Wednesday, July 31, 2013

ผสมพันธุ์ กับตัวเมียตัวเดียวหรือเปล่า

สามีภรรยาคู่หนึ่งไปดูการประมูลวัว 

"นี่คือพ่อพันธุ์ชั้นดี ปีที่แล้วผสมพันธุ์ได้ถึง 60 ครั้ง"
โฆษกประกาศ

ภรรยาสะกิดสามี แล้วแสดงความเห็น
"คุณดูสิ ตกเดือนละตั้ง 5 ครั้ง"
" ตัวต่อมา .. นี่คือพ่อพันธุ์ชั้นเยี่ยม ปีที่แล้วผสมพันธุ์ได้ถึง 120 ครั้ง"
โฆษกเสนอพ่อวัวตัวที่สอง
" ตัวนี้ยังมากกว่าอีก  ตั้งเดือนละ 10 ครั้งเชียว"

เธอเหน็บสามีอีก "คุณพูดอย่างนั้นทำไม"
สามีชักรำคาญกับการเปรียบเทียบ
"แล้วนี่คือสุดยอดพ่อพันธุ์ ปีที่แล้วผสมพันธุ์ได้ถึง 365 ครั้ง"
โฆษกเสนอพ่อวัวตัวที่สาม ภรรยาตบแขนสามีแล้วตะโกน "ต๊าย! ทุกวันเลยนะนั่น แล้วดูคุณซิ"

สามีรำคาญสุด ๆ จึงตะโกนกลับ
"เออ ทุกวันแล้วเป็นไง คุณลองไปถามโฆษกดูซิว่า
ไอ้ทุกวันนั่นน่ะมันกับตัวเมียตัวเดียวหรือเปล่า"

# Pariwat Bank

........................
.. ฮา ขำกลิ้ง
สุด ๆ

รถทัวร์เสียหลักชนรถพ่วง 18 ล้อ ดับ 2 เจ็บ 3 ราย :: 31 กรกฎาคม 2556

เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 30 กรกฏาคม 2556  ร.ต.ท.จำรัส ภาระจำ ร้อยเวร สภ.นาอิน อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ชนรถพ่วง 18 ล้อ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ที่ถนนทางหลวงหมายเลข 11 อุตรดิตถ์-พิษณุโลกบริเวณหมู่ 2 บ้านนาอิน ต.นาอิน ที่เกิดเหตุอยู่ในช่วงถนนช่วงขาออกเมืองอุตรดิตถ์รอยต่อจังหวัดพิษณุโลกพบ รถพ่วง 18 ล้อ หมายเลขทะเบียน 76-1151 กทม. บริเวณส่วนหัว พังยับเยินพบคนขับเสียชีวิตและติดภายใน และข้างถนนด้านหน้ารถพ่วง รถทัวร์บริษัทอีสานทัวร์ หมายเลขทะเบียน 10-7198 ขอนแก่น มีผู้เสียชีวิตติดภายในด้วยเช่นกัน อาสาสมัครกู้ภัยอุตรดิตถ์นำเครื่องตัดถ่างเข้าช่วยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมงจึงนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาได้ เมื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณอีกฝั่งของถนนพบรถไทยแลนด์ตกอยู่ข้างถนนใน สภาพพังเช่นกัน แต่ไม่พบผู้ขับขี่
จากการสอบสวนทราบว่ารถทัวร์ของบริษัทอีสานทัวร์ ซึ่งมีนายภูมิศักดิ์ จำปาวาด เป็นคนขับนำผู้โดยสารจำนวน 6 คน จาก จ.ขอนแก่น ปลายทาง จ.เชียงใหม่ โดยมีนายสากล บุตุธรรม ทำหน้าที่เด็กรถ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้ชนท้ายรถไทยแลนด์ของนายบัญชา เหล็กสิงห์ จนรถพลิกคว่ำ เสียหลัก พุ่งข้ามเลนชนกับรถพ่วง 18 ล้อของนายประจน ขวัญทอง ส่งผลให้นายประจนและนายสากล เสียชีวิต และคนขับรถทัวร์และไทยแลนด์และผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บสาหัส รวม 3 ราย

โพลชี้ - ครอบครัว กทม.-ปริมณฑล 61% หนี้บาน

เอแบคโพลล์ ชี้ หัวหน้าครัวเรือน  ขณะที่ 61% มีภาระต้องผ่อนชำระสินค้า ในแต่ละเดือน

กว่า 63% อยากให้รัฐ เร่งนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้แก้ปัญหาขอรัฐเร่งปลูกจิตสำนึก ป้องกันเกิดภาวะหนี้เสีย

นางสาวปภาดา ชินวงศ์ ผู้จัดการโครงการเปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2556   เรื่องภาระหนี้สินของประชาชน กรณีศึกษา หัวหน้าครัวเรือนที่มีอายุ 25-60 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี จำนวนทั้งสิ้น 1,205 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา

ผลการสำรวจ พบว่า ตัวอย่างส่วนมาก (ร้อยละ 61.0) มีภาระหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระเมื่อเทียบกับรายได้ในแต่ละเดือน โดยตัวอย่างร้อยละ 30.6 ระบุ ต้องผ่อนชำระร้อยละ 26 – 50 ของรายได้ต่อเดือน ร้อยละ 26.4 ระบุ ต้องผ่อนชำระหนี้สิน ไม่เกินร้อยละ 25 ของรายได้ต่อเดือน และร้อยละ 4.0 ระบุต้องผ่อนชำระมากกว่าร้อยละ 50 ของรายได้ต่อเดือน ในขณะที่ร้อยละ 39.0 ระบุ ไม่มีหนี้สินที่ต้องชำระ/ผ่อนชำระ

ที่สำคัญ ตัวอย่างกว่าร้อยละ 60 ระบุ การมีหนี้สิน ซึ่งเป็นหนี้ในระบบมากที่สุด รองลงมา คือ หนี้นอกระบบ และหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจำแนกตามรายได้ส่วนตัวต่อเดือน พบว่า เมื่อกลุ่มตัวอย่างมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะมีหนี้สินเพิ่มขึ้นตาม โดยกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน มีหนี้สินสูงถึงร้อยละ 80 ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาทต่อเดือน มีหนี้สินร้อยละ 50 แต่มีข้อน่าสังเกตว่า เกือบครึ่งหนึ่งที่เป็นหนี้สินนอกระบบ

กลุ่ม ตัวอย่างที่เป็นหนี้ในระบบ ระบุว่า ส่วนใหญ่กู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ รองลงมาคือ ธนาคารของรัฐ หนี้กับบัตรเครดิต สินเชื่อเงินด่วน/เงินสด ตามลำดับ สำหรับรูปแบบการกู้นอกระบบของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 57.6 กู้ยืมจากนายทุน รองลงมา คือ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อน โดยมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดร้อยละ 20 บาท/เดือน

เมื่อสอบ ถามถึงประเภทหนี้สิน ที่ต้องผ่อนชำระ พบว่า ผู้มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท ส่วนมากมีภาระหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระ คือ เรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ อาหาร เป็นต้น และการกู้ยืม/หนี้สิน ในการประกอบอาชีพ ประกอบธุรกิจ และสิ่งที่ค้นพบคือ ผู้มีรายได้ 10,000–30,000 หรือร้อยละ 1 ใน 5 ของตัวอย่าง ระบุ มีหนี้สินต้องผ่อนรถยนต์คันแรก ตามนโยบายของรัฐ ขณะที่ผู้ที่มีรายได้ 30,001 บาทขึ้นไป ระบุ มีหนี้สินต้องผ่อนรถยนต์ และบ้าน ที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ

จากผลสำรวจ พบว่า ตัวอย่างบางส่วนเคยถูกข่มขู่ตามทวงหนี้จากนายทุนนอกระบบ อย่างไรก็ตาม การรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อกฎหมายควบคุมธุรกิจทวงหนี้ พบว่า ตัวอย่างไม่ถึงครึ่ง หรือร้อยละ 42.2 รับทราบตัวกฎหมายดังกล่าว และสิ่งที่ตัวอย่างอยากให้รัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สิน นอกระบบ โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยที่ไม่ควรเกินกฎหมายกำหนด รองลงมา คือ จัดตั้งสถาบันการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และเพิ่มบทลงโทษในตัวกฎหมาย ควบคุมเจ้าหนี้ ตามลำดับ

ประการสุดท้าย ความต้องการที่อยากให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 63.7 ระบุ อยากให้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างจริงจัง รองลงมา อยากให้มีการปรับสมดุลราคาสินค้า ให้มีความสอดคล้องกับรายได้ ค่าแรงขั้นต่ำ จัดสวัสดิการ ให้กับประชาชนอย่างครอบคลุม เช่น การรักษาพยาบาล รณรงค์ปลูกฝังจิตสำนึกรักแผ่นดินอย่างจริงจัง “ใช้สินค้าไทยบริโภคสินค้าไทย” และส่งเสริมสนับสนุนการทำอาชีพเสริม เช่น การฝึกฝีมือแรงงานตามลำดับ

จากการศึกษาครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างมีภาระหนี้สิน สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เผชิญปัญหาหนี้สินนอกระบบ รวมไปถึงภาระการจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูง ดังนั้นรัฐบาลควรเข้ามาแก้ไขนอกจากตัวกฎหมายในการควบคุม ยังรวมไปถึงการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนให้ทั่วถึง

นอกจากนี้ ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่มีการกู้เงินมา ซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการผลักดันนโยบายของรัฐบาลเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขาดสภาพคล่องที่จะนำไปสู่ภาวะหนี้เสียของประชาชน ได้ รัฐบาลควรปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชน ในการนำหลักแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับทุกภาคส่วน ซึ่งจากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างเกือบ 2 ใน 3 ได้ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรมีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างจริงจัง



รัฐวิสาหกิจโกยกำไร 2555 พุงปลิ้น

นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ยิ่งลักษณ์ - นายก) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจไทยทั้ง 58 แห่งในปี 2555 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 289,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.45% จากปี 54

โดยรัฐวิสาหกิจกลุ่มขนส่งมีกำไรมากถึง 5,707.55 ล้านบาท จากปี 54 ขาดทุน 28,081.42 ล้านบาท ซึ่งรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่า 50% นำส่งรายได้แผ่นดิน 122,749 ล้านบาท

โดยรายได้ทั้งหมด ของรัฐวิสาหกิจมีจำนวนทั้งสิ้น 4.95 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.21% สินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 10.98 ล้านล้านบาท สูงขึ้น 10.85% จากปีก่อน มีหนี้สินรวมทั้งหมด 8.62 ล้านล้านบาท สูงขึ้น 11.37% จากปีก่อน เพราะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีเงินฝากเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทยมีเงินฝากเพิ่มมากถึง 29.7% นอกจากนี้ยังรับทราบแผนฟื้นฟูกิจการและแผนพลิกฟื้นองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2556

น้ำทะลักลงแม่น้ำโขง อีก 3 เมตร จ่อวิกฤติ - ชลประทานกำลังเร่งระบาย

ลำน้ำสาขาทะลักสู่แม่น้ำโขง ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจ่อวิกฤติ 3 เมตร และเริ่มเอ่อท่วมนาข้าวหลายอำเภอ ชลประทานนครพนมระบายเต็มกำลัง เตือนประชาชนหลังหนองหาร ปริมาณน้ำเกินรองรับ...

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556  สถานการณ์น้ำ จังหวัดนครพนม ยังเสี่ยงวิกฤติ  เพราะมีฝนตกอย่างหนัก ในสัปดาห์ที่แล้ว  ส่งผลให้น้ำจากลำน้ำสาขาหลายสาย โดยเฉพาะลำน้ำก่ำ ลำน้ำสงคราม และลำน้ำอูน ที่เป็นแม่น้ำสาขาสายหลักรองรับน้ำจากพื้นที่ต่างๆ ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ส่งผลให้ระดับแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นวันละเกือบ 1 เมตร ปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 10 เมตร ห่างจากจุดวิกฤติที่ 13 เมตร เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาน้ำโขงหนุนเอ่อท่วมสูง หากระดับน้ำโขงถึงจุดวิกฤติจะไม่สามารถรองรับน้ำจากลำน้ำสาขาได้ ทำให้เกิดปัญหาน้ำทะลักท่วมพื้นที่การเกษตร รวมถึงหมู่บ้านในพื้นที่ลุ่ม ซึ่งพบว่าในส่วนของพื้นที่อำเภอที่อยู่ติดกับลำน้ำก่ำ ประกอบด้วย อำเภอนาแก เรณูนคร อำเภอธาตุพนม อำเภอปลาปลาก เริ่มประสบปัญหาลำน้ำสาขาทะลักเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรนาข้าวแล้วหลาย 1,000 ไร่ หากยังมีฝนตกต่อเนื่องระดับน้ำไม่ลด นาข้าวที่ปักดำใหม่จะได้รับความเสียหายแน่นอน

ขณะเดียวกันทางจังหวัด นครพนม ได้มีการสั่งการเตรียมพร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้องในการสำรวจป้องกันช่วยเหลือ และประกาศเตือนให้ประชาชน เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง

โดย นายเฉลิมชัย จันทร์วงษา หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรม โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำก่ำ ประตูระบายน้ำก่ำตอนล่าง ธรณิศนฤมิต ตามโครงการพระราชดำริ กล่าวถึงสถานการณ์ ว่า ปัจจุบันหลังจากมีฝนตกลงมาต่อเนื่องหลายวัน ทำให้มีปริมาณน้ำจำนวนมากในระบบชลประทาน อยู่ที่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ของปริมาณที่สามารถรองรับกักเก็บได้ทั้งหมด ประมาณ 53 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีระบบประตูระบายน้ำในการควบคุมทั้งหมด 8 จุด ตามลำน้ำก่ำที่รองรับน้ำจาก สกลนคร เป็นระยะทางประมาณ 123 กิโลเมตร จากการติดตามประเมินสถานการณ์ พบว่าที่น่าเป็นห่วงคือ ประตูระบายน้ำสุรัสวดี ที่ควบคุมน้ำหนองหาร จาก จ.สกลนคร มีปริมาณน้ำกักเก็บเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้มีพื้นที่การเกษตรเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำเอ่อท่วม ประมาณ 40,000 – 50,000 ไร่ ในเขตลุ่มน้ำก่ำ

ดังนั้นทาง โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำก่ำ ประตูระบายน้ำก่ำตอนล่าง ประตูระบายน้ำธรณิศนฤมิต จะต้องเร่งพร่องน้ำลงสู่แม่น้ำโขงให้ได้มากที่สุด วันละประมาณ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำทะลักท่วมพื้นที่การเกษตร ในพื้นที่ 2 จังหวัด สกลนคร และนครพนม รวมกว่า 2 -3 แสนไร่ ซึ่งยังไม่น่าห่วงมากนัก เนื่องจากระดับแม่น้ำโขงยังไม่ถึงจุดวิกฤติ และยังสามารถรองรับน้ำได้จำนวนมาก หากไม่มีฝนตกลงมาต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามทางชลประทาน จะได้ระดมเจ้าหน้าที่ติดตามประเมินสถานการณ์ต่อเนื่องในช่วงนี้ และประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ลงพื้นที่สำรวจ เพื่อหาทางป้องกันน้ำเอ่อท่วมให้มากที่สุด พร้อมประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เฝ้าติดตามข่าวสารพยากรณ์อากาศ จัดเก็บสิ่งของขึ้นที่สูง รวมถึงสัตว์เลี้ยงการเกษตร เมื่อเกิดปัญหาน้ำเอ่อท่วมสามารถอพยพได้ทันเวลา

Cr:: คนไทยรีบช่วย 31 กรกฎาคม 2556

Tuesday, July 30, 2013

โรคปวดศีรษะจากความเครียด

~~~โรคปวดศีรษะจากความเครียด~~~

โดย นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 336 เมษายน 2550 หน้า 28-31

โรคปวดศีรษะจากความเครียด เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดของผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ มักจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่อง นานเป็นวันๆ จนถึงเป็นสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน โดยจะปวดพอรำคาญ หรือทำให้รู้สึกไม่สุขสบาย และจะปวดอย่างคงที่ ไม่แรงขึ้นกว่าวันแรกๆ ที่ปวด จัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นๆ หาย ๆ เรื้อรัง

ชื่อภาษาไทย โรคปวดศีรษะจากความเครียด โรคปวดศีรษะแบบตึงเครียด

ชื่อภาษาอังกฤษ Tension-type headache (TTH), Tension headache, Muscle contraction headache, Psychogenic headache

สาเหตุ
อาการปวดศีรษะของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผลมาจากมีการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้าซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากมีสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นบางส่วนของไขสันหลัง หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ที่เลี้ยงบริเวณศีรษะและใบหน้า) แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อดังกล่าว รวมทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี (เช่น เอนดอร์ฟินซีโรโทนิน) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ

ส่วนใหญ่ มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา อดนอน ตาล้าตาเพลีย(จากใช้สายตามากเกินไป)

นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน

อาการ
ลักษณะเฉพาะของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทอยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ต่อเนื่องกันนานครั้งละ 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวันเป็นสัปดาห์ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยที่อาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากวันแรกๆ ที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย ส่วนมากที่อาจปวดรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน

ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย

อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้าๆ บางคนอาจเริ่มปวดตอนบ่ายๆ เย็นๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมากหรือขณะหิวข้าว หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ

การแยกโรค

อาการปวดศีรษะที่เป็นต่อเนื่องกันเป็นวันๆ ขึ้นไปควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น

1. ไมเกรน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับข้างเดียว (ส่วนน้อยเป็นพร้อมกัน 2 ข้าง) คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า นาน 4-72 ชั่วโมง มันจะเป็นๆ หายๆ ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ มักจะเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง กลิ่น อดนอน อดข้าว อากาศร้อนหรือเย็นจัด อาหารบางชนิด เหล้า ผงชูรส โดยมากจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดร่วมด้วย

2. เนื้องอกสมอง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดทั่วศีรษะ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆ ก็ทุเลาไป ไม่ปวดต่อเนื่องทั้งวันอาการดังกล่าว จะเป็นแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้ง ตื่นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวด และจะปวดนานขึ้นทุกวันจนในที่สุดจะปวดตลอดเวลา ซึ่งกินยาแก้ปวดไม่ทุเลา ในระยะต่อมาอาจมีอาการอาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ชัก ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม

3.โรคทางสมองอื่นๆ
เช่น เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและอาเจียน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ปวด บางคนอาจมีไข้สูง ซึม ชัก ร่วมด้วย

4.ต้อหินชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ตาพร่ามัว แสบตาข้างที่ปวดจะมีสิ่งรบกวน ตาแดงๆ ตรงบริเวณตาขาว (รอบๆ ตาดำ) อาการปวดจะเป็นต่อเนื่องเป็นวันๆ ซึ่งกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา

การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากลักษณะอาการ และประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน

นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

ผู้ป่วยและญาติจึงควรบอกเล่าประวัติ และอาการเจ็บป่วยอย่างละเอียด เช่น ปัญหาครอบครัว (สามีมีภรรยาน้อย เล่นการพนัน การทะเลาะกัน) ปัญหาการงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องและไม่หลงไปส่งตรวจพิเศษให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น

การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย ควรกินยาพาราเซตามอลบรรเทา 1-2 เม็ด นั่งพักนอนพัก ใช้นิ้วบีบนวด
ควรไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

• มีอาการปวดรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง
• มีอาการปวดมากตอนเช้ามืด จนสะดุ้งตื่น หรือปวดแรงขึ้นและนานขึ้นทุกวัน
• มีอาการเดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือชักกระตุก
• มีอาการตาพร่ามัว และตาแดงร่วมด้วย
• มีอาการปวดศีรษะหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
• ดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น
• มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะรักษาตนเอง

การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาบรรเทาปวดร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากล่อมประสาท

ถ้าพบว่ามีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ไปพร้อมกัน และอาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด การกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า การฝังเข็ม เป็นต้น

ในรายที่มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้งและแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3-4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน หรือฟลูออกซีทีนทุกวันติดต่อกันนาน 1-3 เดือน

ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากทำให้วิตกกังวล ไม่สุขสบาย และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลาในการแสวงหาบริการ ซึ่งผู้ป่วยและญาติมักคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายรงพยาบาลที่รักษาไปเรื่อยๆ

การดำเนินโรค
อาการปวดแต่ละครั้งจะเป็นนานเป็นชั่วโมงๆ จนเป็นสัปดาห์ หรือแรมเดือน เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะทุเลาไปได้ แต่เมื่อขาดการรักษา และมีสิ่งกระตุ้นก็อาจกำเริบได้อีก จึงมักจะเป็นๆ หายๆ ได้บ่อย

การป้องกัน
ผู้ป่วยควรป้องกันไม่ให้กำเริบโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่าปล่อยให้หิว อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า ออกกำลังเป็นประจำ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ ถ้าจำเป็นควรกินยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ

ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย คือประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ที่ปวดศีรษะจะมีสาเหตุจากโรคนี้

พบได้ในคนทุกวัย เริ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว (มีโอกาสน้อยมาก ที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปีไปแล้ว) และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี

พบว่าผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5-2 เท่า

*******************************************

ข้อมูลจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 336 เมษายน 2550 หน้า 28-31

ใช้ธรรมะช่วยรักษาอาการ โรคปวดศีรษะจากความเครียด
ปล่อยมือ ปล่อยวาง ปล่อยจิต ..



แบ่งทรัพย์มรดกไม่ลงตัว

เล่าสู่กันฟัง..จากคุณตัน อิชิตัน

มีลูก 3 คน มีบ้าน 2 หลัง จะแบ่งยังไงดีครับ? เพื่อนผมคนหนึ่งคิดยังไงก็คิดไม่ตก เกษียณอายุราชการแล้วยังต้องทำงานงกๆ

“สู้เพื่อลูก” ผ่อนบ้านหลังที่ 3 กลัวแบ่งสมบั...ติไม่ลงตัว เดี๋ยวจะนอนตายตาไม่หลับ

ผมบอกถ้าไม่อยากวุ่นวาย..ง่ายนิดเดียว

แค่ขายบ้านให้หมด แล้วใช้เงินให้มีความสุขกับชีวิตหลังเกษียณ

เหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น..

ตอนพ่อแม่ผมเสีย ไม่ได้มีเงินทองมากมาย

ผมเลือกพระหนึ่งองค์เป็นสมบัติจากพ่อ

หยิบแหวนวงเดียวจากกองมรดกของแม่

สมบัติสุดท้ายไม่กี่ชิ้นของพ่อกับแม่ที่เทกองบนโต๊ะ..ผมกับพี่น้องแบ่งกันยังไงก็ลงตัว

สำหรับผม ในวันนี้สอนลูกตั้งแต่พวกเขายังเล็ก

ว่าการศึกษาเท่าที่เขาต้องการคือสมบัติที่ผมจะให้

น้องกิฟท์ลูกสาวคนโตรู้ดีและเขาเข้าใจว่าผมไม่มีนโยบายเก็บเงินให้ลูก

วันหนึ่งเขาบอกผมว่า “ป่าป๊า ไม่ต้องห่วงกิฟท์ ธุรกิจและเงินที่ป่าป๊าทำมาไม่ต้องเผื่อกิฟท์ หนูรับผิดชอบตัวเองได้”

ผมให้เงินเขาก้อนหนึ่ง ไปตั้งต้นร้านอาหารชื่ออิซีลี่ บริหารไม่นานก็เจ๊ง

เขาใช้โอกาสอีกครั้งกับเงินทุนที่เหลืออยู่ตั้งใจทำร้านอาหารใหม่ชื่อแซ่บอีลี่

คราวนี้เขาไม่ประมาทและตั้งใจกว่าเดิมอีกหลายเท่า จนวันนี้ร้านแซ่บอีลี่ก็อยู่ได้

ลูกทุกคนของผมรู้ดีว่าสมบัติทุกอย่างที่ผมให้ ถ้าไม่ตั้งใจทำย่อมมีวันหมด

ผมให้โอกาสการศึกษาเต็มที่..ที่เหลือเขาต้องเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวของเขาเอง

ไม่ใช่ผมไม่รักลูก แต่ใช่ว่ามีเงินเยอะๆ แล้วจะดีสำหรับเขา

ผมอยากให้ลูกได้รู้จักกับความยากลำบาก
ไม่อยากให้เคยชินกับความสบาย

ไปต่างประเทศด้วยกันทุกครั้ง ลูกๆ ทุกคนต้องนั่งเครื่องบินชั้นอิโคโนมี

บางครั้งน้องเก็ตลูกชายยังเป็นเด็ก เขาเคยแผลงฤทธิ์ไม่พอใจทำไมไม่ได้นั่งบิซิเนสคลาสด้วยกัน

วันนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ทำงานหาเงินเองได้เมื่อไหร่ วันนั้นเขาจะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง

ประสบการณ์สอนให้ผมรู้ว่าเงินเป็นได้ทั้งความทุกข์และความสุข

ในวันที่ต้องดิ้นรน เงิน คือ สิ่งจำเป็น

เป็นขนมปังชิ้นแรกที่ประทังชีวิต

ขนมปังชิ้นที่สอง คือ ความอร่อย มีชีวิตที่สุขสบาย หายเหนื่อย

มากกว่านั้น...กินเท่าไหร่ก็เป็นส่วนเกิน

ขนมปังชิ้นที่สาม คือ ยาพิษ

อะไรที่มากเกินไปมักจะไม่มีประโยชน์ กลายเป็นให้โทษมากกว่าคุณ..

เงินก็เช่นกัน...

ถ้าคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีบุญหล่นทับร่ำรวยเป็นพันๆ ล้าน

คุณอาจไม่รู้จักคุณค่าของความพยายาม

ชีวิตนี้อาจไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องออกแรงดิ้นรนอะไรอีกต่อไป

เงินถ้าไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักหา ไม่รู้จักคุณค่า...มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ

ถ้าหน้าที่ของพ่อแม่คือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก

เราควรรักลูกแบบไหน?

ลองถามตัวเองดูว่าเรากำลังยื่นขนมปัง "ชิ้นที่สาม" ที่เต็มไปด้วยยาพิษให้ลูกหรือเปล่า

**
Cr:: บุคคลสำคัญของลูก - เล่าสู่กันฟัง..จากคุณตัน อิชิตัน
--------------------------

~~เมื่อกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชประกาศสัจจธรรม ~~

คำสั่งเสียก่อนสิ้นพระชนม์ของอเล็กซานเดอร์มหาราช~~~

1:หาแพทย์ที่เก่งสุดมาเป็นผู้หามศพของข้า

2:เอาสมบัติในท้องพระคลังมาวางบนพื้นตลอดเส้นทางที่แห่ศพของข้า
3:ให้แง้มฝาโลงและเอามือข้ายื่นออกมาจากโลงศพ

ขุนพลผู้ภักดีสงสัยเหตุใดถึงทำเช่นนี้

มหาราชตอบอย่างช้าๆ

1:ให้หมอหามโลงศพข้าเพื่อประกาศว่าแม้หมอเก่งที่สุดก็ไม่อาจเอาชนะ
ความตายได้
2:ทรัพย์สมบัติข้าเอาติดตัวไปไม่ได้ต้องคืนให้กับแผ่นดิน
3:ข้ามายังโลกนี้ด้วยมือเปล่าจากโลกนี้ไปด้วยมือเปล่าเหมือนที่ข้ามานั่นแหละ

Cr::  หมอ สารภี



Monday, July 29, 2013

ชีวิตนักศึกษารั่้วมหาวิทยาลัย

ชีวิตนักศึกษารั่้วมหาวิทยาลัย

จะเรียกนิสิต หรือ นักศึกษา ก็ตามแต่

บางที นศ.ปี 1ก็ไม่น่ารักเท่าที่ควร เหมือนพยายามทำตัวเจ๋งแต่ไม่ถูกที่ถูกทาง แบบเพิ่งหลุดจากกรอบกฎระเบียบมัธยมเลยขอเกรียน..

พอขึ้นปี 2 เริ่มดีขึ้น เรียนยากขึ้น สำนึกมากขึ้น แต่ก็ยังแสบอยู่ ปีนี้ก็ยังมองอาจารย์ด้วยสายตาไม่แคร์โลก..
ปี 3 เรียนวิชาภาค น่ารักขึ้นมาก เพราะเรียนวิชาชีพ รู้แล้วว่ามาเรียนหนังสือทำไม เริ่มเป็นผู้เป็นคน เจออาจารย์ยกมือไหว้ก็ได้..
ปี 4 แสนดีมาก ดูกลับเนื้อกลับตัว ไปฝึกงานมา 2 เดือนเริ่มเข้าใจชีวิต ยิ่งต้องทำโปรเจค สัมมาคารวะจัดเต็ม ครู-นักเรียน รักเคารพนับถือกันดี..
..จบบริบูรณ์.. ^^

Cr: D.Visuwan

-------------------------

"กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ"..
ตอนเรียนมัวแต่คุย ตอนสอบหงายเงิบ..
ธรรมะสวัสดี

Cr: D.Visuwan

ระบุ10จุดเสี่ยงอุบัติเหตุไม่ใช่จุดอันตราย

ระบุ10จุดเสี่ยงอุบัติเหตุไม่ใช่จุดอันตราย



จากที่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ได้เปิดเผย 10 จุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบ่อยบนถนนสายหลักทั่วกรุงเทพฯ ประกอบด้วย 1. ถนนเพชรบุรี บริเวณแยกอโศก – เพชรบุรี 2 ทางด่วนขั้นที่ 2. บริเวณต่างระดับพญาไท 3. ถนนสุขุมวิท บริเวณซอยสุขุมวิท 24 4. ถนนลาดพร้าว บริเวณซอยลาดพร้าว 101 5. ถนนพระราม 2 บริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2 6. ถนนเคหะร่มเกล้า บริเวณสามแยกโรงเรียนอรรถญาสาธิต 7. ถนนอ่อนนุช (สุขุมวิท 77) บริเวณตลาดอ่อนนุช หน้าศูนย์การค้าบิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า 8. ถนนสุวินทวงศ์ บริเวณสุวินทวงศ์ขาออก ช่วงกิโลเมตรที่ 52 – 55 9.ถนนพระราม 9 บริเวณสี่แยกพระราม 9 – ประดิษฐ์มนูธรรม และ 10.ถนนนวมินทร์ บริเวณหน้าการเคหะแห่งชาติ นายธนา วิชัยสาร ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักวิศวกรรมจราจร ไปตรวจสอบทั้ง 10 จุดเสี่ยงนี้โดยเร่งด่วน หากเป็นสาเหตุมาจากทางด้านกายภาพจะได้มีการปรับปรุงแก้ไข ทั้งในเรื่องของไฟฟ้าส่องสว่าง อุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น

นายสุธน อาณากุล ผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรมจราจร สจส. กล่าวว่า จะประสานขอข้อมูลจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งคาดว่าผลการสำรวจที่นำมาเปิดเผยนี้ น่าจะมาจากการบันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะต้องมีการแจ้งเจ้าหน้าที่หรือลงบันทึกไว้ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อมูลที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งแต่อาจจะไม่ใช่จุดที่เกิดอันตรายร้ายแรง ที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิต เช่นกรณีรถตกทางยกระดับบริเวณทางแยก ที่กทม.ได้ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ดูดซับแรงกระแทก (แคลช คูชั่น) ไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามในเรื่องของความปลอดภัยกทม.ได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องซึ่งจะมีการสำรวจและซ่อมแซมอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยต่างๆ ให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นป้ายเตือนต่างๆ ที่มีทั้งบริเวณหัวเกาะ ทางร่วมทางแยก ป้ายเตือนเหนือศรีษะ อุปกรณ์ป้ายสะท้อนแสง หมุดสะท้อนแสง การ์ดเรล รวมทั้งการตีเส้นจราจร ที่เมื่อใช้งานนานๆ เส้นจะเลือน โดยแต่ละปีกทม.ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อซ่อมแซมและจัดหาอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยเป็นวงเงินกว่า 100 ล้านบาท ทุกปี ซึ่งในทั้ง 10 จุดที่เป็นจุดเสี่ยงนี้จะเข้าไปแก้ไขโดยเร่งด่วน อย่างไรก็ตามขณะนี้กทม.ได้เพิ่มความปลอดภัยบนผิวการจราจรเพิ่มขึ้น โดยได้ติดตั้งป้ายไฟเตือนที่ใช้พลังงานโซล่าเซล ในจุดทางร่วมทางแยกที่เป็นจุดเสี่ยงซึ่งสามารถติดตั้งและใช้งานได้เร็วไม่ต้องรอการเดินสายจ่ายกระแสไฟฟ้า รวมทั้งการตีเส้นจราจรให้หนาขึ้นจากเดิมจะตีเส้นความกว้าง 10 เซนติเมตร เพิ่มเป็น 15 เซนติเมตรเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนและยืดระยะเวลาที่เส้นจราจรเลือน ทำให้ประชาชนขับขี่รถได้ปลอดภัยมากขึ้น

ที่มา:: เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2556

ประกันตัวเอง .. ทำไมต้องทำประกันกับบริษัท

ประกันชีวิตตัวเอง .. ทำไมต้องทำประกันชีวิต กับบริษัทประกัน
ประกันสุขภาพตัวเอง .. ทำไมต้องทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกัน

บริษัทประกัน ต่าง ๆ เกือบร้อยทั้งร้อย (เช่น เอไอA  บ้านเมืองไทยประกันชีวิต ) เบิกเงินยาก เรื่องมาก หาเรื่องไม่จ่ายเงินประกัน ทั้งที่เป็นไปตามเงื่อนไข 

ประกันตัวเอง ทำอย่างไร ???

ก็ทำเหมือนตอนเราทำประกันกับบริษัท คือ เก็บเงินเท่า ๆ กัน ฝากธนาคาร กินดอก
เมื่อเวลาผ่านไป เงินก้อนนี้ ก็จะงอกเงยออกมา ถ้าไม่สบาย เราก็เอาเงินนี้ มารักษาตัวเอง ... ถ้าที่บ้านมีกันหลายคน ต้องเก็บเงินให้มากตามไปด้วย เงินเก็บก็จะมาก ดอกเบี้ยก็มากเป็นทวีคูณ ไม่ต้องไปเขียนใบเบิกับใคร ก็เบิกกับบ้านตัวเอง ..

-----------------------------
ล่าสุด ท่านฟองสนาน จามรมาร ได้โวย ประกันภัย"รักษ์สุข"
ประกันภัย"รักษ์สุข" เป็นโครงการประกันภัยสุขภาพ ซึ่งเทเวศประกันภัยร่วมมือกับ
ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยท่านสามารถสอบถามรายละเอียดได้จากสาขาของ
ธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ ประกันสุขภาพ รักษ์สุข ให้ความคุ้มครองในด้าน
  • ชดเชยค่ารักษาพยาบาล
  • ผู้ป่วยใน (IPD) และ ผู้ป่วยนอก (OPD)
  • สาเหตุจากเจ็บป่วย และ อุบัติเหตุ
  • โรงพยาบาลรัฐ เอกชน และ คลินิก
  • ไม่ต้องตรวจสุขภาพก่อนทำประกัน
  • สามารถเบิกส่วนต่างของใบเสร็จที่ได้รับการชดเชยแล้วแต่ยังไม่ครบ
  • เบิกค่ารักษาได้ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยใน และ ผู้ป่วยนอก ของโรงพยาบาลรัฐ เอกชน และ คลินิกได้
  • ไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า เมื่อใช้บัตรประกันสุขภาพพร้อมบัตรประชาชนกับโรงพยาบาลในเครือ
    มากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ
  • เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ คุ้มครองสูงสุดถึง 1 ล้านบาท
ฟองสนาน:: สรุปว่า..หลังจากต้องโทร.ไปโวย..หนึ่งชั่วโมงเศษผ่านไปเพราะประกันไม่ติดต่อมา คำตอบครือออออว่าระบบของเทเวศเออเร่อ..เหอๆๆ..ทีตอนรับเบี้ยประกัน(ไปเกือบปีแล้ว.).ทำไมไม่เออเร่อ?..อ่ะจ้ะ...
รับเงินเราง่ายแต่จ่ายออกยาก..ต้องนั่งรอประกันที่เคารพแทนรอหมอ
ชั่วโมงกว่าแล้วยังไม่คืบหน้า..ขนาดมีกรมธรรม์ในมือก็ไม่ยอม
เทเวศประกันสุขภาพ โครงการรักสุข..รับเงินไปแล้ว..ออกบัตรมาแล้ว
ออกกรมธรรม์มาแล้ว..พอจะใช้สิทธิ์ไม่มีในระบบ..จะให้สำรองจ่ายก่อน
ก่อนหน้านี้ลูกเจอ.เสียเวลา..ต้องออกเงินก่อน
.ซ้ำแม่เจออีกวันนี้..ถ้าป่วยหนัก..คอยเจอหมอ..คงซีด

----------------------------

ภรรยา : นี่เธอ ปีใหม่ปีนี้ฉันไม่ซื้อของขวัญให้นะ ของขวัญปีที่แล้วที่ฉันให้เป็นเนคไท เธอยังไม่ใช้เลย ฉันโมโหนะ

สามี : ผมก็เหมือนกัน ไม่มีของขวัญให้คุณหรอก ก็ปีที่แล้วผมก็ให้ของขวัญปีใหม่ คุณก็ยังไม่ใช้เหมือนกัน ผมรออยู่นะ

ภรรยา : (ทำหน้างง) อะไรกัน ปีที่แล้วเธอซื้ออะไรให้

สามี : ประกันชีวิต
Cr: นิรนาม

คนอ้วนมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถชนมากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ

ผลวิจัยพบว่าคนอ้วนมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถชนมากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติถึงร้อยละ 80

นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางการขนส่งจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย ศึกษาระบบรายงานการวิเคราะห์การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ (เอฟเออาร์เอส) ซึ่งเป็นคลังข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยศึกษาข้อมูลจากปี 2539-2551 ครอบคลุมกรณีอุบัติเหตุรถชนกัน 2 คัน กว่า 57,000 ราย โดยตัดกรณีอื่นๆ ออกจนเหลือเพียงกรณีที่ทั้งสองฝ่ายขับรถที่มีขนาดและชนิดคล้ายกัน จากนั้นจึงเปรียบเทียบความเสี่ยงการเสียชีวิตกับดัชนีมวลกาย (บีเอ็มไอ) ของผู้เสียชีวิต ซึ่งคำนวนจากการนำน้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วยความสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง คนวัยผู้ใหญ่ที่มีดัชนีบีเอ็มไออยู่ระหว่าง 18.5-24.9 ถือว่ามีน้ำหนักปกติ ถ้าต่ำกว่านี้ถือว่าน้ำหนักต่ำกว่าปกติ ส่วนคนที่มีดัชนีบีเอ็มไออยู่ระหว่าง 25.0-29.9 ถือว่าน้ำหนักตัวเกินปกติ และคนที่มีดัชนีบีเอ็มไอ 30.0 ขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคอ้วน

นักวิจัยพบว่าผู้ขับขี่รถที่น้ำหนักน้อยกว่าปกติมีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เปรียบเทียบกับคนน้ำหนักปกติ ขณะที่คนที่เป็นโรคอ้วนซึ่งมีดัชนีบีเอ็มไออยู่ระหว่าง 30-34.9 มีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 และคนที่เป็นโรคอ้วนซึ่งมีดัชนีบีเอ็มไอระหว่าง 35-39.9 มีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 ส่วนคนที่เป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรงซึ่งมีดัชนีบีเอ็มไอ 40.0 ขึ้นไป มีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละถึงร้อยละ 80 นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่าหญิงที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าปกติ โดยหญิงที่เป็นโรคอ้วนซึ่งมีดัชนีบีเอ็มไอระหว่าง 35-39.9 มีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่น้ำหนักปกติ

นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า คนที่เป็นโรคอ้วนมักได้รับบาดเจ็บในอุบัติเหตุทางรถยนต์ต่างจากคนที่น้ำหนักปกติ ข้อมูลจากหน่วยรักษาพยาบาลผู้ป่วยขั้นวิกฤติ (ไอซียู) ระบุว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนมีแนวโน้มได้รับบาดเจ็บที่หน้าอกมากกว่าปกติ แต่มีแนวโน้มได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะน้อยกว่า และมีแนวโน้มมีอาการแทรกซ้อนมากกว่า อีกทั้งต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า และมีแนวโน้มเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บด้วย ทั้งนี้นักวิจัยกล่าวว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะระบบรักษาความปลอดภัยในรถยนต์ อาทิ เข็มขัดนิรภัยถูกออกแบบมาสำหรับคนที่มีน้ำหนักปกติ และไม่ใช่สำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

Saturday, July 27, 2013

ผมมีความลับจะบอก

ผมมีความลับจะบอก
(Credit : วิสูตร แสงอรุณเลิศ , งานไม่ประจำทำเงินมากกว่า)

ผมมีความลับช็อคโลกมาแฉครับ !
คุณรู้มั้ยครับว่าไทเกอร์ วู้ดส์ เคยเล่นกอล์ฟไม่เป็นมาก่อน
ส่วนเลดี้กาก้า เคยร้องเพลงแย่และเต้นไม่เป็นมาก่อน
มิคาเอล ชูมัคเกอร์ นักแข่งรถ F1 เคยขับรถไม่เป็นมาก่อน
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก นี่ยิ่งทุเรศใหญ่ สร้าง facebook แท้ๆ แต่เคยเล่นคอมพิวเตอร์ไม่เป็นมาก่อน
แม้กระทั่งคนไทยอย่างพวกเซียนหุ้นใน stock2morrow
อย่าง ป๋ากิ้ง ป๋าแพ้ท ป๋าหยง ป๋าปุย ก็เล่นหุ้นไม่เป็นมาก่อน

อะไรกันเนี่ย ?! ผมนึกว่าพวกเขาจะเก่งมาตั้งแต่เกิด

ประเด็นที่ผมอยากจะบอกก็คือ
คุณไม่มีทางเล่นกีตาร์เก่งได้ในวันเดียว
คุณไม่มีทางพูดภาษาอังกฤษได้ปร๋อได้ในคืนเดียว
คุณไม่มีทางเล่นหุ้นเป็นในการเทรดครั้งเดียว
แต่คุณสามารถทำทั้งหมดที่ว่ามา (หรืออะไรก็ไดที่คุณอยากทำเป็น)
เพียงแค่ค่อยๆ ให้เวลากับมันอย่างสม่ำเสมอทุกวัน

เคล็ดลับจึงอยู่ที่เล็กน้อย...แต่สม่ำเสมอ
สละเวลาฝึกทำอะไรก็ได้อย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมงที่คุณอยากฝึกมัน

แค่ปีเดียว คุณก็จะเก่งเกินมาตราฐานคนส่วนใหญ่แล้ว
ถ้าห้าปี คุณจะเชี่ยวเชาญในสิ่งนั้น
และถ้าสิบปี คุณมีโอกาสที่จะเป็นลำดับต้นๆของคนที่ทำสิ่งนั้นได้เลยล่ะครับ

-----------------------------

ชีวิตเป็นของเรา จะดีหรือเลว อยู่ที่เราเลือก

**






Key of Success

ความอดทนพากเพียรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

หนทางที่จะนำพาบุคคลไปสู่ความสำเร็จ มีกุญแจอยู่หลายดอก แต่มีกุญแจดอกหนึ่งซึ่งมีความสำคัญ.....

บุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าอาชีพใด จะต้องมีกุญแจดอกนี้ กุญแจดอกนี้ก็คือ "ความอดทนพากเพียร"
บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักมีความอดทนพากเพียรอยู่ในหัวใจ อยู่ในจิตวิญญาณ ดังตัวอย่างเช่น

- โทมัส อัลวา เอดิสัน เคยมีคนไปถามว่า อัจฉริยะเกิดจากอะไร เขาตอบกลับไปโดยไม่คิดว่า “อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากความอดทนพากเพียร ทำไม่หยุด”

- ยอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ นักประพันธ์บทละครที่มีชื่อเสียงชาวไอริส กล่าวไว้ว่า “เมื่อตอนหนุ่มๆ เขาสังเกตว่า 9 ใน 10 ของสิ่งที่ผมทำไปนั้นเรียกได้ว่า ล้มเหลว แต่ผมไม่ยอมแพ้ ฉะนั้นผมจึงได้อดทนพากเพียรขึ้นไปอีก 10 เท่า"

- ซิเซโร กว่าจะเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ของกรุงโรม เขาต้องอดทนพากเพียรโดยการพูดต่อหน้าเพื่อนๆหรือพูดตามชายหาดทะเล ทุกวันเป็นเวลาถึง 30 ปี กว่าที่จะมีคนยอมรับว่าเขาเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก

- เซอร์ ไอแซค นิวตัน กว่าจะค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วงของโลก เขาต้องอดทนพากเพียรทำงาน เขาไม่เคยนอนก่อนตีสองเลย ในการทำงานของเขาเพื่อที่จะค้นพบกฎที่ยิ่งใหญ่เพื่อมอบให้แก่มนุษยชาติ

เป็นต้นๆ......

ความอดทนพากเพียร มักขื่นขม แต่ผลของมันมักหวานชื่นเสมอ คนที่มีความอดทนพากเพียรมักเป็นคนที่มีความขยันขันแข็ง ไม่เกียจคร้าน ซึ่งการปลูกฝังความขยันขันแข็งเราสามารถปลูกฝังได้ดังต่อไปนี้.....

1.ฝืนใจทำงานในระยะแรก งานบางอย่างเป็นสิ่งใหม่และยาก จนบางคนไม่อยากที่จะลงมือทำ แต่คนที่ขยันขันแข็ง เขามักที่จะควบคุมตนเองและฝืนใจที่จะทำงานนั้น

2.ทำอย่างสม่ำเสมอ คนที่มีความขยันขันแข็งมักเป็นคนที่ทำอะไร สม่ำเสมอ เขาจะไม่ทำแล้วหยุด เขาจะทำงานด้วยความสม่ำเสมอ ดังคำว่าเปรียบเทียบว่า “ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ” ที่หินกร่อนไม่ใช่เพราะอนุภาพของหยดน้ำที่แรงหรือมีพลัง แต่ก็ด้วยความสม่ำเสมอของหยดน้ำต่างหาก

3.มีเป้าหมายในการทำงาน คนที่มีเป้าหมายในการทำงานมักจะทำงานด้วยความขยันขันแข็ง กระตือรือร้น ในการทำงาน ดังนั้น การตั้งเป้าหมายในการทำงานจึงมีความสำคัญ

4.รู้จักความสำคัญของเวลา คนที่มีความขยันมักเป็นคนที่รู้จักความสำคัญของเวลา เขามักจะบริหารเวลาเป็น อีกทั้งรู้จักที่จะจัดลำดับความสำคัญของงานที่ตนเองได้ทำลงไป
5.ปลูกความรักในงานที่ตนเองทำ คนที่ขยันมักที่จะมีความสนใจ ความรัก ความชอบในงานที่ตนเองทำ เขาถึงได้ทำงานนั้นด้วยความสนใจ อีกทั้งทุ่มเทในการทำงานนั้นๆ

6.ฝึกนิสัย ทำทันที(ททท.) สิ่งใดที่เราสามารถทำได้ ก็ให้ลงมือทำทันทีไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง

7.ฝึกความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ในการทำงาน ไม่ควรทำงานด้วยความเฉื่อยชา แต่หากว่าเหน็ดเหนื่อยก็ให้หยุดพัก แล้วจึงเริ่มทำงานใหม่ การหยุดพักไม่ได้หมายถึงการหยุดพักก็ด้วยเพราะความขี้เกียจ

8.ฝึกหลักคำสอน อิทธิบาท 4 มาใช้ คือ ฉันทะ มีความรักในงานที่ตนเองทำ , วิริยะ มีความพากเพียรในการทำงาน , จิตตะ มีความเอาใจใส่ในงานที่ตนเองทำ และวิมังสา คือ มีความใคร่ครวญในงานที่ตนเองได้ทำลงไป

ดังนั้น หากท่านเป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านควรฝึกความอดทน ฝึกความพากเพียร และฝึกความขยันขันแข็ง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกุญแจที่จะนำพาท่านไปสู่ความสำเร็จ เพราะบุคคลที่ยิ่งใหญ่ บุคคลคนที่สำคัญของโลก ที่มีผลงานมากมายก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากหยาดเหงื่อแรงกาย แรงความคิดและแรงใจ ด้วยแท้"

"ธรรมดาความเกียจคร้านย่อมทำอาการเหมือนเป็นมิตร
ให้ความสุขในต้นมือ หลอกลวงคนโง่ให้หลง

ภายหลังให้ความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด


ส่วนความหมั่นเพียรนั้น ย่อมทำอาการอย่างประหนึ่งว่าเป็นข้าศึก

ให้ความทุกข์ในต้นมือ

แต่ที่จริงกลับเป็นมหามิตรอย่างประเสริฐ

ภายหลังให้ความสุขไม่มีที่สิ้นสุด"
Cr: Force

Friday, July 26, 2013

กฎหมายเมาแล้วขับที่ญี่ปุ่น

กฎหมายเมาแล้วขับที่ญี่ปุ่น

สาเหตุที่ทำให้อุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศญี่ปุ่นลดลงอย่างต่อเนื่อง คือ นอกจากความมีวินัยของผู้ขับขี่ และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเสมอภาคของเจ้าพนักงานแล้ว ตัวบทกฎหมายเองยังมีความเข้มงวดอย่างยิ่งอีกด้วย

กฎหมายเมาแล้วขับ ตามมาตรา 65 ของ พรบ การจราจร ของญี่ปุ่น ถูกยกร่างขึ้นใหม่ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน คศ.2007 เป็นต้นมา สรุปสาระสำคัญ คือ

วรรคหนึ่ง
ห้ามขับขี่ยานพาหนะในขณะที่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย
วรรคสอง
ห้ามให้ยืมหรือให้ใช้ยานพาหนะ แก่ผู้ที่น่าวิตกว่าจะกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง
วรรคสาม
ห้ามให้สุรา หรือสนับสนุนการดื่มสุรา แก่ผู้ที่น่าวิตกว่าจะกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง
วรรคสี่
ห้ามร้องขอหรือไหว้วานให้ผู้อื่นขับขี่ยานพาหนะไปส่งตนเอง โดยที่รู้อยู่แล้วว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย อีกทั้งห้ามร่วมโดยสารไปในยานพาหนะที่ขับขี่โดยบุคคลที่กระทำผิดตามวรรคหนึ่งด้วย

บทลงโทษ
ผู้ขับขี่เมาแล้วขับ
พิจารณาตามสภาพ ว่าไม่อยู่ในอาการที่จะควบคุมการขับขี่ได้ตามปกติ เช่น เดินเซ ตาปรือ หน้าแดงก่ำ ฯลฯ
โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน (3.6 แสนบาท)
หักคะแนน 35 แต้ม และเพิกถอนใบขับขี่ 3 ปี

หากก่ออุบัติเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต จะมีความผิดในโทษฐานขับขี่อันตรายอันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 20 ปี ซึ่งเป็นโทษที่หนักกว่าการขับขี่โดยประมาทอันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ซึ่งกำหนดโทษไว้ไม่เกิน 7 ปี
หรืออาจกล่าวได้ว่า การเมาแล้วขับและทำให้มีผู้เสียชีวิต มีโทษรุนแรง รองจากความผิดฐานฆ่าคนตายเลยทีเดียว

มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย
มีแอลกอฮอล์เกินกว่า 0.15 mg ต่อลมหายใจ 1 ลิตร
โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนเยน (180,000 บาท)
หักคะแนน 13-25 แต้ม และยึดใบขับขี่ตั้งแต่ 90 วัน ไปจนถึงเพิกถอนใบขับขี่ 2 ปี

ผู้ให้ยืมหรือให้ใช้ยานพาหนะ
มีโทษจำคุกและโทษปรับเท่ากับผู้ขับขี่

ผู้จำหน่ายสุรา ผู้สนับสนุนให้ดื่ม หรือผู้ร่วมโดยสารมาด้วย
กรณีผู้ขับขี่เมาแล้วขับ
โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนเยน (180,000 เยน)
กรณีผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย
โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนเยน (108,000 เยน)
ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีที่จอดรถให้บริการ และทราบได้ชัดเจนว่า ลูกค้าขับรถมาที่ร้าน ร้านอาหารนี้จะต้องไม่เสิร์ฟเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้กับผู้ขับขี่ อีกทั้งผู้ที่นั่งรถมาด้วยก็ต้องไม่สนับสนุนให้ดื่ม และจะต้องไม่นั่งรถกลับไปด้วย มิฉะนั้น ทุกฝ่ายจะมีความผิดทั้งหมด

Cr: หมอ สารภี
----------------------------

ถอดบทเรียนญี่ปุ่น พลิกวิกฤต ลดอุบัติเหตุทางถนน 4 เท่า


ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางท้องถนน ได้รวบรวมและรายงานสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ในทุกๆ ปี โดยในปี พ.ศ. 2552 พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากถึง 380 ราย ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า บริเวณสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบนถนนในเขตชนบท 47-51 เปอร์เซ็นต์ และถนนในเขตเมือง 20-22 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งประเภทของยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุดคือรถจักรยานยนต์ คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 70 ของยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุทั้งหมด

นายทาคาชิ นากาสึจิ อาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮอกไกโด ซึ่งเข้าร่วมเป็นวิทยากรหลักในการพูดคุยในเวทีสัมมนาระดับชาติเรื่อง ความปลอดภัยทางถนนครั้งที่ 10 “ทศวรรษแห่งการลงมือทำ : Time For Action” ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไปเทคบางนา กรุงเทพ ที่ผ่านมา ในหัวข้อ “การเดินทางปลอดภัย ไม่ไกลเกินฝัน”

นายทาคาชิ บอกเล่าถึงการจัดการความปลอดภัยทางถนนในประเทศญี่ปุ่นว่า “ก่อนหน้านี้ประเทศญี่ปุ่นก็ประสบกับปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนไม่ต่างจากประเทศอื่นในแถบเอเชีย ซึ่งสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ คือการเมาแล้วขับ โดยเมื่อก่อน กฎหมายที่ใช้ลงโทษคนเมาแล้วขับของประเทศญี่ปุ่นไม่ได้มีบทลงโทษที่รุนแรง แต่มีเหตุอุบัติเหตุครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่คนขับรถบรรทุก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถขึ้นทางด่วนโทเมต์ (TOMEI) ชนท้ายรถเก๋งที่มากันทั้งครอบครัว ส่งผลให้รถคันนั้นเกิดไฟลุกไหม้ ทำให้ลูกสาววัย 1 ขวบและวัย 3ขวบของครอบครัวที่ถูกรถสิบล้อชน ถูกไฟคลอกจนเสียชีวิต แต่ผู้ก่อเหตุกลับถูกลงโทษจำคุกแค่ 4 ปี ในข้อหาประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย


นอกจากนี้ยังมีอุบัติเหตุที่คนเมา ไม่มีใบอนุญาตขับรถ รถไม่มีประกันอุบัติเหตุ และไม่มีการตรวจสภาพ ขับรถชนนักศึกษาที่เดินอยู่บนทางเท้าเสียชีวิต ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้ก่อเหตุถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 6 เดือน ในข้อหาเดียวกันกับกรณีก่อนหน้านี้

จาก 2 กรณีหลักที่เกิดขึ้น และอีกหลายๆ กรณีของอุบัติเหตุที่เกิดจากการเมาแล้วขับ ผู้ก่อเหตุกลับรับโทษเพียงน้อยนิด ทำให้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมญี่ปุ่น จนนำมาสู่การปรับปรุงและแก้ไขกฏหมายการเมาแล้วขับจาก “ข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นข้อหา “ก่ออาชญากรรมที่เกิดจากความประมาท Crime of Negligence” ซึ่งผู้ก่อเหตุมีโทษจำคุก 15 ปี ในกรณีที่ทำให้เหยื่อบาดเจ็บ และจำคุกอีก 20 ปี ในกรณีที่ทำให้เหยื่อเสียชีวิต ทั้งนี้ผู้ที่โดยสารมาด้วย ก็จะถูกจำคุกลดหลั่นลงไปในข้อหาให้ความช่วยเหลือการขับรถที่อันตรายโดยไม่ยับยั้งและให้การสนับสนุน นอกจากนี้ เจ้าของร้านอาหารที่คนเมาแล้วขับไปใช้บริการ ก็จะถูกดำเนินคดีด้วยในข้อหาเสิร์ฟเหล้าไม่ยังยั้ง อาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮอกไกโดกล่าว

นายทาคาชิ ยังให้ข้อมูลอีกด้วยว่า หลังจากที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายเมาแล้วขับ ทำให้สถิติของอุบัติเหตุจราจรที่เกิดจากเมาและขับลดลง จากเดิมในปี 1960 มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 25,400 คนต่อปี แต่ในปี 2,000 มีผู้เสียชีวิตเพียงแค่ 7,558 คนต่อปี นายทาคาชิ ยังบอกอีกด้วยว่า สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดในประเทศไทย คือสถิติการดื่มแอลกอฮอล์ ที่คนไทยนั้นเป็นนักดื่มระดับต้นๆ ในภูมิภาค เฉลี่ยสถิติของสิงห์นักดื่ม 8 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งเท่ากับว่าคนไทยทั้งประเทศจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปีละ 560 ล้านลิตร ซึ่งเป็นสถิติที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ดังนั้นหากประเทศไทยแก้ปัญหาตรงส่วนนี้ได้ก็จะสามารถลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในท้องถนนได้

ทั้งนี้กฎหมายที่เกี่ยวเนื่องในการดำเนินความผิดกับบุคคลที่เมาแล้วขับในประเทศไทย คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ที่ลงโทษจำคุกบุคคลที่เมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท และในมาตรา 300 ก็ลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 พันบาท สำหรับบุคคลที่เมาแล้วขับ จนส่งผลให้บุคคลอื่นบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นโทษที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับกฏหมายของประเทศญี่ปุ่น

ขณะที่นายสิทธา เจนศิริศักดิ์ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา ม.อุบลราชธานี ได้กล่าวถึงทางออกในระยะยาวเกี่ยวกับรูปแบบของเมืองกับการขนส่งมวลชน และทางเลือกเพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนนว่า จากสถิติที่ตนได้รวบรวมมานั้น พบจำนวนอุบัติเหตุทั่วประเทศไทย เกิดจากรถจักรยานยนต์มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการใช้รถจักรยานยนต์นั้น เป็นพาหนะที่ใช้อย่างแพร่หลายทั้งในเขตเมืองและเขตชนบท ดังนั้นหากจะจัดการเรื่องการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน จะต้องแก้ไขระบบขนส่งมวลชนให้พร้อม เพียงพอและเหมาะสมกับวิถีชีวิตของประชาชนทั้งสองกลุ่มด้วยการออกแบบและวางโครงสร้างพื้นฐานของเมือง ที่สามารถใช้ประโยชน์การเดินทางทั้งทางรถและทางเท้าได้

นายสิทธา ได้ยกตัวอย่างที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่มีการปรับปรุงช่องการจราจรเป็นพื้นที่ถนนคนเดิน และเปลี่ยนระบบขนส่งมวลชนเป็นระบบราง ทำให้อุบัติเหตุลดน้อยลง ส่งผลให้การสัญจรไปมาสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้หลายประเทศในแถบยุโรป ยังปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้ได้มาตรฐาน ซึ่งทางออกของประเทศไทยคือ ต้องพัฒนาทางเลือกการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัย รวมถึงต้องมีระบบขนส่งสาธารณะที่ได้มาตรฐาน รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งสาธารณะให้ชัดเจน และไม่ควรลืมการปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะกับการเดินเท้า การใช้จักรยาน และเหมาะกับรถโรงเรียน “อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา ม.อุบลราชธานีกล่าว

อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้าง “การเดินทางปลอดภัย ไม่ไกลเกินฝัน” ให้เกิดขึ้นจริง คือการปลูกจิตสำนึกให้เกิดขึ้นกับคนไทยในการเฝ้าระวังใช้รถใช้ถนนให้ถูกต้องตามกฏระเบียบวินัยจราจร เพื่อนำไปสู่การลดอุบัติเหตุไม่ใช่เพื่อตัวเราเองและเพื่อสังคมที่จะใช้รถใช้ถนนด้วยความปลอดภัย.-


Cr:: matichononline วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2554


'เสพยาไอซ์' ทำให้ อ้วน หน่้าแก่ ตายไม่สวย



อธิบดีกรมอนามัย ซัดเสพยาไอซ์ แล้วผอมแป๊ป แล้วอ้วนหนักกว่าเดิม ขาวแบบซีดเพราะระบบเลือดเสียหาย หน้าแก่ ย้ำมั่วยานัน้ อันตรายกว่ายาบ้า 4-5 เท่า อันตรายถึงตาย.. (ศพไม่สวย)

เป็นเรื่องที่สร้างความสับสนให้กับสังคมอย่างยิ่ง จากกรณีที่เป็นข่าวว่อนในโลกสังคมออนไลน์ นักแสดงหญิงซีรีส์ดัง "ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น" ที่กำลังฮิต และมาแรงในตอนนี้ มีภาพหลุด นางเอกซีรีส์เรื่องดังกล่าวที่กำลังทำท่าเสพยาอยู่ และตอนนี้มีข่าวว่าเจ้าตัวก็ได้ออกมายอมรับแล้วว่า เคยลองเสพจริงๆ แต่เสพฯเพียงแค่หนึ่งครั้ง ไม่ได้เสพติด และได้มีคนบอกมาว่าเสพยาไอซ์จะช่วยทำให้ผิวขาว หน้าใส ผอมลงอย่างรวดเร็ว




ล่าสุด นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย ออกมากล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์ถึงความเชื่อในเรื่องของสาวๆ ที่เชื่อกันมาตลอดเวลาว่าการเสพยาไอซ์จะทำให้ขาว ผอม หน้าใสได้จริงว่า เป็นไปไม่ได้เลย 100% ยาไอซ์ มีความรุนแรงกว่ายาบ้าเป็น 4-5 เท่า ยาพวกนี้ เวลาเสพฯเข้าไปแล้ว จะมีผลข้างเคียง คือ ในช่วงต้นๆ ที่มีการเสพใหม่ๆ จะทำให้ใจสั่น เบื่ออาหาร และพวกนี้จะมีผลต่อระบบการไหลเวียนของโลหิตต่างๆ แต่พอเสพนานๆ ไปสักพักหนึ่ง เริ่มจะมีการชินกับยาแล้วจะกลับมากินอาหารได้เหมือนเดิม และทำให้อ้วนเหมือนเดิม




"ส่วนในแง่ที่ว่าผิวขาวนั้นไม่จริงใหญ่เพราะพวกยาไอซ์ จะไปทำให้เส้นเลือดหดตัว พอเส้นเลือดหดตัว เส้นเลือดที่จะไปเลี้ยงที่ผิวหนังหรือสมองจะลดลง โดยเฉพาะเลือดที่ไปเลี้ยงที่ผิวหนังจะลดลง และทำให้ผิวซีด ไม่ใช่ขาวมันซีดเหมือนคนที่ขาดเลือด ซึ่งจริงๆ ดูแล้วจะทำให้คนแก่ลงไปด้วยซ้ำ และที่สำคัญขณะนี้มีการพิสูจน์แน่นอนแล้วว่า เอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ และพวกที่เสพต่างๆ จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง และจะมีการทำลายระบบประสาท ความจำ การอ่าน ฯลฯ ก็จะเสียไปด้วย ทั้งนั้นมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน 100% ที่จะทำให้ขาว ผอม อาจเป็นการเข้าใจผิดซะมากกว่า"




อธิบดีกรมอนามัย ได้ตำหนิดาราสาวที่ออกมาให้ข่าวว่า ไม่สมควรที่จะสื่อออกไปเลย จะทำให้พวกเด็กมีการเลียนแบบ ซึ่งมันเป็นการเลียนแบบที่ผิด จริงๆ ควรจะสื่อออกไปว่า จะต้องการให้ ขาว ผอม มันเกี่ยวกับ เรื่องการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ มีอารมณ์ที่ดี มีสุขภาพจิตที่ดี และมีการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผิวพรรณดีตามไปด้วย คนที่มีอารมณ์ดีสุขภาพดีจะทำให้ผิวพรรณสวยเปล่งปลั่งไปให้ตัวอยู่แล้ว




"ย้ำอีกทีว่าความแรงของยาไอซ์แรงกว่ายาม้าอยู่ 4-5 เท่า การเสพมากๆ คนที่มีสุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หรือการเสพยาไอซ์ร่วมกับยาอื่นต่างๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยง" อธิบดีกรมอนามัยกล่าวสรุป




ขณะที่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้ไทยกำลังเผชิญปัญหาการหวนกลับมาแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งพยายามดึงดูดกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นวัยอยากรู้อยากลอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงให้เสพยาไอซ์ โดยสร้างความเชื่อปลูกฝังค่านิยมผิดๆ ว่า เป็นยาของคนมีเงิน หรือกลุ่มไฮโซ เสพแล้วจะทำให้ผอม ผิวพรรณดี ไม่มีกลิ่นตัว ทั้งที่จริงแล้วเป็นสารตัวเดียวกับยาบ้า คือเมทแอมเฟตามีน ที่นิยมใช้กันในกลุ่มคนใช้แรงงาน ขับรถระยะเวลานาน เช่น รถสิบล้อ รถส่งของ แต่สร้างภาพเพื่อยกระดับให้มีราคาสูงขึ้น




อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ายาชนิดนี้เมื่อเสพแล้วจะทำให้ไม่เกิดความอยากอาหาร ผู้เสพจึงผอมลง เมื่อเสพติตต่อกันในระยะยาวจะทำให้ร่างกายทรุดโทรม เซลล์ประสาทสมองจะถูกทำลายทำให้ความคิดไม่ว่องไว ไม่เป็นเหตุเป็นผล ความจำไม่ดี หากเสพเกินขนาดจะเกิดพิษเฉียบพลัน ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ เกิดปัญหาหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิตได้ง่ายๆ บางรายอาจเกิดอาการประสาทหลอน เกิดอุบัติเหตุได้ และที่น่าห่วงเมื่อคนเสพยาไอซ์ จะมีอาการเหมือนคนเสพยาบ้า เพราะสารเมทแอมเฟตามีน จะออกฤทธิ์กระตุ้นจิตประสาท เช่น กระฉับกระเฉง อารมณ์ดีผิดปกติ นอนไม่หลับ ไม่อยากกินอาหาร แต่อาการจะรุนแรงกว่า และเกิดอาการทางจิตประสาทได้เร็วกว่ายาบ้า เพราะมีสารเมทแอมเฟตามีนเข้มข้นสูงมากกว่า 90% ขณะที่ยาบ้าเป็นเมทแอมเฟตามีนที่มีส่วนผสมอื่นๆ เพื่อทำให้มีลักษณะเป็นเม็ด




ทั้งนี้ จากข้อมูลของสถาบันธัญญารักษ์ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่เข้ารับการบำบัดสารเมทแอมเฟตามีน เป็นผู้เสพไอซ์อย่างเดียว เสพไอซ์ร่วมกับยาบ้า หรือสารเสพติดอื่นๆ เข้ารับการบำบัดเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% จากเดิมที่เป็นผู้เสพยาบ้าอย่างเดียว ที่น่าห่วงไปกว่านั้นพบว่า ผู้เข้ารับการบำบัดมีอาการทางจิตร่วมด้วย เช่น ประสาทหลอน หวาดระแวงเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยพบเพียง 20% เพิ่มเป็น 45% ในปี 2555




สำหรับการบำบัดรักษายาไอซ์ ยาบ้า หรือสารกระตุ้นประสาททั้งหลาย ยังไม่มียารักษาเฉพาะ จะใช้การรักษาตามอาการ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการซึมเศร้า บางรายรุนแรงถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย จะใช้ยาต้านการซึมเศร้า สิ่งสำคัญคือการฟื้นฟู เนื่องจากสารเมทแอมเฟตามีนจะเข้าไปทำลายเซลล์สมอง เซลล์ประสาท เป็นโรคที่เรียกว่าโรคสมองติดยา ต้องใช้เวลาในการบำบัดรักษาและฟื้นฟูอย่างน้อย 3-4 เดือน และติดตามดูแลช่วยเหลือหลังผ่านการบำบัด 1 ปี เพื่อไม่ให้กลับไปเสพซ้ำอีก โดยกระทรวงสาธารณสุข มีความพร้อมในการบำบัดรักษา แต่ปัญหาที่พบคือผู้เข้ารับการบำบัดจำนวนไม่น้อยที่ออกจากกระบวนการบำบัดกลางคัน ทำให้กลับไปเสพซ้ำ ขณะที่ผู้ผ่านการบำบัดครบระยะเวลา สามารถเลิกเสพยาถาวรถึง 90 %




พร้อมย้ำว่า อยากให้สังคม ครอบครัว เพื่อนฝูงเปิดกว้างรับผู้ที่เสพยา ผู้ติดยา ว่าเป็นผู้ป่วย ช่วยเหลือสนับสนุนในการเข้ารับรักษา รวมทั้งให้โอกาสในการกลับไปใช้ชีวิตในการเรียน การทำงานโดยไม่มีการรังเกียจกีดกัน เพื่อไม่ให้หวนกลับเข้าสู่วงจรเดิมซ้ำอีก โดยผู้ที่หลงผิดและเสพยาไปแล้ว ยังมีวิธีการช่วยทัน สามารถโทรปรึกษาที่สถาบันธัญญารักษ์ สายด่วน 1165 ตลอด 24 ชั่วโมง







**ล้อมกรอบ**




ยาไอซ์ ยานรกราคาแพงที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทนั้น มันมีชื่อทางเคมีว่า เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ที่อยู่ในรูป เมทแอมเฟตามีนในรูปผลึกใส Crystal Methamphetamines Hydrochloride ความบริสุทธิ์สูง สังเคราะห์จากสารอีเฟดรีน (Ephedrine) ชื่อ “ICE” เรียกตามลักษณะที่ปรากฏ คือ ก้อนผลึกใสเหมือนน้ำแข็ง ปัจจุบันจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 






ยานรกนี้มีชื่อหลากไปแล้วแต่แหล่ง ไอซ์ คือชื่อตามท้องถนน ที่เรียกดังนี้เพราะมักปรากฏในรูปแบบของผลึกโปร่งใสคล้ายกระจกหรือก้อน น้ำแข็ง ซึ่งอาจมีสีสันหลากกันไป จะเป็นสีชมพู สีฟ้าหรือเขียว ชื่ออื่นๆของไอซ์ ได้แก่ meth, crystal meth, shabu, glass, krank, tweak และ tina แล้วแต่จะนิยมเรียกในแหล่งนั้นๆ




สำหรับอาการของผู้เสพยานรกนี้ จะทำให้รู้สึกตื่นตัวบดบังความรู้สึกเหนื่อยล้า รู้สึกเคลิ้มฝัน อยู่นิ่งไม่ได้ นอนไม่หลับ ก้าวร้าว และรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป ถ้าเสพในขนาดยาที่สูงจะเพิ่มความต้องการทางเพศ ซึ่งอาจนำไปสู่การสำส่อนทางเพศ และอาจนำไปสู่การติดเชื้อเอดส์ได้




บทลงโทษเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ




ผู้จำหน่ายหรือมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง น้ำหนักไม่เกิน 100 กรัม จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 50,000-500,000 บาท เกิน 100 กรัม ประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต




มีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง โทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท




ผู้เสพเฮโรอีนมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-100,000 บาท




มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-150,000 บาท




ผู้ใดเสพกัญชา จำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท




มีกัญชาไว้ในครอบครอง โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท




ผลิต (ปลูก) กัญชา จำคุกอย่างต่ำ 2 ปี และปรับอย่างต่ำ 20,000-150,000 บาท สารระเหย สารเสพติด ผิดกฎหมาย





Cr:: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ 26 กรกฎาคม 2556

ฆ่าเซลล์มะเร็ง ด้วย Graviola(ทุเรียนน้ำ) หรือ (ทุเรียนเทศ) ฆ่าได้มากกว่าการคีโม Chemo

** ฆ่าเซลล์มะเร็ง ด้วย Graviola(ทุเรียนน้ำ) หรือ (ทุเรียนเทศ) ฆ่าได้มากกว่าการคีโม Chemo

แบ่งปันข้อมูลนี้ก่อนแล้วอ่านในภายหลัง เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น

ด้วยการแบ่งปันเรื่องนี้ให้มากที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้

" แรงกว่า 10,000 เท่า ฆ่าเซลล์มะเร็งได้มากกว่าการคีโม Chemo เสียอีก"

ร่วมแบ่งปันข้อมูล จะสามารถช่วยชีวิตหลายชีวิต
ให้ความหวังและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย

ผลไม้รสเปรี้ยวหรือผลไม้จากต้นไม้ Graviola(ทุเรียนน้ำ) หรือ (ทุเรียนเทศ)
เป็นต้นไม้มหัศจรรย์จากธรรมชาติ
ที่เป็นฆาตกรเซลล์โรคมะเร็งได้10,000 เท่าดีกว่าคีโม Chemo

ทำไมพวกเราจึงไม่รู้ถึงเรื่องนี้ ?
เพราะบริษัทยาขนาดใหญ่ต้องการที่จะทำเงิน
หลังจากการต้องทุ่มเทเวลาอยู่นานหลายปีกับการวิจัย
ที่พยายามที่สังเคราะห์ผลผลิตออกมาเป็นยา
เพื่อนำมาขายโดยเฉพาะ

ดังนั้น ตอนนี้คุณรู้แล้วว่า
คุณสามารถช่วยเหลือเพื่อนที่เจ็บป่วย
โดยการบอกให้พวกเขารู้ว่า
หรือเพียงแค่ดื่มน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเป็นประจำ
เพื่อเป็นการป้องกัน
รสชาติก็ไม่เลวมากนักหลังจากเคยชิน
เพราะเป็นผลไม้ตามธรรมชาติโดยสมบูรณ์
และแน่นอนไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย
หากคุณมีพื้นที่ดินเหลือว่างอยู่ในบ้าน
ให้ลองปลูกสักหนึ่งต้น

ส่วนอื่น ๆ ของต้นไม้นี้ก็มีประโยชน์เช่นกัน

ในครั้งต่อไปถ้าต้องการดื่มน้ำผลไม้ให้ดื่มน้ำผลไม้นี้

มีกี่คนแล้วที่ตายเปล่าไป
ในขณะที่ผู้ผลิตยาทำเงินกว่าพันล้านดอลลาร์
จากการปกปิดความลับที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์
จากต้นไม้ Graviola(ทุเรียนน้ำ)

ต้น Graviola นี้เป็นต้นไม้ที่มีความสูงไม่มากนัก
และถูกเรียกว่า Graviola ในบราซิล Guanabana ในสเปน
และมีชื่อที่รู้จักกันว่า "ทุเรียนเทศ" “ทุเรียนน้ำ”
ในบางแห่งของประเทศไทย
เป็นผลไม้ที่มีขนาดใหญ่มากและมีกรดเล็กน้อย
เยื่อขาวหวานที่กินได้เลย
หรือนำมาผลิตให้แตกต่างกว่าปรกติ
มักจะทำเป็นทำเครื่องดื่มรสผลไม้
เครื่องดื่มผสมรสผลไม้ หรือทำนองเดียวกัน

ความสนใจอย่างมากเกี่ยวกับต้นไม้นี้
เป็นเพราะผลในการต่อต้านเซลล์มะเร็งเป็นอย่างมาก
มันจะมีประสิทธิภาพที่นับจำนวนครั้งได้
ตามเงื่อนไขทางการแพทย์
มันมีผลต่อต้านเซลล์เนื้องอก
แต่ที่น่าสนใจมากที่สุด
ต้นไม้นี้ได้พิสูจน์แล้วว่า
รักษาโรคมะเร็งได้ทุกประเภท

นอกเหนือจากการรักษาโรคมะเร็ง
Graviola มีสเปกตรัม(ขอบเขตการรักษา)กว้างมากเหมือนยาปฏิชีวนะ
สำหรับรักษาการติดเชื้อ ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
มีผลดีกับการกำจัดพยาธิภายในและหนอน
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
และถูกนำมาใช้สำหรับรักษาความผิดปกติจาก
อาการเครียด ซึมเศร้า และโรคประสาท

เคยมีกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ ?
เกี่ยวกับประโยชน์ของต้นไม้ต้นนี้หรือไม่ ?
ทำไม สถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพ
ยังจำเป็นที่จะต้องมีอยู่ต่อไปหรือไม่
สำหรับชาวอเมริกันเช่นคุณ ?

มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเพราะมีเบื้องหลังเกี่ยวกับ ต้น Graviola

ความจริงก็เป็นเรื่องง่าย ๆ
ลึกเข้าไปในป่าดงดิบอเมซอน
การเติบโตของต้นไม้นี้
จะเป็นการปฏิวัติอย่างแท้จริง
ในสิ่งที่ตัวคุณเอง หมอของคุณ
และคนส่วนที่เหลือของโลก
คิดเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็ง
และมีโอกาสอยู่รอด
อนาคตที่ไม่เคยมองเห็น
เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง (มีแนวโน้มดีขึ้น)

การวิจัยแสดงให้เห็นว่า
สารสกัดที่ได้จากจากต้นไม้มหัศจรรย์นี้
ในขณะนี้และที่อาจเป็นไปได้คือ

* โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างปลอดภัย
และมีประสิทธิภาพในการรักษา
เป็นผลผลิตตามธรรมชาติทั้งหมด
ไม่ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง
สูญเสียน้ำหนักและเส้นผมหลุดร่วง

* ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อร้ายแรง

* รู้สึกถึงความแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น
ตลอดช่วงเวลาของการรักษา

* เพิ่มพลังงานชีวิตและปรับปรุง
สภาพร่างกายภายนอกของคุณ

แหล่งที่มาของข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่น่าประหลาดใจ
เพราะข้อมูลมาจากหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตยา
ในสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุด
จากผลการทดสอบผลไม้นี้
ในห้องทดสอบปฏิบัติการมากกว่า 20 แห่ง
ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1970(2513)
ผลการทดสอบเหล่านั้นเผยผลลัพท์
ที่ทำให้นักทดลองต่างต้องตกตะลึง
และมึนงงไปตาม ๆ กันเลย
สารสกัดจากต้นไม้แสดงให้เห็นว่า

* มีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ
ฆ่าเซลล์โรคมะเร็งได้ถึง 12 ชนิด
ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ เต้านม ต่อมลูกหมาก
มะเร็งปอดและมะเร็งตับอ่อน เป็นต้น

* สารประกอบต้นไม้พิสูจน์ให้เห็นว่า
มีฤทธิ์แรงมากกว่า 10,000 เท่า
ในการลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าขึ้น
เหนือกว่ายาเคมีบำบัด Adriamycin
ยารักษาโรคมะเร็งที่ใช้กันอยู่ทั่วไป

* มีอะไรเพิ่มเติมที่แตกต่างจากยาเคมีบำบัด
สารสกัดที่คัดเลือกแล้วจาก Graviola
มีแต่เพียงเซลล์มะเร็งเท่านั้นที่ถูกฆ่า
โดยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ทั่วไปของร่างกาย

คุณสมบัติในการต่อต้านเซลล์มะเร็ง
ที่น่าประหลาดใจนี้จาก Graviola
ทีผ่านการทำการวิจัยอย่างกว้างขวาง

แต่ทำไมพวกเราถึงไม่เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ถ้า Graviola มีประโยชน์จริงตามนี้ ?

เพราะหนึ่งในบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่
ที่มียอดขายต่อปีมากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ
ได้เริ่มต้นค้นหายาสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง
โดยการวิจัยที่มีเป้าหมายรวมศูนย์อยู่ที่ Graviola
มีตำนานบอกเล่ามานานแล้วว่าใช้ในการรักษาโรค
มาจากชาวบ้านป่าดงดิบอเมซอน

ส่วนต่าง ๆ ของ Graviola
รวมทั้งเปลือก ใบ ราก ผลไม้ และเมล็ด
มีการใช้งานมานานหลายศตวรรษแล้ว
โดยหมอยา และคนพื้นเมืองอินเดียนในละตินอเมริกา
ใช้ในการรักษาโรคหัวใจ โรคหืด โรคไข้ข้ออักเสบ
โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ

แต่สิ่งที่พบเห็นและที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือ
มีเอกสารและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
รวมทั้งงานวิจัยเกี่ยวกับ Graviola น้อยมาก
เพราะบริษัทยาได้ทุ่มเทเงินและทรัพยากร
ลงไปในการทดสอบคุณสมบัติการป้องกันรักษามะเร็ง
จาก Graviola เป็นจำนวนมหาศาล
แล้วพบกับเรื่องที่น่าตื่นตะลึงและน่าตกใจว่า
ผลการทดสอบคือ Graviola ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า
จะเป็นระเบิดไดนาโมในการฆ่าโรคมะเร็ง

แต่แล้วเรื่องของ Graviola
ก็เกือบจะสิ้นสุดลงไปหรือหายเงียบไปเลย

บริษัทยาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหนักอีกอย่างหนึ่ง
เกี่ยวกับ Graviola เพราะมันเป็นผลผลิตจากธรรมชาติอย่างแท้จริง
และภายใต้กฎหมายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ทำให้ไม่สามารถจดทะเบียนสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญา
จึงไม่มีทางที่จะทำกำไรอย่างมหาศาลได้จาก Graviola

เรื่องที่มีการเปิดเผยออกมาก็คือ
บริษัทยาได้ลงทุนไปเกือบเจ็ดปี
ในการพยายามที่จะสังเคราะห์บางส่วนของ Graviola
ให้ได้ส่วนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เป็นส่วนผสมหลักในการรักษาป้องกันโรคมะเร็ง
ถ้าสามารถแยกแยะ/สกัดออกมาได้
และผลิตซ้ำแบบจำลองรูปแบบคงเดิมเหมือน Graviola
ที่ให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้เช่นนั้น
บริษัทยาจะสามารถจดสิทธิบัตรได้
และจะทำเงินกลับคืนมาได้อย่างมหาศาล

แต่บริษัทยากลับต้องหัวชนฝา
(ก้าวข้ามปัญหาไม่ได้)
เพราะส่วนผสมตามธรรมชาติดั้งเดิมของ Graviola
ไม่สามารถจำลองแบบสมบูรณ์ได้เลย
ไม่ว่าจะด้วยกระบวนการหรือกรรมวิธีใดๆ ก็ตาม
ทำให้บริษัทยาไม่สามารถปกป้องผลกำไร
หรือแม้แต่ทำเงินกลับคืนบริษัทยา
เป็นล้านๆ เหรียญสหรัฐ
จากการลงทุนอย่างมหาศาลในงานวิจัย

ความฝันหวานที่จะทำกำไรอย่างมหาศาล
ล่องลายหายไปในอากาศ
ผลการทดสอบใน Graviola
นำมาสู่การหยุดชะงักโครงการอย่างชั่วคราว
และเรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือ
บริษัทยามีมติแขวนโครงการทั้งหมดไว้ก่อน
และเลือกที่จะไม่ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการวิจัยครั้งนี้แต่อย่างใด

แต่โชคดีที่มีนักวิทยาศาสตร์นายหนึ่ง
ในทีมวิจัย Graviola ของบริษัทยาแห่งนี้
มีสามัญสำนึกที่ไม่เห็นด้วยกับ
การตัดสินใจที่โหดร้ายผิดมนุษย์มนาของบริษัทยา
เพื่อไม่ให้ผิดต่อจรรยาบรรณวิชาชิพ
เขาจึงได้ติดต่อกับหน่วยงานที่ทุ่มเทให้กับ
การเก็บเกี่ยวพืชที่เป็นยาสมุนไพรได้
จากป่าดงดิบอเมซอน
และเริ่มต้นให้ข้อมูลบางส่วน

ผลกระทบที่รุนแรงอย่างมหัศจรรย์

เมื่อนักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพ
ได้รับการแจ้งเตือนถึงข่าวใหม่เกี่ยวกับ Graviola
พวกเขาเริ่มต้นติดตามผลการวิจัย
ต้นไม้ฆ่าเซลล์มะเร็ง
หลักฐานของความมีประสิทธิผล
ที่น่ามหัศจรรย์ของ Graviola
ทำให้ต้องตกตะลึงกับผลที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
ในด้านความรวดเร็วและดุเด็ดเผ็ดมันของมันเป็นอย่างมาก

สถาบันมะเร็งแห่งชาติดำเนินการวิจัย
ทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกในปี1976
ผลการศึกษาพบว่า Graviola
"ใบและลำต้นพบที่มีประสิทธิภาพในการโจมตีและทำลายเซลล์มะเร็ง"
แต่กลายเป็นเรื่องปกปิดภายใน
รายงานที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่เฉพาะภายในหน่วยงาน
และไม่เคยปล่อยให้ถึงมือประชาชน
(ให้ประชาชนรับทราบเรื่องนี้เลย)

ตั้งแต่ปี1976 งานวิจัยเกี่ยวกับ Graviola
ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
เป็นสารฆ่าเซลล์มะเร็งที่มีศักยภาพอย่างมหาศาล
ผลจากห้องปฏิบัติการทดสอบอิสระจำนวน 20 แห่ง
แม้ว่าจะยังไม่มีการทดสอบแบบคู่ขนาน
ในคลินิกทดลองทางการแพทย์
คือ มีกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลอง
มีการใช้ ยาจริงยาปลอม
ในการให้การรักษาโรคมะเร็ง
แต่กระแสหลักที่เป็นมาตรฐานชี้วัด
ทางการแพทย์ทั่วไปและวารสารต่างๆ
ได้การตัดสินแล้วว่า
ผลการรักษานี้มีคุณค่ามากกว่ายาประเภทอื่น ๆ

ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน
วารสารผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
จากการติดตามผลการศึกษาล่าสุด
ที่ดำเนินการโดย มหาวิทยาลัยคาทอลิกของเกาหลีใต้
ระบุว่าหนึ่งในสารเคมีของ Graviola
ที่ค้นพบคือ การเลือกฆ่าเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่
ที่มากกว่า10,000 เท่าของความแรง
มากกว่ายาเคมีบำบัดที่ใช้กันทั่วไปที่ชื่อว่า Adriamycin

ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดจากรายงานของ
มหาวิทยาลัยคาทอลิกของเกาหลีใต้
ได้รายงานว่า Graviola
แสดงให้เห็นถึงการกำหนดเป้าหมาย
กำจัดเฉพาะเซลล์มะเร็ง
แยกออกจากเซลล์ทั่วไปของร่างกาย
เซลล์ปกติจะไม่ถูกแตะต้อง
ซึ่งแตกต่างจากยาเคมีบำบัดทั่วไป
ที่ไม่แยกแยะเป้าหมายเซลล์แต่อย่างใด
แต่มีผลอย่างแรงต่อเซลล์อื่นๆ ด้วยเช่นกันทั้งหมด
(เช่น กระเพาะอาหาร และเซลล์เส้นผลผม)
ทำให้เกิดการทำลายล้างอย่างมาก
มักจะมีผลข้างเคียงจาก อาการคลื่นไส้และผมร่วงในผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Purdue เมื่อเร็ว ๆ นี้
พบว่าใบจาก Graviola
ฆ่าเซลล์มะเร็งภายในร่างกายมนุษย์ได้ถึงหกประเภท
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีประสิทธิภาพกับ
ต่อมลูกหมาก ตับอ่อน และมะเร็งปอด

เจ็ดปีแห่งความเงียบของเรื่องนี้
ในที่สุดมันก็จะจบลงที่นี่

Cr:: สมาพันธ์แพทย์แผนไทย ภาคใต้

Thursday, July 25, 2013

เคล็ดลับสุขภาพดีที่สำคัญๆ

ส่งต่อให้กับคนที่คุณรัก...นะค่ะ...♥♥♥

เคล็ดลับสุขภาพดีที่สำคัญๆ
1. อย่าทานยากับน้ำเย็น

2. อย่าทานอาหารมื้อหนักๆ หลัง5โมงเย็น
3. ทานน้ำเยอะๆในตอนเช้า และทานน้ำน้อยๆตอนกลางคืน
4. เวลานอนที่ดีที่สุดคือ 4ทุ่ม ถึง ตี4
5. อย่านอนลงทันทีหลังจากรับ ประทานอาหารเสร็จ
6. รับโทรศัพท์ด้วยหูข้างซ้าย ..
7. เมื่อแบตโทรศัพท์เหลือขีดสุดท้าย อย่ารับสายใดๆทั้งสิ้นเพราะ รังสีจะแรงกว่าปกติถึง1000เท่า

Cr.Fon Fuangfon Chujai


ล้มกี่ครั้งกว่าจะสำเร็จ ..

ล้มกี่ครั้งกว่าจะสำเร็จ ..

สิ่งที่คุณวาดภาพไว้ในหัว VS. เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในโลก
บางทีมันก็คนละเรื่องกันเลยทีเดียว

เพราะชีวิตจริง ไม่ใช่ว่าล้มเหลวแล้วจะประสบความสำเร็จไม่ได้
เพราะชีวิตจริง ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ

ปล. ถ้าไม่ล้มเลิกกลางทางไปเสียก่อนนะ ^^




Cr:: Sinthorn
---------------------------------------------

สู้ไม่ถอย

ถอยไม่ท้อ

ท้อไม่ปล่อย

กัดไม่ปล่อย

กอดไม่ปล่อย

คว้ามาให้ได้ ความสำเร็จ

***************

คุณพร้อมหรือยัง?...ที่จะก้าว ขึ้นบันไดสู่ความสำเร็จ!!!

เพียง 4 ชั้น ก้าวไม่หยุด ให้สุดกำลังวังชา พาสำเร็จ

Cr:: ME-TMB
---------------------------------

คนที่ประสบความสำเร็จมักฉกฉวยโอกาสจากความโชคร้าย แต่คนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าจะฉกฉวยในทุกโอกาส

อ่านอีกครั้ง

คนที่ประสบความสำเร็จมักฉกฉวยโอกาสจากความโชคร้าย แต่คนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าจะฉกฉวยในทุกโอกาส

Cr: Liooil Oily

----------------------------------


ข้าราชการคือที่พึ่งของประชาชน :: ประชาชนขาดที่พึ่ง ประเทศจึงวุ่นวาย

ข้าราชการคือที่พึ่งของประชาชน :: ประชาชนขาดที่พึ่ง ประเทศจึงวุ่นวาย
ข้าราชการคือที่พึ่งของประชาชน :: ประชาชนขาดที่พึ่ง ประเทศจึงวุ่นวาย



ข้าราชการคือที่พึ่งของประชาชน :: ประชาชนขาดที่พึ่ง ประเทศจึงวุ่นวาย

อย่ารอ...ให้ศรัทธาต้องจากไป...·.¸¸.·´¯`·.¸¸.



เผยคอร์รัปชันพุ่งเฉียด 3% ของจีดีพี


คอร์รัปชันไทยกร่อนจีดีพีเฉียด 3% หลังผลสำรวจชี้มากกว่า 50% ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพิ่มขึ้นสัดส่วน 25-35% ของมูลค่างาน

นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย จากการสำรวจเมื่อมิ.ย.ที่ผ่านมา จากกลุ่มตัวอย่าง 2,400 ตัวอย่าง พบว่าดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย (Thai CSI) มิ.ย. 2556 เท่ากับ 41 ซึ่งสูงกว่าการสำรวจเมื่อ ธ.ค. 2555 ซึ่งอยู่ที่ 39 ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยในปัจจุบัน เท่ากับ 40 สูงขึ้นจาก 38 และ ดัชนีแนวโน้มสถานการณ์คอร์รัปชันไทย เท่ากับ 42 ไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อสอบถามผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐจะต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ (ใต้โต๊ะ) แก่ข้าราชการ นักการเมืองที่ทุจริตเพื่อให้ได้สัญญาหรือไม่ ส่วนใหญ่ 78% ตอบว่าจ่าย 12% ตอบว่าไม่รู้ และ10% ตอบว่าไม่จ่าย ในจำนวนผู้ที่จ่ายใต้โต๊ะ พบว่าการสำรวจครั้งนี้มีสัดส่วนผู้ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในสัดส่วนที่เพิ่ม ขึ้นต่อมูลค่าสัญญา หรือ สัดส่วนตั้งแต่ 25-35% มีสูงถึง 50.8% ของกลุ่มตัวอย่าง โดยสัดส่วนการจ่ายเงินใต้โต๊ะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการสำรวจปีที่ผ่านมา โดยปี 2555 การจ่ายเงินใต้โต๊ะในสัดส่วนนี้ มีเพียง 38.5% ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น

ทั้งนี้ พฤติกรรมคอร์รัปชันดังกล่าวสร้างความเสียหายต่องบประมาณและจีดีพีประเทศ โดย โดยประมาณการณ์ว่า ปี 2556 การจ่ายใต้โต๊ะในสัดส่วน 25% ของมูลค่าสัญญา จะคิดเป็นเม็ดเงิน 2.35 แสนล้านบาท หรือ สัดส่วน 9.82% ของงบประมาณรายจ่าย และ 1.88% ของจีดีพี ส่วนการจ่ายเงินใต้โต๊ะในสัดส่วน 30% จะมีมูลค่า 2.82 แสนล้านบาท สัดส่วน 11.78% ของงบประมาณ และ 2.25% ของจีดีพี ขณะที่สัดส่วนการจ่ายใต้โต๊ะที่สูงสุดมากกว่า 35% จะมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 3.29 แสนล้านบาท สัดส่วน 13.75% ของงบประมาณรายจ่ายและ 2.63% ของจีดีพี

นางเสาวณีย์ กล่าวถึงการให้คะแนนองค์กรที่แก้ปัญหาการคอร์รัปชัน พบว่า ความเชื่อมั่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และองค์กรอิสระอื่น ได้คะแนน 5.50 จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งเป็นคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน คือเมื่อ ธ.ค. 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งได้คะแนน 5.44 ส่วนความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลกับการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ได้ 4.40 คะแนน ซึ่งสูงขึ้นจาก 4.20 แต่เป็นคะแนนที่ยังถือว่าสอบไม่ผ่าน ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อสมาคมของภาคธุรกิจ ได้คะแนน 5.71 คะแนน สูงขึ้นจาก 5.71คะแนน ความเชื่อมั่นต่อผู้ประกอบการ 5.35 คะแนนสูงขึ้นจาก 5.21 คะแนน ความเชื่อมั่นต่อสื่อมวลชน 5.47 คะแนน สูงขึ้นจาก 5.40 คะแนน ความเชื่อมั่นต่อภาคประชาชน 5.55 คะแนนสูงขึ้นจาก 5.51 คะแนน

เมื่อถามถึงโครงการภาครัฐมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันได้ มากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ 40.6% ตอบว่ามาก 25.7% ปานกลาง 15.3% มากที่สุด 10.4% น้อย 7.8% น้อยมาก 0.2% ไม่มีโอกาส โดยโครงการจำนำข้าว มีโอกาสทุจริตคอร์รัปชันสูงสุด 9.2 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 รองลงมาโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน 9.1 คะแนน โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน 9.0 คะแนน โครงการระดับจังหวัด 8.8 คะแนน โครงการระดับท้องถิ่น 8.9 คะแนน

นางเสาวนีย์ กล่าวอีกว่า เมื่อถามถึงความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในปัจจุบัน เทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เห็นว่าเพิ่มขึ้น 74% เท่าเดิม 20% และ 6% ลดลง

ถามถึงสาเหตุสำคัญของการเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ส่วนใหญ่ 24.3% กฎหมายเปิดโอกาสให้สามารถใช้ดุลพินิจที่เอื้อต่อการทุจริต 16.2% กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก 11.5% ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบ ส่วนรูปแบบการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยที่เกิดขึ้นบ่อย ส่วนใหญ่ 24.9% การให้สินบน ของกำนัลและรางวัลต่างๆ 17.5% การให้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก 11.6% การเอื้อประโยชน์แก่ญาติ พรรคพวก

ที่มา:: กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 25 กรกฎาคม 2556  เผยคอร์รัปชันพุ่งเฉียด3%ของจีดีพี  โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

***********************
จะดีมั๊ย ---- ควรมีรางวัลเป็นการให้งานโครงการรัฐมูลค่าเดียวกับที่เอกชนสามารถจับทุจริตได้ เพื่อให้เอกชนมีแรงจูงใจในการร่วมมือปราบทุจริต จับได้หนึ่งโครงการ ก็จะได้งานรัฐชิ้นใหม่หนึ่งงาน.

นักการเมืองตัวดี ทั้งพวก สส. รัฐมนตรี และ นักการเมืองท้องถิ่น ( เช่น นายกเทศมนตรี )




เมื่อขับรถชน "อย่าหนี" :: ชนแล้วหนี จะเกิดอะไร!?!

ชนแล้วหนี จะเกิดอะไร!?!

ว่ากันว่าฟ้าฝนนั้นห้ามไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการขับขี่ ที่บางทีก็เกิดขึ้นโดยกระทันหัน ไม่ทันได้ตั้งตัว บางคนขับรถไปเฉี่ยวชนคนแล้วชิ่งหนี ด้วยกลัวความผิด ไม่รู้ทำยังไงดี อันนี้แย่นะครับ ขอบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดมากๆ เพราะนอกจากจะเจอโทษหนักในภายหลังแล้วตราบาปในใจยังยากจะลบเลือน หากคุณไม่อยากถูกตราหน้า ขึ้นชื่อว่าเป็น "นักซิ่งตีนผี" รู้จักวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องหลังเกิดอุบัติเหตุเอาไว้ ผ่อนหนักให้เป็นเบา ดีกว่านะครับ

เมื่อขับรถชน "อย่าหนี"
คุณประสบอุบัติเหตุขับรถชน สิ่งแรกที่ต้องทำคือ "ตั้งสติ และ อย่าหนี" เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้น ไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร จึงควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนี นานถึง 15 ปี ถ้าคนที่ท่านขับไปชนนั้นเกิดเสียชีวิต และอาจเจอข้อหาหนักอื่นๆ อีกด้วย แต่ถ้าท่านช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ มอบตัวสู้คดี บางทีคดีอาจยอมความกันได้ และศาลก็ปรานีลดโทษให้ตามความถูกต้องเหมาะสม


**********************
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน
1
เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะต้องทำเครื่องหมายสัญญาณให้เห็นชัดเจน

เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ เช่น วางป้าย สิ่งของ เป็นสัญญาณให้รถคันอื่นสังเกตเห็นได้ เมื่อมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

2
ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้บาดเจ็บ และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว
แต่หากคุณตื่นตกใจ อาจทำอะไรไม่ถูก ควรโทร 1669 หมายเลขรับแจ้งอุบัติเหตุ การเจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งจะให้คำแนะนำในการปฐมพยาบาล และส่งรถพยาบาลมายังจุดเกิดเหตุ ซึ่งบริการของ โทร 1669 เป็นสวัสดิการฟรี ผู้บาดเจ็บไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียกใช้บริการรถพยาบาลแต่อย่างใด

3
แจ้งตำรวจ เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน
ไม่ว่าจะมีผู้บาดเจ็บหรือไม่ ต้องรีบแจ้งตำรวจในท้องที่โดยเร็วที่สุด (โทร. 191) เพื่อตำรวจจะได้ทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ และลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และตำรวจจะเป็นผู้สั่งให้เคลื่อนย้ายรถออกจากสถานที่เกิดเหตุได้

4
แจ้งประกันภัย
เพื่อให้บริษัทประกันภัย ตรวจสอบรายละเอียดของเหตุ และความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วออกเอกสารเคลมให้ เพื่อนำไปติดต่อประเมินราคาและซ่อม กับบริษัทประกัน โดยหลักการประกันภัย บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งของยานพาหนะและบุคคลภายนอก รวมถึงคดีทางแพ่ง ภายในวงเงินที่ระบุไว้ในสัญญา

5
เตรียมเอกสาร
เช่น สำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถคันที่เกิดเหตุ สำเนาบัตรประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดที่ออกโดยราชการ กรณีเรียกร้องค่าเสียหาย


นี่คือข้อควรรู้เบื้องต้นในการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และใช้รถใช้ถนนอย่างมีสติ มีน้ำใจ จะช่วยให้คุณปลอดภัยไกลจากอุบัติเหตุได้ดีที่สุดครับ

******************
ชนแล้วหนี จะเกิดอะไร!?!
Cr:: คลังเหล็กไทย


ปรับตัว * รวยสุข + รวยทรัพย์

" คนจนมองสั้น คนมั่งคั่งมองยาว "

บางคนเล่นหุ้นรายวัน มีความสุขเฮฮาวันหุ้นบวก และหงอยเหงาเศร้าซึมวันหุ้นร่วง
สุขวันกำไร เศร้าวันขาดทุน !

จริง ๆ แล้วความมั่งคั่งกับความสุขมาคู่กัน ให้มองยาวๆ

เป้าจริง ๆ คือผลตอบแทนตลอดปี หรือ สิบปีข้างหน้า

หากมองสั้นๆ ปีนึงดีใจ 183 วัน เศร้าใจ 182 วัน เฮๆ เศร้าๆ

แต่หากมองยาว ๆ มีสิทธิ์ได้สุขใจทุกวัน 365 วัน ...

เพราะทุกวันคือวันเดินสู่เป้าหมายที่ต้องไปถึง

Cr: Piyaphan make billion
********************
***********************

เป้าหมายมีไว้พุ่งชน สู้ ๆ สู้ โว้ย

หันมามองยาวแบบยาว ๆ จะได้รวยยาว ๆ * คนมั่งคั่งมองยาว

" คนจนมองสั้น คนมั่งคั่งมองยาว "

"จื่อ" (ภาษาอีสาน ภาษาอุบล )

เสนอคำว่า "จื่อ" หมายความว่า จำ/จดจำ/เข็ด ซึ่งในแต่ละสถานการณ์จะให้ความหมายที่ต่างกัน คือ เมื่อกล่าวถึงความทรงจำ หรือเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วจะใช้คำว่า "จื่อได่" = จำได้ / "จื่อได่บ่" = จำได้ไหม

แต่ถ้าในสถานการณ์ที่ใช้เพื่อสั่งสอน ว่ากล่าว หรือตักเตือน จะใช้คำว่า..
"จื่อบ่" = เข็ดไหม/จะจำไหม/จะเชื่อฟังไหม
"จื่อไว้" = จำไว้/จำให้ขึ้นใจ (ทีหลังอย่าทำอีก)

หรือในสถานการณ์ที่ต้องการประชดประชัน มักจะใช้คำว่า "มึงอย่าจื่อ/อย่าสิจื่อ/มึงสิจื่อบ่" ให้ความหมายประมาณว่า จะเข็ดไหม จะจำไหม อย่าคิดทำอีกเด็ดขาด หรือเป็นการพูดเยาะเย้ยสมน้ำหน้าที่ไม่ยอมเชื่อฟัง

ตัวอย่างเช่น "จื่อใส่หัวสมองมึงไว้ดีๆ อย่าสิเฮ็ดอีกจักเทื่อ"
(แปล : จำใส่กระโหลกเอาไว้ให้ดี อย่าคิดที่จะทำอีกเป็นอันขาด)

//แอดมิน 2
ล า ว อุ บ ล



ประสบความสำรเร็จด้วยการลอกเลียนแบบ :: กรณีศึกษา : Copy the Best ?

» กรณีศึกษา : Copy the Best ?

เวลาที่เราได้ยินได้ฟังคนอื่นประสบความสำเร็จด้วยวิธีการดี ๆ ก็อยากประสบความสำเร็จตาม โดยการลอกเลียนแบบ ใช้วิธีการเดียวกัน

มีคางคกตัวหนึ่งต้องการข้ามถนนตอนกลางคืนให้เก่งเหมือนกระต่ายที่ไม่เคยพลาดโดนรถทับตาย จึงไปปรึกษา “กระต่าย ๆ ช่วยสอนเราข้ามถนนตอนกลางคืนหน่อยสิ”

กระต่ายบอกว่า “ได้สิ จำไว้ว่า เวลาข้ามถ้าเห็นแสงไฟสองดวงส่องมา ให้กระโดดไปอยู่ระหว่างไฟสองดวงนั้น แล้วก้มหัวให้ต่ำลง พอแสงไฟผ่านไป ก็กระโดดต่อไปได้ ง่ายนิดเดียว คืนนี้ฉันจะข้ามให้ดูก่อน”

ว่าแล้วคืนนั้น กระต่ายกับคางคกก็พากันไปที่ถนน ทันทีที่เห็นแสงไฟสองดวงมา กระต่ายก็กระโดดเข้าไปอยู่ระหว่างแสงไฟสองดวงนั้น ก้มหัวลง แสงไฟผ่านหัวไป กระต่ายก็กระโดดอีกครั้ง จนข้ามถนนไปอีกฝั่งได้สำเร็จ

พอถึงตาคางคกบ้าง คางคกกระโดดไปกลางถนน เห็นแสงไฟสองดวงพุ่งเข้ามาก็ก้มหัวต่ำลง อย่างที่กระต่ายสอน พอแสงไฟเข้ามาใกล้ก็มีเสียงดัง “แบะ!!” แล้วก็เลยไป

ปรากฏว่า คางคกแบนติดพื้นถนน กระต่ายเห็นเช่นนั้นถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าไปมา

::::::::::::::::::


เวลาที่เราได้ยินได้ฟังคนอื่นประสบความสำเร็จด้วยวิธีการดี ๆ เราเองก็อยากประสบความสำเร็จตาม และมักจะลอกเลียนแบบ ใช้วิธีการเดียวกัน โดยไม่ทันศึกษาว่า วิธีการที่ดีนั้น ใช่ว่าจะเหมาะสมกับเวลา สภาพ และสถานะของเราในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน

การลอกเลียนแบบวิธีการดี ๆ ของคู่แข่ง ใช่ว่าจะทำได้สำเร็จ หรือแม้แต่การนำรูปแบบการจัดการที่ประสบความสำเร็จของการทำธุรกิจภายในประเทศไปใช้กับตลาดในต่างประเทศที่ต้องการจะเปิดใหม่

Consumer Behavior พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะศึกษาเจาะลึกให้ถ่องแท้เสียก่อน

นักธุรกิจไทยหลายรายมักจะไม่ศึกษาตัวสินค้าที่เหมาะสมกับตลาดที่จะไป คิดถึงแต่ยอดขายและผลกำไร มักจะส่งสินค้าที่มีอยู่แล้วไปขาย ตลอดจนวิธีการใช้จ่ายในการทำโฆษณาที่เคยทำสำเร็จ คุ้นเคยกับแนวทางเดิม ๆ นำไปใช้ในต่างถิ่น คิดว่าเมื่อผิดพลาดแล้วค่อยมาแก้ไขในภายหลัง

ซึ่งตรงกันข้ามกับ case study ที่ได้เรียนรู้จาก สารคดีของ NHK ต่อไปนี้

:::::::::::::::::


• ภาค 1 :

บริษัท แอลกอฮอล์ ทำความสะอาดมือ รายนี้ไม่ทำตามคางคกที่ลอกแบบการข้ามถนนของกระต่ายแม้แต่น้อย

ผู้จัดการฝ่ายส่งออกคนหนึ่งของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอลล์ฆ่าเชื้อ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับหนึ่งในตลาดญี่ปุ่น และตลาดโลก ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บุกเบิกตลาดแอฟริกา

โดยกำหนดให้ไปเปิดตลาดในประเทศยูกันดาเป็นประเทศแรก ด้วยการศึกษาสภาพเศรษฐกิจเบื้องต้นว่า มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 7% ติดต่อกันมาหลายปี

ความหวังของบริษัทจึงอยากเห็นแอลกอฮอล์บรรจุขวดแบบฝากด ได้วางตลาดตามสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศนำร่องนี้ เพื่อขยายการขายไปสู่ทุก ๆ ประเทศในทวีปแอฟริกา

เบื้องต้นผู้จัดการได้เตรียมสินค้าตัวอย่างไปแจกตามโรงพยาบาล สาธารณสุข ศูนย์ดูแลเด็กและเยาวชน ฯลฯ

เปิดสัมมนาย่อม ๆ ให้กับเหล่าแพทย์พยาบาล ให้ความรู้และเปรียบเทียบสถิติ โรคท้องร่วงเป็นสาเหตุสำคัญของการขยายตัวของเชื้อโรค อันเกิดจากความไม่ใส่ใจในสุขอนามัยของสถานที่ต่าง ๆ

จากพฤติกรรมการกินโดยการใช้มือเปล่า ระบบน้ำประปาที่ยังด้อยคุณภาพ ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆที่ไม่สะอาด ตัวเลขเด็กเล็กที่ต้องเสียชีวิตในแต่ละปีเพิ่มขึ้นทุกปี

เน้นสร้างความตื่นกลัวและตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องใช้แอลกอฮอล์ล้างมือล้างอุปกรณ์ต่างๆได้ระดับหนึ่ง ผู้จัดการยังไม่ลืมที่จะแจกตัวอย่างเป็นโหลๆให้แต่ละสถานที่ได้ทดลองใช้

:::::::::::::::::


• ภาค 2 :

เวลาผ่านไปสองเดือน ผู้จัดการกลับมาติดตามผลการใช้ด้วยความใจเย็น ยังไม่ได้คำนึงถึงยอดสั่งซื้อ แต่จัดสัมมนาอีกรอบกับแต่ละสถานที่ พร้อมเก็บข้อมูล ซึ่งทุก ๆ ที่ต่างก็ยินดี และชื่นชอบผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคนี้ เพราะอัตราการขยายตัวของโรคท้องร่วงลดลงอย่างมาก

ผู้จัดการแจกผลิตภัณฑ์ให้ลองใช้ต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์แล้วจึงบินกลับประเทศญี่ปุ่น ด้วยคาดหวังว่ายอดสั่งซื้อจะตามมา

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ผู้จัดการไม่ได้รับยอดสั่งซื้อจากสถานที่ใดเลยแม้แต่ที่เดียว จึงบินกลับไปอีกครั้ง สอบถามความพึงพอใจซ้ำอีกรอบ ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดี แต่ยังไม่ซื้อ

จนในที่สุด ผู้จัดการก็ค้นพบความจริงว่า เพราะราคาที่แพง ทำให้ไม่มีสถานที่ใดอนุมัติให้สั่งซื้อแอลกอฮอล์นำเข้าจากบริษัทแม่ในญี่ปุ่นเลย

ผู้จัดการหนักใจแต่ก็ไม่ย่อท้อ ไม่ยอมกลับประเทศ แต่ยังคงใช้ชีวิตศึกษาพฤติกรรมของชาวบ้านในยูกันดาอีกระยะหนึ่ง คิดหาวิธีที่จะทำให้ขายได้ด้วยการทำให้ราคาต่ำลง

::::::::::::::::::


• ภาค 3 :

เวลาล่วงเลยไปหลายสัปดาห์ วัน ๆ ก็เดินไปตามที่ต่าง ๆ สังเกตเห็นชาวบ้านทำไร่อ้อยกันทั่วไป จึงได้สอบถามว่า ปลูกอ้อยกันเยอะ ๆ ไปทำอะไร ได้ความว่า ผู้คนที่นี่ชอบดื่มเหล้า ดื่มกันทุกเทศกาล

ด้วยความที่เป็นคนมุ่งมั่นไม่ยอมจำนนต่ออุปสรรคง่าย ๆ และคิดได้ว่า ในเหล้าต้องมีแอลกอฮอล์ เหล้าฆ่าเชื้อโรคได้ ราคาเหล้าที่นี่ก็ไม่แพง ตรรกะที่ฉุกคิดได้โดยบังเอิญนี้ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาอีกรอบ จึงติดต่อหาห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ตามมหาวิทยาลัย ติดต่อให้นำอ้อยมาสกัดเป็นแอลกอฮอล์

ด้วยความหวังอันสูงสุด เขาได้นำตัวอย่างกลับมาที่บริษัทแม่ เข้าห้องแล็ป ดูผลการฆ่าเชื้อของแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากอ้อย

โชคดีมากที่ผลออกมาไม่ต่างจากแอลกอฮอล์ที่ผลิตในญี่ปุ่นเลย เมื่อนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมใหญ่ ทุกคนในที่ประชุมต่างปรบมือกันด้วยความยินดี ต้นทุนต่ำลงจากการผลิตเดิมถึงห้าเท่าตัว ส่งผลให้ราคาต่ำลงแต่กลับทำอัตรากำไรได้มากขึ้น

คราวนี้ผู้จัดการบินกลับไปที่ประเทศยูกันดาอีกรอบ และทำการขายสำเร็จได้สมดั่งใจหมาย ซึ่งถือเป็นการขายแบบ Industrial Use ขายให้กับองค์กร โรงพยาบาล ศูนย์ดูแลเด็ก ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน มหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการ

เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้จัดการจึงจำเป็นต้องตั้งโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ในประเทศยูกันดา เพื่อขายในประเทศและวางโครงการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วทั้งทวีปแอฟริกา

จากนั้นยังคิดต่อที่จะขายในตลาด Consumer Use ให้กับผู้คนตามบ้านเรือนทั่วไปโดยการปรับขายเป็นซองเล็กหลายขนาด ทำราคาให้ถูกกว่าน้ำผลไม้กล่องที่ซื้อหาได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต

::::::::::::::::::


สารคดีที่ได้โอกาสชมทาง NHK ของญี่ปุ่น จบเพียงเท่านี้ แต่เข้าใจว่า การค้นพบวัตถุดิบที่ลดต้นทุนได้ถึงห้าเท่าตัว น่าจะเป็นนวัตกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่จะสร้างผลกำไรให้กับบริษัทแม่ที่ผลิตขายให้กับตลาดญี่ปุ่นและตลาดโลกอย่างมหาศาล

เพียงแค่ปรับตัว ช่างสังเกต อดทน ไม่ยอมแพ้ ของผู้จัดการท่านนี้ อีกทั้งยังไม่ใช้วิธีการขายการตลาดอย่างที่ทำในตลาดญี่ปุ่น หรือตัวอย่างความสำเร็จในการเปิดตลาดประเทศอื่น ๆ ก่อนหน้านี้

::::::::::::::::::


กลับมาที่กระต่ายที่ได้แต่ถอนใจส่ายหัวให้กับเจ้าคางคกตัวแบนบนถนน สุดท้ายจึงพูดออกมาว่า

“เจ้าคางคกเอ๊ย โชคร้ายจริง ๆ ลองครั้งแรกก็เจอะ รถตุ๊กตุ๊ก ที่ไฟดวงกลางดันเสียซะนี่ เฮ่อ”

การ Copy the Best ของตนเองจึงไม่ใช่สูตรสำเร็จเสมอไปอย่างแน่นอนหรือการลอกเลียนแบบคู่แข่ง Copy the Best อาจจะเป็นการ Copy the Worst ก็เป็นได้

เปรียบเทียบเรื่องเล่าสองเรื่องนี้แล้ว ทำให้อดคิดถึงการจัดอบรมพนักงานของฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งอยากเห็นการอบรมในภาคสนามให้มากกว่าแบบครูพูดนักเรียนฟัง

จะได้ไม่ต้องแบนแต๊ดแต๋อย่างเจ้าคางคก...ที่ทำเป็นแต่ “Copy the Best”

::::::::::::::::::

Credit : บุญชัย ปัณฑุรอัมพร | CEO Blogs - กรุงเทพธุรกิจ

*************************
แต่สำหรับในวงการวิชาการ นั้น การลอกงานคนอื่น ถือเป็นความผิดร้ายแรงขั้นปาราชิก .. โปรดระวัง




การนั่งเครื่องบิน:: ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ…

ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ…

จากเหตุการณ์เครื่องบินเอเชียน่าตกที่ซานฟรานซิสโกที่ผ่านมา…

1. เครื่องบินตก หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ในเที่ยวบินของท่าน

2. ท่านทราบหรือไม่ว่า Take off และ Landing เป็นช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด เรียกว่า Critical 11 Minutes  (3 นาทีในระหว่างการนำเครื่องขึ้น และ 8 นาทีในระหว่างการนำเครื่องลง)

3. เหตุฉุกเฉิน ไม่ได้มีแค่ “เหตุการณ์ฉุกเฉินที่รู้ล่วงหน้า” หรือ Planned Emergency และสามารถเตรียมความพร้อมให้ผู้โดยสารก่อนเครื่องลงฉุกเฉินได้ แต่ยังมี Unplanned Emergency ที่เราไม่ได้คาดคิด และไม่มีเวลาเตรียมตัวอีกด้วย

4. ด้วยสาเหตุที่เราต้องมีการเตรียมตัวสำหรับ Unplanned Emergency ในทุกๆครั้งก่อนการนำเครื่องขึ้นและลง เราจึงต้องขอความร่วมมือให้ท่านผู้โดยสาร รัดเข็มขัดนิรภัย ปรับพนักที่นั่งให้อยู่ในระดับตรง เก็บโต๊ะหน้าที่นั่ง เปิดม่านหน้าต่าง เก็บกระเป๋าของท่านไว้บนที่เก็บของ หรือใต้ที่นั่งด้านหน้า แทนการวางไว้บนตัก (อย่างที่ท่านๆชอบทำกัน) และ ปิดโทรศัพท์ และ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด

ทำไม? เป็นคำพูดที่ท่านผู้โดยสารมักจะถาม พร้อมกับทำหน้าหงุดหงิด กับการจู้จี้ของลูกเรือ

ทำไมนั่นเหรอคะ...นั่นก็เป็นเพราะ

• “การรัดเข็มขัดนิรภัย” จะทำให้ตัวท่านไม่เลื่อนไหลลงไปกองที่พื้น เนื่องจากแรงกระแทกตอนเครื่องแตะพื้น ลองคิดดูว่า หากท่านอยู่บนเที่ยวบินที่ตกนี้ แล้วท่านไม่รัดเข็มขัด หรือ รัดไม่แน่น ตัวท่านก็จะไหลลงไปกองที่พื้น กระแทกขาเก้าอี้ของคนด้านหน้า หน้าฟาดไปที่กระเป๋าที่นั่งด้านหน้า และเมื่อเครื่องบินจอดสนิท ก็จะมีแรงเหวี่ยงตัวท่านกลับมาด้านหลัง ที่เรียกกันว่า “Second Impact” ซึ่งอาจทำให้หลังของท่านหัก และก่อนที่ท่านจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาที่เก้าอี้ ท่านก็อาจจะถูกคนด้านข้างปีน เหยียบตัวท่านหนีตายออกไป ในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างพยายามเอาตัวรอด

• “การเก็บโต๊ะหน้าที่นั่ง” จะทำให้ตัวท่านไม่อัดกระแทกเข้าไปกับโต๊ะด้านหน้า ซึ่งอาจเป็นอันตรายกับชีวิตของท่าน และนอกจากนั้นยังช่วยให้ท่านมีพื้นที่ในการหนีออกมาจากที่นั่งของท่านได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

• “การปรับพนักเก้าอี้ให้อยู่ในระดับตรง” ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้โดยสารด้านหลังมีพื้นที่ในการหนีเช่นของท่านแล้ว การนั่งหลังตรง ก็เป็นท่าเตรียมพร้อมหาเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน

• “การเก็บกระเป๋าของท่านให้เข้าที่ในช่วงเวลานำเครื่องขึ้นและลง” อาจจะทำให้ท่านออกจากเครื่องได้ช้าลง หรือแทรกตัวกับผู้โดยสารท่านอื่นได้ช้าลงไปอีก 1 นาที แต่หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆ กระเป๋าที่ท่านกอดไว้ จุดนั้นมันจะไม่รักดีอยู่บนตักท่านหรอกค่ะ มันจะกระจัดกระจาย ลอยละล่องไปในอากาศ และตกลงบนศีรษะของท่าน หรือผู้โดยสารข้างเคียง ซึ่งทำให้เกิดอาการบาดเจ็บและเป็นเหตุให้ตัวท่านเองหรือผู้โดยสารท่านอื่นถึงแก่ชีวิตได้ อีกทั้งกระเป๋าของท่านยังกีดขวางเส้นทางการหนีของท่านอีกด้วย คราวนี้คงได้มีคนสะดุดล้ม ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่สะดุดกระเป๋าท่าน

• “การเปิดม่านหน้าต่าง” ใช่ค่ะ มันไม่ได้มีผลอะไรกับแรงกระแทก ไม่ได้ทำอะไรให้ท่านบาดเจ็บ หรือกีดขวางทางหนีของท่าน แต่การเปิดม่านหน้าต่าง นอกจะท่านจะได้ชมวิวสวยๆแล้ว ท่านยังเป็นหูเป็นตา ช่วยลูกเรือสอดส่องดูภายนอกได้ว่า มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เราไม่เถียงค่ะว่าท่านไม่ใช่ช่าง จะรู้ได้ไงว่ามันปกติหรือผิดปกติ แต่ถ้ามันถึงขั้นเครื่องยนต์ไฟไหม้ ท่านก็ไม่น่าจะคิดว่าปกติจริงมั้ยคะ บนเครื่องมีผู้โดยสารเป็นร้อย แต่มีลูกเรือแค่หลักสิบ ช่วยกันดูเถอะค่ะ อย่างน้อยก็ได้ดูวิวสวยๆนะคะ

• "การปิดไฟห้องโดยสาร" (รวมถึงการเปิดม่านหน้าต่าง) ช่วยให้ผู้โดยสารปรับสภาพสายตาให้มีสภาพเดียวกับสภาพแวดล้อมภายนอก โดยเฉพาะตอนร่อนลงและบินขึ้นตอนกลางคืน หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ก็จะช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการปรับสายตาและหนีภัยค่ะ

• และสุดท้าย “การปิดโทรศัพท์” และ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” จากเหตุการณ์นี้น่าจะทำให้ท่านตระหนักถึงความจำเป็นของระบบสื่อสาร ระบบนำร่อง และระบบอื่นๆของเครื่องบินแล้วนะคะ ว่ามันจำเป็นมากขนาดไหน แน่นอนว่านักบินมีชั่วโมงบิน ประสบการณ์ และเก่งกันทุกคน แต่จะดีกว่ามั้ยคะ ถ้าจะไม่มีอะไรไปกวนระบบเหล่านั้นเลยในระหว่างการนำเครื่องขึ้น และลง

ไม่ฟังเพลง ไม่เล่นเกมส์ แค่สิบกว่านาที ดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลังว่า “ไม่น่าเลย…” จริงๆ จะดีกว่านะคะ

“หน้าที่หลัก” ของเราคือ การพาท่านผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทางของท่านอย่างปลอดภัย การเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มนั้นเป็นเพียง “หน้าที่รอง” ที่จะทำให้การเดินทางของท่านสะดวกสบายตลอดการเดินทางเท่านั้น ดังนั้นเราจึงขอความกรุณาท่านผู้โดยสารทุกท่าน เข้าใจและปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับการบินที่ลูกเรืออย่างเราขอความร่วมมือด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

แมงปอ (อดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบิน Japan Airlines และ หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบิน Thai Smile ในปัจจุบัน)

-- ขอบคุณ @Parawan Khamkosit สำหรับบทความดีๆที่สร้างความเข้าใจให้กับสาธารณชนได้อย่างดีค่ะ --

Cabin Crew Club : สมาคมลูกเรือไทย


เวลาเปลี่ยน สรรพสิ่งเปลี่ยน แม้กระทั่ง 'ใจคน'

เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน อะไรหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป
เมื่อก่อนเพื่อนไปไหนเราไปกัน ไม่ต้องมานั่งคิดอะไรมากมาย

เมื่อก่อนชีวิตไม่ผูกมัด อยากทำอะไรก็ทำ
ยิ่งโตภาระและความรับผิดชอบยิ่งสูงขึ้น

รู้สึกเพื่อนหลายคนและรวมทั้งเราเองด้วยรักตัวเองมากขึ้น
แต่รักคนอื่นน้อยลง
ยิ่งเราโตเรายิ่งมั่นใจในตนเองมากขึ้น
จนอาจลืมไปว่าเรามีวันนี้ได้ก็เพราะใคร ใช่เพราะเราคนเดียวที่ไหน

ยิ่งโตเรายิ่งวิ่งตามความฝัน
จนลืมมองเส้นทางที่วิ่งผ่านมาว่ามีใครร่วมทางวิ่งกับเราบ้าง

ถ้าเรายิ่งโตสติและปัญญาของเรายิ่งโตตามไปด้วย คงจะดีไม่น้อย เพราะบางทีรู้สึกว่ายิ่งโตก็เหมือนยิ่งทุกข์ ยิ่งต้องมีปัญหาต่างๆให้คอยแก้ไขไม่เว้นวัน

Cr:: T Slur

..


อึ้ง!ไทยติด 3 ของโลก 'ประเทศที่มีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนน'

องค์การอนามัยโลกเผยรายงานสถานะประเทศ 2013 ไทยมีอัตราส่วนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นที่ 3 ของโลก มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฉลี่ยทุกๆ 1 ชั่วโมงมีคนเจ็บ-ตาย 2 คน...

เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2556 นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือแห่งองค์การอนามัยโลกด้านการป้องกันอุบัติเหตุ เปิดเผยรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ.2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก พบอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก เสียชีวิตถึง 38.1 คนต่อประชากร 1 แสนคน รองจากประเทศเกาะนีอูเอ และสาธารณรัฐโดมินิกัน

นพ.วิทยา กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน รวมจากทุกพาหนะและคนเดินเท้าแล้วถึง 13,766 คน จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2554  (ปี ค.ศ.2010) เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “แต่จากการประมาณการการเสียชีวิตจากอุบัติภัยบนท้องถนนของประเทศไทย โดยองค์การอนามัยโลก ในปี ค.ศ. 2010 สูงถึง 26,312 คน คิดเป็นอัตรา 38.1 ต่อประชากร 100,000 คน”

นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของแต่ละประเทศ ด้วยบรรทัดฐานเดียวกันคือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อประชากร 1 แสนคน แล้วกลายเป็นว่า ไทยมีอัตราผู้เสียชีวิต 38.1 คนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน นับเป็นอันดับ 3 รองจากอันดับ 1 คือ นีอูเอ (Niue) มีอัตราผู้เสียชีวิต 68.3 คน ต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน อันดับ 2  คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 คนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน

โดยเมื่อวันที่ 14 มีนาคม องค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยในรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ. 2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) ภาพรวมของการสำรวจจาก 182 ประเทศ มี 6 ประเทศที่ลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้อย่างน่าชื่นชม ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอังกฤษ ส่วนที่เหลืออีก 176 ประเทศ มี 88 ประเทศที่ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้จริง ขณะที่ 87 ประเทศ อีก 1 ประเทศไม่ระบุ มีสถิติผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ในรายงานยังบอกว่า 3 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตเป็นคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 15-29 ปี  ถ้าแต่ละประเทศไม่ป้องกัน การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจะขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ของการเสียชีวิตของคนทั้งโลกภายในปี พ.ศ. 2573

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา องค์กรอนามัยโลก ร่วมกับศูนย์ความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกกับโรงพยาบาลขอนแก่น แถลงผลการรายงานสถานะความปลอดภัยทางถนนโลก ปี 2556 และจัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในหัวข้อ ทำไมประเทศไทยถึงมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุอยู่อันดับต้นของโลกเพื่อหา แนวทางแก้ไขและแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะในการบรรเทาผู้เสียจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่ง ดร.นิมา อัสการี รักษาการผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า

รายงานความปลอดภัยทางถนนของโลกปี 2556 (Global Stabal Report on Road 2013) พบอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีผู้เสียชีวิต 38.1 รายต่อประชากร 1 แสนราย รองจากอันดับ 1 แสนราย อันดับ 2 คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 รายต่อประชากร 1 แสนราย และองค์การอนามัยโลกกำลังเป็นห่วงในเรื่องนี้ เพราะจากตัวเลขยานพาหนะที่จดทะเบียนทั่วโลกมีมากขึ้นร้อยละ 15 และในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากอับุติเหตุเป็น 1.24 ล้านราย

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ระดับต่ำถึง ระดับปานกลาง มียอดผู้เสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 33 บางประเทศสูงถึงร้อยละ 75 และจากการสำรวจระหว่างปี 2550-2553 ใน 182 ประเทศ มีประเทศออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอังกฤษ ที่สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้อย่างน่าชื่นชม

อย่างไรก็ตาม นพ.วิทยา กล่าวย้ำว่า เป็นที่น่าตกใจที่ข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2554 มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน รวมจากทุกพาหนะและคนเดินเท้าแล้ว แค่ 13,766 คน ต่างจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ที่ทำการประเมินในปีเดียวกัน มีจำนวนสูงถึง 26,312 ราย คิดเป็นอัตรา 38.1 ต่อประชากร 1 แสนราย เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตัวเลขที่ต่างกันอาจเกิดจากวิธีการเก็บข้อมูลที่ต่างกัน แต่ก็มีความหมายเดียวกันว่า ปัญหาเรื่องอุบัติเหตุทางท้องถนนของประเทศไทย ถือว่าค่อนข้างวิกฤติมีคนเจ็บ คนตาย เฉลี่ยชั่วโมงละ 2คน และทุกคนมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเหมือนกัน

ที่มา:: ไทยรัฐทีวี วันพฤหัสบดีที่ี่ 25 กค. 2556


...