จิ้งหรีด เป็นแมลงที่มีลักษณะปากเป็นแบบปากกัด มีตารวมหนวดยาวขาคู่หลังมีขนาดใหญ่และแข็งแรง เพศเมียปีกเรียวและมีอวัยวะวางไข่ยาวแหลมคล้ายเข็มยื่นออกมาจากส่วนท้อง เพศผู้มีปีกคู่หน้าย่นสามารถทำเสียงได้ จิ้งหรีดจัดเป็นแมลงชนิดหนึ่งที่พบได้ในทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะเขตร้อนอย่างประเทศไทย จิ้งหรีดมักกัดกินต้นกล้าของพืช ใบพืช ส่วนที่อ่อน ๆ เป็นอาหาร จิ้งหรีดมีหลายชนิด หลายขนาดแตกต่างกันไปตามพฤติกรรม
สำหรับจิ้งหรีดที่พบในประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มี 5 ชนิด 1. จิ้งหรีดดำ ลำตัวกว้างประมาณ 0.70 ซม. ยาวประมาณ 3 ซม. ตามธรรมชาติมี 3 สี คือ สีดำ สีทอง สีอำพัน 2. จิ้งหรีดทองแดง ลำตัวกว้างประมาณ 0.60 ซม. ยาวประมาณ 3 ซม. มีลำตัวสีน้ำตาล 3. จิ้งหรีดเล็ก มีขนาดเล็กที่สุด สีน้ำตาล 4. จิ้งโกร่ง เป็นจิ้งหรีดขนาดใหญ่ สีน้ำตาล โดยจะขุดดินสร้างรังอาศัยได้เอง และ 5. จิ้งหรีดทองแดงลาย มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีปีกครึ่งตัว และชนิดที่มีปีกยาวเหมือนจิ้งหรีดทั่วไป
โดยปัจจุบัน จิ้งหรีด เป็นแมลงเศรษฐกิจที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย รสชาติอร่อย มีโปรตีนสูง อีกทั้งยังมีความต้องการทางตลาดสูง โดยจะนำจิ้งหรีดมาเป็นอาหารโดยการแปรรูปคั่วหรือทอดขายตามตลาดทั่วไป หรือทำเป็นจิ้งหรีดอัดกระป๋องเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับจิ้งหรีดและเพิ่มช่อง ทางการขายด้วย
ในพื้นที่บ้านใหม่ป่าแขม อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เป็นจุดหนึ่งที่มีการส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีด เพื่อเสริมรายได้ให้กับครอบครัว โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชผักปลอดสารพิษ และส่งเสริมอาชีพอิสระ โดยใช้เวลาว่างมาเลี้ยงจิ้งหรีดเสริมรายได้ด้วย
นางเล็ก พวงรังกา อายุ 55 ปี เกษตรกรบ้านใหม่ป่าแขม เป็นหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพ กล่าวว่า จะใช้เวลาหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการปลูกพืชผักปลอดสารพิษมาเพาะเลี้ยง จิ้งหรีดส่งไปขายตามตลาด ทั้งนี้ขั้นตอนการเลี้ยงจิ้งหรีดก็ไม่ยุ่งยากอะไร มีเพียงบ่อจิ้งหรีด ที่จะนำมาเป็นสถานที่เพาะเลี้ยง หรือจะใช้วงปูน ก่อนจะปล่อยแม่พันธุ์ 3 ตัว ต่อพ่อพันธุ์ 1 ตัวลงในบ่อ โดยนำรังไข่เปล่า หรือ กาบมะพร้าว วางในวงท่อปูนสำหรับเป็นที่หลบซ่อนของจิ้งหรีด ทั้งนี้ควรป้องกันแสงสว่างและให้ความอบอุ่นแก่จิ้งหรีด เนื่องจากจิ้งหรีดเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน
สำหรับไข่จิ้งหรีดที่ฟักจะอยู่ในขันที่มีการเตรียมดิน สำหรับให้จิ้งหรีดฟักไข่ ออกมาเป็นตัว นอกจากนั้นมีเพียงถาดที่ไม่ลึกมาก เพื่อให้จิ้งหรีดได้ขึ้นกินอาหารและน้ำได้สะดวก 1 วง จะมีถาดอาหารและน้ำอย่างละ 2 ที่ ขั้นตอนของการเลี้ยงจิ้งหรีด เพียง 45 วัน เกษตรกรก็สามารถจับจิ้งหรีดขายได้แล้ว การเลี้ยงจิ้งหรีดจึงเป็นอาชีพเสริมให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ต้นทุนต่ำ จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ.
www.kasettuathai@dailynews.co.th
ที่มา: ชาวแม่เมาะสนุกรับทรัพย์ เลี้ยงจิ้งหรีดเสริมรายได้ เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 29 เมษายน 2554
Friday, April 29, 2011
กู้ซื้อบ้านหลังแรกดอก 0%
กู้ซื้อบ้านหลังแรกดอก 0%
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัว เอง โดยได้ดำเนินโครงการบ้านหลังแรก และโครงการแปลงเช่าเป็นค่าผ่อน ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยโครงการบ้านหลังแรกนั้น มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งจะได้ดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 2 ปี พร้อมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมจดจำนองและการโอน 3% ให้กู้นาน 30 ปี ทั้งนี้มีวงเงินให้กู้ภายใต้โครงการทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาท
“สิทธิที่ประชาชนจะได้รับภายในรัฐบาลนี้คือ สิทธิค่าโอนและค่าจดจำนอง ในโครงการบ้านหลังแรก เพราะกำหนดเวลาให้ผู้สนใจยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ระหว่าง 1 พ.ค.-30 ธ.ค.นี้ และทำนิติกรรมภายใน 1 พ.ค. 55 ซึ่งโครงการบ้านหลังแรกเริ่มทำได้เลย แต่โครงการที่ 2 นั้น กำลังตัดสินใจว่าจะทำก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากอาจต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกนิดหน่อย”
สำหรับโครงการแปลงเช่าเป็นค่าผ่อนนั้น เป็นการนำแนวคิดของขบวนการประชาวิวัฒน์ ที่ใช้กับผู้ขับรถแท็กซี่มาแล้ว โดยเป้าหมายหลัก เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสมีบ้านของตัวเอง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังกำลังหารือกับธอส. เพื่อปล่อยสินเชื่อให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านเป็นของตัวเองราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และจ่ายค่าเช่าไม่เกิน 5,000-10,000 บาทต่อเดือน ซึ่งที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้มีปัญหาคือไม่มีเงินดาวน์ แต่หากมีแหล่งเงินกู้ให้เขา และนำเงินที่เคยเป็นค่าเช่ามาผ่อนชำระเงินกู้กับธนาคารแทน เชื่อว่าจะทำให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเองได้ โดยที่ธอส.ต้องแยกบัญชีดำเนินตามนโยบายรัฐ (พีเอสโอ) เพื่อขอเงินชดเชยจากรัฐบาล
นอกจากนั้นยังมีแนวคิดที่จะจัดตั้งเป็นออกกองทุน เพื่อทำหน้าที่ในการปล่อยกู้เงินให้ผู้มีรายได้น้อยไปซื้อบ้านเป็นของตัวเอง แล้วผ่อนชำระกับกองทุนแทน ซึ่งกำลังหารือกับบรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่ (บตท.) และบรรษัทประกันสินเชื่อขนาดย่อม (บสย.) เพื่อให้เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ โดยแนวทางดังกล่าว ต้องออกเป็นพ.ร.บ.จัดตั้งกองทุน แต่ทั้งนี้ จะมีข้อดีคือกองทุนฯ สามารถนำสินเชื่อไปแปลงเป็นหลักทรัพย์ได้ เพื่อจะได้ระดมทุนมาปล่อยกู้ให้ผู้มีรายได้น้อยอีกทางหนึ่งด้วย
“แนวโน้มราคาบ้านจะปรับเพิ่มสูงขึ้นดังนั้นจึงเป็นวิธีการออมที่ดีที่สุดและ สร้างความมั่นคงแก่ประชาชนด้วย ซึ่งปัญหาที่พบคือ ไม่มีแหล่งเงินให้คนกลุ่มนี้ และเขาจะผ่อนบ้านไม่ได้ ถ้ารัฐบาลไม่มีโครงสร้างทางการเงินให้”
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 23 เมษายน 2554
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัว เอง โดยได้ดำเนินโครงการบ้านหลังแรก และโครงการแปลงเช่าเป็นค่าผ่อน ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยโครงการบ้านหลังแรกนั้น มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งจะได้ดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 2 ปี พร้อมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมจดจำนองและการโอน 3% ให้กู้นาน 30 ปี ทั้งนี้มีวงเงินให้กู้ภายใต้โครงการทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาท
“สิทธิที่ประชาชนจะได้รับภายในรัฐบาลนี้คือ สิทธิค่าโอนและค่าจดจำนอง ในโครงการบ้านหลังแรก เพราะกำหนดเวลาให้ผู้สนใจยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ระหว่าง 1 พ.ค.-30 ธ.ค.นี้ และทำนิติกรรมภายใน 1 พ.ค. 55 ซึ่งโครงการบ้านหลังแรกเริ่มทำได้เลย แต่โครงการที่ 2 นั้น กำลังตัดสินใจว่าจะทำก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากอาจต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกนิดหน่อย”
สำหรับโครงการแปลงเช่าเป็นค่าผ่อนนั้น เป็นการนำแนวคิดของขบวนการประชาวิวัฒน์ ที่ใช้กับผู้ขับรถแท็กซี่มาแล้ว โดยเป้าหมายหลัก เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสมีบ้านของตัวเอง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังกำลังหารือกับธอส. เพื่อปล่อยสินเชื่อให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านเป็นของตัวเองราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และจ่ายค่าเช่าไม่เกิน 5,000-10,000 บาทต่อเดือน ซึ่งที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้มีปัญหาคือไม่มีเงินดาวน์ แต่หากมีแหล่งเงินกู้ให้เขา และนำเงินที่เคยเป็นค่าเช่ามาผ่อนชำระเงินกู้กับธนาคารแทน เชื่อว่าจะทำให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเองได้ โดยที่ธอส.ต้องแยกบัญชีดำเนินตามนโยบายรัฐ (พีเอสโอ) เพื่อขอเงินชดเชยจากรัฐบาล
นอกจากนั้นยังมีแนวคิดที่จะจัดตั้งเป็นออกกองทุน เพื่อทำหน้าที่ในการปล่อยกู้เงินให้ผู้มีรายได้น้อยไปซื้อบ้านเป็นของตัวเอง แล้วผ่อนชำระกับกองทุนแทน ซึ่งกำลังหารือกับบรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่ (บตท.) และบรรษัทประกันสินเชื่อขนาดย่อม (บสย.) เพื่อให้เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ โดยแนวทางดังกล่าว ต้องออกเป็นพ.ร.บ.จัดตั้งกองทุน แต่ทั้งนี้ จะมีข้อดีคือกองทุนฯ สามารถนำสินเชื่อไปแปลงเป็นหลักทรัพย์ได้ เพื่อจะได้ระดมทุนมาปล่อยกู้ให้ผู้มีรายได้น้อยอีกทางหนึ่งด้วย
“แนวโน้มราคาบ้านจะปรับเพิ่มสูงขึ้นดังนั้นจึงเป็นวิธีการออมที่ดีที่สุดและ สร้างความมั่นคงแก่ประชาชนด้วย ซึ่งปัญหาที่พบคือ ไม่มีแหล่งเงินให้คนกลุ่มนี้ และเขาจะผ่อนบ้านไม่ได้ ถ้ารัฐบาลไม่มีโครงสร้างทางการเงินให้”
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 23 เมษายน 2554
จวกทีวีพยากรณ์อากาศไม่มีความรู้ มั่วทำแผนที่ลมดินฟ้าเก๊ตบตาคน
สุดทน อธิบดีกรมอุตุฯจวกพิธีกรพยากรณ์อากาศสุดมั่วดีแต่แต่งตัวโชว์ไม่มีความรู้มิ หนำซ้ำยังทำแผนที่พยากรณ์อากาศเก๊ขึ้นมาหลอกประชาชน แฉเชิญไปอบรบก็ไม่ไป ยกวิทวัส สุนทรวิเนตรต้นแบบพิธีกรพยากรณ์อากาศ...
กลายเป็นเรื่องที่ หลายคนมองข้าม แต่กลับสร้างความเสียหายมานานปีดีดักโดยที่ไม่รู้ตัวกับ กรณีการออกมาเปิดประเด็นนี้ผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า พิธีกรพยากรณ์อากาศทำแผนที่พยากรณ์อากาศผิดอากาศทุกวัน มิหนำซ้ำพิธีกรมากมายยังไม่มีองค์ความรู้เรื่องอากาศเลย สร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านที่ทำการเกษตรต้องพึ่งพาการอ่านแผนที่ในการ พยากรณ์ตามช่องฟรีทีวีมานานหลายปี
นายต่อศักดิ์ วานิชขจร อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาผู้เปิดประเด็นผ่านไทยรัฐออนไลน์กล่าวตำหนิด้วยความ อัดอั้นว่า หลายปีที่ผ่านมามีคนร้องเรียนมากมาย โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มที่ทำการเกษตรแจ้งมายังกรมอุตุฯ ว่าหลายปีที่ผ่านมาตนได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องมาจากการติดตามรายการพยากรณ์ อากาศตามฟรีทีวีต่างๆ ที่มักจะทำแผนที่พยากรณ์อากาศขึ้นมาเผยแพร่แบบไม่ได้ถูกต้องตามหลักการทำ แผนที่ของกรมอุตุนิยมวิทยา ทั้งที่ความจริงแล้วอุตุฯ ได้อัพเดทแผนที่อากาศทุกชั่วโมง (หากมีเหตุการณ์ด่วนจะอัพเดตแบบเรียลไทม์) แต่กลับละเลยเอาสวยงาม และผิดหลักวิชาการ ที่สำคัญพิธีกรตามช่องต่างๆ ไม่มีความรู้เรื่อง ดิน ฟ้า อากาศและแผนที่เพียงพอ
“ถ้าสังเกตดู รายการพยากรณ์อากาศที่โชว์แผนที่ทันสมัยไฮเทคแทบทุกช่องนั้นผิดหลักวิชาการ ทุกวัน ไม่ว่าจะรูปกระแสลม ทิศทางการเคลื่อนของฝน-ลม การเคลื่อนตัวของพายุ กระทั่งการอ่านค่าดิน ฟ้า อากาศแบบผิดๆ เนื่องจากไปทำกันเอง พิธีกรก็ไม่รู้อะไรท่องแต่สคริปต์คนเขียนก็มีความรู้บ้างไม่มีบ้าง คนทั่วไปๆ อาจจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่กับคนที่ต้องอ่านแผนที่เป็น หรือชาวบ้านที่ต้องการอ่านแผนที่แล้วนำไปประยุกต์ใช้กับการเกษตรเขาเดือน ร้อน”
ทั้งนี้ ผลกระทบจากการนำเสนอชนิดไม่มีองค์ความรู้ เช่นนี้ นอกจากสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ดูแผนที่เป็นและนำไปใช้กับงานแล้ว ความหวือหวาโดยไม่มีข้อเท็จจริงดังกล่าวยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ความน่าเชื่อ ถือของกรมอุตุฯ โดยตรง
“ปรากฏการณ์มั่วของรายการพยากรณ์อากาศทั้งหมด นี้มันสะท้อนว่าพิธีกรรุ่นใหม่-เก่าฉาบฉวยมากขึ้นเน้นเทคโนโลยีแต่ไม่ได้ เน้นองค์ความรู้อย่างถ่องแท้ ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จักสิ่งที่ตนพูดเลย เช่นกระแสลมพัดสอบ มวลอากาศ ฟ้าหลัว เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ต้องรู้พื้นฐานบ้างไม่ใช่แค่ทำฉาบฉวย เพียงแค่ใส่สูทแต่งตัวสวยงามออกทีวีเป็นหลัก ผิดกับสมัยคุณ “วิทวัส สุนทรวิเนตร” กว่าจะรายงานข่าวพยากรณ์อากาศที่เราเห็นในทีวีได้ต้องเข้ามาาอบรมการอ่านค่า ต่างๆ ที่กรมอุตุฯ เป็นเดือนๆ และพอออกอากาศมันก็ได้รับความชื่นชมว่ามีความรู้จริงๆ”
นายต่อศักดิ์ย้ำว่า ศาสตร์พยากรณ์ ดิน ฟ้า อากาศไม่ใช่ว่าใครจะอุปโลกน์ชี้อะไรตรงไหนก็ได้ การรายงานพยากรณ์อากาศมันเป็นศาสตร์ที่ต้อการรู้จริงและมากกว่าประชาชนทั่ว ไป
“ทุกๆ ปีทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีการเชิญผู้ประกาศข่าวและพิธีกรรายการพยากรณ์ อากาศมาอบรมเกี่ยวกับการดูแผนที่เพื่อที่จะได้สร้างความแม่นยำในการรายงาน ต่อสาธารณชนเสมอๆ แต่สิ่งที่เราได้เมื่อส่งเรื่องไปก็คือคำปฏิเสธและไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ ควร หลายแห่งก็ส่งแค่ตัวแทนมาโดยอ้างว่าพิธีกรหลักไม่มีเวลา ที่สำคัญวันนี้ยังไม่มีการสอบใบประกาศเพื่อรายงานข่าวพยากรณ์อากาศอย่างจริง จังเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชนทั้งชาติเลย เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก”
อธิบดีทิ้งท้ายด้วยว่า เพื่อกันความสับสนทางการอ่านแผนที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทางกรมอุตุฯ จึงอยากให้ประชาชนทั่วไปที่ต้องพึ่งพาการพยากรณ์ดินฟ้าอากาศให้ยึดแผนทีและ การพยากรณ์อากาศทางเว็บไซต์ของกรมอุตุที่ (http://www.tmd.go.th/index.php) เป็นหลัก เพราะมีการอัพเดทตลอดและขณะนี้ได้มีการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าถึง 7 วันแล้ว ป้องกันความสับสน
ที่มา: ทีมข่าวไลฟ์สไตล์ออนไลน์ ไทยรัฐออนไลน์ 21 เมษายน 2554
กลายเป็นเรื่องที่ หลายคนมองข้าม แต่กลับสร้างความเสียหายมานานปีดีดักโดยที่ไม่รู้ตัวกับ กรณีการออกมาเปิดประเด็นนี้ผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า พิธีกรพยากรณ์อากาศทำแผนที่พยากรณ์อากาศผิดอากาศทุกวัน มิหนำซ้ำพิธีกรมากมายยังไม่มีองค์ความรู้เรื่องอากาศเลย สร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านที่ทำการเกษตรต้องพึ่งพาการอ่านแผนที่ในการ พยากรณ์ตามช่องฟรีทีวีมานานหลายปี
นายต่อศักดิ์ วานิชขจร อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาผู้เปิดประเด็นผ่านไทยรัฐออนไลน์กล่าวตำหนิด้วยความ อัดอั้นว่า หลายปีที่ผ่านมามีคนร้องเรียนมากมาย โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มที่ทำการเกษตรแจ้งมายังกรมอุตุฯ ว่าหลายปีที่ผ่านมาตนได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องมาจากการติดตามรายการพยากรณ์ อากาศตามฟรีทีวีต่างๆ ที่มักจะทำแผนที่พยากรณ์อากาศขึ้นมาเผยแพร่แบบไม่ได้ถูกต้องตามหลักการทำ แผนที่ของกรมอุตุนิยมวิทยา ทั้งที่ความจริงแล้วอุตุฯ ได้อัพเดทแผนที่อากาศทุกชั่วโมง (หากมีเหตุการณ์ด่วนจะอัพเดตแบบเรียลไทม์) แต่กลับละเลยเอาสวยงาม และผิดหลักวิชาการ ที่สำคัญพิธีกรตามช่องต่างๆ ไม่มีความรู้เรื่อง ดิน ฟ้า อากาศและแผนที่เพียงพอ
“ถ้าสังเกตดู รายการพยากรณ์อากาศที่โชว์แผนที่ทันสมัยไฮเทคแทบทุกช่องนั้นผิดหลักวิชาการ ทุกวัน ไม่ว่าจะรูปกระแสลม ทิศทางการเคลื่อนของฝน-ลม การเคลื่อนตัวของพายุ กระทั่งการอ่านค่าดิน ฟ้า อากาศแบบผิดๆ เนื่องจากไปทำกันเอง พิธีกรก็ไม่รู้อะไรท่องแต่สคริปต์คนเขียนก็มีความรู้บ้างไม่มีบ้าง คนทั่วไปๆ อาจจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่กับคนที่ต้องอ่านแผนที่เป็น หรือชาวบ้านที่ต้องการอ่านแผนที่แล้วนำไปประยุกต์ใช้กับการเกษตรเขาเดือน ร้อน”
ทั้งนี้ ผลกระทบจากการนำเสนอชนิดไม่มีองค์ความรู้ เช่นนี้ นอกจากสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ดูแผนที่เป็นและนำไปใช้กับงานแล้ว ความหวือหวาโดยไม่มีข้อเท็จจริงดังกล่าวยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ความน่าเชื่อ ถือของกรมอุตุฯ โดยตรง
“ปรากฏการณ์มั่วของรายการพยากรณ์อากาศทั้งหมด นี้มันสะท้อนว่าพิธีกรรุ่นใหม่-เก่าฉาบฉวยมากขึ้นเน้นเทคโนโลยีแต่ไม่ได้ เน้นองค์ความรู้อย่างถ่องแท้ ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จักสิ่งที่ตนพูดเลย เช่นกระแสลมพัดสอบ มวลอากาศ ฟ้าหลัว เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ต้องรู้พื้นฐานบ้างไม่ใช่แค่ทำฉาบฉวย เพียงแค่ใส่สูทแต่งตัวสวยงามออกทีวีเป็นหลัก ผิดกับสมัยคุณ “วิทวัส สุนทรวิเนตร” กว่าจะรายงานข่าวพยากรณ์อากาศที่เราเห็นในทีวีได้ต้องเข้ามาาอบรมการอ่านค่า ต่างๆ ที่กรมอุตุฯ เป็นเดือนๆ และพอออกอากาศมันก็ได้รับความชื่นชมว่ามีความรู้จริงๆ”
นายต่อศักดิ์ย้ำว่า ศาสตร์พยากรณ์ ดิน ฟ้า อากาศไม่ใช่ว่าใครจะอุปโลกน์ชี้อะไรตรงไหนก็ได้ การรายงานพยากรณ์อากาศมันเป็นศาสตร์ที่ต้อการรู้จริงและมากกว่าประชาชนทั่ว ไป
“ทุกๆ ปีทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีการเชิญผู้ประกาศข่าวและพิธีกรรายการพยากรณ์ อากาศมาอบรมเกี่ยวกับการดูแผนที่เพื่อที่จะได้สร้างความแม่นยำในการรายงาน ต่อสาธารณชนเสมอๆ แต่สิ่งที่เราได้เมื่อส่งเรื่องไปก็คือคำปฏิเสธและไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ ควร หลายแห่งก็ส่งแค่ตัวแทนมาโดยอ้างว่าพิธีกรหลักไม่มีเวลา ที่สำคัญวันนี้ยังไม่มีการสอบใบประกาศเพื่อรายงานข่าวพยากรณ์อากาศอย่างจริง จังเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชนทั้งชาติเลย เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก”
อธิบดีทิ้งท้ายด้วยว่า เพื่อกันความสับสนทางการอ่านแผนที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทางกรมอุตุฯ จึงอยากให้ประชาชนทั่วไปที่ต้องพึ่งพาการพยากรณ์ดินฟ้าอากาศให้ยึดแผนทีและ การพยากรณ์อากาศทางเว็บไซต์ของกรมอุตุที่ (http://www.tmd.go.th/index.php) เป็นหลัก เพราะมีการอัพเดทตลอดและขณะนี้ได้มีการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าถึง 7 วันแล้ว ป้องกันความสับสน
ที่มา: ทีมข่าวไลฟ์สไตล์ออนไลน์ ไทยรัฐออนไลน์ 21 เมษายน 2554
ทัวร์ภารตะแห่ซื้อทีวี(จากไทย)กลับบ้าน
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ผู้บริหารร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไอทีภายใต้ชื่อ เพาเวอร์บาย เปิดเผยว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดียนิยมเข้ามาซื้อเครื่อง ใช้ไฟฟ้าในไทยมาก ในส่วนของเพาเวอร์บาย ลูกค้าชาวอินเดียที่มาใช้บริการ ส่วนใหญ่มาเป็นกลุ่มไม่ต่ำกว่า 5 คน และให้มัคคุเทศก์พามาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะส่วนสินค้าที่ ได้รับความนิยมสูงสุด คือโทรทัศน์และกล้องดิจิทัล ในส่วนของโทรทัศน์นิยมซื้อขนาด 40 นิ้วขึ้นไป และซื้อ 2 เครื่องต่อคน เพื่อซื้อให้ตัวเอง 1 เครื่อง ส่วนอีกเครื่องนำกลับไปฝากเครือญาติ ส่วนสาเหตุที่นิยมมาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย เพราะราคาถูกกว่าในอินเดีย 3 เท่า อีกทั้งไทยเป็นฐานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญในอาเซียน
“ไทยกลายเป็นจุดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งใหม่ของชาวอินเดียไปแล้ว โดยหากเดินทางมาไทย ชาวอินเดียต้องมาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ากลับไปด้วยทุกครั้ง ซึ่งบริษัทก็ตอบสนองความต้องการลูกค้า ด้วยบริการจัดส่งสินค้าฟรีไปให้ลูกค้าที่สนามบินโดยตรง ทำให้ลูกค้าอินเดียชื่นชอบการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยมาก”
นายสวัสดิ์ นะพล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาร์เวล ฮอลิเดย์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทนำเที่ยวที่ทำตลาดอินเดีย กล่าวว่า นักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยวนิยมการชอปปิงในไทยมาก โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและเสื้อผ้า ส่วนใหญ่จะรู้แหล่งซื้อสินค้าจากชาวอินเดียที่เคยมาไทยแล้วบอกต่อกันมา จากนั้นก็จะจับกลุ่มไปซื้อกันเองในช่วงที่มีเวลาว่าง โดยเฉพาะการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทโทรทัศน์จอแบน พบว่า 80% ของนักท่องเที่ยวอินเดียทั้งหมดที่มากับทัวร์จะซื้อกลับไป
สำหรับสถานการณ์คนอินเดียเที่ยวไทยช่วงนี้ ยังไม่มากนัก เนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินยังแพง แต่คาดว่าเดือน พ.ค.-มิ.ย. จะมีคนอินเดียมาเที่ยวไทยมาก เพราะเป็นช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว หรือโลว์ซีซั่นของไทย ตั๋วเครื่องบินจะราคาถูกลง และโรงแรมก็จะลดราคาห้องพักเกือบครึ่งหนึ่งของช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หรือไฮซีซั่น จึงจูงใจให้คนอินเดียอยากเดินทางมา โดยกลุ่มคนอินเดียที่นิยมมาไทยมาก จะมาจากเมืองเดลี บอมเบย์ บังกะลอร์ และ เชนไน เนื่องจากมีเส้นทางบินตรงมายังไทย
น.ส.นันทินี เชื้อชูวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กล่าวว่า ลูกค้าอินเดียมาใช้บริการโรงแรมมากเช่นเดิม โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มาจัดงานแต่งงาน รวมทั้งกลุ่มประชุมสัมมนา และท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล ซึ่งกลุ่มนี้เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ใช้จ่ายสูงทั้งในโรงแรมและการชอปปิงนอกโรงแรม โดยกลุ่มนี้ไม่ได้นิยมซื้อจอโทรทัศน์เหมือนกับนักท่องเที่ยวอินเดียทั่วไป แต่จะนิยมซื้อเพชร พลอย เครื่องประดับราคาสูงเลย
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ตั้งเป้าหมายว่า ปีนี้จะดึงนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยให้ได้ 850,000 คน ขยายตัวมากกว่า 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีนักท่องเที่ยวอินเดีย 760,371 คน เพิ่มขึ้น 23.72% จากปี 52 โดยจะเน้นส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มคุณภาพ ที่มีกำลังซื้อสูง ให้มีสัดส่วน 30% ของนักท่องเที่ยวอินเดียทั้งหมดที่เดินทางมาไทย ซึ่งตลาดคุณภาพอินเดียที่ ททท. เน้นคือ กลุ่มที่เข้ามาจัดงานแต่งงานในไทย มาเล่นกอล์ฟ และกลุ่มครอบครัว
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวที่จะนำเสนอ ได้แก่ เชียงใหม่ เกาะสมุย ภูเก็ต สุโขทัย และ พิษณุโลก เพราะปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวอินเดีย ยังนิยมเดินทางมาเที่ยวเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและพัทยา โดยอาจจับมือกับสายการบิน ซึ่งมีเส้นทางบินไปยังพื้นที่เหล่านี้ เพื่อทำตลาดร่วมกัน
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 29 เมษายน 2554
“ไทยกลายเป็นจุดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งใหม่ของชาวอินเดียไปแล้ว โดยหากเดินทางมาไทย ชาวอินเดียต้องมาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ากลับไปด้วยทุกครั้ง ซึ่งบริษัทก็ตอบสนองความต้องการลูกค้า ด้วยบริการจัดส่งสินค้าฟรีไปให้ลูกค้าที่สนามบินโดยตรง ทำให้ลูกค้าอินเดียชื่นชอบการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยมาก”
นายสวัสดิ์ นะพล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาร์เวล ฮอลิเดย์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทนำเที่ยวที่ทำตลาดอินเดีย กล่าวว่า นักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยวนิยมการชอปปิงในไทยมาก โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและเสื้อผ้า ส่วนใหญ่จะรู้แหล่งซื้อสินค้าจากชาวอินเดียที่เคยมาไทยแล้วบอกต่อกันมา จากนั้นก็จะจับกลุ่มไปซื้อกันเองในช่วงที่มีเวลาว่าง โดยเฉพาะการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทโทรทัศน์จอแบน พบว่า 80% ของนักท่องเที่ยวอินเดียทั้งหมดที่มากับทัวร์จะซื้อกลับไป
สำหรับสถานการณ์คนอินเดียเที่ยวไทยช่วงนี้ ยังไม่มากนัก เนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินยังแพง แต่คาดว่าเดือน พ.ค.-มิ.ย. จะมีคนอินเดียมาเที่ยวไทยมาก เพราะเป็นช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว หรือโลว์ซีซั่นของไทย ตั๋วเครื่องบินจะราคาถูกลง และโรงแรมก็จะลดราคาห้องพักเกือบครึ่งหนึ่งของช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หรือไฮซีซั่น จึงจูงใจให้คนอินเดียอยากเดินทางมา โดยกลุ่มคนอินเดียที่นิยมมาไทยมาก จะมาจากเมืองเดลี บอมเบย์ บังกะลอร์ และ เชนไน เนื่องจากมีเส้นทางบินตรงมายังไทย
น.ส.นันทินี เชื้อชูวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กล่าวว่า ลูกค้าอินเดียมาใช้บริการโรงแรมมากเช่นเดิม โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มาจัดงานแต่งงาน รวมทั้งกลุ่มประชุมสัมมนา และท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล ซึ่งกลุ่มนี้เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ใช้จ่ายสูงทั้งในโรงแรมและการชอปปิงนอกโรงแรม โดยกลุ่มนี้ไม่ได้นิยมซื้อจอโทรทัศน์เหมือนกับนักท่องเที่ยวอินเดียทั่วไป แต่จะนิยมซื้อเพชร พลอย เครื่องประดับราคาสูงเลย
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ตั้งเป้าหมายว่า ปีนี้จะดึงนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยให้ได้ 850,000 คน ขยายตัวมากกว่า 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีนักท่องเที่ยวอินเดีย 760,371 คน เพิ่มขึ้น 23.72% จากปี 52 โดยจะเน้นส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มคุณภาพ ที่มีกำลังซื้อสูง ให้มีสัดส่วน 30% ของนักท่องเที่ยวอินเดียทั้งหมดที่เดินทางมาไทย ซึ่งตลาดคุณภาพอินเดียที่ ททท. เน้นคือ กลุ่มที่เข้ามาจัดงานแต่งงานในไทย มาเล่นกอล์ฟ และกลุ่มครอบครัว
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวที่จะนำเสนอ ได้แก่ เชียงใหม่ เกาะสมุย ภูเก็ต สุโขทัย และ พิษณุโลก เพราะปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวอินเดีย ยังนิยมเดินทางมาเที่ยวเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและพัทยา โดยอาจจับมือกับสายการบิน ซึ่งมีเส้นทางบินไปยังพื้นที่เหล่านี้ เพื่อทำตลาดร่วมกัน
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 29 เมษายน 2554
Wednesday, April 20, 2011
US firm accused of abusing 200 Thais
US firm accused of abusing 200 Thais
US authorities on Wednesday filed charges against two companies on charges they exploited hundreds of Thai and Indian workers who earned a pittance and were forced to stay in decrepit conditions.
In what it called its largest ever human trafficking case in the farm sector, the US Equal Employment Opportunity Commission said that contractor Global Horizons brought in some 200 Thai men on promises of high-paying jobs.
The Thai men were sent between 2003 and 2007 to farms in Hawaii and Washington where they were crammed into rooms infested with rats and insects and faced verbal and physical assaults, the federal agency said.
The men had paid insurmountable fees to enter the United States but were stripped of their passports and kept separately from non-Thai workers who had more tolerable conditions, the suits alleged. Authorities learned of their plight after a Thai community center in Los Angeles got involved.
"Human trafficking is one of the most insidious forms of discrimination,'' said Anna Park, a Los Angeles-based attorney for the federal commission.
The commission "is committed to holding employers accountable for benefiting from the modern day enslavement of workers from other countries,'' she said in a statement.
The federal agency also sued companies running the eight farms where the Thai men worked, saying they ``not only ignored abuses but also participated in the obvious mistreatment, intimidation, harassment and unequal pay of the Thai workers,'' according to a statement.
The companies are Captain Cook Coffee Co., Del Monte Fresh Produce, Kauai Coffee Co., Kelena Farms, MacFarms of Hawaii, Maui Pineapple Farms, Green Acre Farms and Valley Fruit Orchards.
In a separate case, the federal agency filed charges against Signal International, a marine services company based in Alabama, for allegedly demeaning treatment of 500 Indian employees.
The lawsuit said that the men were forced in live in fence-enclosed, segregated housing where they were referred to by number instead of name.
The Indian employees were obliged to spend $30 each day for lodging and food that were ``intolerable, demeaning and unsanitary,'' a statement said.
The Indians were brought to the United States by a separate entity that is not part of the lawsuit.
The federal commission said it would seek back pay and compensation for the Thai and Indian workers, along with measures from the companies to prevent future discrimination.
-----------
Source: Bangkok Post newspaper Thursday 21 April 2011
US authorities on Wednesday filed charges against two companies on charges they exploited hundreds of Thai and Indian workers who earned a pittance and were forced to stay in decrepit conditions.
In what it called its largest ever human trafficking case in the farm sector, the US Equal Employment Opportunity Commission said that contractor Global Horizons brought in some 200 Thai men on promises of high-paying jobs.
The Thai men were sent between 2003 and 2007 to farms in Hawaii and Washington where they were crammed into rooms infested with rats and insects and faced verbal and physical assaults, the federal agency said.
The men had paid insurmountable fees to enter the United States but were stripped of their passports and kept separately from non-Thai workers who had more tolerable conditions, the suits alleged. Authorities learned of their plight after a Thai community center in Los Angeles got involved.
"Human trafficking is one of the most insidious forms of discrimination,'' said Anna Park, a Los Angeles-based attorney for the federal commission.
The commission "is committed to holding employers accountable for benefiting from the modern day enslavement of workers from other countries,'' she said in a statement.
The federal agency also sued companies running the eight farms where the Thai men worked, saying they ``not only ignored abuses but also participated in the obvious mistreatment, intimidation, harassment and unequal pay of the Thai workers,'' according to a statement.
The companies are Captain Cook Coffee Co., Del Monte Fresh Produce, Kauai Coffee Co., Kelena Farms, MacFarms of Hawaii, Maui Pineapple Farms, Green Acre Farms and Valley Fruit Orchards.
In a separate case, the federal agency filed charges against Signal International, a marine services company based in Alabama, for allegedly demeaning treatment of 500 Indian employees.
The lawsuit said that the men were forced in live in fence-enclosed, segregated housing where they were referred to by number instead of name.
The Indian employees were obliged to spend $30 each day for lodging and food that were ``intolerable, demeaning and unsanitary,'' a statement said.
The Indians were brought to the United States by a separate entity that is not part of the lawsuit.
The federal commission said it would seek back pay and compensation for the Thai and Indian workers, along with measures from the companies to prevent future discrimination.
-----------
Source: Bangkok Post newspaper Thursday 21 April 2011
นายกฯยุ่นส่งสารขอบคุณชาวไทยช่วยแผ่นดินไหว-สึนามิ
นาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ส่งสาส์นขอบคุณชาวไทยทุกคนที่สนับสนุนและให้การช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่น หลังประสบเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ โดยข้อความในสาส์นดังกล่าว ระบุว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 เวลา 14.46 น. ประเทศญี่ปุ่นได้เผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติ ศาสตร์ เวลานี้ญี่ปุ่นกำลังพยายามสุดความสามารถในการพลิกฟื้นและฟื้นฟูการดำเนิน ชีวิตจากโศกนาฏกรรมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของ ประเทศญี่ปุ่น ภัยพิบัติครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายมากกว่า 28,000 คน รวมถึงชาวต่างประเทศ
หลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 มีนาคม ประเทศญี่ปุ่นได้รับความช่วยเหลือจากประชาคมโลกและเพื่อนๆ จากทั่วโลก ในนามของประชาชนญี่ปุ่น ข้าพเจ้าขอขอบคุณสุดซึ้งจากใจจริงสำหรับความช่วยเหลือ และความห่วงใยที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับจากนานาประเทศมากกว่า 130 ประเทศ องค์กรระหว่างประเทศเกือบ 40 องค์กร และปัจเจกชนนับไม่ถ้วนจากทั่วทุกมุมโลก ชาวญี่ปุ่นรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งในสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพ (Kizuna) ที่เพื่อนๆ ทั่วทุกมุมโลกแสดงให้ญี่ปุ่นได้ประจักษ์
ที่ประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงค์ ได้ส่งสาส์นแสดงความเสียใจและให้กำลังใจประชาชนชาวญี่ปุ่น รวมถึงสารจากรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย นอกจากนี้ยังได้รับเงินบริจาคจำนวนมากเพื่อผู้ประสบภัยชาวญี่ปุ่น ข้อความที่อบอุ่นและกำลังใจสร้างความประทับใจแก่ชาวญี่ปุ่น ได้รู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่า “เพื่อนแท้ในยามยาก” ในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวญี่ปุ่น ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งจากใจจริงสำหรับการแสดงออกอัน อบอุ่นของทุกท่าน
ประเทศญี่ปุ่นต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ นิวเคลียร์โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ-ไดอิจิ ซึ่งตามระดับนานาชาติถือว่ามีความรุนแรงสูงสุด เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่งและต้องเอาจริงเอาจัง สิ่งสำคัญลำดับแรกคือ การที่จะต้องควบคุมสถานการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ข้าพเจ้าได้พยายามสูงสุดที่จะจัดการสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในขณะนี้ด้วยความ พยายามร่วมกันของรัฐบาล ข้าพเจ้าระดมสรรพกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อต่อสู้อันตรายที่เกิดจากโรงไฟฟ้า โดยยึดหลักสามประการ ประการแรก ความสำคัญสูงสุดคือความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่ใกล้โรงไฟฟ้า ประการที่สอง บริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบถี่ถ้วน และ ประการที่สาม เตรียมแผนการเพื่อรับมืออย่างเต็มที่สำหรับทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ใน อนาคต ตัวอย่าง เช่น จะดำเนินความพยายามสุดความสามารถในการจัดการปัญหาการรั่วไหลของน้ำปนเปื้อน กัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลงในทะเล นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการทุกมาตรการในอันจะประกันความปลอดภัยในอาหารและ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างเข้มงวด ได้มีการใช้มาตรการป้องกันขั้นสูงเพื่อให้อาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เข้าสู่ตลาดมีความปลอดภัย และจะดำเนินการเช่นนี้ต่อไป เพื่อประกันความมั่นใจแก่ผู้บริโภคภายในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับความ ปลอดภัยในอาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ คณะรัฐบาลจะเพิ่มความพยายามเท่าตัวในการรักษาความโปร่งใสและแจ้งข่าวสารแก่ ทุกท่านถึงความคืบหน้าของสถานการณ์และความเป็นไปของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ-ไดอิจิ
ข้าพเจ้า สัญญาว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะตรวจสอบเพื่อพิสูจน์สาเหตุการเกิดอุบัติภัยครั้งนี้ โดยเร็วอย่างละเอียด ถี่ถ้วน ตลอดจนแบ่งปันข้อมูลและบทเรียนที่ได้รับให้ทั่วโลกได้รู้เพื่อที่จะป้องกัน การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ด้วยขั้นตอนการดำเนินการนี้ จะสามารถนำเสนอการเตรียมการการควบคุมเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยเกี่ยวกับ พลังงานนิวเคลียร์ต่อที่ประชุมอภิปรายระดับนานาชาติ ขณะเดียวกัน ในมุมของนโยบายรวมว่าด้วยพลังงาน จะต้องรับมือในการจัดการความท้าทายสองประการ ได้แก่ การสนองตอบความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และความมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อต่อสู้ภาวะโลกร้อน ข้าพเจ้าขอนำเสนอภาพที่ชัดเจนสู่โลกผ่าน “การเกิดใหม่”ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะรวมถึงการส่งเสริมพลังงานสะอาดอย่างเข้มแข็ง นี่อาจเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาด้านพลังงานของโลก
เหตุการณ์แผ่น ดินไหวครั้งใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น และผลจากการเกิดสึนามิที่ตามมาเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดที่ประเทศ ญี่ปุ่นได้เผชิญตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง การฟื้นฟูภาคโทโฮคุที่ถูกทำลายเสียหายมิใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่าเวลาแห่งความยากลำบากนี้จะเปิดประตูแห่งโอกาสอันมีค่าต่อ “การเกิดใหม่ของญี่ปุ่น” ที่มั่นคงปลอดภัย รัฐบาลจะอุทิศตนเพื่อแสดงให้โลกประจักษ์ในความสามารถสร้างแผนฟื้นฟูฝั่ง ตะวันออกของญี่ปุ่นที่จัดเจน โดยยึดหลักสามประการ ประการที่หนึ่ง สร้างสังคมภูมิภาคที่มีภูมิต้านทานภัยธรรมชาติสูง ประการที่สอง สร้างระบบสังคมที่ประชาชนทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวกับสิ่งแวดล้อมโลก และประการที่สาม สร้างสังคมเอื้ออาทรที่ห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อ่อนแอ
ชาวญี่ปุ่นได้ลุกขึ้นยืนฟื้นจากเถ้าถ่าน แห่งสงครามโลกครั้งที่สองโดยใช้พลังจากรากฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งการฟื้นตัว ที่เด่นชัดและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ข้าพเจ้าไม่มีข้อสงสัยแม้แต่ประการเดียวว่าญี่ปุ่นจะสามารถเอาชนะวิกฤตการณ์ ครั้งนี้ จะสามารถฟื้นฟูหลังจากวิบัติภัย จะเข้มแข็งยิ่งขึ้น และสร้างญี่ปุ่นที่ดีและเจิดจ้าสว่างไสวกว่าสำหรับอนุชนรุ่นต่อไป
ข้าพเจ้า เชื่อมั่นว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประเทศญี่ปุ่นที่จะแลกเปลี่ยนความหมาย Kizuna (bonds of friendship) อย่างลึกซึ้งและมิตรภาพที่อบอุ่นด้วยมิตรไมตรีที่ประชาคมโลกให้แก่ญี่ปุ่น คือ ให้การช่วยเหลือสนับสนุนการพัฒนาประชาคมโลกต่อไป เพื่อก้าวสู่จุดประสงค์นี้ ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถที่จะทำให้การฟื้นฟูที่ “มองไปข้างหน้า” บังเกิดผล ให้ประชาชนมีความหวังที่สดใสสำหรับอนาคต ข้าพเจ้าขอขอบคุณจากใจจริงในความช่วยเหลือสนับสนุนและความร่วมมือจากท่าน ทั้งหลาย อะริงะโต
TOKYO – Prime Minister (PM) of Japan Naoto Kan 300x165 Japanese Prime Minister Say Thank YouNaoto Kan expressed his gratitude through advertisements in various leading newspapers of the world. Words were addressed to the elements in the world for the support that has been given since the tsunami swept Japan.
Three-quarter-page ad, titled Thank You for Kizuna (bonds of friendship) is installed in the pages of international newspapers such as the Financial Times, Wall Street Journal and International Herald Tribune.
“One month has passed since the earthquake with the strength that never happened before. The earthquake has also claimed thousands of lives. In the tsunami-swept region there is no food, water, and electricity and the survivors do not have a channel of communication. At the time that these sad people from all over the world come together to give hope and encouragement, “the statement in the ad as quoted by AFP on Monday (4/11/2011).
In the ad also states greatly appreciate Kan Kizuna given by friends around the world and thank you to every state, entity and every individual.
Countries include the United States, Australia, Mexico, China and several European countries sending teams to aid Japan after earthquake and tsunami on 11 March. ‘re many other countries to send donations and promised financial aid to help the country with the world’s third largest economy to recover after the disaster.
Support also came from countries such as Afghanistan unexpected that promised to provide assistance amounting to $ 1 million or around Rp 8, 6 billion. In addition to donations from various countries, as well as many charitable activities carried out in the recovery effort in Japan. Individuals also promised to provide funding assistance to help people in Japan’s northeast coast where the tsunami destroyed the entire city there.
---------
It’s been a month since Japan was struck by a massive earthquake and tsunami which resulted to thousands of lives who were left dead and missing. Looking back to such horrible situation, Japan keeps on struggling to lift up its economy as it continues to reach out for missing bodies.
Such traumatic event awakened the world as concerned individuals and organizations from various nations cooperated in every possible way. Every helpful act had been a meaningful instrument that pushed Japan authorities to take gradually take steps to inspire its people that life must go on.
Radiation leak from Fukushima Daiichi nuclear plant worried the people worldwide as it may result to several problems especially on health. Assessing its ongoing operation, reports resulted that the massive leak of radioactive materials were observed to reduce.
With this ongoing progress, the Prime Minister of Japan, Naoto Kan, expressed his deepest gratitude to the world for extending its support after the tragedy. Prime Minister Kan was able to sign an open letter entitled “Thank you for the Kizuna (bonds of friendship)” which was published in leading newspapers such as the Financial Times, Wall Street Journal, and International Herald Tribune. It was a way of spreading thanks to those who assisted Japan victims especially those from the affected areas.
The open letter signed by Prime Minister Kan had been carried to many countries like France, Russia, China and Singapore.
Looking back at the 9.0 magnitude earthquake and tsunami last March 11, around 13,000 lives were killed, 14,500 are still missing while 150, 000 people remained homeless.
A heart that once had suffered continues to find a greater hope. To boost up Japan’s recovery, the re-elected governor of Tokyo said on Sunday that the city will bid for the 2020 Summer Olympics.
หลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 มีนาคม ประเทศญี่ปุ่นได้รับความช่วยเหลือจากประชาคมโลกและเพื่อนๆ จากทั่วโลก ในนามของประชาชนญี่ปุ่น ข้าพเจ้าขอขอบคุณสุดซึ้งจากใจจริงสำหรับความช่วยเหลือ และความห่วงใยที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับจากนานาประเทศมากกว่า 130 ประเทศ องค์กรระหว่างประเทศเกือบ 40 องค์กร และปัจเจกชนนับไม่ถ้วนจากทั่วทุกมุมโลก ชาวญี่ปุ่นรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งในสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพ (Kizuna) ที่เพื่อนๆ ทั่วทุกมุมโลกแสดงให้ญี่ปุ่นได้ประจักษ์
ที่ประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงค์ ได้ส่งสาส์นแสดงความเสียใจและให้กำลังใจประชาชนชาวญี่ปุ่น รวมถึงสารจากรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย นอกจากนี้ยังได้รับเงินบริจาคจำนวนมากเพื่อผู้ประสบภัยชาวญี่ปุ่น ข้อความที่อบอุ่นและกำลังใจสร้างความประทับใจแก่ชาวญี่ปุ่น ได้รู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่า “เพื่อนแท้ในยามยาก” ในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวญี่ปุ่น ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งจากใจจริงสำหรับการแสดงออกอัน อบอุ่นของทุกท่าน
ประเทศญี่ปุ่นต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ นิวเคลียร์โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ-ไดอิจิ ซึ่งตามระดับนานาชาติถือว่ามีความรุนแรงสูงสุด เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่งและต้องเอาจริงเอาจัง สิ่งสำคัญลำดับแรกคือ การที่จะต้องควบคุมสถานการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ข้าพเจ้าได้พยายามสูงสุดที่จะจัดการสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในขณะนี้ด้วยความ พยายามร่วมกันของรัฐบาล ข้าพเจ้าระดมสรรพกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อต่อสู้อันตรายที่เกิดจากโรงไฟฟ้า โดยยึดหลักสามประการ ประการแรก ความสำคัญสูงสุดคือความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่ใกล้โรงไฟฟ้า ประการที่สอง บริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบถี่ถ้วน และ ประการที่สาม เตรียมแผนการเพื่อรับมืออย่างเต็มที่สำหรับทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ใน อนาคต ตัวอย่าง เช่น จะดำเนินความพยายามสุดความสามารถในการจัดการปัญหาการรั่วไหลของน้ำปนเปื้อน กัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลงในทะเล นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการทุกมาตรการในอันจะประกันความปลอดภัยในอาหารและ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างเข้มงวด ได้มีการใช้มาตรการป้องกันขั้นสูงเพื่อให้อาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เข้าสู่ตลาดมีความปลอดภัย และจะดำเนินการเช่นนี้ต่อไป เพื่อประกันความมั่นใจแก่ผู้บริโภคภายในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับความ ปลอดภัยในอาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ คณะรัฐบาลจะเพิ่มความพยายามเท่าตัวในการรักษาความโปร่งใสและแจ้งข่าวสารแก่ ทุกท่านถึงความคืบหน้าของสถานการณ์และความเป็นไปของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ-ไดอิจิ
ข้าพเจ้า สัญญาว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะตรวจสอบเพื่อพิสูจน์สาเหตุการเกิดอุบัติภัยครั้งนี้ โดยเร็วอย่างละเอียด ถี่ถ้วน ตลอดจนแบ่งปันข้อมูลและบทเรียนที่ได้รับให้ทั่วโลกได้รู้เพื่อที่จะป้องกัน การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ด้วยขั้นตอนการดำเนินการนี้ จะสามารถนำเสนอการเตรียมการการควบคุมเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยเกี่ยวกับ พลังงานนิวเคลียร์ต่อที่ประชุมอภิปรายระดับนานาชาติ ขณะเดียวกัน ในมุมของนโยบายรวมว่าด้วยพลังงาน จะต้องรับมือในการจัดการความท้าทายสองประการ ได้แก่ การสนองตอบความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และความมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อต่อสู้ภาวะโลกร้อน ข้าพเจ้าขอนำเสนอภาพที่ชัดเจนสู่โลกผ่าน “การเกิดใหม่”ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะรวมถึงการส่งเสริมพลังงานสะอาดอย่างเข้มแข็ง นี่อาจเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาด้านพลังงานของโลก
เหตุการณ์แผ่น ดินไหวครั้งใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น และผลจากการเกิดสึนามิที่ตามมาเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดที่ประเทศ ญี่ปุ่นได้เผชิญตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง การฟื้นฟูภาคโทโฮคุที่ถูกทำลายเสียหายมิใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่าเวลาแห่งความยากลำบากนี้จะเปิดประตูแห่งโอกาสอันมีค่าต่อ “การเกิดใหม่ของญี่ปุ่น” ที่มั่นคงปลอดภัย รัฐบาลจะอุทิศตนเพื่อแสดงให้โลกประจักษ์ในความสามารถสร้างแผนฟื้นฟูฝั่ง ตะวันออกของญี่ปุ่นที่จัดเจน โดยยึดหลักสามประการ ประการที่หนึ่ง สร้างสังคมภูมิภาคที่มีภูมิต้านทานภัยธรรมชาติสูง ประการที่สอง สร้างระบบสังคมที่ประชาชนทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวกับสิ่งแวดล้อมโลก และประการที่สาม สร้างสังคมเอื้ออาทรที่ห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อ่อนแอ
ชาวญี่ปุ่นได้ลุกขึ้นยืนฟื้นจากเถ้าถ่าน แห่งสงครามโลกครั้งที่สองโดยใช้พลังจากรากฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งการฟื้นตัว ที่เด่นชัดและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ข้าพเจ้าไม่มีข้อสงสัยแม้แต่ประการเดียวว่าญี่ปุ่นจะสามารถเอาชนะวิกฤตการณ์ ครั้งนี้ จะสามารถฟื้นฟูหลังจากวิบัติภัย จะเข้มแข็งยิ่งขึ้น และสร้างญี่ปุ่นที่ดีและเจิดจ้าสว่างไสวกว่าสำหรับอนุชนรุ่นต่อไป
ข้าพเจ้า เชื่อมั่นว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประเทศญี่ปุ่นที่จะแลกเปลี่ยนความหมาย Kizuna (bonds of friendship) อย่างลึกซึ้งและมิตรภาพที่อบอุ่นด้วยมิตรไมตรีที่ประชาคมโลกให้แก่ญี่ปุ่น คือ ให้การช่วยเหลือสนับสนุนการพัฒนาประชาคมโลกต่อไป เพื่อก้าวสู่จุดประสงค์นี้ ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถที่จะทำให้การฟื้นฟูที่ “มองไปข้างหน้า” บังเกิดผล ให้ประชาชนมีความหวังที่สดใสสำหรับอนาคต ข้าพเจ้าขอขอบคุณจากใจจริงในความช่วยเหลือสนับสนุนและความร่วมมือจากท่าน ทั้งหลาย อะริงะโต
TOKYO – Prime Minister (PM) of Japan Naoto Kan 300x165 Japanese Prime Minister Say Thank YouNaoto Kan expressed his gratitude through advertisements in various leading newspapers of the world. Words were addressed to the elements in the world for the support that has been given since the tsunami swept Japan.
Three-quarter-page ad, titled Thank You for Kizuna (bonds of friendship) is installed in the pages of international newspapers such as the Financial Times, Wall Street Journal and International Herald Tribune.
“One month has passed since the earthquake with the strength that never happened before. The earthquake has also claimed thousands of lives. In the tsunami-swept region there is no food, water, and electricity and the survivors do not have a channel of communication. At the time that these sad people from all over the world come together to give hope and encouragement, “the statement in the ad as quoted by AFP on Monday (4/11/2011).
In the ad also states greatly appreciate Kan Kizuna given by friends around the world and thank you to every state, entity and every individual.
Countries include the United States, Australia, Mexico, China and several European countries sending teams to aid Japan after earthquake and tsunami on 11 March. ‘re many other countries to send donations and promised financial aid to help the country with the world’s third largest economy to recover after the disaster.
Support also came from countries such as Afghanistan unexpected that promised to provide assistance amounting to $ 1 million or around Rp 8, 6 billion. In addition to donations from various countries, as well as many charitable activities carried out in the recovery effort in Japan. Individuals also promised to provide funding assistance to help people in Japan’s northeast coast where the tsunami destroyed the entire city there.
---------
It’s been a month since Japan was struck by a massive earthquake and tsunami which resulted to thousands of lives who were left dead and missing. Looking back to such horrible situation, Japan keeps on struggling to lift up its economy as it continues to reach out for missing bodies.
Such traumatic event awakened the world as concerned individuals and organizations from various nations cooperated in every possible way. Every helpful act had been a meaningful instrument that pushed Japan authorities to take gradually take steps to inspire its people that life must go on.
Radiation leak from Fukushima Daiichi nuclear plant worried the people worldwide as it may result to several problems especially on health. Assessing its ongoing operation, reports resulted that the massive leak of radioactive materials were observed to reduce.
With this ongoing progress, the Prime Minister of Japan, Naoto Kan, expressed his deepest gratitude to the world for extending its support after the tragedy. Prime Minister Kan was able to sign an open letter entitled “Thank you for the Kizuna (bonds of friendship)” which was published in leading newspapers such as the Financial Times, Wall Street Journal, and International Herald Tribune. It was a way of spreading thanks to those who assisted Japan victims especially those from the affected areas.
The open letter signed by Prime Minister Kan had been carried to many countries like France, Russia, China and Singapore.
Looking back at the 9.0 magnitude earthquake and tsunami last March 11, around 13,000 lives were killed, 14,500 are still missing while 150, 000 people remained homeless.
A heart that once had suffered continues to find a greater hope. To boost up Japan’s recovery, the re-elected governor of Tokyo said on Sunday that the city will bid for the 2020 Summer Olympics.
'ท่าเรือน้ำลึกทวาย' อภิมหาโปรเจกต์เชื่อมอุษาคเนย์
โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย และเส้นทางคมนาคมเชื่อมระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่า (Dawei Deep Sea Port & Industrial Estate Project and Transborder Corridor Link) เป็นอภิมหาโปรเจกต์ความร่วมมือระหว่างไทยกับพม่า คาดการณ์กันว่า หากโครงการนี้แล้วเสร็จ จะเป็นประตูเศรษฐกิจ (Gate Way) แห่งใหม่ของโลกตะวันตกและตะวันออก
โครงการนี้ ถือเป็นศูนย์กลางระบบโลจิสติกส์และการค้าขนาดใหญ่ของภูมิภาค เชื่อมโยงการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศในแถบทะเลจีนใต้ ผ่านทะเลอันดามัน ไปสู่มหาสมุทรอินเดียซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถส่งสินค้าทั้งไปและกลับทางน้ำ ผ่านไปสู่กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง, ทวีปยุโรป และทวีปแอฟริกา ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ ช่วยพัฒนาการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เจริญเติบโตในระยะยาวต่อไป
เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2553 บริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ได้ร่วมลงนามใน Framework Agreement กับ Myanma Port Authority, Ministry of Transport ของสหภาพพม่า เพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย นิคมอุตสาหกรรม และเส้นทางคมนาคมเชื่อมระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่า ซึ่งบริษัทฯเป็นผู้ได้รับสัมปทานในการพัฒนาโครงการ ประกอบด้วย
1) ท่าเรือน้ำลึก
2) นิคมอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ โรงเหล็ก โรงปุ๋ยโรงไฟฟ้า และสาธารณูปโภคอื่นๆ
3) เส้นทางการคมนาคมได้แก่ ถนน ทางรถไฟ และท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เชื่อมระหว่างเมืองทวาย สหภาพพม่า กับประเทศไทยที่บ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี
4) ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า ศูนย์การท่องเที่ยว รีสอร์ท และศูนย์พักผ่อนบริษัทฯ
พื้นที่ โครงการตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหภาพพม่า ห่างจากเมืองทวาย ประมาณ 30 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ถึง 400,000 ไร่ หรือ 250 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึก 2 ท่า ส่วนที่เป็นนิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่พักอาศัย ส่วนราชการ และส่วนอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งมีพื้นที่ริมทะเลเป็นแนวหาดทรายมีความยาวมากกว่า 12 กิโลเมตร
บ.อิตาเลียนไทย ได้ลงมือก่อสร้างถนนไฮเวย์กาญจนบุรี-ทวาย จากบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมืองกาญจนบุรี เชื่อมโยงถึงท่าเรือน้ำลึกทวาย ระยะทาง 160 กิโลเมตร โดยด่านพุน้ำร้อนมีระยะทางห่างจาก อ.เมือง ประมาณ 71 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 129 กิโลเมตร ดังนั้น ระยะทางจากทวายถึงกรุงเทพฯ จึงมีระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์เพียง 4 ชั่วโมง
โดยเฟสแรกจะเป็นการสร้างถนนไฮเวย์กาญจนบุรี-ทวาย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2555 ภายใต้งบประมาณมูลค่า 2 พันล้านบาท ระหว่างนั้นจะเริ่มดำเนินการเฟสที่สองคือ การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย และเฟสที่สามคือ การสร้างเขตนิคมอุตสาหกรรม แบ่งเป็นโซนต่างๆ ประกอบด้วย โซน (A) Port & Heavy Industry โซน (B) Oil & Gas Industry โซน (C1) Up Stream Petrochemical Complex โซน (C2) Down Stream Petrochemical โซน (D) Medium Industry และโซน (E) Light Industry
ท่าเรือน้ำลึกทวายนี้ ยังอยู่ในโครงการเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจในกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำ โขง (Greater Mekong Sub-region: GMS) ตามกรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ (Economic Corridor) ซึ่งเป็นการพัฒนาแบบองค์รวมในพื้นที่ที่มีศักยภาพตามเส้นทางพัฒนา 3 แนวทาง คือ ทั้งระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC ระหว่างเมืองดานัง เวียดนาม-เมืองเมาะละแหม่ง พม่า) และระเบียงเศรษฐกิจแนวใต้ (Southern Economic Corridor : SEC ระหว่างนครโฮจิมินห์ เวียดนาม-เมืองทวาย พม่า) รวมทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor : NSEC ระหว่างนครคุนหมิง จีนตอนใต้-กรุงเทพฯ)
ข้อมูลจากรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมภูมิภาคระยะที่ 3 : แผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมชายแดน, กันยายน 2553 และจากเว็บไซต์โลจิสติกส์ ไดเจสต์ (www.logisticsdigest.com) ระบุผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากโครงการนี้ คือ ด้านศักยภาพความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ กล่าวได้ว่า ท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็น New Land Bridge ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการกระจายสินค้าในระดับโลก สามารถเชื่อมโยงตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ มาทางมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน ซึ่งแต่เดิมสินค้าที่ส่งไปยุโรป แอฟริกา หรือตะวันออกกลางจะต้องผ่านทางช่องแคบมะละกา ใช้ระยะเวลานาน 16-18 วัน หากท่าเรือน้ำลึกทวายแล้วเสร็จจะช่วยร่นระยะเวลาการขนส่งในปัจจุบัน หากขนส่งจากทะเลจีนใต้มายังทะเลอันดามัน หรือจากเวียดนามมายังพม่าจะใช้เวลาเพียง 6 วัน ทำให้ช่วยลดระยะทางการขนถ่ายสินค้า และลดค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าได้มากขึ้น
สำหรับประเทศไทยท่าเรือ น้ำลึกทวายจะเป็นประตูเศรษฐกิจบานใหม่ ที่เชื่อมระหว่างท่าเรือน้ำลึกทวาย กับท่าเรือแหลมฉบัง ตามยุทธศาสตร์การค้าการลงทุน เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านของรัฐบาล ดังนั้น สินค้าต่างๆ ที่ไม่ว่าจะมาจากยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ย่อมจะผ่านท่าเรือน้ำลึกทวายออกสู่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 วัน เท่านั้น และสามารถส่งผ่านไปยังประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือประเทศในแถบแปซิฟิค
ในส่วนของความเชื่อมโยงเชิงพื้นที่ท่าเรือ น้ำลึกทวายเชื่อมโยงกับประเทศไทย ที่ด่านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งสถานภาพเป็นด่านชายแดนชั่วคราว ยังไม่มีการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยทางจังหวัดได้กำหนดให้เป็นจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อให้ บ.อิตาเลียนไทย ใช้ผ่านเข้าออกในการก่อสร้างถนนไฮเวย์กาญจนบุรี-ทวาย และทางจังหวัดกาญจนบุรีได้กำหนดเป็นวิสัยทัศน์ของจังหวัดในด้านการพัฒนา พื้นที่ ชายแดนและการเชื่อมโยงด้านการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ทราบว่า เวลานี้ประเทศพม่าได้ประกาศให้พื้นที่ก่อสร้างที่เมืองทวาย เป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ แล้ว จึงอยากให้ กาญจนบุรี ถูกประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเช่นกัน ซึ่งได้เสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปแล้ว ในส่วนการพัฒนาของจังหวัดนั้น จำเป็นต้องพัฒนาในด้านที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงระหว่างประเทศฝั่งตะวันตก กับประเทศฝั่งตะวันออก โดยผ่านเส้นทางทางระเบียงแนวตะวันออก-ตะวันตก หรือที่เรียกว่า East-West Economic Corridor : EWEC ระหว่างเมืองดานัง เวียดนาม-เมืองเมาะละแหม่ง พม่า
นอกจากนี้ ทางจังหวัดยังได้ประสานกับทางมหาวิทยาลัยของพม่า เพื่อแลกเปลี่ยนให้ทุนการศึกษากับนักศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยน ระหว่างไทย-พม่าด้วย โดยหวังจะให้เกิดการแลกเปลี่ยนทั้งในเรื่องความรู้และภาษาระหว่างกันด้วย
ผวจ.กาญจนบุรี กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังเร่งเรื่องการเปิดจุดผ่อนปรนระหว่างชายแดน และเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวทางด้านเศรษฐกิจ โดยจังหวัดกาญจนบุรี จะได้ประโยชน์ในเรื่องการค้าขายและการท่องเที่ยว คาดว่า ภายใน 2-3 เดือน น่าจะสามารถเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวทางด้านเศรษฐกิจได้
รายงานการ ศึกษาฉบับสมบูรณ์ ยังระบุว่า สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้ดำเนินโครงการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนา อุตสาหกรรมภูมิภาคระยะที่ 3 : แผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมชายแดนในพื้นที่จังหวัดกาญนบุรี ขึ้น เพื่อผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยส่วนหนึ่งของผลการศึกษา พบว่า หากมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้น ด่านพุน้ำร้อนจะมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเขตประกอบการอุตสาหกรรมเพื่อการส่ง ออก (Industry Export Processing Zone: IEPZ) เพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับศักยภาพของพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่สามารถเชื่อม โยงทางฝั่งตะวันตก (ท่าเรือน้ำลึกทวาย สหภาพพม่า) และสามารถเชื่อมโยงฝั่งตะวันออก (ท่าเรือวังเตา ประเทศเวียดนาม) ได้ จึงสามารถพัฒนาโดยจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า (Inland Container Depot: ICD) เพื่อทำการรวบรวม และกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ อันจะสามารถเชื่อมโยงตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ มาทางมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน และสามารถส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรมห้องเย็น เพื่อรองรับวัตถุดิบที่จะมีในอนาคตเพื่อการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) เป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่มีความหลากหลายก่อนกระจายไปยังผู้บริโภคปลายทางต่อ ไป
ไม่เพียงแต่ประโยชน์ด้านโลจิสติกส์เท่านั้น แต่ประเทศไทยยังจะได้ประโยชน์ในด้านแรงงานซึ่งมีปริมาณมาก อุปทานแรงงานก็มีอยู่จำนวนมาก และมีค่าจ้างแรงงานถูก การใช้แรงงานพม่าจะทำให้ทำให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตลง อุตสาหกรรมการผลิตที่จะได้ประโยชน์เชิงเปรียบเทียบจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ แรงงานเข้มข้น อาทิ อุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร ที่เป็นการแปรรูปผลิตภัณฑ์ขั้นต้นที่ใช้กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารทะเล เฟอร์นิเจอร์ อัญมณี ในส่วนของอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมหนักก็เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากมีพื้นที่ของโครงการท่าเรือน้ำลึก ที่รองรับอุตสาหกรรมหนักอยู่แล้ว
นายนิพัฒน์ เจริญกิจการ ประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ว่า โครงการดังกล่าว จะสร้างผลดีในด้านการค้า ทรัพยากรธรรมชาติ และแรงงาน ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่ธาตุ ป่าไม้ และยังมีทรัพยากรในน้ำที่มีมูลค่าอีกจำนวนมาก โดยปัจจุบันประเทศจีน อินเดีย และสิงคโปร์ ได้ทยอยเดินทางเข้าไปลงทุนกันแล้ว ผลดีทางธุรกิจที่จังหวัดกาญจนบุรีจะได้รับโดยตรง คือ ท่าเรือทวายจะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมใหม่ของจังหวัดกาญจนบุรี แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามารับจ้างได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากมีการเปิดด่านในอนาคต เชื่อจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของเราสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง นอกจากนี้ การเปิดท่าเรือน้ำลึกทวาย ยังจะช่วยดึงดูดนักธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ดูได้ในช่วงนี้ โรงแรมเล็กๆ เพียง 3 แห่ง ในเมืองทวายไม่มีห้องว่างไว้รองรับเลย เพราะจำนวนนักธุรกิจที่มุ่งหน้าไปดูทิศทางการลงทุนกันเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ในเว็บไซต์โลจิสติกส์ ไดเจสต์ ได้กล่าวถึงโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ว่าเป็นโอกาสดีที่ยังต้องรอการพิสูจน์ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นของการพัฒนาเท่านั้น ต้องอาศัยระยะเวลานานพอสมควรซึ่งคงไม่ต่ำกว่า 10 ปี โครงการจึงจะแล้วเสร็จสามารถมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังมีอุปสรรคบางประการที่เป็นความเสี่ยงภายในจากปัญหาการเมืองและ ชนกลุ่มน้อยของพม่าที่เรื้อรังยืดเยื้อมาตั้งแต่ในอดีต และนโยบายของรัฐบาลพม่าที่ยังไม่มีความชัดเจนและแน่นอน ดังนั้น โครงการนี้จะสำเร็จได้หรือไม่คงต้องตามลุ้นกันต่อไป
ซึ่งดูจะสอด คล้องกับความเห็นของ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งให้ความเห็นกับไทยรัฐออนไลน์ว่า ประเทศพม่ายังไม่มีความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานมากนัก ดังนั้นธุรกิจน่าจะมาถึงเติบโตก่อนความเจริญ ส่วนอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน จะเป็นอุตสาหกรรมการส่งออก ที่น่าลงทุน สำหรับประเทศไทยควรจะมีการลงทุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้ ยังน่าห่วงเรื่องความชัดเจนของประเทศพม่า หลังจากที่ปิดประเทศมานาน
"เมื่อท่าเรือน้ำลึกทวายสร้างแล้วเสร็จ ผู้ลงทุนก็คงจะหันไปลงทุนจำนวนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันต้องมองว่า กลุ่มผู้ลงทุนเหล่านั้น จะไปลงทุนที่ประเทศใด ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องพิจารณาดูอีกที "
นายพยุงศักดิ์ ยังเห็นว่า ท่าเรือน้ำลึกทวายนี้ จีนมีแนวโน้มได้เปรียบเรื่องโลจิสติกส์ มากกว่าไทย เพราะเส้นทางเชื่อมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ก่อนที่จะลงมาไทยแล้วกระจายไปตามฝั่งทะเล นักธุรกิจก็มีแนวโน้มที่จะไปลงทุนในลาว เวียดนาม สิงคโปร์ มากกว่าไทย เนื่องจากไทยยังไม่น่าลงทุนมากนักด้วยปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ดังนั้นพม่าจึงจะได้รับประโยชน์มากที่สุด ในการสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย
ส่วนประเทศไทย หากต้องการเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาค ก็มีโอกาสจะเป็นไปได้ แต่เราจะต้องวางแผนและนโยบายอย่างดี ถึงแม้ว่าไทยจะมีสมดุลทางธุรกิจและความหลากหลายทางธุรกิจมากกว่าประเทศอื่น ก็ตาม ทั้งนี้ยังหมายรวมถึงบรรยากาศในการค้าขายของประเทศไทยด้วย ซึ่งทั้งหมดถือเป็นความพร้อมในการลงทุน ที่นักธุรกิจต่างชาติจะมองมาที่ไทย
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 20 เมษายน 2554
โครงการนี้ ถือเป็นศูนย์กลางระบบโลจิสติกส์และการค้าขนาดใหญ่ของภูมิภาค เชื่อมโยงการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศในแถบทะเลจีนใต้ ผ่านทะเลอันดามัน ไปสู่มหาสมุทรอินเดียซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถส่งสินค้าทั้งไปและกลับทางน้ำ ผ่านไปสู่กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง, ทวีปยุโรป และทวีปแอฟริกา ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ ช่วยพัฒนาการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เจริญเติบโตในระยะยาวต่อไป
เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2553 บริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ได้ร่วมลงนามใน Framework Agreement กับ Myanma Port Authority, Ministry of Transport ของสหภาพพม่า เพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย นิคมอุตสาหกรรม และเส้นทางคมนาคมเชื่อมระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่า ซึ่งบริษัทฯเป็นผู้ได้รับสัมปทานในการพัฒนาโครงการ ประกอบด้วย
1) ท่าเรือน้ำลึก
2) นิคมอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ โรงเหล็ก โรงปุ๋ยโรงไฟฟ้า และสาธารณูปโภคอื่นๆ
3) เส้นทางการคมนาคมได้แก่ ถนน ทางรถไฟ และท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เชื่อมระหว่างเมืองทวาย สหภาพพม่า กับประเทศไทยที่บ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี
4) ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า ศูนย์การท่องเที่ยว รีสอร์ท และศูนย์พักผ่อนบริษัทฯ
พื้นที่ โครงการตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหภาพพม่า ห่างจากเมืองทวาย ประมาณ 30 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ถึง 400,000 ไร่ หรือ 250 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึก 2 ท่า ส่วนที่เป็นนิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่พักอาศัย ส่วนราชการ และส่วนอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งมีพื้นที่ริมทะเลเป็นแนวหาดทรายมีความยาวมากกว่า 12 กิโลเมตร
บ.อิตาเลียนไทย ได้ลงมือก่อสร้างถนนไฮเวย์กาญจนบุรี-ทวาย จากบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมืองกาญจนบุรี เชื่อมโยงถึงท่าเรือน้ำลึกทวาย ระยะทาง 160 กิโลเมตร โดยด่านพุน้ำร้อนมีระยะทางห่างจาก อ.เมือง ประมาณ 71 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 129 กิโลเมตร ดังนั้น ระยะทางจากทวายถึงกรุงเทพฯ จึงมีระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์เพียง 4 ชั่วโมง
โดยเฟสแรกจะเป็นการสร้างถนนไฮเวย์กาญจนบุรี-ทวาย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2555 ภายใต้งบประมาณมูลค่า 2 พันล้านบาท ระหว่างนั้นจะเริ่มดำเนินการเฟสที่สองคือ การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย และเฟสที่สามคือ การสร้างเขตนิคมอุตสาหกรรม แบ่งเป็นโซนต่างๆ ประกอบด้วย โซน (A) Port & Heavy Industry โซน (B) Oil & Gas Industry โซน (C1) Up Stream Petrochemical Complex โซน (C2) Down Stream Petrochemical โซน (D) Medium Industry และโซน (E) Light Industry
ท่าเรือน้ำลึกทวายนี้ ยังอยู่ในโครงการเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจในกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำ โขง (Greater Mekong Sub-region: GMS) ตามกรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ (Economic Corridor) ซึ่งเป็นการพัฒนาแบบองค์รวมในพื้นที่ที่มีศักยภาพตามเส้นทางพัฒนา 3 แนวทาง คือ ทั้งระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC ระหว่างเมืองดานัง เวียดนาม-เมืองเมาะละแหม่ง พม่า) และระเบียงเศรษฐกิจแนวใต้ (Southern Economic Corridor : SEC ระหว่างนครโฮจิมินห์ เวียดนาม-เมืองทวาย พม่า) รวมทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor : NSEC ระหว่างนครคุนหมิง จีนตอนใต้-กรุงเทพฯ)
ข้อมูลจากรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมภูมิภาคระยะที่ 3 : แผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมชายแดน, กันยายน 2553 และจากเว็บไซต์โลจิสติกส์ ไดเจสต์ (www.logisticsdigest.com) ระบุผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากโครงการนี้ คือ ด้านศักยภาพความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ กล่าวได้ว่า ท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็น New Land Bridge ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการกระจายสินค้าในระดับโลก สามารถเชื่อมโยงตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ มาทางมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน ซึ่งแต่เดิมสินค้าที่ส่งไปยุโรป แอฟริกา หรือตะวันออกกลางจะต้องผ่านทางช่องแคบมะละกา ใช้ระยะเวลานาน 16-18 วัน หากท่าเรือน้ำลึกทวายแล้วเสร็จจะช่วยร่นระยะเวลาการขนส่งในปัจจุบัน หากขนส่งจากทะเลจีนใต้มายังทะเลอันดามัน หรือจากเวียดนามมายังพม่าจะใช้เวลาเพียง 6 วัน ทำให้ช่วยลดระยะทางการขนถ่ายสินค้า และลดค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าได้มากขึ้น
สำหรับประเทศไทยท่าเรือ น้ำลึกทวายจะเป็นประตูเศรษฐกิจบานใหม่ ที่เชื่อมระหว่างท่าเรือน้ำลึกทวาย กับท่าเรือแหลมฉบัง ตามยุทธศาสตร์การค้าการลงทุน เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านของรัฐบาล ดังนั้น สินค้าต่างๆ ที่ไม่ว่าจะมาจากยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ย่อมจะผ่านท่าเรือน้ำลึกทวายออกสู่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 วัน เท่านั้น และสามารถส่งผ่านไปยังประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือประเทศในแถบแปซิฟิค
ในส่วนของความเชื่อมโยงเชิงพื้นที่ท่าเรือ น้ำลึกทวายเชื่อมโยงกับประเทศไทย ที่ด่านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งสถานภาพเป็นด่านชายแดนชั่วคราว ยังไม่มีการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยทางจังหวัดได้กำหนดให้เป็นจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อให้ บ.อิตาเลียนไทย ใช้ผ่านเข้าออกในการก่อสร้างถนนไฮเวย์กาญจนบุรี-ทวาย และทางจังหวัดกาญจนบุรีได้กำหนดเป็นวิสัยทัศน์ของจังหวัดในด้านการพัฒนา พื้นที่ ชายแดนและการเชื่อมโยงด้านการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ทราบว่า เวลานี้ประเทศพม่าได้ประกาศให้พื้นที่ก่อสร้างที่เมืองทวาย เป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ แล้ว จึงอยากให้ กาญจนบุรี ถูกประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเช่นกัน ซึ่งได้เสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปแล้ว ในส่วนการพัฒนาของจังหวัดนั้น จำเป็นต้องพัฒนาในด้านที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงระหว่างประเทศฝั่งตะวันตก กับประเทศฝั่งตะวันออก โดยผ่านเส้นทางทางระเบียงแนวตะวันออก-ตะวันตก หรือที่เรียกว่า East-West Economic Corridor : EWEC ระหว่างเมืองดานัง เวียดนาม-เมืองเมาะละแหม่ง พม่า
นอกจากนี้ ทางจังหวัดยังได้ประสานกับทางมหาวิทยาลัยของพม่า เพื่อแลกเปลี่ยนให้ทุนการศึกษากับนักศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยน ระหว่างไทย-พม่าด้วย โดยหวังจะให้เกิดการแลกเปลี่ยนทั้งในเรื่องความรู้และภาษาระหว่างกันด้วย
ผวจ.กาญจนบุรี กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังเร่งเรื่องการเปิดจุดผ่อนปรนระหว่างชายแดน และเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวทางด้านเศรษฐกิจ โดยจังหวัดกาญจนบุรี จะได้ประโยชน์ในเรื่องการค้าขายและการท่องเที่ยว คาดว่า ภายใน 2-3 เดือน น่าจะสามารถเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวทางด้านเศรษฐกิจได้
รายงานการ ศึกษาฉบับสมบูรณ์ ยังระบุว่า สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้ดำเนินโครงการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนา อุตสาหกรรมภูมิภาคระยะที่ 3 : แผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมชายแดนในพื้นที่จังหวัดกาญนบุรี ขึ้น เพื่อผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยส่วนหนึ่งของผลการศึกษา พบว่า หากมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้น ด่านพุน้ำร้อนจะมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเขตประกอบการอุตสาหกรรมเพื่อการส่ง ออก (Industry Export Processing Zone: IEPZ) เพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับศักยภาพของพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่สามารถเชื่อม โยงทางฝั่งตะวันตก (ท่าเรือน้ำลึกทวาย สหภาพพม่า) และสามารถเชื่อมโยงฝั่งตะวันออก (ท่าเรือวังเตา ประเทศเวียดนาม) ได้ จึงสามารถพัฒนาโดยจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า (Inland Container Depot: ICD) เพื่อทำการรวบรวม และกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ อันจะสามารถเชื่อมโยงตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ มาทางมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน และสามารถส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรมห้องเย็น เพื่อรองรับวัตถุดิบที่จะมีในอนาคตเพื่อการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) เป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่มีความหลากหลายก่อนกระจายไปยังผู้บริโภคปลายทางต่อ ไป
ไม่เพียงแต่ประโยชน์ด้านโลจิสติกส์เท่านั้น แต่ประเทศไทยยังจะได้ประโยชน์ในด้านแรงงานซึ่งมีปริมาณมาก อุปทานแรงงานก็มีอยู่จำนวนมาก และมีค่าจ้างแรงงานถูก การใช้แรงงานพม่าจะทำให้ทำให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตลง อุตสาหกรรมการผลิตที่จะได้ประโยชน์เชิงเปรียบเทียบจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ แรงงานเข้มข้น อาทิ อุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร ที่เป็นการแปรรูปผลิตภัณฑ์ขั้นต้นที่ใช้กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารทะเล เฟอร์นิเจอร์ อัญมณี ในส่วนของอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมหนักก็เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากมีพื้นที่ของโครงการท่าเรือน้ำลึก ที่รองรับอุตสาหกรรมหนักอยู่แล้ว
นายนิพัฒน์ เจริญกิจการ ประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ว่า โครงการดังกล่าว จะสร้างผลดีในด้านการค้า ทรัพยากรธรรมชาติ และแรงงาน ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่ธาตุ ป่าไม้ และยังมีทรัพยากรในน้ำที่มีมูลค่าอีกจำนวนมาก โดยปัจจุบันประเทศจีน อินเดีย และสิงคโปร์ ได้ทยอยเดินทางเข้าไปลงทุนกันแล้ว ผลดีทางธุรกิจที่จังหวัดกาญจนบุรีจะได้รับโดยตรง คือ ท่าเรือทวายจะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมใหม่ของจังหวัดกาญจนบุรี แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามารับจ้างได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากมีการเปิดด่านในอนาคต เชื่อจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของเราสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง นอกจากนี้ การเปิดท่าเรือน้ำลึกทวาย ยังจะช่วยดึงดูดนักธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ดูได้ในช่วงนี้ โรงแรมเล็กๆ เพียง 3 แห่ง ในเมืองทวายไม่มีห้องว่างไว้รองรับเลย เพราะจำนวนนักธุรกิจที่มุ่งหน้าไปดูทิศทางการลงทุนกันเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ในเว็บไซต์โลจิสติกส์ ไดเจสต์ ได้กล่าวถึงโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ว่าเป็นโอกาสดีที่ยังต้องรอการพิสูจน์ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นของการพัฒนาเท่านั้น ต้องอาศัยระยะเวลานานพอสมควรซึ่งคงไม่ต่ำกว่า 10 ปี โครงการจึงจะแล้วเสร็จสามารถมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังมีอุปสรรคบางประการที่เป็นความเสี่ยงภายในจากปัญหาการเมืองและ ชนกลุ่มน้อยของพม่าที่เรื้อรังยืดเยื้อมาตั้งแต่ในอดีต และนโยบายของรัฐบาลพม่าที่ยังไม่มีความชัดเจนและแน่นอน ดังนั้น โครงการนี้จะสำเร็จได้หรือไม่คงต้องตามลุ้นกันต่อไป
ซึ่งดูจะสอด คล้องกับความเห็นของ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งให้ความเห็นกับไทยรัฐออนไลน์ว่า ประเทศพม่ายังไม่มีความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานมากนัก ดังนั้นธุรกิจน่าจะมาถึงเติบโตก่อนความเจริญ ส่วนอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน จะเป็นอุตสาหกรรมการส่งออก ที่น่าลงทุน สำหรับประเทศไทยควรจะมีการลงทุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้ ยังน่าห่วงเรื่องความชัดเจนของประเทศพม่า หลังจากที่ปิดประเทศมานาน
"เมื่อท่าเรือน้ำลึกทวายสร้างแล้วเสร็จ ผู้ลงทุนก็คงจะหันไปลงทุนจำนวนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันต้องมองว่า กลุ่มผู้ลงทุนเหล่านั้น จะไปลงทุนที่ประเทศใด ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องพิจารณาดูอีกที "
นายพยุงศักดิ์ ยังเห็นว่า ท่าเรือน้ำลึกทวายนี้ จีนมีแนวโน้มได้เปรียบเรื่องโลจิสติกส์ มากกว่าไทย เพราะเส้นทางเชื่อมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ก่อนที่จะลงมาไทยแล้วกระจายไปตามฝั่งทะเล นักธุรกิจก็มีแนวโน้มที่จะไปลงทุนในลาว เวียดนาม สิงคโปร์ มากกว่าไทย เนื่องจากไทยยังไม่น่าลงทุนมากนักด้วยปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ดังนั้นพม่าจึงจะได้รับประโยชน์มากที่สุด ในการสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย
ส่วนประเทศไทย หากต้องการเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาค ก็มีโอกาสจะเป็นไปได้ แต่เราจะต้องวางแผนและนโยบายอย่างดี ถึงแม้ว่าไทยจะมีสมดุลทางธุรกิจและความหลากหลายทางธุรกิจมากกว่าประเทศอื่น ก็ตาม ทั้งนี้ยังหมายรวมถึงบรรยากาศในการค้าขายของประเทศไทยด้วย ซึ่งทั้งหมดถือเป็นความพร้อมในการลงทุน ที่นักธุรกิจต่างชาติจะมองมาที่ไทย
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 20 เมษายน 2554
ตรวจดู ฟอร์มาลินในปลาหมึกสด + สารหนูในปลาหมึกแห้ง
ตรวจดูฟอร์มาลินในปลาหมึกสด
สถานการณ์ในบ้านเมืองเรา ยังต้องจับตามองกันอย่างต่อเนื่องว่า อาทิตย์นี้สินค้าอุปโภค บริโภคตัวไหนจะปรับราคาตามภาวะของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
การหันมาใช้ วิถีชีวิตอย่างพอเพียง น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำกัน ได้ เช่น เรื่องของอาหารการกิน ลองหันมาปรุงพืชผักสวนครัว ผลไม้ และทำทานกันเองที่บ้านแทนการซื้อข้าวนอกบ้านที่มื้อหนึ่งๆ มีสนนราคาไม่ต่ำกว่า 500-1,000 บาท
การทำอาหารทานเองที่บ้าน อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ วัตถุดิบ ซึ่งต้องสด ใหม่ และได้คุณภาพ
ที่สำคัญไม่มีสารพิษหรือยาฆ่าแมลงตกค้าง หรือจุลินทรีย์ ก่อโรคปนเปื้อน
ฉะนั้น ไม่ใช่ราคาถูกแล้วก็เลือกซื้อได้เลย เพราะวันนี้ อะไรๆก็ไม่อาจไว้ใจกันได้ อย่างเช่น ปลาหมึกสด หรือปลาหมึกแปรรูป ที่ขายอยู่ทุกวันนั้นอาจมีสารฟอร์มาลินปนเปื้อน เป็นที่รู้กันดีว่า ฟอร์มาลิน เป็นสารเคมีที่ใช้ฉีดศพเพื่อไม่ให้ศพเน่า
ซึ่งอาจมีพ่อ ค้าหัวใสบางราย นำ ฟอร์มาลิน มาแช่ปลาหมึก เพื่อให้ปลาหมึกที่ขายดูสด ใหม่ น่ากิน ดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อ แต่หารู้ไม่ว่า นอกจากจะไม่ได้ ประโยชน์แล้ว ยังผิดกฎหมายด้วย
กระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่า ผู้ใช้สารนี้กับอาหาร หรือทำให้อาหารนั้น เกิดพิษภัยต่อผู้บริโภค จัดเป็นการผลิต จำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์
หากตรวจพบการกระทำดังกล่าว จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะอันตรายจาก ฟอร์มาลิน มีมาก
นอก จากทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหารแล้ว ถ้ารับประทานเข้าไปก็จะทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออก กดประสาทส่วนกลาง ทำให้หมดสติได้
วันนี้ คอลัมน์มันมากับอาหารได้สุ่มตัวอย่างปลาหมึกกรอบ 5 ตัวอย่าง จากตลาดในกรุงเทพฯ เพื่อวิเคราะห์หาสารฟอร์มาลินปนเปื้อน
พบว่า ทุกตัวอย่างไม่พบตกค้างเลย แต่อย่าชะล่าใจ
วันนี้มีวิธีสังเกตอาหารที่ซื้อว่ามีฟอร์มาลินหรือไม่?
ถ้า เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ต้องดูความสด ถ้าวางขายตั้งแต่เช้าจนเย็น ยังคงดูสดใสเหมือนเดิม อันนี้ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า อาจแช่ฟอร์มาลิน เราก็ควรหลีกเลี่ยง
------
ที่มา ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 4 มีนาคม 2554
ความปลอดภัยของผู้บริโภคถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ผลิตอาหาร จะผลิตได้มากหรือน้อย ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเสมอ
ถ้าเมื่อใดขาดการรักษาความสะอาดหรือความใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย ผู้บริโภคอาจตกอยู่ในอันตรายได้ทุกวินาที
อันตรายที่ว่านั้นอาจมาจากทั้งเชื้อก่อโรคปนเปื้อนอยู่ในอาหารหรือสารพิษ สารเคมีต่างๆ หรือสิ่งแปลกปลอมที่ตกค้างในอาหาร
สำหรับ อาหารทะเลโดยทั่วไปนั้นจะพบอันตรายจากโลหะหนักตกค้าง ซึ่งโลหะหนักที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เห็นจะเป็นสารหนู ซึ่งพบตกค้างปริมาณมากในปลาหมึกและสาหร่ายทะเล ทั้งสารหนูในรูป อินทรีย์ (Organic Arsenic) และสารหนูที่อยู่ในรูป อนินทรีย์ (Inorganio Arsenic)
สำหรับ พิษภัยของสารหนูตกค้างในอาหาร มาจากสารหนูที่อยู่ในรูปอนินทรีย์ ถ้าร่างกายได้รับเข้าไปมาก จะสะสมที่ตับและทำลายระบบการทำงานของตับ และบางส่วนไปอยู่ที่ผม เล็บ และผิวหนัง ทำให้หนังเป็นรอยจ้ำและเกิดมะเร็งผิวหนัง
นอกจากนั้น ยังทำลายประสาทสัมผัสของร่างกาย โดยปกติร่างกายจะกำจัดสารหนูอยู่แล้ว แต่ถ้าทานอาหารที่มีสารหนูตกค้างเข้าไปมากเกินจะทำให้เกิดการสะสมและเกิด อันตรายได้
สารหนูไม่ได้มีโทษเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์โดยต้องการในปริมาณที่ต่ำมาก
วันนี้ คอลัมน์มันมากับอาหารได้สุ่มตรวจปลาหมึกแห้งเพื่อวิเคราะห์หาการปนเปื้อนสาร หนู จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ย่านการค้าในเขตกรุงเทพฯ
ผลการวิเคราะห์พบว่า มีสารหนูปนเปื้อนทุกตัวอย่าง
แต่ในปริมาณที่ไม่สูงมาก และไม่เกินประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ที่กำหนดให้สารหนูในรูปอนินทรีย์ปนเปื้อนในสัตว์น้ำและอาหารทะเลได้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม
วันนี้ ยังทานปลาหมึกแห้งได้ แต่ขอเตือนว่าไม่ควรทานให้บ่อยนัก
ที่มา: ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 28 มกราคม 2554
สถานการณ์ในบ้านเมืองเรา ยังต้องจับตามองกันอย่างต่อเนื่องว่า อาทิตย์นี้สินค้าอุปโภค บริโภคตัวไหนจะปรับราคาตามภาวะของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
การหันมาใช้ วิถีชีวิตอย่างพอเพียง น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำกัน ได้ เช่น เรื่องของอาหารการกิน ลองหันมาปรุงพืชผักสวนครัว ผลไม้ และทำทานกันเองที่บ้านแทนการซื้อข้าวนอกบ้านที่มื้อหนึ่งๆ มีสนนราคาไม่ต่ำกว่า 500-1,000 บาท
การทำอาหารทานเองที่บ้าน อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ วัตถุดิบ ซึ่งต้องสด ใหม่ และได้คุณภาพ
ที่สำคัญไม่มีสารพิษหรือยาฆ่าแมลงตกค้าง หรือจุลินทรีย์ ก่อโรคปนเปื้อน
ฉะนั้น ไม่ใช่ราคาถูกแล้วก็เลือกซื้อได้เลย เพราะวันนี้ อะไรๆก็ไม่อาจไว้ใจกันได้ อย่างเช่น ปลาหมึกสด หรือปลาหมึกแปรรูป ที่ขายอยู่ทุกวันนั้นอาจมีสารฟอร์มาลินปนเปื้อน เป็นที่รู้กันดีว่า ฟอร์มาลิน เป็นสารเคมีที่ใช้ฉีดศพเพื่อไม่ให้ศพเน่า
ซึ่งอาจมีพ่อ ค้าหัวใสบางราย นำ ฟอร์มาลิน มาแช่ปลาหมึก เพื่อให้ปลาหมึกที่ขายดูสด ใหม่ น่ากิน ดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อ แต่หารู้ไม่ว่า นอกจากจะไม่ได้ ประโยชน์แล้ว ยังผิดกฎหมายด้วย
กระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่า ผู้ใช้สารนี้กับอาหาร หรือทำให้อาหารนั้น เกิดพิษภัยต่อผู้บริโภค จัดเป็นการผลิต จำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์
หากตรวจพบการกระทำดังกล่าว จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะอันตรายจาก ฟอร์มาลิน มีมาก
นอก จากทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหารแล้ว ถ้ารับประทานเข้าไปก็จะทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออก กดประสาทส่วนกลาง ทำให้หมดสติได้
วันนี้ คอลัมน์มันมากับอาหารได้สุ่มตัวอย่างปลาหมึกกรอบ 5 ตัวอย่าง จากตลาดในกรุงเทพฯ เพื่อวิเคราะห์หาสารฟอร์มาลินปนเปื้อน
พบว่า ทุกตัวอย่างไม่พบตกค้างเลย แต่อย่าชะล่าใจ
วันนี้มีวิธีสังเกตอาหารที่ซื้อว่ามีฟอร์มาลินหรือไม่?
ถ้า เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ต้องดูความสด ถ้าวางขายตั้งแต่เช้าจนเย็น ยังคงดูสดใสเหมือนเดิม อันนี้ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า อาจแช่ฟอร์มาลิน เราก็ควรหลีกเลี่ยง
------
ที่มา ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 4 มีนาคม 2554
ตรวจสารหนูในปลาหมึกแห้ง
ความปลอดภัยของผู้บริโภคถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ผลิตอาหาร จะผลิตได้มากหรือน้อย ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเสมอ
ถ้าเมื่อใดขาดการรักษาความสะอาดหรือความใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย ผู้บริโภคอาจตกอยู่ในอันตรายได้ทุกวินาที
อันตรายที่ว่านั้นอาจมาจากทั้งเชื้อก่อโรคปนเปื้อนอยู่ในอาหารหรือสารพิษ สารเคมีต่างๆ หรือสิ่งแปลกปลอมที่ตกค้างในอาหาร
สำหรับ อาหารทะเลโดยทั่วไปนั้นจะพบอันตรายจากโลหะหนักตกค้าง ซึ่งโลหะหนักที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เห็นจะเป็นสารหนู ซึ่งพบตกค้างปริมาณมากในปลาหมึกและสาหร่ายทะเล ทั้งสารหนูในรูป อินทรีย์ (Organic Arsenic) และสารหนูที่อยู่ในรูป อนินทรีย์ (Inorganio Arsenic)
สำหรับ พิษภัยของสารหนูตกค้างในอาหาร มาจากสารหนูที่อยู่ในรูปอนินทรีย์ ถ้าร่างกายได้รับเข้าไปมาก จะสะสมที่ตับและทำลายระบบการทำงานของตับ และบางส่วนไปอยู่ที่ผม เล็บ และผิวหนัง ทำให้หนังเป็นรอยจ้ำและเกิดมะเร็งผิวหนัง
นอกจากนั้น ยังทำลายประสาทสัมผัสของร่างกาย โดยปกติร่างกายจะกำจัดสารหนูอยู่แล้ว แต่ถ้าทานอาหารที่มีสารหนูตกค้างเข้าไปมากเกินจะทำให้เกิดการสะสมและเกิด อันตรายได้
สารหนูไม่ได้มีโทษเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์โดยต้องการในปริมาณที่ต่ำมาก
วันนี้ คอลัมน์มันมากับอาหารได้สุ่มตรวจปลาหมึกแห้งเพื่อวิเคราะห์หาการปนเปื้อนสาร หนู จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ย่านการค้าในเขตกรุงเทพฯ
ผลการวิเคราะห์พบว่า มีสารหนูปนเปื้อนทุกตัวอย่าง
แต่ในปริมาณที่ไม่สูงมาก และไม่เกินประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ที่กำหนดให้สารหนูในรูปอนินทรีย์ปนเปื้อนในสัตว์น้ำและอาหารทะเลได้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม
วันนี้ ยังทานปลาหมึกแห้งได้ แต่ขอเตือนว่าไม่ควรทานให้บ่อยนัก
ที่มา: ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 28 มกราคม 2554
เชื้อก่อโรคในแหนมเนือง
เชื้อก่อโรคในแหนมเนือง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนไทยและเมืองไทยกำลังอ่อนแอด้วยปัญหาสารพัดที่รุมเร้า
ปัญหา ปากท้องนี่ก็สำคัญ หันไปทางไหนข้าวของแพงแทบทุกอย่าง เนื้อสัตว์และผักทุกชนิดต่างทยอยกันขึ้นราคา ส่วนผลไม้ก็ไม่ต้องห่วง ล้ำหน้าไปนานแล้ว
เมื่อก่อนเคยซื้อส้มกิโลกรัมละ 30-35 บาท เดี๋ยวนี้แตะอยู่ที่ 65-70 บาท
ยุ่ง เหยิงทั้งคนทั้งเศรษฐกิจ แล้วจะต้องมายุ่งเรื่องของเพื่อนบ้านอีก คนไทยต้องเข้มแข็งและช่วยกันประคับประคองตัวเองให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ให้ ได้อย่างราบรื่น
สิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ต้องเก็บมาคิด รับแต่สิ่งดีๆ มาชื่นชมกันดีกว่า เช่น วัฒนธรรมและอาหารของประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างเวียดนาม
อาหารเวียดนาม ที่คนไทยชอบเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นแหนมเนือง เพราะมีแต่ผัก และหมูแหนมเนือง
ถูก ใจสำหรับคนไทยที่รักสุขภาพ เพราะได้ทั้งโปรตีนและวิตามินจากผักหลากหลายชนิด ทว่าจะกินกันทั้งที ขอให้ระวังภัยที่อาจแฝงมากับแหนมเนืองกันสักนิด ภัยที่ว่านั้นคือ
เชื้อก่อโรค สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ตรวจหาชุดในผักที่กินเคียงกับแหนมเนืองมาครั้งหนึ่ง แล้ว มาสัปดาห์นี้จึงตรวจหาในแหนมเนืองกันอีกครั้ง
เพราะนอกจากผักแล้ว เชื้อชนิดนี้ยังพบปนเปื้อนได้ในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ เช่น แหนม หมูยอ แหนมเนือง และเนื้อสัตว์แปรรูปอื่นๆ
เมื่อ เชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดโรคท้องร่วง และหากมีปนเปื้อนอยู่ในอาหารจำนวนมากๆ เชื้อชนิดนี้จะสร้างสารพิษที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษอีกด้วย
ฉะนั้น วิธีการป้องกันเพื่อให้กินอาหารเวียดนามได้อย่างอร่อยและปลอดภัยนั้นคือการ รักษาความสะอาดส่วนตัว คือ ล้างมือทุกครั้งก่อนเตรียมอาหาร ปรุง และกิน
ส่วน แหนมเนือง หรือส่วนผสมชนิดใดที่สามารถนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนกินได้ก็ควรทำหรือไม่อย่าง นั้นต้องเลือกซื้อจากร้านที่มั่นใจว่ามีการรักษาสุขลักษณะที่ดี
วันนี้ สถาบันอาหารเอาใจผู้ชื่นชอบและติดใจรสชาติของแหนมเนืองอีกครั้ง ด้วยการสุ่มตัวอย่างเฉพาะแหนมเนือง (ไม่รวมผัก) ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 4 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์เชื้อก่อโรค สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส
ผลปรากฏว่า ไม่พบปนเปื้อนเลยทั้ง 4 ตัวอย่าง
วันนี้ กินแหนมเนืองได้อย่างสบายใจและสบายท้อง
-------
ที่มา ไทยรัีฐ 18 กพ.2554
ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนไทยและเมืองไทยกำลังอ่อนแอด้วยปัญหาสารพัดที่รุมเร้า
ปัญหา ปากท้องนี่ก็สำคัญ หันไปทางไหนข้าวของแพงแทบทุกอย่าง เนื้อสัตว์และผักทุกชนิดต่างทยอยกันขึ้นราคา ส่วนผลไม้ก็ไม่ต้องห่วง ล้ำหน้าไปนานแล้ว
เมื่อก่อนเคยซื้อส้มกิโลกรัมละ 30-35 บาท เดี๋ยวนี้แตะอยู่ที่ 65-70 บาท
ยุ่ง เหยิงทั้งคนทั้งเศรษฐกิจ แล้วจะต้องมายุ่งเรื่องของเพื่อนบ้านอีก คนไทยต้องเข้มแข็งและช่วยกันประคับประคองตัวเองให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ให้ ได้อย่างราบรื่น
สิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ต้องเก็บมาคิด รับแต่สิ่งดีๆ มาชื่นชมกันดีกว่า เช่น วัฒนธรรมและอาหารของประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างเวียดนาม
อาหารเวียดนาม ที่คนไทยชอบเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นแหนมเนือง เพราะมีแต่ผัก และหมูแหนมเนือง
ถูก ใจสำหรับคนไทยที่รักสุขภาพ เพราะได้ทั้งโปรตีนและวิตามินจากผักหลากหลายชนิด ทว่าจะกินกันทั้งที ขอให้ระวังภัยที่อาจแฝงมากับแหนมเนืองกันสักนิด ภัยที่ว่านั้นคือ
เชื้อก่อโรค สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ตรวจหาชุดในผักที่กินเคียงกับแหนมเนืองมาครั้งหนึ่ง แล้ว มาสัปดาห์นี้จึงตรวจหาในแหนมเนืองกันอีกครั้ง
เพราะนอกจากผักแล้ว เชื้อชนิดนี้ยังพบปนเปื้อนได้ในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ เช่น แหนม หมูยอ แหนมเนือง และเนื้อสัตว์แปรรูปอื่นๆ
เมื่อ เชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดโรคท้องร่วง และหากมีปนเปื้อนอยู่ในอาหารจำนวนมากๆ เชื้อชนิดนี้จะสร้างสารพิษที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษอีกด้วย
ฉะนั้น วิธีการป้องกันเพื่อให้กินอาหารเวียดนามได้อย่างอร่อยและปลอดภัยนั้นคือการ รักษาความสะอาดส่วนตัว คือ ล้างมือทุกครั้งก่อนเตรียมอาหาร ปรุง และกิน
ส่วน แหนมเนือง หรือส่วนผสมชนิดใดที่สามารถนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนกินได้ก็ควรทำหรือไม่อย่าง นั้นต้องเลือกซื้อจากร้านที่มั่นใจว่ามีการรักษาสุขลักษณะที่ดี
วันนี้ สถาบันอาหารเอาใจผู้ชื่นชอบและติดใจรสชาติของแหนมเนืองอีกครั้ง ด้วยการสุ่มตัวอย่างเฉพาะแหนมเนือง (ไม่รวมผัก) ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 4 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์เชื้อก่อโรค สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส
ผลปรากฏว่า ไม่พบปนเปื้อนเลยทั้ง 4 ตัวอย่าง
วันนี้ กินแหนมเนืองได้อย่างสบายใจและสบายท้อง
-------
ที่มา ไทยรัีฐ 18 กพ.2554
ยาฆ่าแมลงในถั่วฝักยาว
ยาฆ่าแมลงในถั่วฝักยาว
ตามหลักโภชนาการที่ดี ใน 1 วัน เราควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือ ถ้าไม่ครบจริงๆ ก็ควรทานให้ได้ 3 ใน 5 ถือว่ายังได้อยู่
ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบัน ประชาชนตาดำๆอย่างเราเห็นจะเลือกไม่ได้ เพราะตอนนี้ที่ขาดกันอยู่เห็นจะเป็นหมู่ที่ 5 คือ ไขมัน
ตอน นี้คนไทยกำลังขาดไขมันกันอย่างหนัก โดยเฉพาะไขมันจากพืชจำพวกน้ำมันพืชชนิดต่างๆ หากมองในแง่ดี นับเป็นผลดีทางอ้อมที่ทำให้คนไทยกินไขมันน้อยลงจะได้ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งต้องเสียงบประมาณในการรักษากันในระยะยาว
เมื่อไขมันหายาก ก็หันมากินเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้แทนให้มากขึ้นก็น่าจะดี เพราะได้ทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำให้มีสุขภาพดี และมีผิวพรรณสดใส
สำหรับผักและผลไม้ เวลาซื้อต้องระวังของแถมที่เรามองไม่เห็นคือ ยาฆ่าแมลง สักนิด เพราะเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่เมื่อสะสมจนได้ที่แล้ว จะระเบิดและเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
ถั่วฝักยาว เป็นผักอีกชนิดที่มักพบว่ามียาฆ่าแมลงตกค้าง ซึ่งเมื่อสุ่มตรวจเพื่อหาการตกค้างของยาฆ่าแมลงกลุ่ม ไพรีทรอยด์และคาร์บาร์เมต ก็จะพบแทบทุกครั้ง
โดยเฉพาะ ไซเพอร์เมทรินและเมโทมิล ซึ่งน่าอัศจรรย์ที่ทำไมมันไม่หมดเสียที หรืออาจเป็นเพราะเกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตหรือไม่ พอถึงช่วงที่เก็บได้ก็ประโคม ฉีดพ่น ทิ้งไว้ 1-2 วัน ก็เก็บมาขายโดยไม่คำนึงว่าจะมียาฆ่าแมลงตกค้างหรือไม่
คนกินไม่รู้เรื่องก็พลอยรับเคราะห์ไปด้วย
สำหรับคนที่ชอบกินถั่วฝักยาว วันนี้ต้องระวัง เพราะผลการตรวจวิเคราะห์หายาฆ่าแมลงชนิด ไซเพอร์เมทรินและเมโทมิล ตกค้างนั้น พบว่า
มีถั่วฝักยาว 3 ตัวอย่าง พบการตกค้าง และมีอยู่ 1 ตัวอย่างที่พบสารไซเพอร์เมทริน ตกค้างในปริมาณที่เกินกว่ามาตรฐานกำหนด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไทยได้กำหนดไว้ว่า ตรวจพบสาร ไซเพอร์เมทริน ตกค้างในถั่วฝักยาวสูงสุดได้ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม
วิธีการป้องกันง่ายๆ สำหรับผู้บริโภค คือ นำผักมาล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง เพื่อให้ปริมาณยาฆ่าแมลงที่ตกค้างนั้นหมดไปหรือเจือจางลงกว่าเดิม เพื่อความปลอดภัย
ที่มา ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 25 กุมภาพันธ์ 2554
ตามหลักโภชนาการที่ดี ใน 1 วัน เราควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือ ถ้าไม่ครบจริงๆ ก็ควรทานให้ได้ 3 ใน 5 ถือว่ายังได้อยู่
ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบัน ประชาชนตาดำๆอย่างเราเห็นจะเลือกไม่ได้ เพราะตอนนี้ที่ขาดกันอยู่เห็นจะเป็นหมู่ที่ 5 คือ ไขมัน
ตอน นี้คนไทยกำลังขาดไขมันกันอย่างหนัก โดยเฉพาะไขมันจากพืชจำพวกน้ำมันพืชชนิดต่างๆ หากมองในแง่ดี นับเป็นผลดีทางอ้อมที่ทำให้คนไทยกินไขมันน้อยลงจะได้ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งต้องเสียงบประมาณในการรักษากันในระยะยาว
เมื่อไขมันหายาก ก็หันมากินเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้แทนให้มากขึ้นก็น่าจะดี เพราะได้ทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำให้มีสุขภาพดี และมีผิวพรรณสดใส
สำหรับผักและผลไม้ เวลาซื้อต้องระวังของแถมที่เรามองไม่เห็นคือ ยาฆ่าแมลง สักนิด เพราะเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่เมื่อสะสมจนได้ที่แล้ว จะระเบิดและเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
ถั่วฝักยาว เป็นผักอีกชนิดที่มักพบว่ามียาฆ่าแมลงตกค้าง ซึ่งเมื่อสุ่มตรวจเพื่อหาการตกค้างของยาฆ่าแมลงกลุ่ม ไพรีทรอยด์และคาร์บาร์เมต ก็จะพบแทบทุกครั้ง
โดยเฉพาะ ไซเพอร์เมทรินและเมโทมิล ซึ่งน่าอัศจรรย์ที่ทำไมมันไม่หมดเสียที หรืออาจเป็นเพราะเกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตหรือไม่ พอถึงช่วงที่เก็บได้ก็ประโคม ฉีดพ่น ทิ้งไว้ 1-2 วัน ก็เก็บมาขายโดยไม่คำนึงว่าจะมียาฆ่าแมลงตกค้างหรือไม่
คนกินไม่รู้เรื่องก็พลอยรับเคราะห์ไปด้วย
สำหรับคนที่ชอบกินถั่วฝักยาว วันนี้ต้องระวัง เพราะผลการตรวจวิเคราะห์หายาฆ่าแมลงชนิด ไซเพอร์เมทรินและเมโทมิล ตกค้างนั้น พบว่า
มีถั่วฝักยาว 3 ตัวอย่าง พบการตกค้าง และมีอยู่ 1 ตัวอย่างที่พบสารไซเพอร์เมทริน ตกค้างในปริมาณที่เกินกว่ามาตรฐานกำหนด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไทยได้กำหนดไว้ว่า ตรวจพบสาร ไซเพอร์เมทริน ตกค้างในถั่วฝักยาวสูงสุดได้ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม
วิธีการป้องกันง่ายๆ สำหรับผู้บริโภค คือ นำผักมาล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง เพื่อให้ปริมาณยาฆ่าแมลงที่ตกค้างนั้นหมดไปหรือเจือจางลงกว่าเดิม เพื่อความปลอดภัย
ที่มา ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 25 กุมภาพันธ์ 2554
สารฟอสเฟตในกุ้ง
สัปดาห์นี้ มันมากับอาหาร มีเรื่องราวของ สารฟอสเฟต ในกุ้งสด อาหารที่คุ้นเคยของชาวไทยเรามาฝาก
เรื่อง มีอยู่ว่า เจ้าสารฟอสเฟตนี้เป็นสารที่ผู้ผลิตอาหารแช่แข็งเค้านำมาใช้จุ่มเคลือบผิว ก่อนนำไปแช่แข็ง เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำหนักและช่วยคงลักษณะเนื้อสัมผัสที่ดีของอาหารทะเล แช่แข็งชนิดต่างๆเอาไว้
การที่ผู้ผลิตใช้สารดังกล่าวนี้เป็นเพราะ ก่อนที่เราจะนำกุ้งสดที่ผ่านการแช่แข็งมาทานนั้น จะต้องนำมาละลายน้ำแข็งและนำมาปรุง ซึ่งทั้งสองขั้นตอนนี้ จะทำให้กุ้งแช่แข็งสูญเสียน้ำหนักไปปริมาณมาก
เพราะขณะที่เป็นน้ำ แข็งนั้นน้ำจะถูกเปลี่ยนโครงสร้างเกิดเป็นผลึกที่มีความคม และทำให้เนื้อเยื่อของกุ้งมีการหดตัว กลไกนี้ทำให้ผนังเซลล์ของกุ้งถูกทำลาย เมื่อนำมาละลายน้ำแข็งของเหลวที่อยู่ในเซลล์กุ้งก็จะไหลออกมาด้วย ทำให้สูญเสียน้ำหนักมากกว่าปกติ
และโครงสร้างของเนื้อเยื่อก็เปลี่ยนไปด้วย ทำให้รสชาติความเหนียวนุ่มของเนื้อกุ้งเปลี่ยนแปลง
จากปัญหานี้จึงทำให้มีการนำสารกลุ่มโพลีฟอสเฟตเข้ามาใช้ในการผลิตอาหารทะเลแช่แข็ง แล้วเจ้าสารฟอสเฟตนี้อันตรายหรือไม่ อย่างไร
ปกติ ฟอสเฟตเป็นสารอาหารที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ และเป็นอันตรายต่อร่างกายน้อยมาก แต่หากเราทานกุ้งหรืออาหารทะเลที่มีสารฟอสเฟตตกค้างในปริมาณมากๆ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย คือ ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังและผู้บริโภคบางรายอาจเกิดอาการแพ้ได้
วันนี้ สถาบันอาหารได้ทำการสุ่มตัวอย่างกุ้งสดแช่แข็งที่มีขายตามท้องตลาดใน เขตกรุงเทพฯ จาก 5 ย่านการค้า เพื่อนำมาวิเคราะห์การตกค้างของสารฟอสเฟต
ผลปรากฏว่า พบสารฟอสเฟตตกค้างในทุกตัวอย่าง และมี 2 ตัวอย่างที่พบปริมาณตกค้างเกินมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขไทย ที่กำหนดให้ ใช้สารประกอบฟอสเฟตได้ในปริมาณไม่เกิน 5,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
เพื่อความสบายใจและปลอดภัย ควรทำความสะอาดโดยล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนทานทุกครั้ง
ที่มา: ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 18 มีนาคม 2554
เรื่อง มีอยู่ว่า เจ้าสารฟอสเฟตนี้เป็นสารที่ผู้ผลิตอาหารแช่แข็งเค้านำมาใช้จุ่มเคลือบผิว ก่อนนำไปแช่แข็ง เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำหนักและช่วยคงลักษณะเนื้อสัมผัสที่ดีของอาหารทะเล แช่แข็งชนิดต่างๆเอาไว้
การที่ผู้ผลิตใช้สารดังกล่าวนี้เป็นเพราะ ก่อนที่เราจะนำกุ้งสดที่ผ่านการแช่แข็งมาทานนั้น จะต้องนำมาละลายน้ำแข็งและนำมาปรุง ซึ่งทั้งสองขั้นตอนนี้ จะทำให้กุ้งแช่แข็งสูญเสียน้ำหนักไปปริมาณมาก
เพราะขณะที่เป็นน้ำ แข็งนั้นน้ำจะถูกเปลี่ยนโครงสร้างเกิดเป็นผลึกที่มีความคม และทำให้เนื้อเยื่อของกุ้งมีการหดตัว กลไกนี้ทำให้ผนังเซลล์ของกุ้งถูกทำลาย เมื่อนำมาละลายน้ำแข็งของเหลวที่อยู่ในเซลล์กุ้งก็จะไหลออกมาด้วย ทำให้สูญเสียน้ำหนักมากกว่าปกติ
และโครงสร้างของเนื้อเยื่อก็เปลี่ยนไปด้วย ทำให้รสชาติความเหนียวนุ่มของเนื้อกุ้งเปลี่ยนแปลง
จากปัญหานี้จึงทำให้มีการนำสารกลุ่มโพลีฟอสเฟตเข้ามาใช้ในการผลิตอาหารทะเลแช่แข็ง แล้วเจ้าสารฟอสเฟตนี้อันตรายหรือไม่ อย่างไร
ปกติ ฟอสเฟตเป็นสารอาหารที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ และเป็นอันตรายต่อร่างกายน้อยมาก แต่หากเราทานกุ้งหรืออาหารทะเลที่มีสารฟอสเฟตตกค้างในปริมาณมากๆ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย คือ ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังและผู้บริโภคบางรายอาจเกิดอาการแพ้ได้
วันนี้ สถาบันอาหารได้ทำการสุ่มตัวอย่างกุ้งสดแช่แข็งที่มีขายตามท้องตลาดใน เขตกรุงเทพฯ จาก 5 ย่านการค้า เพื่อนำมาวิเคราะห์การตกค้างของสารฟอสเฟต
ผลปรากฏว่า พบสารฟอสเฟตตกค้างในทุกตัวอย่าง และมี 2 ตัวอย่างที่พบปริมาณตกค้างเกินมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขไทย ที่กำหนดให้ ใช้สารประกอบฟอสเฟตได้ในปริมาณไม่เกิน 5,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
เพื่อความสบายใจและปลอดภัย ควรทำความสะอาดโดยล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนทานทุกครั้ง
ที่มา: ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 18 มีนาคม 2554
ขนมปังไส้สังขยา-ยังไม่พบเชื้อก่อโรค
คนสุขภาพดี ใน 1 มื้อจะต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ร่างกายจึงจะได้รับสารอาหารครบถ้วนและเต็มที่ เพื่อสร้างเสริมให้ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
แต่ ปัจจุบันโอกาสที่จะเลือกกินได้นั้นมีน้อย ส่วนใหญ่มีแบบไหนก็ต้องกินแบบนั้น จะไปครบถ้วนอีกครั้งก็ตอนมื้อเย็นที่กลับไปปรุงอาหารกินเอง ที่บ้าน
แต่หากเลือกได้ ขอแนะให้เลือกซื้ออาหารที่ให้คุณค่าทางอาหารมากินจะดีกว่า คิดง่ายๆ ถ้าตอนเช้าเราต้องเร่งรีบไปทำงานจนไม่มีเวลากินอาหารเช้า ลองซื้อขนมปังสักชิ้นมาทานก็พอจะทดแทนอาหารเช้าได้ ส่วนจะเป็นขนมปังชนิดไหน ไส้อะไรนั้นแล้วแต่ความชอบ
ขนมปังที่ขายอยู่ตามท้องตลาดหรือร้านสะดวกซื้อ มีทั้งขนมปังไส้หมูหยอง ไส้สังขยา ไส้ลูกเกดและผลไม้อื่นๆ
ขนมปังเหล่านี้ล้วนแต่ผ่านมือผู้ผลิตมาแล้วทั้งสิ้น สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ไม่มีใครเห็น เราไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ผลิตรักษาสุขลักษณะหรือความสะอาดใน ระหว่างผลิตและใช้ส่วนผสมที่ได้คุณภาพหรือไม่ จะรู้อีกทีก็ตอนที่เกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วงกันไปแล้ว
ส่วนใหญ่เชื้อก่อโรคที่มักมากับความไม่สะอาด โดยเฉพาะในขนมปังไส้สังขยานั้น หนีไม่พ้นเชื้อก่อโรค บาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus cereus)
ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่พบใน ระหว่างการเตรียมและการเก็บรักษาอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง ครีม และนมเป็นส่วนประกอบ และอาหารที่ผลิตจากธัญพืช ข้าว และแป้ง เช่น มะกะโรนี เต้าเจี้ยว ข้าวผัด
ดังนั้น ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ การปรุง การเก็บรักษาและการขนส่งอาหารจะต้องสะอาดไม่เป็นแหล่งสะสม เชื้อก่อโรค หรือเมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องกินให้หมดในครั้งเดียว
วันนี้ สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างขนมปังไส้สังขยา เพื่อนำมาวิเคราะห์ตรวจหาการปนเปื้อนของเชื้อ บาซิลลัส ซีเรียส
ผลปรากฏว่า ทุกตัวอย่างปลอดภัย แสดงว่าผู้ผลิตใส่ใจ ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็สบายใจหายห่วง
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 8 เมษายน 2554
แต่ ปัจจุบันโอกาสที่จะเลือกกินได้นั้นมีน้อย ส่วนใหญ่มีแบบไหนก็ต้องกินแบบนั้น จะไปครบถ้วนอีกครั้งก็ตอนมื้อเย็นที่กลับไปปรุงอาหารกินเอง ที่บ้าน
แต่หากเลือกได้ ขอแนะให้เลือกซื้ออาหารที่ให้คุณค่าทางอาหารมากินจะดีกว่า คิดง่ายๆ ถ้าตอนเช้าเราต้องเร่งรีบไปทำงานจนไม่มีเวลากินอาหารเช้า ลองซื้อขนมปังสักชิ้นมาทานก็พอจะทดแทนอาหารเช้าได้ ส่วนจะเป็นขนมปังชนิดไหน ไส้อะไรนั้นแล้วแต่ความชอบ
ขนมปังที่ขายอยู่ตามท้องตลาดหรือร้านสะดวกซื้อ มีทั้งขนมปังไส้หมูหยอง ไส้สังขยา ไส้ลูกเกดและผลไม้อื่นๆ
ขนมปังเหล่านี้ล้วนแต่ผ่านมือผู้ผลิตมาแล้วทั้งสิ้น สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ไม่มีใครเห็น เราไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ผลิตรักษาสุขลักษณะหรือความสะอาดใน ระหว่างผลิตและใช้ส่วนผสมที่ได้คุณภาพหรือไม่ จะรู้อีกทีก็ตอนที่เกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วงกันไปแล้ว
ส่วนใหญ่เชื้อก่อโรคที่มักมากับความไม่สะอาด โดยเฉพาะในขนมปังไส้สังขยานั้น หนีไม่พ้นเชื้อก่อโรค บาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus cereus)
ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่พบใน ระหว่างการเตรียมและการเก็บรักษาอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง ครีม และนมเป็นส่วนประกอบ และอาหารที่ผลิตจากธัญพืช ข้าว และแป้ง เช่น มะกะโรนี เต้าเจี้ยว ข้าวผัด
ดังนั้น ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ การปรุง การเก็บรักษาและการขนส่งอาหารจะต้องสะอาดไม่เป็นแหล่งสะสม เชื้อก่อโรค หรือเมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องกินให้หมดในครั้งเดียว
วันนี้ สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างขนมปังไส้สังขยา เพื่อนำมาวิเคราะห์ตรวจหาการปนเปื้อนของเชื้อ บาซิลลัส ซีเรียส
ผลปรากฏว่า ทุกตัวอย่างปลอดภัย แสดงว่าผู้ผลิตใส่ใจ ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็สบายใจหายห่วง
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 8 เมษายน 2554
ไขมันใน...กล้วยแขก
กล้วยแขก อาหารว่างยอดนิยมของคนไทย ที่เห็นทอดขายตามฟุตปาทหรือริมถนนตามแหล่งชุมชนทั่วไป
วิธีทำก็ไม่ยุ่งยาก นำกล้วยน้ำว้าที่ไม่ดิบหรือไม่สุกจนเกินไปมาตัดเป็นแผ่นหรือ ฝานตามยาวเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำมาชุบน้ำแป้งที่มีส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้า หัวกะทิ มะพร้าวขูด งาคั่ว น้ำตาล เกลือ และผงฟู
จากนั้นนำไปทอดใน กระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ เมื่อกล้วยสุกจะเป็นสีเหลืองทองดูน่าทาน มีกลิ่นหอม ทานร้อนๆ จะมีรสชาติหวาน มัน กรอบนอกและนุ่มใน
หากพิจารณาคุณค่าทางอาหารของกล้วยแขก ก็มีทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน และใยอาหาร
ทว่าอาจมีปริมาณของไขมันในระดับที่สูงทั้งจากน้ำมันที่ใช้ทอดและ กะทิ ผู้ที่ชื่นชอบกล้วยแขกถึงขั้นต้องทานเป็นอาหารว่างทุกวัน หรือทานบ่อยครั้งในปริมาณมากๆ หรือทานมากเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเป็น โรคอ้วน ลงพุง และมี ไขมันในเลือดสูงได้
วันนี้สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างกล้วยแขกที่มีขายตามแหล่งชุมชน ต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์หาปริมาณของไขมัน
ผลวิเคราะห์ที่ได้แสดงดังตารางด้านล่าง
อย่างที่ว่า ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ให้หลากหลายและถูกส่วน เพิ่มผัก ผลไม้ และออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ก็จะไม่ทำให้อ้วนและเป็นโรคต่างๆได้
ส่วนผู้ที่มีไขมัน ในเลือดสูง สามารถทานกล้วยแขกหรืออาหารที่มีไขมันได้บ้าง แต่ต้องทานในปริมาณที่น้อยๆ หรือนานๆครั้ง ไม่ใช่งดโดยสิ้นเชิง
เพราะไขมันก็มีประโยชน์ในการช่วยดูดซึมวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค
ถ้าไม่ทานอาหารที่มีไขมันเลย ก็อาจเป็นโรคขาดวิตามินดังกล่าวได้ เลือกทานอาหารให้เหมาะสมตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันหน้า
ที่มา: "ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย" วันศุกร์ 15 เมษายน 2554
วิธีทำก็ไม่ยุ่งยาก นำกล้วยน้ำว้าที่ไม่ดิบหรือไม่สุกจนเกินไปมาตัดเป็นแผ่นหรือ ฝานตามยาวเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำมาชุบน้ำแป้งที่มีส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้า หัวกะทิ มะพร้าวขูด งาคั่ว น้ำตาล เกลือ และผงฟู
จากนั้นนำไปทอดใน กระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ เมื่อกล้วยสุกจะเป็นสีเหลืองทองดูน่าทาน มีกลิ่นหอม ทานร้อนๆ จะมีรสชาติหวาน มัน กรอบนอกและนุ่มใน
หากพิจารณาคุณค่าทางอาหารของกล้วยแขก ก็มีทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน และใยอาหาร
ทว่าอาจมีปริมาณของไขมันในระดับที่สูงทั้งจากน้ำมันที่ใช้ทอดและ กะทิ ผู้ที่ชื่นชอบกล้วยแขกถึงขั้นต้องทานเป็นอาหารว่างทุกวัน หรือทานบ่อยครั้งในปริมาณมากๆ หรือทานมากเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเป็น โรคอ้วน ลงพุง และมี ไขมันในเลือดสูงได้
วันนี้สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างกล้วยแขกที่มีขายตามแหล่งชุมชน ต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์หาปริมาณของไขมัน
ผลวิเคราะห์ที่ได้แสดงดังตารางด้านล่าง
อย่างที่ว่า ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ให้หลากหลายและถูกส่วน เพิ่มผัก ผลไม้ และออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ก็จะไม่ทำให้อ้วนและเป็นโรคต่างๆได้
ส่วนผู้ที่มีไขมัน ในเลือดสูง สามารถทานกล้วยแขกหรืออาหารที่มีไขมันได้บ้าง แต่ต้องทานในปริมาณที่น้อยๆ หรือนานๆครั้ง ไม่ใช่งดโดยสิ้นเชิง
เพราะไขมันก็มีประโยชน์ในการช่วยดูดซึมวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค
ถ้าไม่ทานอาหารที่มีไขมันเลย ก็อาจเป็นโรคขาดวิตามินดังกล่าวได้ เลือกทานอาหารให้เหมาะสมตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันหน้า
ที่มา: "ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย" วันศุกร์ 15 เมษายน 2554
Sunday, April 17, 2011
คณิตผสานคติธรรมของ ขงจื้อ
น่าคิด.. 3 x 8 = ?????
เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า
จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24
จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน!
จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ
ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้ว
เอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น
จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา
เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?
เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัว
มาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่า
อาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ
โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)
ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง? เช่นกัน
บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ที่มา: forward mail
..
เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า
จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24
จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน!
จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ
ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้ว
เอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น
จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา
เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?
เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัว
มาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่า
อาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ
โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)
ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง? เช่นกัน
บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด
ที่มา: forward mail
..
Subscribe to:
Posts (Atom)