Thursday, November 25, 2010

ตะลึงตึงตึง แบบว่านักศึกษาทำงานหารายได้

นักศึกษาขายของ วันนี้เราเป็นนักศึกษาที่ได้รับการพัฒนาแล้ว และก็ได้รับการสนับสนุนจากทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้นักศึกษามีรายได้ นี่ก็คือหนึ่งในกิจกรรมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ให้สามารถหารายได้เองโดยการขายสินค้า ที่ตลาดนัดธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต


สนใจเจอหน้าแม่ค้าน่ารักน่ารักเข้ามาอุดหนุนกันได้นะคะ สนับสนุนนักศึกษา สนับสนุนกิจกรรมดี มา shopping ที่ตลาดนัดกันค่ะ ช๊อบกระจายทุกวันจันทร์ และ พฤหัสบดี 17:00-21:00.

Saturday, November 20, 2010

แคดเมียมในเห็ดหอมแห้ง Cadmium found in edible dry mushroom .

คนไทยมีวิวัฒนาการของการรับประทานอาหารไม่เหมือนชาติใดในโลก คือสามารถนำอาหารท้องถิ่นของแต่ละแห่งมาผสมรวมกันกลายเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่ง ได้อย่างน่าอัศจรรย์

จะว่าเป็นพรสวรรค์หรือฝีมืออันนี้ก็แล้วแต่ใครจะเรียก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเหมือนใครนั่นคือ รสชาติที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

อาหารไทยเป็นอาหารที่มีรสชาติจัดจ้านเป็นเอกลักษณ์ คนจีนกินอาหารที่มีรสชาตินุ่มนวลไม่จัดจ้าน แต่ก็ไม่เชิงไม่มีรสชาติเสียทีเดียว

วัตถุดิบก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น แต่เครื่องจะไม่เยอะเหมือนกับอาหารไทย

เมื่อ คนจีนเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น ก็ได้นำเอาวัฒนธรรม ด้านอาหารการกินเข้ามาด้วย เครื่องปรุงรสที่ใช้ก็จะมีเต้าเจี้ยว ซอส ซีอิ๊วต่างๆ หรือแม้แต่เห็ดหอม

เห็ดหอม เป็นเห็ดที่คนจีนใช้เป็นยาอายุวัฒนะ โดยมีความเชื่อว่าช่วย รักษาหวัด ทำให้เลือดลมดี

ประโยชน์ของเห็ดหอม คือบำรุงสมอง เพิ่มความสดชื่น คึกคัก ช่วย ในระบบย่อยอาหาร ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัว ต้านมะเร็ง รักษาหอบหืด ลดความเครียด ต้านไวรัส บำรุงประสาท ช่วยให้หลับง่าย บำรุงปอด บำรุง หลอดลม ชะลอความชรา

อีกทั้งเห็ดหอมยังมีกรดอะมิโนชื่อ eritadenine ช่วยให้ไตย่อยคอเลสเทอรอลได้ดี โดยตัวเห็ดหอมนั้นล้วนมีแต่ของที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

แต่สิ่งแวดล้อมภายนอกอาจทำให้เห็ดหอมนั้นมีโทษแฝงอยู่ เช่น ปนเปื้อน สารแคดเมียมในเห็ดหอมแห้ง ซึ่งอาจเกิดจากสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อน เช่น อาจมีการเพาะปลูกเห็ดหอมอยู่ใกล้ๆโรงงานอุตสาหกรรมหนักที่อาจปล่อยควันพิษ หรือของเสียต่างๆ หรือโลหะหนักลงสู่แหล่งน้ำและดิน

และเมื่อแคดเมียม ปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำ ดิน และอากาศแล้ว โอกาสที่แคด-เมียมจะปนเปื้อนในพืช ผัก รวมถึงเห็ดที่เพาะปลูกอยู่ใกล้ๆ ก็มีสูงตามไปด้วย

สำหรับวันนี้ สถาบันอาหารได้ทำการสุ่มตัวอย่างเห็ดหอมแห้งเพื่อนำมาวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของสารแคดเมียมในเห็ดหอม จำนวน 5 ตัวอย่าง

ผลวิเคราะห์ ปรากฏว่าพบแคดเมียมปนเปื้อนในทุกตัวอย่าง แต่ปริมาณที่ปนเปื้อนนั้นยังนับว่าไม่สูงมาก

ผลการตรวจวิเคราะห์

วันนี้ยังทานเห็ดหอมกันได้ แต่ไม่ควรทานให้บ่อยมากนัก

โดยควรล้างน้ำโดยการแช่น้ำทิ้งไว้ นาน ๆ (แนะนำให้ใช้เกลือละลายน้ำ ช่วยล้างสารพิษ)

ยังไงฝากช่วยตรวจสารตะกั่วในเห็ดหอม และสาหร่ายทะเลด้วยครับ

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 19 พฤศจิกายน 2553

Tuesday, November 9, 2010

ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ: tiniest drop in the ocean

คำพังเพย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ มีความหมายในลักษณะเปรียบเทียบ ถึงการลงทุนที่สูญเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ ใช้เปรียบเทียบกับการที่เราจะทำสิ่งใดก็ตาม ลงทุนไปมากแต่กลับมองไม่เห็นคุณค่าของมัน หรือว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
เท่ากับเป็นการกระทำที่สูญเปล่า ไม่ส่งผลอะไร (เพราะเป็นไปในลักษณะที่ถมเท่าไหร่ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเต็ม) ที่อาจจะเสียทั้งแรงกาย แรงใจ และทรัพย์สินเงินทอง

คำสำนวนภาษาอังกฤษที่ใกล้เคียงดูเหมือนจะเป็น the tiniest drop in the ocean/หรือ a tiny drop in the ocean

เช่น The money donated to cancer charities is the tiniest drop in the ocean of what is needed to research cancer and its treatments and cures. เงินที่บริจาคการกุศลเพื่อมะเร็ง เป็นเสมือนหยดน้ำเล็ก ๆ ในมหาสมุทร [ของหยดน้ำที่ต้องการจำนวนมหาศาล(ที่จะทำให้กลายเป็นมหาสมุทร)] เป็นเพียงเงินเล็กน้อยของที่ต้องการในการทำการศึกษาวิจัย และ บำบัดและรักษามะเร็งร้าย [เงินน้อยมากจึงทำการวิจัยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิธีการรักษาที่ดีกว่าปัจจุบันจึงยังไม่ถูกค้นพบ เพราะฉะนั้นจึงต้องการเงินบริจาคเงินสนับสนุนอีกมหาศาล]

The effort to implement this strategy will be only the tiniest drop in the ocean. = ความพยายามที่จะดำเนินการตามนโยบายนี้ จึงเปรียบเสมือนการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ (เพราะมันไม่ส่งผลอะไรให้มันดีขึ้น)

ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณรู้มากแค่ไหน ความรู้ของคุณมันน้อยเอามาก ๆ (เปรียบเหมือนหยดน้ำในมหาสมุทร) มีสิ่งที่ต้องค้นหาเรียนรู้ได้ตลอดเวลาเรียนรู้ได้ไม่หมด (เรียนรู้ตลอดชีวิตไงครับ) No matter how much you think you know, it is only a tiny drop in the ocean. There is always more to be discovered.

ดร.SoS

Monday, November 8, 2010

เงินไม่สามารถสร้างสุขได้...

ตายายดวงเฮงใจดี ถูกลอตโต326ล้าน บริจาคการกุศล

คู่รักแคนาดาวัยเกษียณ ถูกแจ๊คพ็อตลอตเตอรี่ กว่า 326 ล้านบาท แบ่งช่วยเหลือการกุศลเกือบหมด เก็บไว้ใช้เองยามลำบากเท่าที่จำเป็น แจงชีวิตสุขสบายดีอยู่แล้ว และเงินไม่สามารถสร้างสุขได้...

รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2553 ว่า คู่สามีภรรยาสูงอายุชาวแคนนาดา กลายเป็นขวัญใจประชาชนทันที หลังบริจาคเงินรางวัลที่ได้รับจากการถูกลอตเตอรี่มากกว่า 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( กว่า 326 ล้านบาท) ช่วยเหลือการกุศล

นางไวโอเลต และนาย อัลเลน ลาร์จ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายในเมืองโลเวอร์ ทูโร รัฐโนวาสโกเทีย แต่ชีวิตกลับพลิกผัน ถูกแจ๊กพ็อตจังเบอร์เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ทั้งคู่เปิดเผยว่า ชีวิตสมบูรณ์แบบมีทุกอย่างที่ต้องการอยู่แล้ว จึงปรารถนาบริจาคเงินรางวัลส่วนใหญ่ให้กับการกุศล และเก็บไว้ใช้จ่ายยามขัดสนเพียงแค่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น ( เกือบ 6 ล้านบาท)

ทั้งคู่คัดเลือกรายชื่อ เพื่อส่งเช็คเงินสดบริจาคเงินไปทางจดหมาย โดยเริ่มจากสมาชิกในครอบครัว แล้วไล่ไปยังโรงพยาบาล สำนักงานดับเพลิง คริสตจักร สุสาน และกลุ่มองค์กรณ์การกุศล "เงินไม่สามารถซื้อความสุขได้" คือคำอธิบายในการตัดสินใจของ อัลเลน อดีตช่างเชื่อมเหล็ก วัย 75 ปี ภรรยาของเขาต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง และผลจากการทำคีโม เป็นเหตุให้เธอผมร่วงทั้งหัว แต่เธอก็ยังบอกว่าเธอรู้สึกโชคดี และแจงว่ามันไม่เคยทำให้เธอรู้สึกรังเกียจตัวเองแต่อย่างใด

เมื่อข่าวความใจดีของพวกเขาแพร่สู่สาธารณะ ก็สร้างความภาคภูมิใจให้แก่เมืองของเขา และในตอนนี้ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของทั้งคู่ ก็ได้ปรากฏอยู่บนจอโทรทัศน์ รวมไปถึงหน้าของหนังสือพิมพ์ในต่างประเทศด้วยเช่นกัน

Sunday, November 7, 2010

รู้ได้ไงว่าถูกเพื่อน จ้องแย่งแฟน?

จากผลการสำรวจหลายครั้งหลายหน พบว่า คนมีคู่นั้น มีแนวโน้มที่จะสุขภาพดี, เครียดน้อย และอายุยืน กันจัง ซึ่งก็น่าจะจริงอ่ะนะ เพราะคนมีคู่หรือมีแฟน อย่างน้อยๆก็เท่ากับมีเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้านที่สามารถให้คำปรึกษาแนะนำ ทั้งเรื่องการดำเนินชีวิตและเรื่องการงานให้กันและกันได้

หรือถ้า เผื่อให้คำแนะนำไม่ได้ แต่คนรักของคุณก็ย่อมยินดีที่จะรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นกับคุณบ้างล่ะว้า แถมเผลอๆ เขาจะคอยให้กำลังใจแก่คุณซะด้วยสิ...อู๊ยนี่ละค่ะ ที่เป็นข้อดีของการมีคนรัก

แต่ก็อีกล่ะนะ ชีวิตของพวกเราจะเวรี่ กู้ด (ดีเลิศประเสริฐศรี) เพราะมีคนรักก็ต่อเมื่อ...สุดเลิฟของคุณคนนั้น ต้องรักและห่วงใยคุณอย่างจริงจังและจริงใจด้วยนะซี

แบบว่า ในเมื่อคุณรักเขาอย่างหมดใจ เขาก็ควรรักคุณชนิดถึงไหนถึงกันด้วยนั่นแหละ เพราะถ้าขืนคนรักหรือแฟนของคุณเป็นคนไม่ดีแล้วไซร้ แล้วคิดรึว่าจะมีสุขภาพดี, เครียดน้อย และอายุยืน...ฮ้า! อุ๊ย...ถ้าขืนมีแฟนไม่ดี, ชอบสร้างปัญหา และชักนำแต่เรื่องไม่สบายอกสบายใจมาให้ละก็ จะไปทำให้ "คนอยู่ด้วยกัน" มีความสุขสันต์, หรรษา, ร่าเริง และสุขภาพดีได้ไงเนอะ

เอ้า งั้นพวกเราเวลารักใครชอบใครและจะเป็นแฟนกับใคร ก็ขอให้ทั้งคุณและเขาเลิฟกันจริงๆเหอะนะ แล้วเชื่อเลยว่า ชีวิตเลิฟของคุณๆจะแฮปปี้ชะชะช่าแน่นอน

ส่วนสัปดาห์นี้ อยากชวนคุยเรื่องเพื่อนกันดีกว่า เพราะมีคำถามชวนสงสัยเข้ามาอีกแล้วจ๊ะ ว่าเพื่อนที่มีพฤติกรรมแย่งแฟนเพื่อนได้ลงคอน่ะ...มีจริงปะ? แหม...ถามได้ ก็มีจริงสิยะ แต่อย่าถามนะ ว่าเค้าทำกันได้ยังไงเนี่ย? โห...ไม่คำนึงถึงความเป็นเพื่อนกันเลยรึไง?

อู๊ย...ถ้าคิดถึงความ เป็นเพื่อนกันล่ะก็ คนดีๆที่ไหนจะเลว...เอ๊ย จะกล้าแย่งแฟนเพื่อนได้ลงคอล่ะท่าน นี่แสดงว่าไอ้คนคนนี้มันไม่คำนึงถึงความเป็นเพื่อนแล้วน่ะสิ ถึงได้กล้าแย่งแฟนของเพื่อนอย่างหน้าด้านๆ ซึ่งหากใครโชคร้ายมีเพื่อนเป็นคนแบบนี้เข้าละก็ มีแต่ซวยกับซวย โอ๊ย อย่าให้เซดเลย

ว่าแต่ถ้าหากเพื่อนจ้องที่จะแย่งแฟนของคุณขึ้นมา ก็น่าจะมีสิ่งที่พอจะสังเกตเห็นพฤติกรรมอันไม่บริสุทธิ์ใจของ "ไอ้เพื่อนเลว" คนนี้อยู่เหมือนกันนะ ส่วนจะมีอะไรนั้น ขอแซมเปิ้ลแจกแจงให้ฟัง ดังต่อไปนี้ เช่น... 1.พิจารณาจากประวัติความฉาวโฉดของเจ้าเพื่อนคนนี้ดูก็ได้ ว่าเค้าเคยมีประวัติด่างพร้อยในเรื่องของการเผลอใจไปรักแฟนเพื่อนมาก่อนหรือ ไม่

ถ้าเคยละก็ โอ๊ะโอ ย่อมมีความเป็นไปได้นะสิว่า ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยเอาก็ได้ แถมประวัติร้ายๆหยั่งงี้ ยังบอกให้รู้ซะด้วยดิว่า ไอ้คนแบบนี้สงสัยจะไม่ชอบหาแฟนเองแฮะ ถึงได้มักง่ายคิดแต่จะแย่งแฟนเพื่อนไปเป็นแฟนของมันยังไงล่ะ...เอ้ แต่บางทีไอ้นี่ไม่ได้อยากแย่งแฟนเพื่อนมาเป็นแฟนตัวเองก็ได้ เพราะอาจคิดแค่อยากจะ "ฟัน" หรือมีเพศสัมพันธ์กับแฟนของเพื่อน ก็มีนี่หว่า

งั้น หากคุณมีเพื่อนที่มีประวัติไม่โสภาสถาพรหยั่งงี้ละก็ ควรระวังไว้ให้ดีก็ละกัน แม้ในอนาคตอาจไม่รู้แน่ชัดหรอกว่ามันจะมาแย่งแฟนเรารึเปล่า? (เพราะอาจไปแย่งจากเพื่อนคนอื่นก็ได้) แต่อย่าเผลอดีกว่า ถึงไงก็อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคนแบบนี้ เดี๋ยวเถอะจะใสเจีย...เสียใจทีหลังนะเอ๊า

2.สายตาของเพื่อนเอาแต่จ้องมองมาที่แฟนของคุณรึเปล่า?
หาก คุณพาแฟนไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆของคุณ แล้วเผอิ๊ญคุณสังเกตเห็นว่ามีเพื่อนคนนึงเอาแต่จ้องมองแฟนของคุณแทบไม่ กะพริบตาแล้วละก็ อุ๊ย อย่างนี้ก็สันนิษฐานได้เลยว่า เจ้าเพื่อนคนนี้กำลังคิดไม่ซื่อแล้วแหงๆ เอ้า...ถ้าคิดดีและไม่ประสงค์ ร้าย แล้วจะจ้องแต่แฟนของคุณทำไมวะ

หันไปมองคนอื่นๆบ้างก็ได้นี่...ใช่ปะ งั้นจงระวังคนสายตาหื่นหยั่งงี้ละกัน

3.สนใจอยากรู้เรื่องของแฟนคุณจนเกินเหตุ
ประมาณ ว่า เจ้าเพื่อนคนนี้เจอคุณเป็นไม่ได้ ต้องรีบปรี่เข้ามาถามคุณอยู่เรื่อยแหละว่า แฟนของคุณตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่, ไปช็อปปิ้งที่ไหน, ไปกับใคร, แฟนของคุณมีเพื่อนกี่คน, มีใครบ้าง, แฟนของคุณมีงานอดิเรกอะไร แถมยังถามไปถึงเรื่องส่วนตัว ว่า คุณกับแฟนเจอกันได้ยังไง, เจอที่ไหน, คุณชอบแฟนตรงไหน, ทำไมถึงชอบ และอีกสารพัดคำถาม...เฮ่อ มันอยากรู้ซอกแซกจนเว่อร์เกินไปเนอะ

ก็เพราะสนใจจนเกินพอดีแบบนี้แหละ ที่เข้าข่าย อ.ต.ร. อันตรายล่ะ

4.ชอบซื้อของมาฝากแฟนของคุณบ่อยๆ เอ๊ะ ชักยังไงซะแล้วแฮะ
แบบ ว่า เพื่อนชอบอ้างเสมอเลยว่า พอไปเห็นอะไรที่มันน่ารักหรือน่ากิน หรือใครเค้าว่าเป็นของอร่อย ก็มักคิดถึงแฟนของคุณอยู่เรื่อย ดังนั้น จึงซื้อของมาฝากแฟนของคุณซะเลย

แต่เอ...ไอ้เพื่อนคนนี้ของคุณก็ แปลกแฮะ แทนที่จะซื้อของมาฝากเพื่อนด้วยกัน มันกลับซื้อของมาฝากแฟนของเพื่อนได้ไงวะเนี่ย โอ้มายก็อด ทำงี้มันน่าเกลียดจะตายไป

อื้อหือ หยั่งงี้ก็ยิ่งส่ออาการสิว่า กำลังคิดมิดี มิร้ายกับคุณและแฟนของคุณแหงซะ

5.อยากได้เบอร์โทรศัพท์ของแฟนคุณเหลือเกิน โอ้โหชักเหิมเกริมใหญ่แล้ว
โดย เจ้าเพื่อนคนนี้อาจหน้าด้านขอเบอร์แฟนของคุณจากคุณตรงๆเลยก็ได้ แล้วถ้าคุณไม่ให้ มันก็จะเบนเข็มไปถามไถ่ชนิดอยากรู้ให้ได้ว่า ใครบ้างที่เป็นเพื่อนของแฟนคุณ เพื่อที่มันจะได้ไปกะลิ้มกะเหลี่ยขอเบอร์โทรศัพท์จากเพื่อนของแฟนคุณไง หรือไม่งั้นเวลาที่เจอกับแฟนของคุณเมื่อไหร่ ก็จะตรงดิ่งเข้าไปขอเบอร์แฟนคุณทันที โอ๊ยโหยว ทำงี้ต้องไม่มาดีแน่นอน

แล้วทันใดนั้น ก็ทำเป็นพูดจากลบเกลื่อนว่า ที่อยากได้เบอร์โทรศัพท์น่ะ เพราะแฟนของคุณอัธยาศัยดีซะจนอยากเป็นเพื่อนด้วย แต่ใครจะหลงกลฮ้า ไม่รู้ซะแล้วว่าแฟนเพื่อนคือของหวงห้าม!

ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า เมอร์ลิน ไทยรัฐออนไลน์ 3 ตุลาคม 2553

ประโยคแสลงหู ทำให้หญิงอึดอัดใจ

สิ่งแรกที่ทำให้คุณสะดุดตาใครสักคน จะให้ น้ำหนักไปที่สิ่งไหนมากที่สุดน้า? แบบว่า ให้ความสำคัญไปที่หน้าตาของใครคนนั้นรึเปล่า เพราะได้ยินบ่อยนี่หว่า ว่าถ้าหน้าตาดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่แหม บางคนก็ไม่ได้คิดอย่างเดียวกันนี้นะฮ้า แถมยังให้เหตุผลซะอีกว่า ถ้าขืนไปชอบคนที่หน้าตาดีเพียงอย่างเดียวก็ไม่ไหวอ่ะ เพราะคนหน้าตาดีน่ะ มีสิทธิ์ที่จะเป็นคนเจ้าชู้ด้วยน่ะซี

เอ้าก็คิดดูละกัน ว่าคนหล่อคนสวยเค้ามักจะภูมิใจในความเลิศเลอเพอร์เฟกต์ของใบหน้าตัวเองซะจน อาจนิยมมีรักเผื่อเลือกไปเรื่อยๆก็ได้นะ หนำซ้ำพวกหน้าตาดีมักจะมีผู้คนมากมายเสนอตัวเข้ามาทำความรู้จักมักจี่ หรือไม่ก็เข้ามาขายขนมจีบกันอย่างหน้าด้านๆ...เอ้ย ปรี่เข้ามาขายขนมจีบกันอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น คนหน้าตาดีจึงอาจเป็นคนช่างเลือกด้วยนะเอ้า

แต่แหม ถ้า "คนหน้าตาดี" จะเป็นคนช่างเลือกก็เป็นสิทธิ์ของเค้านะ ก็ในเมื่อเค้าเป็นพวกหล่อเลือกได้ หรือสวยเลือกได้ แล้วทำไมจะไม่เลือกล่ะ ต้องถือว่าคนหน้าตาดีเป็นคนโชคดีมากกว่าสิ

ซึ่งก็เอาเถอะ หากท่านใดสนใจอยากเป็นมิตรกับใครเพราะหน้าตามาเป็นอันดับหนึ่งหรือไม่ ตรงนี้คงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละท่านแล้วกัน ซึ่งแน่นอนว่า ทุกคนย่อมมีรสนิยมที่แตกต่างกันไป จะชอบคนหล่อ คนสวย หรือคนหน้าตาธรรมดาก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงให้เค้าเป็นคนดีก็แล้วกันเนอะ

เอา ล่ะ มาเข้าประเด็นที่อยากชวนคุยในสัปดาห์นี้กันเลยดีกว่า เพราะเท่าที่สังเกตสังการู้สึกว่า คำพูดคำจาที่ผู้ชายจะเอ่ยปากชวนฝ่ายหญิงคุยนั้น ถือเป็นสิ่งนึงที่ฝ่ายหญิงจะนำมาใช้ในการตัดสินใจว่าจะคบกับหนุ่มคนนี้ต่อไป ดี หรือจะตัดหาง ปล่อยวัดเค้าไปซะ

ทำไมน่ะเหรอ? เอ้า ก็เพราะผู้ชายบางคนแทนที่จะชวนคุยในเรื่องที่ทำให้สาวๆรู้สึกสบายอกสบายใจ และสร้างความสนุกสนานเฮฮาให้กับคุณเธอ (ซึ่งถ้าทำได้หยั่งงี้ รับรองหล่อนคงหลงเสน่ห์และอยากคบเค้าต่อไปอีกแน่ๆ) แต่หนุ่มบางคนไม่เป็นงี้สิ เพราะ ดั้น...สะเหล่อชอบชวนผู้หญิงคุยในเรื่องที่ทำให้เธออึดอัดใจเข้าให้ เฮ่อ ขืนเป็นซะแบบนี้ แล้วจะมีสาวคนไหนอยากคบหาเค้าเป็นเพื่อน หรือเป็นแฟนกันล่ะ ถ้าในเมื่อยังขืนพูดจาไม่ถูกหูซะหยั่งงี้ ก็อย่าคบกันดีกว่ามั้ง

อ่ะ งั้นมาดูละกันว่ามีคำพูดอย่างไรบ้างที่มักสร้างความขุ่นเคืองใจให้ฝ่ายหญิง แถมยังชวนให้อึดอัดใจซะด้วยซี เอ้าขอยกตัวอย่างเป็นแซมเปิ้ลให้ฟังละกัน เช่น...

1. ถ้าเผื่อคุณซึ่งเป็นฝ่ายหญิงที่มีน้องสาว หรือพี่สาว แล้วเผอิ้ญหนุ่มที่เข้ามาจีบดันรู้เข้าและพูดเปรียบเทียบขึ้นมาทำนองว่า แหมทำไมน้องสาว (หรือพี่สาว) น่ารักกว่าคุณตั้งแยะ

โอ๊ะ โอ หากขืนพูดประชด เอ๊ะ...หรือบางทีเค้าอาจแค่อยากจะกระเซ้าเย้าแหย่คุณก็ได้ แต่กรุณารู้ไว้เถอะ ว่าคำพูดอย่างนี้น่ะ มันแสลงรูหูแถมยังแสลงใจของฝ่ายหญิงด้วยนะเฟ้ย

ถึงแม้น้องสาวหรือพี่ สาวของหล่อนจะสวยหรือน่ารักกว่าก็จริง แต่ไอ้หนุ่มปากบอนรายนี้ก็ไม่ควรไปพูดจี้ใจดำเธอขึ้นมารู้ไหม เนี่ยแสดงว่า ไม่รู้จักรักษาน้ำใจของฝ่ายหญิงบ้างเลย

แล้วหยั่งงี้สาวคนไหนยังอยากคุยกับตานี่ต่อไปล่ะ

2. ในกรณีที่ยังรู้จักกันได้ไม่นาน แบบว่าฝ่ายหญิงยังไม่ทันรู้เลยว่ากำพืด...เอ้ย นิสัยใจคอของฝ่ายชายเป็นคนอย่างไร แต่เค้ากลับถามขึ้นมาว่าชอบผมรึเปล่า?

แหม ช่างเป็นหนุ่มใจร้อนซะจริงๆ ไม่รู้มันจะร้อนรนและใจร้อนไปถึงไหน ถึงอยากรีบรู้นักว่าคุณนั้นมีใจชอบเค้ารึยัง เอ๊ะ รึว่าที่อยากรีบรู้ความในใจของคุณเร็วๆ เพราะเค้าจะได้ไปเตรียมตัวเตรียมใจตัดสินอนาคตของตัวเองไงว่า จะรีบชิ่งหนีไปซะ ถ้าเผื่อคุณตอบว่ายังไม่รู้สิ เพราะยังรู้จักกันได้ไม่นานเท่าไหร่นี่หว่า แล้วมาถาม คำถามที่สร้างความลำบากใจให้ทำไมวะ

รู้เปล่าว่า ชายที่ถามคำถามนี้กับผู้หญิงน่ะ แสดงว่าเค้าเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ ดังนั้น เค้าถึงอยากรู้น่ะสิว่า คุณมีใจให้เค้าหรือไม่นั่นเอง

แต่ที่บอกนี่ ก็ไม่ได้ห้ามให้หนุ่มๆถามคำถามนี้กับฝ่ายหญิงนะ เพียงแต่ควรถามเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมมากกว่า นั่นก็คือ ควรให้เวลาฝ่ายหญิงทำความรู้จักกับฝ่ายชายสักระยะนึงก่อน เช่น คบกันมาแล้วสัก 6 เดือน หรือปีนึง เออหยั่งงี้ หล่อนจะได้ตัดสินใจถูก และรู้ใจตัวเองว่าจะตอบอย่างไร

ไม่ใช่รีบมาถาม เพื่อจะได้รีบชิ่งหนีถ้าเธอตอบว่ายังไม่รู้! ก็ไม่แฟร์กับฝ่ายหญิงนะ

3. ถ้าคบกันไปสักระยะแล้ว เค้าดันถามโพล่งออกมาว่า คุณเคยนอนกับผู้ชายมาแล้วกี่คน? อู้หู ขืนถามแบบนี้ ฝ่ายหญิงก็น่าตบ "คนถาม" แทนคำตอบไปซะเลยก็แล้วกัน

เพราะไม่มีผู้ชายดีๆที่ไหนกล้า ตั้งคำถามประมาณนี้เพื่อถามคนที่ตัวเองจีบหรอกเว้ย ถึงแม้เค้าจะอยากรู้ก็ตาม แต่มันก็เป็นคำถามที่กวนทีนและกวนใจคนฟังเป็นอย่างยิ่ง

รู้ซะบ้างสิ ว่าคำถามแบบนี้อย่างัดออกมาพูด ให้เสียความรู้สึกกันเลย หากผู้ชายคนไหนไม่ไว้ใจผู้หญิงในเรื่องพรรค์นี้แล้วละก็ เอ็งจะไปจีบหรือคบหล่อนทำไมฮ้า!

4. พูดถึงแต่ความไม่ดีของเพื่อนผู้ชายของเธอ
แบบนี้ก็เท่ากับเค้าแสดงธาตุแท้ออกมาแล้วสิว่าทั้งหึงทั้งหวง ด้วยการพูดถึงแต่สิ่งที่ไม่ดีของเพื่อนผู้ชายของหล่อน เช่น ถ้าเค้ารู้ว่า เอ (เพื่อนผู้ชายของฝ่ายหญิง) เป็นพวกชอบเที่ยวกลางคืน เค้าก็จะเอา "เอ" ไปเล่าให้หล่อนฟังทันทีว่า เพื่อนของเธอนั้นมีนิสัย แบบนี้นะ

แหม ทำอย่างกะหล่อนไม่รู้มาก่อนงั้นแน่ะ แล้วถ้าจะใช้วิธี "ใส่ร้าย" เพื่อนของหล่อนเลยล่ะก็ อู้ยมันจะมากเกินไปแล้ว รู้ซะมั่งซิจ๊ะ ว่าถึงแม้เพื่อนของเธอจะดีหรือไม่ดี ก็ปล่อยให้ฝ่ายหญิงรู้เองดีกว่า ไม่ต้องคอยยุให้รำตำให้รั่วหรอกเฟ้ย.

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ โดย เมอร์ลิน 24 ตุลาคม 2553

อุปสรรคขวางรัก (ที่คู่เลิฟมักเจอ)

ความรักเป็นสิ่งท้าท้าย ย่อมมีอุปสรรคทดสอบรักเป็นธรรมดา อุปสรรคขวางรัก ที่คู่เลิฟมักเจอ :0

อันว่าความรักเนี่ยมักได้ยิน "คนที่รักเป็น" พูดให้ฟังอยู่เรื่อยว่า ถ้าหากรักใครแล้วก็อย่าทำเป็นเงียบหรือนิ่งเฉย หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้เชียว ทางที่ดีคุณควรจะบอกถึงความรู้สึกที่คุณมีต่อ "คนที่คุณรัก" หรือไป "แอบรัก" เค้าซะเลยจะดีกว่า ขืนเก็บงำความรักเอาไว้ระวังจะอึดอัดหาวเรอเอานะเออ ซึ่งถ้าบอกไปแล้ว หากโชคดีบางทีคำว่ารักอาจเป็นคำที่จุดชนวนความคิดให้เค้าทบทวนใจตัวเองก็ได้ ว่ารักคุณรึเปล่า? ซึ่งหากใจตรงกันพอดี๊พอดีละก็ แฮปปี้ เอนดิ้งสิจ๊ะงานนี้

แต่ ถ้าเผื่อเค้าไม่ได้รักคุณแบบชนิดที่จะคว้ามาเป็นแฟน และเค้าบอกออกมาตรงๆ เพราะไม่อยากหลอกให้คุณหลงละเมอ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะไม่มีใครประสบความสำเร็จในความรักเสมอไปหรอก ซึ่งหากเค้าไม่รักตอบก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเกลียดคุณซะหน่อย ตรงข้าม เค้าอาจรู้สึกขอบคุณคุณอยู่ก็ได้ที่มอบความรู้สึกดี ๆ ให้ แล้วหลังจากนั้นก็ยังเป็นเพื่อนต่อไปได้

เพราะมีคนมารักนั้นดีกว่ามีคนเกลียดนี่หว่า แล้วทำไมจะไม่ชอบล่ะ!

พูดถึงเรื่องรักๆเลิฟๆแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ความรักแต่ละครั้งของคนเรานั้นไม่ได้สมูท แอส ซิลค์ (ราบรื่น) เสมอไปอ่ะ ก็ดูจากตัวอย่างที่ยกมาให้ฟังข้างต้นก็ได้ คือถ้าไปรักคนที่เค้าไม่รักเรา แม้สุดท้ายจะเป็นเพื่อนกันต่อไปได้ แต่ก็ทำให้ "ฝ่ายที่ไปรัก" รู้สึกผิดหวัง เพราะไม่ สมหวังในรักนั่นเอง ดังนั้น นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้ รู้ว่า หากมีรักก็อย่าลืมคำว่าเสียใจนะฮ้า

และสัปดาห์นี้ก็ไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้โซแซด (เสียใจ) กันหรอก เพราะอยากชวนคุยถึงอุปสรรคที่ขัดขวางความรักต่างหากล่ะ เอ้าโห...บางคู่กว่าจะฝ่าฝัน...เอ๊ยฝ่าฟันมารักและมาคบกันได้นี่ มันไม่ใช่เรื่องหมูๆนะเฟ้ย เพราะบางทีอาจมีอะไรบางอย่างมาขวางทางรักอยู่ก็ได้ เช่น...

1. สมาชิกในครอบครัวของเค้าไม่เห็นด้วยกับรักของเรา

อ้าว ๆ ขืนเป็นงี้แล้วคุณกะเค้าจะรักกันต่อไปได้รึ ในเมื่อดั๊น...ดันมีสมาชิกในครอบครัวของเค้าไม่เห็นด้วยกับการที่เค้ากับคุณ จะมาจับคู่ชูรสชูรักกันน่ะซี

กระนั้นต้องดูว่าสมาชิกในครอบครัวของเค้าที่ไม่เห็นด้วยกับรักของเรานั้นคือใครกันล่ะ?

ถ้าคนที่ไม่เห็นด้วยเป็นพี่, ป้า, น้า, อา หรือน้องของเค้าก็ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะหากใครคนใดคนหนึ่งในที่นี้ "ไม่เห็นด้วย" กับเค้าที่มารักกะคุณ ก็ยังพอปรับความเข้าใจกันได้

แต่หากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเป็นพ่อแม่ ของเค้าดิ โอ๊ยโหยว...งานนี้คงหินมากๆ ที่จะฝ่าด่านอรหันต์แฮะ ทว่าอย่าเพิ่งใจแป้ว หรือตีโพยตีพายว่า สงสัยคงจะไม่ได้เป็นสะใภ้ของบ้านนี้แหงเลย...ก็ขอให้คุณใจเย็นๆไว้ก่อน เพราะถ้าผู้ใหญ่ของฝ่ายเค้าไม่เห็นด้วยกับ "รักคราวนี้" ก็แสดงว่าท่านย่อมมีเหตุผลแน่นอน ดังนั้น คุณควรหาสาเหตุให้ได้ว่าเป็นเพราะอะไรล่ะที่ทำให้ท่านไม่ยอมรับ "รักของเรา"?

แบบว่าเป็นเพราะท่านยังไม่รู้จักคุณดีพอรึเปล่า ถึงไม่อยากให้พวกคุณคบกัน? ซึ่งหากเป็นงี้ เห็นทีคุณคงต้องกล้าเข้าหาพ่อแม่ของเค้าบ่อยๆแล้วล่ะ จะได้ไปเปิดตัวเปิดใจทำความรู้จัก มักจี่กับทางผู้ใหญ่ของแฟนให้แน่นแฟ้นกันซะเลย ก็ไหนๆไปรักกะลูกเค้าแล้วนี่หว่า หรือถ้าหากเกิดจากกรณีที่ท่านไม่ชอบคุณ เพราะเผอิญได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ว่าคุณไม่ดีอย่างโง้น อย่างงี้ละก็ ขอแนะจ้ะว่า แบบนี้คุณยิ่งควรเข้าหาผู้ใหญ่ของเค้ามากยิ่งขึ้น

เพื่อ ท่านจะได้ทราบไงว่า ไอ้ข่าวลือหรือข่าวลวงที่กล่าวหาว่าคุณเป็นคนไม่ดีนั่นน่ะ มันเป็นเพียงข่าวโคมลอยไม่ใช่เรื่องจริงซะหน่อย แต่ คุณถูกใส่ร้าย...ฮือๆ ไม่ย้อมไม่ยอม

แต่เอ่อ ถ้าเผื่อเป็นเรื่องจริงขึ้นมาละก็ งั้นตัวใครตัวมันละกันนะน้อง เพราะท่านผู้ใหญ่น่ะเค้าดูคนเป็น และดูออกนะยะว่าใครดีหรือใครไม่ดี เอ้าถ้าดีจริงท่านก็ไม่ขัดขวางนานนักร้อก ส่วนใหญ่มักจะตามใจลูกหลานมากกว่า ประมาณลูกรักใครพ่อแม่ก็รักด้วยไงเล่า

2. โดนมือที่ 3 เข้าแทรกแซง
คน เราบางคนนี่ก็แปลกนะ แทนที่จะไปรักไปชอบกับคนโสดซิงๆ กลับไม่หรอก เพราะชอบหาเหยื่อที่เป็นคนมีเจ้าของแล้ว แบบว่าไปแย่งเค้ามาเป็นแฟนอีกทีมากกว่า เออ...พวกนี้มันบ้าหรือเป็นโรคจิตกันแน่ก็ไม่รู้ ถึงได้ชอบไปตื๊อคนมีแฟนแล้วเพื่อให้ มาเป็นแฟนของตัวอย่างหน้าด้านๆได้อย่างเลือดเย็น ซึ่งหากคู่ไหนเจอกรณีถูกมือที่ 3 เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยละก็ ขอให้ใจคอของคู่รักแต่ละคนไม่วอกแวก วอแว หรือเอนเอียงจนเผลอใจไปให้กับไอ้พวกที่พยายามเข้ามาเป็นมือที่ 3 ก็ละกัน

3. ถูกพวกยุให้รำตำให้รั่วกลั่นแกล้ง
พวก ที่มีพฤติกรรมแบบนี้สงสัยจะอิจฉาในความรักอันดูดดื่มและดื่มด่ำของคู่รัก อย่างคุณและเค้าละมั้ง ถึงได้หาวิธีทุกวิถีทางกีดกันไม่ให้รักของคุณอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นไงล่ะ

อย่างไรก็ตาม คิดว่าคู่รักส่วนใหญ่คงรู้นะว่า ใครคนไหนที่ปากพร่อยชอบปล่อยลมปากเหม็นๆ มายั่วยุให้คู่ของคุณผิดใจซึ่งกันและกัน เพราะดูไม่ยากหรอกไอ้คนแบบนี้น่ะ เนื่องจากมันไม่เคยมีความจริงใจกับพวกคุณเลยน่ะซี แหม...แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว จึงอย่าไปเชื่อถือไอ้พวกนี้ละกันนะ

4. แล้วนิสัยของคู่รักแต่ละคนล่ะเข้ากันได้อ่ะเปล่า

คู่รักที่แตกแยกกันบางคู่นี่นะ บางทีก็ไม่ได้มีต้นเหตุมาจากบุคคลภายนอกหรอก แต่เป็นเพราะพฤติกรรมและนิสัยใจคอของพวกเค้านี่แหละที่ทำให้ ต้องล่มเรือรักมานักต่อนักแล้ว

อย่างบางคนงี้ชอบโกหกแฟนจัง ยิ่งถ้าเป็นคนเจ้าชู้ด้วยแล้ว...โอ๊ยตัวดีเลย เพราะจะชอบมุสากับแฟนบ่อย ซึ่งนิสัยราวๆนี้แหละที่ไม่มีใครอยากเป็นแฟนด้วย ใครว่ะชอบให้แฟนโกหก...ฮ้า!

เมอร์ลิน

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ # ร้อยแปดพันเก้า เมอร์ลิน # วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2553

Saturday, November 6, 2010

The River Kwai Bridge สะพานข้ามแม่น้ำแคว

งานวิศวกรรมที่เจ๋งที่สุดมีมากมาย ในประเทศไทยมีผลงานทางวิศวกรรมโยธาที่ยิ่งใหญ่ ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 "World War II (WWII)" โดยทหารพันธมิตร ถูกใช้เป็นทาส (slaves) ในการก่อสร้างสะพาน ที่เรียกว่า สะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานนี้เป็นสะพานเหล็กที่มีฐานเป็น Roller supports พวกเขาตั้งใจจะสร้างสะพา่นนี้ให้ดีที่สุด ซึ่งระหว่างการก่อสร้าง ฝ่ายพันธมิตรก็พยายามที่จะทำลายสะพานนี้ แต่สะพานก็รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด เราจึงได้เห็นอย่างทุกวันนี้ ระยะทางก่อสร้างทางรถไฟทั้งหมดมีความยาวถึง 260 ไมล์ (416 km) มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในระหว่างการก่อสร้าง

ªªª Bridge on River Kwai: Documentary ªªª
ªªª Documentary account of the infamous story of ªªª
ªªª the greatest engineering project of WWII. ªªª
ªªª The Japanese used Allied (British) POWs as slaves ªªª
ªªª to construct a 260 mile railway.


British POWs in Burma are employed by the Japanese to build a bridge; meanwhile, British agents seek to destroy it. After surrendering his unit to the Japanese. Colonel Nicholson demands his men behave by the book, and refuses to cooperate with the equally dutiful Japanese commander. When the Japapese insist that the POWs build a bridge, they decide to build the best one possible, thereby restoring morale. But after one of the men escapes to Australia and lets the British commander there know of the operation, he is sent back to the jungle to destroy the tactically-crucial bridge that his comrades are desperately trying to complete.

Wednesday, November 3, 2010

ธุรกิจ"ไก่ตาแตก" เสรีอาเซียน

เกษตรกร 100% ไม่รู้จัก ชี้เอสเอ็มอีแข่งลำบาก

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหา วิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการ 500 รายใน 11 กลุ่มธุรกิจ เกี่ยวกับความพร้อมและความเข้าใจต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ว่า มีผู้ประกอบการเข้าใจเออีซีในปี 53 เพิ่มขึ้นจากปี 52 เพียงเล็กน้อย 5.1% และที่สำคัญภาคเกษตรกรยังไม่รู้จักและไม่เข้าใจเออีซีถึง 100% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมไม่เข้าใจ 82.9% ภาคบริการไม่เข้าใจ 74.8%

ทั้งนี้ประเด็นที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ไม่เข้าใจ 3 อันดับ แรกได้แก่ การเปิดเสรีภาคบริการ มาตรฐานสินค้าร่วมของอาเซียน และกรอบการลดอัตราภาษีศุลกากรหรือการเปิดเสรีการค้าสินค้า ขณะที่ประเด็นผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่เข้าใจ ได้ แก่ การเปิดเสรีภาคบริการ กรอบการลดอัตรา ภาษีศุลกากรหรือการเปิดเสรีการค้าสินค้า และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ ทำให้หลังจากนี้ รัฐต้องเร่งประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจเชิงรุกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ไทย พร้อมแข่งขันเออีซีโดยสมบูรณ์ในปี 58

“ความเห็นต่อประโยชน์การเข้าเป็นเออีซีต่อธุรกิจไทย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 59.4% คิดว่าจะได้ประโยชน์ ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ 72.8% เห็นว่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน แต่จากสัดส่วนธุรกิจที่เข้าใจเออีซีช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 5.1% ยังถือว่าน่าเป็นห่วงเพราะหากในปี 58 สัดส่วนผู้เข้าใจเออีซีไม่เพิ่มขึ้นถึง 50% เป็นสัญญาณว่าธุรกิจไทยจะแข่งขันไม่ได้”

ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐต้องเร่งดำเนินการในลำดับแรกคือ เร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ข้อดีข้อเสีย กำหนดแผนงานและนโยบายส่งเสริมที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม สร้างความเชื่อมั่นด้านการเมือง จัดงานแสดงสินค้าในต่างประเทศให้มากขึ้น ปรับโครงสร้างการศึกษาให้มีศักยภาพ เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และพัฒนาทักษะแรงงานและทักษะด้านภาษา

นายอัทธ์กล่าวต่อว่า ภาพรวมการแข่งขันพบว่า เอสเอ็มอีมีความพร้อมแข่งขัน 59.4% ไม่พร้อม 40.6% ด้านเงินทุนเอสเอ็มอีมีความพร้อม 41.6% ไม่พร้อม 58.4% ส่วนด้านการแข่งขันของธุรกิจขนาดใหญ่มีความพร้อม 72.8% ไม่พร้อม 27.2% ด้านเงินทุนพร้อม79% ไม่พร้อม 21% ปัจจัยที่ทำให้ไม่พร้อมได้แก่ ธุรกิจมีทุนจำกัด เข้าถึงเงินทุนยาก อัตราดอกเบี้ยสูง ด้านศักยภาพของบุคลากรระดับบริหารกลุ่มเอสเอ็มอีพร้อม 67.1% ไม่พร้อม 32.9% กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่พร้อม 78.6% ไม่พร้อม 21.4% สาเหตุที่ทำให้ไม่พร้อมได้แก่ บุคลากรด้านบริหาร มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยขาดทักษะภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีนและภาษาในประเทศอาเซียน การบริหารงานเป็นแบบครอบครัว

ด้านศักยภาพบุคลากรระดับปฏิบัติการ เอสเอ็มอีพร้อม 42.1% ไม่พร้อม 57.9% ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ พร้อม 74.1% ไม่พร้อม 25.9% ปัจจัยที่ไม่พร้อมได้แก่ บุคลากรขาดความชำนาญ ขาดทักษะด้านภาษา บุคลากรขาดความอดทน เปลี่ยนงานบ่อย ด้านต้นทุนการผลิตและบริการต่อหน่วย เอสเอ็มอีพร้อม 33.3% ไม่พร้อม 66.7% ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่พร้อม 66.8% ไม่พร้อม 33.2% ปัจจัยที่ไม่พร้อมได้แก่ ต้นทุนสูงจากราคาวัตถุดิบสูง อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันผันผวนควบคุมต้นทุนยาก

ส่วนการส่งเสริมของภาครัฐในการใช้ประโยชน์จากการมีเออีซี เอสเอ็มอี พร้อม 36.5% ไม่พร้อม 63.4% ธุรกิจขนาดใหญ่ พร้อม 63.4% ไม่พร้อม 42.1% ปัจจัยที่ไม่พร้อม เพราะรัฐมีความพร้อมด้านพิธีการศุลกา กร วิชาการ การส่งเสริมของภาครัฐทำให้ธุรกิจสามารถขยายฐานการผลิต และบริการจำกัด

นายอัทธ์กล่าวอีกว่า จุดแข็งที่ทำให้ภาคธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้ ด้านระดับการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและการบริหารจัดการ เอสเอ็มอีพร้อม 53.4% ไม่พร้อม 46.6% ธุรกิจขนาดใหญ่พร้อม 75.4% ไม่พร้อม 24.6% ด้านคุณภาพสินค้าและบริการ เอสเอ็มอีพร้อม 75% ไม่พร้อม 25% ผู้ประกอบการขนาดใหญ่พร้อม 85.8% ไม่พร้อม 14.2% ปัจจัยที่มีความพร้อม สินค้ามีคุณภาพตรงความต้องการของลูกค้า ระบบตรวจสอบคุณภาพที่เข้มงวด และได้มาตรฐานระดับสากลซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี


ด้านบริหารจัดการ เอสเอ็มอี พร้อม 65.8% ไม่พร้อม 34.2% ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ พร้อม 81.4% ไม่พร้อม 18.6% ปัจจัยที่ทำให้พร้อมได้แก่ ธุรกิจได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ไอเอสโอ การอบรมพัฒนาบุคลากรด้านการบริหารจัดการสม่ำเสมอ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ของประเทศเอสเอ็มอี พร้อม 73.8% ไม่พร้อม 26.2% ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ พร้อม 86.8% ไม่พร้อม 13.2% ปัจจัยที่ทำให้พร้อมได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานมีความสะดวกและเชื่อมต่อกัน ระบบไฟฟ้า ประปา มีความพร้อม มีศูนย์กลาง กระจายสินค้าที่มีมาตรฐาน รัฐมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: ธุรกิจ ไก่ตาแตก เสรีอาเซียน เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 03 พฤศจิกายน 2553

"หาดใหญ่" วิปโยคแสนชีวิตติดเกาะ

"ในหลวง-ราชินี" พระราชทาน 5 ล้าน ซับน้ำตาราษฎร รับสั่งนำเครื่องอุปโภค-บริโภคจากท้องพระคลังช่วย "หาดใหญ่" วิปโยคท่วมหนักสุดในรอบ 22 ปี
วานนี้ (2 พ.ย.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย แจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยผู้ประสบอุทกภัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 5,000,000 บาท เพื่อให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำไปจัดซื้อไฟฉาย น้ำดื่มสะอาด และเครื่องอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ที่จำเป็น มอบให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ

พ.อ.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการพระราชดำริ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ อ.เมือง จ.นราธิวาส พ.อ.ไพศาล หนูสังข์ ผบ.กรมทหารพรานที่ 46 ได้ร่วมอำนวยการในการเบิกเครื่องอุปโภคและบริโภคจากท้องพระคลังของพระตำหนัก ทักษิณราชนิเวศน์ โดยให้กำลังพลจากกรมทหารพรานที่ 46 พร้อมด้วยกำลังพลจากหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ศิลปาชีพ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ นำเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้งรวมทั้งผลไม้ และเครื่องนุ่งห่มมาบรรจุเป็นถุง 5,000 ชุด เพื่อสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รวมทั้งจะได้กระจายความช่วยเหลือไปยังประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสตูล

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้นำถุงยังชีพพระราชทานทั้งหมดลำเลียงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นำไปหย่อนตามจุดที่ประชาชนต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมอย่างหนักเป็นการเร่งด่วน ซึ่งขณะนี้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประมาณกว่า 3 แสนคนแล้ว

"หาดใหญ่" จมบาดาล 3 เมตร
ส่วนสถานการณ์อุทกภัยที่ จ.สงขลา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก ไหลท่วมพื้นที่ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งในเขตเศรษฐกิจถนนนิพัทธ์อุทิศ 1 ถึง 3 ถนนเสน่หานุสรณ์ ถนนศรีภูมนารถ และถนนรัถการ น้ำท่วมสูงตั้ง แต่ 1-3 เมตร โดยน้ำได้ทะลักจากขอบคลองอู่ตะเภา และคลองต่าง ๆ เข้ามาอย่างรวดเร็วจนประประชนตั้งตัวไม่ทัน ไม่สามารถขนข้าวของออกมาได้ ต่างพากันหนีไปบนชั้นสอง บางจุดที่น้ำท่วมสูงต้องปีนขึ้นหลังคาเพื่อเอาชีวิตรอด หลังเกิดเหตุมีการตัดกระแสไฟฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์ จึงทำให้ตัวเมืองหาดใหญ่ถูกตัดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ด้าน นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน เช่นสำนักงานบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ตั้งแต่ อบต.เทศบาล อบจ. และทางจังหวัด ให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่แล้ว
100,000 ชีวิตรอช่วยเหลือ

ด้าน นายไพร พัฒโน นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ เปิดเผยว่า เบื้องต้นมีผู้ที่ยังหนีออกจากบ้านไม่ได้และติดอยู่ในกระแสน้ำเกือบ 40,000 คน ผู้ได้รับความเดือดร้อนกว่า 100,000 คนปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การขาดแคลนเรือท้องแบน น้ำดื่ม อาหารการกิน การติดต่อสื่อสารพื้นฐานและโทรศัพท์มือถือถูกตัดขาด มีผู้ที่ติดอยู่ในบ้านซึ่งน้ำสูงถึงชั้น 2 มีผู้ติดอยู่บนหลังคาบ้านจำนวนหลายร้อยราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจช่วยผู้ที่เห็นว่าอยู่ในโซนอันตรายก่อน สำหรับชุมชนที่เป็นโซนอันตรายที่สุดขณะนี้ คือชุมชนโคกสมานคุณ ชุมชนรัตนอุทิศ ชุมชนทุ่งเสา ซึ่งอยู่ในที่ลุ่มต่ำ

ขนคนไข้ขึ้นเอลิคอปเตอร์หนีน้ำ
นพ.สุรชัย ล้ำเลิศเกียรติกุล รักษาการ ผอ.รพ.ศูนย์หาดใหญ่ เปิดเผยว่า น้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วมโรงพยาบาลซึ่งมีผู้ป่วยจำนวนมาก จึงต้องประกาศปิดโรงพยาบาลและอพยพคนไข้บางส่วนไปยัง รพ.มอ. โดยโรงพยาบาลสามารถรับส่งน้ำและอาหารได้ทางดาดฟ้า ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เส้นทางเดียวเท่านั้น
ด้าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยทางภาคใต้ พบว่าโรงพยาบาลที่เข้าขั้นวิกฤติมี 3 แห่ง คือ รพ.ศูนย์หาดใหญ่ รพ.สะเดา และ รพ.สมเด็จฯ นาทวี โดย รพ.ศูนย์หาดใหญ่ ที่มีผู้ป่วยนอนรักษา 559 ราย เป็นผู้ป่วยอาการหนักต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 70 ราย ล่าสุด ทางโรงพยาบาลได้ใช้เฮลิคอปเตอร์ ส่งต่อผู้ป่วยหนัก 8 รายไปรักษาที่ รพ.สงขลานครินทร์ หาดใหญ่

12 ชั่วโมงวิกฤติไร้มือช่วย
ขณะเดียวกัน กระแสน้ำยังไหลบ่าเข้าท่วมสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ที่ทำการเทศบาลนครหาดใหญ่ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนมาก ที่ต่างร้องขออาหารและน้ำดื่ม โดยนับแต่เกิดเหตุน้ำท่วมเฉียบพลันเป็นเวลากว่า 12 ชั่วโมง ทางเทศบาลฯ และจังหวัดสงขลา ยังไม่สามารถตั้งกองบัญชาการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเป็นทางการ มีเพียงศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเท่านั้น ที่เปิดอย่างเป็นทางการ แต่ตั้งอยู่ไกลถึงสนามบินหาดใหญ่ และมีหมายเลขโทรศัพท์เพียงเลขหมายเดียว

นอกจากนี้ยังมีประชาชน นักท่องเที่ยวนับ 1,000 คน ติดอยู่ในโรงแรมต่าง ๆ กว่า 30 แห่ง ได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนอาหาร นำดื่ม และไม่มีไฟฟ้าใช้ มือถือไร้สัญญาณ โดยผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ ต่างได้รับความเดือดร้อน เพราะโทรศัพท์มือถือใช้ไม้ได้ เนื่องจากเครือข่ายล่มและไร้ไฟฟ้าชาร์จแบตเตอรี่

โดย นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวชี้แจงปัญหาโทรศัพท์มือถือถูกตัดขาดว่า เป็นเพราะเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่เสียหาย 80 เสา จากเดิมที่มีอยู่ 200 เสา สาเหตุเป็นเพราะเครื่องปั่นไฟของเสาส่งสัญญาณฯ ชำรุด ได้สั่งการแก้ไขด้วยการส่งรถดาวเทียมเคลื่อนที่ของ บมจ.ทีโอที ไปเชื่อมต่อสัญญาณแล้ว คาดว่าในค่ำวันเดียวกันนี้ การสื่อสารจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ส่วนพระสงฆ์ตามวัดต่าง ๆ ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ เช่น วัดคลองเรียน วัดหงส์ประดิษฐาราม วัดโคกสมานคุณ ต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักเพราะน้ำท่วมสูง ไม่สามารถบิณฑบาตได้ ส่วนที่โรงเรียนมัธยมหาดใหญ่พิทยาคาร ต.ควนลัง ได้มีนักเรียนกว่า 400 คน ติดอยู่ชั้น 2 ของตัวอาคาร ขาดน้ำดื่มและอาหารตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยและคนแก่ติดอยู่ในบ้านพักหมู่ที่ 1 ต.คลองแห 4 คน โดยมีรายงานว่า มีผู้จมน้ำเสียชีวิต 1 ราย ขณะพยายามเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย

โวยชะล่าใจรับมือน้ำท่วม
อย่างไรก็ตามพบว่าปริมาณฝนตกในพื้นที่ จ.สงขลา ลดน้อยลง แต่น้ำจาก อ.สะเดา อ.นาหม่อม ได้ไหลเข้าสู่ อ.หาดใหญ่ มากขึ้น ทำให้น้ำท่วมในอำเภอรอบนอกลดน้อยลง แต่น้ำในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ กลับเพิ่มสูงขึ้น สร้างความเดือนร้อน และวิตกกังวลให้กับผู้ประสบภัยเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้มีรายงานว่าประชาชนในพื้นที่ต่างไม่พอใจในความช่วยเหลือที่ล่าช้าของ เทศบาล จังหวัด เทศบาล และ อบต. ที่ต่างอ้างว่าไม่มีเรือและน้ำมาเร็วจนเตรียมตัวไม่ทัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำท่วมเมื่อปี 2543 ที่น้ำท่วมหนักเช่นกัน แต่ได้รับการช่วยเหลือที่เร็วกว่า โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 4 ที่มีการตั้งกองบัญชาการ ที่มณฑลทหารบก 42 เพื่อช่วยเหลือผู้คน โดยการใช้เฮลิคอปเตอร์นำอาหารไปทิ้งให้ผู้ที่ติดอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั้งยังระดมเรือและรถจีเอ็มซีออกช่วยผู้ประสบภัยแต่ครั้งนี้ทุกหน่วยงานกลับ ไม่มีความพร้อม และอ้างไปในแนวทางเดียวกันว่า น้ำมาเร็วเกินความคาดหมายจนช่วยเหลือไม่ทัน นอกจากนี้ความช่วยเหลือของหน่วยงานจากส่วนกลางยังมุ่งไปแต่ อ.หาดใหญ่ ทั้งที่พื้นที่อื่นก็ประสบภัยเช่นกัน

"สงขลา"ประกาศภัยพิบัติทั้งจังหวัด
ด้าน นายวิญญู ทองสกุล ผวจ.สงขลา ได้ประกาศให้ทั้ง 16 อำเภอ ของ จ.สงขลา เป็นพื้นที่ภัยพิบัติและสั่งปิดทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด โดยอนุมัติให้ทุกอำเภอใช้งบ 1 ล้านบาท และแบ่งพื้นที่รับผิดชอบ โดยให้ กองเรือที่ 2 สงขลา รับผิดชอบ อ.เมือง สิงหนคร สทิงพระ กระแสสินธุ์ และ อ.ระโนด ส่วนมณฑลทหารบกที่ 42 จะรับผิดชอบพื้นที่ อ.หาดใหญ่ และใกล้เคียง กก.ตชด.ภ.4 รับผิดชอบ อ.จะนะ เทพา นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย และกองบิน 56 รับผิดชอบ อ.คลองหอยโข่ง อ.สะเดา

ส่วนพื้นที่ อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับความเสียหายจากดีเปรสชั่น ที่ขึ้นฝั่ง อ.ระโนด เมื่อกลางดึกวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าได้รับความเสียหายอย่างหนักถนนกาญจวนิช ตั้งแต่ ห้าแยกเกาะยอ ไปถึงแหลมสมิหรา ถูกลมพายุถล่มต้นไม้ริมถนนและเกาะกลาง ป้ายโฆษณา ป้ายสัญญาณไฟจราจร ล้มระเนระนาดกีดขวางทางจราจร ถนนชลาทัศน์เลียบริมหาดสนอ่อนถูกคลื่นถล่ม ต้นสนล้มทับจนต้องปิดการจราจร กระจกหน้าต่างศาลากลางจังหวัดและสถานที่ราชการ อาคารร้านค้าได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไฟฟ้าดับ โทรศัพท์เสีย ประปาไม่ไหล ร้านค้าปิดหมด ผู้คนได้รับความเดือดร้อน เพราะไม่มีเครื่องอุปโภคบริโภคจำหน่าย

"มาร์ค" ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจ
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการด่วนให้ส่งเครื่องบินซี 130 นำเรือท้องแบน พร้อมกับถุงยังชีพ 20,000 ถุง จากกรุงเทพฯ มาลงยังสนามบิน กองบิน 56 อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา เพื่อแจกจ่ายให้กับ หน่วยงานต่าง ๆ นำไปช่วยประชาชน ที่ติดอยู่ในน้ำ ซึ่งจากการสำรวจล่าสุด พบว่านอกจากในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่แล้ว ยังมีประชาชนใน อ.สะเดา เทศบาลตำบลพังลา เทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองคลองแห ประมาณ 1,000 คน ที่ติดอยู่ในบ้าน และร้องขอความช่วยเหลือ แต่ทางเทศบาลและ อบต. ไม่มีเรือเข้าไปในพื้นที่ นอกจากนั้นเรือท้องแบน ที่มีอยู่พื้นที่ 2 ลำ ไม่สามารถผ่านเข้าไปในพื้นที่ได้ เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก ต้องใช้เรือติดเครื่องยนต์เข้าไปช่วยเหลือเท่านั้น

ต่อมานายอภิสิทธิ์ และคณะได้ขึ้นเครื่องบินของกองทัพบก มาถึง จ.สงขลา และขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมที่ รพ.ศูนย์หาดใหญ่ โดยพบว่าน้ำท่วมสูงถึงหัวเข่า ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่หนักที่สุด อย่างไรก็ตามสิ่งที่กำลังอยู่ในวิกฤติ คือ เครื่องปั่นไฟในโรงพยาบาล 3 เครื่อง ซึ่งขณะนี้ใช้งานได้เพียงเครื่องเดียว นายอภิสิทธิ์ จึงสั่งการแจ้งให้วิศวกรเข้ามาซ่อมแซมให้ใช้การได้โดยเร็ว

ห่วงพายุลูกใหม่ซัดซ้ำอีกระลอก
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ ยังกำชับให้เจ้าหน้าที่หาทางเร่งอพยพผู้ป่วยออกจากพื้นที่ ก่อนที่จะมีพายุลูกใหม่ที่กำลังก่อตัวบริเวณ จ.ชุมพร ซึ่งเกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อ อ.หาดใหญ่ ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักอีกครั้ง

ด้าน นายพินิจ เจริญพานิช ผวจ.ชุมพร กล่าวถึงกรณีมีพายุลูกใหม่ที่กำลังก่อตัวในทะเลจีนใต้ โดยมีแนวโน้มจะพัดเข้าภาคใต้โดยเฉพาะที่ จ.ชุมพร ว่า ตนสั่งการให้ทุกหน่วย เตรียมความพร้อมตามแผนการต่าง ๆ ที่ได้วางไว้ด้วยความไม่ประมาท พร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติอย่างเต็มที่ แต่ตนและชาวชุมพรเชื่อมั่นในพระบารมีของ กรมหลวงชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ ที่จะคุ้มครองช่วยให้ จ.ชุมพร แคล้วคลาดจากอุทกภัยในครั้งนี้ได้

ท่วมระทมหนักสุดรอบ 22 ปี
นาย วีระ วงศ์แสงนาค รองอธิบดีกรมชลประธาน กล่าวว่า แม้จะมีการเตือนภัยล่วงหน้าถึงสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่จังหวัดภาค ใต้ แต่ด้วยระดับน้ำที่เพิ่มอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใน 16 อำเภอของจังหวัดสงขลาและจากการวัดระดับน้ำในเช้าวันเดียวกัน โดยที่คลองอู่ตะเภาวัดได้ 1,623.5 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งถือว่าเป็นระดับน้ำที่สูงที่สุด มากกว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2531 ที่วัดได้ 839 ลบ.ม.ต่อวินาที ส่วนปี 2543 วัดได้ 970.8 ลบ.ม.ต่อวินาที จึงถือว่ามากที่สุดในรอบ 22 ปี อย่างไรก็ตามจากการตรวจวัดสถานการณ์ล่าสุด พบแนวโน้มว่าระดับน้ำเริ่มทรงตัวมากขึ้นและถ้าน้ำในตัวเมืองหาดใหญ่ไม่เพิ่ม ขึ้น การบริหารจัดการน้ำจะง่าย ทั้งหากไม่มีฝนตกอีกก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหามากกว่าที่เป็นอยู่

ทั้งนี้กระแสน้ำที่ไหลในพื้นที่มาจาก 3 ทิศ คือ ตะวันตก เหนือและใต้ ทำให้น้ำในอ่างเก็บน้ำที่อยู่นอกเหนือตัวเมืองแม้จะมีมาก แต่ไม่ก่อให้เกิดปัญหา เพราะมีการพร่องน้ำออกไปล่วงหน้าแล้ว เช่นในคลองสะเดา มีระดับน้ำตอนนี้อยู่ที่ 98 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบทำให้เขื่อนแตกอย่างแน่นอน

ขณะที่ นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปริมาณระดับน้ำเข้าท่วม จ.สงขลา ที่วัดได้ขณะนี้ แม้จะสูงกว่าปี 2531 และปี 2548 แต่คลองระบายน้ำ ร.1 ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ตามพระราชดำริ ได้ช่วยแบ่งรับน้ำและระบายน้ำที่ไหลหลาก และท่วมขังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัตตานีสังเวย 1 ศพ จมหาย 2 คน

ที่ จ.ปัตตานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเกิดพายุดีเปรสชั่นพัดถล่มตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ย. ทำให้สถานที่ราชการหลายแห่งและพื้นที่ริมทะเลของพื้นที่ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งหลังจากพายุสงบ พบว่าต้นไม้เสาไฟฟ้า บ้านเรือนราษฎร สถานที่ราชการได้รับความเสียหายไปตาม ๆ กัน โดยที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีนักศึกษา อาจารย์ติดอยู่ตามตึกเรียนต่าง ๆ นับร้อยชีวิต เพราะไม่สามารถออกมาได้
ส่วนที่บ้านแหลมนก ต.บานา อ.เมือง ประชาชน 800-1,000 คน ต้องเร่งรีบอพยพขึ้นไปบนที่ดอน อาศัยวัด มัสยิดและโรงเรียนเป็นที่หลบภัย เนื่องจากลมพายุได้พัดบ้านเรือนเสียหาย เรือประมงพื้นบ้าน 40-50 ลำจมอยู่ในบ้าน จนรถ จยย.จำนวนมากถูกพายุพัดพังเสียหาย

สำหรับที่ ต.ตันหยงลูโละ อ.เมือง ได้มีต้นไม้ใหญ่ล้มทับบ้านของนายอับดุลมามะ ตาเห อายุ 39 ปี เสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีผู้สูญหายเป็นเด็กอายุ 2 ขวบ และชายวัย 18 ปี อีกรายก็ถูกน้ำพัดพาไปจากริมแม่น้ำปัตตานี ถนนปากน้ำ เขตเทศบาลเมืองปัตตานี ขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม

ด้านนายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ผวจ.ปัตตานี พร้อมกำลังทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ได้ออกไปช่วยเหลือประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยประกาศพื้นที่ภัยพิบัติใน 3 อำเภอ คือ ยะรัง หนองจิก และ อ.เมือง

"ยะลา-นราธิวาส" น้ำทะลักจมอ่วม


ที่ จ.ยะลา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปริมาณน้ำยังไหลเข้าสู่ตัวเมืองยะลาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการบินสำรวจพื้นที่น้ำท่วมทางอากาศ พบว่าในพื้นที่ อ.รามัน บริเวณแม่น้ำสายบุรี ปริมาณน้ำได้ไหลท่วมพื้นที่การเกษตร สวนยางพารา สวนผลไม้และที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน เช่นเดียวกับในพื้นที่ อ.ยะหา และ อ.กรงปินัง อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ขณะนี้ อยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้

นายกฤษฎา บุญราช ผวจ.ยะลา กล่าวว่า กรณีที่ชาวบ้านกังวลเรื่องเขื่อนบางลางจะปล่อยน้ำลงพื้นที่ ขอชี้แจงว่าเขื่อนบางลางสามารถบรรจุน้ำได้ 1,400 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้มีปริมาณน้ำ 900 ลบ.ม. จึงไม่ต้องวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม ขอเตือนไปยังประชาชนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรี ที่อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน

ที่ จ.นราธิวาส ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องใน 13 อำเภอ มากว่า 1 วันได้หยุดตก แต่ปริมาณน้ำป่าบนเทือกเขาสันกาลาคีรี ซึ่งมีต้นกำเนิดในพื้นที่ อ.สุคิริน ได้ไหลทะลักเข้ามาสมทบสู่แม่น้ำสายหลัก 3 สาย คือ สุไหงโก-ลก บางนราและแม่น้ำสายบุรี มีปริมาณน้ำล้นตลิ่งกว่า 160 ซม. และเพิ่มระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือน พื้นที่การเกษตรเป็นวงกว้างทั้ง 12 อำเภอ ชาวบ้านเดือดร้อน 11,786 ครัวเรือน

ระทึก!ช้าง 2 เชือกหวิดจมน้ำ
ที่ จ.นครศรีธรรมราช ได้มีน้ำป่าจากภูเขาที่รายล้อม อ.พิปูน ไหลหลากลงมาผสมกับน้ำในแม่น้ำตาปีและคลองพิปูน เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ ต.ยางค้อม มี 7 หมู่บ้านจมมิดใต้บาดาล ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ หมู่ 14 ต.ละอาย อ.ฉวาง น้ำป่าได้เอ่อท่วมช้าง 3 เชือกจนเกือบมิดหัว โชคดีที่นายสุวัฒน์ เพ็ชรชระ สามารถช่วยชีวิตช้างทั้ง 3 เชือกไว้ได้ ล่าสุดทางจังหวัดได้ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติใน 7 อำเภอ คือ อ.เมือง สิชล ปากพนัง หัวไทร ลานสกา ช้างกลาง และ อ.ชะอวด มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย

ที่ จ.ตรัง ได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันใน 8 อำเภอ 4 เขตเทศบาล 54 ตำบล 235 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนเดือดร้อนกว่า 9,000 หลังคาเรือน ปิดโรงเรียนไปแล้ว 42 โรง โดยมีผู้จมน้ำเสียชีวิต 1 คน คือ นายเปลื้อง เหมือนแก้ว อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49 หมู่ 1 ต.นาชุมเห็ด อ.ย่านตาขาว

ที่ จ.สตูล นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผวจ.สตูล พร้อมคณะฯ นำถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่หมู่ 8 บ้านดาหลำ อ.ท่าแพ จากนั้นจึงเดินทางไป อ.ควนโดน และ อ.เมือง โดยรายงานสถานการณ์ขณะนี้ มีผู้ประสบภัยกว่า 92,016 คน 23,313 ครัวเรือน

ในส่วนของ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เกิดน้ำท่วมในชุมชนและถนนสายหลักของอำเภอเกาะสมุย มีการประกาศงดเที่ยวบินทุกเที่ยวเนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี อย่างไรก็ตาม สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส แจ้งว่าพร้อมเปิดทำการบิน กรุงเทพฯ-สมุย ตั้งแต่เวลา 19.30 น.

ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ชายหาดบ้านแหลมสน หมู่ 5 ต.ปากแพรก อ.บางสะพานน้อย ได้เกิดคลื่นยักษ์พัดถล่มเขื่อนป้องกันคลื่นพังเสียหายเป็นระยะทางยาว 100 เมตร ความเสียหายประมาณ 2 ล้านบาท เมืองดอกบัวเริ่มคลี่คลาย

ด้านสถานการณ์ในภาคอีสาน เริ่มจากที่ จ.อุบลราชธานี น.อ.เฉลิมชัย ศรีสายหยุด ผู้บังคับการกองบินที่ 21 พร้อมสื่อมวลชนได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ขึ้นดูน้ำในเขตเมืองอุบลราชธานี เรื่อยขึ้นไปถึงบริเวณรอยต่อเชื่อมแม่น้ำมูล และแม่น้ำชีที่บริเวณบ้านท่างอย ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ ต่อเนื่องจนถึงบ้านท่าวารี อ.เขื่องใน ซึ่งจากการบินตรวจสอบพบว่าระดับน้ำยังเอ่อล้นท่วมเข้าในที่ลุ่มชุ่มน้ำริม แม่น้ำมูล และบริเวณที่นาซึ่งอยู่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำมูล โดยพื้นที่การล้นท่วมลดลงเล็กน้อยในลุ่มน้ำมูล ในขณะที่ลุ่มน้ำชีด้าน อ.เขื่องใน ยังล้นท่วมทรงตัว โดยน้ำทั้งหมดจะไหลลงแม่น้ำมูล สู่จุดรวมสุดท้ายที่จังหวัดอุบลราชธานี ช้ากว่าที่คาดการณ์คาดว่าจะเดินทางถึงประมาณ 7-8 พ.ย. และจากการประเมินสถานการณ์น้ำในขณะนี้ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

น้ำทะลักเรือนจำ ไม่อพยพ
นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักและเกิดความน้ำท่วมฉับพลันขึ้นในพื้นที่ภาคใต้หลาย จังหวัด ส่งผลให้เรือนจำในพื้นที่จังหวัดปัตตานีและพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ มีระดับน้ำท่วมสูง กว่า 10 แห่ง ได้สั่งการให้แก้ไขด้วยการใช้เครื่องสูบน้ำออก และใช้กระสอบทรายกั้น ส่วนการคุมขังนักโทษนั้นส่วนตัวไม่ต้องการใช้วิธีอพยพนักโทษออกจากเรือนจำ เพราะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จึงใช้วิธีขยับนักโทษจากชั้นล่างขึ้นไปรวมกันชั้นบน หรือการย้ายแดนไปอยู่รวมกัน

ชดเชยบ้านน้ำท่วม 3 หมื่น
ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ นายกฯ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ตามที่ ครม.เศรษฐกิจเสนอแล้ว และให้แต่ละหน่วยงานกลับไปทบทวนงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็งที่มีอยู่ 4,000 ล้านบาท ให้ปรับใช้ช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมก่อน และมอบหมายให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำหลักการของโครงการบ้านมั่นคง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเรื่องที่อยู่อาศัย หากเสียหายทั้งหลัง ให้เงินชดเชย 30,000 บาท เสียหายบางส่วนจ่ายชดเชย 10,000 บาท

ศชอ.เฝ้าระวัง 8 จังหวัดใต้
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย(ศชอ.) แถลงว่า สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ล่าสุดนั้น พายุดีเปรสชั่นที่เข้ามาเมื่อค่ำวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้ออกไปทางชายฝั่งทะเลอันดามันแล้ว แต่มีอิทธิพลที่ทำให้มีฝนตกต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคใต้ คือ สงขลา นครศรีธรรมราช ตรัง นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล และพัทลุง โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ มีน้ำท่วมสูงประมาณ 2-3 เมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ ซึ่งเมื่อเช้านี้ ศชอ.ได้ประสานงานกับกองทัพเรือภาคที่ 2 และมณฑลทหารบกที่ 42 ในการส่งกำลังเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยในโรงพยาบาลดังกล่าวที่มีอยู่ประมาณ 559 ราย นอกจากนี้ ศชอ.ได้ปล่อยคาราวานส่งสิ่งของไปช่วยเหลือ อาทิ เรือท้องแบน เรือยาง สุขา และถุงยังชีพไปแล้ว โดยคาดว่าถุงยังชีพ 9,000 ชุด จะไปถึงภายในคืนนี้

ด้าน พล.ร.อ.กำธร พุ่มพิรัญ ผบ.ทร. เปิดเผยว่า ได้ส่งเรือรบจักรีนฤเบศร ออกจากท่าจุกเสม็ด สัตหีบ จ.ชลบุรี เวลา 16.00 น. ไปยัง จ.สงขลา ในเวลาประมาณ 02.00 น. เพื่อนำของไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทั้งนี้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานถุงยังชีพ 1,000 ชุด ของมูลนิธิอาสา เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ หมายเลข 1696

ด้าน นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า ได้จัดเตรียมเรือสปีดโบ๊ทและเรือท้องแบน รวม 8 ลำ ไปช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยจากสถานการณ์น้ำท่วม

สังเวยน้ำท่วม 104 ศพ
ด้าน นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กล่าวว่า จากภาวะฝนตกหนักในระหว่างวันที่ 10 ต.ค. -1 พ.ย. 2553 ส่งผลให้เกิดสถานการณ์อุทกภัยใน 38 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตรวม 104 ราย ใน 20 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา 22 ราย บุรีรัมย์ 6 ราย ลพบุรี 13 ราย ขอนแก่น 4 ราย ระยอง 1 ราย ตราด 1 ราย สระแก้ว 1 ราย ชัยภูมิ 3 ราย สระบุรี 4 ราย นครสวรรค์ 13 ราย อุทัยธานี 1 ราย ชัยนาท 3 ราย นนทบุรี 3 ราย กำแพงเพชร 3 ราย สุพรรณบุรี 6 ราย พิจิตร 1 ราย ปทุมธานี 3 ราย พระนครศรีอยุธยา 7 ราย เพชรบูรณ์ 2 ราย และสิงห์บุรี 7 ราย โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิต ได้แก่ การจมน้ำจากการลงจับสัตว์น้ำ เก็บของในน้ำ การปล่อยให้เด็กลงเล่นน้ำ และการถูกไฟฟ้าดูด ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเด็ก

เทงบ 176 ล้านช่วยโรงเรียน
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่ามีสถานศึกษาในภาคใต้ประสบอุทกภัยและเกิดน้ำท่วมฉับพลันจาก พายุดีเปรสชั่น 1,186 โรง จาก 8 จังหวัด และผู้บริหารสถานศึกษาได้สั่งเลื่อนเปิดภาคเรียน 3 วันและ 7 วันตามแต่สถานการณ์ ทั้งนี้ ครม.ยังมีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนแก่สถานศึกษาสังกัด ศธ.ที่ประสบอุทกภัย โดยมอบเงินช่วยเหลือ 100 เขตพื้นที่การศึกษา เขตละ 2 แสนบาท รวมเงิน 20 ล้านบาท จัดสุขาเคลื่อนที่ 1,000 หลัง วงเงิน 10 ล้าน จัดซื้อเรือท้องแบน 1,000 ลำ วงเงิน 10 ล้านบาท จัดสรรเงินเป็นค่าแบบเรียน อุปกรณ์การเรียนและหนังสือเรียนตามโครงการเรียนดีเรียนฟรีอย่างมีคุณภาพ 15 ปีเพื่อทดแทนในส่วนที่เสียหาย 136 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 176 ล้านบาท

ม้าเหล็กสายใต้เป็นอัมพาต
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำท่วมหนักในพื้นที่ภาคใต้ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ในสังกัด ได้แก่ แขวงการทางทั่วประเทศ สำนักทางหลวงชนบท และสำนักขนส่งจังหวัดทุกแห่ง ประสานความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในแต่ละพื้นที่ จัดส่งรถของแขวงการทางเข้าไปช่วยลำเลียงประชาชนในพื้นที่ประสบภัย และให้บริการรับซ่อมฉุกเฉินในพื้นที่น้ำท่วม ล่าสุดได้ประสานให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จัดส่งรถกู้ภัยลงไปช่วยขนย้ายสิ่งของที่เสียหายจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ แล้ว ติดต่อได้ที่ 1356 ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านนายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ปริมาณน้ำท่วมเส้นทางรถไฟเพิ่มสูงหลายจุด เช่น สถานีรถไฟหาดใหญ่ ระดับน้ำสูงประมาณ 2 เมตร สถานีรถไฟห้วยยอด-ที่วัง ทุ่งสง-ตรัง.พัทลุง-หาดใหญ่ ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เส้นทางรถไฟตั้งแต่สถานีทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช–หาดใหญ่-ปัตตานี-ยะลา-สุไหงโก-ลก และทางสายแยกจากทุ่งสง-ตรัง ทางแยกไปนครศรีธรรมราช และทางแยกหาดใหญ่ไปยังปาดังเบซาร์ ไม่สามารถผ่านไปมาได้ ทาง รฟท. ได้ให้ขบวนรถโดยสารต่างๆ หยุดรอที่สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานีและชุมทางทุ่งสง และแจ้งไปยัง บริษัทขนส่ง จำกัด (บขส.) ส่วนภูมิภาค ดำเนินการจัดรถยนต์ขนถ่ายผู้โดยสารรถไฟที่ต้องการเดินทางไปยังปลายทางแทน
ภัยหนาวซ้ำเหนือ-อีสาน

ส่วนสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ ทำให้ประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนไม่แพ้กัน ที่ จ.น่าน ชนเผ่ามลาบรี หรือเผ่าตองเหลือง ที่บ้านห้วยหยวก หมู่ 6 ต.แม่ขนิง อ.เวียงสา 25 ครอบครัว 148 คน ประสบภัยขาดแคลนเสื้อกันหนาวและผ้าห่ม จนต้องออกมาก่อไฟข้างถนนเพื่อสร้างความอบอุ่น ส่วนที่บริเวณตลาดนัดคลองถม ในเขตเทศบาลเมืองเลย จ.เลย สภาพอากาศเริ่มหนาวเย็น ส่งผลให้บรรยากาศร้านขายเสื้อผ้ากันหนาวมือสองค้าขายกันอย่างคึกคัก มีผู้ปกครอง นักเรียน นักศึกษา พากันมาเลือกซื้อกันอย่างเนืองแน่น

ทั้งนี้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า ขณะนี้หลายพื้นที่เริ่มมีสภาพอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 11 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน เลย อุดรธานี หนองคาย สกลนคร และนครพนม จึงจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาว รวมทั้งจัดตั้งศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว ส่วนกลางที่ กรม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โทรศัพท์ 0-2243-2213

วิงวอนผ่านเดลินิวส์ออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พบข้อความร้องขอความช่วยเหลือจากญาติผู้ประสบภัยรายหนึ่ง ซึ่งโพสต์เอาไว้ที่ "เดลินิวส์ เฟซบุ๊ก ออนไลน์" จึงติดต่อกลับไปตามหมายเลขที่ทิ้งไว้ ทราบชื่อ นายจักรพงษ์ บุญโรจน์ อายุ 35 ปี ข้าราชการหน่วยงานหนึ่งใน จ.ยะลา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า พ่อแม่ของแฟนซึ่งมีอายุพอสมควร กับลูกของตนสองคน เป็นลูกสาววัย 7 ขวบและลูกชายวัย 5 ขวบ รวม 4 ชีวิต ติดน้ำท่วมอยู่ในบ้านทาวน์เฮาส์เลขที่ 92 ซอย 7 ถนนราษฎร์อุทิศ ติดวังบูรพาแมนชั่น ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานจากทางภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือ พยายามโทรศัพท์ติดต่อตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พ.ย. แต่เพิ่งได้คุยกันเมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้ โดยญาติบอกว่า ระดับน้ำท่วมสูงมาก อีก 3 ขั้นบันไดจะถึงชั้น 2 แล้ว ขณะนี้หวาดผวามาก เพราะไม่มีเสบียงอาหาร ส่วนหน่วยงานราชการได้นำเรือออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมขั้นวิกฤติก่อน อย่างไรก็ตามยังมีเพื่อนบ้าน ซึ่งมีทั้งผู้สูงอายุ 60-80 ปี รวมทั้งเด็กอยู่อีกหลายคน ติดอยู่ในบ้านเรือนข้างเคียงอีกกว่า 10 หลัง

"ขอความช่วยเหลือด้วยครับ ตอนนี้ติดต่อไม่ได้แล้ว โทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือตามหมายเลขต่าง ๆ ก็ไม่ได้ คงเพราะน่าจะมีคนโทรเข้าไปเยอะ" นายจักรพงษ์ โพสต์ข้อความทิ้งไว้อย่างร้อนใจ

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธที่ 03 พฤศจิกายน 2553

Tuesday, November 2, 2010

งามหน้าไทยอันดับ 7 หัวขโมย

น.ส.คลิโอ อึ้ง ผู้จัดการทั่วไปด้านบริหารลูกค้าประเภทช่องทางการจัดจำหน่าย ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท เช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ อิงค์ จำกัด เปิดเผยถึงผลศึกษาระดับการโจรกรรมธุรกิจค้าปลีกระดับโลกประจำปี 53 ที่ได้สำรวจห้างค้าปลีก 42 ประเทศทั่วโลกเดือน ก.ค. 52-มิ.ย. 53 พบว่า มูลค่าความเสียหายของห้างค้าปลีกที่ถูกขโมยสินค้าในประเทศไทยติดอันดับที่ 7 ของ โลก และติดอันดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมีมูลค่าสินค้าถูกขโมยสูงถึง 1,005 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 31,150 ล้าน บาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยการขโมยสินค้าในห้างค้าปลีกทั่วโลกที่ลดลง 5.6% และในเอเชียลดลง 6.5%

สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดการโจรกรรมในห้างค้าปลีก มาจากการลักเล็กขโมยน้อยมากที่สุด ส่วนใหญ่มาเป็นแก๊ง ในสัดส่วนประมาณ 48.9% รองลงมาเป็นการ ทุจริตจากพนักงาน สัดส่วน 23.4%, การทำเอกสารผิดพลาด 21.5% และมาจากผู้ผลิตสินค้า (ซัพพลายเออร์) ส่วนสินค้ายอดนิยมที่ถูกขโมยมากที่สุดคือ เครื่องสำอาง รอง ลงมาเป็นสินค้าบำรุงผิว และสินค้าเพื่อ ความงามและสุขภาพ เนื่องจากสินค้าดังกล่าวจะจัดวางไว้อย่างโดดเด่นและมีขนาดเล็ก ทำให้ถูกขโมยได้ง่าย รวมถึงมีราคาแพง และสามารถนำไปวางจำหน่ายในตลาดได้ง่าย ประกอบกับพฤติกรรมของกลุ่มผู้หญิงไทยรักสวยรักงามสูงมาก อันดับสามเป็นสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยจะติดอันดับของประเทศที่มีการขโมยสินค้าในห้างค้าปลีกเป็นอันดับ 2 ของโลกก็ตาม แต่กลับมีการลงทุนเพื่อติดตั้งระบบป้องกันถูกขโมยน้อย ที่สุดในเอเชีย โดยมีเงินลงทุนเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันขโมยประมาณ 86 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.13% ของยอดรายได้รวมในแต่ละปี ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของเอเชีย ที่มีการลงทุนประมาณ 0.19% ของรายได้รวม และทั่วโลก สัดส่วน 0.34% ซึ่งแนวโน้มการขโมยสินค้าในห้างค้าปลีกที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังส่งผลให้คนไทยต้องเสียเงินให้กับห้างค้าปลีกประมาณ 1,500 บาทต่อคนต่อปี เพื่อใช้ไปป้องกันการทุจริต ปรับเพิ่มราคาสินค้าเพื่อชดเชยจำนวนสินค้าที่ถูกขโมยไป ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาทุกปี

ทั้งนี้ ข้อมูลทั่วโลกในปีนี้ ห้างค้าปลีกถูกขโมยสินค้า คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 107,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 5.6% จากปีก่อน โดยประเทศที่ถูกขโมยสินค้าในห้างค้าปลีกมากที่สุดคือ ประเทศ อินเดีย รองลงมาเป็น บราซิล และเม็กซิโก ส่วนในเอเชีย-แปซิฟิก มูลค่าความเสียหายประมาณ 16,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับหนึ่งเป็นประเทศอินเดีย รองลงมาไทย และมาเลเซีย ขณะที่ประเทศไต้หวัน เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่มีการขโมยสินค้าในห้างค้าปลีกต่ำที่สุด และใช้เงินในการติดตั้งระบบป้องกันการขโมยน้อยเช่นกัน มาจากคนในประเทศไต้หวัน มีนิสัย ซื่อสัตย์ นอกจากนี้ผลการสำรวจยังพบว่า จำนวนขโมยในห้างค้าปลีกทั่วโลกอยู่ที่ 6.18 ล้านคน เพิ่มขึ้น 100% จากปีก่อน ส่วนในเอเชีย-แป ซิฟิก มีจำนวนขโมย 154,320 คน เพิ่มขึ้น 100% จากปีก่อนเช่นกัน

“แนวโน้มการขโมยสินค้าทั่วโลกลดลงมาจากการที่หลายประเทศเพิ่มงบประมาณในการ ติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยดูแลสินค้าอย่างเข้มงวดในห้างมากขึ้น โดยค่าเฉลี่ยของการขโมยสินค้าทั่วโลก ทำให้ค่าเฉลี่ยของครัวเรือนต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น 5,654 บาทในปีนี้ เพราะห้างค้าปลีก ต้องเพิ่มงบประมาณดูแลสินค้ามากขึ้น หรือใช้แนวทางปรับเพิ่มราคาสินค้า เพื่อชดเชยจำนวนสินค้าที่ถูกขโมยไป ขณะที่สินค้า ในห้างค้าปลีกทั่วโลกที่ถูกขโมยมากสุด คือ เสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าสำหรับใส่ชั้นนอก

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 03 พฤศจิกายน 2553

Monday, November 1, 2010

ธปท.เล็งสกัดฟองสบู่ภาคอสังหา

รองผู้ว่าธปท. เผย ธปท.เฝ้าจับตาการปล่อยสินเชื่อและการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์และการซื้อขาย ในตลาดหุ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนถึงการเกิดภาวะฟองสบู่หรือไม่ใน 2 ภาคธุรกิจดังกล่าว...

นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน กล่าวว่า ธปท.กำลังจับตาการปล่อยสินเชื่อและการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ การซื้อขายในตลาดหุ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนถึงการเกิดภาวะฟองสบู่หรือไม่ใน 2 ภาคธุรกิจดังกล่าว แม้ว่าในขณะนี้หากพิจารณาจากการเข้าไปเก็งกำไรในธุรกิจดังกล่าว การมีความต้องการขายหรือจำนวนที่อยู่อาศัยที่มากเกินไป การปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีความ ระมัดระวังหรือราคาขายที่สูงเกินไปจะยังไม่เห็นภาวะฟองสบู่ก็ตาม


ทั้ง นี้ ในการจับตาภาวะฟองสบู่ในภาพรวมของเศรษฐกิจไทย สายนโยบายการเงินจะเป็นผู้สังเกตจากข้อมูลเศรษฐกิจทั้งหมดและหากพบว่า นอกเหนือจากการใช้นโยบายการเงินคือ อัตราดอกเบี้ยเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทางด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจแล้ว อาจจะใช้มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (Macro Prudential) ช่วยด้วย ทางฝ่ายนโยบายการเงินจะส่งสัญญาณหรือปรึกษามายังสายนโยบายสถาบันการเงิน เพื่อให้ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อในภาคที่เห็นว่าเริ่มมีฟองสบู่ แต่ในขณะนี้ยังไม่มีการขอความร่วมมือมา

"ในฐานะที่ ธปท.ดูแลทั้งเสถียรภาพและการขยายตัวของเศรษฐกิจ สายนโยบายสถาบันการเงินมองว่า เมื่อธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแรง ในขณะนี้หน้าที่ที่ควรทำคือ การปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมในภาคส่วนสำคัญที่จำเป็นเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจขยาย ตัวต่อเนื่อง แต่ภายใต้การปล่อยสินเชื่อควรจะมีมาตรฐานและความระมัดระวังที่เหมาะสม ไม่เข้มจนเกินไป หรือไม่อ่อนจนเกินไปจนทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟองสบู่ในภาคใดภาคหนึ่งได้"

ผู้ ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน กล่าวต่อว่า ถ้าแบงก์พาณิชย์แข่งขันกันมากเกินไป หรือแข่งกันปล่อยสินเชื่อในภาคหนึ่งภาคใดเกินไปฟองสบู่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่หากปล่อยสินเชื่อต่อเนื่อง โดยมีความระมัดระวังในระดับที่เหมาะสมและ คำนึงถึงลูกค้า ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดฟองสบู่ได้

สำหรับตัวเลขการ ปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ล่าสุด 9 เดือนแรกในขณะนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.8% จากระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ถ้าดูเดือนก่อนหน้า เดือน ก.ย. การขยายตัวของสินเชื่ออยู่ในระดับเดียวกับเดือน ส.ค.ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก และคาดว่าจนถึงสิ้นปี สินเชื่อปีนี้จะขยายตัวประมาณ 8-9% ซึ่งถือเป็นอัตราที่เหมาะสม เทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่คาดว่าจะโต 7.3-8% เพราะตามทฤษฎีสินเชื่อจะต้องโตกว่าเล็กน้อย

ที่มา: ธปท.เล็งสกัดฟองสบู่ภาคอสังหา ทีมข่าวเศรษฐกิจ ไทยรัฐออนไลน์ 2 พฤศจิกายน 2553

ด้วง งวง มะพร้าวหรือด้วงสาคู จากอาหารสัตว์เป็นสุดยอดเมนูเปิบคน

ด้วงงวงมะพร้าว หรือที่ทางภาคใต้เรียกว่า ด้วงสาคู.

"ด้วงงวง มะพร้าว" (Pin-hole borers) ในแถบภาคใต้มักจะพบอาศัยแพร่กระจายเผ่าพันธุ์ อยู่ตาม "ต้นสาคู" ผู้คนถิ่นนี้จึงต่างเรียกขานมันว่า "ด้วงสาคู" อดีตที่ผ่านมานั้น ชาวบ้านมักนำมาเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ปีกเพื่อลดต้นทุน

กระทั่ง นักเปิบเริ่มหันมาให้ความสนใจ เนื่องจาก พบว่าในตัวมันเองมีคุณค่าทางอาหารโดยเฉพาะ "โปรตีน" ค่อนข้างสูง ส่งผลให้ ทุกวันนี้เราจึงมักจะเห็น "หนอนไม้" ชนิดดังกล่าว ขึ้นไป "นอนตัวกลม" อยู่บนแผง "รถขายแมลงทอด" ที่วิ่งอยู่ทุกหัวตลาดทั้ง กทม.และต่างจังหวัด ซึ่งสนน ราคาซื้อขายตัวเป็นๆ ตกอยู่ที่กิโลฯละถึง 250 บาท

นายอรรถ อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร บอกกับ "หลายชีวิต" ว่า....เพื่อเป็นการเพิ่มอาชีพที่ลงทุนไม่สูงมากนัก กลุ่มส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ ส่วนส่งเสริมสินค้าเกษตร สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร จึงได้ส่งเสริมให้เกษตรกรที่สนใจเลี้ยงเพื่อเป็นรายได้ เสริม ซึ่งแหล่งธรรมชาติที่ด้วงชนิดนี้ชื่นชอบฝังตัวอยู่ ก็คือ ตามต้นมะพร้าวหรือต้นสาคู แต่ถ้าเลี้ยงเชิงพาณิชย์ เพื่อป้อนขายให้กับบรรดาพ่อค้ารถแมลงทอดนั้น

...จากการเพาะเลี้ยงใน ห้องทดลองพบว่า อาหารที่ด้วงชอบและทำให้การเจริญเติบโตได้ดี ทำให้มีน้ำหนักเพิ่มมากกว่าอาหารชนิด อื่น คือ ขุย กากมะพร้าว รำข้าว และ มันสำปะหลัง ผสมกันในอัตราส่วน 1 : 1 : 1 : 1 แล้วปล่อยพ่อแม่พันธุ์อัตราตัวผู้ 1 : ตัวเมีย 10 ตัว หลังจับคู่อยู่ร่วมกันประมาณ 10 วัน ตัวเมียจะเริ่มวางไข่ จากนั้นอีก 2-3 วัน จึงฟักเป็นตัวอ่อน แล้วเลี้ยงต่ออีก 1-2 เดือน เพื่อให้ สมาชิกใหม่มีขนาดรูปร่างตัวเขื่อง "อวบอั๋นอ้วนพี" ก็สามารถคัดส่งให้กับบรรดาพ่อค้าได้เลย

และ...หากต้องการคัดไว้ทำพ่อ แม่พันธุ์สำหรับเพื่อขยายประชากรต่อ ต้องใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ 140 วัน ซึ่งลักษณะรูปร่างเมื่อโตเต็มวัยนั้น ด้วงเพศผู้ จะมีขนาดใกล้เคียงกับเพศเมีย แต่ มีขนที่ด้านบนของงวงใกล้ส่วนปลาย ทั้งสองเพศจะ มีสีและจุดแต้มบนหลังหลายรูปแบบ ปีกมีเส้นเป็นร่องตามความยาว วัดความยาวตั้งแต่หัวจดท้ายประมาณ 25-28 มิลลิเมตร

หลังจากทำหน้าที่ขยายเผ่าพันธุ์ 5-6 เดือน ด้วงเหล่านี้จึงตาย ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นก็สร้างกำไรให้กับผู้เลี้ยงได้มากโขเอาการ

สำหรับใครที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2940-6102 ในวันและเวลาราชการ.

เพ็ญพิชญา เตียว

ที่มา: ด้วงงวงมะพร้าว หรือด้วงสาคู จากอาหารสัตว์เป็นสุดยอดเมนูเปิบคน ไทยรัฐออนไลน์ โดย เพ็ญพิชญา เตียว 2 พฤศจิกายน 2553

'นักศึกษา' กับการขับรถยนต์ 'เหยื่อ' อุบัติเหตุทางถนนที่ทุกคนมองข้าม

แทบทุกเดือน เราจะพบเห็นข่าวโศกนาฏกรรม ความสูญเสียที่เกิดกับนิสิตนักศึกษาที่ขับรถยนต์และเกิดการชน และเกือบทุกครั้งสาเหตุที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นเรื่องของ "ขับรถเร็ว ดื่มฉลอง เมาแล้วขับ และหลับใน" ล่าสุด ช่วงเทศกาล "ฮาโลวีน" เกิดเหตุสลด "นศ.เมาซิ่งเก๋งดับ 4 ศพ" ตามข่าวระบุว่า นักศึกษาม.รังสิต ไปเที่ยวย่านเอกมัยและประสบเหตุในช่วงตี 4 บริเวณแยกหลักสี่...

และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวสลดของนิสิตนักศึกษาที่สำคัญ ได้แก่ นศ.ซิ่งแหกด่านขยี้ตร. เมียท้อง 7 เดือนสุดโศก โดยเกิดเหตุในช่วง 02.30 น. และนักศึกษา ม.หอการค้าไทย อายุ 21 ปี มีอาการคล้ายคนเมา พริตตี้สาวชะตาขาด เหยียบแมวเสียหลักอัดก๊อบปี้ต้นไม้ไฟลุกเผาร่างเกรียม ในข่าวระบุว่าทั้งคู่เป็นนักศึกษา อายุ 22 ปี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มารับงานให้ค่ายรถแห่งหนึ่ง และขับกลับด้วยความเร็วสูง นศ.รามซิ่งวีออสดับ 2 ศพ ในข่าวระบุว่าช่วงเกิดเหตุ 22.00 น. ฝนตกและขับด้วยความเร็วลงสะพานข้ามแยก

นักศึกษาม.กรุงเทพซิ่งแจ๊ซชนจยย. ดับสยอง 2 ศพ เป็นเหตุการณ์ในช่วงเช้า และนักศึกษาที่ชนมีอาการคล้ายคนเมา และระบุว่าจำไม่ได้ว่าขับออกมาจากที่ไหน และเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ช่วงที่เกิดอุบัติเหตุขับรถชนก็จำไม่ได้ มารู้สึกตัวและตั้งสติได้อีกทีก็ตอนที่อยู่โรงพักแล้ว นศ.มหิดลอินเตอร์ ซิ่งเก๋งชนเสาไฟขาดสองท่อน ดับ 1 เจ็บ 3 ทั้งหมดเป็นนักศึกษาปี 1 และผู้ตายอายุเพียง 19 ปี

มีคำถามตามมามากมายว่า ทำไมนิสิต-นักศึกษาที่กำลังก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย และเพิ่งครบวัยทำใบอนุญาตขับรถยนต์ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ถึงต้องรีบร้อนใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งสถานศึกษาบางแห่งโดยเฉพาะของเอกชน ผู้นำรถยนต์มาใช้เกือบจะมากกว่าผู้ที่เดินทางด้วยรถสาธารณะ และถือเป็นแหล่งรวมรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในขณะที่ระบบการให้ใบอนุญาตขับรถของประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจาก อุบัติเหตุทางถนนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ (เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย) จะเข้มงวดกับผู้ขับขี่หน้าใหม่ โดยมีการออกใบอนุญาตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน (Graduate licensing) ได้แก่ การเรียนและสอบขอใบอนุญาตไม่ต่ำกว่า 30 ชั่วโมง เมื่อสอบผ่านได้ใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราวแล้ว ยังต้องขับโดยมีผู้มีประสบการณ์นั่งไปด้วย ห้ามขับเวลากลางคืน ฯลฯ และที่สำคัญคือ ถ้ามีการเมาแล้วขับ จะถูกยึดใบอนุญาตขับรถยนต์ทันที ปัจจัยสำคัญของความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุในกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ขับรถ ยนต์คือ การใช้ชีวิตของนักศึกษาในยุคปัจจุบันเองก็อยู่ในวัฒนธรรมของความเร่งรีบ ทุกอย่างดูต้องรวดเร็ว จึงจะถือว่าเก่ง เช่น ใครจะเรียนจบเร็ว ใครจะมีมือถือ มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ก่อน และที่สำคัญคือใครจะออกรถรุ่นใหม่ได้ก่อนกัน

ถ้ายังจำโฆษณารถรุ่น ใหม่ ของค่ายรถยุโรปแห่งหนึ่ง ที่ใช้แนวคิด (concept) เรื่องความเร่งรีบ-ความเร็ว เป็นจุดขาย “รีบไปรับแฟน รีบไปรับแม่ รีบไปทำงาน ชีวิตที่เร่งรีบ ต้องใช้รถ...” แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่กับชีวิตที่เร่งรีบ ถือเป็นของคู่กัน นอกจากการมีชีวิตที่เร่งรีบของนิสิตนักศึกษาแล้ว การใช้ชีวิตด้วยความสนุกสนาน การเฉลิมฉลอง และเพื่อนฝูง ก็เป็นอีกจุดขายหนึ่งของ “ธุรกิจสุรา” ที่ใช้เป็นอาวุธเจาะตลาดกลุ่มนี้อย่างได้ผล

ดูจากตัวเลขของสำนัก งานสถิติแห่งชาติ ที่ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2539-2550 เยาวชนอายุ 15-19 ปี มีอัตราการดื่มประจำเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 โดยปี 2550 พบว่า เยาวชนที่อายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มสุรามากถึง 19.3 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงถึง 2.3 ล้านคน นอกจากนี้ ผลสำรวจของเครือข่ายเยาวชนฯพบว่า มีร้านเหล้าเพิ่มขึ้นมากถึง 1,522 ร้าน จาก 45 สถาบัน หรือรอบมหาวิทยาลัย 1 แห่ง จะมีร้านเหล้ามากถึง 34 ร้าน ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ และในหลายประเทศ บ่งชี้ให้เห็นว่า ยิ่งอายุน้อย ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยพบว่าระดับแอลกอฮอล์ของผู้ดื่มที่เป็นเยาวชน (15-19 ปี) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าอายุ 20-25 ปี และ 30 ปีขึ้นไป

นอก จากนี้ยังพบว่า นักดื่มส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงอันตรายในการขับรถเมื่อดื่มสุรา ดังจะเห็นได้จากเอแบคโพลล์เคยสำรวจและพบว่า 1/3 ของคนที่ดื่มเบียร์ 2 ขวด (ซึ่งจะเกินกว่า 50 mg/dl) ยังคิดว่าตัวเองขับขี่ได้เช่นเดียวกับคนดื่มสุรา 1 แบน ครึ่งหนึ่งระบุว่าตัวเองคิดว่าขับได้ สำหรับผู้ดื่มที่ดื่มหนักมากจะต้องใช้เวลาในการกำจัดแอลกอฮอล์ที่ยาวนานหลาย ชั่วโมง โดยพบว่า ผู้ที่ดื่มในปริมาณสูงในช่วงกลางคืน ก็อาจจะมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูง และมีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุในช่วงเช้าสำหรับเพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกัน ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการนั่งรถที่คนเมาขับ แต่ส่วนใหญ่ไม่ตระหนัก และบางส่วนไม่สามารถปฏิเสธการเดินทางได้

โดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ศึกษาผู้พิการ 200 รายจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา พบว่า 3/4 อยู่ในวัย 13-30 ปี โดยกลุ่มผู้ชายระบุว่า ต้องฝืนขับทั้งๆ ที่เมา เพราะกลัวเสียหน้า บางส่วนจะหวงรถ ไม่ยอมให้คนอื่นขับ ส่วนกลุ่มหญิง จะเกรงใจในการปฏิเสธการเดินทางกับคนที่ดื่มและเมา ดังนั้น กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ขับรถยนต์ ถือเป็นกลุ่มที่มีทั้ง 3 ปัจจัยเสี่ยงประกอบกันคือ (1) การขาดประสบการณ์ในการขับขี่ และวุฒิภาวะในการตัดสินใจ แต่มานั่งหลังพวงมาลัยรถยนต์ที่เครื่องยนต์มีกำลังสูง (2) การขับรถเร็ว และ (3) ดื่มแล้วขับ ซึ่งโอกาสที่ทั้ง 3 ปัจจัยจะมารวมกัน เกิดขึ้นได้ตลอด โดยเฉพาะสถานการณ์ที่จะมีการเฉลิมฉลอง ได้แก่ ปิดภาคเรียน รับปริญญา วันเกิดเพื่อน เทศกาลต่างๆ (ปีใหม่ วาเลนไทน์ สงกรานต์ ฮาโลวีน ลอยกระทง ฯลฯ)

คำถามท้ายสุดคือ นอกจากให้นิสิตนักศึกษาที่มีรถยนต์ขับขี่ ต้องเกิดจิตสำนึกความปลอดภัย และเรียนรู้ทักษะขับขี่ที่สำคัญแล้ว ใครจะช่วยพวกเขาได้ และคำตอบที่ผู้เกี่ยวข้อง ต้องร่วมกันรับผิดชอบคือ 1. กรมการขนส่งทางบก ควรทบทวนและพัฒนาระบบการออกใบอนุญาตขับรถยนต์ที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ระบบ graduate licensing ในกลุ่มเยาวชนเหล่านี้ 2. สถานศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย และสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรทบทวนเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของนิสิตนักศึกษา ว่าจะมีมาตรการหรือแนวทางที่เป็นรูปธรรมอย่างไร มิใช่เมื่อเกิดเหตุการณ์ ก็มารณรงค์กวดขันแบบไฟไหม้ฟาง เพราะถ้าสกอ.และสำนักงานคณะกรรมการอาชีวะศึกษา ได้มีการรวบรวมข้อมูลนิสิตนักศึกษาที่เสียชีวิตและพิการจากอุบัติเหตุทางถนน ตัวเลขไม่น่าจะต่ำกว่า 100 คนในแต่ละปี หรือคิดง่ายๆ ว่า ทุกๆ ปี จะมีนิสิตนักศึกษา หายไป 2 ห้องเรียน 3. ผู้ปกครองควรคิดให้รอบคอบก่อนสนับสนุนให้บุตรหลานใช้รถยนต์ และถ้าจำเป็นต้องมี ก็ควรมีเงื่อนไขหรือระบบการเรียนรู้ขับขี่ที่สำคัญคือ การกำกับช่วงเวลาใช้ โดยเฉพาะการขับขี่กลางคืน เดินทางต่างจังหวัด หรือการต้องไปเที่ยวฉลองในงานต่างๆ 4. เพื่อนๆ นิสิตนักศึกษาจะช่วยกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ในสถานศึกษา ไม่ตกเป็นเครื่องมือบริโภคนิยม ที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ การมีรถขับขี่เป็นเรื่องสำคัญ โดยที่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม และที่สำคัญคือ ช่วยกันลดพฤติกรรมขับรถเร็ว และดื่มแล้วขับ (เหมือนที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งเขียนข้อความในกระทู้ ดังนี้ นักศึกษาหญิงต้องช่วยเพื่อนนักศึกษาชาย โดยประกาศในมหาวิทยาลัยเลยว่า ฉันจะไม่มีแฟนเป็นคนขับรถเร็ว ดื่มเหล้าเก่ง เที่ยวดึก เป็นอันขาด ฉันเกลียดพวกนี้ แบบนี้พวกโชว์แมนจะลดจำนวนลง เพื่อนผู้ชายจะตายน้อยลง)

สุดท้าย ถ้าทุกฝ่ายไม่มองข้ามเรื่องเหล่านี้ และหันมาช่วยกัน พวกเขาเหล่านี้ ซึ่งบางส่วนอาจจะเป็นคนใกล้ชิดหรือญาติของเรา คงจะมีชีวิตยืนยาว และเป็นอนาคตของครอบครัว และสังคมต่อไป

นพ. ธนะพงศ์ จินวงษ์
ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

ที่มา: 'นักศึกษา' กับการขับรถยนต์ 'เหยื่อ' อุบัติเหตุทางถนนที่ทุกคนมองข้าม ไทยรัฐออนไลน์ 2 พฤศจิกายน 2553