Thursday, December 29, 2011

กิน 'โยเกิร์ต' ลดโกรธ

สูตรสุขภาพส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2555 ด้วยจิตใจเบิกบาน หากอารมณ์ขุ่นมัว สะกดไว้ได้ด้วยโยเกิร์ต

หลายๆ คน เลือกช่วงเวลาต้นปี ในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก มักถูกยกให้เป็นสิ่งแรกๆ ที่ต้องการควบคุมให้เป็นไปในทางที่ดี ดังนั้น ศุกร์สุดท้ายของปี 'มุมสุขภาพ' จึงนำสูตรเครื่องดื่มที่ช่วยลดความโกรธมาฝากกัน

โดย 'โยเกิร์ต' ถูกพบว่า มีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังอุดมด้วยวิตามินบี เพิ่มภูมิต้านทาน สร้างเม็ดเลือดแดง ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันผมร่วง

ที่สำคัญ แคลเซียมในโยเกิร์ตนั้น สามารถกล่อมประสาทไม่ให้โกรธง่าย ลดความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด และฉุนเฉียว

เมื่อรู้ถึงสรรพคุณที่ดีต่ออารมณ์แล้ว ลองนำโยเกิร์ตมาทำเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งในสูตรที่แนะนำนี้ จะมีแอปเปิ้ล ช่วยลดความตึงเครียด แครนเบอร์รี่ ช่วยขับปัสสาวะ และน้ำผึ้ง ที่ช่วยแก้เจ็บคอ ขับเสมหะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ

ส่วนผสม มีดังต่อไปนี้...

โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
แอปเปิ้ล 2 ถ้วย
แครนเบอร์รี่ 1 ถ้วย
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา


ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากทำความสะอาดผลไม้ นำแอปเปิ้ลไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ ส่วนโยเกิร์ตกับแครนเบอร์รี่ให้ปั่นรวมกัน ได้แล้วให้เติมน้ำแข็งป่น น้ำแอปเปิ้ลที่สกัดไว้ลงไป รวมทั้งน้ำผึ้งก่อนปั่นส่วนผสมทั้งหมดพร้อมกันอีกครั้ง เป็นอันเสร็จ โดยแนะนำให้ดื่มทันที

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD @ g mail.com

ที่มา: กิน 'โยเกิร์ต' ลดโกรธ วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2554 ©2554 บริษัท เดลินิวส์ เว็บ จำกัด

ไม้ผลแปลกและหายาก ที่น่าปลูกในปี พ.ศ. 2555

นิสัยของชาวสวนผลไม้ไทยมักจะเลือกปลูกไม้ผลที่ฮือฮาตามกัน ผลไม้ชนิดไหนขายได้ราคาดีก็จะแห่ปลูกตามกันโดยไม่ยึดหลักการของ “การตลาดนำหน้าการผลิต” ผลสุดท้ายเมื่อผลผลิตของไม้ผลชนิดนั้นเกินความต้องการของตลาดทำให้ชาวสวนขายผลผลิตได้ราคาต่ำและมีไม้ผลเศรษฐกิจหลายชนิดที่ต้องใช้ทั้งเวลาและเงินทุนสูง ชาวสวนผลไม้ไทยควรจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำสวนผลไม้เสียใหม่ อาทิ ไม่ควรเลือกปลูกไม้ผลเพียงชนิดเดียวควรจัดแปลงปลูกไม้ผลหลากหลายชนิดและในแต่ละชนิดไม่ต้องใช้เนื้อที่ปลูกมาก มีการบำรุงรักษาปรับปรุงคุณภาพผลผลิตให้ดียึดหลักว่า “ทำน้อยได้มาก” นอกจากนั้นชาวสวนผลไม้จะต้องหมั่นศึกษาและหาข้อมูลทางด้านการตลาดผลไม้อยู่ตลอดเวลา อย่างกรณีของการนำไม้ผลแปลกและหายากมาปลูกก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาทางด้านการตลาดลงได้ เนื่องจากไม้ผลชนิดนั้นยังมีการขยายพื้นที่ปลูกน้อย

“ไม้ผลแปลกและหายาก” ที่คิดว่ายังมีช่องทางทางการตลาดดีในอนาคต เริ่มจากมะม่วงไต้หวันที่ปลูกได้ในประเทศไทย การปลูกมะม่วงในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยขณะนี้ถ้าจะว่ากันไปแล้วชาวสวนจะปลูกมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองมากที่สุด ด้วยคิดเพียงแต่ว่าตลาดต่างประเทศมีความต้องการมากกว่ามะม่วงสายพันธุ์อื่น โดยไม่คำนึงว่ามะม่วงน้ำดอกไม้สีทองที่จะส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศนั้นจะต้องมีการคัดเกรดและการดูแลรักษาที่ยุ่งยากเพียงใด และด้วยมีการขยายพื้นที่ปลูกกันมากขนาดนี้ อนาคตการตลาดจะเป็นเช่นไร ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานการปลูกมะม่วงไต้หวัน 3 ครั้งในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากจะเห็นระบบการปลูก, การผลิตและการแปรรูปแล้ว เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงในไต้หวันยังมีการรวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มสหกรณ์ที่มีความเข้มแข็งมาก ทำให้เกษตรกรไต้หวันขายผลผลิตมะม่วงได้ราคาดี อย่างกรณีของ มะม่วงพันธุ์อ้ายเหวิน ที่ไต้หวันส่งออกไปขายยังประเทศญี่ปุ่น เกษตรกรขายได้ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาทปัจจุบันไต้หวันยังได้มีการพัฒนาสายพันธุ์มะม่วงอย่างต่อเนื่องและมีบางสายพันธุ์ที่มีการนำมาปลูกในบ้านเราจนประสบผลสำเร็จ เช่น พันธุ์งาช้างแดง ด้วยมะม่วงสายพันธุ์นี้ผู้เขียนเคยรับประทานที่ไต้หวันมาแล้ว รสชาติหวานอร่อยไม่แพ้พันธุ์จินหวงและพันธุ์อี้เหวิน เบอร์ 6 และจุดเด่นของมะม่วงงาช้างแดงมีขนาดน้ำหนักผลเฉลี่ย 2-3 กิโลกรัมและเมื่อแก่ผลจะมีสีม่วงเข้ม

นอกจากนั้นยังมีไม้ผลแปลกและหายากจากไต้หวันอีกชนิดหนึ่งที่ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้นำมาทดลองปลูกคือ “ปีแป๋” ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Pipa” มีคนไทยเรียกทับศัพท์ว่า “ผีผา” ผู้เขียนได้เมล็ดปีแป๋จำนวนหลายร้อยเมล็ดจากไต้หวันมาเพาะและปลูกลงดิน เมื่อต้นปีแป๋มีอายุต้นกล้า 2 ปีได้ทดลองราดสารแพคโคลบิวทราโซลเพื่อบังคับการออกดอก ผลปรากฏว่าหลังจากราดสารไปได้ 1 เดือน พบว่ามีการออกดอกและติดผล “ปีแป๋” นับเป็นไม้ผลแปลกและหายากอีกชนิดหนึ่งที่มีอนาคต เนื่องจากที่ไต้หวันมีราคาขายถึงผู้บริโภคราคากิโลกรัมละ 100-300 บาท ในขณะเดียวกันไต้หวันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ฟักให้มีขนาดผลใหญ่มากเพื่อรองรับการแปรรูปเป็นน้ำฟักพร้อมดื่ม และได้มีการนำเมล็ดฟักยักษ์จากไต้หวันมาทดลองปลูกในประเทศไทยได้ขนาดของผลใหญ่ใกล้เคียงกับที่ปลูกในไต้หวัน คือ มีน้ำหนักผลเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20 กิโลกรัมต่อผล “ฟักยักษ์” เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด และสามารถปลูกได้ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

ประเทศไทยนั้นเป็นอันดับหนึ่งในการผลิตและส่งออกสับปะรดกระป๋องเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงการส่งออกสับปะรดในรูปสับปะรดผลสดนั้น ถือว่าไทยเรามีการส่งออกน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยอย่างประเทศฟิลิปปินส์ที่สามารถส่งออกสับปะรดผลสดได้ปีละกว่าแสนตันต่อปี หรือแม้แต่ไต้หวันซึ่งมีพื้นที่ปลูกสับปะรดน้อยกว่าไทย แต่มีตัวเลขการส่งออกสับปะรดผลสดมากกว่า โดยเฉพาะส่งไปขายที่ประเทศญี่ปุ่น สับปะรดพันธุ์ “MD2” เป็นสับปะรดที่นิยมบริโภคสดทั่วโลก โดยมีคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งภายในและภายนอก เช่น ภายในคือเรื่องของรสชาติที่หวาน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อมีสีเหลืองเข้ม (คล้าย ๆ กับสับปะรดพันธุ์ภูเก็ตหรือตราดสีทองบ้านเรา) เนื้อตัน แน่น และไม่เป็นโพรง น้ำหนักผลเฉลี่ย 1.7-1.8 กิโลกรัม จากข้อมูลพบว่ามีวิตามินซีสูงถึง 4 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับสับปะรดพันธุ์อื่น ๆ เมื่อทานแล้วไม่กัดลิ้น สามารถทำให้คนทานได้มากขึ้น ปัจจุบันนี้สับปะรดพันธุ์ “MD2” เป็นที่รู้จักและกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากและมีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นในประเทศไทย

นอกจากนั้นยังมีไม้ผลอีก 2 ชนิดที่น่าสนใจและเป็นผลงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตร คือ เรื่อง “มะพร้าวลูกผสมกะทิพันธุ์ชุมพร 84-1 และ 84-2” ต่อไปเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะพร้าวกะทิไม่ต้องเสี่ยงว่าผลผลิตจะเป็นกะทิหรือไม่ มะละกอพันธุ์ “ขอนแก่น 80” สำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการที่จะบริโภคมะละกอสุกที่มีขนาดผลใหญ่ไม่มาก ผู้เขียนขอแนะนำว่ามะละกอพันธุ์ขอนแก่น 80 จัดเป็นมะละกอกินสุกที่มีรสชาติอร่อยมาก จะว่าไปแล้วอร่อยกว่าพันธุ์เรดมาลาดอล์ด้วยซ้ำไป

เนื่องในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2555 ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้ท่านมีความสุข ประสบแต่สิ่งที่ดีงามและมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไป.

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

ที่มา: ไม้ผลแปลกและหายาก ที่น่าปลูกในปี พ.ศ. 2555 วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2554 ©2554 บริษัท เดลินิวส์ เว็บ จำกัด
ก่อนจะถึงค่ำคืนของการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ก็ถือเป็นธรรมเนียมทุกปีที่ “บันเทิงเดลินิวส์” จะโฟกัสไปที่ดวงชะตา ทำนายทายทัก ของเหล่าศิลปิน นักแสดง ตลอดจนบุคคลเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมรับมือกับความเป็นไปในชีวิตที่จะมาถึงในรอบปีข้างหน้านี้

แน่นอนว่านักโหราศาสตร์ชื่อดังที่จะมานั่งเช็กดวงชะตาในคราวนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ อาจารย์ช้าง-ทศพร ศรีตุลา ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ไทยและฮวงจุ้ย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ’ซินแสไฮโซ“

และดูเหมือนว่าตั้งแต่ ’ดาวเสาร์“ (ดาวที่แรงที่สุดในทางโหราศาสตร์ไทย) ได้โคจรย้ายราศีไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ถือเป็นตำแหน่งที่แรงที่สุดในรอบ 30 ปี ผลของดาวเสาร์ส่วนมากมักเป็นผลในทางที่ไม่ค่อยดีนักกับดวงชะตาทั้ง 12 ราศี โดยเฉพาะราศีที่มีผลกระทบโดยตรง คือ ราศีตุลย์ (18 ต.ค.-16 พ.ย.), ราศีเมษ (14 เม.ย.-14 พ.ค.), ราศีพิจิก (17 พ.ย.-15 ธ.ค.) และ ราศีเมถุน (15 มิ.ย.-16 ก.ค.) และจากอิทธิพลนี้ยังผลต่อบุคคลที่ไม่ถูกกับ “ดาวเสาร์” นั่นคือ คนที่เกิดวันศุกร์ หมวดอักษรที่พึงต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ศ-ษ-ส-ห-ฬ-ฮ โดยผลจากการทำนายนี้เองส่งผลให้คนวงการบันเทิงได้รับอิทธิพลไปแล้วถึง 4 คน ดังนี้ เสกสรร ศุขพิมาย (เสก โลโซ), ต่าย-สายธาร นิยมการณ์, ปิงปอง-สะแกวัลย์ ยงใจยุทธ และ คุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ แห่งวิก 7 สี

ปีหน้าไม่รู้จะตั้งรับอย่างไร มาเริ่มต้นเตรียมความพร้อมกันซะตั้งแต่เวลานี้กันเลย…

มาเริ่มต้นดูภาพรวมของปี พ.ศ. 2554 จะเป็นอย่างไรกันบ้าง?

อ.ช้าง-ทศพร แจงให้ฟังว่า “มะโรง หรือ มังกร เป็นนักษัตรที่ต่างจากนักษัตรอื่น ๆ มีพลัง อำนาจ ไปทั่วโลก เป็นสัตว์ในตำนานความเชื่อ อีกทั้งเมื่อมีการย้ายของดาวเสาร์ ดวงดาวที่แรงที่สุด ผนวกกับโคจรมาเจอกับดาวพฤหัส (ซึ่งไม่ถูกกัน) เลยอยู่อย่างไม่มีความสุข อิทธิพลเหล่านี้เลยส่งผลกับทุกวงการ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุของภัยธรรมชาติด้วย โดยในปีหน้านี้อาจมีภัยพิบัติทางดินและลม ซึ่งไม่ใช่แค่ระดับประเทศแต่มีอิทธิพลไปทั่วโลกด้วย”

ทั้งนี้นักโหราศาสตร์คนดังยังย้ำเตือนไปถึงคนในวงการบันเทิงไว้ล่วงหน้าด้วยว่า ควรวางแผนชีวิตตัวเองใหม่ หากใครไม่เคยมีการออมเงินเก็บไว้ ก็ควรกระทำตั้งแต่เวลานี้ เนื่องจากภัยธรรมชาติอาจเกิดได้ทุกเมื่อ ทางที่ดีควรออมเผื่อไว้มากกว่า 1 เดือน หากคิวงานเลื่อนหรือยกเลิกจะได้มีการใช้จ่ายที่ไม่ขาดมือ และเพียงพอต่อการใช้ชีวิตในช่วงที่ไม่มีงานเข้ามานั่นเอง ช่วงเวลาที่ค่อนข้างแรงในมุมของคนบันเทิงมีดังนี้ มี.ค.-เม.ย. (ค่อนข้างรุนแรง), ส.ค.-ก.ย. และ พ.ย-ธ.ค. ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการวางแผนหรือ การคาดการณ์ในช่วงไตรมาสนั้น ๆ ควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่จะมีแต่เรื่องร้ายอย่างเดียว แต่ในปีมะโรงที่จะถึงนี้จะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้น ในมุมของเทคโนโลยีที่จะพัฒนามากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อวงการโทรทัศน์แน่นอน อีกทั้งในปีหน้ายังคงเป็นช่วงที่เหล่าดาราไทยไปโด่งดังในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และในมุมกลับกันในปี 2555 ก็เป็นช่วงที่มีข่าวน่าเป็นห่วงเกิดขึ้นกับนักแสดง-ศิลปินด้วย ไม่ว่าจะเรื่องความรักที่มีปัญหา, คู่รักดาราที่คบหากันมานานจะมีปัญหาถึงขั้นแตกหัก รวมถึงจะมีข่าวร้ายของการสูญเสียถึงขั้นเสียชีวิตด้วย (มี.ค.-เม.ย.) จากอุบัติเหตุและเกิดจากการตั้งใจ ที่สำคัญในปีหน้าคนบันเทิงต่างตบแถวมีพิธีฉลองและลั่นระฆังวิวาห์กันคึกคัก ได้แก่ เขตต์ ฐานทัพ กับ แนท-เปรมิการ์ (วันที่ 27 ม.ค.), ชาคริต-วุ้นเส้น (21 เม.ย.), แอฟ-ทักษอร กับสงกรานต์ (22 เม.ย.), ชาย-ชาติโยดม กับ วิกกี้ สุนิสา (16 พ.ค.) เป็นต้น

สำหรับปีหน้า 2555 นี้ปีที่ชง คือ ปีจอ (พ.ศ.2489, 2513, 2549) ปีร่วมชง ได้แก่ ปีมะโรง (พ.ศ.2471, 2531) ปีฉลู (พ.ศ.2480, 2504, 2540) และ ปีมะแม (พ.ศ.2462, 2522)

ราศีเมษ (14 เมษายน – 14 พฤษภาคม)

ราศีนี้เป็นดวงเมืองด้วย ซึ่งเล็งกับราศีเกิด เป็นดวงชะตาที่ต้องให้กำลังใจเยอะ ๆ เพราะมักถูกทักว่าดวงแตก! คนในราศีนี้จะชีพจรลงเท้า ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ หรือหากเป็นคนที่ทำงานแบบนั่งโต๊ะก็จะมีเรื่องที่จะทำให้ได้เดินทาง เรื่องงานจะถูกโกง ทรยศ หักหลัง กลุ่มนักแสดงระวังการโกงค่าตัว มีโอกาสได้เงินไม่ครบตามที่ตกลง และในเรื่องของสัญญาควรจะพิจารณาดี ๆ เรื่องความรัก น่าเป็นห่วง อาจถูกมือที่สามแย่ง มีความผิดหวัง เสียใจ อย่างไรก็ตามยังมีช่วงเวลาที่ดีเหมือนกัน คือ ตั้งแต่ ม.ค.-มี.ค. (ไตรมาสแรก) เปิดกิจการ หรือตกลงปลงใจมีแฟนยังได้

วิธีเสริมดวง ควรสร้างโบสถ์ วิหาร หรือซ่อมแซมพระพุทธรูป

ราศีพฤษภ (15 พฤษภาคม – 14 มิถุนายน)

คนในราศีนี้จะเป็นดาวรุ่งมาก ๆ ในปีนี้ เพราะในช่วง มี.ค.-เม.ย. ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี ธุรกิจรุ่ง ทั้งอาหาร, บริการ, ท่องเที่ยว งานประจำจะมีตำแหน่งที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญ คือ ควรทำตัวให้น่าอุปถัมภ์ เพราะจะมีคนเมตตาค้ำจุน อีกทั้งควรตระหนักถึงความกตัญญูด้วย หากเป็นศิลปินนักร้อง ก็จะมีผลงานใหม่ ๆ ออกมา แถมมีโอกาสโด่งดังอีกด้วย ด้านความรัก เป็นช่วงเวลาที่ลงตัวมากเป็นพิเศษ แต่ไม่ใช่กับคนรักเก่า แต่จะมีโอกาสเจอคนใหม่ที่ดีกว่า หากเป็นคู่รักที่ดูใจกันมานานมีสิทธิประกาศหมั้นหมายกันได้ ส่วนการเงินไม่ควรลงทุนในงานที่ไม่ถนัด อาจขาดทุนได้


ราศีเมถุน (15 มิถุนายน – 16 กรกฎาคม)
ดวงชะตาราศีนี้จะขึ้น ๆ ลง ๆ ชีวิตไม่นิ่ง มีผลมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และจะดีขึ้นจนถึงหลังสงกรานต์ ถ้าคิดจะเริ่มต้นงานใหม่ให้เริ่มทำตั้งแต่ต้นปี แต่จะมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเยอะมาก หากเป็นงานอิสระไม่ค่อยมีผล แต่หากเป็นงานประจำต้องแสดงความสามารถให้โดดเด่น ปัญหาทุกอย่างจะลดลง เรื่องรัก ๆ จะเป็นเรื่องของการตัดสินใจ คนที่โสดจะได้เริ่มต้นคบหากันแน่นอน และยังมีข่าวดีในปี 2556 ตามมาด้วย ส่วนคนที่ไกลคู่ก็จะมีปัญหาจุกจิกค่อนข้างเยอะ ส่วนคู่ครองก็จะมีปัญหากับพ่อแม่ได้ โดยเฉพาะจะมีปัญหากับบริวาร ซึ่งจะสร้างปัญหาอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดความเครียดได้

ราศีกรกฎ (17 กรกฎาคม – 16 สิงหาคม)

ปีนี้ดวงดีขึ้นเยอะพอสมควร หลายคนที่เปลี่ยนงานไปแล้วทุกอย่างจะดีมาก ๆ ในช่วงหลังปีใหม่ไทย คือ เดือน เม.ย. จะมีคนให้ความช่วยเหลือ ทำให้มีโอกาสใหม่ ๆ เข้ามา แต่เรื่องงาน ต้องระมัดระวังการขัดแย้งกับหุ้นส่วน หรือกลางปีนี้ค่อนข้างอันตราย ควรไตร่ตรองสิ่งที่เข้ามาใหม่ ๆ ให้ดี ๆ ด้านความรักจะมีคู่รักดาราตัดสินใจสละโสดแบบเซอร์ไพร้ส์ ใครที่มีคู่อยู่แล้วจะมีความพร้อมถึงขั้นแต่งงานได้เลย ถือว่าความรักลงตัวพอสมควร ส่วนการเงินจะมีโชค ได้เงินทองจากเรื่องการลงทุน

ราศีสิงห์ (17 สิงหาคม – 16 กันยายน)

ดาราในราศีนี้จะเป็นดาวรุ่ง มีชื่อเสียงจากงานที่ทำอยู่ตั้งแต่ต้นปี ใครที่เป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตรายการก็จะได้เวลาทำรายการใหม่และจะอยู่ยาวด้วย จะได้ทั้งชื่อเสียง ความสำเร็จอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีเกณฑ์การลงทุนทำธุรกิจ ใครที่คิดกู้เงินทำอะไรต้นปีก็จะผ่านฉลุย แต่ก็ยังมีอุปสรรคกับเพื่อนร่วมงานจนเกิดความขัดแย้ง โดยเฉพาะที่ทำงานกันมานานจะมีการโยกย้ายทำให้เกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงานได้ ด้านความรักหากทุ่มเทกับเรื่องนี้มากเกินไป จะส่งผลกับเรื่องงานที่จะแย่ลง ถ้ามีความรักในปีหน้านี้ก็จะคบหากันได้นาน แถมต้นปีจะมีข่าวดีจนถึงขั้นแต่งงานได้เลย

ราศีกันย์ (17 กันยายน – 17 ตุลาคม)

ปีนี้จะมีข่าวดี ดาราที่เกิดในราศีนี้จะเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ในปี 2555 เรื่องดี ๆ จะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี การทำงานก็สบายใจมากขึ้น เจอในสิ่งที่รัก เจองานในสิ่งที่ใช่ และจะชอบมากด้วย งานเดิมที่ทำอยู่อุปสรรคจะลดน้อยลง ยิ่งเข้าเดือน เม.ย. ไปแล้วจะยิ่งดีขึ้นไปอีก จนกลายเป็นความก้าวหน้า แถมยังเป็นช่วงของการเดินทางแบบชีพจรลงเท้าอีก เรียกว่าจะมีทั้งความสำเร็จ ชื่อเสียง หลังจากรอคอยมานาน แต่ก็มีข้อควรระวังจะมีบางช่วงที่มีเข้ามาบ้าง แต่ไม่แย่เหมือนปีที่ผ่านมาแน่นอน เพราะมีบทเรียนมาแล้ว ส่วนเรื่องความรักจะมีโอกาสได้แต่งงาน หมั้นหมาย สละโสด มีบุตร ได้ทายาท เรียกว่าพอดาวเสาร์ย้ายออกไป ความโชคดีจึงเข้ามา ส่วนการเงินควรใช้จ่ายอย่างระวังหน่อย

ราศีตุลย์ (18 ตุลาคม – 16 พฤศจิกายน)

เป็นราศีที่แรงที่สุด ไม่ใช่ร้ายที่สุด เรื่องงานจะมีภาระหน้าที่หนักขึ้น เรียกได้ว่าความเครียดมาพร้อมมังกรตัวนี้ ถ้าใครทำงานที่ต้องคิด วิเคราะห์ ไม่ค่อยมีปัญหา แต่อาจจะต้องดูแลด้านจิตใจอย่างมาก เพราะอาจมาพร้อมโรคภัย คิดจะเซ็นสัญญา ร่วมหุ้น ลงทุนควรให้พิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าเป็นไปได้ควรหาผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษา โดยเฉพาะคนบันเทิงอาจถูกบอกเลิกสัญญาอย่างกะทันหัน มีสิทธิย้ายค่ายและสังกัดได้ ซึ่งอาจย้ายไปอยู่ในที่ที่แย่กว่าเดิม ส่วนความรักใครมีคู่แล้วอาจเกิดความจืดจางลง และเกิดความหวาดระแวงมากเป็นพิเศษ คนโสดควรให้ความรักไกลตัวไปก่อน ลำพังเจอปัญหาเรื่องงานก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว

วิธีการเสริมดวง ควรปล่อยสัตว์น้ำ 10 ตัว ทุกวันเสาร์ หรือทำสังฆทานให้ใส่พระนาคปรก

ราศีพิจิก (17 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม)


ราหูยังคงอยู่มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และอยู่ยาวมาจนถึงปีนี้ แม้ราหูยังอยู่ในดวงชะตา แต่ก็มีความก้าวหน้า มีชื่อเสียงต่างประเทศ มีคนนิยมชมชอบมากเหมือนเดิม เรื่องงานจะมีผลงานมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะช่วงต้นเดือน มี.ค. ใครที่ทำในเรื่องผิดกฎหมายอยู่ก็มีสิทธิโดนจับ หรือเรื่องแดงขึ้นมา แม้ว่าปีนี้จะดังเป็นพลุ แต่ก็มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ ถ้าดำเนินชีวิตแง่ลบก็จะเจอเรื่องแย่ ๆ ส่วนความรักถือเป็นเด่นชัด จะได้สละโสด แต่งงาน หมั้นหมาย รวมถึงเจอเรื่องเซอร์ไพร้ส์ในช่วง มี.ค. จะเปิดตัวแฟน หรือเลิกรากับแฟนเก่า และมีแฟนใหม่ คนโสดจะได้เจอคนใหม่ที่มีความลงตัวมากขึ้น ด้านการเงินยังคงคึกคัก แต่ระวังความเครียดจากการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ขอให้คิดดี ๆ อย่างรอบคอบ

ราศีธนู (วันที่ 16 ธันวาคม – 14 มกราคม)

จะโดดเด่นในการลงทุน ต้นปีจะมีเกณฑ์ลงทุน ขยายสาขา ทำธุรกิจของตัวเอง หลังกลางปีต้องระมัดระวัง ทำอะไรจะติดขัด ศัตรูเยอะขึ้น ใครที่ยังเป็นลูกจ้างให้มองความก้าวหน้า ผ่านกลางปีไปจนถึงสิ้นปีจะเป็นดาวรุ่ง การเงินก็โดดเด่นไม่แพ้กัน หมุนเงินเก่ง โดยเฉพาะธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังมีรายได้พิเศษเข้ามาแน่นอน ส่วนความรักระวังปัญหาบ้านแตกเพราะมือที่สาม การหย่าร้าง เรื่องไม่ดียังคงอยู่จนไปถึงเดือน เม.ย. ใครที่อยากกลับตัวกลับใจหลังสงกรานต์จะดีมาก คนโสดจะเหนื่อยหน่อย แต่ตามพื้นดวงจะให้แก้ปัญหาเรื่องงานมากกว่า

ราศีมังกร (15 มกราคม– 12 กุมภาพันธ์)

จัดว่าดวงดีอีกราศีหนึ่ง เรื่องจะดีและคึกคักมาก แต่จะต้องสู้และลุยด้วยตัวเอง ปีนี้ดวงจะดีกว่าปีที่ผ่านมา งานจะก้าวหน้า มีโอกาสใหม่ ๆ ทางสังคม มีการปรับเปลี่ยนเรื่องงาน ออฟฟิศอาจย้ายที่ทำการใหม่ ความรักคนมีครอบครัวอาจมีข่าวดี มีลูก มีบุตร ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องระวังเรื่องมือที่สาม โดยเฉพาะคู่ที่ไกลกันจะเกิดปัญหารุงรังเรื้อรัง จนเป็นปัญหาให้แก้แบบไม่หวาดไม่ไหว ด้านการเงินมีความโดดเด่น เครดิตจะดีขึ้น ทำเรื่องกู้เงินก็จะผ่าน มีรายได้พิเศษเพิ่มเติมขึ้นแน่นอน

ราศีกุมภ์ (13 กุมภาพันธ์ – 14 มีนาคม)

ใครที่เป็นลูกจ้างจะได้รับการโปรโมต มีความโดดเด่น ส่วนผู้ที่ทำงานอิสระจะมีงานเข้า งานเข้ามาเยอะมากกว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามก็จะมีอุปสรรคในเรื่องงานหลังเดือน พ.ค. ไปแล้ว ทั้งภาระที่หนัก ติดขัดกว่าที่เคยเป็น อีกทั้งยังถูกนินทา ใส่ร้ายในเรื่องงานด้วย มาถึงเรื่องเงินต้องขอเตือนในเรื่องการใช้จ่ายเพราะจะมีมากขึ้นกว่าปี 2554 แถมการจับจ่ายการซื้อยังเยอะเหมือนเดิม ถ้าใช้จ่ายอย่างไม่มีวินัยรับรองว่าจะมีปัญหาเรื่องนี้แน่ ๆ พยายามอย่าใช้เงินตามอารมณ์ คนราศีนี้ชอบซื้อของซ้ำ ๆ

ราศีมีน (15 มีนาคม – 13 เมษายน)

กับราศีนี้ที่พ้นเคราะห์ซะที แถมมีความโดดเด่นมากขึ้น ทำงานได้อย่างสบายใจ อุปสรรคน้อยลง แต่หากทำธุรกิจที่มีหุ้นส่วนอยู่แล้วนั้น หุ้นส่วนอาจจะต้องเปลี่ยนหน้าไป โดยจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แถมมีโชคด้านงานขายมากขึ้นด้วย แต่หลังเดือน มี.ค. ไปแล้วก็จะมีขึ้นไปอีก มีโอกาสการซื้อขายที่ดิน ส่วนความรักของคนราศีนี้ คนที่มีคู่คนรักจะสร้างปัญหามาให้ มีโอกาสจะแยกทางกันด้วย แต่ผลลัพธ์จะดี ขอให้มั่นใจอะไรที่ทุกข์ใจอยู่จะหายไป เพียงแต่ต้องใจแข็ง ส่วนคนที่มีแฟนแล้วก็จะดีต่อเนื่อง ด้านการเงินจะมีโชคจากงานขาย โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เรียกว่ารายได้พิเศษจะเยอะขึ้นชัวร์

และสิ่งที่อยากจะฝากไว้ก่อนส่งท้ายปีเก่า ย่างเข้าปีใหม่ คนที่เกิดปีชงก็อย่าหวั่นวิตกเกินเหตุ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตอย่างมีสติ หากใครมีเวลาจะเริ่มต้นแก้ปีชงก็สามารถทำได้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2555 ไปแล้ว นอกจากนี้ อ.ช้าง ยังฝากบอกอีกว่าไม่ว่าจะเกิดราศีไหน ควรหา ’ปี่เซียะ“ มาพกติดตัวเอาไว้ก็จะดีไม่น้อย เป็นการเอาใจ ปีมังกร นั่นเอง

ปีหน้าฟ้าใหม่หวังว่า “คนวงการบันเทิง” จะรอดพ้นจากความโชคร้าย หายนะ และพึงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี น่ะที่สุด พยายามห่างไกลจากยาเสพติด การพนัน หลีกเลี่ยงสิ่งผิดกฎหมายเอาไว้ด้วย เพราะปีหน้าดาวมันแรง!!…

Wednesday, December 28, 2011

เตือนวัยรุ่นระวังใส่กางเกงรัดรูปเสี่ยงโรคปวดหลัง

นักวิจัยพบพิษกางเกงขาเดฟรัดรูป ส่งผลกระทบกระดูกสันหลังกลายเป็นโรคปวดหลังส่งผลต่อการเรียน แนะไม่อยากเจอโรคปวดหลังเล่นงานก่อนวัยอันควร ควรหลีกเลี่ยงกางเกงรัดรูดเด็ดขาด
วันนี้ (28 ธ.ค.) ที่ห้องวิจัยทางกายภาพบำบัดชั้น 5 คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.รุ้งทิพย์ พันธุเมธากุล หัวหน้ากลุ่มวิจัยปวดหลัง ปวดคอ และปวดข้ออื่น ๆ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์ รอง หน.กลุ่มวิจัยฯ พร้อมทีมคณะวิจัยฯ ร่วมกันแถลงข่าวงานวิจัย เรื่อง “ผลของกางเกงขายาวแบบรัดรูปต่อองศาการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังส่วนเอว และการทำงานของกล้ามเนื้อลำตัว”

ในโอกาสนี้ ได้ฉายสไลด์ภาพวัยรุ่นหญิง-ชาย 3 คน สวมกางเกงยีนขายาวเอวต่ำ แบบรัดรูป กำลังเดินตามชุมชน ห้างสรรพสินค้า นั่งโต๊ะทำงาน และยกของหนัก จนกลายเป็นโรคปวดเมื่อยและพบมากในภาคอีสาน โดยมีสาเหตุหนึ่ง เกิดจากการสวมกางเกงแบบรัดรูป และพบด้วยว่าปัจจุบันวัยรุ่นในภาคอีสาน ประมาณร้อยละ 80 เป็นโรคปวดหลัง โดยมีแฟชั่นยุคใหม่ นุ่งกางเกงรัดรูปเอวต่ำ โดยเฉพาะคนไข้ที่สวมกางเกงขายาวแบบรัดรูปอายุยังน้อย ทำให้มีปัญหาเรื่องปวดหลังมากกว่าร้อยยะ 20 และเข้าสู่ในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่เป็นโรคปวดหลังร้อยละ 80 นอกจากนี้ได้สร้างสถานการณ์จำลองวัยรุ่นสวมกางเกงขายาวรัดรูปเอวต่ำ คือ

1.ยืนขึ้นยกของหนัก-เบา
2.นั่งยอง ๆ ยกของหนัก-เบา
3.ยืนเหยียดไปด้านหน้า

โดยพบว่ากางเกงรัดรูปกับกระดูกสันหลังส่วนเอวทำงานมากขึ้น จนทำให้ผู้สวมใส่มีอาการปวดหลังเป็นอย่างมาก

สำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างเป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญในวัยรุ่น ส่งผลต่อการเรียน การทำงาน และ ค่าใช้จ่ายในการรักษาทางการแพทย์ ส่วนสาเหตุของอาการปวดหลังส่วนล่างในวัยรุ่นมีหลากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจำกัดของการเคลื่อนไหวของข้อสะโพก อีกทั้งอาการปวดหลังส่วนล่างในวัยรุ่นจะมีส่วนเชื่อมโยงกับอาการปวดหลังส่วนล่างในวัยผู้ใหญ่ ดังนั้น หากวัยรุ่นคนใดมีอาการปวดหลังส่วนล่างเกิดขึ้น เชื่อได้ว่าในวัยผู้ใหญ่น่าจะการเกิดอาการปวดหลังส่วนล่างขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง

ด้าน รศ.ดร.วิชัย กล่าวว่า ในปัจจุบันวัยรุ่นไทยนิยมสวมกางเกงขายาวแบบรัดรูปตามสมัยนิยม โดยกางเกงแบบนี้จะรัดแนบแน่นบริเวณสะโพก ต้นขา และข้อเข่าของผู้สวมใส่ เช่น กางเกงยีนขาเดฟ เป็นต้น โดยลักษณะของกางเกงขายาวแบบรัดรูป จะทำให้การเคลื่อนไหวของข้อสะโพกถูกจำกัด และทำให้เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อลำตัวในช่วงของการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังส่วนเอวที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้นหากเปลี่ยนแปลงการทำงานของโครงสร้างเหล่านี้เป็นระยะเวลานาน อาจนำไปสู่การบาดเจ็บ จนเกิดอาการปวดหลังส่วนล่างตามมาได้ในอนาคต

“ดังนั้น กลุ่มวิจัยปวดหลัง ปวดคอ และปวดข้ออื่น ๆ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงศึกษาถึงผลการสวมกางเกงขายาวแบบรัดรูปต่อองศาการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังระดับเอวและการทำงานของกล้ามเนื้อลำตัว และผลการวิจัยพบว่า กางเกงขายาวแบบรัดรูป จำกัดการเคลื่อนไหวของข้อสะโพก แล้วส่งผลให้องศาการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังระดับเอวเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ การทำงานของกล้ามเนื้อหลังคลอด และทำให้ผู้สวมใส่เกิดความไม่สบายที่บริเวณหลังส่วนล่าง และเมื่อเปรียบเทียบกับกางเกงขายาวแบบสวมใส่สบายในขณะทำกิจกรรมต่างๆที่กล่าวมาแล้วข้างต้น” รศ.ดร.วิชัย กล่าว พร้อมกับแนะว่า อยากให้วัยรุ่นและคนทำงานควรหลีกเลี่ยงสวมกางเกงขายาวชนิดรัดรูป และจำกัดการเคลื่อนไหวที่ข้อสะโพกในการทำกิจกรรมหรืองานในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยลดอาการปวดหลังส่วนล่าง รวมถึงลดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการชดเชยสวัสดิการแก่ผู้มีอาการหลังส่วนล่างต่อไป และหากชอบกางเกงรัดรูปควรเลือกกางเกงทำจากเนื้อผ้ายึดหยุ่นได้ดี

ืัืที่มา: เตือนวัยรุ่นระวังใส่กางเกงรัดรูปเสี่ยงโรคปวดหลัง เดลินิวส์ เว็บ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554

บังคับพูดอังกฤษทุกวันจันทร์

ศธ.เดินเครื่อง พ.ศ. 2555 ปีแห่งการพูดภาษาอังกฤษ บังคับพูดในสถานศึกษาทุกหน่วยงานทุกวันจันทร์ เริ่ม 4 ม.ค.55
ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ศธ.ได้เปิดตัวโครงการ “ พ.ศ. 2555 ปีแห่งการพูดภาษาอังกฤษ (English Speaking Year 2012)” ไปแล้วนั้น เพื่อทำให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้ในทางปฏิบัติ ศธ.จะดำเนินการขอร้องแกมบังคับให้สถานศึกษา และสถานที่ราชการในสังกัด ศธ. รวมทั้ง ศธ.เอง พูดภาษาอังกฤษในวันจันทร์ของทุกสัปดาห์ แต่เนื่องจากสัปดาห์แรกในวันทำการของปี 2555 เป็นวันพุธ ดังนั้นในวันที่ 4 ม.ค.55 จะเป็นวันแรกที่ใช้การสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นจะให้ปฏิบัติในทุกวันจันทร์ นอกจากนี้จะขอให้สถานศึกษาจัดสื่อภาษาอังกฤษให้เด็กได้ใช้ อาทิ ดูภาพยนตร์ที่สนทนาด้วยภาษาอังกฤษ รวมทั้งรายการวิทยุ หนังสือต่างๆ เป็นต้น และจะร่วมมือกับเครือข่ายที่มีอยู่ เช่น โรงเรียนนานาชาติ มาเป็นโรงเรียนพี่ให้แก่โรงเรียนต่างๆ สถาบันสอนภาษาต่างประเทศ อาทิ บริติฃเคาน์ซิล และเอยูเอ โดยจัดสรรทุนการศึกษา ฝึกอบรมให้แก่นักเรียน ครู คณาจารย์ และบุคลากรในสังกัด ศธ. ซึ่งจะเป็นการสร้างแรงจูงใจ และโอกาสในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

ปลัด ศธ. กล่าวต่อไปว่า ในเร็วๆ นี้นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ จะมีหนังสือสั่งการไปยังสถานศึกษา และหน่วยงานในสังกัด ศธ. ให้ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว อย่างไรก็ตามการกำหนดให้พูด 1 วันต่อสัปดาห์ถือเป็นจุดเริ่มต้น แต่ความจริงแล้วการพูดทุกๆ วันๆ ละนิดหน่อย จะได้ผลดีกว่าการพูดอย่างหนักแค่วันเดียว ซึ่งหวังว่าจะมีการแทรกการใช้ภาษาอังกฤษเข้าไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รมว.ศธ.ไม่ได้หวังว่าทุกคนจะพูดได้อย่างชัดเจนถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ขอแค่สื่อสารได้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

ที่มา: บังคับพูดอังกฤษทุกวันจันทร์ เดลินิวส์ เว็บ วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2554

'เอ็น-ค่า' นวัตกรรมแก้น้ำเน่า - ฉลาดคิด

ผลพวงของอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศ นอกจากจะทิ้งร่องรอยของการสูญเสีย แต่ก็ยังมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ช่วยกันฟื้นฟูและเยียวยาให้ผู้ประสบภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ดังเดิม

อย่างเช่น ความร่วมมืออย่างเร่งด่วนของนักวิจัยในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี ที่พัฒนานวัตกรรมแก้น้ำเน่าเสียที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาให้ กับพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังจนเน่าเสีย โดยใช้ชื่อโครงการว่า “น้ำใส หายเหม็น ออกซิเจนสูง” หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่าระบบ “เอ็น-ค่า”(nCA)

“ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล” ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บอกว่า ผลงานนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์เทคโนโลยี โลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. และกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) ในการพัฒนาระบบเอ็น-ค่า ขึ้นมา โดยระบบดังกล่าวประกอบด้วย สารจับตะกอนเพื่อให้น้ำใส หรือสารเอ็น-เคลียร์ (nCLEAR) และเครื่องเติมอากาศด้วยปั๊มที่ออกแบบอย่างง่าย ราคาประหยัด ที่เรียกว่า เอ็น-แอร์ (nAIR )

ระบบดังกล่าวผ่านการทดสอบใช้งานจริงแล้วในระดับหมู่บ้าน คือ ที่หมู่บ้านทรงพล ชุมชนคลองสอง ลำลูกกา ในพื้นที่กว่า 9,000 ลูกบาศก์เมตร และได้รับ การยืนยันจากผู้ใช้งานจริงในชุมชนว่า หลังจากทดสอบกับน้ำสีดำ ๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วหมู่บ้าน ปรากฏว่าภายใน 30 นาที ตะกอนสีดำจะจับตัวเป็นก้อน ทำให้น้ำใสและมีออกซิเจนสูงขึ้น วันต่อมายุงก็ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำดีขึ้นทำให้สามารถสูบน้ำออกจากชุมชนได้โดยไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ด้าน “ดร.วรรณี ฉินศิริกุล” ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยพอลิเมอร์ เอ็มเทค หัวหน้าทีมวิจัยพัฒนาระบบเอ็น-ค่า เปิดเผยถึงที่มาของนวัตกรรมนี้ว่า เป็นงานวิจัยเร่งด่วน ทำในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งกำลังเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยได้ลงพื้นที่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น จึงชวนเพื่อน ๆ นักวิจัยมารวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งทางเอ็มเทค มีพื้นฐานเกี่ยวกับสารจับตะกอนอยู่แล้ว เมื่อรวมกับการออกแบบเครื่องเติมอากาศจากนักวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์บริการ ทำให้เกิดเป็นระบบนี้ขึ้นมา

โดยเอ็น-เคลียร์ หรือสารจับตะกอนเพื่อให้น้ำใส จะผลิตจากสารสกัดธรรมชาติและผงถ่าน ไม่มีอะลูมิเนียมหรือโลหะหนักผสมอยู่ สามารถจับตะกอนในน้ำได้อย่างรวดเร็ว และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยในการนำไปใช้งานและไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

น้ำที่ได้หลังจากตกตะกอนและกรองตะกอนออก จะเป็นน้ำใส กลิ่นไม่เหม็น ดังนั้นหากต้องการนำน้ำนี้ไปใช้อุปโภค หรือบริโภคจำเป็นต้องผ่านกรรมวิธีในการฆ่าเชื้อโรคที่ถูกต้อง เช่น การฆ่าเชื้อด้วยความร้อนโดยการต้ม หรือการผสมสารคลอรีนเจือจาง

ส่วนเอ็น-แอร์ หรือปั๊มเติมอากาศขนาดเล็กนั้น “ดร.กรธรรม สถิรกุล” นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ โครงการฟิสิกส์และวิศวกรรม จากกรมวิทยาศาสตร์บริการ บอกว่า เป็นการเพิ่มออกซิเจนในน้ำ ซึ่งหลังจากเติมสารจับตะกอนแล้ว ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องเติมออกซิเจน ซึ่งมีหลายประเภท

แต่ทีมวิจัยเลือกพัฒนาเป็นเครื่อง สูบน้ำ หรือไดโว่ขนาดเล็ก ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มักจะเตรียมไว้ป้องกันน้ำท่วมอยู่แล้ว ซึ่งเครื่องเติมอากาศที่ผลิตขึ้นนี้จะผลิตฟองขนาดเล็ก ที่มีพื้นผิวสัมผัสในการแลกเปลี่ยนอากาศมากกว่าฟองขนาดใหญ่

ระบบเอ็น-ค่า สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยของเสีย แก้ปัญหาเรื่องมลพิษและ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ชุมชนหรือผู้สนใจระบบดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่งานประชาสัมพันธ์เอ็มเทค 0-2564-6500 ต่อ 4673.

นาตยา คชินทร
nattayap@dailynews.co.th
ที่มา: 'เอ็น-ค่า' นวัตกรรมแก้น้ำเน่า - ฉลาดคิด เดลินิวส์ เว็บ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554

สุดทน!!ขโมยเข้าบ้าน 3 ครั้งรวด หนุ่มบินไทยเฉียดตายประกาศขายบ้านหนี

หนุ่มบินไทยสุดกลั้น ลั่นประกาศขายบ้าน หลังถูกคนร้ายบุกลักทรัพย์ 3 ครั้ง ล่าสุดเกือบตาย พบคนร้ายอย่างจัง สู้โดดถีบ เจอสวนแทง ร่าง แถมใช้ดัมเบลหนัก 6 กก.ทุบหน้าหวังฆ่าปิดปาก แกล้งตายเลยรอดมาได้
วันนี้ (28ธ.ค.) พ.ต.ท.ปัญญา ไอยราคม พงส.(สบ.3) สภ.เมืองนนทบุรีสาขาย่อยรัตนาธิเบศร์ได้นำตัวนาย ฟาน อันห์ อายุ 26 ปี สัญชาติเวียดนาม อาชีพ พนักงานร้านอาหาร ผู้ต้องหาคดีปล้นทรัพย์และร่วมกันทำอันตรายให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ภายในบ้านเลขที่ 24/1 หมู่ 2 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายจักรกฤษณ์ จิตติไพบูลย์ อายุ 39 ปี พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินไทย โดยขณะเกิดเหตุ เจ้าของบ้านเจอกลุ่มคนร้าย ขณะกำลังก่อเหตุ คนร้ายจึงรุมทำร้ายพร้อมกับ ใช้ที่ยกน้ำหนักทุบตีใบหน้าและศีรษะ หวังฆ่าปิดปาก


โดยนายจักรกฤษณ์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางกลับมาจากพักผ่อนที่บ้านแม่จ.สมุทรสาครในช่วงเช้า โดยได้แวะส่งภรรยากับลูกที่โรงเรียนก่อนจะกลับเข้าบ้านเพื่อมาเปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานเมื่อมาถึงหน้าบ้านสังเกตเห็นชายวัยรุ่นแอบยืนคุยโทรศัพท์อยู่บริเวณหน้าบ้าน เมื่อเห็นตนชายวัยรุ่นคนดังกล่าวก็รีบวิ่งหนีไป จึงคาดว่าน่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่บ้านแน่ๆเพราะก่อนหน้านี้บ้านตนก็โดนคนร้ายขึ้นบ้านมา 3 ครั้งแล้ว จึงรีบเปิดประตูรั่วเข้าไปตรวจสอบพบประตูไม้หลังบ้านถูกงัดแม่กุญแจออกไป ตนจึงรีบโทรศัพท์บอกเพื่อนว่าโดนอีกแล้วพร้อมกับเดินเข้าบ้านไป เมื่อมาถึงบริเวณบันไดได้มีคนร้ายเป็นชายสองคนวิ่งสวนออกมาด้วยความตกใจตนจึงกระโดดถีบหนึ่งในคนร้ายไปหนึ่งที่ ก่อนที่จะถูกหนึ่งในคนร้ายใช้ไขควงแทงที่ท้องส่วนอีกคนใช้ที่ยกน้ำหนักดัมเบลหนัก 6 ก.ก. ภายในบ้านกระหน่ำทุบที่ศีรษะและใบหน้าหลายครั้ง จนตนเองต้องแกล้งตายนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น


คนร้ายจึงช่วยกันนำสายไฟที่อยู่ภายในบ้านมามัดมือมัดเท้าตนไพล่หลังก่อนจะรื้อค้นทรัพย์สินภายในบ้านและวิ่งหลบหนีไป ไม่ถึง 5 นาที่ต่อมาคนร้ายสองคนได้ย้อนกลับเข้ามาใหม่และช่วยกันอุ้มตนเองไปผูกติดกับราวบันไดก่อนจะรื้อค้นเอาโทรศัพท์มือถือยี่ห้อแอ๊ปเปิ้ล รุ่นไอโฟน 3 จำนวน 1 เครื่อง ไอแพด จำนวน 1 เครื่อง โน๊ตบุ๊คยี่ห้อโซนี่ จำนวน 1 เครื่อง กล้องถ่ายวีดีโอยี่ห้อโซนี่จำนวน 1 เครื่อง แหวนทองคำขาวฝังเพชร 1 วง เงินสดอีกจำนวนหนึ่งที่ติดอยู่กับตัวหลบหนีไป เมื่อแน่ใจว่าคนร้ายไปแล้วตนจึงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านประกอบกับขณะเกิดเหตุ เพื่อนที่ตนโทรหาได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาช่วยเหลือตน
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ตนคงขายบ้านแล้วย้ายออกไปหาซื้อบ้านหลังใหม่แทน เพราะว่าตนไม่ได้อยู่บ้านเพียงคนเดียว โชคดีที่วันเกิดเหตุส่งภรรยากับลูกไปก่อนแล้วไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกและภรรยา

ด้านพ.ต.ท.ปัญญา กล่าวว่าคดีนี้โชคดีที่ผู้เสียหายมีปฏิภาณไหวพริบดี แกล้งทำเป็นเสียชีวิตจนคนร้ายหลงเชื่อ และคนร้ายได้ทำโทรศัพท์มือถือของตัวเองตกไว้ในที่เกิดเหตุทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสามารถติดตามจับกุมตัวคนร้ายได้โดยง่าย ที่ริมทางสาธารณะ ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม.สวนคนร้ายอีกสองคนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตัวมาดำเนินคดีต่อไป จึงอยากบอกเตือนประชาชนหากเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้อย่าได้รีบเข้าไปในบ้านควรรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที่เพี่อที่คนร้ายจะได้ไม่กล้าทำอันตราย เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปด้วย

ที่มา: สุดทน!!ขโมยเข้าบ้าน 3 ครั้งรวด หนุ่มบินไทยเฉียดตายประกาศขายบ้านหนี ©2554 บริษัท เดลินิวส์ เว็บ จำกัด วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554

แฉเล่ห์ สปสช.หวังฮุบเงินกองทุนประกันสังคม

สมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ แฉเล่ห์ สปสช.หวังฮุบกองทุนประกันสังคม ด้านกลุ่มประกันฯสธ.ชี้ บัตรทองควรปรับปรุงระบบบริหารกองทุนย่อย ปี 54 มีเงินตกค้างมากกว่า 4 พันล้าน...

นพ.บัญชา ค้าของ ผู้แทนกลุ่มประกันสุขภาพ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) กล่าวถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพของประเทศ ในงานประชุมภาคีเครือข่ายเพื่อระบบสุขภาพที่ดีกว่าของคนไทย หรือ 2011 Thailand Healthcare Summit หัวข้อ “ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพที่ยั่งยืนของประเทศไทย” เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ปัญหาของระบบการเงินการคลังในระบบสุขภาพของประเทศไทย จะเห็นได้ว่า มีการผลักภาระความเสี่ยงค่าใช้จ่ายจากกองทุนประกันสุขภาพไปให้หน่วยบริการ ขณะเดียวกันอำนาจอิสระที่ขาดสมดุลของกองทุนในการกำหนดหลักเกณฑ์จัดสรรภายใน และระหว่างกองทุน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดบริการประชาชน มีปัญหาความไม่เท่าเทียมและเป็นธรรม

"จากปัญหาต่างๆ ได้มีการสำรวจโรงพยาบาล (รพ.) ในสังกัด สธ.กว่า 840 แห่ง โดยมุ่งไปที่ระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง ซึ่งพบว่า ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา กองทุนนี้มีการผลักภาระไปให้หน่วยบริการตลอด แม้จะได้รับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่กลับกัน เงินจำนวนมากที่กองกลางตั้งเป็นกองทุนย่อย ทั้งกองทุนส่งเสริมสุขภาพ กองทุนผู้สูงอายุ ฯลฯ ทำให้งบบริการพื้นฐานของหน่วยบริการไม่เพียงพอ ที่สำคัญยังทุ่มงบไปในงบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่กลับไม่เพิ่มงบโครงสร้างพื้นฐาน และงบในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ทั้งๆ ที่หากป้องกันโรคได้มากเท่าใด ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า การกันงบส่วนนี้ ทำให้มีเงินเหลือค้างท่อ หรืออยู่ในกองกลางอีกนับหมื่นล้านบาท แต่ได้มีการทยอยจ่ายให้แก่ รพ. ผ่านกองทุนย่อยต่างๆ กระทั่งข้อมูลล่าสุด ปี 2554 พบว่า ยังเหลือเงินค้างท่ออีก 4,200 ล้านบาท ซึ่งปัญหาเงินค้างท่อมาจากการที่ รพ.แต่ละแห่ง ต้องทำรายละเอียดยุ่งยาก อย่างกรณีการตรวจเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้าน หากไม่ทำก็ไม่ได้เงินส่วนนี้ ดังนั้น สปสช.ควรปรับปรุงระเบียบการบริหารงบ ลดขั้นตอนยุ่งยากในกองทุนย่อย เพราะไม่เช่นนั้นก็จะมีปัญหาเบิกจ่าย" นพ.บัญชา กล่าว

พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) เปิดเผยว่า ปัญหาเงินค้างท่อเกิดจากระบบบริหารเงินของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่ดี รายละเอียดยุ่งยาก ต้องผ่านเกณฑ์ต่างๆ ซึ่ง รพ.ส่วนใหญ่รักษาผู้ป่วย ก็แทบไม่มีเวลาในการจัดทำขั้นตอนเบิกจ่ายแล้ว ตรงนี้บางแห่งก็ไม่ได้รับงบไปเลยก็มี ซึ่งก่อนหน้านี้ สพศท.ได้เปิดเผยเรื่องนี้ โดยระหว่างปี 2551-2553 พบเงินค้างท่อถึง 39,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนั้น สปสช.ก็มีการตามจ่ายเร่งด่วน ทำให้เงินค้างท่อลดลง และเหลือ 18,000 ล้านบาท กระทั่งล่าสุดเหลือ 4,200 ล้านบาท ซึ่งก็ยังมากอยู่ดี แต่ข้อมูลตรงนี้ไม่มีหลักฐานว่า มีการตามจ่ายให้ รพ. ไปแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงควรตรวจสอบด้วย ไม่ใช่ให้ สปสช.พูดฝ่ายเดียว

ด้าน ภก.ธีระ ฉกาจนโรดม นายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) กล่าวว่า สปสช.เป็นหน่วยงานที่มีความอิสระมาก ทั้งๆที่มีอายุเพียง 9 ขวบ แต่สามารถเข้าไปดำเนินการต่างๆ ได้ อย่าง รพ.เอกชน มีการทำงานก่อตั้งมาร่วม 21 ปี แต่ปรากฏว่า ขณะนี้กำลังถูกเด็กอายุ 9 ขวบ ไล่เตะก้น ด้วยความพยายามดึงผู้ประกันตนออกจากกองทุนประกันสังคม และไปอยู่ในกองทุนบัตรทอง ซึ่งโดยข้อเท็จจริง แต่ละกองทุนต้องแข่งขันกัน เพื่อสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยมากกว่า เรียกได้ว่าขณะนี้ สปสช.กำลังแผ่อิทธิพลเข้าสู่ สปส. ดังนั้น จึงอยากฝากลูกจ้างผู้ประกันตนทั้งหลาย ออกมาเรียกร้องสิทธิของตน เพราะอย่าลืมว่า ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินทุกๆ เดือน ก็ควรได้สิทธิประโยชน์การบริการที่ดีกว่าสิทธิอื่น และ สปส.ควรใช้วิธีทำสัญญากับประกันสุขภาพเอกชน เพราะหากใช้บริษัทประกันสุขภาพ ย่อมได้รับการดูแลดีกว่าไปประสานกับ รพ.เอง

ขณะที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ทุกๆ วันที่ 30 กันยายน สปสช. จะกันเงินสำหรับให้ รพ. ทำการเบิกจ่ายกรณีกองทุนต่างๆ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ตามการวินิจฉัยโรคร่วมหรือ DRG ซึ่งในปีงบประมาณ 2554 จะกันไว้กว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งทุกปีไม่เคยถึงหมื่นล้านบาทแน่นอน โดยงบส่วนนี้ตั้งเป้าว่าต้องกันไว้ไม่เกินร้อยละ 5 ของงบกองทุนทั้งหมด และในปีงบประมาณ 2555 ตั้งเป้าไว้ว่าต้องกันไว้ไม่เกินร้อยละ 4 ส่วนที่ใครจะมีการพูดถึง สปสช.ในการเข้าไปดึงผู้ประกันตนนั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า สปสช. ทำตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นการทำตามกฎหมาย ตามมาตรา 10 แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากยังไม่พร้อม

ที่มา: แฉเล่ห์ สปสช.หวังฮุบเงินกองทุนประกันสังคม ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554
---------------------------

ตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ คือ โีรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ (ศิริราช 2) คลองหลวง ปทุมธานี ต้องยกเลิกการให้บริการ บัตรทอง เพราะขาดทุนกว่า 10 ล้านบาท รับเฉพาะส่งต่อฉุกเฉินที่โรงพยาบาลท้องที่ไม่สามารถรักษาได้เท่านั้น แต่ตอนนี้พอยกเลิกบัตรทองปรากฏว่า คนไข้มากกว่าเดิมเกือบครึ่ง คนไข้พร้อมเสียเงินแต่อยากได้รับการรักษาที่ดี ได้ยาดี ดีกว่าใช้บัตรทองซะอีก ..งงละซิ

ไอซีทีเปิดไวไฟฟรี 2หมื่นจุด ตั้งเป้า 2.5 แสนจุดใน 5 ปี

ไอซีทีจุดพลุ ไวไฟฟรี 2 หมื่นจุด ความเร็ว 2 เมกะบิต พร้อมลุยระบบไอซีที ตามเป้าหมายโครงการ สมาร์ทไทยแลนด์ ขณะที่ตั้งเป้าขยายเพิ่ม 2.5 แสนจุด ใน 5 ปี...

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวว่า กระทรวงไอซีที เปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายในที่สาธารณะฟรี (Free Public WiFi ตามนโยบายสมาร์ทไทยแลนด์ ของกระทรวงฯ ที่ประกาศไป เมื่อเดือน ส.ค. 2554 นั้น ทางกระทรวงฯ ได้ดำเนินการประสานงาน และร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT และผู้ให้บริการภาคเอกชน โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. พร้อมเปิดตัวโครงข่าย SMART-WIFI@TH

ทั้งนี้ การเปิดตัวในครั้งนี้ เป็นเฟส 1 ครอบคลุมกว่า 2 หมื่นจุดทั่วประเทศ ด้วยความเร็ว 2 เมกะบิต/วินาที เน้นพื้นที่สาธารณะที่มีความต้องการสูง เป็นพื้นที่ในการให้บริการช่วงแรก เช่น ศาลากลางจังหวัด สนามบิน มหาวิทยาลัย สถานีขนส่ง โดยมีรัฐวิสาหกิจ ทั้ง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เป็นผู้ร่วมดำเนินการในช่วงเริ่มต้น และจะร่วมมือกับผู้ให้บริการภาคเอกชนในช่วงต่อไป โดยมีเป้าหมายที่จะให้บริการได้มากกว่า 250,000 จุด ภายใน 5 ปี

รมว.ไอซีที กล่าวต่อว่า จากสถิติการศึกษาอัตราการเข้าถึงการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต พบว่า ทุกๆ 10% ของการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น จะสามารถเพิ่มจีดีพี ได้ 1.3% เพิ่มการเข้าถึงการใช้งานได้ 80% ของจำนวนหลังคาเรือน ภายในปี 2558 หรือ อีก 4 ปี ข้างหน้า

สำหรับผู้ที่จะใช้บริการไวไฟฟรี จะต้องลงทะเบียนในการใช้ผ่านเว็บไซต์ และต้องมีสัญลักษณ์ SMART-WIFI@TH เท่านั้น โดยเชื่อว่าการให้บริการไวไฟฟรีดังกล่าว จะสร้างความเสมอภาค และชีวิตที่ดีขึ้นเพื่อคนไทย และเป็นสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2555 เพื่อประชาชนคนไทยทุกคน

ที่มา: ทีมข่าวไอทีไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554

เขมรโวย ไทยหยุดปีใหม่ยาวเกิน ทำราคามันสำปะหลังกัมพูชาตกฮวบ

เกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสำปะหลังชาวกัมพูชาโอดครวญ ประเทศไทยมีวันหยุดช่วงปีใหม่ยาวเกินไป ส่งผลให้ผลผลิตมัน "เมด อิน แคมโบเดีย" ขายไม่ออก ราคาตกฮวบ...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2554 ว่า เกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสำปะหลังชาวกัมพูชาโอดครวญ ประเทศไทยมีวันหยุดช่วงปีใหม่ยาวเกินไป ส่งผลให้ผลผลิตมัน "เมด อิน แคมโบเดีย" ขายไม่ออก ราคาตกฮวบ

รายงานข่าวซึ่งอ้างสื่อท้องถิ่น ในกัมพูชาระบุว่า การที่ประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางรับซื้อมันสำปะหลังขนาดใหญ่จากกัมพูชา มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงคริสต์มาส-ขึ้นปีใหม่ที่ยาวนานเกินไป บรรดาผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยจึงพากันหยุดการผลิตไว้ ชั่วคราว ทำให้ไม่มีคำสั่งซื้อมันสำปะหลังของเกษตรกรกัมพูชา จนราคาจำหน่ายมันสำปะหลังต่อกิโลกรัมตกลงอย่างต่อเนื่องเกือบร้อยละ 50 ภายในระยะเวลาเพียง 5 วัน

อี นอร์น หนึ่งในเกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสำปะหลังในจังหวัดไพลิน ของกัมพูชา ออกมาเปิดเผยว่า ผลผลิตมันสำปะหลังของเธอเคยมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 456 เรียล หรือราว 3 บาท แต่พอถึงช่วงที่ประเทศไทยมีวันหยุดยาวในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ราคามันสำปะหลังของเธอก็ร่วงลงมาเหลือเพียง 245 เรียลต่อกิโลกรัม หรือไม่เกิน 1 บาทเท่านั้น ขณะที่เกษตรกรกัมพูชาอีกหลายรายต้องชะลอการเก็บเกี่ยวผลผลิตของตนออกไป จนกว่าไทยจะผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาว

ด้าน งิน ชเฮย์ จากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมง ของกัมพูชา ออกมาเปิดเผยที่กรุงพนมเปญ ว่า รัฐบาลกัมพูชากำลังพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และแนวทางหนึ่งที่อาจนำมาใช้ คือ การร้องขอให้บริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมันสำปะหลังใน กัมพูชาโดยตรง เพื่อลดบทบาทของบรรดาพ่อค้าจากไทยและเวียดนาม ที่มักรับซื้อมันสำปะหลังจากกัมพูชาแล้วนำไปจำหน่ายต่อให้กับจีนอีกทอดหนึ่ง

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554

Tuesday, December 27, 2011

โจทย์ท้าทายเศรษฐกิจปี 55 หลังวิกฤติน้ำท่วม

หลายฝ่ายต่างประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าว่า จะเดินหน้าอย่างไร? หลังประเทศไทยเจอผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติอุทกภัยครั้งร้ายแรง มูลค่าความเสียหายมหาศาล โดยเฉพาะกระทบต่อจีดีพี และยิ่งภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้ยุโรป แน่นอนประเทศไทยจะหวังรายได้ส่วนนี้ประมาณ 70% อย่างในอดีตคงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องหามาตรการอื่นเข้ามาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ...

แต่ด้วยปัจจัยลบที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย แต่ด้วยการลงทุนภาครัฐในปี 2555 ในหลายโครงการเพื่อฟื้นฟู เยียวยา และป้องกันการเกิดน้ำท่วมซ้ำ โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐานก็เป็นสิ่งที่น่าจับตา กับประสิทธิผลในการกระตุ้นการใช้สอยในประเทศ และในส่วนเงินชดเชยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งจะนำมาซ่อมแซมบ้านเรือน ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทดแทนที่เสียหายจากน้ำท่วม การนำเงินสะสมมาซ่อมแซมบ้านเรือน หรือภาคอุตสาหกรรมนำเงินมาฟื้นฟูโรงงาน ย้ายโรงงานหนีน้ำท่วม ก็เป็นสิ่งที่ควรจับตาในปีหน้า เพราะฉะนั้นเรื่องของอุปสงค์ในส่วนของสินค้าฟุ่มเฟือย จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องคิดพิจารณา เมื่ออุปทานอาจจะลดลงจากการรัดเข็มขัด เพราะต้องนำเงินไปใช้ซ่อมแซมบ้านเรือนแทน ?

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2555 จะเป็นอย่างไร ในมุมมองของรองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งได้นำปัจจัยที่ผ่านมานำมาพิจารณา โดยเฉพาะปลายปี 2554 เมื่อเศรษฐกิจไทยถูกโจมตีจากมหาอุทกภัยอย่างหนัก สร้างความเสียหายให้กับภาคธุรกิจอย่างมหาศาล โดยมองว่า ได้ฉุดจีดีพีของประเทศเหลือไม่ถึง 2% ตามที่สำนักต่างๆ คาดการณ์กัน ดังนั้นต้นปี 2555 ถือเป็นช่วงของการฟื้นฟูประเทศ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะโตประมาณ 4.8 % ซึ่งข้อเท็จจริงตัวเลขจะเป็นอย่างไร ต้องดูจากปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวแปรสำคัญเป็นองค์ประกอบ ตั้งแต่การดำเนินนโยบายของรัฐบาล แนวโน้มการบริโภคของประชาชน การจับจ่ายใช้สอยของประชาชน เพราะที่ผ่านมา การบริโภคของประชาชนมีความสำคัญมากถึง 55% ในการกระตุ้นจีดีพีของประเทศ


นอกจากนี้ ในปีหน้าประชาชนส่วนใหญ่ต้องซ่อมบ้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทั้งทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โดยประเมินจากความเสียหายจากน้ำท่วม มีประมาณ 600,000-700,000 เครื่อง คาดว่าจะมีการจับใช้จ่ายสอยในส่วนนี้มากขึ้น ส่วนการลงทุนของภาคเอกชน (Investment) ถือเป็นตัวแปรที่สำคัญในปีหน้า ซึ่งน่าจะมีการลงทุนใหม่เพิ่มขึ้น เพราะจะมีการฟื้นฟูโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ และที่มากกว่านั้น บางโรงงานจะย้ายไปอยู่ในพื้นที่อื่นของประเทศ เพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม ดังนั้นจึงต้องมีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง

สำหรับตัวแปรที่เชื่อว่ามีบทบาทมากที่สุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งปกติจะมีน้ำหนักประมาณ 14-15% แต่ในปีหน้านี้ จะมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะงบประมาณส่วนหนึ่งต้องนำมาจ่ายในเรื่องการให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม ครัวเรือนละ 5,000-10,000 บาท และการซ่อมแซมกิจการสาธารณูปโภคที่ถูกกระทบจากภัยธรรมชาติดังกล่าว อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการลงทุนป้องกันไม่ให้เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นอีกในปีหน้า หากเกิดขึ้นก็ให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะทำให้การลงทุนในส่วนของภาครัฐมีการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับตัวแปรที่น่าเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจในปีหน้า คือ เรื่องของการส่งออก ซึ่งในปีนี้เติบโตประมาณ 15-16% แต่ในปีหน้ามีความเป็นไปได้สูงว่า ตัวเลขจะปรับลดลงมาเหลือเพียงหลักเดียวเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกมีปัญหา เพราะทั้งยุโรปและอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่มากของเอเชีย ประเทศไทยจะส่งออกสินค้าไปขายในจีน ญี่ปุ่นได้ในจำนวนมากก็ต่อเมื่อประเทศเหล่านี้มีการส่งออกไปยุโรป อเมริกาในปริมาณที่สูง ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกมีปัญหาก็ทำให้การส่งออกของประเทศแถบเอเชียชะลอตัวลง เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2554 เพราะตัวเลขเริ่มติดลบ อันเป็นผลจากห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตในจีนลดลง การส่งออกในจีนชะลอตัวลง ในขณะที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน

"ด้วยเหตุนี้ พลังของการส่งออก ซึ่งในอดีตช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากถึง 70% ของจีดีพี ก็อาจจะลดลงไปอย่างมาก ยิ่งในปีหน้านี้ เศรษฐกิจในโซนอเมริกาและยุโรปยังคงตกต่ำต่อเนื่อง อเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ ในยุโรปก็ไม่แตกต่างกัน มีการเลือกตั้งในหลายแห่ง ทั้ง รัสเซีย กรีก อิตาลี เมื่อสถานการเป็นเช่นนี้ รัฐบาลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องหาวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจ เหมือนกับที่โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้อัตราการว่างงานในประเทศลดลง โดยใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) อัดฉีดเงินออกมา ซึ่งตอนนี้มีตั้งแต่ QE1 QE2 และ QE3"



เช่นเดียวกับยุโรป ได้ใช้วิธีการเดียวกับสหรัฐอเมริกา ในการเพิ่มปริมาณเงิน พิมพ์แบงก์ออกมาเพื่อทำให้สถานการณ์ต่างๆ นิ่ง ทำให้มีเงินออกมาหมุนเวียนในวงจรเศรษฐกิจโลกมากขึ้น และเงินจำนวนมากก็ไหลเข้ามาในแถบเอเชีย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเอเชียเวลานี้ดีกว่าที่อื่นๆ เงินเหล่านี้ไปดันให้ตลาดเงิน ตลาดทุนมีการขยายตัวมากขึ้น เช่น ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ซึ่งก็มีส่วนช่วยกระตุ้นจีดีพีของประเทศให้กระเตื้องมากขึ้น"

อย่างไรก็ตาม เมื่อหุ้นขยายตัว ผู้ประกอบการสามารถจะระดมทุนเพื่อนำมาขยายการลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของเงินลงทุน และยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้ที่มาลงทุนในตลาดหุ้นไปพร้อมๆ กันด้วย ทำให้คนเหล่านี้มีพลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น การจัดเก็บภาษีของภาครัฐก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนั้นยังมีตัวแปรที่สำคัญ ที่ส่งผลให้การผลิตชะลอตัว จากการที่คนส่วนหนึ่งของประเทศรัดเข็มขัด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เงินส่วนหนึ่งนำใช้จ่ายในการปรับปรุงบ้านเรือน ดังนั้นทำให้ในส่วนของการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างอื่นอาจจะลดลง เช่น เสื้อผ้า สินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ ด้านผู้ประกอบการ ส่วนหนึ่งอาจจะมีการลงทุนใหม่ทันที แต่อีกด้านหนึ่ง อาจจะชะลอรอดูแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลก่อนว่าเป็นอย่างไร เพื่อวางแผนลงทุนในทิศทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น

จากการประมวลสถานการณ์ทั้งหมด ดูปัจจัยบวกและลบต่างๆ จึงคาดว่า จีดีพีของประเทศในปี 2555 จะปรับขึ้นจากปี 2554 เป็น 4-5% เพราะตัวแปรหลายตัวที่คาดว่า จะเลวร้ายในแง่ของเศรษฐกิจโลกบางทีอาจจะไม่รุนแรง เพราะสหรัฐฯและยุโรปกำลังแก้ไขปัญหาอยู่ แต่สิ่งที่น่าห่วงในปีหน้าเป็นเรื่องของปัญหาแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีแนวโน้มจะกลับบ้านสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะแรงงานพม่า เนื่องจากวันนี้พม่าเริ่มตั้งหลักได้แล้ว กลายเป็นประเทศเนื้อหอม ทุนต่างชาติจำนวนมากไหลเข้าไปในลงทุนในประเทศพม่าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รัฐบาลพม่าได้ปรับมาตรการต่างๆ เพื่อจูงใจให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศพม่าได้คล่องตัวมากขึ้น

ดังนั้นเมื่อมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ความต้องการแรงงานจะเพิ่มสูงขึ้น แรงงานพม่าที่เคยเข้ามาทำงานในประเทศไทย เช่น ในโรงงานแปรรูปอาหาร สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือธุรกิจบริการอื่นๆ ซึ่งเป็นแรงงานฝีมือที่พม่าต้องการ ดังนั้นแรงงานพม่าจึงมีแนวโน้มที่จะกลับไปทำงานในประเทศตัวเองมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแรงงานพม่าเท่านั้นที่จะกลับบ้าน แต่แรงงานที่มาจากเวียดนาม เขมร ลาว ต่างมีแนวโน้มกลับประเทศของตนเช่นกัน เพราะวันนี้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

"สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายของนักธุรกิจไทยที่จะต้องเตรียมรับมือในอนาคตอันใกล้ เศรษฐกิจไทยต้องเปลี่ยนจากเศรษฐกิจการผลิต(Production based economy) เป็นเศรษฐกิจที่อิงกับภาคบริการ (Service based economy) เช่น การค้าปลีก โลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ฯลฯ ความต้องการแรงงานภาคบริการย่อมเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ถ้าผู้ประกอบการไม่สามารถรักษาแรงงานของตนเองไว้ได้ ธุรกิจของไทยก็จะมีปัญหา เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่า ค่าแรงควรจะเป็น 300 บาทหรือเท่าไร เพราะไม่มีประโยชน์ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการจะดูแลแรงงานเหล่านี้อย่างไร ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น"

ที่มา: โจทย์ท้าทายเศรษฐกิจปี 55 หลังวิกฤติน้ำท่วม ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554

รวบหนุ่มแสบค้ายาไอซ์-ตั้งแก๊งงัดแงะของกลางกว่า10ล้านบาท

ตร.ภาค 8 สุดเจ๋ง โชว์รวบผู้ต้องหาค้ายาไอซ์ ขยายผลพบแสบทรวง ตั้งแก๊งงัดแงะทำมาร่วมร้อยคดี ของกลางอื้อ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
วันนี้( 27 ธ.ค.) พล.ต.ท.สันติ เพ็ญสูตร ผบช.ภ.8 พ.ต.อ.สมภพ กัณฑศรี รอง ผบก.ปรท.ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พ.ต.ท.โยธินทร์ สิทธิโยธี สว.สส.แถลงข่าวจับกุมนายธีรยุทธิ์ หรือตั้ม สว่างแสง อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาลักทรัพย์พร้อมของกลาง ยาไอซ์ 2.11 กรัม ,คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 13 เครื่อง,กล้องถ่ายรูปจำนวน 15 ตัว ,โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง,เครื่องเสียง-ลำโพง 10 ชิ้น,อุปกรณ์ไฟฟ้า 3 ชิ้น ,นาฬิกาข้อมือ 8 ตัว,แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์-คู่มือจดทะเบียนรถ 6 เล่ม,ตู้เซพ 1 ตู้ ,กระเป๋าผู้หญิง 17 ใบ,อาวุธปืน 2 กระบอก ,ทองรูปพรรณต่างๆ จำนวนหนึง รวมของกลางอื่นๆ กว่า 91 รายการ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท สามารถจับกุมได้ที่บ้านพักเลขที่ 26/164 ซ.พ่อขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ระหว่างแถลงข่าวมีผู้เสียหายประมาณ 30 คน มาแสดงตัวและติดต่อยืนยันเป็นเจ้าของทรัพย์สินของตัวเองแล้ว

สืบเนื่องชุดจับกุมสืบทราบว่าผู้ต้องหาคนดังกล่าว มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายยาไอซ์ ให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จึงได้ติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด นอกจากนั้นยังทราบว่าผู้ต้องหายังรับจำนำรถยนต์และคู่มือจดทะเบียนรถ จากลูกค้าซึ่งเป็นผู้เสพยาเสพติดและกลุ่มวัยรุ่นอีกด้วย ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้ทราบว่าผู้ต้องหาอยู่ที่บ้านดังกล่าว จึงแสดงตัวขอตรวจค้นตัวและตรวจค้นภายในบ้าน จากการตรวจค้นภายในบ้านพักพบยาไอซ์ของกลาง ซุกซ่อนอยู่ในลิ้นชักเก็บของ และของกลางอื่นๆ ทั้งหมด

สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ลักลอบจำหน่ายยาไอซ์ให้กับกลุ่มวัยรุ่นจริง นอกจากนั้นยังร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน ตั้งแก็งก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์ตามบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี โดยเลือกก่อเหตุบ้านที่มีฐานะ ทำมาหลายครั้งแล้ว เมื่อได้ทรัพย์สินมีค่าก็จะนำมาแบ่งกันและนำไปขาย นำเงินซื้อยาเสพติด มาขายให้ลูกค้า ส่วนยาเสพติดสั่งจากเพื่อนที่อยู่ในเรือนจำ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลจับกุมเพื่อนร่วมขบวนการที่กระทำผิดรายอื่นๆ มาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

ที่มา: รวบหนุ่มแสบค้ายาไอซ์-ตั้งแก๊งงัดแงะของกลางกว่า10ล้านบาท วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2554 ©2554 บริษัท เดลินิวส์ เว็บ จำกัด

จัดเคาท์ดาวน์ "เขื่อนภูมิพล" สยบคำทำนาย ด.ช.ปลาบู่

พ่อเมืองตากจัดงานนับถอยหลังสู่วันปีใหม่ สยบข่าวลือ "เขื่อนภูมิพล" แตก ตามคำทำนาย ด.ช.ปลาบู่

วันนี้( 27 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสามารถ ลอยฟ้า ผวจ.ตาก ได้เดินทางไปตรวจสอบบริเวณสันเขื่อนภูมิพล อ.สามเงา เพื่อจัดงานเคาท์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลังจากกรณีข่าวลือเรื่อง คำทำนายเมื่อ 38 ปี ก่อน ว่าเขื่อนภูมิพลจะแตกสิ้น ในวันขึ้นปีใหม่ ปี 55 ของ ด.ช.ปลาบู่ ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนก ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก อีกทั้งทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใต้เขื่อน ต่างหวั่นเกรงในความไม่ปลอดภัย พร้อมทั้งโทรศัพท์มาสอบถามเรื่องดังกล่าว ยังศาลากลางจังหวัดตาก ตลอดช่วงที่ผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย

นายสามารถ กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน จึงร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด และเขื่อนภูมิพล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จึงกำหนดจัดงาน ตากเคาท์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2555 ในวันที่ 31 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณบนสันเขื่อนภูมิพล โดยกิจกรรมในงานประกอบไปด้วย การแสดงดนตรี สลับกับการแสดงของชนเผ่า เช่น ระบำเกลียวเชือก ระบำเที่ยวเมืองตาก การแสดงนักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ตาก โรงเรียนในอำเภอสามเงา โรงเรียนในบ้านตาก เป็นต้น ชมการประดับไฟแสงสีบนสันเขื่อนฯ และแพท่องเที่ยวในเขื่อนภูมิพลที่สวยงาม และเมื่อเข้าสู่ ปีใหม่ 2555 ชมพลุ แสงสี เสียง ที่สวยงามเต็มท้องฟ้า และไฟน้ำตกข้อความสวัสดีปีใหม่ สำหรับผู้ไปร่วมงานจะได้ร่วมลุ้นรางวัลใหญ่ เช่น ตู้เย็น ทีวี เครื่องซักผ้า จักรยานและอื่นๆ กว่า 50 รางวัล

ส่วนสถานการณ์น้ำเขื่อนภูมิพล ปัจจุบันมีน้ำกักเก็บทั้งสิ้น 12,838 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 95.36 เปอร์เซ็นต์ของความจุ สามารถรับน้ำได้อีก 624 ล้านลูกบาศก์เมตร วันนี้เขื่อนภูมิพลระบายน้ำเพิ่มขึ้นเป็นวินาทีละ 650 ลูกบาศก์เมตร หรือวันละ 56 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากมีน้ำกักเก็บมากและเขื่อนต้องเร่งพร่องน้ำก่อนที่ ฝนใหม่จะเข้ามาในอีก 5 เดือน ซึ่งเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. มีน้ำไหลเข้า 10 ล้านลูกบาศก์เมตร

ที่มา: จัดเคาท์ดาวน์ "เขื่อนภูมิพล" สยบคำทำนาย ด.ช.ปลาบู่ วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2554 ©2554 บริษัท เดลินิวส์ เว็บ จำกัด

พระเพลิงพิโรธ เผาวอดสลัม-คอนโดหรู ดำเป็นตอตะโก ชาวบ้านขนของหนีตายจ้าละหวั่น

ไฟเผาสลัม-คอนโดฯหรูวอด

วันนี้( 27 ธ.ค.2554) ร.ต.อ.กิตติศักดิ์ เจริญรูป พงส.(สบ1) สน.สุทธิสาร รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้ชุมชนริมคลองบางซื่อ ซอยลาดพร้าว 34 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง จึงรีบไปตรวจสอบพร้อมรถดับเพลิง 10 คัน และมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เกิดเหตุเป็นชุมชนแออัดมีบ้านเรือนปลูกเกยกันกว่า 50 หลัง พบเพลิงลูกอยู่ริมชุมชนติดคลอง และกำลังลุกลาม เจ้าหน้าที่จึงรีบระดมฉีดน้ำสกัดใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงควบคุมไว้ได้ โดยเสียหายไปทั้งหมด 15 หลัง มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกไฟลวกตามร่างกายเล็กน้อย 4 ราย สอบสวนทราบว่า ต้นเพลิงเกิดจากบ้านเลขที่ 335/26 ของนายอบ ทองสมุทร อายุ 65 ปี และลามไปติดหลังอื่น เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร

อีกราย เจ้าหน้าที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร เขตพญาไท รับแจ้งเกิดเพลิงไหม้ที่ไอดีโอ เวิร์ฟ ราชปรารภ ซอยราชปรารภ 8 แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี จึงรีบไปตรวจสอบพร้อมรถดับเพลิง 5 คัน ที่เกิดเหตุเป็นคอนโดมิเนียมหรูสูง 34 ชั้น ซึ่งยังอยู่ระหว่างตบแต่ง พบกลุ่มควันลอยออกมาจากลานจอดรถชั้น 8 ซึ่งใช้เก็บวัสดุก่อสร้าง จึงใช้รถกระเช้ายื่นไปฉีดสกัด ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จึงสงบ จากการตรวจสอบปรากฏว่าเสียหายเล็กน้อย สอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุมีเพียงช่างกำลังทาสีตบแต่งเท่านั้น เบื้องต้นคาดเกิดจากคนงานทิ้งก้นบุหรี่ ซึ่งจะได้ประสาน พฐ.ตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

ที่มา: ไฟเผาสลัม-คอนโดฯหรูวอด ©2554 บริษัท เดลินิวส์ เว็บ จำกัด วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2554

Monday, December 26, 2011

เทคนิคอุตรดิตถ์ รับตรวจสภาพรถฟรี 24 ชม.ช่วงปีใหม่

อาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ แผนกช่างยนต์ บริการตรวจสภาพรถฟรีตลอด 24 ชม.ช่วงปีใหม่...

เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2554 นายสุวัฒน์ชัย ศรีสุพัฒนะกุล ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ พร้อมอาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ เปิดจุดบริการอาชีวศึกษาร่วมด้วยช่วยประชาชน เพื่อให้บริการแก่ประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 ที่บริเวณจุดบริการ อาชีวศึกษาร่วมด้วยช่วยประชาชน หน้าวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เพื่อบริการตรวจเช็กสภาพรถจักรยานยนต์ รถยนต์ ก่อนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในเทศกาลปีใหม่ 2555 ซึ่งจะมีนักศึกษาแผนกช่างยนต์และอาจารย์ของวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์มาให้บริการทุกท่านที่นำรถจักรยานยนต์ รถยนต์มาตรวจสภาพ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรี ปรับแต่งเครื่องยนต์ เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม ไปจนถึงวันที่ 28 ธันวาคม ส่วนในวันที่ 29 ธ.ค.54 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2555 จะร่วมกับอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ ซึ่งจะมีวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ วิทยาลัยสารพัดช่างอุตรดิตถ์ วิทยาลัยการอาชีพพิชัย วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ เปิดศูนย์อาชีวศึกษาร่วมด้วยช่วยประชาชน ในเทศกาลปีใหม่ ที่ปั๊ม ปตท.5 แพน ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งจะให้บริการตรวจเช็กสภาพรถจักรยานยนต์ รถยนต์ต่างๆ ให้กับพี่น้องชาวอุตรดิตถ์และประชาชนที่สัญจรผ่านไปมา รวมทั้งบริการเครื่องดื่มกาแฟไว้บริการ สำหรับคนขับรถ ทั้งขาขึ้นเหนือ หรือขาล่องใต้ ทางวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนไปใช้บริการกันตามวันและเวลาดังกล่าว ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา: ทีมข่าวภูมิภาค ไทยรัฐออนไลน์ วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2554

วิศวฯ จุฬาฯ รับตรงหลักสูตรนานาชาติปี 55

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดรับสมัครคัดเลือกนิสิตเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรนานาชาติ) คณะวิศวกรรมศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2555 จำนวน 200 คน รับสมัครระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึง 9 มีนาคม 2555...

โดยมีสาขาที่รับดังนี้
สาขาวิชาวิศวกรรมการออกแบบและการผลิตยานยนต์ 50 คน
สาขาวิศวกรรมนาโน 60 คน
สาขาวิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร 60 คน และ
สาขาวิศวกรรมอากาศยาน 30 คน

คุณสมบัติผู้สมัคร
1. สำเร็จการศึกษา หรือกำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า
2. มีคะแนนสอบวัดความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
-TOEFL (Paper-based) ไม่ต่ำกว่า 550 หรือ TOEFL (Computer-based) ไม่ต่ำกว่า 213 หรือ TOEFL (Internet-based) ไม่ต่ำกว่า 79
-IELTS ไม่ต่ำกว่า 6.0
-CU-TEP (Chulalongkorn Univrtsity Test of English Proficiency) ซึ่งเทียบเป็นคะแนน TOEFL (Paper-based) ไม่ต่ำกว่า 550
3. มีคะแนนรวมของคะแนนสอบวัดความถนัดทางคณิตศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
-CU-AAT (Math Section) ไม่ต่ำกว่า 480 คะแนน หรือ
-SAT1 (Math) และ SAT2 (Math Level 2) แต่ละวิชาไม่ต่ำกว่า 600
4. มีคะแนนสอบวัดความถนัดทางวิทยาศาสตร์ดังนี้
4.1 สำหรับผู้สมัครสาขาวิชาวิศวกรรมนาโน จะต้องมีคะแนนสอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
- CU-ATS (NANO) ไม่ต่ำกว่า 1,200 หรือ SAT2 (Physics, Chemistry and Biology) แต่ละวิชาไม่ต่ำกว่า 600
4.2 สำหรับผู้สมัครสาขาวิชาวิศวกรรมการออกแบบและการผลิตยานยนต์ สาขาวิชาวิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร และสาขาวิชาวิศวกรรมอากาศยาน จะต้องมีคะแนนสอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
- CU-ATS ไม่ต่ำกว่า 800 หรือ SAT2 (Physics and Chemistry) แต่ละวิชาไม่ต่ำกว่า 600
โดยสามารถใช้คะแนนผลการสอบตามข้อ 2 3 และ 4 ย้อนหลังได้ไม่เกิน 2 ปี นับถึงวันสุดท้ายของการสมัคร

หลักฐานการสมัคร
1. รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 3 รูป
2. ใบรายงานผลการศึกษา (Transcripts)
3. ผลการสอบฉบับจริงตามคุณสมัคร
4. ใบรับรองสถานภาพการศึกษาจากสถานศึกษา (สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่)
5. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทาง (กรณีเป็นชาวต่างชาติ)
6. สำเนาทะเบียนบ้าน (พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง)

การสมัคร
1. ผู้สมัครกรอกข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ http://www.ise.eng.chula.ac.th โดยสามารถเลือกสาขาวิชาตามลำดับที่ต้องการสูงสุด 4 วิชา
2. พิมพ์ใบสมัครที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำหลักฐานประกอบการสมัครมาแสดงและชำระเงิน เป็นเงินสดจำนวน 1,000 บาท ณ สำนักบริหารหลักสูตร วิศวกรรมนานาชาติ (International School of Engineering, ISE) ห้อง 107 ตึก 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ตั้งแต่วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึงวันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2555 เวลา 08.30-12.00 น. และเวลา 13.00-16.00 น.

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
สำนักบริหารงานวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ : 02-218-0209-10 โทรสาร : 02-218-0208
-------------------------------

คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เปิดรับตรงหลักสูตรนานาชาติปี 55

เนื้อหาเข้มข้น เรียนสนุก ทุกข์ถนัด การบ้าน รายงาน ผลการทดลอง ของแท้ เต็มพิกัด ต้อง คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต หลักสูตรนานาชาติ (TEP/TEPE) เปิดรับสาขา วิศวกรรมอุตสาหการ วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมเครื่องกล วิืศวกรรมไฟฟ้า-สื่อสาร-สารสนเทศ-คอมพิวเตอร์ สามารถเรียน 2 ปี ต่ออังกฤษหรือออสเตรเลียอีก 2 ปี หรือ เรียนที่ธรรมศาสตร์ทั้ง 4 ปีก็ได้

หลักสูตรปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์และการจัดการเชิงธุรกิจ (EBM) คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
-มีสิืทธิควบปริญญาโท จบเร็วขึ้นได้ หากมีผลการเรียนดี-ดีมาก

http://www.engr.tu.ac.th

'ว.วชิรเมธี' เจาะธรรมผ่าน 'สตีฟ จ็อบส์'!!!

ใครจะเชื่อว่าผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะไอที อย่าง ''สตีฟ จ็อบส์ Steve Jobs'' จอมยโสโอหัง จะศรัทธา ''เซน'' จนถึงขนาดที่จะอุทิศตนเพื่อศาสนา คนๆนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้ชายที่รวยมากขนาดนั้น กลับใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย รวมทั้งเสื้อผ้าที่เราคุ้นตา ซึ่งเขามักจะสวมใส่ เช่น เสื้อสีดำคอเต่า กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน รองเท้าผ้าใบ ช่างเรียบง่ายและธรรมดา ทำไมกัน?

เป็นเรื่องที่น่าสนใจในระดับน่าค้นหา ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสได้พูดคุยกับ ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์มือทองในเมืองไทย ถอดรหัสความเป็น เซน ของสตีฟ จ็อบส์ บุรุษผู้ล่วงลับ

“สตีฟ จ็อบส์ สนใจในปรัชญาเซน….” ว.วชิรเมธีบอกว่าจ็อบส์เกิดมาในยุคซิตี้ อเมริกาทำสงครามกับทั่วโลก คนในยุคนั้นจึงเป็นคนที่ต่อต้านสงครามและหันหลังให้กับสังคม

“ณ เวลานั้นเอง ญี่ปุ่นก็เข้าไปในอเมริกา ลัทธิของกูรูจากอินเดียก็เข้าไปในอเมริกา สตีฟ จ็อบส์ ได้กลิ่นอายของจิตวิญญาณ และเขาก็เป็นบุปผาชน หรือเป็นฮิปปี้คนหนึ่ง พุทธปรัชญา สนใจเซน เขาไปอยู่สำนักเซนถึง 18 เดือน ไปอยู่อินเดียถึง 7 เดือน เพราะจะแสวงหาคำตอบทางจิตวิญญาณว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะได้รับคืออะไร แสดงว่าเขามาสนใจ เพราะบริบทของอเมริกา มันเป็นบริบทของจิตวิญญาณ เขาศึกษาลัทธิหลายลัทธิด้วยกัน แต่สุดท้ายเขาเลือกเซน เพราะมันตอบชีวิตเขาได้ว่า เซนนั้นเต็มไปด้วยความเรียบง่าย แต่มีความสุขลุ่มลึก แท้ที่จริง เซนก็คือพุทธศาสนานั่นเอง"

และนี่คือสิ่งที่เราทุกๆ คน ควรเรียนรู้ทั้ง 5 ข้อ

1. ทำในสิ่งที่รัก สตีฟ จ็อบส์ พูดเสมอว่า ที่เขาประสบความสำเร็จ เพราะเขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก เขาจะไม่ไปเสียเวลาทำในสิ่งใดก็ตามที่เขาไม่มีความจริงจัง คลั่งไคล้ใหลหลง พอเขาได้ทำในสิ่งที่รัก เขาก็ประสบความสำเร็จ ซึ่งหลักตรงนี้ ตรงกับหลักของพระพุทธเจ้า ในอิทธิบาท 4 พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่อยากประสบความสำเร็จ ต้องมีฉันทะ ทำในสิ่งที่รัก ดังนั้น สตีฟ จ็อบส์ เขาทำตรงเป๊ะเลย

2. ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ถ้าไม่ดีที่สุด อย่าเสียเวลาไปทำ

3. เป็นคนที่กล้าคิดต่าง ทำให้โลกนี้มีคนอย่างสตีฟ จ็อบส์ เขาบอกว่า ถ้าเขาคิดเหมือนคนอื่น เขาก็ไม่สามารถสร้างนวัตกรรมอะไรได้ ฉะนั้น เขากล้าคิดต่าง กล้าคิดนอกกรอบ นวัตกรรมของเขาจึงเป็นนวัตกรรมที่ล้ำยุคมาก

4. สตีฟ จ็อบส์ นั้น เป็นสุดยอดของมืออาชีพ เวลาที่เขาจะพรีเซนต์นวัตกรรม เขาศึกษาทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งขวดน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาก็ไปหมุนเกลียวดูว่า มันมีเกลียวหมุนยังไง แม้แต่แสงไฟที่ส่องลงบนเวที สตีฟ จ็อบส์ ก็ไปเช็กดูว่า มันเหมาะสมมั้ย สตีฟ จ็อบส์ ดูทุกรายละเอียด ขนาดลงลึกระดับพิกเซล

"ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องทำงานแบบมืออาชีพ อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว แน่แล้ว ไม่ต้องฝึก ขนาดสตีฟ จ็อบส์ ยังต้องฝึกทุกครั้งก่อนลุกขึ้นพูดบนเวที ทำอะไรก็ตาม อย่าทำทิ้งๆ ขว้างๆ แบบว่าขอไปที ให้ทำอย่างคนที่เป็นมืออาชีพ"

ประการสุดท้าย คือ สตีฟ จ็อบส์ บอกว่า ผมอยากเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้น อาตมาคิดว่า สำคัญมาก คนบางคนเกิดมาเพื่อให้โลกนี้แย่ลง แต่สตีฟ จ็อบส์ บอกว่า อยากเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้น ถ้าเราคนไทยบอกว่า ผมอยากเปลี่ยนประเทศไทยให้ดีขึ้น และลงมือทำอย่างสตีฟ จ็อบส์ ประเทศไทยจะไปได้ไกลกว่านี้

การเสียชีวิตไม่เสียเปล่า หากเราเรียนรู้...!!

ที่มา: 'ว.วชิรเมธี' เจาะธรรมผ่าน 'สตีฟ จ็อบส์'!!! ไทยรัฐออนไลน์ไลฟ์สไตล์ วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2554 'ว.วชิรเมธี' เจาะธรรมผ่าน 'สตีฟ จ็อบส์'!!!
------------------

หลากทัศนะ 'สาวกแอปเปิล' กับ งานเปิดตัวหนังสือ'สตีฟ จ็อบส์'!


เป็นไปอย่างครึกครื้นกับงานเปิดตัวหนังสือ "สตีฟ จ็อบส์" โดยวอลเตอร์ ไอแซคสัน ของเนช่ันบุ๊คส์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวของ สตีฟ จ็อบส์ หลายต่อหลายเล่ม แต่ดูเหมือนว่า เล่มนี้โดนใจสาวกคนรักสตีฟ จ็อบส์ อย่างจัง โดยได้หัวเรือใหญ่อย่าง นายสุทธิชัย หยุ่น ทุ่มสุดใจให้หนังสือเล่มนี้คลอดออกมาเร็วที่สุด

ภายในงานเต็มไปด้วยบรรดาคนรักสตีฟ จ็อบส์ ยืนรอต่อคิวสั่งซื้อหนังสือซื้อกันอย่างน่ารัก มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้างอะไรบ้าง หลายคนสั่งซื้อหนังสือยกกันเป็นลัง โดยหนังสือก็มีให้เลือกอ่าน 3 รูปแบบด้วยกัน ทั้งปกแข็ง ปกอ่อน และในรูปแบบอีบุ๊กส์

สำหรับบรรยากาศบนเวที มีการเสวนาพูดคุย นำโดย นายสุทธิชัย หยุ่น และแขกรับเชิญพิเศษหลายท่าน อาทิ ว.วชิรเมธี ดำเนินรายการอย่างสนุกสนาน โดยพิธีกรหน้าละอ่อน หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์

ไม่บ่อยครั้งหนักที่บิ๊กเนมอย่าง นายสุทธิชัย หยุ่น จะออกตัวเป็นบรรณาธิการ แสดงว่าชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ คงไม่ธรรมดาจริงๆ

“สตีฟ จ็อบส์ มีอิทธิพลต่อเขา ตรงที่ทำให้เขาเชื่อว่า คนที่มุ่งมั่น ตั้งเป้าในชีวิต ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพของชีวิตอย่างไร ก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตนอยากทำ และถ้าการทำงานมีโฟกัส จัดลำดับความต้องการของตัวเองให้ชัดเจน ไม่วอกแวก ย่อมก้าวไปถึงสิ่งที่ต้องการจะทำได้ ผมเอาด้านบวกของความเป็นศิลปินผสมกับความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของเขามาเป็นเครื่องยืนยันว่า ด้านลบของคนไม่สามารถบดบังผลงานด้านสร้างสรรค์ได้...ถ้าเขารู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่”

มาการันตีความน่าสนใจกันต่อที่นักแปลคนสวย นางณงลักษณ์ จารุวัฒน์ ที่เป็นกำลังในการแปลหนังสือเล่มนี้ รับรองด้วยตัวเองเลยว่า หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วสนุกสนาน และมีประเด็นที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านทุกเพศทุกวัย

“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 1.โฟกัส หมายถึง ความสามารถในการรวมสมาธิ มีความมุ่งมั่น แน่วแน่ พิจารณาตัดสินว่าอะไรเป็นสิ่งที่ใช่และสำคัญ ตรงประเด็น ในสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่ 2. ความทุ่มเท ความใฝ่ฝัน ความหลงใหลในสิ่งที่เขาทำอย่างเต็มที่ เวลาเขาทำอะไร ทำอย่างเต็มที่ และมีความหลงใหล ถ้าคนเรามีความรู้สึกกับตรงนี้ รับรองว่าคุณให้ทุกอย่างกับงานที่คุณทำ 3. ความสมบูรณ์แบบ เขาเป็นคนที่เวลาทำอะไร ความทุ่มเทของเขานั้นหวังผล ต้องการที่จะให้ออกมาเป็นผลสัมฤทธิ์ที่ดีเริ่ด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่เขาคิดหรือกระทำ 3 อย่างนี้เป็นคุณสมบัติที่เราน่าจะเรียนรู้ และทำให้ได้อย่างสตีฟ จ็อบส์ 3 อย่างนี้คือคุณสมบัติเด่น และคุณลักษณะสำคัญในตัวเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถพลิกโลกได้ และเชื่อว่า หากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เขามีอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณหลงรักเขาได้”

อีกหนึ่งสาวกตัวจริง นันทขว้าง สิรสุนทร บรรณาธิการแมงโก้ TV ที่เจ้าตัวบอกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรหนักหนากับไอโฟนหรือไอแพด แต่ก็แฟนตัวจริงของไอพอดมาแต่ไหนแต่ไรเพราะชอบฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ

"คนมักยกย่องสตีฟ จ็อบส์ ว่าเป็นเทวดา หรือสุดยอดของอภิคนอัจฉริยะ แต่พูดตรงๆเลยว่าเขาก็เป็นคนนิสัยไม่ดีหลายอย่าง เป็นคนที่ลูกน้องก็เกลียด เขาเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์เยอะ ชอบความเป็นมนุษย์ของเขา คือเขาไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูดี เขาเป็นคนที่พร้อมจะทะเลาะเบาะแว้งกับคนในห้องประชุม ทุบโต๊ะ ปาแก้ว กับลูกน้อง ชื่นชมที่เขาเป็นคนอัจฉริยะ เป็นคนที่สามารถนำเอานวัตกรรมมาเดินมาจับมือกับศิลปะ ซึ่งปกติศิลปะมันไม่ค่อยจับมือกับเทคโนโลยี แต่สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนแรกๆของโลก ที่เขาทำให้ศิลปะมันเดินมาอยู่ด้วยกันได้กับเทคโนโลยี "

พอหอมปากหอมคอกันไปกับหนังสือเล่มนี้ ต้องยอมรับจริงๆว่า กระแสเขาแรง ใครที่ยังคิดไม่ออกว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันปีใหม่ หนังสือชีวประวัติ "สตีฟ จ็อบส์" โดยวอลเตอร์ ไอแซคสัน เล่มนี้ น่าจับตามองเล่มหนึ่งเลยทีเดียว

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ไลฟ์สไตล์ วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2554 'สตีฟ จ็อบส์'!!!

Wednesday, December 21, 2011

คัดกรองพันธุกรรมตัวอ่อนปลอดธาลัสซีเมีย

ความก้าวหน้าอีกระดับในการรักษาโรคธาลัสซีเมียปรากฏขึ้นแล้ว ภายหลัง ศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากและวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อน ประกาศความสำเร็จของการคัดกรองพันธุกรรมตัวอ่อนที่ปลอดโรคธาลัสซีเมียและมีเซลล์ที่เข้ากันได้ระหว่างพี่และน้อง เพื่อใช้ในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาโรคธาลัสซีเมียสำหรับพี่ที่เป็นโรคให้หายขาดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดย นายศรายุธ อัสสมกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ศูนย์ซูพีเรียฯ กล่าวว่า นับเป็นสุดยอดความสำเร็จสำหรับทีมแพทย์และทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงตัวอ่อนและพันธุกรรมในการคัดกรองพันธุกรรมตัวอ่อนที่ปลอดโรคธาลัสซีเมีย และมีเซลล์ที่เข้ากันได้ระหว่างพี่กับน้อง ในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาโรคธาลัสซีเมียสำหรับพี่ที่เป็นโรคให้หายขาด ซึ่งมองว่านี่อาจหมายถึงมิติใหม่ในวงการแพทย์ที่นอกจากจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว ยังต่อยอดไปที่การรักษาโรคอื่น ๆ ทางด้านพันธุกรรมได้ในอนาคต ซึ่งท้ายสุดแล้วมุ่งหวังที่จะให้ศูนย์ซูพีเรียฯ เป็นศูนย์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีการพัฒนาห้องแล็บให้สามารถคัดกรองโรคอื่น ๆ ได้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน และได้รับการยอมรับจากผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศในก้าวต่อไป

ด้าน นพ.สมเจตน์ มณีปาลวิรัตน์ ผอ.แพทย์และสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยว ชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากของศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันตัวเลขจากสถิติของผู้เป็นพาหะโรคธาลัสซีเมียมีอยู่ประมาณร้อยละ 30 และมีผู้ป่วยใหม่ที่เกิดพ่อและแม่ที่เป็นธาลัสซีเมียประมาณ 10,000 รายต่อปี ซึ่งมีผลกระทบต่อส่วนรวมทั้งในด้านสังคม และเศรษฐกิจในระดับสูง สำหรับกรณีนี้คนไข้เป็นเด็กที่ป่วยเป็นโรคเบต้าธาลัสซีเมีย ซึ่งเกิดมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อและแม่ที่เป็นพาหะสู่ลูก โดยผู้ป่วยที่เป็นเด็กมีโอกาสได้รับการรักษาโดยการใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่ปลอดจากโรคธาลัสซีเมียและมีเนื้อเยื่อที่เข้ากันได้มาเพื่อใช้ในการรักษา นับเป็นเรื่องยากมากที่จะหาเซลล์ต้นกำเนิดที่ปลอดจากโรคธาลัสซีเมียและมีเนื้อเยื่อที่เข้ากันได้มาเพื่อใช้ในการรักษา

“ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมงานผู้เชี่ยวชาญของศูนย์ซูพีเรียเอ.อาร์.ที. ทำการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน Preimplantation Genetic Diagnosis (PGD) โดยการใช้เทคนิค Polymerase Chain Reaction (PCR) สำหรับการตรวจภาวะของโรคธาลัสซีเมียในตัวอ่อนร่วมกับการตรวจความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อระหว่างพี่และน้อง มาทำการคัดกรองตัวอ่อนที่ปราศจากโรคธาลัสซีเมียและทำการตรวจจับคู่เนื้อเยื่อที่ตรงกัน จากนั้นนำตัวอ่อนดังกล่าวย้ายกลับเข้าไปในมดลูกของผู้เป็นแม่เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป เมื่อแม่ให้กำเนิดบุตรซึ่งกำเนิดจากตัวอ่อนนี้ออกมาก็สามารถเก็บสเต็มเซลล์จากรกและสายสะดือ ซึ่งถือเป็นเซลล์ต้นกำเนิดจากเด็กคนนี้เพื่อไปใช้ในการรักษาบุตรคนพี่ที่เป็นโรคได้ เพราะเด็กคนนี้ผ่านกระบวนการตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย และการตรวจความเข้ากันของเนื้อเยื่อมาแล้วในระดับตัวอ่อน จึงมั่นใจได้ว่าเซลล์ต้นกำเนิดจะสามารถนำไปเพื่อใช้ในการรักษาบุตรอีกคนที่เป็นโรคได้” นพ.สมเจตน์กล่าว

ที่มา: คัดกรองพันธุกรรมตัวอ่อนปลอดธาลัสซีเมีย เดลินิวส์ เว็บ วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2554

4 วิธีดึงสติสร้างสมาธิ

ปรารถนาจะเรียนหนังสือเก่ง ทำงานดี มีความจำเลิศ อย่าละเลยการสร้าง “สมาธิ” ตัวช่วยสำคัญหยุดจิตสับสน ว้าวุ่น ทำสมองปลอดโปร่ง ฝึกง่าย ๆ ด้วย 4 วิธี

สร้างสมาธิก่อนเรียน หรือ ทำงาน โดยนั่งบนเก้าอี้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหลับตา เพียงให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก กำหนดจุดเพ่งมอง ปฏิบัติประมาณ 5-10 นาที ช่วยขจัดความยุ่งเหยิงทางใจ สมองคลายเครียด พร้อมใช้ความคิด ทั้งยังรับรู้ และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

ลดความเร็วในการเดิน ให้จิตใจจดจ่ออยู่กับการก้าว สลับกับพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัว ช่วยผ่อนคลายความเครียด และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต สามารถประยุกต์ใช้เมื่อเดินเล่น เดินไปเรียน และทำงานได้

รับประทานช้าลง โดยค่อย ๆ ตักอาหาร และเคี้ยวให้ละเอียด ไม่เพียงลดอาการท้องอืด และลดการทำงานหนักของกระเพาะอาหาร ยังเป็นการฝึกรวบรวมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำด้วย

เลี่ยงคาเฟอีนเข้มข้น แม้คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ลดความง่วง เหนื่อยล้า เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็ว และมีสมาธิขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับในปริมาณไม่มากเกินไป โดยเฉพาะวัยเรียน อาจลดความเข้มข้นจากการดื่มกาแฟเป็นชาแทน

หากต้องการกำจัดความฟุ้งซ่าน เข้าสู่โหมดสงบ มีสติ ลองสร้างสมาธิด้วยวิธีข้างต้น สามารถฝึกปฏิบัติได้ทุกที่ เมื่อสติมาปัญญาย่อมเกิดแน่นอน

ที่มา: 4 วิธีดึงสติสร้างสมาธิ ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2554

ความจำแย่แก้ได้ด้วย 4 วิธี

วัยที่เพิ่มขึ้นบางครั้งอาจทำให้เริ่มหลงลืม ปัญหานี้บรรเทาได้ด้วยเทคนิค 4 ข้อ แนะวัยทำงานปฏิบัติดี วัยเรียนปฏิบัติเลิศ

วิธีแรก โฟกัสสายตา โดยนั่งจ้องวัตถุ หรือ เหตุการณ์ตรงหน้า จดจำรายละเอียดให้มากที่สุด นานประมาณ 3 นาที จากนั้น ละสายตา แล้ววาดสิ่งที่เห็นบนกระดาษ เมื่อเสร็จตรวจดูว่ามีสิ่งใดตกหล่นไปหรือไม่ ฝึกสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น บริหารสมอง และเสริมประสิทธิภาพความจำด้านสายตา

วิธีต่อมา รับประทานอาหารอุดมวิตามินซี, อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม ทั้งนี้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผู้บริโภควิตามินซีสูง มีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด

ตามด้วย การทำกิจกรรมท้าทายความคิด เมื่ออายุเริ่มเข้าเลขสาม สมองจะเริ่มทำงานช้าลง ดังนั้น ควรหางานอดิเรกยามว่างที่สนุกสนานทำ เช่น เต้นแทงโก้ เรียนภาษาใหม่ ต่อจิ๊กซอว์ เกมส์ปริศนาอักษรไขว้ เล่นปิงปอง เป็นต้น ช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมอง และความจำได้ดี

สุดท้าย นอนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้ และความจำ.

ที่มา: ความจำแย่แก้ได้ด้วย4วิธี ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ ©2554 บริษัท เดลินิวส์ เว็บ จำกัด วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554

-----------
ไม่ได้บอกมาด้วยซิ
อายุเริ่มมาก...สมองทำงานช้าลง แต่ปากจะไว กว่าเดิม

ผลิตน้ำดื่มจาก“ชุดกรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์”

ทดสอบคุณภาพน้ำด้วยชุดตรวจเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียของกรมอนามัย มั่นใจสะอาดปราศจากจุลินทรีย์

ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ อาจารย์สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เผยว่า ชุดกรองน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ ได้พัฒนาขึ้นจากแนวคิดที่จะช่วยผ่อนคลายปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มในแหล่งชุมชนน้ำท่วม หรือ ในศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย ให้มีน้ำสะอาดดื่มอย่างเพียงพอ จึงพัฒนาชุดกรองน้ำดังกล่าว แทนการใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสามารถใช้น้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ คูคลองน้ำไหล หรือ น้ำประปาสีขุ่นดื่มได้ไม่สนิทใจ โดยนำน้ำดิบมาพักไว้ แกว่งสารส้มประมาณ 5-10 นาที ให้ตกตะกอน น้ำจะใสขึ้น จากนั้น นำมาผ่านชุดกรอง จะได้น้ำดื่มสะอาด ทำการทดสอบคุณภาพด้วยชุดตรวจเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มั่นใจได้ว่า สะอาด ปลอดภัย ปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร

“เป็นการพัฒนาเทคโนโลยี หรือ อุปกรณ์ที่มีอยู่แล้ว ประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นแผงโซลาเซลล์ แบตเตอรี่ ปั้มน้ำ ระบบกรองน้ำ ไส้กรองน้ำ ระบบฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV สามารถหาซื้อได้ในท้องตลาด โดยเลือกใช้อุปกรณ์มีมาตรฐานรับรอง มั่นใจคุณภาพ ข้อดีคือสะดวก รวดเร็ว ใช้งานได้ทันที ซึ่ง มทส.จัดสรรงบประมาณจัดทำชุดกรองน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ นำไปติดตั้งในชุมชน หรือ ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องน้ำดื่มแล้วเบื้องต้น 3 ชุด” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.รังสรรค์ ทองทา กล่าวถึง การทำงานของชุดกรองน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ ว่า ประกอบด้วยอุปกรณ์ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ใช้กรองน้ำ และส่วนที่ให้พลังงาน โดยใช้เครื่องกรองน้ำที่หาซื้อได้ทั่วไป แต่พิเศษคือเพิ่มการกรองหยาบเข้าไป จึงใช้ได้กับน้ำที่มีคุณภาพด้อยกว่าน้ำประปา สำหรับด้านหลังชุดกรองน้ำ ประกอบด้วย อินเวอร์เตอร์ รับพลังงานจากโซลาเซลล์ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ปั้มน้ำ อาศัยแรงดันให้เครื่องทำงาน ผู้ใช้เพียงกดสวิทซ์เครื่องก็จะกรองน้ำ

“ไม่ใช้พลังงานไฟฟ้า ปลอดภัยจากไฟรั่ว และไฟช็อต ต้นทุนการผลิตประมาณ 20,000 บาทต่อชุด ถูกออกแบบให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด ใส่ในกระเป๋าเดินทางได้ เคลื่อนย้ายสะดวก มีกำลังการผลิตโดยกรองน้ำดื่มได้ 120 ลิตรต่อชั่วโมง หรือ ประมาณถังน้ำขนาด 20 ลิตร จำนวน 6 ถัง เหมาะต่อการนำไปใช้ในกลุ่มชุมชน หรือ พื้นที่ประสบภัยต่าง ๆ ได้” ผศ.ดร.รังสรรค์ กล่าว

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยสุรนารี โทร. 0 4422 4081-5.

ที่มา: ผลิตน้ำดื่มจาก“ชุดกรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์” ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคารที่ 13 ธันวาคม 2554

ฮือฮาเผาไร้มลพิษบริการกำจัดขยะฟรีหลังน้ำลด

ฮือฮาเผาไร้มลพิษบริการกำจัดขยะฟรีหลังน้ำลด -นักประดิษฐ์ไทยทำได้ เตาเผาขยะราคาถูกไร้มลพิษประหยัดพลังงานเคลื่อนที่ได้ สำนักนวัตกรรมโดดอุ้ม พาอวดตัวรับงานกำจัดมูลฝอยหลังน้ำลด

วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2554 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขยะล้นเมืองหลังน้ำลดกลายเป็นปัญหาใหญ่ของชุมชนโดยเฉพาะถนนสายสำคัญของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพิ่มขึ้นจากวันละ 8.500ตันเป็นหลายหมื่นตัน ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ได้นำผลงานเตาเผาขยะไร้มลพิษ และประหยัดพลังงานแบบเคลื่อนที่ ติดตั้งบนรถเทรลเลอร์ ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยบริษัทเชียงใหม่เอนไวรอนเมนท์ โปรเทค จำกัด ขนาด 2.5 x 12 เมตร ไปบริการเผาทำลายขยะจำนวนมหาศาลที่หมู่บ้านภาณุรังสี อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ซึ่งถูกน้ำท่วมสูง 1.5 เมตร นาน 45 วัน

สำหรับเตาเผาขยะดังกล่าวใช้ระบบแก๊ซซิฟิเคชั่น หรือการเผาขยะโดยใช้แก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงตอนเริ่มต้นประมาณ 15 นาที หรือจนกว่าจะมีไฟลุกไหม้ขยะ จากนั้น จะปล่อยให้ขยะเป็นเชื้อเพลิง โดยให้มีอากาศเข้าเป็นส่วนผสมเล็กน้อย เพื่อให้ได้ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ แทนคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้เกิดพลังงานความร้อนเข้าเผาซ้ำอีกครั้ง จนอุณหภูมิสูงถึง 800 องศาเซลเซียส จากนั้นส่งก๊าซผ่านท่อก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศ โดยระหว่างทางจะดักฝุ่นหรือมลพิษต่างๆ ด้วยการฉีดพ่นสเปรย์น้ำ เครื่องกรองเซรามิก และถ่านกัมมันต์ จนไม่มีควันหรือกลิ่นออกสู่บรรยากาศ มีความสามารถการเผาวันละ 3 ตัน โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเผาดังกล่าวนอกจากตอนเริ่มต้นเผาที่มีควันออกมาเล็กน้อยแล้ว ตลอดเวลาไม่มีควันหรือกลิ่นออกมาสร้างความรำคาญแต่อย่างใด เตาดังกล่าวยังมีระบบกันความร้อน สัมผัสที่ผนังด้านนอกได้โดยไม่มีไอร้อนแม้แต่น้อย ระดับเสียงก็ราวไม่เกิน 40 เดซิเบล

นายนพดล โปธิตา กรรมการผู้จัดการ บ.เชียงใหม่ เอนไวรอนเมนท์ โปรเทค กล่าวว่า ขณะนี้ได้ติดตั้งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วหลายแห่ง รวมทั้งสวนสัตว์เชียงใหม่ พบว่าความสิ้นเปลืองพลังงานจากการใช้จริง เป็นค่าก๊าซแอลพีจี หรือก๊าซหุงต้ม และค่าระบบกรองต่าง รวมกันประมาณตันละ 150 บาท โดยเตาดังกล่าวนี้มูลค่าประมาณ 2.4 ล้านบาท ได้รับการสนับสนุนจากโครงการแปลงเทคโนโลยีเป็นทุนของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ 1 ล้านบาทเศษ ขณะนี้ได้ผลิตเตาเผาแบบเดียวกันนี้อีก 10 คัน เพื่อร่วมโครงการจิตอาสาให้บริการกำจัดขยะเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลฟรี โดยบริษัทล็อกซเล่ย์จำกัด(มหาชน) สนับสนุน หากชุมชนใด ต้องการให้ติดต่อผ่านคอลล์เซ็นเตอร์ โทรศัพท์ 0893719555 วันจันทร์ถึงวันศุกร์

ที่มา:ฮือฮาเผาไร้มลพิษบริการกำจัดขยะฟรีหลังน้ำลด ©2554 บริษัท เดลินิวส์ เว็บ จำกัด วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2554

เปิดเสรีทางการศึกษา บทพิสูจน์ 'เสร็จนาฆ่าโคคึก'

เปิดเสรีทางการศึกษา บทพิสูจน์ 'เสร็จนาฆ่าโคคึก'
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2554

ดูเหมือนกระแสของการก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน กำลังกลายเป็นประเด็น “ฮอต” อย่างสุด ๆ ในสังคมขณะนี้ ซึ่งการที่สังคมไทยมีความตื่นตัวกับเรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะเท่ากับเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยพร้อมแล้วที่จะก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และเหตุผลสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ก็เนื่องมาจากเหตุผลหลายประการประการแรก ประเทศไทยได้ประกาศ ปฏิญญาสากลต่อชาวโลกก่อนหน้านี้ในทำนองว่าจะสร้างคนไทยให้พร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปีพุทธศักราช 2558 2. ทุกประเทศทั่วโลกจะต้องมีการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกยุคใหม่ โดยเน้นในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นหลัก 3. ที่ผ่านมาประเทศไทยต้องจมปลักอยู่กับ “หลุมดำ” ของปัญหาทางด้านการเมืองมาอย่างยาวนาน จนทำให้ไม่สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างที่ควรจะเป็น และ 4. เรื่องการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมในการขับเคลื่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงจะต้องออกแรงผลักดันให้ประเทศไทยก้าวผ่านไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนให้ได้ แม้จะเหลือระยะเวลาในการดำเนินการอีกไม่มากก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลนี้ควรจะต้องรีบกระทำคือ เร่งจัดหาเจ้าภาพเพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการประสานและขับเคลื่อนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเป็นระบบ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการสร้างคนให้ประเทศชาติ ก็ควรที่จะกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างเด็กให้มีคุณภาพตามที่่ต้องการทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว พร้อมทั้งกำหนดให้เรื่อง

ดังกล่าวเป็น “วาระแห่งชาติ” อย่างเร่งด่วน เพราะนอกจากจะเป็นการปลุกกระแสคนไทยให้เข้ามามีส่วนร่วมแล้วยังจะทำให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติของทุกภาคส่วน
ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ศธ. ก็จะต้องมีการจัดระเบียบการศึกษาใหม่ด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการขับเคลื่อน เริ่มตั้งแต่การแก้ปัญหาขาดแคลนครู, ทำให้ครูได้สอนตรงตามวิชาเอกที่เรียนมา, หลักสูตรจะต้องสอดคล้องกับสังคมยุคใหม่, การคืนไม้เรียว, การปรับแนวทางการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย โดยจะต้องเน้นให้เด็กอ่านแบบสะกดคำ ประสมคำ รวมทั้งได้รู้ถึงสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ไทย ฯลฯ และที่สำคัญคือเน้นการสอนให้เด็กรู้จักการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์และแก้ปัญหาเป็น, การสอนวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม การเรียนภาษาอังกฤษและภาษาจีนอย่างเข้มข้น และที่สำคัญคือการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้กับหลักสูตร เป็นต้น เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างเยาวชนไทยให้มีคุณภาพทั้งสิ้น

จะว่าไปแล้วการที่ประเทศไทยจะต้องเร่งสร้างคนให้พร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างยั่งยืนก่อนปี 2558 แม้จะถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นก็จริง แต่ก็ควรที่จะคำนึงถึงผลกระทบอื่น ๆ ที่จะตามมาอย่างรอบด้านด้วย เพราะทุกอย่างในโลกนี้เปรียบเสมือน “เหรียญสองด้าน” อยู่เสมอ เมื่อมีด้านบวกก็ย่อมมีด้านลบ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องกระทำอย่างรัดกุมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะเหตุว่าหลังการเกิดเป็นประชาคมอาเซียนขึ้นมาแล้วจะทำให้ตลาดการศึกษาทุกระดับในอาเซียนถูกเปิดออกอย่างเสรี โดยเฉพาะสถานศึกษาในประเทศไทยทุกสังกัดที่ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ ที่มีอยู่เกือบ 30,000 แห่งทั่วประเทศนั้นก็คงจะมีโอกาสล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่า หากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังเพิกเฉยไม่หามาตรการใด ๆ มารองรับ สุดท้ายก็คงเหลืออยู่แต่เพียงสถานศึกษาที่มีความพร้อมที่มีอยู่เพียงไม่กี่พันแห่งเท่านั้นที่ยังจะสามารถยืนอยู่ได้กระแสความตื่นตัวของการเปิดเสรีทางการศึกษาที่จะถาโถมเข้าสู่ตลาดการศึกษาไทยในอีกไม่นาน หากมองในแง่ดีก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้สถานศึกษาของไทยต้องเร่งพัฒนาตนเองเพื่อให้สามารถก้าวไปสู่ส่วนบนของยอดคลื่น แต่ในทางกลับกันเกลียวคลื่นที่สาดซัดมาด้วยความรุนแรงนี้ก็พร้อมที่จะม้วนเอาการศึกษาที่อ่อนแอให้ถูกกลืนหายสาบสูญไปได้ด้วยเช่นกัน

กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล น่าจะต้องมองเห็นถึงปัญหาใหญ่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาทำลายล้างสถาบันการศึกษาของบ้านเราในอีกไม่ช้า ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่ายังมีสถานศึกษาทั้งของรัฐและของภาคเอกชนอีกหลายหมื่นแห่งที่ยังตกอยู่ในสภาพเสมือนคนไข้ที่ป่วยนอนซม บางแห่งอาการหนักถึงขั้น “โคม่า” อันเนื่องมาจากผลกระทบของปัญหารอบด้านทั้งเศรษฐกิจ การเมืองหรือสังคม ที่โหมกระหน่ำเข้าใส่มาก่อนหน้านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

โดยเฉพาะในส่วนของสถานศึกษาเอกชน ที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ มาโดยตลอด ทั้งจากปัญหาทางด้านการเมือง ผสมผสานไปกับผลกระทบจากนโยบายของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนฟรี, การที่บุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์จำนวนมากลาออกไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการ, การเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเสียค่าแป๊ะเจี๊ยะเพื่อแลกกับการให้บุตรหลานได้เข้าเรียน หรือแม้แต่การจะเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้ที่จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท เป็นต้น คงถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องหันกลับมาเหลียวแลการศึกษาเอกชนอย่างจริงจังเสียที ควรหาทางช่วยเหลือให้สถานศึกษาเหล่านั้นสามารถอยู่รอดได้ เพราะหากปล่อยให้สถานศึกษาเอกชนกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศต้องต่อสู้เพียงลำพังจนต้องปิดตัวเองในที่สุด ในขณะที่สถานศึกษาของรัฐเองก็ไม่สามารถรองรับนักเรียนที่มีอยู่นับล้านคนได้ทั้งหมด และผู้ปกครองเองก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนราคาแพงลิบลิ่วให้แก่สถานศึกษาดี ๆ ได้ ถามว่ากระทรวงศึกษาธิการจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เด็กนักเรียนที่ไม่มีที่เรียนอาจต้องกลายสภาพเป็นเสมือนสารตกค้าง รวมทั้งบุคลากรอีกไม่น้อยที่ต้องตกงาน ทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสถานศึกษาเอกชนนอกจากจะเป็น “ยอดขุนพล”ในการร่วมสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้แก่ประเทศชาติแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้เด็ก ๆ ทุกคนได้มีที่เรียน ดังนั้นหากผู้มีอำนาจทั้งหลาย เมื่อเห็นปัญหาใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นกับสถานศึกษาเอกชนแล้วไม่คิดหาทางแก้ไข และปล่อยให้แนวร่วมที่เคยเป็นพลังสำคัญในการร่วมพัฒนาเยาวชนของชาติต้องล้มหายตายจากไปต่อหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วก็คงไม่ต่างอะไรกับสุภาษิตที่ว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” นั่นเอง

สายธาร สืบพัฒนา
© 2554 เดลินิวส์ เว็บ วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2554
-------------------
Nan Manee: ยกเลิกการเรียนแบบท่องจำ หักไม้เรียว นี่คือผลพวงจากหลักสูตรดังกล่าว จบ ม. ๓ อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ คิดเลขไม่เป็น ขาดคุณธรรมจริยธรรม -หลักสูตรเมื่อก่อน จบชั้น ป. ๔ อ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้และเขียนสวย คิดเลขเป็น ลองเปรียบเทียบดูว่าการศึกษาพัฒนาขึ้นหรือแย่ลง

Tian Maudtaisong · Ramkhamhaeng University: เห็นด้วยอย่างยิ่ง เป็นครูมาจะยี่สิบปีแล้ว มีครูไม่ถึงครึ่งโรงเรียนที่เห็นว่านักเรียนสำคัญส่วนใหญ่ยึดแต่ตัวครูเท่านั้นที่สำคัญ ครูเก่ง นักเรียนต้องฟังอย่าแสดงความคิดเห็น ปิดกั้นทางสติปัญญาห้ามเด็กโต้เถียง นี่แหละครูปัจจุบัน จบสูงแต่สมองต่ำ มีอต่ชวนนักเรียนไปเรียนพิเศษที่ตัวเองรวมกับเพื่อนครูด้วยกันเปิดสอนในโรงเรียนบ่นทั้งชั่วโมง บางคนแย่มากฝากฝึกสอนตลอด ผู้บริหารก็มัวแต่ไปทำผลงานซีนั่นซีนี่ตลอดทั้งปีการศึกษาพบหน้าผู้บริหารไม่ถึง๑๐ หน บางคนอยู่ก็ไม่ทำอะไรนั่งอ่านหนังสือพิมพ์กับรอเซ็นแฟ้ม ที่แย่ไปกว่านั้นไม่มีเมตตาธรรมเด็กทำผิดแทนที่จะหาเหตุที่แท้จริงกลับดุด่าว่ากล่าวแบบหยาบคายเด็กบางคนครอบครัวก็แย่อยู่แล้วยิ่งมาเจอครูแย่ก็เลยไปกันใหญ่ หลักสูตรก็เปลี่ยนบ่อยมากเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่ยนหลักสูตรที ยิ่งภาษาจีนไม่รู้จะให้เรียนไปทำอะไร เด็กเรียนมา ๒ เทอมได้ ๒ คำ หนีห่าว หล่าวซือ ที่เหลือไม่ได้ เงินก็ต้องจ่ายค่าภาษาจีน ควรเน้นภาษาไทยให้แตกฉาน แล้วเพิ่มภาษาอังกฤษให้แน่นจะดีกว่า ครูไทยเก่งกว่าครูต่างชาติเยอะแต่กลับมองข้าม มีอีกมากมายในวงการครูที่หาประโยชน์จากเด็กและผู้ปกครอง รัฐบาลอย่ามองแต่ผิวเผินควรลงลึกสักทีอนาคตของชาติอยู่ที่การศึกษาอย่างให้ใครประนามได้ว่าแพ้ลาว แพ้เวียตนาม

ภรณชนิต ศรีวงค์ · มหาวิทยาลัยเกษตรศาสร์: การศึกษาไทยไร้ทิศทาง นักเรียนเรียนรู้เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ทำอะไรเป็นบ้าง พ่อแม่ไทยไม่เคยให้ลูกทำงานเหมือนฝรั่ง จบตรีทำงานไม่ได้ก็ต่อโทร จบเอกทำอะไรได้บ้าง งบด้านการศึกษา จัดใ้ห้โรงเรียนน้อยมาก ตึกใหม่ไม่เคยมี แต่มหาวิทยาลัย ตึกมากมายเอาไว้ทำอะไรบ้าง เด็กมัธยมขาดอุปกรณ์หลายอย่างโรงเรียนงบไม่พอ ครูต้องหาเอง หรือให้เด็กนำมา เมื่อไม่พร้อมก็ไม่อยากเรียน อย่างภาษาจีน เปิดตั้งแต่ ม.1 ภาษาไทย ยังใช้ไม่ถูกเขียนไม่ได้เลย บังคับเรียนจีน เอาไปใช้ที่ไหน ใครได้ผลประโยชน์กันแน่

รศ.ดร.อำนวย เดชชัยศรี · วค.บ้านสมเด็จฯ ๐๙ มศว.ประสานมิตร ๑๙ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ๓๐:
ระบบพรรคในสภาไทยมีปัญหา..สส.ที่เราเลือกแค่ประชาธิปไตย ๔ นาทีที่เรามีสิทธิเมื่อสส.ไปกินดีอยู่ดีมักจะทรยศต่อตนเองลืมความทุกข์ยากของประชาชน..ระบบสังคมทุนนิยมผู้บริหารเอาตัวรอดประจบนักการเมือง..นักการเมืองข้ามหัวผู้บริหาร..ชี้มือกร่างกับผู้น้อยสั่งเอาสั่งเอา.ร่ำรวยจากเงินภาษีประชาชนซื้ออำนาจทุกอย่างที่ประเทศไทยมีอยู่..เงินภาษีประชาชนส่วนหนึ่งนำมาแจกรากหญ้าในนามตัวเอง...สร้างระบบเอาแต่ได้ฮึกเหิมเผด็จการเปลี่ยนแปลงตัวบทกฎหมายให้เป็นประโยชน์กับพวกตัวเอง..ทำผิดแก้ให้ไม่ผิด..เผาบ้านเมืองไม่ผิด???เอาอวัยวะส่วนไหนมาคิด ...แค่นี้..ครูจะยังคิดพึ่งพวกขี้โกงอีกหรือ ขี้โกงได้รับการสนับสนุน ๑๕ ล้านเสียง..แล้วอีก ๕๐ ล้านเสียงที่มีความเห็นตรงข้ามจะนั่งนิ่งๆกระนั้นหรือ....สงสารประเทศไทย

Etc

ขอเงิน150 ล้านบาท ล้างหนี้ม.อีสาน

คณะกรรมการควบคุมฯ ขอเงิน 150 ล้าน “จ้างอาจารย์เพิ่ม 200คน-ใช้หนี้ ม.อีสาน”
เมื่อวันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2554 ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการควบคุม มอส. ที่มี นายสมนึก พิมลเสถียร อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นประธาน ว่า คณะกรรมการควบคุมฯ ได้พิจารณาข้อเสนอของ นางจรรยา แสวงการ ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้ง มอส. พร้อมด้วย ดร.อัษฎางค์ แสวงการ อดีตอธิการบดี ที่ขอให้พิจารณายกเลิกการควบคุม ตามมาตรา 90 ของ พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 โดยมีมติให้ประธานคณะกรรมการควบคุมฯ สรุปรายละเอียดแผนการบริหารมหาวิทยาลัย เสนอรายงานต่อนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมความเห็นของคณะกรรมการควบคุมฯ ที่ระบุว่า แผนบริหารมหาวิทยาลัยตามที่ผู้รับใบอนุญาตเสนอมาทั้ง 3 ครั้ง ยังไม่เหมาะสมและยังไม่สามารถแก้ปัญหาในปัจจุบันได้

ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯ ได้แจ้งแนวทางแก้ปัญหาโดยให้ผู้รับใบอนุญาตให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการควบคุมฯ อย่างเคร่งครัด ไม่แทรกแซงการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยและไม่ขัดขวางการดำเนินงานของคณะกรรมการควบคุมฯ และผู้บริหารชุดปัจจุบัน รวมถึงผู้รับใบอนุญาตต้องให้ความร่วมมือจัดงบประมาณในการจัดจ้างคณาจารย์ที่มีคุณภาพจำนวน 200 คน และจัดการหนี้สินของมหาวิทยาลัย รวมจำนวนเงิน 150 ล้านบาท เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าเห็นชอบตามการเสนอของคณะกรรมการควบคุมฯ หรือไม่

ด้านรศ.ดร.สุมนต์ สกลไชย อธิการบดี มอส. กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมฯ ได้พิจารณาอนุมัติสำเร็จการศึกษาให้กับนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต (ป.บัณฑิต) วิชาชีพครู เพิ่มเติม จำนวน 40 คน ตามที่มีการเสนอขออนุมัติ 42 คน โดยผู้ที่ไม่ได้รับการอนุมัติเนื่องจากตรวจสอบพบว่ามีการลงทะเบียนซ้ำซ้อน 2 หลักสูตร คือ หลักสูตร ป.บัณฑิต และหลักสูตรการบริหารการศึกษา ซึ่งขัดกับระเบียบของมหาวิทยาลัย ดังนั้นตนจึงขอให้ผู้ที่รู้ตัวว่าลงทะเบียนซ้ำซ้อน รีบมาติดต่อที่บัณฑิตวิทยาลัย เพื่อจะได้เลือกหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ทั้ง 2 หลักสูตร พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังได้อนุมัติสำเร็จการศึกษาให้กับนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต 4 คน และหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ แบ่งเป็น นักศึกษาเรียนในที่ตั้ง 36 คน นอกที่ตั้ง 39 คน สาขาการจัดการอุตสาหกรรม ในที่ตั้ง 23 คน นอกที่ตั้ง 8 คน สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ในที่ตั้ง 5 คน นอกที่ตั้ง 3 คน และหลักสูตรบัญชีบัณฑิต ในที่ตั้ง 48 คน นอกที่ตั้ง 27 คน รวมผู้ที่ได้รับอนุมัติจบการศึกษาทั้งหมด 229 คน

ที่มา: ขอเงิน150 ล้านบาท ล้างหนี้ม.อีสาน: เดลินิวส์ เว็บ วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2554
----------------
มันง่ายไปหรือเปล่าขอเงินภาษีประชาชนกันดื้อ ๆ ควรกู้เงินเหมือน ม.รังสิต ถ้าบริหารจัดการดีก็จะล้างหนี้เงินกู้ได้ในเวลาไม่นาน

ศาลปกครองเดินหน้าจัดเวทีถกรับมือปัญหาน้ำท่วม

ศาลปกครองเดินหน้าจัดเวทีถกรับมือปัญหาน้ำท่วม

ศาลปกครองจัดเวทีถกปัญหารับมืออย่างไรกับภัยน้ำท่วม นักวิชาการชี้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาน้ำมีแต่นักการเมืองแย่ง กันพูดเหมือนหาเสียง

วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2554 ที่สำนักงานศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ ได้จัดเสวนาประชาชน เรื่องรับมืออย่างไรกับภัยน้ำท่วม โดยมีนายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หากสังคมยังไม่ได้มีการปรับตัวหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจริง จากประสบการณ์คิดว่าเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นมาจากคนไทยไม่ค่อยได้รับรู้ข้อมูลและให้ความสนใจเกี่ยวกับข้อมูลสภาวะโลกร้อน อีกทั้งการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาค่อนข้างนิ่ง คูคลองต่างๆไม่มีศักยภาพในการระบายน้ำ ผังเมืองก็ไร้ระเบียบ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในที่เข้ามาเสริมเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ไทยตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมคือการที่มีฝนตกหนัก ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น แผ่นดินทรุดตัว พื้นที่สีเขียวหายไป การบริหารจัดการน้ำของภาครัฐครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเราขาดระบบการสนับสนุนการตัดสินใจในสถานการณ์วิกฤต แต่ไทยกลับใช้วิธีการขอเวลาประเมินก่อนจึงจะตัดสินใจว่าจะใช้มาตรการอย่างไร ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาไม่ทันต่อเหตุการณ์

“รัฐบาลมีการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารทรัพยากรน้ำ (กยน.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่ตนร่วมอยู่ด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเลียนแบบประเทศญี่ปุ่น แต่ของญี่ปุ่นนั้นมีเฉพาะผู้เชี่ยวชาญเป็นกรรมการและบริหารงานโดยอิสระ แต่ของไทยกลับมีแต่นักการเมืองที่ประชุมแต่ละครั้งก็มีแต่แย่งกันพูดเหมือนหาเสียง อย่างไรก็ตามมีข้อเสนอแนะว่าการแก้ไขปัญหาน้ำ ภาครัฐควรมีมาตรการออกมาให้ชัดหากเกิดน้ำท่วมเราจะให้น้ำอยู่ตรงไหน ไม่ใช่ไปทำให้นิคมอุตสาหกรรมหรือประชาชนรู้สึกว่าจะต้องถมดินให้สูง เพราะถ้าทำเช่นนั้นแล้วเกิดน้ำมาจริงก็จะเป็นอันตรายอย่างมาก เวลานี้ถามกันมากว่าปีหน้าน้ำจะท่วมอีกหรือไม่ จากข้อมูลศูนย์พายุไตฝุ่นของประเทศญี่ปุ่นระบุว่าหลังเหตุการณ์ลานินญ่าปีค.ศ.2010 พายุจะเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็พบว่าเป็นจริงตามนั้น โดยเราเจอพายุแล้ว 38 ลูก และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นปีหน้าจะท่วมหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพายุเข้าที่ไหน หากมีการบริหารจัดการที่ดีก็อาจจะท่วมไม่รุนแรง” นายเสรี กล่าว

ขณะที่นายนพนันท์ ตาปนานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาน้ำทุกคนควรกลับมาคิดว่าเราไม่ควรที่จะสู้กับน้ำ แต่ต้องหาวิธีอยู่คู่กับน้ำใหม่ เพราะประวัติศาสตร์เราไม่เคยต้านน้ำ ซึ่งตนอยากให้ภาครัฐมีการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ กทม.และจังหวัดปริมณฑล มีการพูดคุยร่วมกันเพราะถ้าป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเฉพาะกทม.ก็จะปฏิเสธไมได้ว่าจังหวัดโดยรอบกทม.จะเป็นผู้ได้รับน้ำแทน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นปัญหากระทบกระทั่งของมวลชน หรือการระบายน้ำควรจะมีการสร้างคลองต่อเชื่อมกันระหว่างคลองที่อยู่ในความรับผิดชอบของกทม.กับคลองที่อยู่ในพื้นที่จ.ใกล้เคียง นอกจากนี้ในขณะนี้ทางกทม.กำลังยกร่างผังเมืองรวมฉบับใหม่อยู่ระหว่างการเสนอคณะกรรมการผังเมือง ซึ่งได้มีการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับแผนการป้องระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วม ส่วนที่มีการมองว่าอนาคตกทม.จะจมน้ำนั้นควรจะมีการย้ายเมืองหลวง ตนคิดว่าไม่คุ้ม เพราะประเทศไทยกับน้ำเป็นของคู่กัน อยู่ที่ไหนน้ำก็ท่วม ดังนั้นควรแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำ และทำให้กทม.มีพื้นที่ว่างมากขึ้น เพื่อรับและระบายน้ำ

ด้านนายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจรัฐเข้าไปบริหารจัดการกรณีเกิดภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เช่น หากเห็นว่าชุมชนใดขวางทางไหลของน้ำรัฐสามารถใช้พ.ร.บ.นี้สั่งให้มีการรื้อถอนชุมชนได้ทันที แล้วเยียวยาโดยการจ่ายค่าชดเชยให้ แต่รัฐก็ไม่นำกฎหมายนี้มาใช้ และทำให้ประชาชนรู้จักกฎหมายนี้เฉพาะแต่การรองรับการจ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนเท่านั้น หรือเช่นกรณีที่คนที่อยู่ในพื้นที่ต่ำไม่ยอมที่จะรับน้ำก็มีหลักกฎหมายทั่วไปที่ระบุแนวปฏิบัติในทำนองว่า เอกชนที่มีที่ดินต่ำก็มีหน้าที่รับน้ำ ส่วนเอกชนที่มีที่ดินสูงก็มีหน้าที่ปล่อยน้ำ หากใครมีหน้าที่แล้วไม่ดำเนินการตามหน้าที่ก็ต้องมีความผิด แต่สังคมเราก็ยังรู้เรื่องนี้น้อย หรืออย่างกรณีที่รัฐพยายามกั้นน้ำไม่ให้กระทบกทม. ก็จะทำให้พื้นที่ด้านข้างเกิดสภาพน้ำท่วมขัง ในหลักกฎหมายทั่วไปในต่างประเทศจะถือว่ารับผลักภาระให้ผู้นั้น ทำให้บุคคลนั้นเกิดสภาพเหมือนถูกเวรคืนที่ดิน ซึ่งรัฐจะต้องจ่ายค่าชดเชย คดีลักษณะนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเป็นหลักของการแบ่งเบาภาระความเสี่ยงด้านสาธารณภัย

ที่มา: ศาลปกครองเดินหน้าจัดเวทีถกรับมือปัญหาน้ำท่วม เดลินิวส์ เว็บ วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2554
------------------
เหม็นขี้ฟันพวกเมือง นักวิชาการชี้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาน้ำ มีแต่นักการเมืองแย่งกันพูดเหมือนหาเสียง

Tuesday, December 20, 2011

สศค.เผยเดือน พ.ย.54 จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า

เหตุจากน้ำท่วม ยังมั่นใจทั้งปีงบประมาณ 55 จะเก็บได้ตามเป้า
วันนี้(20ธ.ค.)นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมารัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 137,838 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 923 ล้านบาทหรือ 0.7% เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง ทำให้การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ เมื่อรวมการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 55รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 266,488 ล้านบาท ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2,837 ล้านบาท หรือ 1.1% จากการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและ 3 กรมจัดเก็บภาษีสูงกว่าเป้าหมาย 4,543 และ 681 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับภาษีที่ได้รับผลกระทบในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,913 ล้านบาท หรือ 6% และภาษีสรรพสามิตรถยนต์จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 4,262 ล้านบาท หรือ 54.6% เนื่องจากบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ได้ชำระภาษีล่วงหน้าในเดือนที่แล้ว ประกอบกับโรงงานผลิตรถยนต์ค่ายต่าง ๆ หยุดการผลิต เพราะขาดชิ้นส่วนการผลิตในช่วงเหตุการณ์อุทกภัย อย่างไรก็ดี ภาษียาสูบจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 3,070 ล้านบาท หรือ 75.3% สาเหตุมาจากผู้จำหน่ายได้เร่งการสั่งซื้อเพื่อนำไปทดแทนสต๊อกเก่าที่ไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าได้ เนื่องจากปัญหาด้านการขนส่งในช่วงที่เกิดเหตุการณ์อุทกภัย

ที่มา: สศค.เผยเดือนพ.ย.จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า เดลินิวส์ เว็บ วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2554

ททท.คาดเงินสะพัดทั่วหาดใหญ่ช่วงปีใหม่ 450 ล้านบาท

ฟุ้งปีใหม่นี้ยอดจองห้องพักในหาดใหญ่ใกล้เต็มแล้ว คาดนักท่องเที่ยวจากมาเลย์แห่มาเพียบ
วันอังคาร 20ธ.ค.2554 นายประภาส อินทนปสาธน์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานหาดใหญ่ เปิดเผยถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวหาดใหญ่ช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า น่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและมาเลเซียมาเที่ยวหนาแน่นกว่าทุกปี เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงคนในพื้นที่ร่วมกันจัดกิจกรรมหลายประเภท ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ภายใต้แนวคิด ไนท์ พาราไดซ์ หาดใหญ่ เคาท์ดาวน์ วันที่ 30-31 ธ.ค.นี้ โดยเบื้องต้นยอดจองห้องพักช่วงเทศกาลปีใหม่ ในหาดใหญ่ อยู่ที่ 80-90% แล้ว และโรงแรมที่ตั้งในย่านการค้า ถนนคนเดินกลางเมือง ยอดจองเต็มไปแล้ว

“คาดว่าช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะมีนักท่องเที่ยวในหาดใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 70,000 คน สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้จังหวัด 450 ล้านบาท” นายประภาส กล่าว

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่น ได้แก่ ตลาดน้ำคลองแห, หาดใหญ่ ไอซ์ โดม, เทศกาลซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า, ตลาดกิมหยง-ตลาดสันติสุข, สวนสัตว์สงขลา-สวนน้ำ และการขึ้นกระเช้าลอยฟ้าไปขอพรปีใหม่จากพระพุทธมงคลมหาราชและท้าวมหาพรหมบนยอดเขาสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่

ที่มา: ททท.คาดเงินสะพัดทั่วหาดใหญ่ช่วงปีใหม่ 450 ล้านบาท: เดลินิวส์ เว็บ วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2554

แบงก์ชาติ ตั้งกำแพงรับเศรษฐกิจโลก งัด 9 ยุทธศาสตร์สู้

"ประสาร"เผย ธปท. จัดทำแผน “ยุทธศาสตร์ธปท. 5 ปี เพื่อความยั่งยืนของไทย

วันอังคารที่ 20 ธ.ค.2554 นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. จัดทำแผน “ยุทธศาสตร์ธปท. 5 ปี เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนของไทย” โดยมีเวลาดำเนินการ 5 ปี ตั้งแต่ปี 55-59 ประกอบไปด้วยยุทธศาสตร์ 9 ข้อ เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินที่มีเสถียรภาพ และมีพัฒนาการอย่างยั่งยืนและทั่วถึง ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ประสานนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ,ยุทธศาสตร์ด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยสร้างระบบเศรษฐกิจให้ยืดหยุ่นปรับตัวรองรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

ขณะที่ยุทธศาสตร์ด้านบริหารจัดการเงินสำรอง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและศักยภาพในการบริหารจัดการ โดยขยายขอบเขตการลงทุนในสินทรัพย์และสกุลเงินใหม่ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนระยะยาว และกระจายการลงทุน,ยุทธศาสตร์ด้านเสถียรภาพระบบการเงิน ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสอดส่องดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน

ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ให้ระบบสถาบันการเงินตอบสนองความต้องการของภาคเศรษฐกิจจริง สถาบันการเงินสามารถแข่งขันได้ และทำให้ระบบการเงินมีเสถียรภาพ

สำหรับยุทธศาสตร์ด้านระบบชำระเงิน จะเน้นให้มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ มั่นคง เพิ่มศักยภาพระบบการเงินรองรับภาวะฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (เออีซี)

ยุทธศาสตร์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคเข้มแข็งขึ้น ถูกเอารัดเอาเปรียบน้อยลง โดย ธปท.ได้จัดตั้งศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ซึ่งจะเปิดตัวเป็นทางการในเดือน ม.ค. 55

ส่วนยุทธศาสตร์ด้านการสื่อสาร จะช่วยเพิ่มสามารถในการเข้าถึงทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอก เพื่อเสริมพันธกิจ ธปท.ให้สัมฤทธิผล และยุทธศาสตร์ด้านทรัพยากรบุคคล และพัฒนาองค์กร เพื่อส่งเสริมให้ ธปท.เป็นองค์กรที่มีสมรรถนะสูงอย่างยั่งยืน เป็นมืออาชีพที่รอบรู้ มีทักษะการบริหารจัดการงานที่ดี

นายประสาร กล่าวต่อว่า ในปี 55 ไทยควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจยุโรปที่อาจทรุดตัวลง จากปัญหาหนี้สาธารณะที่ยังไม่คลี่คลาย รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่ฟื้นตัวด้วย

ที่มา: แบงก์ชาติ ตั้งกำแพงรับเศรษฐกิจโลก งัด 9 ยุทธศาสตร์สู้: เดลินิวส์ เว็บ วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2554
ส.อ.ท.จวกรัฐสับสนข้อมูล ไม่มีการบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาเพียงพอ เริ่มเตรียมกระสอบทราย,เรือรับปัญหา

(ผู้ถูกจวก: นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี/นายประชา พรหมนอก ผู้อำนวยการ ศปภ.)

เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2554 นายเจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยในงานเสวนา "จากบทเรียนวิกฤตอุทกภัยปี 2554 สู่แนวทางการรับมือและป้องกันน้ำท่วมโรงงาน" ว่า บทเรียน 5 ด้านที่เป็นความเสียหายของประเทศจากปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.ที่ผ่านมาข้อมูลป้องกันและรับมือกับปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลมีความหลากหลาย ทำให้ผู้รับข้อมูลเกิดความสับสน ซึ่งรวมถึงภาคอุตสาหกรรมด้วย เห็นได้จากการป้องกันตนเองของประชาชนหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ต่างกัน เพราะรับข้อมูลที่ต่างกัน 2.ปัญหาด้านการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เอกชนถือว่ารัฐบาลสอบตก เพราะเห็นได้ชัดว่าไม่มีการประสานข้อมูลกัน 3.ปัญหาการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้เพียงพอต่อการรับมือปัญหาน้ำท่วม เช่น กรณีขาดแคลนกระสอบทราย หรือ กรณีเครื่องสูบน้ำที่ไม่เพียงพอจนภาครัฐต้องใช้วิธีการยืมจากต่างประเทศ 4.ปัญหาเรื่องการอพยพ ที่อย่างน้อยก็มีเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งมีความพร้อมในเรื่องกำลังคนและอุปกรณ์เครื่องมือ ทำให้การอพยพพอราบรื่นไปได้ แต่มีบางแห่งที่หลงเหลือและได้รับความเดือดร้อน และ5.ปัญหาการขนส่งหรือโลจิสติกส์ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าเกือบทุกชนิดไม่สามารถกระจายไปตามร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าทำให้เกิดปัญหาขนาดแคลน ซึ่งปัญหานี้รัฐบาลควรเร่งจัดทำโลจิสติกส์ทางเลือกหรือสำรอง เพื่อใช้แก้ปัญหากรณีฉุกเฉิน

"แม้รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แต่หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นการเตรียมรับมือ 5 ปัญหาที่กล่าวถึง เพราะเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นอีก ดังนั้นสำหรับเอกชนตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปสิ่งที่เอกชนจะเตรียมได้มี 2 อย่าง คือ กระสอบบรรจุทราย และเรือ เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดและโรงงานสามารถเตรียมเองได้" นายเจน กล่าว

ที่มา: เอกชนสรุป5ปัญหารัฐจัดการน้ำท่วม เดลินิวส์ เว็บ วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2554
-------------------
คำย่อ
slang ศปภ.= ศูนย์ปั่นป่วนทั่วพิภพ (เพราะว่่าศูนย์ไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย)
slang ศปภ.= ศูนย์ปั่นป่วนอุทกภัยภาครัฐ (เพราะว่่าศูนย์ไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย)
slang ศปภ.= ศูนย์ประเมินสถานการณ์ตามภาพที่ฝันไว้ (เพราะว่่าศูนย์ไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย)
slang ศปภ.= ศูนย์ปกปิดภัยพิบัติ
slang ศปภ.=ศูนย์ปูสร้างภาพ
slang ศปภ.=ศูนย์ปกป้องภาพลักษณ์รัฐบาล
slang ศปภ.=ศูนย์ปัดสวะของภาครัฐ
slang ศปภ.=ศูนย์ทำเรื่องปั่นป่วนทุกภาคส่วน
slang ศปภ.=ศูนย์ประกาศภาษาต่างถิ่น (คนไทยฟังเลยไม่ค่อยเข้าใจ)
slang ศปภ.=ศูนย์ประชุมภัยลับ (จนไม่อาจเปิดเผยได้)
slang ศปภ.=ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู
slang ศปภ.= ศูนย์ปลอดประสบการณ์แก้ไขภัยพิบัติแห่งชาติ
slang ศปภ.= ศูนย์ไม่ประกันความปลอดภัยแห่งชาติ
slang ศปภ.= ศูนย์มั่วเป็นประจำและสร้างภาพแห่งชาติ
slang ศปภ.=ศูนย์ปปปสร้างภัย à ปปป = โป้(ประชา)ปด(ปลอดประสพ)มดเท็จ แต่บอกว่าเปล่า(ปู)
slang ศปภ.=ศูนย์ปูทะเลจัดการอุทกภัย
slang ศปภ.=ศูนย์ แปตอหลู(ผวน) แจ้งภัย
slang ศปภ.=ศูนย์สร้างปัญหาให้ภาคประชาชนและเอกชน
slang ศปภ.=ศูนย์สะเปะสะปะภัย
slang ศปภ.=ศูนย์ปกปิดข้อมูลภัยพิบัติ
slang ศปภ.=ศูนย์เปลี่ยนแปลงข้อมูลจน(กู)รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย
slang ศปภ.=ศูนย์เด็กเลี้ยงแกะประกาศภัยแห่งชาติ
slang ศปภ.=ศูนย์ปล่อยข่าวภัยพิบัติ
slang ศปภ.=ศูนย์สร้างความปั่นป่วนไปทุกภูมิภาค
slang ศปภ.=ศูนย์สร้างภาพลักษณ์และปกป้องบทบาทภาวะผู้นำ
slang ศปภ.=ศูนย์ปราศจากภัย
slang ศปภ.= ศูนย์ประเดิมภัณฑ์
slang ศปภ.=ศูนย์ปฏิบัติการก่อภัยแห่งชาติ
slang ศปภ.=ศูนย์ประกาศภัยมั่ว
slang ศปภ.=ศูนย์ชิงดีชิงเด่นเพื่อปฏิบัติการสร้างภาพ

ตอนแรกเห็นแย่งกันออกทีวีพูดการจัดการน้ำท่วม ตอนหลังหายหัวไปหมด ไม่ว่าจะ้เป็น ผอ.ศปภ. รองผอ. ฯลฯ ของบริจาคจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องสูบน้ำ เรือ หายไปหมด ผอ.ประชา พรหมนอก และนายกปูยิ่งลักษณ์ จะรับผิดชอบอย่างไร ชั่วร้่ายจริงๆ

Monday, December 19, 2011

เตือน! ผู้ที่เก็บแผ่นป้ายทะเบียนรถผู้อื่นมาใช้มีความผิดโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับถึง 10,000 บาท

นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากวิกฤตน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ทำให้ผู้ใช้รถต้องขับรถลุยน้ำที่ท่วมขังเป็นเวลานาน เป็นเหตุให้แผ่นป้ายทะเบียนรถชำรุดและสูญหายเป็นจำนวนมาก จากข้อมูลการแจ้งขอรับแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่แทนที่ชำรุดสูญหาย พบว่า ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 16 ธันวาคม 2554 มีประชาชนมาแจ้งขอรับคู่มือทะเบียนรถใหม่แทนที่ชำรุดและสูญหาย จำนวน 28,435 ราย แผ่นป้ายทะเบียนรถ จำนวน 16,501 ราย และขอรับเครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปี อีกจำนวน 12,282 ราย โดยหากป้ายทะเบียนรถ หรือ เครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีหล่นหายขอให้ติดต่อดำเนินการ ณ สำนักงานขนส่งจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดสาขาที่รถจดทะเบียนอยู่

สำหรับ รถเก๋ง รถตู้ รถกระบะ รถจักรยานยนต์ และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร สามารถแจ้งขอรับแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่ได้ ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1– 5 ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 ธันวาคม 2554 จากเดิมที่ดำเนินการได้เฉพาะสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบเท่านั้น ซึ่งเจ้าของรถต้องนำเอกสารที่ใช้ประกอบการขอแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ได้แก่ สมุดคู่มือการจดทะเบียนรถฉบับจริง, สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และหนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนา บัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถไม่สามารถมาติดต่อดำเนินการด้วยตนเองได้) กรณีที่เป็นนิติบุคคล ต้องแนบหนังสือรับรองนิติบุคคล, ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนผู้มีอำนาจลงนาม และหนังสือมอบอำนาจ ซึ่งหากเป็นรถที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2522 ไม่ต้องแนบเอกสารการแจ้งความจากสถานีตำรวจแต่อย่างใด โดยเสียค่าใช้จ่ายแผ่นป้ายละ 100 บาท เท่านั้น

นายสมชัย กล่าวด้วยว่า ผู้ที่เก็บแผ่นป้ายทะเบียนรถได้สามารถส่งคืนที่กลุ่มประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร อาคาร 1 ชั้น 1 กรมการขนส่งทางบก โดยเจ้าของรถสามารถตรวจสอบข้อมูลแผ่นป้ายทะเบียนรถที่สูญหายได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะและรับเรื่องร้องเรียน กรมการขนส่งทางบกที่ 1584 หรือตรวจสอบทางเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกที่ www.dlt.go.th ทั้งนี้ “ผู้ฉวยโอกาสนำแผ่นป้ายทะเบียนรถที่เก็บได้ไปใช้จะมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และความผิดอาญาฐานปลอมแปลง หรือใช้เอกสารราชการปลอม ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี ปรับตั้งแต่ 1,000 - 10,000 บาท ด้วย

ที่มา: เตือน! ผู้ที่เก็บแผ่นป้ายทะเบียนรถผู้อื่นมาใช้มีความผิดโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับถึง 10,000 บาท :มติชนออนไลน์ :
เตือน! ผู้ที่เก็บแผ่นป้ายทะเบียนรถผู้อื่นมาใช้มีความผิดโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับถึง 10,000 บาท
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เหตุภาษาอังกฤษอ่อน: วิตกเด็กไทยตกงานเพิ่มขึ้นหลังการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนในปี 58

วิตกเด็กไทยตกงานเพิ่มขึ้นหลังการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนในปี 58 เหตุภาษาอังกฤษอ่อน

ดร.เอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวในการประชุมแนวโน้มและทิศทางการจัดการศึกษาข้ามพรมแดนในประเทศไทย ว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้เชิญตัวแทนมหาวิทยาลัยภาครัฐและเอกชน หารือจัดทำยุทธศาสตร์การศึกษาข้ามพรมแดนของไทยอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งปัญหาสำคัญของไทย คือ การใช้ภาษาอังกฤษ เมื่อมีการเปิดตลาดการค้าเสรี เด็กไทยจะไม่สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานโลกได้ แนวโน้มการตกงานจะเพิ่มสูงขึ้น เปรียบเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น มาเลเซีย ซึ่งขณะนี้มีการจัดทำหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยชื่อดังของโลก เพื่อผลิตบุคลากรป้อนสู่ตลาดแรงงานเพิ่มมากขึ้น หากไทยไม่ปรับตัว อาจสูญเสียโอกาสหลายด้าน สำหรับการหารือครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้มหาวิทยาลัยของไทย ตื่นตัวในการจัดทำหลักสูตรการศึกษาข้ามพรมแดน โดยการนำจุดแข็งของการศึกษาไทย เช่น ด้านการแพทย์ พยาบาล โรงแรม ไปเปิดหลักสูตรร่วมกับประเทศสมาชิกมากขึ้น และต้องผลักดันให้มีการเรียนการสอนหลักสูตรไทยศึกษาควบคู่ไปด้วย

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวอีกว่า หลังการประชุมครั้งนี้ จะมีการจัดประชุมระดับชาติ และในประเทศภูมิภาคอาเซียน เพื่อกำหนดทิศทางการเปิดเสรีการศึกษาของไทยต่อไป ขณะเดียวกัน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จะประสานไปยังกระทรวงพาณิชย์ เปิดตลาดการศึกษาในประเทศไทย โดยใช้การศึกษาเป็นการค้า จัดโรดโชว์ ดึงดูดนักศึกษาต่างชาติ เข้ามาเรียนในประเทศไทยให้มากขึ้น

( สำนักข่าวแห่งชาติ)

ที่มา: มติชนออนไลน์ วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ลูกเลี้ยง-ลูกบุญธรรม step-child

ลูกเลี้ยงหรือลูกบุญธรรม ภาษาอังกฤษเรียกว่า step-child หรือ stepchild จะเรียกว่า foster child ก็ได้ (คำว่า foster หมายถึงในลักษณะ การเลี้ยงดู(เด็ก) การดูแล อุปการะ อุปถัมภ์) จะเขียนเป็น foster-child, foster child หรือ fosterling ก็ได้

ลูกเลี้ยงหรือลูกบุญธรรมที่เป็นหญิง = foster-daughter

แม่เลี้ยง = stepmother หรือ foster mother
พ่อแม่บุญธรรม(เรียกรวม) = foster-parents หรือ step-parents
ลูกชายบุญธรรม = foster-son, stepson
ลูกสาวบุญธรรม = foster-daughter, stepdaughter
พี่น้องที่ร่วมแม่นมเดียวกัน ชาย = foster brother
ลูกเลี้ยงที่เป็นผู้ชาย = stepbrother
พี่น้องที่ร่วมแม่นมเดียวกัน หญิง = foster sister
ลูกเลี้ยงที่เป็นผู้หญิง = stepsister

สถานที่เลี้ยงดูเด็กกำพร้า = foster home

Dr.SoS

สังเกตอาการ 'ผู้หญิง' กำลังตกหลุมรัก!!!!

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง จะรักจะชอบใครมันก็ต้องเก็บอาการกันบ้าง แต่การเก็บงำอารมณ์แบบนี้ ยิ่งทำให้ผู้ชายที่กำลังตามส่งข้าวส่งน้ำ อาจจะรู้สึกท้อแท้ใจจนไม่อยากสู้ต่อ ไทยรัฐออนไลน์จึงอยากช่วยให้ชายหนุ่มมีกำลังใจในการพิชิตใจสาวในฝัน ด้วยการสังเกตท่าทาง หรือการกระทำบางอย่างของผู้หญิงที่หมายปอง ว่าตอนนี้เขากำลังชอบคุณตอบกลับมาเหมือนกัน

1. สนใจในสิ่งที่คุณสนใจ - ผู้หญิงที่เริ่มจะเทใจให้กับคุณผู้ชาย จะตั้งต้นศึกษาในกิจกรรมที่คุณสนใจ อย่างเช่น ภาพยนตร์ รถยนต์ หรือแม้แต่เกม เพื่อให้การสนทนาและการออกเดทราบรื่น และยิ่งทำให้คุณผู้ชายทั้งหลายรู้สึกคลั่งในตัวหญิงสาวคนนี้ เพราะว่าพูดคุยกันด้วยภาษาเดียวกัน

2. หัดเล่นกีฬาที่ไม่ชอบ - ถ้าผู้หญิงแอบหัดไปฝึกเล่นกีฬาที่ชายหนุ่มคนที่มาจีบชอบเล่นในช่วงวันหยุดแล้วล่ะก็ ขอให้ฟันธงได้เลยว่า คุณเธอมีใจให้คุณเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากพวกเธอคิดว่าการใช้เวลาช่วงวันหยุดด้วยการเล่นกีฬาพร้อมกัน จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์รุดหน้า และเป็นการเอาใจฝ่ายชายไปในตัว

3. ข้าวกล่องสื่อรัก - เสน่ห์ปลายจวักของผู้หญิงถือเป็นบ่วงรักที่ผู้ชายหลายคนถอนตัวไม่ขึ้น จึงไม่แปลกที่สาวๆส่วนใหญ่เลือกจะโชว์ฝีมือการทำอาหาร และนำมามอบให้กับชายที่หมายปอง โดยพวกเธออาจจะสงวนท่าทีว่า ทำมาเยอะเลยเอามาแบ่งให้ทาน หรือลองทำสูตรใหม่ก็อยากให้ชิมดู ซึ่งหนุ่มๆก็สมควรจะขอบคุณอย่างสุดซึ้ง พร้อมกับรับประทานให้หมด แม้รสชาติจะไม่ถูกปากก็ตามที

4. ยอมรับข้อเสีย - ถ้าผู้หญิงหยุดบ่นในสิ่งที่ขวางหูขวางตา และมองว่าสิ่งที่ชายตรงหน้ากำลังทำเป็นเรื่องที่อดทนได้ ถือว่าผู้หญิงกำลังมีใจ เนื่องจากเพศหญิงมักเป็นฝ่ายบ่น จู้จี้ ไม่สามารถหยุดปากจะพูดถึงสิ่งที่ไม่ชอบไม่ได้หรอก หากคนที่ทำตรงหน้าเป็นแค่เพื่อน แต่ถ้าฝ่ายหญิงเริ่มมองว่าคุณเป็นคนพิเศษ ความเกรงใจและอดทนจึงเกิดขึ้น

5. เชื่อมั่นในทุกคำพูด - ลองผู้หญิงรู้จักความรักแล้วล่ะก็ ความมั่นใจในตัวเองจะเริ่มถดถอยลง จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง จะเริ่มถามหาคำปรึกษาจากชายหนุ่มผู้มาติดพันมากขึ้น ปล่อยให้เรื่องทุกเรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตที่ต้องการคู่คิดตลอดเวลา ตั้งแต่ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงเรื่องเส้นทางบนท้องถนน ดังนั้นหากผู้หญิงเริ่มขยันโทรหาฝ่ายชาย โดยถามเรื่องเล็กๆน้อยๆก็สามารถคอนเฟิร์มได้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังวางใจ และพร้อมจะรับคุณเข้ามาร่วมอนาคตด้วยกัน

ที่มา: สังเกตอาการ 'ผู้หญิง' กำลังตกหลุมรัก!!!! ไทยรัฐออนไลน์ไลฟ์สไตล์ 15 ธันวาคม 2554