Sunday, November 1, 2015

เสี่ยอู๊ดน้อยใจในโชคชะตา

คำสารภาพของเสี่ยอู๊ด นายสิทธิกร บุญฉิม
:: ผมมิได้ว่าใครไม่ดี หรือจะว่าใครชั่ว ก็หาไม่

---------------------------------

การตายของเสี่ยอู๊ดนั้น ทำให้คนไทยได้ทราบว่า
"**พูดไม่ออก อ่านเองข้างล่าง**"

มหากาพย์เรื่องยาว 11 ประเด็นที่ทำให้เสี่ยอู๊ดน้อยใจในโชคชะตา ซึ่งแกได้เขียนบทความนี้ลงในไลน์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2558
____________________________________________
คำคมข้อคิด จากบัณฑิต ม.3
"ผู้ให้ทำชั่ว ไม่มี..ผู้รับทำดี ไม่มีชั่ว"
หมายเหตุ
11 เรื่องจริง อิงอุทาหรณ์สอนใจ!!
การจะหาคนดีที่ไหนก็ไม่มีแน่ ถ้าตัวเราไม่ดีแท้ในสายตาเขา สำหรับปุถุชนคนทั่วไปที่ยังยึดติดลาภ ยศ สุข สรรเสริญ วันใดเราหมดสิ้นหรือไม่ให้ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ บุคคลเหล่านั้นก็ใช่จะเห็นเราว่าเป็นคนดี
ถ้าหวังให้ใครดีกับเรา ตลอด
เราก็ต้องคิดดี พูดดี และทำดี ให้กับเขาตลอดไป แม้เราจะเคยทำดี เคยช่วยเหลือ เคยให้เขามามากมาย ยิ่งใหญ่ และยาวนานขนาดไหน แต่ถ้าวันใดเราขัดใจไม่ดีกับเขาแม้เพียงครั้ง เขาก็จะเห็นเราไม่ใช่คนดีทันที
ผมเชื่อ ไม่ว่าใครๆในโลกก็อยากให้ อยากช่วย หรืออยากทำดี กับคนที่เป็นคนดีจริงๆ แต่ในความเป็นจริง คนที่จะดีจริง ดีตลอดไป กลับไม่มี เพราะถ้าเขาไม่ได้รับสิ่งที่ดีจากเราตลอดไป การกระทำก็จะปรับเปลี่ยนไปตลอดกาล เหตุการณ์ที่ผมจะกล่าวข้างล่างต่อไปนี้ ผมมิได้ว่าใครไม่ดี หรือจะว่าใครชั่ว ก็หาไม่ หากแต่การกระทำของทุกท่าน เป็นธรรมชาติความจริงของมนุษย์ครับ
ขอยกอุทาหรณ์ 11 เรื่อง ดังนี้...

1.ม.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผมเคยมอบเงิน 186 ล้านบาท สร้างศูนย์กลางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตามที่ขอ สมัยนั้นเขายกย่องผมเป็นประธาน แต่เมื่อพระพรหมบัณฑิต อธิการบดีทำไม่ถูกต้องเป็นเหตุทำให้ผมเกือบติดคุกสมัยนั้น รวมทั้งทำให้ผมต้องตกเป็นข่าวเสื่อมเสีย เขาจึงถูกผมตำหนิ นับแต่นั้นพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับผม ต่อมาผมตำหนิที่เขาปกปิดบิดเบือนความจริงอันเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ของผม 8 ปีนับจากเกิดคดีสมเด็จเหนือหัว เขาจึงไม่ไปเยี่ยมที่คุก ถึงวันที่พ้นโทษผมได้มามหาวิทยาลัยนี้เป็นครั้งแรก เขาทั้งหลายรังเกียจสถานภาพนักโทษของผม จึงไม่ต้อนรับ และไม่รับผิดชอบต่อสัญญาที่เคยทำไว้กับผม เหตุเพราะเขาเห็นผมเป็นคนชั่วไปแล้ว

2.สภาสังคมสงเคราะห์ฯ
ผมเคยมอบเงินกว่า 100 ล้านบาท ให้สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ และพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ตามที่เขาขอ สมัยนั้นเขาให้เกียรติผมกว่าใครๆ แต่พอนายอำนวย อินทุภูติ ประมุขของ 2 องค์กรถูกผมสอบถามเรื่องการใช้เงินบริจาค และการไม่นำเงินของผมออกมาช่วยประชาชนคราวน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 นับแต่บัดนั้นเขาก็เสนอเรื่องให้ประมุขท่านปัจจุบัน ฟ้องร้องแก้เกี้ยวเรียกจะเอาเงินเพิ่มอีก 100 ล้าน ที่ตนเคยขอความอนุเคราะห์จากผม 194 ล้าน แต่ได้ไปแค่ 94 ล้าน เขาอ้างว่าผมยังต้องให้เขาอีก 100 ล้าน เขาจะฟ้องผมทั้งๆที่เป็นการขอจากผมแท้ๆ ที่เขาจะฟ้องเพราะเห็นผมเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ทั้งๆที่เงิน 100 ล้าน จากปัญญาของผม เขายังใช้ไม่หมด เงินยังคงเหลืออยู่ แต่เจ้าของเงินกลายเป็นคนชั่วไปแล้ว

3.มูลนิธิ โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี
ผมเคยอุปถัมภ์เงิน 132 ล้านบาท ให้โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี พอนพ.ชัยพร กันกา อดีตผู้อำนวยการเป็นต้นเหตุทำให้ผมถูกกลั่นแกล้งจนเป็นคดีความติดคุกเสื่อม เสียสถานภาพ นับแต่บัดนั้นพวกเขาก็ไม่เห็นความสำคัญเหมือนครั้งแรกๆที่ขอเงินจากผม และเมื่อผมออกจากคุกได้พูดเรื่องเงินของผมที่สูญหายไป พูดเรื่องที่พวกเขาทำป้ายประวัติการอุปถัมภ์ของผมเป็นเท็จ พร้อมพูดเรื่องต่างๆที่ทีมมูลนิธิศูนย์มะเร็ง โดยนางวัชรี เทียนสุวรรณ, นพ.ชัยพร กันกา เคยทำไม่ดีกับผม ณ วันนี้ นางวัชรี เทียนสุวรรณ ประธานมูลนิธิฯ, นพ.ชัยพร กันกา อดีตผอ.,นางวันเพ็ญ ไกรพันธ์ เลขา ซึ่งเคยมีอำนาจในโรงพยาบาล จากที่เคยเอาอกเอาใจต้อนหน้าต้อนหลังผม ครั้งอยากได้เงิน แต่เมื่อได้เงินไปเกินขอแล้ว ตอนนี้ทั้งทีมก็เปลี่ยนไปทันที ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เริ่มขอเงินผม ปัจจุบัน นางวัชรี, นพ.ชัยพร, นางวันเพ็ญ หายหน้าไปไม่เห็นแม้เงา คงเหลือแต่ นพ.สมภพ ผู้อำนวยการท่านปัจจุบัน พร้อมทีมคณะผู้บริหาร และคณะแพทย์-พยาบาล จนท.ท่านอื่นๆ ยังเหมือนเดิม!!! ส่วนทีมผู้มีอำนาจเดิมที่หายหน้าไป เพราะวันนี้เห็นผมเป็นคนไม่ดีไปแล้วครับ

4.มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ
ผมเคยมอบเงินทำให้มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีทุนครบ 100 ล้านบาท สมัยนั้นมูลนิธิทำโล่มามอบให้ แต่ผมไม่ไปรับ ต่อมามูลนิธิให้ผมสร้างพระสมเด็จเหนือหัวแทน พอผมเกิดคดีความถูกจับ ทันใดนั้นประธานมูลนิธิก็พูดกับ DSI ว่า "นายสิทธิกร บุญฉิม ทำให้มูลนิธิเสื่อมเสียชื่อเสียง" และเหล่าคณะกรรมการมูลนิธิก็ไปปฏิเสธที่ศาลอาญา ว่ามิได้ให้ผมจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว นับตั้งแต่บัดนั้นชาวมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ก็รังเกียจผมเป็นต้นมาในฐานะคนชั่วที่ทำงานให้พวกเขาเเล้วเสียชื่อเสียง เขาว่าผมชั่วทั้งๆที่เงินสมทบทุน 100 ล้านจากผม พวกเขายังใช้ดอกผลอยู่

5.บ้านเกิด อำเภอบ้านฉาง
ผมเคยสร้างสาธารณประโยชน์ ให้วัดและโรงเรียนในบ้านเกิด อำเภอบ้านฉาง มากมายหลายสิบล้าน สร้างให้ชนิดที่ไม่มีใครในอำเภอกล้าทำ สมัยนั้นทางวัดยกย่องสรรเสริญผมเหมือนเทวดา แต่คราวผมติดคุกเสื่อมเสียชื่อเสียง พระครูวรธรรมโกษาภิรักษ์ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณรังสรรค์(วัดยายร้า) ก็รังเกียจผมตามกระแสสังคม จึงไม่ยอมไปเบิกความจริงช่วยผมที่ศาลอาญา ผมจึงตำหนิออกจากคุกกรณีที่ท่านไร้น้ำใจ นับแต่นั้นเจ้าอาวาสและเหล่าพระเณรบางรูป และบุคคลบางกลุ่ม ก็ไม่ดีต่อผมทันที โดยเจ้าอาวาสจะไม่ยอมให้อาคารเรียนติดชื่อผม ตามที่ท่านเคยตั้งนามผมเองคราวรับเงินไปสร้าง และท่านก็ทวงเงินเพียง 2 หมื่นที่ให้น้องสาวผมคราวคลอดลูก เจ้าอาวาสปล่อยให้พระบางรูปในวัดด่าว่าผมและพี่น้องของผม โดยท่านลืมการกระทำของตนสมัยก่อน ที่เอาอกเอาใจผมทุกอย่าง ขนาดผมจะกลับท่านจะส่งผมขึ้นรถ ปิดประตูให้ ปัจจุบันการกระทำของท่านเปลี่ยนไป ทั้งๆที่ถาวรวัตถุที่ผมสร้างให้วัด โรงเรียน ยังคงได้ใช้ ได้อาศัยอยู่ แต่ความดีที่ท่านเคยดีกับผมไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะเขาเห็นผมเป็นคนไม่ดี ไม่มีผลประโยชน์ให้ได้ดังเดิม

6. วัดสุทัศนเทพวราราม
ผมเคยหาเงินให้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และวัดสุทัศนเทพวราราม มากมายหลายสิบ หลายร้อยล้าน สมัยนั้นเวลาผมมาพบสมเด็จที่วัดท่านจะเดินไปส่งผมถึงประตูคณะ แต่ยามที่ผมติดคุกเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะปกป้องเรื่องการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ไม่ให้ความผิดถึงตัวสมเด็จฯ นับจากนั้นชาววัดสุทัศนเทพวราราม ก็รังเกียจผม ด่าผม แม้กระทั่งพระที่ผมเคยอุปการะบวชจนได้เป็นเจ้าคุณและเคยให้ทุนเล่าเรียนสมัย บวชใหม่ๆ ท่านก็ยังด่าผม ส่วนที่ผมแพ้คดีล่มสลายมาจนบัดนี้ ตามคำพิพากษาระบุว่า เป็นเพราะคำให้การของสมเด็จเจ้าอาวาสวัดสุทัศนฯที่ผมปกป้อง ณ วันนี้พระในวัดสุทัศนฯล้วนรังเกียจผมว่าเป็นคนชั่ว ทั้งๆที่พระทั้งหลายยังเดินอยู่บนถนนที่ผมบูรณะให้ และยังนั่งอยู่บนเก้าอี้มุขที่ผมทำถวายไว้นับร้อยๆตัว สรุปพระทั้งวัดเห็นผมเป็นคนไม่ดีไปแล้ว

7. ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์
ผมเคยช่วย เคยให้ แก่ครอบครัวฟิล์ม รัฐภูมิ ในยามล้มละลายเกือบ 10 ล้านบาท (ให้ฟรี) สมัยนั้นผมเมื่อยตัว แม่ฟิล์ม นางโคมนต์ ก็จะคอยมาบีบนวดให้ พี่ชายฟิล์มก็มาขับรถให้ ต่อมาฟิล์มไปบอกสื่อว่า ผมไปแอบอ้างว่ารู้จักเขา ผมจึงต้องตำหนิเขา นับบัดนั้นฟิล์มและครอบครัวก็ด่าว่าผมเป็นคนไม่ดี ผมติดคุก 5 ปี นอกจากพวกเขาไม่ไปเคยเยี่ยมแล้ว ยามมีคนสนิทของผมพูดถึงชื่อผม แม่ฟิล์มได้ยินจะตำหนิว่า "จะคุยเรื่องอะไรก็ได้ แต่อย่าเอ่ยถึงคนชื่อนี้ให้ได้ยินอีกนะ" และล่าสุดผมออกจากคุก ตัวฟิล์มให้ข่าวว่า "ขอเตือนเหล่าดารา ระวังจะถูกผมหลอกลวง" วันนี้ฟิล์มและพ่อแม่ พี่ชาย เห็นผมเป็นคนชั่วร้าย เขาจึงกล่าวเช่นนั้น ทั้งๆที่ยังอาศัยอยู่ในตึกที่ผมประมูลจากแบงค์เอากลับมาให้ฟรีๆ นอกจากฟิล์มจะเห็นผมเป็นคนชั่วแล้ว พ่อแม่เขา ก็ไม่คบและไม่ยอมพบหน้าผมนับตั้งแต่ได้บ้านไป อีกเลย

8. วัดนิยามยาตรา บางบ่อ
ผมเคยหาเงินให้ครึ่งนึง ครั้งริเริ่มสร้างอาคารเรียน และบริจาคเงินทั้งหมดบูรณะอุโบสถ ให้ทุนริเริ่มสร้างศาลา สร้างพระเครื่องให้วัดจำนวนมาก พร้อมทำสิ่งของต่างๆไว้มากมายให้วัดนิยมยาตรา อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ รวมทั้งขอพัดยศให้เจ้าอาวาส สมัยนั้นทางวัดเอาใจผมทุกอย่าง แต่หลังจากที่ผมเข้าคุก ก็ไม่มีกำลังจะมาช่วยสร้างสิ่งต่างๆต่อ ภายหลังในอาคารเรียนที่สร้างเสร็จ ได้ปรากฏจารึกชื่อผู้เกี่ยวข้องมากมาย ยกเว้นชื่อนักโทษอย่างผม ทั่วทั้งวัด ไม่มีสิ่งใดที่จะทำยกย่องผม รวมทั้งตัวเจ้าอาวาสก็ไม่เคยพบหน้าผมตั้งแต่ก่อนเข้าคุกจนปัจจุบัน แม้ผมพ้นโทษและมาไหว้พระถึงวัดหลายครั้ง เจ้าอาวาสก็ไม่ยอมเจอหน้าผม เหตุเพราะสิทธิกร บุญฉิม เป็นคนไม่ดี!!!

9. วัดสมบูรณาราม บ้านฉาง
ผมเคยถวายเงินและหาเงินรวม 23 ล้านให้วัดสมบูรณาราม อ.บ้านฉาง จ.ระยอง สร้างอุโบสถใหม่ สมัยนั้นทางวัดจะให้คณะกรรมการมาตั้งแถวต้อนรับผม ติดคุกแล้วผมยังหาเงินให้วัดหลายครั้ง ต่อมาผมสั่งออกจากคุกให้ยกพระประธานประดิษฐาน โดยห้ามชาวบ้านเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะผมกลัวแก้วแหวนเงินทองจำนวนมากที่นำมาบรรจุ จะหาย!!! เท่านั้นเอง เจ้าอาวาส กรรมการวัด และชาววัดสมบูรณาราม ก็ครหาว่าผมแอบเอากระดูกคุณพ่อคุณแม่มาบรรจุใต้ฐานพระประธานวัดสมบูรณฯ ทั้งๆที่อัฐิคุณพ่อคุณแม่ของผมยังอยู่ที่วัดยายร้า(ที่เดิม) นับจากนั้นทางวัดก็ไม่ยอมสร้างอุโบสถตามรูปแบบของผม ตามเจตนาของผม และตามศรัทธาของผม พร้อมทั้งเอาช่อฟ้าเอกที่เคยทำเอกสารมอบให้ผมเป็นประธานยก ไปหาเจ้าภาพอื่น ขอเงินเขา 1 แสน และให้เป็นประธานยกขึ้นไปแทนผมทันที เหตุผลที่วัดสมบูรณารามทำเช่นนี้ เพราะเห็นผมเป็นคนไม่ดีนั่นเอง

10. นักเรียนทุนในอุปการะ 57 คน
ผมเคยอุปการะผู้คนเล่าเรียนจำนวนมากรวมเกือบร้อยคน ที่แจกทุนทั่วไปมีเป็นพันๆคน สมัยนั้นนักเรียนทุกคนเวลาคุยกับผมจะนั่งกับพื้น เมื่อผมติดคุกยังสั่งการออกมาให้มอบเงินทุนรวมหลายล้าน เป็นรางวัลแก่ทุกคนที่มีผลการเรียนดีบ้าง ที่จำเป็นจะใช้บ้าง และก็ให้ทุนทั่วๆไปทุกงานบ้าง ผมสั่งออกจากคุกให้แจกทุนหลายครั้งแก่ทุกคน สมัยติดคุกมีครั้งนึงผมคิดถึงบุคคลที่ผมเคยอุปการะ จึงมอบหมายให้คนโทรไปสอบถามการเรียน การทำงาน ของนักเรียนทุนที่จบไปแล้ว และที่ยังศึกษาอยู่ กลับมีพ่อแม่และนักเรียนทุน(หลายคน)ตำหนิกลับมาว่า "ไม่ได้ให้ทุนแล้ว จะโทรมาสอบถามอะไรอีก" นั่นคือความตะลึงของผมครั้งแรก!! ส่วนนักเรียนทุนที่ยังไดัเงินอยู่ ก็จะแสดงความเป็นคนดีโดยเขียนจดหมายถึงผมในคุกต่อเนื่อง แต่พอผมพ้นโทษและไม่มีเงินมากพอ จึงไม่ได้มอบทุนต่อ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ก็ทยอยหายไปจากชีวิต แม้แต่นิสิตแพทย์จุฬาฯ นักเรียนนายร้อยจปร. ที่เคยเขียนจม.พรรณาว่าอยากเจอผม ถึงวันนี้ 8 ปีที่ไม่เคยได้พบหน้ากัน หลังผมติดคุกแล้ว นักเรียนทุนส่วนใหญ่กลับไม่ยอมพบหน้าผม และไม่จริงใจที่จะไปพบผมเอง ส่วนนักเรียนทุน 57 คน ที่จบการศึกษาไปแล้วส่วนใหญ่ แต่กลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่รับพระราชทานปริญญาแล้วจะใส่ครุยพร้อมนำปริญญาบัตรมาขอถ่ายรูปกับผม และไม่มีนักเรียนทุนคนใดจะกล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนในเฟสบุ๊ค,ทามไลน์,อินสตา ร์แกรม ว่า สำเร็จการศึกษาด้วยเคยรับเงินทุนจากนักโทษในคุก!!!! อดีตนักเรียนทุนทั้งหลาย ที่ทำเช่นนี้กับผมเพราะ ต่างเห็นพี่สิทธิกร บุญฉิม เป็นคนชั่ว ไม่น่าเคารพนับถือไปแล้ว

11. วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์
ผมเคยมอบเงินและอุปถัมภ์หาเงินรวม 56 ล้าน ช่วยสร้างอาคารอำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ พร้อมสร้างพุทธอุทยานนครสวรรค์ เมื่อผมติดคุก พระเทพปริยัติเมธีและคณะสงฆ์นครสวรรค์ ได้บิดเบือนความจริงอันเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ของผม จึงถูกผมตำหนิ จากนั้น 8 ปีหลังเกิดคดีถึงวันที่พ้นโทษ ผมได้มา ณ พุทธอุทยานนครสวรรค์เป็นครั้งแรก พระเทพปริยัติเมธีและคณะสงฆ์นครสวรรค์ จากเคยเอาใจผมสมัยขอเงิน แต่ตอนนี้กลับไม่ต้อนรับ และไม่ให้ความสำคัญดังเดิม 8 ปีแล้วที่ผมต้องเข้าคุก พระเทพปริยัติเมธี เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ไม่ยอมพบหน้าผม ไม่ยอมเจอ ไม่เหมือนสมัยที่ขอเงินจากผม เพราะในสายตาของท่านเห็นผมหมดประโยชน์ เป็นคนไม่ดี ไม่น่าสมาคมแล้ว

**ยังมีอีกหลายท่าน หลายบุคคล หลายองค์กร หลายวัด จากเคยทำดีกับผมแรกๆ เพราะเห็นผมมีดีในยามที่เขาขอและได้เงินจากผมไป แต่ตอนนี้จากการที่เป็นคนดีของเขาต้องเปลี่ยนไป เหตุเพราะเขามองว่า ผมเป็นคนชั่ว ด้วยคิดพูดทำสิ่งชั่ว เป็นคนไม่ดีสำหรับเขาไปแล้ว ทั้งๆที่เงินหรือคุณูปการที่เขาเคยขอ เคยได้จากผม ก็ยังคงคุณอยู่กับเขา เช่น..
"วัดและองค์กรต่างๆ ที่ได้เงินจากการจำหน่ายพระกริ่งและพระเครื่องของผม"
แต่วันนี้ พวกเขากลับลืมสิ่งที่เคยขอ เคยได้ ซึ่งบุคคลลักษณะนี้ มีจำนวนมากนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะพระภิกษุ แต่โพสต์นี้ผมพิมพ์ไม่ไหว จึงขอยกตัวอย่างมาบอกเล่าเพียงเท่านี้ นะครับ!!!
 (นายสิทธิกร บุญฉิม)

================
คำคมข้อคิด จากบัณฑิต ม.3
"อยากมีมิตรที่ได้ดี เราจงมีลาภยศสุขสรรเสริญ...อยากมีมิตรจิตจำเริญ เราจงเมินสรรเสริญสุขลาภยศ"


ที่มา: Line เสี่ยอู๊ดน้อยใจในโชคชะตา (Line ส่วนตัว)

ขอให้ดวงวิญญาณของเสี่ยอู๊ด (นายสิทธิกร บุญฉิม) ไปสู่สวรรค์ อย่าได้น้อยใจอีกต่อไปเลยคร้า บุญของท่านมากมายนัก ..

-------------------------



วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้ถามฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์  ดารา-นักร้องชื่อดัง ที่เคยรู้จักและมีข่าวพัวพันกับนายสิทธิกร เสี่ยอู๊ด ระหว่างไปร่วมงานมหกรรมบันเทิง ช่อง 8 พบเพื่อน ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 ถึงความรู้สึกที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของเสี่ยอู๊ด โดยฟิล์มเผยว่า เมื่อทราบข่าวก็ตกใจ ตนไม่ได้คุยหรือติดต่อเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เมื่อถามถึงวินาทีที่ได้ยินว่าเสี่ยอู๊ดเสียชีวิตรู้สึกอย่างไร ฟิล์มตอบว่า ตนไม่ได้ยินเอง พี่ๆนักข่าวโทร.มาถามกันเต็มไปหมด ประหนึ่งว่าเป็นญาติ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ก็บอกเขาไปว่าผมไม่ได้เป็นญาติ แล้วก็ไม่รู้เรื่อง แต่ก็แสดงความเสียใจกับทางญาติเขาด้วย
เมื่อถามว่า จะไปรดน้ำศพหรือร่วมพิธีสวดหรือไม่ ฟิล์มตอบว่า คงไม่มี เดี๋ยววันนี้ก็บินไปอเมริกาแล้ว ติดงานด่วน เมื่อถามว่า จะมีการไปทำบุญให้เสี่ยอู๊ดหรือไม่ ฟิล์มตอบว่า ไม่รู้มันไม่เกี่ยวอะไรกับตน ถามตนทำไม ก็งงที่มีแต่คนมาถาม ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีข่าวว่าเสี่ยอู๊ดได้เขียนพ็อกเกตบุ๊กทิ้งไว้ตัดพ้อดาราคนหนึ่งในทำนอง ว่าหลังจากได้บ้านแล้วก็ไม่เคยมาเหลียวแลเขาทั้งแม่ทั้งลูก คนก็ตีความว่าเป็นฟิล์ม นักร้องดังเผยว่า ถ้ามองจากเหตุผลและความถูกต้องก็ไม่น่าใช่ตน เอาเป็นว่าไม่เกี่ยวกับตนดีกว่า




No comments:

Post a Comment