Wednesday, September 30, 2009

60 ปี ประเทศจีน (แล้วย้อนมองไทย เฮ่อ เหนื่อยใจ ..)

วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ประเทศจีน หรือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การปกครองของ พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะมีอายุครบ 60 ปีพอดี คนจีนถือเป็น วันแซยิด ดังนั้น วันชาติจีน ปีนี้ รัฐบาลจีนจึงจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ รวมทั้งการจัดทำแผนพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต แบ่งเป็นหนังสือถึง 20 เล่มตามหัวข้อต่างๆตามแบบฉบับของจีน เพื่อฉลองวันแซยิดประเทศจีน

เขียน ถึงประเทศจีนแล้ว ผมก็อดคิดถึงประเทศจีนในอดีตที่เคยไปสัมผัสมาเมื่อ 30 กว่าปีก่อนไม่ได้ ประเทศจีนวันนั้นกับวันนี้ต่างกันลิบลับเหลือเกิน

ผม ไปเยือนจีนครั้งแรก หลังจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี บินไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 เพียงหนึ่งเดือน โดยไปในฐานะแขกพิเศษของรัฐบาลจีน ได้นอนในบ้านพักรับรองของรัฐบาล สมัยนั้นจีนยังเป็นคอมมิวนิสต์เต็มตัว และเป็นผู้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ไทยจับ อาวุธต่อสู้กับรัฐบาลไทยด้วย

เรา ไปกัน 5 คน เป็นสื่อไทยกลุ่มแรกที่ไปจีนหลังเปิดความสัมพันธ์ การได้เป็นแขกพิเศษของรัฐบาลจีน ก็เพราะการอนุเคราะห์ของ คุณวรรณไว พัธโนทัย ซึ่งมีฐานะเป็นตัวประกันและเป็นบุตรบุญธรรมของ นายกฯโจวเอนไล ตอนนั้นพวกผมเป็นนักข่าวรุ่นกระทงสนิทสนมกับ ดร.มั่น พัธโนทัย และ วรรณไว พัธโนทัย ลูกชายของ ครูสังข์ พัธโนทัย ซึ่งเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีนให้เกิดขึ้น

เมืองจีนสมัยนั้น ยังเป็นคอมมิวนิสต์จ๋า ผู้คนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเพียงสองสีเท่านั้น คือสีดำกับสีน้ำเงิน กรุงปักกิ่ง ยังใช้จักรยานสองล้อเป็นพาหนะหลัก การสื่อสารก็มีแต่ทีวีวิทยุรัฐบาล และหนังสือพิมพ์บนกำแพง นครเซี่ยงไฮ้ ก็ยังเก่าโกโรโกโสสกปรกเพราะถูกทอดทิ้งไปนานปี สภาพต่างจากปัจจุบันหน้ามือเป็นหลังมือ

จนกระทั่งมังกรร่างเล็ก "เติ้งเสี่ยวผิง" ขึ้นเถลิงอำนาจเป็นผู้นำจีนในปี 2521 ประกาศใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ภายใต้แนวคิด "ไม่ว่าแมวดำแมวขาวขอให้จับหนูเป็นก็ใช้ได้" ดำเนินนโยบาย เปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ยอมรับทุนนิยมตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 30 ปีให้หลัง วันนี้ ประเทศจีน เติบใหญ่กลายเป็น มหา

อำนาจเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯและญี่ปุ่น

วันนี้ ประเทศจีน มีประชากรกว่า 1,330 ล้านคน (ตัวเลขปี 2551) มีจีดีพี 5.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ตัวเลขปี 2550) รายได้ประชากรต่อหัว

ต่อปี พุ่งขึ้นเป็น 8,788 ดอลลาร์ สัดส่วนความยากจนของคนจีนลดลงจากร้อยละ 65 เมื่อปี 2524 เหลือเพียงร้อยละ 4 ในปี 2550 ทำให้คนจีนกว่า 1,000 ล้านคน เงยหน้าอ้าปากยกระดับคุณภาพชีวิตขึ้นมาอยู่เหนือระดับเส้นความยากจน

การ เฉลิมฉลอง 60 ปีวันชาติจีน นอกจากขบวนพาเหรดอันยิ่งใหญ่ ที่ใช้ผู้แสดงกว่า 200,000 คนแล้ว รัฐบาลจีนยังจัดให้มีการสวนสนามของกองทัพจีน แสดงแสนยานุภาพของกองทัพและอาวุธยุทธภัณฑ์ใหม่ๆที่ผลิตจากประเทศจีนอีกด้วย

จะ มีการนำอาวุธที่ผลิตในจีน 52 ชนิด กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นอาวุธที่ผลิตขึ้นใหม่ และเพิ่งนำออกแสดงในวันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นครั้งแรกมาสวนสนามโชว์ มีตั้งแต่จรวดนำวิถีไปจนถึงปืนใหญ่ รุ่นใหม่ที่ทันสมัย

ในวันที่ 1 ตุลาคม รัฐบาลจีนประกาศล่วงหน้ามาหลายวันแล้วว่าจะมีการ ปิดสนามบินกรุงปักกิ่ง ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า ไม่มีเที่ยวบินเข้าหรือออกจากกรุงปักกิ่ง เพื่อป้องกันการก่อการร้ายทางอากาศเหมือนกรณีตึกเวิลด์เทรดในสหรัฐฯ ตลอดช่วงเวลาการสวนสนามและการแสดงพาเหรด ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ใครจะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งช่วงนี้ คงต้องตรวจสอบตารางบินกันให้ดี

ที่ น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ รัฐบาลจีนประกาศรบกับฝนฟ้า เพื่อเอาชนะธรรมชาติ ด้วยการระดมสรรพกำลังทางวิทยาศาสตร์ ฝืนธรรมชาติ ทำให้ "ฝนไม่ตก" ในช่วงที่มีการสวนสนามและเดินพาเหรดฉลองวันชาติปีที่ 60 ของจีน.

"ลม เปลี่ยนทิศ" 28 กันยายน 2552
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/35814


วันนี้เล่าเรื่องการฉลอง "แซยิด 60 ปีประเทศจีน" ต่ออีกวันนะครับ สังคมจีนในโครงสร้าง 1 ประเทศ 2 ระบบ "สังคมนิยมคอมมิวนิสต์" กับ "ทุนนิยมตะวันตก" ที่กำลังจะพัฒนาไปสู่ "ประเทศประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม" ตามนโยบาย ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา ผู้นำจีนคนปัจจุบัน ที่ว่ากันว่า ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯก็กำลังเดินไปในแนวทางนี้เช่นเดียวกัน

ที่น่าสนใจก็คือ อนาคตประเทศจีนหลังการแซยิด 60 ปี ซึ่งรัฐบาล จีนได้ใช้โอกาสนี้ วางแผนอนาคตประเทศล่วงหน้าไปอีก 50 ปีข้างหน้าแล้ว

เริ่ม ตั้งแต่สองปีก่อน รัฐบาลจีนได้มอบหมายให้ สถาบันวิทยา- ศาสตร์แห่งประเทศจีน ระดมสมองจัดทำ แผนพัฒนาประเทศจีนอย่างยั่งยืน (Blueprint for China's Sustainable Development) ในอีก 50 ปีข้างหน้า เพื่อประกาศใช้ในวันครบรอบ 60 ปีประเทศจีน

แผนพัฒนาประเทศจีนให้ ยั่งยืนชุดนี้ ประกอบด้วยหนังสือ 20 เล่ม แบ่งตามหัวข้อต่างๆ เช่น การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาเศรษฐกิจสังคม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ไปจนถึงการศึกษา วัฒนธรรม และความยากจน ฯลฯ

ตามแผนการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของจีนฉบับนี้ จีนประกาศจะกำจัดปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไปภายในปี 2593 หรืออีก 41 ปีข้างหน้า

ภาย ในปี 2563 อีก 11 ปีข้างหน้า ประเทศจีนจะไม่มี "อำเภอที่ยากจน" ภายในปี 2573 อีก 21 ปีข้างหน้า ประเทศจีนจะไม่มี "ตำบลที่ยากจน" ภายในปี 2583 หรืออีก 31 ปีข้างหน้า ประเทศจีนจะไม่มี "หมู่บ้านที่ยากจน" และภายในปี 2593 หรืออีก 41 ปีข้างหน้า ประเทศจีนจะไม่มี "ครอบครัวที่ยากจน"

เห็น วิสัยทัศน์ความยั่งยืนในอนาคตประเทศจีนแล้ว ก็ต้องชมว่ารัฐบาลจีนทำ ได้ดีเยี่ยม มีเป้าหมายที่ชัดเจน ดูจากผลงานในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าจีนทำได้

เมื่อย้อนมาเทียบกับ ประเทศไทย แล้วผมก็ได้แต่ว้าเหว่ เมื่อ 30 ปีก่อน ประเทศจีนล้าหลังประเทศไทยหลายสิบปี แต่ผ่านไป 30 ปี วันนี้ประเทศไทยล้าหลังจีนไปหลายสิบปี และอาจจะล้าหลังไปถึง 100 ปี ถ้าเอา "รถไฟกระสุน" ความเร็ว 250300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่จีนกำลังก่อสร้างเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งจะเสร็จในอีกสิบปีข้างหน้า

ด้าน "คุณภาพชีวิต" แผนพัฒนาฉบับยั่งยืนของจีนกำหนดว่า ภายในปี 2593 คนจีนจะมีอายุเฉลี่ยสูงถึง 85 ปี การศึกษาในโรงเรียน เฉลี่ยจาก 8.2 ปี ในปัจจุบัน จะเพิ่มเป็น 14 ปี เพิ่มสัดส่วนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นร้อยละ 75 ควบคุมการขยายตัวของประชากร ที่ประมาณร้อยละ 0 ควบคุมอัตราการขยายตัวการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ ที่ประมาณร้อยละ 0 และควบคุมอัตราการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ ที่ประมาณร้อยละ 0 เป็นต้น

อนาคต ของประเทศจีนผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษา โดยเฉพาะ อนาคตของรัฐบาลจีน ภายใต้การปกครองของ พรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะจีนกำลังผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและทางการทหารในเอเชียแล้ว และกำลังจะขยับขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกหลังจากการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนไม่เหมือนเดิม

ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา ผู้นำจีน กล่าวยืนยันในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปีวันชาติจีนว่า "ประชาธิปไตยแบบตะวันตกไม่ใช่ทางเลือกสำหรับจีน" ตัวอย่าง ประเทศสหภาพโซเวียตรัสเซีย มีให้เห็นแล้ว ถ้าจีนเลือกประชาธิปไตยแบบตะวันตกเมื่อไร ชนกลุ่มน้อยหลายร้อยเผ่าใน 22 มณฑล จะลุกฮือขึ้นมาประกาศเป็นประเทศเอกราชเหมือนสหภาพโซเวียตตอนล่มสลายทันที

ดัง นั้น ในอนาคต ไม่ว่าประเทศจีนจะเจริญก้าวหน้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน ผมเชื่อว่า "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" ก็ยังคงต้องครองอำนาจปกครองประเทศจีนต่อไป มิฉะนั้น จะคุมประเทศที่มีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคนเอาไว้ไม่อยู่

แต่จะ ต้องมีการ เปลี่ยนรูปแบบของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไปสู่ การเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น อย่างที่ ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา ผู้นำจีน เรียกว่า "ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม" เพื่อความเสถียรภาพของสังคม จีน เป็นวิธีการคิดที่ผมคิดว่าประเทศไทยเองก็น่าจะศึกษาเอาไว้.

"ลม เปลี่ยนทิศ" 29 กันยายน 2552
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/35999

No comments:

Post a Comment