Wednesday, February 29, 2012

เปิดมหกรรมรถคันแรก คลังตั้งเป้ายอดขายทั่วประเทศกว่า 1 ล้านคัน

เปิดมหกรรมรถคันแรก คลังตั้งเป้ายอดขายทั่วประเทศกว่า 1 ล้านคัน

ปลัดคลังเปิดงานมหกรรมรถคันแรก ครั้งที่ 1 เพื่อกระตุ้นยอดซื้อรถยนต์หลังน้ำท่วม คาดปี 55 มียอดขายรถยนต์ทั่วประเทศกว่า 1 ล้านคัน และโรงงานจะผลิตรถยนต์ได้ประมาณ 1.8 ล้านคันหลังเศรษฐกิจเร่ิมดีขึ้น

เมื่อวันที่ 29 ก.พ. นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานมหกรรมรถคันแรก ครั้งที่ 1 หรือออโต้โชว์ไทยแลนด์ 2012 ซ่ึงจัดขึ้นหลังจากผ่านพ้นวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นยอดซื้อรถยนต์ว่า นอกจากค่ายรถยนต์ต่างๆ จะนำรถประหยัดพลังงานมาร่วมออกบูธ ยังมีรถยนต์มือสองจากเต็นท์ต่างๆ คุณภาพดีผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มาร่วมออกงานด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นโรงงานรถยนต์จะผลิตได้ประมาณ 1.8 ล้านคันในปีนี้ และน่าจะมียอดซื้อรถยนต์ในประเทศมากกว่า 1 ล้านคัน ถือเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี

ส่วนนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาลสำหรับการซื้อรถขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี จะได้รับสิทธิ์การคืนภาษีจากกรมสรรพสามิต 100,000 บาทต่อคัน รัฐบาลได้ปลดล็อกเงื่อนไขการโอนเปลี่ยนมือ 5 ปีแรกสำหรับการเสียชีวิต ซึ่งได้เพิ่มแรงจูงใจในการซื้อรถยนต์ รวมถึงรถยนต์ถูกน้ำท่วม เมื่อเจ้าของต้องการซื้อรถยนต์คันใหม่สามารถเข้าโครงการดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นการผ่อนปรนกฎเกณฑ์มากแล้ว คงไม่ต้องปรับปรุงเงื่อนไขเพิ่มเติม

ด้านนายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น แต่ยังกังวลปัญหาราคาน้ำมันแพงที่สูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะเคยเจอวิกฤติเศรษฐกิจราคาน้ำมันเกือบ 50 บาทต่อลิตร กระทบยอดซื้อรถยนต์อย่างมาก ดังนั้น หากวิกฤติน้ำมันครั้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงถึง 45 บาทต่อลิตร จะกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ใหม่ของประชาชนแน่นอน แต่ธนาคารยังตั้งเป้าสินเชื่อรถยนต์เช่าซื้อ 1.2 แสนคันต่อปี ยอดสินเชื่อ 60,000 ล้านบาท

ที่มา: เปิดมหกรรมรถคันแรก คลังตั้งเป้ายอดขายทั่วประเทศกว่า 1 ล้านคัน ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555

'ไอบีเอ็ม'ประกาศปลดพนักงานในอเมริกาเหนือมากกว่า 1,000 ตำแหน่ง

"ไอบีเอ็ม" ผู้ให้บริการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศปลดพนักงานออกมากกว่า 1,000 ตำแหน่งในสหรัฐฯและแคนาดา คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 0.2 ของพนักงานไอบีเอ็มทั้งหมด 433,362 คนทั่วโลก...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 29 ก.พ.ว่า บริษัท อินเตอร์เนชันแนล บิสเนส แมชชีนส์ คอร์ป หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ไอบีเอ็ม" ผู้ให้บริการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศปลดพนักงานออกมากกว่า 1,000 ตำแหน่งในสหรัฐฯ และแคนาดา

รายงานข่าวระบุว่า การปลดพนักงานของไอบีเอ็มในทวีปอเมริกาเหนือในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างองค์กรของทางบริษัท เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดไอทีได้ดีขึ้น และจำนวนพนักงานที่ถูกปลดออกในครั้งนี้ คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 0.2 ของพนักงานไอบีเอ็มทั้งหมด 433,362 คนทั่วโลก

อย่างไรก็ดี ดัก เชลตัน โฆษกของไอบีเอ็ม ซึ่งมีฐานอยู่ในเขตอาร์มองค์ ของนิวยอร์ก ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นถึงจำนวนพนักงานที่ถูกปลดออกในครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่า การปลดพนักงานออกเป็นเพียงการปรับโครงสร้างองค์กรธุรกิจตามปกติ ไม่ได้เป็นการบ่งชี้ถึงผลประกอบการที่ย่ำแย่ของทางบริษัทแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตัวเลขผลประกอบการของไอบีเอ็มในปี 2011 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 20,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 613,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2010 เล็กน้อย

ที่มา:: 'ไอบีเอ็ม'ประกาศปลดพนักงานในอเมริกาเหนือมากกว่า 1,000 ตำแหน่ง ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555

รัฐบาลเกาหลีใต้รับสมัคร 345 ทุนเรียนป.โท-เอกประเทศเกาหลีใต้

รัฐบาลเกาหลีใต้รับสมัคร 345 ทุนเรียนป.โท-เอกประเทศเกาหลีใต้

รัฐบาลเกาหลีใต้ มอบทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก แก่นักศึกษาต่างชาติทั้งจากประเทศพัฒนาและกำลังพัฒนา รวมทั้งไทย จำนวน 345 ทุน ประจำปีการศึกษา 2012-2013 เพื่อเปิดโอกาสที่ดีในการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา และกระชับมิตรภาพระหว่างประเทศ...

ระยะเวลาให้ทุน
- ปริญญาโท 2 ปี (ไม่รวมหลักสูตรอบรมภาษาเกาหลี ระยะเวลา 1 ปี)
- ปริญญาเอก 3 ปี (ไม่รวมหลักสูตรอบรมภาษาเกาหลี ระยะเวลา 1 ปี)

สิทธิประโยชน์
- ทุนการศึกษาประกอบด้วยค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับชั้นประหยัด เมื่อเรียนสำเร็จการศึกษา แต่จะงดเว้นค่าโดยสารขาเข้าในกรณีที่ผู้รับทุนอาศัยในประเทศเกาหลีเพื่อศึกษาหรือทำงานอยู่แล้ว
- ค่าใช้จ่ายรายเดือน 900,000 วอน
- ค่าใช้จ่ายในการทำวิจัยสาขามานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ 210,000 วอน/ภาคเรียน หรือสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์เครื่องกล 240,000 วอน/ภาคเรียน
- ค่าตั้งถิ่นฐานเมื่อแรกเข้า 200,000 วอน
- ค่าเรียนภาษาเกาหลี เป็นเวลา 1 ปี
- ค่าเทอมและค่าสอบทั้งหมด
- ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์วิทยานิพนธ์ 500,000-800,000 วอน
- ค่าประกันสุขภาพ 20,000 วอน/เดือน
- เงินทุนพิเศษสำหรับนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญภาษาเกาหลี (TOPIK Level 5 - 6) 100,000 วอน/เดือน

คุณสมบัติผู้สมัคร
- เป็นผู้มีสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 40ปี
- มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ
- ผู้สมัครหลักสูตรปริญญาโท ต้องสำเร็จหรือคาดว่าจะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า สำหรับหลักสูตรปริญญาเอก ต้องสำเร็จหรือคาดว่าจะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทหรือเทียบเท่า โดยจะต้องสำเร็จการศึกษา ภายในวันที่ 1 กันยายน 2555
- มีผลการเรียนอย่างต่ำ 2.64 จากเกรด 4.0 หรือมีคะเนน 80% จากสถาบันการศึกษาล่าสุด

หมายเหตุ
- ผู้สมัครที่ได้ลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศเกาหลีใต้แล้วจะถูกตัดสิทธิ์จากการขอทุน แต่ผู้รับทุนที่สำเร็จหรือกำลังจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศเกาหลีใต้ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2555 และมีผลคะแนนสอบวัดความสามารถทางด้านภาษาเกาหลี (Test of Proficiency in Korean - TOPIK) Level 4 ขึ้นไป สามารถยื่นขอทุนผ่านสถานเอกอัครราชทูตเกาหลี ประจำประเทศไทย
- มีทักษะภาษาอังกฤษหรือภาษาเกาหลีดี จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ และหากสมัครเรียนสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติหรือเทคโนโลยี จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

เอกสารการสมัคร
- ใบสมัครที่กรอกข้อมูลครบถ้วน (มีแบบฟอร์มให้ในเว็บไซต์ www.gks.go.kr )
- รูปถ่าย
- สำเนาใบประกาศนียบัตร ใบแสดงผลการเรียน
- เรียงความแนะนำตนเอง 1 ฉบับ (มีแบบฟอร์มให้)
- แผนการศึกษา สำเนาเอกสารแสดงความสามารถทางภาษาอังกฤษและภาษาเกาหลี
- ผลงานที่ได้ตีพิมพ์หรือรางวัลที่ได้รับ

หมายเหตุ : เอกสารทั้งหมดที่ใช้ในการสมัครต้องเป็นภาษาเกาหลี หรือภาษาอังกฤษเท่านั้น หากเอกสารต้นฉบับมิใช่ภาษาเกาหลี หรือภาษาอังกฤษ ให้แปลเป็นภาษาเกาหลี หรือภาษาอังกฤษ และต้องได้รับการรับรองจากกรมการกงสุลด้วย หากมีเอกสารที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่สมบูรณ์จะถูกปฏิเสธการพิจารณาจาก NIIED (National Institute For International Education)

ช่วงเวลาการรับสมัคร
ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2555

ผู้สนใจสามารถสมัครขอทุนได้ที่
สถานเอกอัครราชทูตเกาหลี ประจำประเทศไทย
เลขที่ 23 ถนนเทียมร่วมมิตร รัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์ 0-2247-7537-41 โทรสาร 0-2247-7535

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555

ให้จริงหรือแกล้งหลอก ลองโทรไปดูก็จะรู้เอง

สลด! นางแบบดังแดนจิงโจ้ดับอนาถในไทย เหตุเพราะซ้อนท้ายจยย.ไม่ใส่หมวก

ลานา โอ คอนเนลล์ นางแบบชุดว่ายน้ำดาวรุ่งแห่งวงการแฟชั่นออสเตรเลีย ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในประเทศไทย ขณะซ้อนท้ายจักรยานยนต์แฟนหนุ่มชมความงดงามของจังหวัดภูเก็ต ตำรวจไทยระบุว่า ผู้เสียชีวิตไม่ได้สวมหมวกนิรภัย...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 29 ก.พ. ลานา โอ คอนเนลล์ นางแบบชุดว่ายน้ำดาวรุ่งแห่งวงการแฟชั่นออสเตรเลีย ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในประเทศไทย ขณะซ้อนท้ายจักรยานยนต์แฟนหนุ่ม ชมความงดงามของจังหวัดภูเก็ต แหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังของไทย


รายงานข่าวระบุว่า โอ คอนเนลล์ วัย 23 ปี จากโกลด์ โคสต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลีย เสียชีวิตหลังจากจักรยานยนต์ที่เธอซ้อนท้ายแฟนหนุ่ม เคน ทริเว็ตต์ ประสบอุบัติเหตุพุ่งเข้าชนร้านขายอาหารริมถนนสายหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตของไทย ก่อนถูกชนซ้ำจากรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่ง เป็นเหตุให้นางแบบสาวซึ่งไม่ได้สวมหมวกนิรภัย กระเด็นไปไกลหลายเมตรและศีรษะของเธอกระแทกกับพื้นถนนอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตหลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไม่นาน ขณะที่แฟนหนุ่มของเธอได้รับบาดเจ็บ

สื่อท้องถิ่นของออสเตรเลียหลายสำนัก รายงานโดยอ้างข้อมูลของตำรวจไทยที่ระบุว่า นอกจากผู้เสียชีวิตจะไม่ได้สวมหมวกนิรภัยขณะซ้อนท้ายจักรยานยนต์ของแฟนหนุ่มแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่ทั้งคู่อาจมีอาการมึนเมาจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน

ด้านโจแอน ราห์น ดีไซเนอร์ชุดว่ายน้ำชื่อดังของออสเตรเลีย ออกมาระบุว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าที่โอ คอนเนลล์ ต้องมาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทั้งที่เธอมีอนาคตที่สดใสในวงการแฟชั่นระดับโลกรออยู่

ที่มา: สลด! นางแบบดังแดนจิงโจ้ดับอนาถในไทย เหตุเพราะซ้อนท้ายจยย.ไม่ใส่หมวก ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555

Top swimsuit model dies after horrific motorbike crash on Thailand holiday

Lana O'Connell, 23, was riding pillion behind her boyfriend Ken Trivett
Authorities believe alcohol could have been a factor in the crash

By Richard Shears 28th February 2012

A top swimsuit model from Queensland's Gold Coast has been killed in a motor cycle crash in Thailand - and police revealed she had not been wearing a helmet at the time.

Lana O'Connell, 23, was riding pillion behind her boyfriend Ken Trivett when they clipped a roadside food stall in Phuket in the early hours of the morning.

They veered across the road, collided with another motorcycle and were thrown to the ground.
Tragic: Lana O'Connell was riding with her boyfriend Ken Trivett when they clipped a roadside food stall

Tragic: Lana O'Connell was riding with her boyfriend Ken Trivett when they clipped a roadside food stall

It is believed the blonde model struck her head and was pronounced dead several hours after she and her boyfriend had been taken to hospital.

Thai authorities have told Australian officials they believe alcohol could have been a contributing factor in the crash.

They confirmed that Miss O'Connell had not been wearing a safety helmet. Mr Trivett received treatment for his injuries but later discharged himself.

Miss O'Connell's mother, Mrs Marilyn O'Connell, turned to Facebook to express her sorrow, saying her daughter was 'beautiful, inside and out.'
She added: 'She was a beautiful girl who loved life and had so many hopes and dreams which will never be fulfilled.
Authorities believe alcohol could be a factor in the crash that killed Australian model Lana O'Connell

Authorities believe alcohol could be a factor in the crash that killed Australian model Lana O'Connell

'She will always be in our memory and in our hearts…only the good die young.' Mr Trivett's brother, Mr Garnett Trivett, told the Gold Coast Bulletin that while he had not had the privilege of getting to know Lana properly he described her as 'one of a kind - such a gentle-natured person.'

They had been going out together for about four years, said Mr Garnett Trivett.

Glamorous Life swimwear designer Joanne Rahn said Miss O'Connell had a bright modelling career ahead of her.

'She was also so professional and one of the girls who was really earmarked to go far,' she said.

'She was selected for the Mercedes Benz Fashion Week and was always pushed forward for media. I have really fond memories of working with her.'

Read more: http://www.dailymail.co.uk/news/article-2107510/Lana-OConnell-Top-swimsuit-model-dies-horrific-motorbike-crash-Thailand.html#ixzz1nlGtD7pL


CHIANGRAI TIMES – A WEEK ago Gold Coast model Lana O’Connell was setting off on a whirlwind holiday to Thailand. Today friends and family are struggling to come to terms with the tragic accident that left her dead.

The 23-year-old’s life was cut short when the motorcycle she and boyfriend Ken Trivett were riding clipped a motorcycle and sidecar stall on Patak Rd, Phuket, in the early-morning darkness on Saturday.

The pair then veered across the road, colliding with another motorcycle in oncoming traffic.

Both were taken to hospital, where Lana was pronounced dead hours later.

Thai authorities believe alcohol could have been a contributing factor and say Lana was not wearing a safety helmet.

Ken was treated for injuries at Vachira Phuket Hospital but discharged himself.

Lana’s mother Marilyn O’Connell turned to Facebook to express her sorrow yesterday, describing her daughter as beautiful, inside and out.

“She was a beautiful girl who loved life and had so many hopes and dreams which will never be fulfilled,” she said.

“She will always be in our memory and in our hearts … only the good die young.”

Ken’s brother Garnett Trivett spoke with the Bulletin yesterday and said he planned to come to the Coast to provide support once his brother returned.

“I am miles away from them (family) … I live two hours west of Mackay, but I am going to try and get down to the Gold Coast,” he said.

“I hadn’t had the privilege of getting to know Lana properly but they spent Christmas with us at Airlie Beach and let me tell you, she was one of a kind. Such a gentle-natured person.”

The pair had been together for about four years. Ken’s sister Karen Trivett thanked Lana on Facebook for accepting her brother the way he was.

“You accepted his past with open arms and looked forward to a future with him,” she said.

“You snuck into our crazy lives like a quiet, beautiful and loving flower, and we loved you dearly for that.”

Lana was a promising model who studied at Griffith University and worked at Jupiters Hotel & Casino, where it is believed she first met Ken.

Glamorous Life swimwear designer Joanne Rahn was last night in shock upon hearing of the death of Lana, a girl she said had a bright modelling career ahead of her.

“I have worked with her a few times and she was always so professional and one of the girls who was really earmarked to go far,” she said.

“She was selected for the Mercedes Benz Fashion Week and was always pushed forward for media. I have really fond memories of working with her.”

Jupiters Hotel & Casino acting managing director Craig Peachey last night confirmed Lana and Ken were valued and well-liked employees and said support would be offered to Ken and staff who were friends with Lana.

“The loss of Lana is a tragedy and our thoughts are with her family and friends at this very difficult time,” he said.

“We will offer any support we can to her family, as well as to Ken and workmates.”

Source: © 2012 Chiangrai Times Newspaper. All Rights Reserved. Tuesday, February 28th, 2012

Monday, February 27, 2012

'ธอส.'หวั่นปีนี้กำไรวูบ เหลือ 4,000ล้านบาท

“ธอส.” หวั่นปีนี้ ธอส.กำไรวูบเหลือ 4,000 ล้านบาท หลังออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม วอนคลังเห็นใจหากกำไรปีนี้ วูบวาบ!! ขณะที่ผลการดำเนินการปี 54 กำไรทะลุ 6,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารปี 54 ที่ผ่านมา มีผลกำไรสุทธิจำนวน 6,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.96% เมื่อเทียบกับปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 6,354 ล้านบาท โดยคาดว่า ในปีนี้จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านบาทก็ตาม แต่เนื่องจากการกันสำรองที่เพิ่มขึ้น 0.47% ตามคำสั่งของกระทรวงการ คลังที่ให้เริ่มสำรองพร้อมกับธนาคารพาณิชย์ในเดือน ก.ค.นี้ อาจส่งให้ผลกำไรของลดลงเหลือ 4,000-5,000 ล้านบาทได้

“ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้ามากมาย เช่น ลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วมได้ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0% เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ตามสภาพของแต่ละพื้นที่ ซึ่งในส่วนนี้ ได้แบกรับภาระดอกเบี้ยไว้เองทั้งหมดประมาณ 1,500 ล้านบาทหรือเดือนละ 250 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการบ้านหลังแรกอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 3 ปี วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอนุมัติไปแล้ว 2,000 ล้านบาท โดยไม่มีรายรับจากดอกเบี้ยเลยประมาณ 80 ล้านบาท และยังมีโครงการลักษณะเดียวกันของรัฐบาลที่แล้ว อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี ซึ่งทำให้ ธอส.ขาดรายได้จากการดำเนินงานในปีนี้”

นายวรวิทย์ กล่าวว่า เฉพาะมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น ประกอบมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบภัยต่างๆ ธอส.ก็แบกรับภาระไว้มากอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ ต้องกันสำรองอีก 0.47% จากยอดเงินฝากรวม 572,905 ล้านบาท ต้องสำรองเงินสดประมาณ 2,700 ล้านบาท โดยไม่สามารถนำทำประโยชน์ใดๆ ได้ ทำให้ภาระต้นทุนของ ธอส.เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในปีนี้ ธอส.จะหารือกับกระทรวงการคลัง หากกำไรลดลงแตะระดับ 4,000 ล้านบาท ส่วนที่ขาดหายไปให้คำนวณเป็นบัญชีช่วยเหลือสังคม

สำหรับผลการดำเนินงานของ ธอส.ในปี 54 ธนาคารปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้น 147,172 บัญชี เป็นเงิน 104,400 ล้านบาท มียอดสินเชื่อคงค้าง 683,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.72%หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ไม่รวมหนี้ส่วนขาด จำนวน 47,749 ล้านบาท คิดเป็น 7.12% ของยอดสินเชื่อรวม ลดลง 2,398 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.78% ขณะที่ทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) คงเหลือ 3,617 ล้านบาท ลดลงถึง 44.08% ในส่วนของสินทรัพย์ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 712,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.96% ส่วนเงินฝากธนาคาร มียอดเงินฝากรวม 572,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.87% โดยธนาคารมีผลกำไรสุทธิจำนวน 6,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.96% เมื่อเทียบกับปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 6,354 ล้านบาท

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ ทีมข่าวเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555

สลด! นักเรียนสาวมะกันวัย 11 ปี ตบตีแย่งผู้ชายจนตาย

มีรายงานข่าวว่า นักเรียนสาววัยรุ่น ชาวอเมริกัน วัย 11 ปี เสียชีวิต หลังนัดตบตี หลังเลิกเรียน กับเพื่อนร่วมชั้น เพราะชมชอบเด็กผู้ชายคนเดียวกัน...

จากรายงานหลายสำนัก เมื่อ 28 ก.พ. 2555 ว่า ด.ญ.โจแอนนา รามอส เด็กสาวรุ่น วัยเพียง 11 ปี นักเรียนเกรด 5 (ป.5) โรงเรียนวิลลาร์ดเอเลเมนแทรี ในเมือง long beach รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้เสียชีวิตเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 ก.พ.2555) ที่โรงพยาบาลท้องถิ่น หลังมีส่วนร่วม เหตุทะเลาะวิวาทตบตีกับเพื่อนนักเรียนร่วมชั้น หลังมีปัญหาไม่ลงรอยเพราะชอบเด็กผู้ชายคนเดียวกัน

จากเหตุการณ์นี้ ซึ่งเกิดขึ้นในเย็นวันศุกร์หลังเลิกเรียน ซึ่งนักเรียนหญิงทั้ง 2 คน (หรือ 2 ฝ่าย) ได้มีการนัดแนะกัน ให้มาต่อสู้กันตัวต่อตัว เพื่อแย่งชิงเด็กผู้ชาย ซึ่งการทะเลาะวิวาทของเด็กสาวนี้ จากปากคำผู้บอกกล่าว ทราบว่าไม่มีใช้อาวุธ อีกทั้งไม่มีคนใดบาดเจ็บจนล้มลงไปนอนกองกับพื้น

จากความคืบหน้าล่าสุด เพื่อนร่วมชั้นของรามอส (หญิงผู้ตาย) ให้การว่า รามอสพร่ำบ่นถึงอาการปวดหัวรุนแรง รวมทั้งร้องไห้หนัก จึงบอกครูให้ติดต่อผู้ปกครอง และหลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ราว 3 ชั่วโมง รามมอสก็ได้เสียชีวิต

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว เพื่อทำการสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัด รวมถึงรอผลการชันสูตรศพด้วย

ความรักนี้ ถึงตาย
-------------

Joanna Ramos, 11, Died After-School Fight


Joanna Ramos, one of two 11-year-old girls who planned an after-school fight that ended within a minute, died hours later in an intensive care unit, according to reports.

Ramos died Friday night after fighting with her Willard Elementary School classmate. She left her after-school program for the pre-planned fight in the alley near her Long Beach elementary, according to the Press-Telegraph.

Deputy Police Chief Robert Luna told the Press-Telegraph that no weapons were used in the fight, none of the girl were knocked the ground and they both walked away from the fight.

Ramos' aunt Patricia Catalan told the media that her niece had no visible signs of trauma and that she had returned to the after-school program where she vomited and went home. The girl later told her family she was not feeling well and was taken to the emergency room, had surgery and was listed in critical condition.
Must Read

Ramos was pronounced dead before 9 p.m. that day, according to the Press-Telegraph.

The Los Angeles County coroner's office is now investigating Ramos' cause of death. Family members of the 11 year old girl and authorities are still confused about the circumstances surrounding the girl's death and are looking for answers.

Police spokeswoman Nancy Pratt told MSNBC on Sunday, that she has never heard of 11-year-old fights like the one Ramos was involved in, especially among girls.

"I can't say they never happen but I think everyone was completely caught off-guard by this event," Pratt said, adding that there must be caution in linking the girl's death to the fight before the coroner's report is released.

Police working the case said that no arrests are planned at this time and the other girl has been interviewed.

Police also didn't say what the fight took place. However, friends told the media that the girls were allegedly fighting over a boy.

"They were fighting over a boy," Stephanie Guadalupe Soltero, who said she was friends with the victim, told the Press-Telegraph. "I told the teacher and, she said she would talk to all the girls on Monday (today)."

Long Beach Unified School District Superintendent Chris Steinhauser told the media that no adults at the school were aware of the looming fight.

---------------

Friday, February 24, 2012

อะไรเอ่ย กินไฟมากที่สุด

ดิจิตอลไลฟ์- อะไรเอ่ย กินไฟมากที่สุด

เผยผลคำนวณค่าใช้จ่ายพลังงานจากสารพัดกิจกรรมที่คุณใช้ไปกับอุปกรณ์ไอทีต่างๆ

รู้หรือเปล่า ความขี้เกียจของคุณ มีผลต่อค่าใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนมากทีเดียว โดยเฉพาะคุณ...คนที่ชอบเสียงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งเอาไว้ ซึ่งแม้ว่าคุณจะปิดเครื่องไปแล้ว แต่มันก็ยังคงทำงานอยู่ และนั่นหมายถึงเงินที่หามาอย่างลำบาก ทยอยหล่นจากกระเป๋าอย่างไม่รู้ตัว

เดลี่ กิซโม่ เปิดเผยผลการคำนวณของ Lawrence Berkeley National Lab study จากสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนที่ต้องจ่าย โดยคำนวณจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยที่อุปกรณ์แต่ละตัวใช้ ออกมาได้ดังนี้

1.หน้าจอคอมพิวเตอร์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ แต่การเปิดหน้าจอทิ้งเอาไว้ตลอดเวลาหรือตั้งเป็นสกรีนเซฟเวอร์ มันก็จะยังกินไฟเท่าๆ กับการเปิดเครื่องใช้งาน เพราะหน่วยความจำ (ซีพียู) ยังต้องทำงานอยู่ ซึ่งนั่นอาจทำให้ต้องเสียค่าไฟถึง 210 บาทต่อเดือน

2. เครื่องเล่นเกม การเปิดเครื่องเล่นเกมเอาไว้ก็คล้ายๆ กับการเปิดหน้าจอพีซีทิ้งไว้ อาจทำให้ผลาญเงินในกระเป๋าไปมากถึง 180 บาทต่อเดือน

3.เครื่องเล่นดีวีดี ดูหนังเสร็จแล้ว แต่เพราะว่ายังขี้เกียจจึงยังไม่ยอมปิดสวิตช์เครื่อง รู้หรือเปล่าว่า เครื่องจะยังไม่หยุดทำงาน มันจะยังอ่านข้อมูลจากแผ่นอยู่ร่ำไป นั่นหมายถึงค่าไฟ 30 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว

4.ทีวี การปิดทีวีด้วยรีโมตแล้วเสียบปลั๊กเอาไว้อย่างนั้น อาจทำให้คุณต้องจ่ายค่าไฟมากถึง 150 บาทต่อเดือน โดยเฉพาะหากเป็นพลาสม่าทีวีแล้วด้วยจะกินไฟมากกว่าแอลซีดีถึง 2 เท่า

แม้คิดเป็นรายเดือน อาจดูเหมือนว่าคุณสูญเสียเงินในกระเป๋าเพียงนิดเดียว แต่ถ้ารวมกันเป็นปีๆ นั่นก็หมายถึงเงินที่ต้องจ่ายไปฟรีๆ เอาเถอะ...ปิดสวิตช์กันหน่อย คิดซะว่านอกจากจะช่วยตัวเองแล้ว ยังถือว่าเป็นการช่วยโลกในทางอ้อมอีกด้วย

ที่มา: ©โพสต์ทูเดย์ดอทคอม 23 กุมภาพันธ์ 2555

คุก 1 ปีหนุ่มใหญ่งัดตู้โทรศัพท์ได้เงิน8บ.

อาชญากรรม
คุก 1 ปีหนุ่มใหญ่งัดตู้โทรศัพท์ได้เงิน8บ.

ศาลสั่งจำคุก 1 ปีหนุ่มใหญ่งัดตู้โทรศัพท์ได้เงิน 8 บาท รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีลักทรัพย์ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอายา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง นายอิศราพงศ์ พิพัฒน์สำราญ อายุ 41 ปี ชาว กทม.อาชีพรับจ้าง เป็นจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า

เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 55 เวลา ประมาณ 05.20 น. จำเลยได้ใช้กระดาษพับเป็นรูปสี่เหลี่ยม 2 ชิ้นอุดในช่องคืนเหรียญเพื่อให้เหรียญค้างอยู่ในตู้โทรศัพท์ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หน้าห้างฯบิ๊กซี ลาดพร้าว แล้วใช้ก้านมะพร้าวเขี่ยกระดาษที่อุดไว้ให้เหรียญตกในช่องคืนเหรียญทำให้จำเลยได้เงินไป 8 เหรียญเป็นเงิน 8 บาท ก่อนถูกเจ้าหน้าที่บริษัท ทรูฯ ที่ซุ่มดูพฤติการณ์ จับกุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ดำเนินคดี จำเลยรับสารภาพ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) พิพากษาจำคุก 1 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ริบของกลางไม้ก้านมะพร้าว , กระดาษรูปสี่เหลี่ยม

ที่มา: โพสต์ทูเดย์ดอทคอม 24 กุมภาพันธ์ 2555

Manage Your Career: How to Write a Statement of Teaching Philosophy

How to Write a Statement of Teaching Philosophy


By Gabriela Montell

You've polished your CV and cover letter and lined up your letters of recommendation. Your application for a faculty position is ready, with one big exception: You're still struggling to write a statement of your teaching philosophy.
The task is daunting -- even for the most experienced Ph.D.'s -- but it's increasingly difficult to avoid, as a growing number of departments are requiring applicants to submit such statements in their job applications. We talked to dozens of professors and administrators to learn what they look for when they read a statement of teaching philosophy, and we assembled their advice on getting started and avoiding some costly mistakes. Here are their tips and a list of dos and don'ts:
Getting Started
"Do I even have a teaching philosophy?" you may ask yourself.
Of course you do, says Matt Kaplan, associate director of the Center for Research on Learning and Teaching at the University of Michigan. Every doctoral graduate has a teaching philosophy, whether or not they realize it. Let's face it, you may not be the most experienced instructor, but "you've been a student for a long time, and you've been in all types of classes, so you have opinions about teaching and learning and what works and doesn't work," he says.
If you don't have a lot of teaching experience, "think about the great teachers you've had and what made them so effective, what they did that inspired you to spend six years in graduate school at a cost of $1,000 a month," says Andrew Green, a Ph.D. counselor in the Career Center at the University of California at Berkeley.
If you're still feeling overwhelmed by the task at hand, try to focus on concrete questions, as opposed to the abstract question of "What's my philosophy?" says Mr. Kaplan.
"Breaking down that broad question into component parts -- for example, What do you believe about teaching? What do you believe about learning? Why? How is that played out in your classroom? How does student identity and background make a difference in how you teach? What do you still struggle with in terms of teaching and student learning? -- is often easier," he says. "Those more concrete questions get you thinking, and then you can decide what you want to expand on."
Another useful tip is to think about what you don't like in a teacher, says Cynthia Petrites, assistant director for graduate services for the humanities in the Career and Placement Services office at the University of Chicago. "Reflecting on what you don't like can give you insights about what you do like," and that can help you to define your own teaching philosophy and goals, she says.
Do Some Research
"Different institutions have different expectations, depending on their mission and how they view the role of teaching within the broader responsibilities of being a faculty member," says Mr. Green.
Does the college have a religious mission? Does it have an environmental mission? If so, you'd better address the mission in your statement, he says. While your teaching philosophy may stay the same, your teaching style may vary depending on your audience. So if you're applying to various types of institutions -- evangelical colleges, community colleges, liberal-arts colleges, and state universities -- you may need to write several different statements, Mr. Green says.
Before you start writing, look closely at the job ad and the institution's Web site. Look to see if the teaching philosophies of the faculty members are on the site. Find out how large the institution is and what the institution values.
You need to know about class size and what kinds of students you'll be teaching, so you'll know what to stress in your statement, because above all, the search committee will be looking to see if you understand what's expected of you at their institution, says Brian Wilson, chairman of the department of comparative religion at Western Michigan University. "You don't want to pitch large auditorium classes to a liberal-arts college, because they don't do that. That's not their style. Their mission is to give personal service to students. Whereas here at Western, we've got 35,000 students. We're a school that offers education to a wide variety of people, and we have large classes, so if you have experience teaching large classes, that's important and would be essential to put into a teaching statement."
Don't Rehash Your Vita
A teaching philosophy isn't a laundry list of what you've done, says Mr. Green. "I've read a lot of first drafts that were simply recitations of students' past teaching history -- 'I've had six semesters as a teaching assistant at Berkeley and I've taught Introduction to Comparative Politics twice.' Well, you know, maybe you taught them all poorly. How do I know, unless you tell me what you learned as a teaching assistant about effective teaching and how you're going to implement it?"
The first rule of thumb is "to focus not so much on what courses you've taught, but on how it is you go about teaching," he says. "Don't make the mistake of recapitulating what's already in your CV."
Don't Make Empty Statements
Good statements and bad statements frequently start the same (with a broad philosophical declaration), but good ones anchor the general in something concrete (in an example that one can visualize), Ms. Petrites says. Anyone can talk about teaching in an idyllic sense; you need to give examples.
"If you say you work to encourage collaboration in the classroom, then explain how you do that, or if you're a new teacher, how you would do that," she says. "It's easy to say, 'I want to encourage collaboration in the classroom,' or 'I want to get students to think more critically' and leave it at that. But who doesn't want to do that?"
Empty statements are a dime a dozen, says David Haney, chairman of the English department at Appalachian State University. "Ninety percent of the statements I see include the sentence, 'I run a student-centered classroom.' My response to that is, 'Duh. If you don't, there's something wrong with you.' Do not ever use that phrase, unless you plan to follow it up with what kinds of things you have students do, what specific teaching techniques you've found successful. Otherwise it sounds like you're just saying what you think I want to hear."
Keep It Short
If there's a page limit, stick to it. "If they say they want one to two pages, don't give them five pages," says Mr. Haney. You may have a lot to say, but you don't want to overwhelm the search committee.
Ground Your Teaching Philosophy in Your Discipline
One way to avoid becoming mired in generalities is to share some insights about teaching in your particular field, Mr. Haney says. For example, if you're applying for a job in an English department teaching literature courses, you might talk about why you think it's important for students to read literature and how you plan to teach them to interpret it, he says. Describing your theoretical approach and/or what kinds of exercises you assign students will make your statement more engaging.
Make Sure It's Well-Written
"Like everything else in your application, it's a writing sample," so make sure your statement is well-written, Mr. Haney says. "It's a chance for you to demonstrate how articulate you are. Hiring committees, especially in English and the humanities, are going to look very closely at your writing."
Adopt a Tone of Humility
Be careful not to sound as if you know all there is to know about teaching, warns Bill Pannapacker, an assistant professor of English at Hope College. Most applicants believe they won't be hired unless they already know everything, so "they tend to glorify their successes and present a picture of seamless perfection, which is unbelievable. I feel alienated from them because I can't imagine myself being as perfect, even after years of experience, as they present themselves as being with only a few years of experience. It's pretty presumptuous, if you ask me."
Good teaching comes from years of trial and error, so a little humility is in order. "I'd rather read statements from candidates who talk about their mistakes and go on from there to describe how they learned from them to become better teachers," says Mr. Pannapacker.
Applicants also would be wise to avoid using superlatives, unless they want to sound arrogant. "It's much better to say, 'My student evaluations are consistently high' than to say 'My students say I'm the best teacher they've ever had,'" says Gene C. Fant Jr., chairman of the English department at Union University. And don't use Latin quotations, he adds. "A lot of the statements I've seen start off with Latin, and to me, that's just pompous. We already have enough pompous people in higher education. We don't need them in our own department."
Remember That Teaching Is About the Students
New teachers often devote their statements to showing that they can be innovative or that they can incorporate sophisticated concepts in a classroom, but they seldom mention how students reacted to those innovations and concepts, says Ms. Petrites of Chicago. "It's important to present a picture of yourself in a classroom with students. Otherwise readers may ask, 'Was this all about you or the students?'"
When you mention your students, be sure to convey enthusiasm toward them rather than condescension, says Mary Cullinan, dean of arts and sciences at California State University-Stanislaus. "Writers of teaching statements may come across as exasperated with students if they talk about how flawed the students are, how their writing skills aren't as good as they should be, or how they don't attend class the way they should," she says. That's not the message you want to send to readers of your teaching statement. Your role as a teacher is to ensure that students learn, no matter how flawed you think they might be.
Don't Ignore Your Research
By all means focus the statement on your teaching, but don't downgrade your research, especially if you're applying to a small liberal-arts college or a state university. "Some people think that any institution below a Research I won't value research," says ASU's Mr. Haney, but many colleges want to see whether you can integrate your research and teaching.
One of the biggest trends at small colleges right now is "enhanced engagement of undergraduates and faculty research," adds Berkeley's Mr. Green. "They tell parents, 'If you send Johnny here, he's going to be involved in cutting-edge research with our faculty,' so they're looking for evidence that you're going to be able to take undergraduates and utilize them in your research program."
Get a Second Opinion
It's a good idea to ask other people to read your statement, says Union's Mr. Fant. Show it to your mentors, other faculty members, and peers, and if there's a center for teaching and learning on your campus, show it to someone there as well. Let them read it, and then go back to it a week later and revise it. Then have somebody else proofread it before you send it out.
Just Be Yourself
Good readers will know when you're exaggerating, boastful, or insincere. "I want to hear your authentic voice," says Mr. Pannapacker of Hope College, "rather than the written equivalent of the beauty-pageant smile."
In the end, that's what will make you credible and maybe even help persuade a search committee to bring you in for an interview.

::How to Write a Statement of Teaching Philosophy (c)Copyright 2012 All rights reserved by The Chronicle of Higher Education http://chronicle.com/article/How-to-Write-a-Statement-of/45133

Harvard Conference Seeks to Jolt University Teaching

February 5, 2012
Harvard Conference Seeks to Jolt University Teaching

By Dan Berrett (Cambridge, Mass.)

A growing body of evidence from the classroom, coupled with emerging research in cognitive psychology and neuroscience, is lending insight into how people learn, but teaching on most college campuses has not changed much, several speakers said here at Harvard University at a daylong conference dedicated to teaching and learning.

Too often, faculty members teach according to habits and hunches, said Carl E. Wieman, a Nobel Prize-winning physicist and associate director of the White House Office of Science and Technology Policy, who has extensively studied how to improve science education.

In large part, the problem is that graduate students pursuing their doctorates get little or no training in how students learn. When these graduate students become faculty members, he said, they might think about the content they want students to learn, but not the cognitive capabilities they want them to develop.

"It really requires someone to be doubly expert," Mr. Wieman said. As sometimes happens in some disciplines and departments, a few people develop deeper knowledge of pedagogy. These doubly expert faculty members, he said, can show colleagues how to apply new approaches to teaching the discipline.

Such approaches would demand much more of students and faculty. Students should be made to grapple with the material and receive authentic and explicit practice in thinking like an expert, Mr. Wieman said. Faculty would need to provide timely and specific feedback, and move beyond lectures in which students can sit passively receiving information.

"We assume that telling people things without asking them to actively process them results in learning," Mr. Wieman said.

The conference, which also featured demonstrations of innovative approaches to teaching, was the first event in a new Harvard Initiative for Learning and Teaching, a project supported by a $40-million grant from two benefactors, Gustave M. and Rita E. Hauser. In addition to the conference, the money will pay for the redesign of classrooms at Harvard and for a grant program that will finance innovative ideas. More than 250 Harvard faculty, staff, and students have submitted letters of interest for projects costing nearly $10-million. Awardees will be selected in April.

Many colleges routinely hold seminars on teaching and learning. But the fact that Harvard is focusing on the subject—and that many speakers referred worryingly to the growth of online and for-profit providers—suggests a growing concern at even the most elite institutions that the classroom experience is not all it could be.

The Hausers wanted their money to have a broad effect across Harvard's departments and disciplines. They also wanted the university to respond to changes in students. "You can see there will be a fundamental break in how students are learning," Mrs. Hauser said in an interview, "and we thought Harvard should be at the forefront of that."
Confronting Misconceptions

Students are indeed changing, some speakers said. Their level of curiosity has declined over the past two decades, said Clayton M. Christensen, a professor of business administration at the Harvard Business School.

Mr. Christensen also drew an analogy between Harvard and the for-profit world, and General Motors and Toyota, describing how new businesses often enter the bottom of a market and claim untapped customers whom they reach through some new technological advance. Eventually, they move up-market and overtake the dominant player.

Higher education once was immune, he said, until the spread of online learning, which will allow lower-cost providers to extend into the higher reaches of the marketplace. "Higher education," he said, "is vulnerable to disruption."

And, while students are changing, several speakers described conventional teaching approaches as being ineffective.

Take, for example, the lecture, which came up for frequent shellacking throughout the day. It is designed to transfer information, said Eric Mazur, professor of physics at Harvard. But it does not fully accomplish even this limited task.

Lectures set up a dynamic in which students passively receive information that they quickly forget after the test. "They're not confronted with their misconceptions," Mr. Mazur said. "They walk out with a false sense of security."

The traditional lecture also fails at other educational goals: prodding students to make meaning from what they learn, to ask questions, extract knowledge, and apply it in a new context.

And yet, many speakers acknowledged, faculty members harbor their own misconceptions about learning, which still hold sway at Harvard and beyond.

One, said Mahzarin R. Banaji, a professor of psychology at Harvard, is what she called a "myth" about different learning styles, in which it is thought that some students learn best visually, others by hearing, and still others kinesthetically.

"There's no evidence, zero, that teaching methods should be matched up with different learning styles," Ms. Banaji said. "It's intuitively appealing, but not scientifically supported."
Assessing as Learning

Another commonly held notion, that studying is how learning occurs and testing is an afterthought, was upended by Henry L. "Roddy" Roediger III, a professor of psychology at Washington University in St. Louis, who has studied what is known as the "testing effect."

In an experiment, he broke students into three different groups: One studied a list of words eight consecutive times without taking any tests; the second studied the list six times and was tested twice. The last studied the words four times and took four tests. Two days later, they were asked to recall as many words as they could. Those who took four tests recalled words at up to twice the rate of those who only studied.

"Taking a test on something is a very effective way to learn about it," Mr. Roediger said.

But frequent quizzes—which he said should be low-stakes and not "deadly" multiple choice—often hit a wall of disdain among both faculty and students, he noted. "There's a kind of a conspiracy in higher education that professors don't like to give tests," Mr. Roediger said. "We hate grading tests. Students don't like taking them, so we don't give them very much."

But there are other ways to get students to truly learn, other speakers said. Asking students to explain concepts or to teach one another the material they have just learned are also effective.

Writing is often an effective pedagogical tool, too, several speakers said. For his history of psychology course, Mr. Roediger asks his students to send him short essays before each class meets. They respond to the reading. (Others at the conference who use this method said they sometimes ask their students to identify outstanding questions or relevant areas of their reading that have been left unexplored.) Mr. Roediger reads the one-page essays before class and works their thoughts into his comments.

But writing is also more than a means to convey content. It is a core skill that faculty members often hope their students will carry with them after they graduate, said Steven Pinker, a professor of psychology at Harvard who studies language and cognition. But even here, students and faculty often fail.

Students are trained to write in jargon-heavy language that obscures rather than reveals the underlying ideas. Mr. Pinker drew an analogy to teaching, saying that obtuse writing and poor teaching both reflect what he called the "curse of knowledge."

Having this curse means that a writer or professor often assumes knowledge the reader or student does not have. More important, the writer or teacher usually forgets that the reader or student is struggling to learn the material for the first time, which often was long ago for the teacher.

"It's hard to know what it is like for someone else not to know something that you know," Mr. Pinker said. "It's the chief driver of bad writing and, I would argue, bad teaching."

(c)Copyright 2012 All rights reserved by The Chronicle of Higher Education
http://chronicle.com/article/Harvard-Seeks-to-Jolt/130683

เชียงใหม่เจ๋ง คว้าอันดับ 4 สนามบินบริการดีที่สุดในโลก

เชียงใหม่เจ๋ง คว้าอันดับ 4 สนามบินบริการดีที่สุดในโลก: ท่าอากาศยานเชียงใหม่ติดอันดับ 4 สนามบินบริการดีที่สุดในโลก จากสนามบินทั่วโลกที่เข้าร่วม 34 แห่ง ทอท.ตั้งเป้าปี 57 จะต้องคว้าอันดับ 1 มาครอง

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ว่าที่เรืออากาศโท อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน ) หรือ ทอท. ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหาร ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2552 ทอท.ได้ส่ง ทชม.เข้าร่วมโครงการจัดอันดับท่าอากาศยานที่มีคุณภาพการให้บริการดีที่สุดของโลก (Airport Service Quality Program :ASQ) จัดโดย Airports Council International (ACI) ซึ่ง ทชม.เข้าร่วมโครงการดังกล่าวในกลุ่มท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 5 ล้านคนต่อปี และ ทอท.ได้ตั้งเป้าหมายให้ ทชม.ติดอันดับ 12 ในปี 2554 และติดอันดับ 1 ใน 5 ภายในปี 2557 นั้น เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 ACI ได้ประกาศผลการจัดอันดับท่าอากาศยานประจำปี 2554 อย่างเป็นทางการ ซึ่ง ทชม. ได้รับอันดับที่ 4 จากท่าอากาศยานที่เข้าร่วมทั้งหมด 34 แห่ง ที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 5 ล้านคนต่อปี

ว่าที่เรืออากาศโทอนิรุทธิ์ กล่าวต่อว่า การที่ ทอท.พิจารณาส่ง ทชม. เข้าประกวดในเวทีโลกดังกล่าว เนื่องจาก ทชม.มีความพร้อมทั้งด้าน อาคารสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการ ความปลอดภัยและบุคลากร ซึ่งการเข้าร่วมโครงการ ASQ นั้น ทาง ACI ผู้จัด ได้ให้ผู้โดยสารและผู้ที่เกี่ยวข้องในท่าอากาศยานทั้งชาวต่างชาติและคนไทยตอบแบบสอบถามความพึงพอใจในด้านต่าง ๆ ซึ่งมีตัวชี้วัด 33 ตัวชี้วัด เช่น ความสะอาด บรรยากาศของท่าอากาศยาน ความสุภาพของพนักงาน และความปลอดภัย เป็นต้น ดังนั้นจากการที่ ทชม.ได้รับการจัดอันดับที่ 4 ของโลกในปี 2554 จึงแสดงให้เห็นว่า ทชม.มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีการบริการที่ประทับใจต่อผู้ที่มาใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ทอท.ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาการให้บริการของ ทชม.อย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ผู้มาใช้บริการได้รับความพึงพอใจสูงสุดสมกับ สโลแกน “ปลอดภัยคือมาตรฐาน บริการคือหัวใจ” รวมทั้งตั้งเป้าหมายให้ ทชม.ติดอันดับที่สูงขึ้นต่อไป ซึ่งจะเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 24 กุมภาพันธ์ 2555

Wednesday, February 22, 2012

ไม่เกรงใจ: presumption-presumptuous-presumptive

เขาว่า ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี เพราะความเกรงใจ เป็น การกระทำที่ ไม่อยากจะให้ผู้อื่นรู้สึกลําบาก(กายและใจ) ไม่อยากจะให้เดือดร้อนรําคาญใจ

ถ้าเราเกรงใจคนอื่น แสดงว่า เรารู้จักคิดถึงคนอื่น(ในลักษณะเอาใจเขามาใส่ใจเรา) be considerate ; have deference ; caring for ; be too courteous ; be afraid of offending ; look up with great respect ; give high priority to how another person feels/thinks about something

แต่บ่อยครั้ง เราอาจลืมคิดว่า การกระทำของเรากระทบคนอื่น ทำให้คนอื่น ๆ มองว่า เราไม่รู้จักเกรงใจเขา
เช่น ถ้าคุณถามฉัน-สิ่งที่เขาพูดค่อนข้างไม่เกรงใจเป็นอย่างมาก What he said was pretty presumptuous, if you ask me.

หล่อนเชิญตัวเองไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างไม่เกรงใจ She presumed to invite herself to dinner.

คำแนะนำอันเดียวของฉันที่ให้กับคุณ คือ ต่อไป-อย่าเป็นคนที่ไม่เกรงใจคนอื่นมากเกินไป My only advice to you is don't be so presumptuous in future. (คือ รู้จักเกรงใจคนอื่นซะบ้าง)

ข้อทึกทักไม่เกรงใจของหล่อนช่างเหลือทน Her presumption was intolerable.

unthinking (adj) สะเพร่า ไม่ยั้งคิด ไม่เกรงใจ (ในลักษณะลืมคิดเรื่องเกรงใจ)

Dr.SoS

Tuesday, February 21, 2012

ทหารสหรัฐฯสร้างอาวุธปราบแมลงวัน- ถูกรุมตอมหึ่งจนอ้าปากพูดไม่ได้

กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งอุดมด้วยยุทโธปกรณ์น้อยใหญ่อันทรงอานุภาพ กลับกำลังต้องการอาวุธเพื่อพิชิตแมลงวันในสนามรบให้ตายเรียบก่อนอย่างอื่น และนักวิทยาศาสตร์ก็พอมองเห็นเค้าอยู่บ้างว่า ต้องใช้สีน้ำเงิน

ปกติแมลงรบกวนอยู่ตามบ้านเรือน พวกมันจะชอบลายสีน้ำเงินยิ่งกว่าสีเหลือง ที่มักใช้กันอยู่ในที่ดักแมลง

ศาสตราจารย์ ดร.ฟิล โคเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญแมลงในเมืองกับคณะ ได้ร่วมกันประดิษฐ์ “เครื่องดักแมลงวันฟลอริดา” สามารถฆ่าแมลงวันในเวลาเดือนเดียวลงได้ไม่ต่ำกว่า 40,000 ตัว นับว่าประสบความสำเร็จถึงร้อยละ 96

กระทรวงกลาโหมได้ให้ทุนสร้างขึ้น เพื่อส่งให้กับทหาร ต่อสู้กับกองทัพแมลงวันซึ่งรุมตอมและแพร่เชื้อโรคเมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง และระบบสาธารณูปโภคโดนทำลายลงหมด

ดร.ฟิลได้บรรยายให้เห็นสภาพว่า ศึกกับทัพแมลงวันนั้นนับว่าหนักหน่วง “มันชุมมาก จนอ้าปากพูดกับใครไม่ได้เลย เดี๋ยวมันจะบินเข้าไปในปาก”

เขาแจ้งว่า ได้อาศัยหลักจากการทดสอบดูพฤติกรรมของมัน กับใช้เครื่องถ่ายภาพจอตา ทราบแผนผังทางเดินไฟฟ้าในตาของมัน เพื่อจะศึกษาว่า มันชอบสีไหนมาก ปรากฏว่า มันชอบสีน้ำเงินยิ่งกว่าสีเหลืองถึง 4 ต่อ 1

คาดว่าจะผลิตเครื่องมือนี้ได้ภายในปีนี้ ใช้ต้นทุนตกเครื่องละ 300 กว่าบาท โดยไม่นับราคาของสิ่งที่ใช้เป็นเหยื่อล่อด้วย

ที่มา่: ทหารสหรัฐฯสร้างอาวุธปราบแมลงวัน- ถูกรุมตอมหึ่งจนอ้าปากพูดไม่ได้ ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555

หาดใหญ่สยอง: ซิ่งเก๋งชนต้นไม้ ตายยกคัน 6 ศพ

เกิดอุบัติเหตุสยอง รถเก๋งพุ่งชนต้นไม้ ในร่องกลางถนนสายลพบุรีราเมศวร์ ฝั่งขาออกจากตัวเมืองหาดใหญ่ ต.น้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทำให้หนุ่มสาวในรถตายยกคัน 6 ศพ พบก่อนเกิดเหตุไปเที่ยวสถานบันเทิง...

เวลา 05.00 น. วันที่ 22 ก.พ.2555 มีรายงานแจ้งว่า เกิดอุบัติเหตุรถเก๋งฮอนด้าซีวิคสีขาว ทะเบียน กท 1847 เชียงใหม่ พุ่งชนต้นไม้ในบริเวณร่องกลางถนนลพบุรีราเมศวร์ ฝั่งขาออกตัวเมืองหาดใหญ่ บริเวณ หมู่ 4 ต.น้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ผลทำให้ผู้โดยสาร ซึ่งเป็นวัยรุ่น ในรถทั้ง 6 คน เสียชีวิตทันที ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องตัดถ่างเพื่อนำศพออกจากตัวรถ

ในเบื้องต้น ได้นำศพผู้เสียชีวิตทั้งหมด ส่งดำเนินการตามขั้นตอน ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) ทั้งนี้ ตำรวจ สภ.คอหงส์ เจ้าของพื้นที่เกิดเหตุคาดว่า สาเหตุน่าจะมาจากคนขับหลับใน ขณะเดียวกันแนวทางการสืบสวนสอบสวนยังทราบว่า ก่อนเกิดเหตุทั้งหมดได้ไปเที่ยวสถานบันเทิงในตัวเมืองหาดใหญ่ด้วย (รอพิสูจน์แอลกอฮอล์)

จากการดูประวัติ พบว่าถนนสายนี้เป็นถนนในหลายสายที่มีอุบัติเหตุผู้เสียชีวิตบ่อยครั้ง

พูดง่ายกว่าทำ: this is easier said than done

วันนี้ เราขอเสนอ สำนวน พูดง่ายกว่าทำ : It is easier said than done.

การพูดนี้ มันง่าย
Saying is easy. หรือ It is easy to say.

การพูดทำให้เกิดความรู้สึกดี รู้สึกแย่
Saying causes good feelings

การพูดทำให้เกิดความรู้สึกแย่
Saying causes bad feelings.

การทำนี่มันไม่ง่าย โดยเฉพาะการทำความดีมีคุณธรรม
Doing things are not easy, especially good virtue.

คงไม่มีคนเถึยงว่า พูดง่ายกว่าทำ : No one argue that it is easier said than done.

เพราะว่า พูดง่ายกว่าทำ : Because it is easier said than done.
การคิดพูดว่าคนอื่น ควรคิดให้หนัก : Think twice before said (คิดสองครั้งให้รอบคอบ)

Dr.SoS

ลวง 11หนูน้อยโกนหัวคลุมจีวรบิณฑบาตล้างหนี้แทนแม่

เมื่อ เวลา 02.30 น.ของวันที่ 21 ก.พ. พ.ต.อ.สมชาย สุนทวนิค ผกก.สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับร้องเรียนจากผู้ปกครองเด็กจาก จ.สุพรรณบุรี ว่าบุตร หลาน ได้ถูกแก๊งค้ามนุษย์ หลอกว่าจะพามาทำงาน และล่อลวงมาบังคับ กักขัง หน่วงเหนี่ยว โกนหัว แต่งกายเป็นสามเณร ออกตระเวนเรี่ยไรเงิน และบิณฑบาตข้าวสาร อาหารแห้งทุกชนิด ในหลายพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภาคตะวันออก กระทั่งได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากบุตรหลานว่าถูกทำร้ายร่างกาย กักขังให้อยู่แต่ในห้อง ไม่ปล่อยให้ออกไปไหน นอกจากจะมีคนคุมนำออกไปเรี่ยไรในชุดสามเณรเท่านั้น

หลังทราบเรื่องร้องเรียนจึงได้ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มค้ามนุษย์ในพื้นที่ อ.สัตหีบ ปรากฏว่าได้มี คนคุมกลุ่มสามเณร 11 รูป มาบิณฑบาตข้าวสาร อาหารแห้ง และเรี่ยไรเงินสดในตลาดสัตหีบอยู่เป็นประจำ โดยใช้โทรโข่งประกาศว่าจะนำเงินบริจาคทั้งหมดนี้ไปสร้างโบสถ์ให้กับ สำนักสงฆ์ห้วยจิต ต.หนองฝ้าย อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนให้การบริจาคกันเป็นจำนวนมากด้วย จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.นิพนธ์ ป้อมสนาม รอง ผกก.สส. ร.ต.ท.ธนศักดิ์ ปราสาททอง พงส.(สป 1)หน.ชุดสืบสวน พร้อมทีมงาน ออกสืบสวนในพื้นที่ พบว่า แก๊งค้ามนุษย์ดังกล่าว ได้เช่าห้องพักอยู่ที่ โรงแรม พี.พี.เฮ้าส์ ริมถนนสาย 332 หมู่ 9 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ 8 ห้อง มีเด็กพัก 11 คน ผู้ใหญ่ 5 คน จึงได้นำบุกเข้าตรวจค้นและจับกุม ร่วมกับ น.ส.อุไรรัตน์ ขูดแก้ว น.ส.สุพัฒนา พาเจริญ นักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.ชลบุรี และ น.ส.ยุพิน อินทร์จอหอ นางวรรณี เกตุแก้ว เจ้าหน้าที่มูลนิธิศูนย์ธารชีวิตพัทยา

สามารถจับกุมตัว นางบุญนิภา หรือแอ๋ว ศรีเพียงจันทร์ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57/1 หมู่ 3 ต.กฤษณา อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี หัวหน้าแก๊ง นายนพนันท์ หรือโจ้ ดีจิตร อายุ 29 ปี ชาว จ.ยโสธร นายธงชัย หรือเบิร์ด ศรีเพียงจันทร์ อายุ 20 ปี และ นายจรูญ หรือรุญ อ่อนแย้ม อายุ 54 ปี พร้อมของกลาง ตู้บริจาค 1 ตู้ บาตร 9 ชุด จีวร 11 ผืน สบง 8 ผืน รัดประคต 2 อัน ย่าม 1 ใบ ผ้ารัดอก 5 ผืน สายประคต 2 ผืน อังสะ 7 ตัว ผ้าคาดเอว 7 ผืน โทรโข่ง 2 เครื่อง เงินบริจาค 11,460 บาท รถยนต์กระบะยี่ห้อ ดีแม๊กซ์ สีเทา ทะเบียน บจ-7219 อ่างทอง 1 คัน ส่วนทางด้าน นายธวัช หรือวัช บุญคุ้ม อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นคนในกลุ่มเดียวกันได้ขับรถหนีออกไปก่อนการจับกุมเพียงเฉียดฉิว

นอกจากนี้ ยังพบเด็กผู้ชายถูกโกนหัว 11 คน อยู่ภายในห้องพักต่าง ๆ ทั้งหมดอยู่ในอาการหวาดระแวง โดยพ.ต.อ.สมชาย ผกก.สภ.สัตหีบ เปิดเผยว่า ได้ทำการสอบสวนบรรดาเด็ก ๆ ทราบว่า ได้มี นางบุญนิภา หรือแอ๋ว ศรีเพียงจันทร์ เป็นผู้ที่ไปหาพ่อ แม่ ญาติ ๆ ที่เป็นลูกหนี้ ว่าจะพาเด็กมาหางานทำ และบางคนก็จะพาไปบวชเป็นสามเณรเพื่อสร้างบุญกุศล ล้างหนี้สินที่ติดค้าง แต่ได้พามาบังคับให้โกนหัว แต่งกายเป็นสามเณร บังคับให้เสพยาบ้า และให้ออกเดินสายเรี่ยไรเงิน ข้าวสาร อาหารแห้ง ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะตลาดเช้าสัตหีบ ตลาดพัทยาใต้ ตลาดเครือสหพัฒน์ ศรีราชา ตลาดหนองมน ชลบุรี ตลาดสระบุรี ตลาดจันทบุรี กรุงเทพฯ ตลาดเมืองใหม่ชลบุรี ซอยอุดมสุข บางนา โดยจะมีรถตู้ หรือรถกระบะมารับ ด้วยการแบ่งเป็นชุด ๆ หากสามารถได้เงิน 10,000 บาท ก็จะได้กลับที่พักมาพักผ่อน ถ้าไม่ได้ก็จะบิณฑบาตจนดึกและเมื่อมาถึงที่พักก็จะถูกทำร้ายร่างกายด้วย นอกจากนี้ จากการสืบทราบว่าแก๊งนี้ยังมีเด็กที่ทำลักษณะเช่นนี้อีกนับ 100 ราย ที่ออกแยกสายกันเดินเรี่ยไรตามจังหวัดต่าง ๆ อีกด้วย

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 ฐาน สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูดรีดบุคคล ไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย มาตรา 317 ฐาน ร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันควร มาตรา 295 ฐาน ร่วมกนทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26(6) ฐาน ร่วมกันใช้ จ้าง วาน ให้เด็กทำงานหรือกระทำการอันอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ มีผลต่อการเจริญเติบโตหรือขัดขวางต่อพัฒนาการเด็ก อีกด้วย แต่ผู้ที่ถูกจับกุมได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด ส่วนทางด้าน นายธวัช หรือวัช บุญคุ้ม อายุ 42 ปี ที่หลบหนีไปจะต้องดำเนินการ ออกหมายจับมาดำเนินคดีต่อไป

ที่มา: เดลินิวส์ ออนไลน์ วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 อ่านความจริง อ่่านเดลินิวส์