน"จะเริ่มทำทันทีในปีแรก แบ่งเป็น

1.1 สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย ยังแยกย่อยได้เป็น

- สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย
- เยียวยาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องแก่บุคคลทุกฝ่าย เช่น ประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชน ซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองและความ รุนแรงที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายของการใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2540
- สนับสนุนให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อแนวทางปรองดองแห่ง ชาติ (คอป.) ดำเนินการอย่างอิสระและได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ในการตรวจ สอบหาความจริงกรณีความรุนแรงทางการเมือง

1.2 กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ

1.3 ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในภาครัฐอย่างจริงจัง

1.4 เร่งแก้ไขปัญหาความไม่สงบและนำสันติสุขกลับสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว

1.5 เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ

1.6 แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง

1.7 ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้ง พักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 5 แสนบาท อย่างน้อย 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้เกิน 5 แสนบาท, เพิ่มรายได้รายวันสำหรับแรงงานเป็นวันละ 300 บาท และรายเดือนของผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท, จัดให้มีเบี้ยยังชีพรายเดือนแบบขั้นบันไดสำหรับผู้สูงอายุ, ให้มีมาตรการภาษีเพื่อลดภาระการลงทุนสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตของประชาชนทั่ว ไป ได้แก่ บ้านหลังแรก

1.8 ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และลดลงร้อยละ 20 ในปี 2556 เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน ขยายฐานภาษีและรองรับเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558

1.9 ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนสินเชื่อรายย่อย

1.10 ยกระดับสินค้าการเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยให้มีการประกันภัยพืชผลและนำระบบรับจำนำสินค้าการเกษตรมาใช้ รวมถึงการออกบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร

1.11 ส่งเสริมให้มีการจัดการน้ำอย่างบูรณาการด้วยการสร้างระบบชลประทานขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก

1.12 เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวโดยได้ปี 2554 - 2555 เป็นปีมหัศจรรย์ไทยแลนด์ (มิราเคิลไทยแลนด์ เยียร์) และประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวร่วมเฉลิมฉลองในพระราชพิธีมหามงคลในช่วงปี 2554-2555

1.13 สนับสนุนงานศิลปหัตถกรรมเพื่อสร้างเอกลักษณ์และผลิตสินค้าในท้องถิ่น

1.14 พัฒนาระบบประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค

1.15 จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้โรงเรียน โดยเริ่มทดลองดำเนินการในโรงเรียนนำร่อง สำหรับระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2554 ควบคู่กับการพัฒนาเนื้อหาที่เหมาะสมตามหลักสูตรบรรจุลงในแท็บเล็ต รวมถึงทำอินเทอร์เน็ตไร้สายในระดับการให้บริหารและในพื้นที่สาธารณะ รวมถึงสถานศึกษาที่กำหนดฟรี

1.16 เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมือง ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขว้าง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้ประชาชนเห็นชอบโดยการออกเสียงประชามติ

2. นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ เช่น เทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์, พัฒนาและเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศของกองทัพให้มีความมั่นคง

3. นโยบายเศรษฐกิจ

4. นโยบายคุณภาพชีวิต

5. นโยบายที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

6. นโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม

7. นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

8. นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

สิ่งที่น่าสนใจคือ นโยบายของรัฐบาล ยังระบุด้วยว่า ในส่วนนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ มีเรื่องการเทิดทูนและพิทักษ์รักษาซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งมหากษัตริย์ โดยการเสริมสร้างจิตสำนึกประชาชนในชาติให้มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน โดยการเชิดชู ปกป้อง มิให้ผู้ใดล่วงละเมิดได้ 

รวมถึงป้องกันไม่ให้ มีการนำเอาสถาบันมาใช้อ้างเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม หรือเพื่อแบ่งแยกความจงรักภักดีของประชาชน อีกทั้งส่งเสริม เผยแพร่โครงการพระราชดำริเพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้สามัคคี และดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ทั้งยังต้องพัฒนาและเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศของกองทัพให้มีความมั่นคง รวมถึงเสริมสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติด้วย

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ ไทยรัฐออนไลน์ 23 สิงหาคม 2554



Thursday, September 15, 2011

เรื่องมาก จู้จี้ จู้จี้จุกจิก: choosy, nit-picking, picky, finicky

ภาษาอังกฤษ ที่ให้ความหมายในเชิง เรื่องมาก จู้จี้ จู้จี้จุกจิก นั้นมีหลายคำ เช่น fussy ; fastidious ; choosy ; nit-picking ; picky ; finicky ; pernickety,

เช่่น เขาเป็นคนช่างจู้จี้จุกจิกเสียจริง He is such a nit-picking person.

เช่น บริษัทสิ่งพิมพ์จู้จี้จุกจิกเรื่องมากในการเลือกบรรณาธิการสูงสุด The publisher is too choosy in selecting its Editor-in-Chief.

ส่วนการจู้จี้จุกจิก ในลักษณะ พิถีพิถันมาก ละเอียดลออ เอาใจใส่กวดขัน นั้น เรียก meticulous [Adj], scrupulous, fastidious, careful,

ใคร ๆ ในโลกก็จู้จี้จุกจิกกันทั้งนั้น เพียงแต่จะมากจะน้อยต่างกันไป ต่างเรื่องต่างราว เพราะฉะนั้นจงใจเย็นในเรื่องจู้จี้จุกจิก

Dr.SoS