เราเคยพูดเกี่ยวกับการกลับทิศโดยใช้คำ turnabout คราวนี้ เราจะพูดการกลับทิศในลักษณะ กลับหัวกลับหาง upside down คว่ำลง ที่พลิกเอาด้านบนลงล่าง
upside เป็นการบอกด้านที่อยู่สูงที่สุด the part that is uppermost.
Upside down (adv.) ในภาวะหรือพฤติการณ์ที่ส่วนที่ปกติแล้วควรจะอยู่หรือชี้ขึ้นบน กลายเป็นชี้ลงล่าง in such a manner that the part normally pointed upward is pointed downward นั่่นคือเป็นการที่ส่วนที่อยู่บนกลายเป็นอยู่ล่าง having the part which is usually at the top turned to be at the bottom
ลองดูตัวอย่าง -
อย่าถือมันกลับหัว Don't hold it upside down.
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า นกฮัมมิ่งเบิร์ดสามารถบินกลับหัวตอนที่มันตกใจกลัว I didn't know hummingbirds could even fly upside down when frightened.
พ่อของฉันคว่ำโต๊ะลงเพื่อจะซ่อมมัน My dad turned the table upside down to fix it.
ให้กลับขวดแล้วลองเขย่ามันดู Turn the jar upside down and shake it.
ภัทรอ่านหนังสือพิมพ์กลับทิศ Pat was reading a paper upside down.
ภาพถูกแขวนกลับหัว The picture is hung upside down.
กล่องถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างกลับหัวกลับหาง The box was lying on the table upside down.
เครื่องบินลำนี้บินกลับหัวด้วยความเร็วสูง The plane was flying upside down at high speed.
สำนวนสแลง turn sth upside down นั้นหมายถึง "การค้นหาของบางอย่างทุกที่แล้ว แต่ก็ยังไม่พบเพราะวางไว้ในจุดที่คาดไม่ถึง" to search everywhere for something, sometimes leaving a place very untidy
เช่น จอนค้นหาทั่วห้องก็ไม่พบเอกสารเหล่านั้นเลย John turned the room upside down but he couldn't find those sheets.
สำนวนนี้จึงให้ควมหมายอย่างเดียวกันกับ rummage through, rake through, turn something inside out, fossick through คือ ค้นหาอย่างละเอียด อย่างทั่วถึง อย่างทุกซอกทุกมุม
สำนวนสแลง turn (sth) upside down ยังให้ความหมาย การ(ทำให้บางอย่าง)เปลี่ยนแปลงไปอย่างทั้งหมดในทางที่ไม่ดี to (cause something to) change completely and in a bad way
เช่น ภาวะเงินเพ้อมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีปัญหา Too much inflation could turn the country's economy upside down.
ชีวิตคู่หนึ่งที่มีความสุขกลับหัวกลับหางเมื่อลูกชายหนุ่มตายในอุบัติเหตุ Life for a happy couple is turned upside down after their young son dies in an accident.
คำ inverted, overturned, upturned, ก็ให้ความหมายในลักษณะ upside down คือ on its head, ก้นหรือตูดขึ้น bottom up, ด้านผิดขึ้นบน wrong side up
Dr.SoS
หมายเหตุ sth = something บางอย่าง
/
Saturday, January 29, 2011
Thursday, January 27, 2011
คนเจ้าชู้: Playboy, Flirt, Philanderer,
คนเจ้าชู้ (Playboy, Flirt, ..) ก็หลี (woo) ไปทั่ว จริงบ้าง เล่นบ้าง
playboy [n] คนเจ้าชู้, นักเที่ยว, เพล์บอย,
สามารถใช้ ladies' man แสดงเป็นคนเจ้าชู้ได้
นอกจากนั้น philanderer, flirt, coquette และ womanizer ก็หมายแสดงถึง คนเจ้าชู้ ได้อีกด้วย
คำสแลง wolf [N] สามารถนำมาหมายถึง ผู้ชายเจ้าชู้ ได้อีกด้วย
tomcat (n)= เสือผู้หญิง
คำ rake [n] ให้ึความหมายคล้าย เพล์บอย คือในทำนอง คนเสเพล, คนเจ้าชู้, เสือผู้หญิง
คนเจ้าชู้ (Playboy, Flirt, ..) ก็หลี (woo) ไปทั่ว จริงบ้าง เล่นบ้าง ดันไปเจอะเจอเอากระเทียม มันเผ็ดร้อนฮ่ะเด้อ แถมโรคเอดส์อีกด้วย
พวกคนเจ้าชู้มักจะรวมกันเป็นกลุ่มเรียก flirting club สมาคมคนเจ้าชู้ คลับคนเจ้าชู้
แต่พวกผู้ชายขายตัว พวกแมงดา เราเรียก ผู้ชายพวกนี้ว่า gigolo ครับ
Dr.SoS
.
playboy [n] คนเจ้าชู้, นักเที่ยว, เพล์บอย,
สามารถใช้ ladies' man แสดงเป็นคนเจ้าชู้ได้
นอกจากนั้น philanderer, flirt, coquette และ womanizer ก็หมายแสดงถึง คนเจ้าชู้ ได้อีกด้วย
คำสแลง wolf [N] สามารถนำมาหมายถึง ผู้ชายเจ้าชู้ ได้อีกด้วย
tomcat (n)= เสือผู้หญิง
คำ rake [n] ให้ึความหมายคล้าย เพล์บอย คือในทำนอง คนเสเพล, คนเจ้าชู้, เสือผู้หญิง
คนเจ้าชู้ (Playboy, Flirt, ..) ก็หลี (woo) ไปทั่ว จริงบ้าง เล่นบ้าง ดันไปเจอะเจอเอากระเทียม มันเผ็ดร้อนฮ่ะเด้อ แถมโรคเอดส์อีกด้วย
พวกคนเจ้าชู้มักจะรวมกันเป็นกลุ่มเรียก flirting club สมาคมคนเจ้าชู้ คลับคนเจ้าชู้
แต่พวกผู้ชายขายตัว พวกแมงดา เราเรียก ผู้ชายพวกนี้ว่า gigolo ครับ
Dr.SoS
.
Thursday, January 20, 2011
หมาจนตรอก: be cornered, be at bay, ..
จนตรอก เป็นภาวะ ที่มีลักษณะ จนมุม จนแต้ม หมดหนทาง สุดทางหนี ในภาษาอังกฤษท่านสามารถใช้คำต่อไปนี้ได้
1. be cornered ปกติ corner จะแปลว่า มุม,หัวเลี้ยว,หัวต่อ,หัวโค้ง,หัวถนน,ลูกมุม (ฟุตบอล) แต่เมื่อเป็น passive จะเป็นลักษณะถูกต้อนเข้ามุมหรือทำให้จนตรอกนั่นเอง พวกเขาทำให้ฉันจนมุมอยู่ระหว่างรถสองคัน They had me cornered between the two cars.
2. be at bay เป็นการถูกบังคับให้หันหลังกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่มาโจมตี forced to turn and face attackers ทำอย่างไรดีถึงจะทำให้เจ้านี่จนตรอกจนมุด How to keep this guy at bay? ท่านประธานจนมุมจนกรอกเมื่อท่านไม่มีอำนาจควบคุมสมาคมอีกต่อไป The president is at bay when he is no longer in control of the association.
3. be stalled คำ stall (vt) ขัดขวาง ถ่วงเวลา ทำให้หยุด กั้นคอก ถ้าเราขัดขวางคน คือ เราหน่วงเวลา หรือป้องกันไม่ให้เขาทำอะไรสักพัำกหนึ่ง If you stall a person, you delay them or prevent them from doing something for a period of time คือทำให้เขาจนตรอกทำอะไรไม่ได้นั่นเอง
4. be checkmated คำ checkmate มาจากการเดินหมากรุก (chess game) ที่เข้าสู่ภาวะจนแต้ม จนมุม จึงเอาตัวราชา king เดินเพื่อเป็นการตรวจทั้งที่จริง ๆ แล้วรู้ทั้งรู้ว่า แพ้เพราะจนมุม
จีนถูกทำให้จนแต้มในที่ประชุมอาเซียนครั้งที่ 17 ที่กรุงฮานอย China is checkmated at the 17th ASEAN (Association of Southeast Asia Nations (ASEAN) Regional Forum (ARF) in Hanoi on July 23 2010 by USA.
5. maneuver คำ maneuver เป็นศัพท์ทางทหาร ให้ความหมายในเชิง การเคลื่อนย้าย(กองกำลัง) การซ้อมรบ, การจัดทัพ กลยุทธ กลอุบาย แผนการ อะไรพวกนี้ บางครั้งพวกอเมริกันเขียนเป็น manoeuvre เชิงสแลง(slang) จะให้ความหมายว่า เป็นการบังคับคน หรือ สัตว์ให้เข้าสู่จุดที่ไม่สามารถหนีได้ หรือ จนมุมนั่นเอง force a person or an animal into a position from which he cannot escape.
คนจนตรอก หรือ หมาจนตรอก ก็เหมือนกัน คือ
nowhere to run ไม่รู้จะหนีไปทางไหน
nowhere to hide ไม่ีรู้จะไปซ่อนที่ไหน
สุดท้ายก็ต้องหันกลับมาสู้(ทำสิ่งดี ๆ เพื่อตนเองและ(สำคัญที่สุด)คนที่รักเรา)
ํYou have to come back, face the truth, and fight for yourself and people who love you.
Dr.SoS
.
1. be cornered ปกติ corner จะแปลว่า มุม,หัวเลี้ยว,หัวต่อ,หัวโค้ง,หัวถนน,ลูกมุม (ฟุตบอล) แต่เมื่อเป็น passive จะเป็นลักษณะถูกต้อนเข้ามุมหรือทำให้จนตรอกนั่นเอง พวกเขาทำให้ฉันจนมุมอยู่ระหว่างรถสองคัน They had me cornered between the two cars.
2. be at bay เป็นการถูกบังคับให้หันหลังกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่มาโจมตี forced to turn and face attackers ทำอย่างไรดีถึงจะทำให้เจ้านี่จนตรอกจนมุด How to keep this guy at bay? ท่านประธานจนมุมจนกรอกเมื่อท่านไม่มีอำนาจควบคุมสมาคมอีกต่อไป The president is at bay when he is no longer in control of the association.
3. be stalled คำ stall (vt) ขัดขวาง ถ่วงเวลา ทำให้หยุด กั้นคอก ถ้าเราขัดขวางคน คือ เราหน่วงเวลา หรือป้องกันไม่ให้เขาทำอะไรสักพัำกหนึ่ง If you stall a person, you delay them or prevent them from doing something for a period of time คือทำให้เขาจนตรอกทำอะไรไม่ได้นั่นเอง
4. be checkmated คำ checkmate มาจากการเดินหมากรุก (chess game) ที่เข้าสู่ภาวะจนแต้ม จนมุม จึงเอาตัวราชา king เดินเพื่อเป็นการตรวจทั้งที่จริง ๆ แล้วรู้ทั้งรู้ว่า แพ้เพราะจนมุม
จีนถูกทำให้จนแต้มในที่ประชุมอาเซียนครั้งที่ 17 ที่กรุงฮานอย China is checkmated at the 17th ASEAN (Association of Southeast Asia Nations (ASEAN) Regional Forum (ARF) in Hanoi on July 23 2010 by USA.
5. maneuver คำ maneuver เป็นศัพท์ทางทหาร ให้ความหมายในเชิง การเคลื่อนย้าย(กองกำลัง) การซ้อมรบ, การจัดทัพ กลยุทธ กลอุบาย แผนการ อะไรพวกนี้ บางครั้งพวกอเมริกันเขียนเป็น manoeuvre เชิงสแลง(slang) จะให้ความหมายว่า เป็นการบังคับคน หรือ สัตว์ให้เข้าสู่จุดที่ไม่สามารถหนีได้ หรือ จนมุมนั่นเอง force a person or an animal into a position from which he cannot escape.
คนจนตรอก หรือ หมาจนตรอก ก็เหมือนกัน คือ
nowhere to run ไม่รู้จะหนีไปทางไหน
nowhere to hide ไม่ีรู้จะไปซ่อนที่ไหน
สุดท้ายก็ต้องหันกลับมาสู้(ทำสิ่งดี ๆ เพื่อตนเองและ(สำคัญที่สุด)คนที่รักเรา)
ํYou have to come back, face the truth, and fight for yourself and people who love you.
Dr.SoS
.
Wednesday, January 19, 2011
ตำแหน่งทางวิชาการ: academic ranks
คนทำงานก็หวังอยากจะได้ตำแหน่งกันทั้งนั้น ตำแหน่งยิ่งสูงยิ่งดี แต่ก็ลืมไปว่าต้องรับผิด(ชอบ)ด้วยนะ
ตำแหน่งทางวิชาการของคนทำงานมหาวิทยาลัย นั้นจะมีชื่อเรียกต่าง ๆ
1.อาจารย์ หรือเรียกให้โก้ ตามสไตล์อเมริกัน คือ lecturer
2.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) หรือเรียกให้โก้ ตามสไตล์อเมริกัน คือ Assistant Professor
อันนี้ที่อังกฤษจะเรียก Lecturer
3.รองศาสตราจารย์ (รศ.) หรือเรียกให้โก้ ตามสไตล์อเมริกัน คือ Associate Professor
อันนี้ที่อังกฤษจะเรียก Senior Lecturer หรือ Principal Lecturer
4. ศาสตราจารย์ (ศ.) หรือเรียกให้โก้ ตามสไตล์อเมริกัน คือ Full Professor
อันนี้ที่อังกฤษจะเรียก Reader
ในออสเตรเลีย ก็จะมีตำแหน่งเริ่มจาก Lecturer, Senior Lecturer, Associate Professor และสูงสุด and Professor
กว่าจะได้ตำแหน่งแต่ละอัน ก็ต้องเหนื่อยทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อต ต้องสร้างผลงานวิจัย แปลก ๆ ใหม่ ๆ
distinguished record of original research, as well as a significant record of teaching excellence and service to the university
ตำแหน่งทางวิชาการ (มาเลเซีย): Academic positions (in descending hierarchy)
Dr.SoS
ตำแหน่งทางวิชาการของคนทำงานมหาวิทยาลัย นั้นจะมีชื่อเรียกต่าง ๆ
1.อาจารย์ หรือเรียกให้โก้ ตามสไตล์อเมริกัน คือ lecturer
2.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) หรือเรียกให้โก้ ตามสไตล์อเมริกัน คือ Assistant Professor
อันนี้ที่อังกฤษจะเรียก Lecturer
3.รองศาสตราจารย์ (รศ.) หรือเรียกให้โก้ ตามสไตล์อเมริกัน คือ Associate Professor
อันนี้ที่อังกฤษจะเรียก Senior Lecturer หรือ Principal Lecturer
4. ศาสตราจารย์ (ศ.) หรือเรียกให้โก้ ตามสไตล์อเมริกัน คือ Full Professor
อันนี้ที่อังกฤษจะเรียก Reader
ในออสเตรเลีย ก็จะมีตำแหน่งเริ่มจาก Lecturer, Senior Lecturer, Associate Professor และสูงสุด and Professor
กว่าจะได้ตำแหน่งแต่ละอัน ก็ต้องเหนื่อยทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อต ต้องสร้างผลงานวิจัย แปลก ๆ ใหม่ ๆ
distinguished record of original research, as well as a significant record of teaching excellence and service to the university
ตำแหน่งทางวิชาการ (มาเลเซีย): Academic positions (in descending hierarchy)
- Profesor DiRaja (Royal Professor, usually retired professors, title bestowed by King แต่งตั้งโดยพระราชา)
- Profesor Emeritus (usually retired professors ศาสตราจารย์ที่เกษียณ)
- Senior Professor (a newly introduced rank mainly to denote salary and hierarchical difference)
- Professor
- Profesor Madya (Associate Professor)
- Senior Lecturer = เทียบได้กับ ผศ. Assistant Professor
- Lecturer/Tutor/Assistant Lecturer Instructor (with pre-degree qualifications)
Dr.SoS
ครู 3 จังหวัดใต้
ครู 3 จังหวัดใต้
เที่ยง วันที่ 15 ม.ค. นายมาโนช ชฎารัตน์ อายุ 38 ปี ครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล ปัตตานี ถูกคนร้ายยิงตายที่ 3 แยกถนนหน้าวัง ต.จะบังติกอ อ.เมืองปัตตานี
กระสุนเข้ากลางหลังและท้ายทอย นอนตายอยู่ข้างรถจักรยานยนต์ที่ล้มตะแคง เอกสารการเรียนการสอนกระจายเกลื่อนพื้นถนน
นายมาโนชเพิ่งขี่รถจักรยานยนต์กลับจากไปสอนพิเศษวิชาคอมพิวเตอร์ให้กับนักศึกษาวิทยาลัยชุมชนจังหวัดปัตตานี
ถูกตามประกบยิง
คนร้าย 2 คน ซ้อนรถจักรยานยนต์ไล่ตามมาแล้วยิงจากข้างหลังนายมาโนชร่างกระเด็นตกจากรถจักรยานยนต์ตายคาที่
ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของแนวร่วมโจรใต้
ต้องการสร้างสถานการณ์ สร้างความหวาดผวาให้กับครูในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้
การสังหารนายมาโนชเป็นข่าวตามสื่อต่างๆในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ตรงกับ "วันครู" พอดี
นาย ชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของครูมาโนช พร้อมให้ความช่วยเหลือด้วยการปูนบำเหน็จ 7 ชั้น ขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้
ส่งเสียลูกๆ 3 คนของครูมาโนชให้เรียนจนจบปริญญาตรี
มอบเงินช่วยเหลือกว่า 1 ล้านบาท
ลงท้ายด้วยนายชินวรณ์กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บินไปร่วมงานศพที่ จ.ปัตตานี
ทั้งหมดคือความพยายามที่จะตอบแทนหรือชดเชยการสูญเสีย
ครูใน 3 จังหวัดภาคใต้ถูกยิงถูกฆ่าคนแล้วคนเล่า แต่ความปลอดภัยของครูยังต่ำเหลือเกิน
ทั้งที่เหตุการณ์ไม่สงบผ่านมา 7 ปีแล้ว เป็นครูศพที่ 138
รู้อยู่แล้วว่าพอใกล้วันครู ครูย่อมตกเป็นเป้าหมาย
ต้องมีครูถูกฆ่า
ถึงเวลาโจรใต้ก็ฆ่าครูได้จริงๆ เหมือนนึกอยากจะทำอะไรเมื่อไรก็ทำได้
การแสดงความเสียใจ ปูนบำเหน็จ และความช่วยเหลือต่างๆหลังการตาย ไม่มีประโยชน์เท่ากับการป้องกัน
ครูเป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาคน เป็นทางหนึ่งในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้
รัฐบาลต้องทุ่มเทกับการดูแลความปลอดภัยของครูให้มีประสิทธิภาพ
ไม่ใช่แค่แสดงความเสียใจแล้วบินไปร่วมงานศพ
"เพลิงมรกต"
สงสารประเทศไทยจริง ๆ
เที่ยง วันที่ 15 ม.ค. นายมาโนช ชฎารัตน์ อายุ 38 ปี ครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล ปัตตานี ถูกคนร้ายยิงตายที่ 3 แยกถนนหน้าวัง ต.จะบังติกอ อ.เมืองปัตตานี
กระสุนเข้ากลางหลังและท้ายทอย นอนตายอยู่ข้างรถจักรยานยนต์ที่ล้มตะแคง เอกสารการเรียนการสอนกระจายเกลื่อนพื้นถนน
นายมาโนชเพิ่งขี่รถจักรยานยนต์กลับจากไปสอนพิเศษวิชาคอมพิวเตอร์ให้กับนักศึกษาวิทยาลัยชุมชนจังหวัดปัตตานี
ถูกตามประกบยิง
คนร้าย 2 คน ซ้อนรถจักรยานยนต์ไล่ตามมาแล้วยิงจากข้างหลังนายมาโนชร่างกระเด็นตกจากรถจักรยานยนต์ตายคาที่
ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของแนวร่วมโจรใต้
ต้องการสร้างสถานการณ์ สร้างความหวาดผวาให้กับครูในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้
การสังหารนายมาโนชเป็นข่าวตามสื่อต่างๆในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ตรงกับ "วันครู" พอดี
นาย ชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของครูมาโนช พร้อมให้ความช่วยเหลือด้วยการปูนบำเหน็จ 7 ชั้น ขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้
ส่งเสียลูกๆ 3 คนของครูมาโนชให้เรียนจนจบปริญญาตรี
มอบเงินช่วยเหลือกว่า 1 ล้านบาท
ลงท้ายด้วยนายชินวรณ์กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บินไปร่วมงานศพที่ จ.ปัตตานี
ทั้งหมดคือความพยายามที่จะตอบแทนหรือชดเชยการสูญเสีย
ครูใน 3 จังหวัดภาคใต้ถูกยิงถูกฆ่าคนแล้วคนเล่า แต่ความปลอดภัยของครูยังต่ำเหลือเกิน
ทั้งที่เหตุการณ์ไม่สงบผ่านมา 7 ปีแล้ว เป็นครูศพที่ 138
รู้อยู่แล้วว่าพอใกล้วันครู ครูย่อมตกเป็นเป้าหมาย
ต้องมีครูถูกฆ่า
ถึงเวลาโจรใต้ก็ฆ่าครูได้จริงๆ เหมือนนึกอยากจะทำอะไรเมื่อไรก็ทำได้
การแสดงความเสียใจ ปูนบำเหน็จ และความช่วยเหลือต่างๆหลังการตาย ไม่มีประโยชน์เท่ากับการป้องกัน
ครูเป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาคน เป็นทางหนึ่งในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้
รัฐบาลต้องทุ่มเทกับการดูแลความปลอดภัยของครูให้มีประสิทธิภาพ
ไม่ใช่แค่แสดงความเสียใจแล้วบินไปร่วมงานศพ
"เพลิงมรกต"
สงสารประเทศไทยจริง ๆ
เจ๋งเพาะเลี้ยงตัวอ่อนหอยมุกสำเร็จครั้งแรกของโลก
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ค้นพบวิธีการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนหอยมุกน้ำจืดในประเทศไทย เป็นครั้งแรกของโลก...
วันพุธที่ 19 ม.ค.2554 ผศ.ดร.สาธิต โกวิทวที หัวหน้าสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) เปิดเผยภายหลังรับรางวัลนักวิจัยดีเด่นของ มบส. เนื่องในงานวันคล้ายวันพิราลัยสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์และครบรอบ 115 ปี มบส. ว่า ตนได้ร่วมกับคณะวิจัยจากศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดกาญจนบุรีกรมประมง, ภาควิชาสัตววิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) บางเขน และคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยการสนับสนุนทุนวิจัยจากสภาวิจัยแห่งชาติ ได้ศึกษาวิจัยวิธีเพาะเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดในประเทศไทย ให้มีประสิทธิภาพสูง จากเดิมที่เกษตรกรต้องอาศัยการเพาะโดยธรรมชาติ ทำให้เปอร์เซ็นต์การรอดตายต่ำทั้งยังมีโอกาสติดเชื้อ แต่ผู้วิจัยได้ศึกษาจนค้นพบวิธีการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนระยะโคคีเดียในอาหาร สังเคราะห์โดยควบคุมในห้องวิทยาศาสตร์ประมาณ 90 วัน ก่อนนำลงปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ ใช้เวลาเจริญเติบโตประมาณ 1-3 ปีก่อนที่จะได้หอยมุกที่นำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ตัวอ่อนรอดชีวิตถึง 98-100% ซึ่งพันธุ์หอยน้ำจืดที่นำมาเพาะพันธุ์เป็นหอยมุก คือ หอยกาบใหญ่ ที่มีลักษณะตัวใหญ่ เปลือกหนา และให้เปลือกขาว และหอยกาบขาวที่มีเปลือกสวยแต่ตัวเล็กกว่า
วิธีการดังกล่าวถือเป็น ความสำเร็จครั้งแรกในโลก ขณะนี้คณะวิจัยกำลังพัฒนาตั้งเป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้การเพาะเลี้ยงหอยมุก น้ำจืด โดยจัดตั้งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทุกขั้นตอนให้กับเกษตรกร คาดว่าจะใช้เวลาอีก 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบเปลือกหอยไข่มุกมาแปรรูป โดยแหล่งใหญ่อยู่ที่ประเทศจีน ขณะที่ไทยสามารถผลิตวัตถุดิบได้ไม่ถึง 5% หากไทยสามารถผลิตวัตถุดิบได้เอง ก็สามารถสร้างรายได้ ให้กับเกษตรกรและประเทศมากขึ้น และเป้าหมายสำคัญในอนาคตคือการอนุรักษ์หอย เมื่อเราสามารถควบคุมการผลิตได้
ที่มา: เจ๋งเพาะเลี้ยงตัวอ่อนหอยมุกสำเร็จครั้งแรกของโลก ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2554
'
วันพุธที่ 19 ม.ค.2554 ผศ.ดร.สาธิต โกวิทวที หัวหน้าสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) เปิดเผยภายหลังรับรางวัลนักวิจัยดีเด่นของ มบส. เนื่องในงานวันคล้ายวันพิราลัยสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์และครบรอบ 115 ปี มบส. ว่า ตนได้ร่วมกับคณะวิจัยจากศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดกาญจนบุรีกรมประมง, ภาควิชาสัตววิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) บางเขน และคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยการสนับสนุนทุนวิจัยจากสภาวิจัยแห่งชาติ ได้ศึกษาวิจัยวิธีเพาะเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดในประเทศไทย ให้มีประสิทธิภาพสูง จากเดิมที่เกษตรกรต้องอาศัยการเพาะโดยธรรมชาติ ทำให้เปอร์เซ็นต์การรอดตายต่ำทั้งยังมีโอกาสติดเชื้อ แต่ผู้วิจัยได้ศึกษาจนค้นพบวิธีการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนระยะโคคีเดียในอาหาร สังเคราะห์โดยควบคุมในห้องวิทยาศาสตร์ประมาณ 90 วัน ก่อนนำลงปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ ใช้เวลาเจริญเติบโตประมาณ 1-3 ปีก่อนที่จะได้หอยมุกที่นำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ตัวอ่อนรอดชีวิตถึง 98-100% ซึ่งพันธุ์หอยน้ำจืดที่นำมาเพาะพันธุ์เป็นหอยมุก คือ หอยกาบใหญ่ ที่มีลักษณะตัวใหญ่ เปลือกหนา และให้เปลือกขาว และหอยกาบขาวที่มีเปลือกสวยแต่ตัวเล็กกว่า
วิธีการดังกล่าวถือเป็น ความสำเร็จครั้งแรกในโลก ขณะนี้คณะวิจัยกำลังพัฒนาตั้งเป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้การเพาะเลี้ยงหอยมุก น้ำจืด โดยจัดตั้งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทุกขั้นตอนให้กับเกษตรกร คาดว่าจะใช้เวลาอีก 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบเปลือกหอยไข่มุกมาแปรรูป โดยแหล่งใหญ่อยู่ที่ประเทศจีน ขณะที่ไทยสามารถผลิตวัตถุดิบได้ไม่ถึง 5% หากไทยสามารถผลิตวัตถุดิบได้เอง ก็สามารถสร้างรายได้ ให้กับเกษตรกรและประเทศมากขึ้น และเป้าหมายสำคัญในอนาคตคือการอนุรักษ์หอย เมื่อเราสามารถควบคุมการผลิตได้
ที่มา: เจ๋งเพาะเลี้ยงตัวอ่อนหอยมุกสำเร็จครั้งแรกของโลก ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2554
'
Sunday, January 16, 2011
รับรองเอกสารว่าถูกต้องตามกฎหมาย: notarize
เนื่องจากเอกสารต่าง ๆ สามารถทำสำเนาได้ As many documents can be easily copied จึงจำเป็นต้องทำเอกสารให้เป็นทางการ It is necessary to make the document official จึงมีการรับรองหรือจดทะเบียนเอกสารว่าเป็นของจริงของแท้ There is a way to certify copied document by notarization.
เราใช้ Notarize เป็นคำกริยา (อ่าน โน-ทะ-หรายซ (เสียงกลางอ่านสั้นและเร็วมาก)) คำนี้จัดเป็น ภาษาอเมริกัน ถ้าสไตล์อังกฤษ ก็ใช้ notarise
จดหมายหรือเอกสารที่ได้รับการรับรอง(ว่าจริงแท้) จะต้องมีการลงลายเซ็นโดยผู้ทำหน้าที่ If a letter or other document is notarized, it is signed or certified by a notary public.
คำ notary public หมายถึง บุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับรองเอกสาร Notary public is a person whose job is to mark documents to make them official) ตัวอย่างเช่น ศาล เสมียนศาล หน่วยงานยุติธรรม A notary public is for example judge, clerk of the court (Superior or Probate Court), justice of the peace, a lawyer (ต้องเป็นผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำการรับรองเอกสาร who is legally authorized to do notary work.) คำ Probate Court หมายถึง ศาลที่พิสูจน์ว่าพินัยกรรมถูกต้อง
สายการบินต้องการให้เด็กที่เดินทางโดยสารตามลำพัง ต้องมีจดหมายรับรองการยินยอมจากพ่อหรือแม่ หรือทั้งสอง The airline requires children traveling alone to have a notarized letter of consent from one or both parents.
ดังนั้นการรับรอง notarize จึงเป็นลักษณะการยืนยันเชิงรับรองนั่นเอง: affirm, certify, confirm บางครั้งก็เรียกเอกสารที่ผ่านการรับรองว่า certified copy ถ้าการรับรองทำอย่างถูกต้องก็เรียก a valid certified copy หรือ a valid notarized copy ส่วนเอกสารต้นฉบับเราเรียกว่า original copy
ดร.SoS
Dr.SoS
.
เราใช้ Notarize เป็นคำกริยา (อ่าน โน-ทะ-หรายซ (เสียงกลางอ่านสั้นและเร็วมาก)) คำนี้จัดเป็น ภาษาอเมริกัน ถ้าสไตล์อังกฤษ ก็ใช้ notarise
จดหมายหรือเอกสารที่ได้รับการรับรอง(ว่าจริงแท้) จะต้องมีการลงลายเซ็นโดยผู้ทำหน้าที่ If a letter or other document is notarized, it is signed or certified by a notary public.
คำ notary public หมายถึง บุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับรองเอกสาร Notary public is a person whose job is to mark documents to make them official) ตัวอย่างเช่น ศาล เสมียนศาล หน่วยงานยุติธรรม A notary public is for example judge, clerk of the court (Superior or Probate Court), justice of the peace, a lawyer (ต้องเป็นผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำการรับรองเอกสาร who is legally authorized to do notary work.) คำ Probate Court หมายถึง ศาลที่พิสูจน์ว่าพินัยกรรมถูกต้อง
สายการบินต้องการให้เด็กที่เดินทางโดยสารตามลำพัง ต้องมีจดหมายรับรองการยินยอมจากพ่อหรือแม่ หรือทั้งสอง The airline requires children traveling alone to have a notarized letter of consent from one or both parents.
ดังนั้นการรับรอง notarize จึงเป็นลักษณะการยืนยันเชิงรับรองนั่นเอง: affirm, certify, confirm บางครั้งก็เรียกเอกสารที่ผ่านการรับรองว่า certified copy ถ้าการรับรองทำอย่างถูกต้องก็เรียก a valid certified copy หรือ a valid notarized copy ส่วนเอกสารต้นฉบับเราเรียกว่า original copy
ดร.SoS
Dr.SoS
.
เจ้าพระยาสร้างสรรค์
น่าเสียดายที่วันนี้ ผมไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ วันเสาร์ผมมาที่ขอนแก่น เมื่อวานพูดอยู่ที่กาฬสินธุ์ จันทร์วันนี้มาประชุมที่วิทยาลัยการบินของ ม.นครพนม ขณะที่จันทร์วันนี้มีงานสำคัญที่กรุงเทพฯ 08.00-12.00 น. คุณอลงกรณ์ พลบุตร ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ จะพาบรรดาผู้คนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม กว่า 200 คน ล่องเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อขับเคลื่อนให้นโยบาย "เจ้าพระยาสร้างสรรค์"
ผู้อ่านท่านที่เคารพที่ชอบตระเวนเมืองจีน ก็คงจะเคยมีประสบการณ์เหมือนผมนะครับ ในอดีตเราเห็นสภาพบ้านเรือนและถนนหนทางของจีนสุดโทรม มีสีมอๆ ผู้คนแต่งกายคล้ายกันทั้งเมือง เมื่อวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป บ้านเมืองและผู้คนก็ค่อยๆ ทยอยมีสีสันและมีชีวิตชีวาขึ้นมาเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบันทุกวันนี้ เราเห็นเมืองจีนที่มีสีสันเต็มที่ ไม่แพ้ชาติอื่นเมืองใดในโลก
พ.ศ.2549 ผมเทียวเที่ยวไปในยามค่ำคืนที่เมืองกุ้ยหลิน เมืองสำคัญของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ตามริมแม่น้ำ ริมคลอง ผู้บริหารท้องถิ่นจัดที่ไว้ให้ชาวบ้านออกมารวมกลุ่มชุมนุมสุมหัวร้องรำฮัม เพลงเป็นระยะๆ น่ารักมากครับ ตามริมแม่น้ำ ริมคลอง ก็มีการใช้แสงไฟสีต่างๆ เล่นอย่างสวยงาม ยามค่ำคืนเมืองกุ้ยหลินสวยจริงๆ ไม่ใช่สวยเพราะธรรมชาติสร้าง แต่สวยเพราะผู้บริหารท้องถิ่นสร้าง
พ.ศ.2550 ผมไปประชุมที่เมืองลี่เจียง มณฑลหยุนหนาน ยามค่ำคืนก็ออกตระเวนไปตามถนนหนทางสายต่างๆ ยอมรับครับว่า ออกมาแล้วไม่อยากกลับโรงแรม เพราะริมคลองสองข้าง รัฐบาลท้องถิ่นของลี่เจียงประดับประดาและตกแต่งได้อย่างสวยงามจริงๆ วันต่อมา ผมมีโอกาสเข้าประชุมกับรองนายกเทศมนตรีและคณะผู้บริหารเมืองลี่เจียง ผมจึงถึงได้ความรู้ว่า ชาวบ้านที่นี่ไม่มีสิทธิ์ติดไฟฟ้านอกบ้านได้เอง ต้องเทศบาลเป็นคนติดตั้งให้เท่านั้น เพราะเทศบาลต้องการสร้างทรัพยากรการท่องเที่ยวทางเดิน ถนนแต่ละสายจะอบอวลไปด้วยแสงไฟที่ให้ความสว่างต่างอารมณ์กัน บางสายนวลแดง บางแห่งนวลเขียว บางสายนวลเหลือง ฯลฯ ยามค่ำคืน ประชาชนและผู้คนที่มาเยือนเมืองจะได้ออกมาเดินเล่นเพ่นพ่านไปตามถนนหนทาง ต่างๆ ด้านนอกอาคารสถานที่ก็เหมือนกัน ต้องให้เทศบาลอนุมัติแบบแปลนที่จะต้องสอดคล้องกับคอนเซปต์ของเมืองลี่เจียง เจ้าของจะมาสุ่มสี่สุ่มห้าตกแต่งไม่ได้
จากนั้น ผมก็ยอมควักสตางค์ไปเที่ยวตามแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองต่างๆ ที่ใดมีข่าวว่าผู้บริหารเมืองเอาทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำและฝั่งทะเลมาทำ ทรัพยากรการท่องเที่ยวได้ดี ผมเดินทางไปเยือนหมด ที่เห็นว่าน่าจะใช้ได้ก็มีกรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน (บรูไน) กรุงทบิลิซี (จอร์เจีย) เมืองปาเล็มบัง (อินโดนีเซีย) กรุงโซล (เกาหลีใต้) นครดูไบ (สหรัฐอาหรับ-เอมิเรตส์) กรุงปารีส (ฝรั่งเศส) กรุงบูดาเปสต์ (ฮังการี) กรุงวัลเลตตา (มอลตา) กรุงอัมสเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) กรุงมอสโก (รัสเซีย) กรุงลอนดอน (อังกฤษ) สิงคโปร์ ฯลฯ ผู้บริหารเมืองแม่น้ำผ่ากลางเหล่านี้ก็มีความคิดคล้ายกับที่คุณอลงกรณ์กำลัง ทำโครงการ "เจ้าพระยาสร้างสรรค์"
คุณอลงกรณ์จะขึ้นเรือที่ท่าเรือ โรงแรมริเวอร์ไซด์ เชิงสะพานซังฮี้ การสำรวจตรวจตราจะเริ่มที่สะพานกรุงธนไปจนถึงสะพานแขวนพระราม 9 โดยมีผู้คนช่วยกันคิดว่าจะแต่งเติมสีสัน สร้างแลนด์มาร์ค ทาสีสะพาน และอาคารบ้านเรือนริมแม่น้ำ ติดไฟส่องสีสันสวยงามยามค่ำคืน ออกแบบโป๊ะใหม่ เสริมความงามตามสถานที่ว่างด้วยแมกไม้หลากหลายพันธุ์ นำทรัพยากรการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี ทางตำนาน ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ฯลฯ
เขียนให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ คุณอลงกรณ์และคณะตั้งใจจะดีไซน์ให้สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีสีสัน มีชีวิตชีวา สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างมูลค่า และสร้างคุณค่าให้กับมรดกตกทอดที่บรรพบุรุษให้เรามาอยู่แล้ว มาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ ไม่ต้องมามัวพึ่งแต่โรงงานจากต่างประเทศที่นำมาแต่เรื่องมลภาวะ มลพิษ
ผม ชอบการมี 2 สถานะนะครับ คือ ทั้งสถานะนก และสถานะหนอน เป็นนกก็คือ การบินขึ้นไปบนที่สูง และมองลงมาเห็นป่าทั้งป่า เห็นว่าตรงนั้นเป็นหนองน้ำ เป็นถนนหนทาง เป็นเรือกสวนไร่นาป่าเขา ฯลฯ ส่วนสถานะหนอนก็คือ ผมชอบลงไปคลุกกับเรื่องจริง บุคคลจริง เหตุการณ์จริง บางท่านวิจารณ์ผู้คนจากการบอกเล่าเอามาจากปากของคนอื่น แต่ผมชอบวิจารณ์จากการสัมผัสจริง อย่างคุณอลงกรณ์นี่ผมเคยวิจารณ์มาหลายครั้ง ว่าเป็นรัฐมนตรีที่ขยันจนตัวเป็นเกลียว หัวเป็นนอต เป็นรัฐมนตรีที่ใช้งบประมาณน้อย แต่ได้งานมาก รู้จักขอความร่วมมือจากผู้คน บริหารคนบริหารเครือข่าย และความสัมพันธ์ได้เก่งพอสมควร
ไล่ดูราย ชื่อผู้คนที่เข้าร่วมโครงการเจ้าพระยาสร้างสรรค์แล้ว ผมรู้สึกว่า งานนี้คุณอลงกรณ์น่าจะทำให้สำเร็จได้ไม่ยาก เจ้าพระยาแม่น้ำของเรามีโอกาสสวยงามขึ้นแน่ ผู้ที่ร่วมโครงการมีคุณกานต์ ตระกูลฮุน (SCG) คุณตัน ภาสกรนที (ตัน โออิชิ) คุณวิกรม กรมดิษฐ์ (กลุ่มอมตะ) คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ (ปตท.)
คุณศุภชัย เจียรวนนท์ (ทรู) ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ (อดีตปลัดกระทรวงการคลัง) คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี (เบียร์ช้าง) และอีกมากมายหลายท่าน หลายหน่วยงานครับ ไม่ว่าจะประธานธนาคารกรุงไทย รองผู้ว่าฯ กทม. ททท. กรมเจ้าท่า บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา ม.ศิลปากร ม.มหิดล ฯลฯ กว่า 200 คน ที่จะมาช่วยกันสำรวจแม่น้ำเจ้าพระยา อันนี้เป็นสไตล์การบริหารแนวใหม่ เน้นการมีส่วนร่วม ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันสร้าง การนำเรื่องดี ๆ มากันบ้าง ครับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2554
.
ผู้อ่านท่านที่เคารพที่ชอบตระเวนเมืองจีน ก็คงจะเคยมีประสบการณ์เหมือนผมนะครับ ในอดีตเราเห็นสภาพบ้านเรือนและถนนหนทางของจีนสุดโทรม มีสีมอๆ ผู้คนแต่งกายคล้ายกันทั้งเมือง เมื่อวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป บ้านเมืองและผู้คนก็ค่อยๆ ทยอยมีสีสันและมีชีวิตชีวาขึ้นมาเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบันทุกวันนี้ เราเห็นเมืองจีนที่มีสีสันเต็มที่ ไม่แพ้ชาติอื่นเมืองใดในโลก
พ.ศ.2549 ผมเทียวเที่ยวไปในยามค่ำคืนที่เมืองกุ้ยหลิน เมืองสำคัญของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ตามริมแม่น้ำ ริมคลอง ผู้บริหารท้องถิ่นจัดที่ไว้ให้ชาวบ้านออกมารวมกลุ่มชุมนุมสุมหัวร้องรำฮัม เพลงเป็นระยะๆ น่ารักมากครับ ตามริมแม่น้ำ ริมคลอง ก็มีการใช้แสงไฟสีต่างๆ เล่นอย่างสวยงาม ยามค่ำคืนเมืองกุ้ยหลินสวยจริงๆ ไม่ใช่สวยเพราะธรรมชาติสร้าง แต่สวยเพราะผู้บริหารท้องถิ่นสร้าง
พ.ศ.2550 ผมไปประชุมที่เมืองลี่เจียง มณฑลหยุนหนาน ยามค่ำคืนก็ออกตระเวนไปตามถนนหนทางสายต่างๆ ยอมรับครับว่า ออกมาแล้วไม่อยากกลับโรงแรม เพราะริมคลองสองข้าง รัฐบาลท้องถิ่นของลี่เจียงประดับประดาและตกแต่งได้อย่างสวยงามจริงๆ วันต่อมา ผมมีโอกาสเข้าประชุมกับรองนายกเทศมนตรีและคณะผู้บริหารเมืองลี่เจียง ผมจึงถึงได้ความรู้ว่า ชาวบ้านที่นี่ไม่มีสิทธิ์ติดไฟฟ้านอกบ้านได้เอง ต้องเทศบาลเป็นคนติดตั้งให้เท่านั้น เพราะเทศบาลต้องการสร้างทรัพยากรการท่องเที่ยวทางเดิน ถนนแต่ละสายจะอบอวลไปด้วยแสงไฟที่ให้ความสว่างต่างอารมณ์กัน บางสายนวลแดง บางแห่งนวลเขียว บางสายนวลเหลือง ฯลฯ ยามค่ำคืน ประชาชนและผู้คนที่มาเยือนเมืองจะได้ออกมาเดินเล่นเพ่นพ่านไปตามถนนหนทาง ต่างๆ ด้านนอกอาคารสถานที่ก็เหมือนกัน ต้องให้เทศบาลอนุมัติแบบแปลนที่จะต้องสอดคล้องกับคอนเซปต์ของเมืองลี่เจียง เจ้าของจะมาสุ่มสี่สุ่มห้าตกแต่งไม่ได้
จากนั้น ผมก็ยอมควักสตางค์ไปเที่ยวตามแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองต่างๆ ที่ใดมีข่าวว่าผู้บริหารเมืองเอาทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำและฝั่งทะเลมาทำ ทรัพยากรการท่องเที่ยวได้ดี ผมเดินทางไปเยือนหมด ที่เห็นว่าน่าจะใช้ได้ก็มีกรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน (บรูไน) กรุงทบิลิซี (จอร์เจีย) เมืองปาเล็มบัง (อินโดนีเซีย) กรุงโซล (เกาหลีใต้) นครดูไบ (สหรัฐอาหรับ-เอมิเรตส์) กรุงปารีส (ฝรั่งเศส) กรุงบูดาเปสต์ (ฮังการี) กรุงวัลเลตตา (มอลตา) กรุงอัมสเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) กรุงมอสโก (รัสเซีย) กรุงลอนดอน (อังกฤษ) สิงคโปร์ ฯลฯ ผู้บริหารเมืองแม่น้ำผ่ากลางเหล่านี้ก็มีความคิดคล้ายกับที่คุณอลงกรณ์กำลัง ทำโครงการ "เจ้าพระยาสร้างสรรค์"
คุณอลงกรณ์จะขึ้นเรือที่ท่าเรือ โรงแรมริเวอร์ไซด์ เชิงสะพานซังฮี้ การสำรวจตรวจตราจะเริ่มที่สะพานกรุงธนไปจนถึงสะพานแขวนพระราม 9 โดยมีผู้คนช่วยกันคิดว่าจะแต่งเติมสีสัน สร้างแลนด์มาร์ค ทาสีสะพาน และอาคารบ้านเรือนริมแม่น้ำ ติดไฟส่องสีสันสวยงามยามค่ำคืน ออกแบบโป๊ะใหม่ เสริมความงามตามสถานที่ว่างด้วยแมกไม้หลากหลายพันธุ์ นำทรัพยากรการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี ทางตำนาน ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ฯลฯ
เขียนให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ คุณอลงกรณ์และคณะตั้งใจจะดีไซน์ให้สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีสีสัน มีชีวิตชีวา สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างมูลค่า และสร้างคุณค่าให้กับมรดกตกทอดที่บรรพบุรุษให้เรามาอยู่แล้ว มาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ ไม่ต้องมามัวพึ่งแต่โรงงานจากต่างประเทศที่นำมาแต่เรื่องมลภาวะ มลพิษ
ผม ชอบการมี 2 สถานะนะครับ คือ ทั้งสถานะนก และสถานะหนอน เป็นนกก็คือ การบินขึ้นไปบนที่สูง และมองลงมาเห็นป่าทั้งป่า เห็นว่าตรงนั้นเป็นหนองน้ำ เป็นถนนหนทาง เป็นเรือกสวนไร่นาป่าเขา ฯลฯ ส่วนสถานะหนอนก็คือ ผมชอบลงไปคลุกกับเรื่องจริง บุคคลจริง เหตุการณ์จริง บางท่านวิจารณ์ผู้คนจากการบอกเล่าเอามาจากปากของคนอื่น แต่ผมชอบวิจารณ์จากการสัมผัสจริง อย่างคุณอลงกรณ์นี่ผมเคยวิจารณ์มาหลายครั้ง ว่าเป็นรัฐมนตรีที่ขยันจนตัวเป็นเกลียว หัวเป็นนอต เป็นรัฐมนตรีที่ใช้งบประมาณน้อย แต่ได้งานมาก รู้จักขอความร่วมมือจากผู้คน บริหารคนบริหารเครือข่าย และความสัมพันธ์ได้เก่งพอสมควร
ไล่ดูราย ชื่อผู้คนที่เข้าร่วมโครงการเจ้าพระยาสร้างสรรค์แล้ว ผมรู้สึกว่า งานนี้คุณอลงกรณ์น่าจะทำให้สำเร็จได้ไม่ยาก เจ้าพระยาแม่น้ำของเรามีโอกาสสวยงามขึ้นแน่ ผู้ที่ร่วมโครงการมีคุณกานต์ ตระกูลฮุน (SCG) คุณตัน ภาสกรนที (ตัน โออิชิ) คุณวิกรม กรมดิษฐ์ (กลุ่มอมตะ) คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ (ปตท.)
คุณศุภชัย เจียรวนนท์ (ทรู) ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ (อดีตปลัดกระทรวงการคลัง) คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี (เบียร์ช้าง) และอีกมากมายหลายท่าน หลายหน่วยงานครับ ไม่ว่าจะประธานธนาคารกรุงไทย รองผู้ว่าฯ กทม. ททท. กรมเจ้าท่า บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา ม.ศิลปากร ม.มหิดล ฯลฯ กว่า 200 คน ที่จะมาช่วยกันสำรวจแม่น้ำเจ้าพระยา อันนี้เป็นสไตล์การบริหารแนวใหม่ เน้นการมีส่วนร่วม ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันสร้าง การนำเรื่องดี ๆ มากันบ้าง ครับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2554
.
ฮอกกี้ไทยกระหึ่ม! รับรางวัลสมาคมยอดเยี่ยมเอเชีย 2010
ฮอกกี้ไทยกระหึ่มวงการเอเชียอีกครั้ง หลังจาก 30 ประเทศโหวตให้ได้เป็นสมาคมยอดเยี่ยมในการประกาศรางวัล AHF Awards ประจำปี 2010 ที่มาเลเซีย ด้าน “บิ๊กแนต” ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เป็นปลื้มพร้อมเดินหน้าพัฒนาฮอกกี้ไทย โดยตั้งเป้าซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ทีมไทยต้องคว้าเหรียญทองมาครองให้ได้...
เมื่อ วันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มีการประชุมสหพันธ์ฮอกกีแห่งเอเชีย (AHF) ที่โรงแรมคอนคอร์ด นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นายกสมาคมฮอกกี้แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายพิเชฐ มั่นคง เมมเบอร์ของ AFH และ น.ส.เพชรสุดา เชียรเทียนทอง เลขาธิการสมาคม ฯ ได้เดินทางเข้าร่วมประชุม โดยช่วงเช้า สุลต่าน อัซลาน ชาห์ แห่งประเทศมาเลเซีย และประธานสหพันธ์ฮอกกี้แห่งเอเชีย กล่าวต้อนรับสมาชิกทั้งหมด 30 ประเทศที่เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพียง เนื่องจากในวาระการประชุมมีการประกาศรางวัล AHF Awards ประจำปี 2010 หรือรางวัล HRH Sultan Azlan Shah Awards
ด้าน “บิ๊กแนต” ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นายกสมาคมฮอกกี้แห่งประเทศให้ เปิดเผยว่า ในส่วนของวาระการประกาศรางวัล AHF Awards ประจำปี 2010 หรือรางวัล HRH Sultan Azlan Shah Awards นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากเมื่อ 30 ประเทศต่างมีเสียงเป็นเอกฉันท์ให้ประเทศไทยได้รับรางวัลสมาชิกที่ดีที่สุด ประจำปีนี้ไปครอง (best served)
ภายหลังจากการประกาศรางวัล AHF Awards ประจำปี 2010 หรือรางวัล HRH Sultan Azlan Shah Awards เป็นที่เรียบร้อย นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ต้องของคุณชาติสมาชิกที่ร่วมโหวตให้ประเทศไทย ได้รับรางวัลสมาคมยอดเยี่ยมประจำปี หลังจากที่ได้ทำการพัฒนาฮอกกี้ไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาการเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งการได้รับตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และตนจะพยายามรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ให้ได้ในครั้งหน้า หลังจากที่ทีมฮอกกี้สาวไทยทำผลงานดีมาตลอด และในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่เมืองกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ทีมฮอกกี้ไทยประสบความสำเร็จอย่างมาก เมื่อได้สิทธิ์ในการคัดเลือกพื้นที่ไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2012 เป็นครั้งแรก และอันดับเอเชียก็มาอยู่อันดับที่ 6 จากที่ไทยเคยอยู่อันดับที่ 10
นายชัยภักดิ์ กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่ตนต้องทำตอนนี้ คือ ต้องผลักดันกีฬาฮอกกี้ให้มีการแข่งขันในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนิเซียให้ได้ พร้อมกับต้องคว้าเหรียญทองในทีมหญิง และเป้าหมายของทีมฮอกกี้สาวไทยจะต้องยึดพื้นที่หมายเลข 1 ของอาเซียนต่อไป ซึ่งตอนนี้มาเลเซียเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียน และเป็นเบอร์ 5 ของเอเชีย
ที่มา: ทีมข่าวกีฬา ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2554
.
เมื่อ วันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มีการประชุมสหพันธ์ฮอกกีแห่งเอเชีย (AHF) ที่โรงแรมคอนคอร์ด นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นายกสมาคมฮอกกี้แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายพิเชฐ มั่นคง เมมเบอร์ของ AFH และ น.ส.เพชรสุดา เชียรเทียนทอง เลขาธิการสมาคม ฯ ได้เดินทางเข้าร่วมประชุม โดยช่วงเช้า สุลต่าน อัซลาน ชาห์ แห่งประเทศมาเลเซีย และประธานสหพันธ์ฮอกกี้แห่งเอเชีย กล่าวต้อนรับสมาชิกทั้งหมด 30 ประเทศที่เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพียง เนื่องจากในวาระการประชุมมีการประกาศรางวัล AHF Awards ประจำปี 2010 หรือรางวัล HRH Sultan Azlan Shah Awards
ด้าน “บิ๊กแนต” ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นายกสมาคมฮอกกี้แห่งประเทศให้ เปิดเผยว่า ในส่วนของวาระการประกาศรางวัล AHF Awards ประจำปี 2010 หรือรางวัล HRH Sultan Azlan Shah Awards นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากเมื่อ 30 ประเทศต่างมีเสียงเป็นเอกฉันท์ให้ประเทศไทยได้รับรางวัลสมาชิกที่ดีที่สุด ประจำปีนี้ไปครอง (best served)
ภายหลังจากการประกาศรางวัล AHF Awards ประจำปี 2010 หรือรางวัล HRH Sultan Azlan Shah Awards เป็นที่เรียบร้อย นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ต้องของคุณชาติสมาชิกที่ร่วมโหวตให้ประเทศไทย ได้รับรางวัลสมาคมยอดเยี่ยมประจำปี หลังจากที่ได้ทำการพัฒนาฮอกกี้ไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาการเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งการได้รับตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และตนจะพยายามรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ให้ได้ในครั้งหน้า หลังจากที่ทีมฮอกกี้สาวไทยทำผลงานดีมาตลอด และในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่เมืองกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ทีมฮอกกี้ไทยประสบความสำเร็จอย่างมาก เมื่อได้สิทธิ์ในการคัดเลือกพื้นที่ไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2012 เป็นครั้งแรก และอันดับเอเชียก็มาอยู่อันดับที่ 6 จากที่ไทยเคยอยู่อันดับที่ 10
นายชัยภักดิ์ กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่ตนต้องทำตอนนี้ คือ ต้องผลักดันกีฬาฮอกกี้ให้มีการแข่งขันในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนิเซียให้ได้ พร้อมกับต้องคว้าเหรียญทองในทีมหญิง และเป้าหมายของทีมฮอกกี้สาวไทยจะต้องยึดพื้นที่หมายเลข 1 ของอาเซียนต่อไป ซึ่งตอนนี้มาเลเซียเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียน และเป็นเบอร์ 5 ของเอเชีย
ที่มา: ทีมข่าวกีฬา ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2554
.
Thursday, January 13, 2011
กลับทิศ/หมุนไปรอบ ๆ: Turnabout
ในชีวิตของเรา จะพบเห็นการหมุนได้บ่อย ๆ วันนี้ขอพูดคำ Turnabout ซึ่งมีความหมายสำคัญ 2 นัย
นัยแรกเป็นการหมุนรอบในลักษณะ ม้าหมุน (merry–go–round) ที่เด็ก ๆ เล่นในสวนสนุก (amusement park)
นัยที่สอง เป็นลักษณะการ(หัน)กลับทิศ แนวโน้ม นโยบาย บทบาท หรือ บุคลิก Turnabout is a change or reversal of direction, trend, policy, role, or character.
เช่น มีการเปลี่ยนทิศทางของราคาน้ำมันพืชอย่างรวดเร็ว There was a sharp turnabout in vegetable oil prices.
มีการกลับทิศทางนโยบายระหว่างประเทศ There was a turnabout in the country's foreign policy.
ทัศนคติที่มีต่อ(บางอย่าง)พลิกอย่างสิ้นเชิง เช่น ทัศนคติของแซมที่มีต่อไอทีพลิกอย่างสิ้นเชิง Sam's position on IT is a complete turnabout.
ถ้ามีคนพูดว่า turnabout is fair play นั้นในอเมริกาจะใช้หมายถึง ถ้ามีคนหนึ่งทำอะไรที่ไม่ดีในลักษณะที่เป็นโทษต่อคุณ มันย่อมจะเป็นการยุติธรรมที่คุณจะทำสิ่งเดียวกันที่เป็นโทษต่อบุคคลนั้น US —used to say that if someone does something to harm you it is fair for you to do something to harm that person เช่น เขาทำกับฉัน ดังนั้น ฉันก็จะทำกับเขา การกลับทิศนับเป็นการเล่นที่ยุติธรรม He did it to me, so I'm going to do it to him. Turnabout is fair play.
ปกติคำ turnabout จะใช้เป็นเอกพจน์
คำ "upside down" ก็ให้ความหมาย"กลับทิศ"เช่นกัน
ดร.SoS
"
นัยแรกเป็นการหมุนรอบในลักษณะ ม้าหมุน (merry–go–round) ที่เด็ก ๆ เล่นในสวนสนุก (amusement park)
นัยที่สอง เป็นลักษณะการ(หัน)กลับทิศ แนวโน้ม นโยบาย บทบาท หรือ บุคลิก Turnabout is a change or reversal of direction, trend, policy, role, or character.
เช่น มีการเปลี่ยนทิศทางของราคาน้ำมันพืชอย่างรวดเร็ว There was a sharp turnabout in vegetable oil prices.
มีการกลับทิศทางนโยบายระหว่างประเทศ There was a turnabout in the country's foreign policy.
ทัศนคติที่มีต่อ(บางอย่าง)พลิกอย่างสิ้นเชิง เช่น ทัศนคติของแซมที่มีต่อไอทีพลิกอย่างสิ้นเชิง Sam's position on IT is a complete turnabout.
ถ้ามีคนพูดว่า turnabout is fair play นั้นในอเมริกาจะใช้หมายถึง ถ้ามีคนหนึ่งทำอะไรที่ไม่ดีในลักษณะที่เป็นโทษต่อคุณ มันย่อมจะเป็นการยุติธรรมที่คุณจะทำสิ่งเดียวกันที่เป็นโทษต่อบุคคลนั้น US —used to say that if someone does something to harm you it is fair for you to do something to harm that person เช่น เขาทำกับฉัน ดังนั้น ฉันก็จะทำกับเขา การกลับทิศนับเป็นการเล่นที่ยุติธรรม He did it to me, so I'm going to do it to him. Turnabout is fair play.
ปกติคำ turnabout จะใช้เป็นเอกพจน์
คำ "upside down" ก็ให้ความหมาย"กลับทิศ"เช่นกัน
ดร.SoS
"
คำสั่งของบุคคลในเครื่องแบบ (1)+(2)
เปิดฟ้าภาษาโลกขออนุญาตเอาใจตำรวจ ทหาร และบุคคลในเครื่องแบบทุกประเภทกันบ้างครับ โลกเราทุกวันนี้แคบ บุคคลในเครื่องแบบของไทยก็มีโอกาสมากขึ้น ในการทำงานร่วมกับบุคคลจากประเทศชาติบ้านเมืองอื่น แม้แต่นักการเมืองที่ไปเยือนบ้านเมืองอื่น ตำรวจทหารของประเทศนั้นมีการต้อนรับ หากไม่ทราบคำสั่งท่า 1. บุคคลมือเปล่า และ 2. ท่าอาวุธ ท่านก็อาจจะเงอะงะทำอะไรไม่ถูก สร้างความตลกขบขันแก่ผู้พบเห็น หรือนำความเสื่อมเกียรติยศมาสู่ประเทศชาติบ้านเมืองที่ตนเป็นตัวแทนได้
คำ สั่งในภาษาไทยที่เราใช้กันเป็นประจำคือ "แถว-ตรง" คำสั่งนี้ในภาษาอังกฤษก็คือ "Attention." หรือ "แอท' เทนฌัน" ที่จริงคำนี้หมายถึง ความสนใจ การตั้งใจฟัง ความเอาใจใส่ และ การพิจารณา คำสั่ง attention ในบุคคลท่ามือเปล่า หรือ Individual drill without weapon ก็คือ คำสั่งให้แถวตรงเพื่อตั้งใจฟังนั่นเอง
ต่อไปเป็นท่าพัก หรือ rest positions at halt (halt ฮอลท หมายถึง การหยุดชะงัก) ทหารตำรวจทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ ว่าท่าพักทั้งหมดมี 5 แบบ ท่าพักตามปกติ ท่าพักตามระเบียบ ท่าพักตามสบาย ท่าพักแถว และ ท่าเลิกแถว
สมัยผมเป็นผู้หมวด ผมสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา พักตามปกติ ว่า "พัก" ถ้ากะฝรั่ง ผมก็ใช้ว่า "At ease." (ease อีส หมายถึง ทำให้ง่ายขึ้น ทำให้สะดวกขึ้น)
แต่ผมสั่ง พักตามระเบียบ ว่า "ตามระเบียบ, พัก" อันนี้ภาษาอังกฤษคือ "Parade, rest."
ผู้หมวดนิติภูมิสั่ง พักตามสบาย ว่า "ตามสบาย, พัก" ภาษาอังกฤษก็คือ "Rest."
ผมสั่ง ท่าพักแถว ว่า "พักแถว" ภาษาอังกฤษคือ "Fall out."
และสำหรับ ท่าเลิกแถว ผมสั่งว่า "เลิกแถว" หรือ "Dismissed."
เรื่อง ของคำสั่งท่าบุคคลมือเปล่ายังมี ท่าหันอยู่กับที่ (Facing at the halt)
และท่าเคารพ (Hand salute)
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คำสั่งของบุคคลในเครื่องแบบ ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2554
คำ สั่งในภาษาไทยที่เราใช้กันเป็นประจำคือ "แถว-ตรง" คำสั่งนี้ในภาษาอังกฤษก็คือ "Attention." หรือ "แอท' เทนฌัน" ที่จริงคำนี้หมายถึง ความสนใจ การตั้งใจฟัง ความเอาใจใส่ และ การพิจารณา คำสั่ง attention ในบุคคลท่ามือเปล่า หรือ Individual drill without weapon ก็คือ คำสั่งให้แถวตรงเพื่อตั้งใจฟังนั่นเอง
ต่อไปเป็นท่าพัก หรือ rest positions at halt (halt ฮอลท หมายถึง การหยุดชะงัก) ทหารตำรวจทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ ว่าท่าพักทั้งหมดมี 5 แบบ ท่าพักตามปกติ ท่าพักตามระเบียบ ท่าพักตามสบาย ท่าพักแถว และ ท่าเลิกแถว
สมัยผมเป็นผู้หมวด ผมสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา พักตามปกติ ว่า "พัก" ถ้ากะฝรั่ง ผมก็ใช้ว่า "At ease." (ease อีส หมายถึง ทำให้ง่ายขึ้น ทำให้สะดวกขึ้น)
แต่ผมสั่ง พักตามระเบียบ ว่า "ตามระเบียบ, พัก" อันนี้ภาษาอังกฤษคือ "Parade, rest."
ผู้หมวดนิติภูมิสั่ง พักตามสบาย ว่า "ตามสบาย, พัก" ภาษาอังกฤษก็คือ "Rest."
ผมสั่ง ท่าพักแถว ว่า "พักแถว" ภาษาอังกฤษคือ "Fall out."
และสำหรับ ท่าเลิกแถว ผมสั่งว่า "เลิกแถว" หรือ "Dismissed."
เรื่อง ของคำสั่งท่าบุคคลมือเปล่ายังมี ท่าหันอยู่กับที่ (Facing at the halt)
และท่าเคารพ (Hand salute)
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คำสั่งของบุคคลในเครื่องแบบ ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2554
Labels:
ภาษาโลก
Wednesday, January 12, 2011
ส่วนลึกของคนเขมร (นิยมชมชอบคนไทย)
ย้อนหลังกลับไปในอดีต นิสัยคนเขมรมักยอมไทยมาโดยตลอด อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกแย่กว่าทางด้านเศรษฐกิจ บวกกับสถานการณ์ในประเทศของตัวเองในตอนนั้นไม่ค่อยจะเรียบร้อย ทว่าขณะนี้เขมรสงบ ฝ่ายไทยกลับไม่เรียบร้อย ก็อาจจะมีเขมรบางส่วนมองคนไทยในทำนองที่เราเคยมองเขมรในอดีตบ้างเหมือนกันนะ ครับ
แม้ว่าจะระหองระแหงกินแหนงแคลงใจกัน ทว่าในส่วนลึกใต้บึ้งแห่งหัวใจของคนเขมร ก็ยังนิยมชมชอบและรักคนไทยมากกว่าเพื่อนบ้านชาติอื่น อาจจะมาจากเรื่องของความที่ในอดีตเขมรและไทยเคยอยู่ในแผ่นดินเดียวกัน คนเขมรก็เคยอยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร อาศัยพระบารมีแห่งพระมหากษัตริย์ไทยดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มาอย่างยาวนาน
ข่าว คนไทยยิงเขมรตาย ทหารไทยจับคนเขมร ตำรวจไทยไล่จับขอทานเขมร หรือแม้แต่ข่าวที่ "คนไทยหัวใจยังไม่รู้เรื่องศาสนา" ขึ้นเวทีปราศรัยด่าทอล่อเขมรอยู่เป็นเนืองนิตย์นั้น พวกนี้ก็เป็นเพียงข่าวชิ้นเล็กๆ เหมือน "ข่าวสั้นทันโลก" ในหน้า 15 ของ นสพ.ไทยรัฐนี่แหละ
ส่วนที่เป็นข่าวใหญ่ และเป็นข่าวที่อำนวยความยินดีปรีดาให้กับบรรดาเขมรทั้งชาตินั้น เป็นข่าวที่คนไทยกะคนเขมรดีกัน ทำงานด้วยกัน โดยทั่วไปคนเขมรสนใจแม้แต่ว่าคนไทยชอบทานอะไร หรือชอบอาหารรสไหน
นิติ ภูมิเข้าใจความรู้สึกอย่างนี้ได้ดีครับ เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กอยู่ อายุสัก 7-10 ขวบ พอมีข่าวว่าคนกรุงเทพฯมาเยือนในตำบล แม้ว่าจะไกลแค่ไหน ผมกับเพื่อนก็จะชวนกันปั่นจักรยานไปดู อยากรู้ว่า คนกรุงเทพฯแต่งตัวยังไง พูดจาแบบไหน ผิวพรรณเป็นอย่างไร มารถอะไร แต่นิติภูมิก็ไม่กล้าเข้าไปยืนใกล้คนกรุงเทพฯดอกครับ เพราะกลัวพวกเขาหัวเราะเยาะภาษาและกลิ่นกายของผู้คนชนบท เมื่อคนกรุงเทพฯถาม ผมจะรู้สึกว่าชาไปทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า เหมือนว่าจะลอยได้ ผมค่อยๆเขย่งเท้าตอบอย่างสุภาพ เพื่อนคนไหนได้พูดจากับคนกรุงเทพฯ ก็จะกลายเป็นคนเด่นในหมู่เพื่อนไปอีกหลายวัน มีการนำเอามาคุย มาล้อเล่นเลียนเสียงกันอยู่นาน
ผู้อ่านท่านผู้เจริญธรรม หัวใจของคนกัมพูชาส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนิติภูมิเมื่อสมัยก่อนตอนเป็นเด็ก ผู้อ่านท่านจะทราบไหมว่าข่าวใหญ่ที่ยังติดซึ้งตรึงใจคนเขมรอยู่จนทุกวันนี้ นี่ก็คือ ข่าวทหารไทยกะทหารเขมรดื่มเหล้าด้วยกันที่เวียลซ็อมบกขะมม แปลเป็นไทยได้ว่าที่บริเวณทุ่งรังผึ้ง เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2551 แม้ว่าจะผ่านไปได้ 2 ปีกว่า ทว่าก็ยังมีการพูดจาเรื่องนี้กันอยู่
เหล่า นี้คือตัวหัวยักษ์และหัวรอง รวมทั้งเนื้อข่าวบางตอน ในหนังสือพิมพ์เขมร "พวกเขาร้องตะโกนกันทั้งสองฝ่ายว่า สถานที่แห่งนี้จะไม่เป็นที่นองเลือดอีกต่อไปแล้ว" "แม้ว่าระดับบนจะเจรจากันตึงเครียด หรือทุเลาเบาบางกันอย่างไร พวกเขาก็ไม่สนใจ" "ทหารกองกำลังเขมรัฐภูมินทร์นายหนึ่งกล่าวว่า งานเลี้ยงในวันนี้ แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ แต่เราได้สร้างความใกล้ชิดสนิทรักใคร่ซึ่งกันและกันมาก"
สื่อเขมร รายงานว่า "งานเลี้ยงนี้ ไม่มีเครื่องดนตรีก็จริงอยู่ แต่ทหารทั้งสองฝ่ายได้เอากระติกน้ำ กะละมัง กระป๋อง หม้อ ฯลฯ มาทำเป็นเครื่องดนตรี ทหารไทยใจดีไปซื้อเนื้อวัวย่างจิ้มด้วยปลาร้าทรงเครื่อง พร้อมด้วยเครื่องเคียงมาจากตลาดในประเทศของเขา แต่เนื่องจากงานยิ่งสนุกสนานขึ้นเรื่อยๆ และกับแกล้มที่มีอยู่ก็ร่อยหรอลงมาก ทหารไทยจึงขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปหาซื้อกับแกล้มมาเพิ่ม" "งานเลี้ยงดำเนินไปได้ประมาณ 9 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งถึงบ่ายแก่ๆ"
"ทหารไทยกลายเป็นพ่อครัว ทำกับแกล้มมากมายหลายชนิด แต่พวกเขาใส่พริกเยอะมาก" "พวกเรารู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้ใกล้ชิดและมีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อกัน" "ทหารไทยได้บอกกับทหารกัมพูชาว่า เราอย่าคิดแต่เรื่องการปะทะกันอีกต่อไปเลย หากว่าระดับบนสั่งให้พวกเราเผชิญหน้ากันโดยอาวุธ ก็ให้เราร่วมกันทิ้งอาวุธและยึดเอาสันติภาพแทน"
"พวกทหารไทยถือว่าระดับบนของพวกเขาเป็นผู้สร้างปัญหาหลายอย่างทำให้ประเทศไทยต้องมาพบกับวิกฤติในทุกวันนี้"
"เมื่องานเลี้ยงยุติลง ทหารไทยและทหารกัมพูชาแยกย้ายกันกลับฐาน"
"พวกเขาเดินโซซัดโซเซกันทุกคน เพราะเมาเหล้าขาว"
"นิติภูมิ นวรัตน์"
ข่าวที่อำนวยความยินดีปรีดาให้กับบรรดาเขมรทั้งชาตินั้น เป็นข่าวที่คนไทยกะคนเขมรดีกัน ทำงานด้วยกัน โดยทั่วไปคนเขมรสนใจแม้แต่ว่าคนไทยชอบทานอะไร หรือชอบอาหารรสไหน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 7 มกราคม 2554
แม้ว่าจะระหองระแหงกินแหนงแคลงใจกัน ทว่าในส่วนลึกใต้บึ้งแห่งหัวใจของคนเขมร ก็ยังนิยมชมชอบและรักคนไทยมากกว่าเพื่อนบ้านชาติอื่น อาจจะมาจากเรื่องของความที่ในอดีตเขมรและไทยเคยอยู่ในแผ่นดินเดียวกัน คนเขมรก็เคยอยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร อาศัยพระบารมีแห่งพระมหากษัตริย์ไทยดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มาอย่างยาวนาน
ข่าว คนไทยยิงเขมรตาย ทหารไทยจับคนเขมร ตำรวจไทยไล่จับขอทานเขมร หรือแม้แต่ข่าวที่ "คนไทยหัวใจยังไม่รู้เรื่องศาสนา" ขึ้นเวทีปราศรัยด่าทอล่อเขมรอยู่เป็นเนืองนิตย์นั้น พวกนี้ก็เป็นเพียงข่าวชิ้นเล็กๆ เหมือน "ข่าวสั้นทันโลก" ในหน้า 15 ของ นสพ.ไทยรัฐนี่แหละ
ส่วนที่เป็นข่าวใหญ่ และเป็นข่าวที่อำนวยความยินดีปรีดาให้กับบรรดาเขมรทั้งชาตินั้น เป็นข่าวที่คนไทยกะคนเขมรดีกัน ทำงานด้วยกัน โดยทั่วไปคนเขมรสนใจแม้แต่ว่าคนไทยชอบทานอะไร หรือชอบอาหารรสไหน
นิติ ภูมิเข้าใจความรู้สึกอย่างนี้ได้ดีครับ เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กอยู่ อายุสัก 7-10 ขวบ พอมีข่าวว่าคนกรุงเทพฯมาเยือนในตำบล แม้ว่าจะไกลแค่ไหน ผมกับเพื่อนก็จะชวนกันปั่นจักรยานไปดู อยากรู้ว่า คนกรุงเทพฯแต่งตัวยังไง พูดจาแบบไหน ผิวพรรณเป็นอย่างไร มารถอะไร แต่นิติภูมิก็ไม่กล้าเข้าไปยืนใกล้คนกรุงเทพฯดอกครับ เพราะกลัวพวกเขาหัวเราะเยาะภาษาและกลิ่นกายของผู้คนชนบท เมื่อคนกรุงเทพฯถาม ผมจะรู้สึกว่าชาไปทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า เหมือนว่าจะลอยได้ ผมค่อยๆเขย่งเท้าตอบอย่างสุภาพ เพื่อนคนไหนได้พูดจากับคนกรุงเทพฯ ก็จะกลายเป็นคนเด่นในหมู่เพื่อนไปอีกหลายวัน มีการนำเอามาคุย มาล้อเล่นเลียนเสียงกันอยู่นาน
ผู้อ่านท่านผู้เจริญธรรม หัวใจของคนกัมพูชาส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนิติภูมิเมื่อสมัยก่อนตอนเป็นเด็ก ผู้อ่านท่านจะทราบไหมว่าข่าวใหญ่ที่ยังติดซึ้งตรึงใจคนเขมรอยู่จนทุกวันนี้ นี่ก็คือ ข่าวทหารไทยกะทหารเขมรดื่มเหล้าด้วยกันที่เวียลซ็อมบกขะมม แปลเป็นไทยได้ว่าที่บริเวณทุ่งรังผึ้ง เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2551 แม้ว่าจะผ่านไปได้ 2 ปีกว่า ทว่าก็ยังมีการพูดจาเรื่องนี้กันอยู่
เหล่า นี้คือตัวหัวยักษ์และหัวรอง รวมทั้งเนื้อข่าวบางตอน ในหนังสือพิมพ์เขมร "พวกเขาร้องตะโกนกันทั้งสองฝ่ายว่า สถานที่แห่งนี้จะไม่เป็นที่นองเลือดอีกต่อไปแล้ว" "แม้ว่าระดับบนจะเจรจากันตึงเครียด หรือทุเลาเบาบางกันอย่างไร พวกเขาก็ไม่สนใจ" "ทหารกองกำลังเขมรัฐภูมินทร์นายหนึ่งกล่าวว่า งานเลี้ยงในวันนี้ แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ แต่เราได้สร้างความใกล้ชิดสนิทรักใคร่ซึ่งกันและกันมาก"
สื่อเขมร รายงานว่า "งานเลี้ยงนี้ ไม่มีเครื่องดนตรีก็จริงอยู่ แต่ทหารทั้งสองฝ่ายได้เอากระติกน้ำ กะละมัง กระป๋อง หม้อ ฯลฯ มาทำเป็นเครื่องดนตรี ทหารไทยใจดีไปซื้อเนื้อวัวย่างจิ้มด้วยปลาร้าทรงเครื่อง พร้อมด้วยเครื่องเคียงมาจากตลาดในประเทศของเขา แต่เนื่องจากงานยิ่งสนุกสนานขึ้นเรื่อยๆ และกับแกล้มที่มีอยู่ก็ร่อยหรอลงมาก ทหารไทยจึงขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปหาซื้อกับแกล้มมาเพิ่ม" "งานเลี้ยงดำเนินไปได้ประมาณ 9 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งถึงบ่ายแก่ๆ"
"ทหารไทยกลายเป็นพ่อครัว ทำกับแกล้มมากมายหลายชนิด แต่พวกเขาใส่พริกเยอะมาก" "พวกเรารู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้ใกล้ชิดและมีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อกัน" "ทหารไทยได้บอกกับทหารกัมพูชาว่า เราอย่าคิดแต่เรื่องการปะทะกันอีกต่อไปเลย หากว่าระดับบนสั่งให้พวกเราเผชิญหน้ากันโดยอาวุธ ก็ให้เราร่วมกันทิ้งอาวุธและยึดเอาสันติภาพแทน"
"พวกทหารไทยถือว่าระดับบนของพวกเขาเป็นผู้สร้างปัญหาหลายอย่างทำให้ประเทศไทยต้องมาพบกับวิกฤติในทุกวันนี้"
"เมื่องานเลี้ยงยุติลง ทหารไทยและทหารกัมพูชาแยกย้ายกันกลับฐาน"
"พวกเขาเดินโซซัดโซเซกันทุกคน เพราะเมาเหล้าขาว"
"นิติภูมิ นวรัตน์"
ข่าวที่อำนวยความยินดีปรีดาให้กับบรรดาเขมรทั้งชาตินั้น เป็นข่าวที่คนไทยกะคนเขมรดีกัน ทำงานด้วยกัน โดยทั่วไปคนเขมรสนใจแม้แต่ว่าคนไทยชอบทานอะไร หรือชอบอาหารรสไหน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 7 มกราคม 2554
อย่าบิดประวัติศาสตร์เพื่อก่อสงคราม (1) + (2)
อย่าบิดประวัติศาสตร์เพื่อก่อสงคราม (1)
ขณะนี้มีพวก บ้าสงครามบางกลุ่มบางพวกกำลังปั่นกระแสเรื่องเสียดินแดนด้านที่ประชิดติดกับ พระราชอาณาจักรกัมพูชา เดิมนิติภูมิก็เห็นด้วยกับคนกลุ่มนี้ แต่สุภาษิตที่ว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เมื่อวันเวลานาทีหมุนเวียนเปลี่ยนไป ผมก็ค้นพบว่ามีคนมักใหญ่ใฝ่สูงบางกลุ่มสร้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ขึ้นเพื่อ 1. เตะ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นเส้นทางการเมืองในประเทศไทย และ 2. ให้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อำนวยโอกาสให้ตัวเองได้มีวาสนาเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งในชีวิต
เพราะหางของตน และพวกเริ่มแหยงก้นโผล่ออกมาให้ประชาชนเห็นซะก่อน ผู้คนทั้งประเทศจึงสิ้นศรัทธา คราวนี้จึงต้องหาสาเหตุอันชอบธรรมอันใหม่ที่จะนำตนให้ไปสู่ความปรารถนาบ้าบอ คอแตกซีครับ สุดท้ายก็เอาประเทศมาเป็นเครื่องมืออีกครั้ง โดยการปั้นกระแสชาตินิยม โดยหวังว่าผู้คนทั้งประเทศจะเห็นด้วยกับพวกตนเหมือนในอดีต ทว่าไม่มีใครเขาเอาด้วยแล้ว แถมเหตุการณ์ยังกลับตาลปัตร กลับโดนผู้คนก่นด่าทั้งประเทศ เดิมกะว่าจะมีผู้คนสักแสนสองแสนแห่แหนไปเดินขบวนร่วมกันปกป้องประเทศ โธ่เอ๊ย ไอ้ปื๊ด มีมาน้อยกว่าห้าร้อยซะอีก เดินกันหร็อมแหร็มๆ ทุกวันนี้ไม่มีมุกเล่น ไอ้บ้าคณะนี้ก็จึงงัดเอาเรื่องการจะทำสงครามกับกัมพูชาขึ้นมาเสนอ มุกนี้นี่ทำให้เราทราบว่าภายในจิตใจของคนพวกนี้นี่เลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าฮิต เลอร์ซะอีก
ผู้อ่านท่านหนึ่งส่งอีเมล์ที่มีคนอ้างเหตุการณ์สมัยพระ บาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมากระตุ้นเพื่อทำสงครามกะ เขมร โถ ไอ้ปี๊ด โลกเมื่อ 200-300 ปีที่แล้ว เป็นคนละเรื่องกะโลกปัจจุบัน สมัยนี้ เอ็งลองทะลึ่งบุกเข้าไปโดยไม่มีเหตุผลและความชอบธรรมพอเพียงซี โลกเอาเอ็งตายแน่ จะแย่ยิ่งกว่าอิรัก
สำหรับประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น เราเข้าไปซัดเขมรมา 3 ครั้ง
ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2312 เจ้านายเขมรทะเลาะกัน นักองตนไปขอ
กอง ทัพญวนมาตีเขมร นักองนนท์สู้ไม่ได้ก็หนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ณ กรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์กับพระยาอนุชิตราชาไปตีเขมร ตีได้เมืองเสียมราฐและพักรอฤดูฝน พอดีได้ข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปตีเมือง นครศรีธรรมราชแล้วสิ้นพระชนม์ลง จึงได้ยกทัพกลับ การตีเขมรครั้งนั้นไม่สำเร็จ
ครั้งที่ 2 พ.ศ.2314 นักองตนที่ครองเขมรอยู่ได้ข่าวพม่ายกทัพมาตีไทย จึงถือโอกาสมาตีเมืองจันทบุรีและตราด พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาจักรี ไปตีเขมร ทัพไทยตีได้เมืองโพธิสัตว์ เมืองพระตะบอง เมืองบริบูรณ์ เมืองกำพงโสม และเมืองบันทายมาศ นักองตนแพ้ก็หนีไปอยู่กับญวน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองนนท์ไปครองเมืองเขมรสืบไป
ครั้ง ที่ 3 พ.ศ.2323 ฟ้าทะละหะเอาใจออกห่างไทยไปฝักใฝ่ญวน พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ กรมขุนอินทร พิทักษ์ยกทัพไปตีเขมร ตีได้หลายหัวเมืองแล้ว พอจะตีเมืองหลวงก็พอดีเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี จำเป็นต้องยกทัพกลับ
ส่วน ในตอนต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ทรงโปรดรับรองนักองเองอย่างพระราชบุตรบุญธรรม เมื่อนักองเองลาสิกขาแล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ไปปกครองเมืองเขมร ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี อีก 3 ปีต่อมา นักองเองทิวงคต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยากลาโหมเป็นฟ้าทะละหะเป็นผู้สำเร็จราชการ พอฟ้าทะละหะถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองจันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชาไปปกครองเมืองเขมรต่อไป
ประวัติ ศาสตร์ไทยที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับเขมรในรัชสมัยของ 2 รัชกาลของไทยมีเพียงเท่านี้ แต่เดี๋ยวนี้มีการบิดประวัติศาสตร์กันจนเปรอะเยอะแยะ เล่นเอามาบวกกับการเสียดินแดน 14 ครั้ง ตั้งแต่เสียเกาะหมาก ทวาย มะริด ตะนาวศรี บันทายมาศ เปรัค แสนหวี เมืองพง เชียงตุง สิบสองปันนา กัมพูชา สิบสองจุไท ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ฝั่งขวาแม่น้ำโขง มณฑลบูรพา ไทรบุรี ปะลิส กลันตัน ตรังกานู และปราสาทเขาพระวิหาร
นิติ ภูมิเห็นความจำเป็นที่ต้องทยอยเอาประวัติศาสตร์เหล่านี้ มารับใช้กันในเปิดฟ้าส่องโลกเป็นระยะๆ สำหรับราตรีนี้ ขออนุญาตลาไปก่อนครับ.
"นิติภูมิ นวรัตน์"
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 10 มกราคม 2554
กรณีที่ไทยเกี่ยวดองหนองยุ่งกับเขมร ในสมัยรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งในห้วงช่วงนั้น พระเจ้าเวียดนามยาลอง มีไมตรีกับไทยตามปกติ จัดส่งคณะทูตมาถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คนที่กระด้างกระเดื่อง กลับเป็นสมเด็จพระอุทัยราชา เจ้ากรุงเขมร ตอนผลัดแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยคาดว่าพม่าจะมารุกราน จึงมีพระราชสาส์นตราไปถึงสมเด็จพระอุทัยราชาให้เกณฑ์ทัพเขมรเข้ามาช่วย แต่ สมเด็จพระอุทัยราชาทำเฉย
ฝ่ายผู้บริหารกรุงเขมรรายอื่นยังนับถือ ไทยอยู่มาก ไม่ว่าพระมหาอุปราช พระยาจักรี พระยากลาโหม และพระยาสังคโลก จึงกะเกณฑ์ผู้คนจะขึ้นมาช่วยไทย สมเด็จพระอุทัยราชาจึงฆ่าพระยาจักรีและพระยากลาโหม ส่วนพระยาสังคโลกหนีมากรุงเทพฯ
สมเด็จพระอุทัยราชากลัวไทยจะไปปราบ จึงหันไปพึ่งญวน ญวนก็ส่งทหารมาช่วยเขมร แต่พอรู้ความจริงก็ยกทัพกลับ
ทางกรุงเทพฯ ส่งเจ้าพระยายมราชไปไกล่เกลี่ย แต่สมเด็จพระอุทัยราชาไม่ฟัง กลับหนีไปอยู่ไซ่ง่อน เจ้าพระยายมราชจึงเผาเมืองพนมเปญ กะพงหลวง และบัณทายเพชร และเชิญเสด็จพระมหาอุปโยราชมากรุงเทพฯ เมื่อสมเด็จพระอุทัยราชากลับมาครองเมืองพนมเปญอีก ก็คบคิดกะญวนบางพวกกะจะตีเมืองพระตะบองและเสียมราฐ แต่ไทยรู้ตัว จึงตีทัพญวนและเขมรแตกกลับไป
ส่วนประวัติศาสตร์ไทยในส่วนที่เกี่ยว ดองหนองยุ่งกับเขมรในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเคืองญวนที่อุดหนุนเจ้า อนุของลาว ซึ่งเป็นกบฏต่อไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพบก และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) เป็นแม่ทัพเรือ ยกทัพไปตีญวนที่ไซ่ง่อน ต่อสู้กันอยู่นานถึง 14 ปี ไม่มีใครแพ้ชนะกันเด็ดขาด ไทยกับญวนจึงตกลงเลิกรบกัน โดยแบ่งดินแดนเขมรปกครองคนละส่วน
ระหว่าง นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ไว้ใจข้าศึกญวน ซึ่งอาจยกมาโจมตีทางทะเล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างป้อมไพรีพินาศที่หัวแหลมปากน้ำจันทบุรี และป้อมพิฆาตปัจจามิตร ที่ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เป็นด่านป้องกันญวน
ถึง สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เกิดกบฏในเขมร สมเด็จพระเจ้านโรดมหนีมาประทับในกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งทัพไทยไปช่วยปราบจนราบคาบ แล้วจึงเชิญสมเด็จพระเจ้านโรดมกลับไปปกครองเขมรต่อ
พ.ศ.2406 ฝรั่งเศสได้ญวนเป็นเมืองขึ้น แล้วก็มาบังคับให้สมเด็จพระเจ้านโรดมลงนามในสัญญายกเขมรส่วนนอกให้ฝรั่งเศส สมเด็จพระเจ้านโรดมต้องจำใจยอม
พ.ศ.2410 ฝรั่งเศสบังคับไทยให้ลงนามยอมรับรองว่าเขมรเป็นของฝรั่งเศส เราจึงเสียดินแดนเขมรส่วนนอกให้แก่ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่เขมรส่วนในยังเป็นของไทยอยู่ คำว่าเขมรส่วนในก็คือ เมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ
แม้ว่าไทยจะส่งคณะทูตไปเจริญไมตรีกับอังกฤษ และฝรั่งเศส ถึงขนาดเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษ และพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส แต่ก็ช่วยเรื่องเสียดินแดนไม่ได้
รัช สมัยแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ.2431 ไทยยกทัพไปปราบฮ่อที่เมืองหลวงพระบาง นาย ม.ปาวี กงสุลฝรั่งเศสประจำหลวงพระบาง อ้างว่าได้รับความเสียหาย ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพเรือมายึดดินแดนสิบสองจุไทไว้เป็นประเทศของฝรั่งเศส
พ.ศ.2436 นาย ม.ปาวีได้เลื่อนเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงเทพฯ มาถึงก็อ้างว่า ญวนเป็นของฝรั่งเศสแล้ว ดังนั้น ดินแดนทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง รวมทั้งเกาะแก่งในลำน้ำโขงที่เคยเป็นของญวน จะต้องเป็นของฝรั่งเศสด้วย ไม่เพียงแต่ประกาศเฉยๆ ไอ้บ้านี่ยังให้ส่งเรือรบแองกองสตังค์และโกเมตเข้ามาขู่ด้วย เรือฝรั่งเศสแล่นมาปากน้ำเจ้าพระยา ก็เป็นธรรมดาที่เราจะต้องป้องกันตัว เมื่อปะทะกัน เรือนำล่องของฝรั่งเศสเสียหาย ไอ้ฝรั่งเศสจึงเรียกร้องค่าเสียหาย บังคับให้ไทยยกดินแดนที่ผมพูดถึงข้างบนทั้งหมดให้ฝรั่งเศส แถมยังปรับเงินอีกสามล้านบาท เท่านั้นยังไม่พอ ยังเข้ายึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน
เดี๋ยวนี้มีพวกตัดต่อเอา ประวัติตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย ตัดต่อเอาเฉพาะในส่วนที่ตนเองได้ประโยชน์ แต่ไม่เคยพูดถึงประวัติที่ไทยเกี่ยวดองหนองยุ่งกับเขมรทั้งหมด
แม้ว่าหน้ากระดาษจะมีน้อย แต่นิติภูมิก็จะพยายามเล่าเรื่องย่ออย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่องมากที่สุด พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับ คืนนี้นิทราราตรีสวัสดิ์ครับ.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 11 มกราคม 2554
ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ท่านสงสัยย่อหน้าเปิดฟ้าส่องโลกฉบับวันจันทร์ "พ.ศ.2312 เจ้านายเขมรทะเลาะกัน นักองตนไปขอกองทัพญวนมาตีเขมร นักองนนท์สู้ไม่ได้ก็หนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ณ กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาอภัยรณฤทธิ์กับพระยา อนุชิตราชาไปตีเขมร ตีได้เมืองเสียมราฐ และพักรอฤดูฝน พอดีได้ข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว สิ้นพระชนม์ลง จึงได้ยกทัพกลับ การตีเขมรครั้งนั้นไม่สำเร็จ"
พ.ศ.2312 เป็นต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสิ้นพระชนม์เป็นเพียง ข่าวลือ ข่าวนี้ทำให้พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชายกทัพกลับกรุงธนบุรี สำหรับพระยาอภัยรณฤทธิ์ก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั่นเอง
เมื่อพระชนมายุ 22 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชดำรงตำแหน่งมหาดเล็กในรัชกาลเจ้าฟ้า อุทุมพร กรมขุนพินิต พระชนมายุ 25 พรรษา พระองค์ดำรงตำแหน่งหลวงยกกระบัตรประจำเมืองราชบุรีในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่ง สุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ)
กรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ.2310 พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จไปรวบรวมพลผู้คนจากเมืองจันทบุรีให้มา ช่วยกันตีพม่า และนำประเทศไทยกลับคืนมามอบให้คนไทยได้เป็นที่เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงกลับมาเข้ารับราชการในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระชนมายุ 32 พรรษา พระองค์ดำรงตำแหน่งพระราชวรินทร์ 33 พรรษา ดำรงตำแหน่งพระยาอภัยรณฤทธิ์ 34 พรรษา ดำรงตำแหน่งพระยายมราช 35 พรรษา ดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาจักรี 41 พรรษา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเมื่อพระชนมายุ 46 พรรษา พระองค์เสด็จขึ้นยังพระราชมณเฑียรสถาน ทำการพระราชพิธีปราบดาภิเษก เสวยไอศวยยาธิปัตย์ถวัลราชย์ดำรงแผ่นดินสยาม เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราช ราชอาณาจักรไทยของเรายิ่งใหญ่มาก จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ฝรั่งเศสเข้ามายึดเมืองจันทบุรี ซึ่งมีเนื้อที่ 6,338 ตร.กม. ก็ประมาณเกือบจะ 4 ล้านไร่ โดยสั่งให้รัฐบาลไทยเอาดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง + เงินค่าปรับ 3 ล้านบาทมาแลกเมืองจันทบุรีคืน
รัฐบาลไทยให้ดินแดนและสตางค์ไปครบแล้ว ฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมออกไป ไทยต้องให้ดินแดนตรงข้ามปากเซและดินแดนตรงข้ามหลวงพระบางไปทั้งหมดอีก ฝรั่งเศสก็จึงยอมออกจากเมืองจันทบุรี
แต่นิสัยหมาป่า ก็ออกไปไหนไม่ไกลหรอกดอกครับ ยกกำลังไปอยู่ที่เมืองตราด ซึ่งมีพรมแดนประชิดติดกับเมืองจันทบุรีนั่นแหละ
สำหรับ ผม ในโลกนี้ไม่มีใครเล่าเรื่องในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามากระทำย่ำยียึดเมืองตราด และจันทบุรีได้ดีเท่ากับนางชุน ชัชวาล คุณยายแท้ๆ ของนิติภูมิ ซึ่งสมัยนั้น คุณพ่อของท่านรับราชการอยู่อำเภอเมืองตราด นิติภูมิอินกับความเลวของพวกฝรั่งมังค่า เพราะตั้งแต่เด็กจนโต เพราะผมนอนฟังบรรพบุรุษเล่าเรื่องฝรั่งมังค่าเข้ามาปกครองเมืองตราดและเมือง จันทบุรีบ่อยมาก ฟังจนสามารถจำได้ทุกรายละเอียด
พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชทรงเลิกระบบเมืองเอก โท ตรี และจัตวา และแบ่งเขตการปกครองเป็นมณฑล (มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบ) เมือง (ผู้ว่าราชการเมือง) อำเภอ (นายอำเภอ) ตำบล (กำนัน) หมู่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) มณฑลของไทยสมัยนั้นก็เช่น มณฑลบูรพา (เมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ) มณฑลไทรบุรี (เมืองไทรบุรี ปะลิศ สตูล) มณฑลจันทบุรี (เมืองจันทบุรี ระยอง ขลุง ตราด) ฯลฯ
พระพุทธเจ้าหลวงทรงยกมณฑลบูรพา ซึ่งมีพื้นที่ 51,000 ตร.กม. ให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกเมืองตราดซึ่งมีพื้นที่ 2,819 ตร.กม.คืนมา พื้นที่ชายแดนที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ก็เกิดจากการยกให้ในครั้งนี้นั่นแหละ ครับ โดยฝ่ายไทยได้นำธงไทยจากมณฑลบูรพากลับเข้ามาในเขตแดนไทยเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2449
สมัยฝรั่งเศสปกครองเมืองจันทบุรีและเมืองตราด คนไทยต้องเรียกข้าหลวงกำกับราชการชาวฝรั่งเศสว่าเรสิดังต์ ทหารของฝรั่งที่เมืองตราดมี 2 กองร้อย กองร้อยที่ 1 เป็นทหารเขมร กองร้อยที่ 2 เป็นทหารญวน ผู้บังคับบัญชาทหารเป็นชั้นสัญญาบัตรชาวฝรั่งเศส เจ้าพนักงานด่านภาษี นายแพทย์ พนักงานคลัง ฯลฯ อะไรพวกนี้เป็นคนฝรั่งเศส ส่วนเจ้าเมือง ปลัด และพวกที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากร ค่านา สมพัตสร รัชชูปการ เปรียบเทียบคดีความของพลเมืองนั้นเป็นคนเขมร รักษาราษฎร หรือหัวหน้าตำรวจเป็นคนเขมร ฯลฯ
หลังจากที่ได้กลับมาอยู่ร่วมผืนแผ่น ดินไทยแล้ว ล่วงถึง พ.ศ.2459 จันทบุรีก็มีผู้ว่าราชการเมืองชื่อ หม่อมเจ้านพมาศ นวรัตน ประวัติศาสตร์ของไทย/เขมร ในห้วงช่วงระหว่างที่มีเรื่องวุ่นๆนี้ มีเรื่องราวลึกซึ้งพิสดารของแท้อีกเยอะ คนที่รู้ไม่จริงก็จะออกมาโพนทะนาสาธยาย ส่วนไอ้คนรู้ผู้มีหลักฐานอยู่ในมือต่างเก็บตัวเงียบ เพราะพูดไปหลายเรื่องเราเสียเปรียบ
ไอ้คนไม่รู้หลายคนก็พยายามทำตัวเป็น "ฮีโร่"
แต่บางท่านมองว่า ไอ้พวกบ้านี่เป็น "ไอ้โง่" มากกว่าครับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 12 มกราคม 2554
ขณะนี้มีพวก บ้าสงครามบางกลุ่มบางพวกกำลังปั่นกระแสเรื่องเสียดินแดนด้านที่ประชิดติดกับ พระราชอาณาจักรกัมพูชา เดิมนิติภูมิก็เห็นด้วยกับคนกลุ่มนี้ แต่สุภาษิตที่ว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เมื่อวันเวลานาทีหมุนเวียนเปลี่ยนไป ผมก็ค้นพบว่ามีคนมักใหญ่ใฝ่สูงบางกลุ่มสร้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ขึ้นเพื่อ 1. เตะ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นเส้นทางการเมืองในประเทศไทย และ 2. ให้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อำนวยโอกาสให้ตัวเองได้มีวาสนาเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งในชีวิต
เพราะหางของตน และพวกเริ่มแหยงก้นโผล่ออกมาให้ประชาชนเห็นซะก่อน ผู้คนทั้งประเทศจึงสิ้นศรัทธา คราวนี้จึงต้องหาสาเหตุอันชอบธรรมอันใหม่ที่จะนำตนให้ไปสู่ความปรารถนาบ้าบอ คอแตกซีครับ สุดท้ายก็เอาประเทศมาเป็นเครื่องมืออีกครั้ง โดยการปั้นกระแสชาตินิยม โดยหวังว่าผู้คนทั้งประเทศจะเห็นด้วยกับพวกตนเหมือนในอดีต ทว่าไม่มีใครเขาเอาด้วยแล้ว แถมเหตุการณ์ยังกลับตาลปัตร กลับโดนผู้คนก่นด่าทั้งประเทศ เดิมกะว่าจะมีผู้คนสักแสนสองแสนแห่แหนไปเดินขบวนร่วมกันปกป้องประเทศ โธ่เอ๊ย ไอ้ปื๊ด มีมาน้อยกว่าห้าร้อยซะอีก เดินกันหร็อมแหร็มๆ ทุกวันนี้ไม่มีมุกเล่น ไอ้บ้าคณะนี้ก็จึงงัดเอาเรื่องการจะทำสงครามกับกัมพูชาขึ้นมาเสนอ มุกนี้นี่ทำให้เราทราบว่าภายในจิตใจของคนพวกนี้นี่เลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าฮิต เลอร์ซะอีก
ผู้อ่านท่านหนึ่งส่งอีเมล์ที่มีคนอ้างเหตุการณ์สมัยพระ บาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมากระตุ้นเพื่อทำสงครามกะ เขมร โถ ไอ้ปี๊ด โลกเมื่อ 200-300 ปีที่แล้ว เป็นคนละเรื่องกะโลกปัจจุบัน สมัยนี้ เอ็งลองทะลึ่งบุกเข้าไปโดยไม่มีเหตุผลและความชอบธรรมพอเพียงซี โลกเอาเอ็งตายแน่ จะแย่ยิ่งกว่าอิรัก
สำหรับประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น เราเข้าไปซัดเขมรมา 3 ครั้ง
ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2312 เจ้านายเขมรทะเลาะกัน นักองตนไปขอ
กอง ทัพญวนมาตีเขมร นักองนนท์สู้ไม่ได้ก็หนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ณ กรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์กับพระยาอนุชิตราชาไปตีเขมร ตีได้เมืองเสียมราฐและพักรอฤดูฝน พอดีได้ข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปตีเมือง นครศรีธรรมราชแล้วสิ้นพระชนม์ลง จึงได้ยกทัพกลับ การตีเขมรครั้งนั้นไม่สำเร็จ
ครั้งที่ 2 พ.ศ.2314 นักองตนที่ครองเขมรอยู่ได้ข่าวพม่ายกทัพมาตีไทย จึงถือโอกาสมาตีเมืองจันทบุรีและตราด พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาจักรี ไปตีเขมร ทัพไทยตีได้เมืองโพธิสัตว์ เมืองพระตะบอง เมืองบริบูรณ์ เมืองกำพงโสม และเมืองบันทายมาศ นักองตนแพ้ก็หนีไปอยู่กับญวน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองนนท์ไปครองเมืองเขมรสืบไป
ครั้ง ที่ 3 พ.ศ.2323 ฟ้าทะละหะเอาใจออกห่างไทยไปฝักใฝ่ญวน พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ กรมขุนอินทร พิทักษ์ยกทัพไปตีเขมร ตีได้หลายหัวเมืองแล้ว พอจะตีเมืองหลวงก็พอดีเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี จำเป็นต้องยกทัพกลับ
ส่วน ในตอนต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ทรงโปรดรับรองนักองเองอย่างพระราชบุตรบุญธรรม เมื่อนักองเองลาสิกขาแล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ไปปกครองเมืองเขมร ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี อีก 3 ปีต่อมา นักองเองทิวงคต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยากลาโหมเป็นฟ้าทะละหะเป็นผู้สำเร็จราชการ พอฟ้าทะละหะถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองจันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชาไปปกครองเมืองเขมรต่อไป
ประวัติ ศาสตร์ไทยที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับเขมรในรัชสมัยของ 2 รัชกาลของไทยมีเพียงเท่านี้ แต่เดี๋ยวนี้มีการบิดประวัติศาสตร์กันจนเปรอะเยอะแยะ เล่นเอามาบวกกับการเสียดินแดน 14 ครั้ง ตั้งแต่เสียเกาะหมาก ทวาย มะริด ตะนาวศรี บันทายมาศ เปรัค แสนหวี เมืองพง เชียงตุง สิบสองปันนา กัมพูชา สิบสองจุไท ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ฝั่งขวาแม่น้ำโขง มณฑลบูรพา ไทรบุรี ปะลิส กลันตัน ตรังกานู และปราสาทเขาพระวิหาร
นิติ ภูมิเห็นความจำเป็นที่ต้องทยอยเอาประวัติศาสตร์เหล่านี้ มารับใช้กันในเปิดฟ้าส่องโลกเป็นระยะๆ สำหรับราตรีนี้ ขออนุญาตลาไปก่อนครับ.
"นิติภูมิ นวรัตน์"
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 10 มกราคม 2554
อย่าบิดประวัติศาสตร์เพื่อก่อสงคราม (2)
ตอนนี้มีความจำเป็นที่ต้องนำประวัติศาสตร์ของชาติบางตอนมาเผยแพร่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกกลุ่มการเมืองก็จะบิดประวัติศาสตร์ตรงนั้นนิด ตรงโน้นหน่อย เพื่อใช้สร้างกระแสชาตินิยมให้กลุ่มตัวเองกลับมาป่วนบ้านเมืองได้อีก ซึ่งตอนนี้ เราก็สามารถหาอ่านประวัติศาสตร์ฉบับบิดเบือนได้ในสื่อออนไลน์ต่างๆกรณีที่ไทยเกี่ยวดองหนองยุ่งกับเขมร ในสมัยรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งในห้วงช่วงนั้น พระเจ้าเวียดนามยาลอง มีไมตรีกับไทยตามปกติ จัดส่งคณะทูตมาถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คนที่กระด้างกระเดื่อง กลับเป็นสมเด็จพระอุทัยราชา เจ้ากรุงเขมร ตอนผลัดแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยคาดว่าพม่าจะมารุกราน จึงมีพระราชสาส์นตราไปถึงสมเด็จพระอุทัยราชาให้เกณฑ์ทัพเขมรเข้ามาช่วย แต่ สมเด็จพระอุทัยราชาทำเฉย
ฝ่ายผู้บริหารกรุงเขมรรายอื่นยังนับถือ ไทยอยู่มาก ไม่ว่าพระมหาอุปราช พระยาจักรี พระยากลาโหม และพระยาสังคโลก จึงกะเกณฑ์ผู้คนจะขึ้นมาช่วยไทย สมเด็จพระอุทัยราชาจึงฆ่าพระยาจักรีและพระยากลาโหม ส่วนพระยาสังคโลกหนีมากรุงเทพฯ
สมเด็จพระอุทัยราชากลัวไทยจะไปปราบ จึงหันไปพึ่งญวน ญวนก็ส่งทหารมาช่วยเขมร แต่พอรู้ความจริงก็ยกทัพกลับ
ทางกรุงเทพฯ ส่งเจ้าพระยายมราชไปไกล่เกลี่ย แต่สมเด็จพระอุทัยราชาไม่ฟัง กลับหนีไปอยู่ไซ่ง่อน เจ้าพระยายมราชจึงเผาเมืองพนมเปญ กะพงหลวง และบัณทายเพชร และเชิญเสด็จพระมหาอุปโยราชมากรุงเทพฯ เมื่อสมเด็จพระอุทัยราชากลับมาครองเมืองพนมเปญอีก ก็คบคิดกะญวนบางพวกกะจะตีเมืองพระตะบองและเสียมราฐ แต่ไทยรู้ตัว จึงตีทัพญวนและเขมรแตกกลับไป
ส่วนประวัติศาสตร์ไทยในส่วนที่เกี่ยว ดองหนองยุ่งกับเขมรในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเคืองญวนที่อุดหนุนเจ้า อนุของลาว ซึ่งเป็นกบฏต่อไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพบก และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) เป็นแม่ทัพเรือ ยกทัพไปตีญวนที่ไซ่ง่อน ต่อสู้กันอยู่นานถึง 14 ปี ไม่มีใครแพ้ชนะกันเด็ดขาด ไทยกับญวนจึงตกลงเลิกรบกัน โดยแบ่งดินแดนเขมรปกครองคนละส่วน
ระหว่าง นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ไว้ใจข้าศึกญวน ซึ่งอาจยกมาโจมตีทางทะเล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างป้อมไพรีพินาศที่หัวแหลมปากน้ำจันทบุรี และป้อมพิฆาตปัจจามิตร ที่ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เป็นด่านป้องกันญวน
ถึง สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เกิดกบฏในเขมร สมเด็จพระเจ้านโรดมหนีมาประทับในกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งทัพไทยไปช่วยปราบจนราบคาบ แล้วจึงเชิญสมเด็จพระเจ้านโรดมกลับไปปกครองเขมรต่อ
พ.ศ.2406 ฝรั่งเศสได้ญวนเป็นเมืองขึ้น แล้วก็มาบังคับให้สมเด็จพระเจ้านโรดมลงนามในสัญญายกเขมรส่วนนอกให้ฝรั่งเศส สมเด็จพระเจ้านโรดมต้องจำใจยอม
พ.ศ.2410 ฝรั่งเศสบังคับไทยให้ลงนามยอมรับรองว่าเขมรเป็นของฝรั่งเศส เราจึงเสียดินแดนเขมรส่วนนอกให้แก่ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่เขมรส่วนในยังเป็นของไทยอยู่ คำว่าเขมรส่วนในก็คือ เมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ
แม้ว่าไทยจะส่งคณะทูตไปเจริญไมตรีกับอังกฤษ และฝรั่งเศส ถึงขนาดเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษ และพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส แต่ก็ช่วยเรื่องเสียดินแดนไม่ได้
รัช สมัยแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ.2431 ไทยยกทัพไปปราบฮ่อที่เมืองหลวงพระบาง นาย ม.ปาวี กงสุลฝรั่งเศสประจำหลวงพระบาง อ้างว่าได้รับความเสียหาย ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพเรือมายึดดินแดนสิบสองจุไทไว้เป็นประเทศของฝรั่งเศส
พ.ศ.2436 นาย ม.ปาวีได้เลื่อนเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงเทพฯ มาถึงก็อ้างว่า ญวนเป็นของฝรั่งเศสแล้ว ดังนั้น ดินแดนทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง รวมทั้งเกาะแก่งในลำน้ำโขงที่เคยเป็นของญวน จะต้องเป็นของฝรั่งเศสด้วย ไม่เพียงแต่ประกาศเฉยๆ ไอ้บ้านี่ยังให้ส่งเรือรบแองกองสตังค์และโกเมตเข้ามาขู่ด้วย เรือฝรั่งเศสแล่นมาปากน้ำเจ้าพระยา ก็เป็นธรรมดาที่เราจะต้องป้องกันตัว เมื่อปะทะกัน เรือนำล่องของฝรั่งเศสเสียหาย ไอ้ฝรั่งเศสจึงเรียกร้องค่าเสียหาย บังคับให้ไทยยกดินแดนที่ผมพูดถึงข้างบนทั้งหมดให้ฝรั่งเศส แถมยังปรับเงินอีกสามล้านบาท เท่านั้นยังไม่พอ ยังเข้ายึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน
เดี๋ยวนี้มีพวกตัดต่อเอา ประวัติตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย ตัดต่อเอาเฉพาะในส่วนที่ตนเองได้ประโยชน์ แต่ไม่เคยพูดถึงประวัติที่ไทยเกี่ยวดองหนองยุ่งกับเขมรทั้งหมด
แม้ว่าหน้ากระดาษจะมีน้อย แต่นิติภูมิก็จะพยายามเล่าเรื่องย่ออย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่องมากที่สุด พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับ คืนนี้นิทราราตรีสวัสดิ์ครับ.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 11 มกราคม 2554
จาก "ฮีโร่" กลายเป็น "ไอ้โง่"
ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ท่านสงสัยย่อหน้าเปิดฟ้าส่องโลกฉบับวันจันทร์ "พ.ศ.2312 เจ้านายเขมรทะเลาะกัน นักองตนไปขอกองทัพญวนมาตีเขมร นักองนนท์สู้ไม่ได้ก็หนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ณ กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาอภัยรณฤทธิ์กับพระยา อนุชิตราชาไปตีเขมร ตีได้เมืองเสียมราฐ และพักรอฤดูฝน พอดีได้ข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว สิ้นพระชนม์ลง จึงได้ยกทัพกลับ การตีเขมรครั้งนั้นไม่สำเร็จ"
พ.ศ.2312 เป็นต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสิ้นพระชนม์เป็นเพียง ข่าวลือ ข่าวนี้ทำให้พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชายกทัพกลับกรุงธนบุรี สำหรับพระยาอภัยรณฤทธิ์ก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั่นเอง
เมื่อพระชนมายุ 22 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชดำรงตำแหน่งมหาดเล็กในรัชกาลเจ้าฟ้า อุทุมพร กรมขุนพินิต พระชนมายุ 25 พรรษา พระองค์ดำรงตำแหน่งหลวงยกกระบัตรประจำเมืองราชบุรีในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่ง สุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ)
กรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ.2310 พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จไปรวบรวมพลผู้คนจากเมืองจันทบุรีให้มา ช่วยกันตีพม่า และนำประเทศไทยกลับคืนมามอบให้คนไทยได้เป็นที่เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงกลับมาเข้ารับราชการในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระชนมายุ 32 พรรษา พระองค์ดำรงตำแหน่งพระราชวรินทร์ 33 พรรษา ดำรงตำแหน่งพระยาอภัยรณฤทธิ์ 34 พรรษา ดำรงตำแหน่งพระยายมราช 35 พรรษา ดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาจักรี 41 พรรษา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเมื่อพระชนมายุ 46 พรรษา พระองค์เสด็จขึ้นยังพระราชมณเฑียรสถาน ทำการพระราชพิธีปราบดาภิเษก เสวยไอศวยยาธิปัตย์ถวัลราชย์ดำรงแผ่นดินสยาม เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราช ราชอาณาจักรไทยของเรายิ่งใหญ่มาก จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ฝรั่งเศสเข้ามายึดเมืองจันทบุรี ซึ่งมีเนื้อที่ 6,338 ตร.กม. ก็ประมาณเกือบจะ 4 ล้านไร่ โดยสั่งให้รัฐบาลไทยเอาดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง + เงินค่าปรับ 3 ล้านบาทมาแลกเมืองจันทบุรีคืน
รัฐบาลไทยให้ดินแดนและสตางค์ไปครบแล้ว ฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมออกไป ไทยต้องให้ดินแดนตรงข้ามปากเซและดินแดนตรงข้ามหลวงพระบางไปทั้งหมดอีก ฝรั่งเศสก็จึงยอมออกจากเมืองจันทบุรี
แต่นิสัยหมาป่า ก็ออกไปไหนไม่ไกลหรอกดอกครับ ยกกำลังไปอยู่ที่เมืองตราด ซึ่งมีพรมแดนประชิดติดกับเมืองจันทบุรีนั่นแหละ
สำหรับ ผม ในโลกนี้ไม่มีใครเล่าเรื่องในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามากระทำย่ำยียึดเมืองตราด และจันทบุรีได้ดีเท่ากับนางชุน ชัชวาล คุณยายแท้ๆ ของนิติภูมิ ซึ่งสมัยนั้น คุณพ่อของท่านรับราชการอยู่อำเภอเมืองตราด นิติภูมิอินกับความเลวของพวกฝรั่งมังค่า เพราะตั้งแต่เด็กจนโต เพราะผมนอนฟังบรรพบุรุษเล่าเรื่องฝรั่งมังค่าเข้ามาปกครองเมืองตราดและเมือง จันทบุรีบ่อยมาก ฟังจนสามารถจำได้ทุกรายละเอียด
พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชทรงเลิกระบบเมืองเอก โท ตรี และจัตวา และแบ่งเขตการปกครองเป็นมณฑล (มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบ) เมือง (ผู้ว่าราชการเมือง) อำเภอ (นายอำเภอ) ตำบล (กำนัน) หมู่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) มณฑลของไทยสมัยนั้นก็เช่น มณฑลบูรพา (เมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ) มณฑลไทรบุรี (เมืองไทรบุรี ปะลิศ สตูล) มณฑลจันทบุรี (เมืองจันทบุรี ระยอง ขลุง ตราด) ฯลฯ
พระพุทธเจ้าหลวงทรงยกมณฑลบูรพา ซึ่งมีพื้นที่ 51,000 ตร.กม. ให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกเมืองตราดซึ่งมีพื้นที่ 2,819 ตร.กม.คืนมา พื้นที่ชายแดนที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ก็เกิดจากการยกให้ในครั้งนี้นั่นแหละ ครับ โดยฝ่ายไทยได้นำธงไทยจากมณฑลบูรพากลับเข้ามาในเขตแดนไทยเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2449
สมัยฝรั่งเศสปกครองเมืองจันทบุรีและเมืองตราด คนไทยต้องเรียกข้าหลวงกำกับราชการชาวฝรั่งเศสว่าเรสิดังต์ ทหารของฝรั่งที่เมืองตราดมี 2 กองร้อย กองร้อยที่ 1 เป็นทหารเขมร กองร้อยที่ 2 เป็นทหารญวน ผู้บังคับบัญชาทหารเป็นชั้นสัญญาบัตรชาวฝรั่งเศส เจ้าพนักงานด่านภาษี นายแพทย์ พนักงานคลัง ฯลฯ อะไรพวกนี้เป็นคนฝรั่งเศส ส่วนเจ้าเมือง ปลัด และพวกที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากร ค่านา สมพัตสร รัชชูปการ เปรียบเทียบคดีความของพลเมืองนั้นเป็นคนเขมร รักษาราษฎร หรือหัวหน้าตำรวจเป็นคนเขมร ฯลฯ
หลังจากที่ได้กลับมาอยู่ร่วมผืนแผ่น ดินไทยแล้ว ล่วงถึง พ.ศ.2459 จันทบุรีก็มีผู้ว่าราชการเมืองชื่อ หม่อมเจ้านพมาศ นวรัตน ประวัติศาสตร์ของไทย/เขมร ในห้วงช่วงระหว่างที่มีเรื่องวุ่นๆนี้ มีเรื่องราวลึกซึ้งพิสดารของแท้อีกเยอะ คนที่รู้ไม่จริงก็จะออกมาโพนทะนาสาธยาย ส่วนไอ้คนรู้ผู้มีหลักฐานอยู่ในมือต่างเก็บตัวเงียบ เพราะพูดไปหลายเรื่องเราเสียเปรียบ
ไอ้คนไม่รู้หลายคนก็พยายามทำตัวเป็น "ฮีโร่"
แต่บางท่านมองว่า ไอ้พวกบ้านี่เป็น "ไอ้โง่" มากกว่าครับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 12 มกราคม 2554
Tuesday, January 11, 2011
อัศจรรย์งีบกลางวัน กัน“สมองแก่”
'มุมสุขภาพ' วันนี้เตรียมเรื่องราวของการนอนกลางวันหลังกินข้าวแล้ว หนังท้องตึง หนังตาหย่อน เห็นควรให้งีบหลับก่อนเริ่มงานภาคบ่าย...เอ๊ะ! อย่างนี้จะเหมาะหรือ เจ้านายเล่นงานเอาได้นะ แต่เรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ American Board of Anti-aging medicine เตรียมเหตุผลสำคัญมาให้ชี้แจงกับเจ้านาย....
@@@@
ชีวิตที่ว่าแสนสั้นอยู่แล้วนี้เราใช้ไปกับการนอนถึงหนึ่งในสามหรือราว 25 ปี เรียกว่านอนกันจนเป็นมืออาชีพ ยิ่งถ้าเป็นนักงีบระดับแกรนด์แสลมก็ยิ่งแจ่ม มีความสามารถเก็บเล็กผสมน้อยค่อยเก็บสแปร์ไปจนได้มากชั่วโมง(งีบ)กว่าเพื่อน ร่วมงาน นับว่าเป็นการทำ CSR(Corporate self responsibility) ให้กับชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งนายคงไม่ปลื้มนัก!
แต่กระนั้นการนอนกลางวันก็ยังเป็นของรักสำหรับหลายท่านเพราะงีบบ่ายๆนั้นแสน สบาย บรรยากาศเป็นใจ คลายเครียดคลายทุกข์ได้ รู้สึกสุขเหมือนเมื่อเด็กๆ ปราศจากพันธะผูกพัน
แต่ว่าไปก็มีเรื่องน่าคิดที่ช่วยยืนยันคำแก้ตัว เอ๊ย...ความคิดของผมอยู่มากนะครับ สำหรับบุคคลที่ได้ผลดีจากการนอนก็มีอาทิ พระอานนท์พุทธอนุชาผู้บรรลุอรหัตผลในพระอิริยาบถกึ่งนั่งกึ่งนอน, สมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯที่ทรงได้เพลงบุหลันลอยเลื่อนมาขณะทรงพระสุบิน, ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร ที่ได้ “น้ำตาแสงใต้” ออกมาขณะหลับ หรือจะนายนักเคมีชาวเยอรมันที่ไปฝันเห็นงูกินหางตัวเองเข้าแล้วเอามาตีโจทย์ เป็นสูตรโครงสร้างเคมีที่ไม่คาดคิดได้ เสียดายเยอรมันไม่มีหวยแบบไทย
มีเหตุให้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์แห่งสหรัฐอเมริกาได้หาทาง “ถอดรหัส” อัจฉริยะนี้ออกมาว่าก้อนสมองนี้แอบซ่อนพลังที่คาดไม่ถึงอะไรไว้อีกบ้าง โดยจำกัดวงให้แคบลงมาที่เรื่องที่ผมถนัดนั่นเอง คือเรื่อง “งีบ” ครับ
หลับกลางวันที่มากกว่า “ฝันหวาน”
นักวิจัยชั้นนำของโลกเอามาเป็นประเด็นไขสมองนะครับ เพราะสำหรับผมการงีบกลางวันก็เหมือนกับการทำตามใจตัวหลังกินข้าวอิ่ม ธรรมชาติก็ร้องให้ไขม่านปิด หนังตาหนักแล้วก็หาที่พักให้สบาย ยิ่งได้มุมเสายิ่งดี ใช้สิงสู่ได้ นายไม่เห็น
บำเพ็ญตนเป็นผีเฝ้าเสาอยู่นานพอดูสมัยอยู่ในออฟฟิศ ทำตัวกินอิ่มนอนหลับอย่างนี้ในขณะที่พอจะมีเวลาน่ะครับ ไม่อย่างนั้นจะรู้ตัวดีว่าจะเริ่มอาการ “งอแง” เริ่มตั้งแต่ มึนหัวตึ้บ รู้สึกลอยๆ หัวตื้อไปจนรู้สึกหงุดหงิดจิตเหวี่ยง เสี่ยงกับการถูกนอยด์กลับอยู่เหมือนกันซึ่งมันจะไม่ค่อยรู้ตัวเลยเวลาง่วง จัด แต่ถ้าลงได้หลับล่ะก็เป็นคนละคนทีเดียว กลายเป็นเด็กตาใส
ใครใช้อะไรก็จ๊ะจ๋าไม่อิดออดเพราะได้นอนพอ แต่ถ้านอนไม่อิ่มนี่จะคนละเรื่องทีเดียวครับ สำหรับพิษจากการอดนอนนอกจากอิดโรยแล้วก็จะทำให้การทำงานไร้ประสิทธิภาพ แถมเจ้าตัวมีสภาพไม่ต่างจากผีดิบ ตาเบิกโพลง แต่สมองโล่งโบ๋
ทีมนักวิจัยจากเบิร์กลีย์จึงได้ร่วมมือกับนักวิจัยฝั่งอังกฤษในการไขปัญหา นิทราระหว่างวันว่ามันมีดีอย่างไรที่ช่วยคนได้ ก็ได้ความดังต่อไปนี้....
1)ช่วยจัดระเบียบความจำ ย้ำให้แน่นขึ้น
2)ทำให้จำต่อเนื่อง เป็นเรื่องตกผลึกได้
@@@@
ประโยชน์ของการนอนยังมีมากที่ควรรู้ แต่บอกวันนี้ไม่เหมาะ เพราะอ่านเยอะไปพาลหนังตาหนัก รบกวนผู้อ่านรักษ์สุขภาพตาม
takecareDD@gmail.com
ที่มา: อัศจรรย์งีบกลางวัน กัน“สมองแก่” เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2554
@@@@
ชีวิตที่ว่าแสนสั้นอยู่แล้วนี้เราใช้ไปกับการนอนถึงหนึ่งในสามหรือราว 25 ปี เรียกว่านอนกันจนเป็นมืออาชีพ ยิ่งถ้าเป็นนักงีบระดับแกรนด์แสลมก็ยิ่งแจ่ม มีความสามารถเก็บเล็กผสมน้อยค่อยเก็บสแปร์ไปจนได้มากชั่วโมง(งีบ)กว่าเพื่อน ร่วมงาน นับว่าเป็นการทำ CSR(Corporate self responsibility) ให้กับชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งนายคงไม่ปลื้มนัก!
แต่กระนั้นการนอนกลางวันก็ยังเป็นของรักสำหรับหลายท่านเพราะงีบบ่ายๆนั้นแสน สบาย บรรยากาศเป็นใจ คลายเครียดคลายทุกข์ได้ รู้สึกสุขเหมือนเมื่อเด็กๆ ปราศจากพันธะผูกพัน
แต่ว่าไปก็มีเรื่องน่าคิดที่ช่วยยืนยันคำแก้ตัว เอ๊ย...ความคิดของผมอยู่มากนะครับ สำหรับบุคคลที่ได้ผลดีจากการนอนก็มีอาทิ พระอานนท์พุทธอนุชาผู้บรรลุอรหัตผลในพระอิริยาบถกึ่งนั่งกึ่งนอน, สมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯที่ทรงได้เพลงบุหลันลอยเลื่อนมาขณะทรงพระสุบิน, ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร ที่ได้ “น้ำตาแสงใต้” ออกมาขณะหลับ หรือจะนายนักเคมีชาวเยอรมันที่ไปฝันเห็นงูกินหางตัวเองเข้าแล้วเอามาตีโจทย์ เป็นสูตรโครงสร้างเคมีที่ไม่คาดคิดได้ เสียดายเยอรมันไม่มีหวยแบบไทย
มีเหตุให้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์แห่งสหรัฐอเมริกาได้หาทาง “ถอดรหัส” อัจฉริยะนี้ออกมาว่าก้อนสมองนี้แอบซ่อนพลังที่คาดไม่ถึงอะไรไว้อีกบ้าง โดยจำกัดวงให้แคบลงมาที่เรื่องที่ผมถนัดนั่นเอง คือเรื่อง “งีบ” ครับ
หลับกลางวันที่มากกว่า “ฝันหวาน”
นักวิจัยชั้นนำของโลกเอามาเป็นประเด็นไขสมองนะครับ เพราะสำหรับผมการงีบกลางวันก็เหมือนกับการทำตามใจตัวหลังกินข้าวอิ่ม ธรรมชาติก็ร้องให้ไขม่านปิด หนังตาหนักแล้วก็หาที่พักให้สบาย ยิ่งได้มุมเสายิ่งดี ใช้สิงสู่ได้ นายไม่เห็น
บำเพ็ญตนเป็นผีเฝ้าเสาอยู่นานพอดูสมัยอยู่ในออฟฟิศ ทำตัวกินอิ่มนอนหลับอย่างนี้ในขณะที่พอจะมีเวลาน่ะครับ ไม่อย่างนั้นจะรู้ตัวดีว่าจะเริ่มอาการ “งอแง” เริ่มตั้งแต่ มึนหัวตึ้บ รู้สึกลอยๆ หัวตื้อไปจนรู้สึกหงุดหงิดจิตเหวี่ยง เสี่ยงกับการถูกนอยด์กลับอยู่เหมือนกันซึ่งมันจะไม่ค่อยรู้ตัวเลยเวลาง่วง จัด แต่ถ้าลงได้หลับล่ะก็เป็นคนละคนทีเดียว กลายเป็นเด็กตาใส
ใครใช้อะไรก็จ๊ะจ๋าไม่อิดออดเพราะได้นอนพอ แต่ถ้านอนไม่อิ่มนี่จะคนละเรื่องทีเดียวครับ สำหรับพิษจากการอดนอนนอกจากอิดโรยแล้วก็จะทำให้การทำงานไร้ประสิทธิภาพ แถมเจ้าตัวมีสภาพไม่ต่างจากผีดิบ ตาเบิกโพลง แต่สมองโล่งโบ๋
ทีมนักวิจัยจากเบิร์กลีย์จึงได้ร่วมมือกับนักวิจัยฝั่งอังกฤษในการไขปัญหา นิทราระหว่างวันว่ามันมีดีอย่างไรที่ช่วยคนได้ ก็ได้ความดังต่อไปนี้....
1)ช่วยจัดระเบียบความจำ ย้ำให้แน่นขึ้น
2)ทำให้จำต่อเนื่อง เป็นเรื่องตกผลึกได้
@@@@
ประโยชน์ของการนอนยังมีมากที่ควรรู้ แต่บอกวันนี้ไม่เหมาะ เพราะอ่านเยอะไปพาลหนังตาหนัก รบกวนผู้อ่านรักษ์สุขภาพตาม
takecareDD@gmail.com
ที่มา: อัศจรรย์งีบกลางวัน กัน“สมองแก่” เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2554
กฎมีไว้แหก ระเบียบมีไว้ฝืน กติกามีไว้โกง - Is it?: Rules are made to be broken
มีเพียงแต่พวกเรา หรือ มันเป็นกันทั่วโลก Is it only us or just all alike globally?
- กฎมีไว้แหก Rules are made to be broken.
- ระเบียบมีไว้ฝ่าฝืน Regulations are made to be violated
- กติกามีไว้โกง Rules of the game are set to be cheated.
- มารยาทมีไว้ให้เสีย (เสียมารยาท = Social gaffe) Social gaffe is to be unforgiven.
บ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย Are we all crazy? ถ้าทุกคนทุกท่านทำแต่ตามอำเภอใจ สังคมจะวุ่นวายแค่ไหนกันนะ
- กฎมีไว้แหก Rules are made to be broken.
- ระเบียบมีไว้ฝ่าฝืน Regulations are made to be violated
- กติกามีไว้โกง Rules of the game are set to be cheated.
- มารยาทมีไว้ให้เสีย (เสียมารยาท = Social gaffe) Social gaffe is to be unforgiven.
บ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย Are we all crazy? ถ้าทุกคนทุกท่านทำแต่ตามอำเภอใจ สังคมจะวุ่นวายแค่ไหนกันนะ
Monday, January 10, 2011
งีบหลับ 'นาทีทอง' ช่วยสมองจำดี
เมื่อไม่อาจทานทนกับความง่วงและหนังตาหนักๆ จงงีบหลับเสียเถิด สมองจะได้รับประโยชน์ แถมตื่นแล้วยังกระปี้กระเปร่า ซึ่ง นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ American Board of Anti-aging medicine บอกเล่าเอาไว้ตั้งแต่คืนวาน อย่างนี้ไปติดตามภาคต่อกันเลย
@@@
เพราะความนึกคิดและความจำของคนนี้จะถูก “ป้อน” ใส่เข้าในช่องสมองอย่างแนบแน่นขึ้นใน “ช่วง” ระหว่าง “หลับลึก(Deep sleep)” กับ “ฝัน(Dreaming sleep)” ช่วงนี้เปรียบเสมือน “นาทีทอง” ที่ต้องรู้ไว้เพราะเป็นหัวใจที่ทำให้การงีบหลับกลางวันมีความหมายขึ้น จะได้ใช้แก้ตัวกับนายได้
เพราะอาสาสมัครที่ได้นอนเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งก็ตื่นขึ้นมาทำข้อสอบได้ดียิ่ง กว่าคนที่ไม่ได้นอน โดยงานวิจัยได้ตัดตัวช่วยอื่นๆเช่นความสบายไม่เหนื่อยล้าจากการได้นอนออกไป จนรู้ได้ว่าผลดีที่กล่อมสมองให้เป็นของอัศจรรย์ได้นั้นมาจากการงีบโดยตรง
ที่สำคัญ การงีบหลับยังทำสมองให้เหมือนช่องเก็บ “จดหมาย”
สูตรสำเร็จการงีบที่ดีก็น่าจะเป็น หนึ่งชั่วโมงครึ่งตามงานวิจัย แต่ในความเห็นผมว่าไม่เสมอไปครับ ควรจะปรับให้ได้ตามไลฟสไตล์ของเราแต่ละคนมากกว่า พูดง่ายว่า “ไม่มีสูตรสำเร็จ”
บางคนนอนเบ็ดเสร็จ 20 นาทีก็กะปรี้กะเปร่าเพราะหลับลึกได้ ผิดกับคนที่ “นอนได้” เหมือนกันแต่ไม่ลึกและมีฝันว้าวุ่นก็จะรู้สึกว่านอนก็เหมือนไม่ได้นอน ขาดทุนนิทราไป
เพราะการนอนที่ดูเหมือนเรื่องง่ายเอาเข้าจริงก็มีกฏ กติกา มารยาทต้องรู้ไว้อยู่บ้าง เช่นว่าถ้านอนไม่หลับเกิน 15 นาทีให้ลุกขึ้นมาดีกว่า อย่าออกกำลังกายก่อนนอน และที่สำคัญคือการนอนไม่สามารถชดเชยได้ทั้งต้นและดอก ไม่มีบอกนอนดึกแล้วมานอนซ่อมวันรุ่งขึ้น สมองจะไม่รับรู้ด้วย ดังที่ ดร.แม็ทธิว วอล์คเกอร์หนึ่งในผู้วิจัยได้กล่าวไว้ว่าสมองจะใช้เวลาเรียนรู้ในแต่ละวันมาก หากได้นอนกลางวันมันจะเหมือนกับการ “จัดระเบียบ” ข้อมูลข่าวสารให้เข้าที่เข้าทางขึ้นในติ่งหนึ่งของสมองที่เรียกว่า “ฮิปโปแคมปัส(Hippocampus)”
เจ้าติ่งสมองส่วนนี้ผมชอบเรียกว่า “ม้าน้ำ” เพราะหน้าตามันเหมือนใช่หยอกอยู่ดูจากรูปที่หามาให้ดูได้ครับ
ซึ่งผมเองหลับตานึกตาที่ท่านอาจารย์วอล์คเกอร์แห่งตักสิลา เอ๊ย...ยูซีเบิร์กลีย์ท่านบอกแล้วก็เห็นภาพ “ตู้จดหมาย” ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ หรือท่านจะลองนึกถึงช่องเก็บจดหมายในอีเมลท่านก็ได้ครับ
สมองมีช่องเก็บจดหมายย่อมๆไว้ตู้หนึ่ง ซึ่งถ้าเก็บไว้ทุกอย่างตั้งแต่เกิด ตั้งแต่โน้ตขอตังค์แม่, เมลง้อแฟน, เมลอ้อนกิ๊ก, แผ่นพับโฆษณา,ซองกฐินผ้าป่า,เปียแชร์และอีกสารพัด ตู้จะต้องรับภาระแออัดขนาดไหน คงล้นแล้วล้นอีกไม่มีทีเก็บ บุรุษไปรษณีย์มาก็ส่ายหน้าเพราะว่าจดหมายเก่าก็ยัง “ปลิ้น” ออกมายังไม่ได้ล้างป่าช้า หนำซ้ำของใหม่ก็ทยอยเข้ามามาก ชวน “บ้า” ได้ง่ายๆ
เมื่อมันเป็นในหัวคนถึงทำให้บางคนถึงขั้น “สติแตก” ไปไงครับ เพราะเหลือที่จะรับข้อมูลข่าวสารที่กระหน่ำเข้ามาจนแม้ขณะลมหายใจนี้ เลยสำแดงออกมาแบบบ้าๆบอๆ
เพราะสมองรวนโอเวอร์โหลด แต่ก็มีผู้ที่เข้ามาโปรดเอาไว้ก่อนไม่ให้สัญญาวิปลาสไปเสียก่อนนั่นก็คือ “การนอน” ที่ว่านี้ เดชะบุญที่ธรรมชาติสร้างการนิทราเข้ามาเป็นพระเอกในหัวใจเรา ให้เข้ามาเป็นฮีโร่ยามสมองร้องขอ
เพราะว่าถ้าได้ “หลับลึก” ดีเป็นระยะก็จะทำให้สมองได้จัด “ช่องจดหมาย” ของ ตัวได้ว่าจะเอาเรื่องไหนเข้าเรื่องไหนออก เหมือนกับช่องรังนกเก็บจดหมายในออฟฟิศ เรื่องกระจิริดก็เอาออก แยกไปใส่โฟลเดอร์สัพเพเหระจิปาถะมโนสาเร่ ก็ว่าไป ส่วนเรื่องไหนสำคัญต้องการการ “ตกผลึก” ก็จะฝึกให้เก็บเอาไว้ในแฟ้มสมองอย่างมีระเบียบพร้อมที่จะเรียกใช้ได้
ทั้งหลายทั้งปวงนี้เกิดขึ้นขณะ “นิทรา” เท่านั้นเอง
ซึ่งถึงตอนนี้บางท่านอาจสงสัยว่าแล้วทำไมต้องเป็น “กลางวัน” ซึ่งเป็นเวลาที่อาจไม่สะดวกนักเพราะเจ้านายไม่รักไม่ปลื้ม
ขออย่าลืมครับว่าการนอนกลางคืนของคนปัจจุบันนั้นมัน “คุณภาพด้อย” กว่าแต่ก่อนมาก มีทั้งเสียง,แสงแยงตาแถมยังนอนดึกแล้วมีเครียดอีก หลายท่านจึงมีอาการนอนไม่หลับเป็นเสมือนเพื่อนสนิท ซึ่งพิษมันจะออกในช่วงกลางวันให้หนักหัว เหนื่อยง่าย ง่วงหาวนอนตอนประชุมหรือที่น่ากลัวสุดก็คือ “หลับใน” ตอนขับรถ
ซึ่งการได้งีบกลางวันอย่างมีคุณภาพจะเหมาะกับท่านเหล่านี้มากหรือแม้แต่คน ที่หัวถึงหมอนตอนกลางคืนหลับฟื้ดีอยู่แล้ว ถ้าได้นอนกลางวันอีกสักนิดก็จะคิดอ่านการงานได้ดีขึ้น ช่วย “จัดกลุ่ม” ความจำได้เป็นระยะ
เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ต้องคอยกด “บันทึก(Save)” งาน ไว้เป็นระยะกันหาย สมองจะจดจำได้ง่ายครับถ้ามีช่วงพักเบรกให้นอนกลางวันด้วย และก็ช่วยท่านที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้นอนกลางคืนหลับดีหรือเป็นสมาชิกชมรม นิทราชาคริตคือหลับๆตื่นๆ ก็จะได้ฟื้นศักยภาพสมองอีกครั้งเมื่อได้นอนกลางวัน
วิธีสังเกตง่ายๆว่าท่านต้องการ “งีบกลางวัน” เพื่อ จัดสรรช่องจดหมายในสมองหรือไม่ให้ดูจากอาการ “ง่วง” ก็ได้ครับ สำหรับคนที่ไม่ได้หาเรื่องนอนจริงๆถ้ายิ่งง่วงกลางวันบ่อยๆก็แปลว่าสมองร้อง ขอแล้ว อย่ารอเพิกเฉยทีเดียวครับ สงสารสมองที่เหมือนเครื่องร้อนต้องการผ่อนบ้าง แม้จะไม่ได้จ้างมานอนก็ตาม
@@@
takecareDD@gmail.com
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคารที่ 11 มกราคม 2554
@@@
เพราะความนึกคิดและความจำของคนนี้จะถูก “ป้อน” ใส่เข้าในช่องสมองอย่างแนบแน่นขึ้นใน “ช่วง” ระหว่าง “หลับลึก(Deep sleep)” กับ “ฝัน(Dreaming sleep)” ช่วงนี้เปรียบเสมือน “นาทีทอง” ที่ต้องรู้ไว้เพราะเป็นหัวใจที่ทำให้การงีบหลับกลางวันมีความหมายขึ้น จะได้ใช้แก้ตัวกับนายได้
เพราะอาสาสมัครที่ได้นอนเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งก็ตื่นขึ้นมาทำข้อสอบได้ดียิ่ง กว่าคนที่ไม่ได้นอน โดยงานวิจัยได้ตัดตัวช่วยอื่นๆเช่นความสบายไม่เหนื่อยล้าจากการได้นอนออกไป จนรู้ได้ว่าผลดีที่กล่อมสมองให้เป็นของอัศจรรย์ได้นั้นมาจากการงีบโดยตรง
ที่สำคัญ การงีบหลับยังทำสมองให้เหมือนช่องเก็บ “จดหมาย”
สูตรสำเร็จการงีบที่ดีก็น่าจะเป็น หนึ่งชั่วโมงครึ่งตามงานวิจัย แต่ในความเห็นผมว่าไม่เสมอไปครับ ควรจะปรับให้ได้ตามไลฟสไตล์ของเราแต่ละคนมากกว่า พูดง่ายว่า “ไม่มีสูตรสำเร็จ”
บางคนนอนเบ็ดเสร็จ 20 นาทีก็กะปรี้กะเปร่าเพราะหลับลึกได้ ผิดกับคนที่ “นอนได้” เหมือนกันแต่ไม่ลึกและมีฝันว้าวุ่นก็จะรู้สึกว่านอนก็เหมือนไม่ได้นอน ขาดทุนนิทราไป
เพราะการนอนที่ดูเหมือนเรื่องง่ายเอาเข้าจริงก็มีกฏ กติกา มารยาทต้องรู้ไว้อยู่บ้าง เช่นว่าถ้านอนไม่หลับเกิน 15 นาทีให้ลุกขึ้นมาดีกว่า อย่าออกกำลังกายก่อนนอน และที่สำคัญคือการนอนไม่สามารถชดเชยได้ทั้งต้นและดอก ไม่มีบอกนอนดึกแล้วมานอนซ่อมวันรุ่งขึ้น สมองจะไม่รับรู้ด้วย ดังที่ ดร.แม็ทธิว วอล์คเกอร์หนึ่งในผู้วิจัยได้กล่าวไว้ว่าสมองจะใช้เวลาเรียนรู้ในแต่ละวันมาก หากได้นอนกลางวันมันจะเหมือนกับการ “จัดระเบียบ” ข้อมูลข่าวสารให้เข้าที่เข้าทางขึ้นในติ่งหนึ่งของสมองที่เรียกว่า “ฮิปโปแคมปัส(Hippocampus)”
เจ้าติ่งสมองส่วนนี้ผมชอบเรียกว่า “ม้าน้ำ” เพราะหน้าตามันเหมือนใช่หยอกอยู่ดูจากรูปที่หามาให้ดูได้ครับ
ซึ่งผมเองหลับตานึกตาที่ท่านอาจารย์วอล์คเกอร์แห่งตักสิลา เอ๊ย...ยูซีเบิร์กลีย์ท่านบอกแล้วก็เห็นภาพ “ตู้จดหมาย” ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ หรือท่านจะลองนึกถึงช่องเก็บจดหมายในอีเมลท่านก็ได้ครับ
สมองมีช่องเก็บจดหมายย่อมๆไว้ตู้หนึ่ง ซึ่งถ้าเก็บไว้ทุกอย่างตั้งแต่เกิด ตั้งแต่โน้ตขอตังค์แม่, เมลง้อแฟน, เมลอ้อนกิ๊ก, แผ่นพับโฆษณา,ซองกฐินผ้าป่า,เปียแชร์และอีกสารพัด ตู้จะต้องรับภาระแออัดขนาดไหน คงล้นแล้วล้นอีกไม่มีทีเก็บ บุรุษไปรษณีย์มาก็ส่ายหน้าเพราะว่าจดหมายเก่าก็ยัง “ปลิ้น” ออกมายังไม่ได้ล้างป่าช้า หนำซ้ำของใหม่ก็ทยอยเข้ามามาก ชวน “บ้า” ได้ง่ายๆ
เมื่อมันเป็นในหัวคนถึงทำให้บางคนถึงขั้น “สติแตก” ไปไงครับ เพราะเหลือที่จะรับข้อมูลข่าวสารที่กระหน่ำเข้ามาจนแม้ขณะลมหายใจนี้ เลยสำแดงออกมาแบบบ้าๆบอๆ
เพราะสมองรวนโอเวอร์โหลด แต่ก็มีผู้ที่เข้ามาโปรดเอาไว้ก่อนไม่ให้สัญญาวิปลาสไปเสียก่อนนั่นก็คือ “การนอน” ที่ว่านี้ เดชะบุญที่ธรรมชาติสร้างการนิทราเข้ามาเป็นพระเอกในหัวใจเรา ให้เข้ามาเป็นฮีโร่ยามสมองร้องขอ
เพราะว่าถ้าได้ “หลับลึก” ดีเป็นระยะก็จะทำให้สมองได้จัด “ช่องจดหมาย” ของ ตัวได้ว่าจะเอาเรื่องไหนเข้าเรื่องไหนออก เหมือนกับช่องรังนกเก็บจดหมายในออฟฟิศ เรื่องกระจิริดก็เอาออก แยกไปใส่โฟลเดอร์สัพเพเหระจิปาถะมโนสาเร่ ก็ว่าไป ส่วนเรื่องไหนสำคัญต้องการการ “ตกผลึก” ก็จะฝึกให้เก็บเอาไว้ในแฟ้มสมองอย่างมีระเบียบพร้อมที่จะเรียกใช้ได้
ทั้งหลายทั้งปวงนี้เกิดขึ้นขณะ “นิทรา” เท่านั้นเอง
ซึ่งถึงตอนนี้บางท่านอาจสงสัยว่าแล้วทำไมต้องเป็น “กลางวัน” ซึ่งเป็นเวลาที่อาจไม่สะดวกนักเพราะเจ้านายไม่รักไม่ปลื้ม
ขออย่าลืมครับว่าการนอนกลางคืนของคนปัจจุบันนั้นมัน “คุณภาพด้อย” กว่าแต่ก่อนมาก มีทั้งเสียง,แสงแยงตาแถมยังนอนดึกแล้วมีเครียดอีก หลายท่านจึงมีอาการนอนไม่หลับเป็นเสมือนเพื่อนสนิท ซึ่งพิษมันจะออกในช่วงกลางวันให้หนักหัว เหนื่อยง่าย ง่วงหาวนอนตอนประชุมหรือที่น่ากลัวสุดก็คือ “หลับใน” ตอนขับรถ
ซึ่งการได้งีบกลางวันอย่างมีคุณภาพจะเหมาะกับท่านเหล่านี้มากหรือแม้แต่คน ที่หัวถึงหมอนตอนกลางคืนหลับฟื้ดีอยู่แล้ว ถ้าได้นอนกลางวันอีกสักนิดก็จะคิดอ่านการงานได้ดีขึ้น ช่วย “จัดกลุ่ม” ความจำได้เป็นระยะ
เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ต้องคอยกด “บันทึก(Save)” งาน ไว้เป็นระยะกันหาย สมองจะจดจำได้ง่ายครับถ้ามีช่วงพักเบรกให้นอนกลางวันด้วย และก็ช่วยท่านที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้นอนกลางคืนหลับดีหรือเป็นสมาชิกชมรม นิทราชาคริตคือหลับๆตื่นๆ ก็จะได้ฟื้นศักยภาพสมองอีกครั้งเมื่อได้นอนกลางวัน
วิธีสังเกตง่ายๆว่าท่านต้องการ “งีบกลางวัน” เพื่อ จัดสรรช่องจดหมายในสมองหรือไม่ให้ดูจากอาการ “ง่วง” ก็ได้ครับ สำหรับคนที่ไม่ได้หาเรื่องนอนจริงๆถ้ายิ่งง่วงกลางวันบ่อยๆก็แปลว่าสมองร้อง ขอแล้ว อย่ารอเพิกเฉยทีเดียวครับ สงสารสมองที่เหมือนเครื่องร้อนต้องการผ่อนบ้าง แม้จะไม่ได้จ้างมานอนก็ตาม
@@@
takecareDD@gmail.com
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคารที่ 11 มกราคม 2554
Sunday, January 9, 2011
อาวุธปืน: Gun Weapon
ปืนเป็นอาวุธอันตราย Gun is a fatal weapon. คำ fatal หมายถึง"ถึงตาย" หลัก ๆ มีคนอยู่สองจำพวกที่ใช้ปืน Principally, there are two groups of people using gun: ตำรวจ polices กับ คนร้าย villain / gangster / criminal / desperado (พวกหัวขโมย คนสิ้นคิด) / badman
ปืน gun, shooter,
ปืนพก ปืนสั้น pistol
ปืนยาว rifle
ปืนใหญ่ cannon, artillery
ปืนต่อสู้อากาศยาน anti-aircraft gun, anti-aircraft fire, flak
ปืนลูกซอง shotgun
ปืนลมไรเฟิล air rifle
ปืนอัดจาระบี grease gun
ปืนอัดอากาศ air gun
ปืนอิเล็กตรอน electron gun
ปืนไฟ firearm
ปืนยิงรถถัง bazooka [n]
ปืนแก๊ป firelock
ปืนสั้นที่มีปากกระบอกใหญ่ blunderbuss
carbine เป็นปืนไรเฟิลชนิดหนึ่งมีน้ำหนักเบาและสั้น
คำว่า heat (n slang) เป็นคำสแลง หมายถึง ปืน
ผู้คุ้มกัน,มือปืนคุ้มกัน bodyguard(n)
ด้ามปืน breech (ปกติจะใช้กับสัตว์คลอดลูก a breech birth/delivery)
กระสุน ใช้ bullets เหมือน กระสุนปืน,ลูกตะกั่ว,หัวกระสุน
รังปืน เรียกว่า cylinder หรือ Chamber
อะไรเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดที่จะทำการตรวจรังปืนอัดลม What is the safest method to do a chamber check on the hammer gun?
เมื่อใส่กระสุนแล้ว ก็หมุนรังปืน spin the cylinder
เหนี่ยวไกปืน cock the hammer เช่น พูดว่า ปืนพิเศษแบบดับเบิลแอคชั่นต้องดึงยาวเพื่อทำการเหนี่ยวไก Double action revolvers use a long trigger pull to cock the hammer.
handcuffs หรือ cuff หมายถึง กุญแจมือที่ตำรวจใช้ใส่ผู้ต้องหา
จ่าถามผู้กอง ต้องการให้ถอดกุญแจมือเขา หรือเปล่า Do you want him uncuffed?
ปืนเป็นของอัปมงคล อย่าได้อยู่ใกล้เป็นดี Gun is considered unlucky thing. Do not be close.
ดร.SoS
.
ปืน gun, shooter,
ปืนพก ปืนสั้น pistol
ปืนยาว rifle
ปืนใหญ่ cannon, artillery
ปืนต่อสู้อากาศยาน anti-aircraft gun, anti-aircraft fire, flak
ปืนลูกซอง shotgun
ปืนลมไรเฟิล air rifle
ปืนอัดจาระบี grease gun
ปืนอัดอากาศ air gun
ปืนอิเล็กตรอน electron gun
ปืนไฟ firearm
ปืนยิงรถถัง bazooka [n]
ปืนแก๊ป firelock
ปืนสั้นที่มีปากกระบอกใหญ่ blunderbuss
carbine เป็นปืนไรเฟิลชนิดหนึ่งมีน้ำหนักเบาและสั้น
คำว่า heat (n slang) เป็นคำสแลง หมายถึง ปืน
ผู้คุ้มกัน,มือปืนคุ้มกัน bodyguard(n)
ด้ามปืน breech (ปกติจะใช้กับสัตว์คลอดลูก a breech birth/delivery)
กระสุน ใช้ bullets เหมือน กระสุนปืน,ลูกตะกั่ว,หัวกระสุน
รังปืน เรียกว่า cylinder หรือ Chamber
อะไรเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดที่จะทำการตรวจรังปืนอัดลม What is the safest method to do a chamber check on the hammer gun?
เมื่อใส่กระสุนแล้ว ก็หมุนรังปืน spin the cylinder
เหนี่ยวไกปืน cock the hammer เช่น พูดว่า ปืนพิเศษแบบดับเบิลแอคชั่นต้องดึงยาวเพื่อทำการเหนี่ยวไก Double action revolvers use a long trigger pull to cock the hammer.
handcuffs หรือ cuff หมายถึง กุญแจมือที่ตำรวจใช้ใส่ผู้ต้องหา
จ่าถามผู้กอง ต้องการให้ถอดกุญแจมือเขา หรือเปล่า Do you want him uncuffed?
ปืนเป็นของอัปมงคล อย่าได้อยู่ใกล้เป็นดี Gun is considered unlucky thing. Do not be close.
ดร.SoS
.
Friday, January 7, 2011
นศ.อาชีวะชนะ แกะสลักหิมะนานาชาติ!
นักศึกษาอาชีวะไทยสร้างชื่อ คว้ารางวัลชนะเลิศการแกะสลักน้ำแข็ง ในงาน "2011 Harbin International Collegiate Snow Sculpture Contest" พ่วงด้วยรางวัลป๊อปปูล่าร์โหวต ...
นายพันธุ์ศักดิ์ โรจนากาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยเมื่อ 7 ม.ค. ภายหลังนำทีมนักศึกษาอาชีวศึกษา ตัวแทนประเทศไทยไปร่วมแข่งขันแกะสลักน้ำแข็ง ในงาน "2011 Harbin International Collegiate Snow Sculpture Contest" ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 ม.ค. 2554 ณ เมืองฮาบิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่านักศึกษาอาชีวะไทยคว้ารางวัลชนะเลิศการแกะสลักน้ำแข็งจากทีมที่เข้าร่วม การแข่งขัน 43 ทีม จาก 8 ประเทศ ซึ่งทีมอาชีวะไทย 1 เป็นทีมผสมของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 3 ที่ประกอบด้วยสถานศึกษาในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 3 แห่ง คือ นายวิษณุ โพธิ์วิเชียร นายรุ่งชัย สุขเนตร จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา นายจักรกฤต ผิวจันทร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี และนายเรืองฤทธิ์เดช สงขวัญ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี ขณะเดียวกันทีมอาชีวะไทยนี้ยังได้รับรางวัล ป๊อปปูล่าร์โหวตอีก 1 รางวัลด้วย ส่วนทีมที่ได้รับรางวัลที่ 2 ได้แก่ ทีมอาชีวะไทย 2 ซึ่งเป็นทีมผสมเช่นกัน คือนายอนุวัฒน์ ชอบผล นายณัฐพงษ์ ขุนสนธิ จากวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช นายณัฐพล ทรัพย์ศรี และนายปิยชาติ จิญกาญจน์ จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา โดยทั้ง 2 ทีม เป็นนักศึกษาที่เรียนในสาขาศิลปกรรม
รองเลขาธิการคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา กล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบการแกะสลักหิมะที่ไปคว้ามาถึง 2 รางวัล ได้แนวคิดมาจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษาประจำปี เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีอันยิ่งใหญ่ของชนชาติไทย โดยใช้ชื่อผลงานว่า Thai Custom Tianpunsar ก่อนการแข่งขันทีมอาชีวศึกษาทั้ง 2 ทีม ได้ฝึกซ้อมอย่างหนักที่สถานศึกษาโดยครูผู้ ควบคุมทีม ได้แก่ นายบุญธรรม รัตนุวงกต วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา นายพูลรัตน์ พึ่งอารมณ์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี นายพฤติพงษ์ วงศ์วรรณา วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี และนาย ชัยยันต์ จงประเสริฐ วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช เป็นที่น่ายินดีว่านักศึกษาอาชีวศึกษาที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นนักศึกษา กลุ่มเดิมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักศึกษาที่เลือกเรียนสายอาชีพว่า มีความรู้และทักษะฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่เวทีการแข่งขันระดับนานาชาติ
ด้าน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ยินดีกับนักศึกษาอาชีวศึกษาที่ไปแข่งขันและ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศครั้งนี้ ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กอาชีวศึกษา ในอนาคตอันใกล้นี้ ได้เตรียมโครงการจัดทำหอเกียรติยศ ผู้ที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงการอาชีวศึกษาไทย ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ก็จะมีชื่อติดอยู่ในหอประกาศเกียรติคุณด้วย
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 8 มกราคม 2554
.
นายพันธุ์ศักดิ์ โรจนากาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยเมื่อ 7 ม.ค. ภายหลังนำทีมนักศึกษาอาชีวศึกษา ตัวแทนประเทศไทยไปร่วมแข่งขันแกะสลักน้ำแข็ง ในงาน "2011 Harbin International Collegiate Snow Sculpture Contest" ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 ม.ค. 2554 ณ เมืองฮาบิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่านักศึกษาอาชีวะไทยคว้ารางวัลชนะเลิศการแกะสลักน้ำแข็งจากทีมที่เข้าร่วม การแข่งขัน 43 ทีม จาก 8 ประเทศ ซึ่งทีมอาชีวะไทย 1 เป็นทีมผสมของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 3 ที่ประกอบด้วยสถานศึกษาในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 3 แห่ง คือ นายวิษณุ โพธิ์วิเชียร นายรุ่งชัย สุขเนตร จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา นายจักรกฤต ผิวจันทร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี และนายเรืองฤทธิ์เดช สงขวัญ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี ขณะเดียวกันทีมอาชีวะไทยนี้ยังได้รับรางวัล ป๊อปปูล่าร์โหวตอีก 1 รางวัลด้วย ส่วนทีมที่ได้รับรางวัลที่ 2 ได้แก่ ทีมอาชีวะไทย 2 ซึ่งเป็นทีมผสมเช่นกัน คือนายอนุวัฒน์ ชอบผล นายณัฐพงษ์ ขุนสนธิ จากวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช นายณัฐพล ทรัพย์ศรี และนายปิยชาติ จิญกาญจน์ จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา โดยทั้ง 2 ทีม เป็นนักศึกษาที่เรียนในสาขาศิลปกรรม
รองเลขาธิการคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา กล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบการแกะสลักหิมะที่ไปคว้ามาถึง 2 รางวัล ได้แนวคิดมาจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษาประจำปี เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีอันยิ่งใหญ่ของชนชาติไทย โดยใช้ชื่อผลงานว่า Thai Custom Tianpunsar ก่อนการแข่งขันทีมอาชีวศึกษาทั้ง 2 ทีม ได้ฝึกซ้อมอย่างหนักที่สถานศึกษาโดยครูผู้ ควบคุมทีม ได้แก่ นายบุญธรรม รัตนุวงกต วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา นายพูลรัตน์ พึ่งอารมณ์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี นายพฤติพงษ์ วงศ์วรรณา วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี และนาย ชัยยันต์ จงประเสริฐ วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช เป็นที่น่ายินดีว่านักศึกษาอาชีวศึกษาที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นนักศึกษา กลุ่มเดิมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักศึกษาที่เลือกเรียนสายอาชีพว่า มีความรู้และทักษะฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่เวทีการแข่งขันระดับนานาชาติ
ด้าน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ยินดีกับนักศึกษาอาชีวศึกษาที่ไปแข่งขันและ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศครั้งนี้ ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กอาชีวศึกษา ในอนาคตอันใกล้นี้ ได้เตรียมโครงการจัดทำหอเกียรติยศ ผู้ที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงการอาชีวศึกษาไทย ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ก็จะมีชื่อติดอยู่ในหอประกาศเกียรติคุณด้วย
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 8 มกราคม 2554
.
อเมริกัน: มีฟลูออไรด์ในน้ำมากเกินไป Too Much Fluoride in Water: US Says
วารสารไทม์รายงานว่า สหรัฐแจ้งมี ฟลูออไรด์มากเกินไปในน้ำดื่ม US Says Too Much Fluoride in Water
Fluoride in drinking water แม้จะได้รับความน่าเชื่อถืออย่างมากในการลดการเกิดฟันผุ และการเสื่อมของฟัน — credited with dramatically cutting cavities and tooth decay — ตอนนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งดี ๆ มากเกินไป may now be too much of a good thing. การมีฟลูออไรด์มากเกินไปทำให้เกิดจุดบนฟันของเด็กบางคน Getting too much of it causes spots on some kids' teeth.
ปัญหาที่มีจำนวนเด็กที่มีฟันเป็นจุดมีจำนวนมากขึ้นเป็นสาเหตุหนึ่งในหลาย ๆ อย่างที่รัฐบาลกลางจะประกาศการลดระดับของฟลูออไรด์ในน้ำที่ส่งไปตามบ้าน A reported increase in the spotting problem is one reason the federal government will announce Friday it plans to lower the recommended levels for fluoride in water supplies — ถือเป็นครั้งแรกของการเปลี่ยนแปลงในรอบ 50 ปี the first such change in nearly 50 years.
About 2 out of 5 adolescents have tooth streaking or spottiness because of too much fluoride, a surprising government study found recently. In some extreme cases, teeth can even be pitted by the mineral — though many cases are so mild only dentists notice it. The problem is generally considered cosmetic. (See TIME's special report "How to Live 100 Years.")
Health officials note that most communities have fluoride in their water supplies, and toothpaste has it too. Some kids are even given fluoride supplements.
The U.S. Department of Health and Human Services is announcing a proposal to change the recommended fluoride level to 0.7 milligrams per liter of water. And the Environmental Protection Agency will review whether the maximum cutoff of 0.4 milligrams per liter is too high.
The standard since 1962 has been a range of 0.7 to 1.2 milligrams per liter.
The Centers for Disease Control and Prevention reports that the splotchy tooth condition, fluorosis, is unexpectedly common in kids ages 12 through 15. And it appears to have grown much more common since the 1980s.
"One of the things that we're most concerned about is exactly that," said an administration official who was not authorized to speak publicly before the release of the report. The official described the government's plans in an interview with The Associated Press.
But there are other concerns, too. A scientific report five years ago said that people who consume a lifetime of too much fluoride — an amount over EPA's limit of 4 milligrams — can lead to crippling bone abnormalities and brittleness.
That and other research issued Friday by the EPA about health effects of fluoride are sure to re-energize groups that still oppose adding it to water supplies.
The American Dental Association released a statement applauding the government announcement to change fluoride guidance.
Fluoride is a mineral that exists naturally in water and soil. About 70 years ago, scientists discovered that people whose supplies naturally had more fluoride also had fewer cavities. Some locales have naturally occurring fluoridation levels above 1.2. Today, most public drinking water is fluoridated, especially in larger cities. An estimated 64 percent of Americans drink fluoridated water. (See nine kid foods to avoid.)
Portland, Ore., is the largest city that doesn't fluoridate its water.
Bill Zepp of the Oregon Dental Association said the city's anti-fluoridation activists will embrace the recommended fluoride changes "as some type of win."
Maryland is the most fluoridated state, with nearly every resident on a fluoridated system. In contrast, only about 11 percent of Hawaii residents are on fluoridated water, according to government statistics.
Fluoridation has been fought for decades by people who worried about its effects, including conspiracy theorists who feared it was a plot to make people submissive to government power.
Those battles continue.
"It's amazing that people have been so convinced that this is an OK thing to do," said Deborah Catrow said Friday. She successfully fought a ballot proposal in 2005 that would have added fluoride to drinking water in Springfield, Ohio.
Reducing fluoride would be a good start, but she hopes it will be eliminated altogether from municipal water supplies.
Catrow said it was hard standing up to City Hall, the American Dental Association and the state health department. "Anybody who was anti-fluoride was considered crazy at the time," she said.
In New York, the village of Cobleskill in Schoharie County — west of Albany — stopped adding fluoride to its drinking water in 2007 after the longtime water superintendent became convinced the additive was contributing to his knee problems. Two years later, the village reversed the move after dentists and doctors complained.
In March, 2006, the National Academy of Sciences released a report recommending that the EPA lower its maximum standard for fluoride in drinking water to below 4 milligrams. The report warned severe fluorosis could occur at 2 milligrams. Also, a majority of the report's authors said a lifetime of drinking water with fluoride at 4 milligrams or higher could raise the risk of broken bones. (See the top 10 bad beverage ideas.)
Late last year, lawyers for the Fluoride Action Network, Beyond Pesticides, and Environmental Working Group threatened legal action if the EPA did not lower its ceiling on fluoride.
In Europe, fluoride is rarely added to water supplies. In Britain, only about 10 percent of the population has fluoridated water. It's been a controversial issue there, with critics arguing people shouldn't be forced to have "medical treatment" forced on them. In recent years, the UK has tried to add fluoride to communities with the worst dental health but there's still considerable opposition.
In the early years of fluoridation in the United States, the range of levels was created because people in warmer climates drank more water, therefore getting more fluoride than cooler regions. Over time, that difference leveled out with air conditioning, the senior administration official said.
Fluorosis has generally been seen as the primary down side of fluoride.
According to the CDC, nearly 23 percent of children ages 12-15 had fluorosis in a study done in 1986 and 1987. That rose to 41 percent in the more recent study, which covered the years 1999 through 2004.
"We're not necessarily surprised to see this slow rise in mild fluorosis," Dr. William Kohn, director of the CDC's division of oral health, said in a recent interview.
Health officials have hesitated to call it a problem, however. In most kids, it's barely noticeable; even dentists have trouble seeing it, and sometimes don't bother to tell their unknowing patients. (See "40 Under 40: The Rising Stars of American Politics.")
Meanwhile, the U.S. prevalence of tooth decay in at least one tooth among teens has declined from about 90 percent to 60 percent. Health officials call water fluoridation one of the 10 greatest public health accomplishments of the last century.
"One of water fluoridation's biggest advantages is that it benefits all residents of a community — at home, work, school, or play. And fluoridation's effectiveness in preventing tooth decay is not limited to children, but extends throughout life, resulting in improved oral health," said HHS Assistant Secretary for Health Dr. Howard Koh, in a statement.
Indeed, many health leaders continue to be worried about cavities, particularly among poor families with kids who eat a lot of sweets but don't get much dental care.
Secretary Kathleen Sebelius could make a final decision on details of the changes within a few months, the administration official said.
Read more: http://www.time.com/time/nation/article/0,8599,2041343,00.html#ixzz1AO5pb3zY
Thanks Time for the good info.
Fluoride in drinking water แม้จะได้รับความน่าเชื่อถืออย่างมากในการลดการเกิดฟันผุ และการเสื่อมของฟัน — credited with dramatically cutting cavities and tooth decay — ตอนนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งดี ๆ มากเกินไป may now be too much of a good thing. การมีฟลูออไรด์มากเกินไปทำให้เกิดจุดบนฟันของเด็กบางคน Getting too much of it causes spots on some kids' teeth.
ปัญหาที่มีจำนวนเด็กที่มีฟันเป็นจุดมีจำนวนมากขึ้นเป็นสาเหตุหนึ่งในหลาย ๆ อย่างที่รัฐบาลกลางจะประกาศการลดระดับของฟลูออไรด์ในน้ำที่ส่งไปตามบ้าน A reported increase in the spotting problem is one reason the federal government will announce Friday it plans to lower the recommended levels for fluoride in water supplies — ถือเป็นครั้งแรกของการเปลี่ยนแปลงในรอบ 50 ปี the first such change in nearly 50 years.
About 2 out of 5 adolescents have tooth streaking or spottiness because of too much fluoride, a surprising government study found recently. In some extreme cases, teeth can even be pitted by the mineral — though many cases are so mild only dentists notice it. The problem is generally considered cosmetic. (See TIME's special report "How to Live 100 Years.")
Health officials note that most communities have fluoride in their water supplies, and toothpaste has it too. Some kids are even given fluoride supplements.
The U.S. Department of Health and Human Services is announcing a proposal to change the recommended fluoride level to 0.7 milligrams per liter of water. And the Environmental Protection Agency will review whether the maximum cutoff of 0.4 milligrams per liter is too high.
The standard since 1962 has been a range of 0.7 to 1.2 milligrams per liter.
The Centers for Disease Control and Prevention reports that the splotchy tooth condition, fluorosis, is unexpectedly common in kids ages 12 through 15. And it appears to have grown much more common since the 1980s.
"One of the things that we're most concerned about is exactly that," said an administration official who was not authorized to speak publicly before the release of the report. The official described the government's plans in an interview with The Associated Press.
But there are other concerns, too. A scientific report five years ago said that people who consume a lifetime of too much fluoride — an amount over EPA's limit of 4 milligrams — can lead to crippling bone abnormalities and brittleness.
That and other research issued Friday by the EPA about health effects of fluoride are sure to re-energize groups that still oppose adding it to water supplies.
The American Dental Association released a statement applauding the government announcement to change fluoride guidance.
Fluoride is a mineral that exists naturally in water and soil. About 70 years ago, scientists discovered that people whose supplies naturally had more fluoride also had fewer cavities. Some locales have naturally occurring fluoridation levels above 1.2. Today, most public drinking water is fluoridated, especially in larger cities. An estimated 64 percent of Americans drink fluoridated water. (See nine kid foods to avoid.)
Portland, Ore., is the largest city that doesn't fluoridate its water.
Bill Zepp of the Oregon Dental Association said the city's anti-fluoridation activists will embrace the recommended fluoride changes "as some type of win."
Maryland is the most fluoridated state, with nearly every resident on a fluoridated system. In contrast, only about 11 percent of Hawaii residents are on fluoridated water, according to government statistics.
Fluoridation has been fought for decades by people who worried about its effects, including conspiracy theorists who feared it was a plot to make people submissive to government power.
Those battles continue.
"It's amazing that people have been so convinced that this is an OK thing to do," said Deborah Catrow said Friday. She successfully fought a ballot proposal in 2005 that would have added fluoride to drinking water in Springfield, Ohio.
Reducing fluoride would be a good start, but she hopes it will be eliminated altogether from municipal water supplies.
Catrow said it was hard standing up to City Hall, the American Dental Association and the state health department. "Anybody who was anti-fluoride was considered crazy at the time," she said.
In New York, the village of Cobleskill in Schoharie County — west of Albany — stopped adding fluoride to its drinking water in 2007 after the longtime water superintendent became convinced the additive was contributing to his knee problems. Two years later, the village reversed the move after dentists and doctors complained.
In March, 2006, the National Academy of Sciences released a report recommending that the EPA lower its maximum standard for fluoride in drinking water to below 4 milligrams. The report warned severe fluorosis could occur at 2 milligrams. Also, a majority of the report's authors said a lifetime of drinking water with fluoride at 4 milligrams or higher could raise the risk of broken bones. (See the top 10 bad beverage ideas.)
Late last year, lawyers for the Fluoride Action Network, Beyond Pesticides, and Environmental Working Group threatened legal action if the EPA did not lower its ceiling on fluoride.
In Europe, fluoride is rarely added to water supplies. In Britain, only about 10 percent of the population has fluoridated water. It's been a controversial issue there, with critics arguing people shouldn't be forced to have "medical treatment" forced on them. In recent years, the UK has tried to add fluoride to communities with the worst dental health but there's still considerable opposition.
In the early years of fluoridation in the United States, the range of levels was created because people in warmer climates drank more water, therefore getting more fluoride than cooler regions. Over time, that difference leveled out with air conditioning, the senior administration official said.
Fluorosis has generally been seen as the primary down side of fluoride.
According to the CDC, nearly 23 percent of children ages 12-15 had fluorosis in a study done in 1986 and 1987. That rose to 41 percent in the more recent study, which covered the years 1999 through 2004.
"We're not necessarily surprised to see this slow rise in mild fluorosis," Dr. William Kohn, director of the CDC's division of oral health, said in a recent interview.
Health officials have hesitated to call it a problem, however. In most kids, it's barely noticeable; even dentists have trouble seeing it, and sometimes don't bother to tell their unknowing patients. (See "40 Under 40: The Rising Stars of American Politics.")
Meanwhile, the U.S. prevalence of tooth decay in at least one tooth among teens has declined from about 90 percent to 60 percent. Health officials call water fluoridation one of the 10 greatest public health accomplishments of the last century.
"One of water fluoridation's biggest advantages is that it benefits all residents of a community — at home, work, school, or play. And fluoridation's effectiveness in preventing tooth decay is not limited to children, but extends throughout life, resulting in improved oral health," said HHS Assistant Secretary for Health Dr. Howard Koh, in a statement.
Indeed, many health leaders continue to be worried about cavities, particularly among poor families with kids who eat a lot of sweets but don't get much dental care.
Secretary Kathleen Sebelius could make a final decision on details of the changes within a few months, the administration official said.
Read more: http://www.time.com/time/nation/article/0,8599,2041343,00.html#ixzz1AO5pb3zY
Thanks Time for the good info.
Thursday, January 6, 2011
ทาน = มหากุศลแห่งการให้
ทาน ถือเป็น มหากุศลแห่งการให้ จุดประสงค์สำคัญของการให้ เพื่อต้องการลดละความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว
ให้รู้จักเป็นผู้มีความเสียสละ รู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่น
ทาน (alms giving) แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
1.อามิสทาน หรือ วัตถุทาน (Earthly/Materialized/Monetary alms giving) เป็นการให้ด้วยปัจจัย วัตถุสิ่งของ หรือ เงินทอง เป็นการให้ที่สามารถทำได้ค่อนข้างง่าย อามิสทานนั้นให้ผลอย่างสูงก็แค่กามาวจรสวรรค์ ตามนัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสไว้ว่า "ทานัง สังคคโส ปาณัง" คือว่า การให้ทานย่อมเป็นปัจจัยเป็นบันไดไปสู่สวรรค์
2.ธรรมทาน (Dhamma alms giving) เป็นการบอกธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ชี้เหตุผล ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อย่างนี้เป็น ธรรมทาน Spread the Dhamma teaching of Buddah is a great alms giving.
3.อภัยทาน (Forgiven alms giving) อภัยทานเป็นการชำระใจ(ของผู้ที่ให้อภัยผู้อื่น) แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก จึงเป็นทานสูงสุด Alms giving by forgive is the greatest alms giving. จึงจัดเป็นมหากุศลประการหนึ่ง
ใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว คำว่า ปรมัตถบารมีนี้ เป็นบารมีสูงสุดเป็นบารมีที่จะทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน คำว่า อภัยทาน ก็ได้แก่ การให้อภัยซึ่งกันและกัน หามายความว่าคนใดก็ตาม เขาทำให้เราขุ่นเคือง ทำให้เราไม่ชอบใจ ด้วยกรณีใดๆก็ตาม ถ้าหากเราคิดพิจารณาเข่นฆ่าจองล้างจองผลาญ ถ้าเขาด่าเรา เราคิดว่าโอกาสสักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะด่าตอบ เขาลงโทษเรา เราจะลงโทษเขาตอบ เขาตีเรา เราคิดว่าเราจะตีตอบ แต่โอกาส มันยังไม่มี คิดเข้าไว้ในใจว่า เราจะทำอันตรายตอบ อย่างนี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นอาฆาต คือ พยาบาท เป็นไฟเผาผลาญดวงจิต เพราะคนที่เรากำลังคิดจะฆ่าก็ดี คิดจะประทุษร้ายก็ดี นี่เขายังไม่ทันรู้ตัว เขามีความสุข เราคนที่คิดจะทำเขานั่นแหละ ตั้งแต่แรกหาความสุขไม่ได้ คบไฟแห่งความพยาบาทมันเข้าเผาผลาญ มีแต่ความร้อนรุ่มกลุ้มใจ คิดวางแผนการต่าง ๆ ว่า เราทำยังไงถึงจะแก้มือเขาได้ โดยคนอื่นเห็นว่าไม่มีความผิด อารมณ์ที่คิดอยู่อย่างนี้ ยังตัดสินใจไม่ได้ ยังทำไม่ได้ มันเป็นไฟเผาผลาญคนคิดนี่แหละ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะอำนาจโทสะเข้าสิงใจ นี่เอำนาจโทสะหรือพยาบาทมันเริ่มเผาผลาญตั้งแต่คิด แต่คนที่ถูกคิดประทุษร้ายนั้น เขายังมีความสุข ทีนี้ถ้าเราไปทำเขาเข้าอีก ไอ้โทษมันก็จะหนักขึ้น ทำเขาเข้าอีก เขายิ่งจะแก้มือใหญ่ ถ้าเขาไม่แก้มือ ทางกฏหมายก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือ ความทุกข์ใหญ่ก็จะเกิดขึ้น
อภัยทานเป็นการชำระใจ(ของผู้ที่ให้อภัยผู้อื่น) แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก จึงจัดเป็นมหากุศลประการหนึ่ง
ภาษาอังกฤษ เขาพูดว่า Forgive and Forget
ธรรมเป็นทานก็ดี ให้อภัยทานก็ดี ถือเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน
มหากุศลแห่งการให้: การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
"อภัยทานัง อามิสทานัง ชินาติ" ซึ่งแปลว่า "การให้อภัยทาน ย่อมชนะเสียซึ่งการให้ทั้งปวง"
ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๖ หน้า ๗๕-๗๘
ให้รู้จักเป็นผู้มีความเสียสละ รู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่น
ทาน (alms giving) แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
1.อามิสทาน หรือ วัตถุทาน (Earthly/Materialized/Monetary alms giving) เป็นการให้ด้วยปัจจัย วัตถุสิ่งของ หรือ เงินทอง เป็นการให้ที่สามารถทำได้ค่อนข้างง่าย อามิสทานนั้นให้ผลอย่างสูงก็แค่กามาวจรสวรรค์ ตามนัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสไว้ว่า "ทานัง สังคคโส ปาณัง" คือว่า การให้ทานย่อมเป็นปัจจัยเป็นบันไดไปสู่สวรรค์
2.ธรรมทาน (Dhamma alms giving) เป็นการบอกธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ชี้เหตุผล ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อย่างนี้เป็น ธรรมทาน Spread the Dhamma teaching of Buddah is a great alms giving.
3.อภัยทาน (Forgiven alms giving) อภัยทานเป็นการชำระใจ(ของผู้ที่ให้อภัยผู้อื่น) แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก จึงเป็นทานสูงสุด Alms giving by forgive is the greatest alms giving. จึงจัดเป็นมหากุศลประการหนึ่ง
ใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว คำว่า ปรมัตถบารมีนี้ เป็นบารมีสูงสุดเป็นบารมีที่จะทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน คำว่า อภัยทาน ก็ได้แก่ การให้อภัยซึ่งกันและกัน หามายความว่าคนใดก็ตาม เขาทำให้เราขุ่นเคือง ทำให้เราไม่ชอบใจ ด้วยกรณีใดๆก็ตาม ถ้าหากเราคิดพิจารณาเข่นฆ่าจองล้างจองผลาญ ถ้าเขาด่าเรา เราคิดว่าโอกาสสักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะด่าตอบ เขาลงโทษเรา เราจะลงโทษเขาตอบ เขาตีเรา เราคิดว่าเราจะตีตอบ แต่โอกาส มันยังไม่มี คิดเข้าไว้ในใจว่า เราจะทำอันตรายตอบ อย่างนี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นอาฆาต คือ พยาบาท เป็นไฟเผาผลาญดวงจิต เพราะคนที่เรากำลังคิดจะฆ่าก็ดี คิดจะประทุษร้ายก็ดี นี่เขายังไม่ทันรู้ตัว เขามีความสุข เราคนที่คิดจะทำเขานั่นแหละ ตั้งแต่แรกหาความสุขไม่ได้ คบไฟแห่งความพยาบาทมันเข้าเผาผลาญ มีแต่ความร้อนรุ่มกลุ้มใจ คิดวางแผนการต่าง ๆ ว่า เราทำยังไงถึงจะแก้มือเขาได้ โดยคนอื่นเห็นว่าไม่มีความผิด อารมณ์ที่คิดอยู่อย่างนี้ ยังตัดสินใจไม่ได้ ยังทำไม่ได้ มันเป็นไฟเผาผลาญคนคิดนี่แหละ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะอำนาจโทสะเข้าสิงใจ นี่เอำนาจโทสะหรือพยาบาทมันเริ่มเผาผลาญตั้งแต่คิด แต่คนที่ถูกคิดประทุษร้ายนั้น เขายังมีความสุข ทีนี้ถ้าเราไปทำเขาเข้าอีก ไอ้โทษมันก็จะหนักขึ้น ทำเขาเข้าอีก เขายิ่งจะแก้มือใหญ่ ถ้าเขาไม่แก้มือ ทางกฏหมายก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือ ความทุกข์ใหญ่ก็จะเกิดขึ้น
อภัยทานเป็นการชำระใจ(ของผู้ที่ให้อภัยผู้อื่น) แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก จึงจัดเป็นมหากุศลประการหนึ่ง
ภาษาอังกฤษ เขาพูดว่า Forgive and Forget
ธรรมเป็นทานก็ดี ให้อภัยทานก็ดี ถือเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน
มหากุศลแห่งการให้: การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
"อภัยทานัง อามิสทานัง ชินาติ" ซึ่งแปลว่า "การให้อภัยทาน ย่อมชนะเสียซึ่งการให้ทั้งปวง"
ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๖ หน้า ๗๕-๗๘
เกียรติ(ยศศักดิ์ศรี) - Honor(s), Glory, Reputation, Dignity,
คนสมัยนี้ให้ความสำคัญกับคำว่า "เกียรติ" น้อยลง People nowadays give lesser important to the terms "Honor(s), Glory, Reputation, Dignity, .." แต่ในหลากหลายสังคมทั้งในและต่างประเทศหลายแห่งยังให้ความสำคัญกับคำว่า เกียรติ นี้อยู่ Eventhough many societies worldwide still adhere to these terms.
เกียรติ, เกียรติ-, เกียรติ์ (น.) ชื่อเสียง (Reputation), ความยกย่องนับถือ (Respect), ความมีหน้ามีตา (respectability + Reputation). ซึ่งเกี่ยวข้องกับ คำเลื่องลือ (renowned, reputed), คำสรรเสริญ (praise ; laud ; admire ; eulogize ; extol)
ยกย่อง สรรเสริญ สดุดี หรือ ให้รางวัล ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สามารถใช้ honour with [PHRV]
ศาสตราจารย์แห่งวิศวกรรมศาสตร์ร่วมแบ่งบันยกย่องเกียรติยศ/รางวัล/คำสรรเสริญ ที่ได้รับกับเพื่อน ๆ หลายคน The Professor of Engineering shares his honour with many friends.
เกียรตินิยม [N] ใช้ "honor degree" เช่น เขาจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยม He graduated with honors. หรือ He hold/received a Bachelor of Engineering with Honors.
ถ้าจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ก็ใช้ first class honour.
เกียรติคุณ = prestige, renowned deed, honor, high reputation
เกียรติประวัติ ใช้ glorious biography
เกียรติยศในลักษณะกิตติมศักดิ์ ใช้ honorary (adj) เช่น กองบรรณาธิการกิตติมศักดิ์ใช้ Honorary Editorial Board คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ ใช้ Honorary Committee
เกียรติของข้าคือความซื่อสัตย์จงรักภักดีของข้า My honor is my loyalty.
ดร.SoS
.
เกียรติ, เกียรติ-, เกียรติ์ (น.) ชื่อเสียง (Reputation), ความยกย่องนับถือ (Respect), ความมีหน้ามีตา (respectability + Reputation). ซึ่งเกี่ยวข้องกับ คำเลื่องลือ (renowned, reputed), คำสรรเสริญ (praise ; laud ; admire ; eulogize ; extol)
ยกย่อง สรรเสริญ สดุดี หรือ ให้รางวัล ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สามารถใช้ honour with [PHRV]
ศาสตราจารย์แห่งวิศวกรรมศาสตร์ร่วมแบ่งบันยกย่องเกียรติยศ/รางวัล/คำสรรเสริญ ที่ได้รับกับเพื่อน ๆ หลายคน The Professor of Engineering shares his honour with many friends.
เกียรตินิยม [N] ใช้ "honor degree" เช่น เขาจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยม He graduated with honors. หรือ He hold/received a Bachelor of Engineering with Honors.
ถ้าจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ก็ใช้ first class honour.
เกียรติคุณ = prestige, renowned deed, honor, high reputation
เกียรติประวัติ ใช้ glorious biography
เกียรติยศในลักษณะกิตติมศักดิ์ ใช้ honorary (adj) เช่น กองบรรณาธิการกิตติมศักดิ์ใช้ Honorary Editorial Board คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ ใช้ Honorary Committee
เกียรติของข้าคือความซื่อสัตย์จงรักภักดีของข้า My honor is my loyalty.
ดร.SoS
.
Tuesday, January 4, 2011
ขนในที่ลับ: Public Hair
เรื่องแปลกแต่จริง This is weird but it's true. ขนในที่ลับ(ขนลับ หรือ ขนเพชร)ที่เราเรียก กันภาษาชาวบ้านว่า หมอย นี้ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Public hair [Well .. this genital hairs are called "public hair" instead of "private hair"]
ขนลับนี้ อยู่ตรงพื้นที่ด้านหน้าของอวัยะเพศทั้งชายและหญิง Pubic hair is hair in the frontal genital area, บริเวณ หว่างขา หรือ เป้ากางเกง the crotch, และบางครั้งคลุมพื้นที่มาถึงด้านบนของง่ามขา and sometimes at the top of the inside of the legs; ทำให้เกิดการเรียกว่า พื้นที่ลับ(จะลับเฉพาะหรือเปล่า?) these areas form the pubic region.
ข้อความที่พ่อสอนลูกจากเรื่องอเมริกันพาย 3 Teaching statement for his son, from American Pie 3: The Wedding ลูก ตอนที่พ่อออกเดท ขนในที่ลับไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญ Boy, public hair was just not an issue when I was dating.
ดร.SoS
ขนลับนี้ อยู่ตรงพื้นที่ด้านหน้าของอวัยะเพศทั้งชายและหญิง Pubic hair is hair in the frontal genital area, บริเวณ หว่างขา หรือ เป้ากางเกง the crotch, และบางครั้งคลุมพื้นที่มาถึงด้านบนของง่ามขา and sometimes at the top of the inside of the legs; ทำให้เกิดการเรียกว่า พื้นที่ลับ(จะลับเฉพาะหรือเปล่า?) these areas form the pubic region.
ข้อความที่พ่อสอนลูกจากเรื่องอเมริกันพาย 3 Teaching statement for his son, from American Pie 3: The Wedding ลูก ตอนที่พ่อออกเดท ขนในที่ลับไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญ Boy, public hair was just not an issue when I was dating.
ดร.SoS
Monday, January 3, 2011
จิตใจที่กระชุ่มกระชวยช่วยให้ดู หนุ่มสาวขึ้นถึงหลายปี
อยากหนุ่ม อยากสาว นาน ๆ ให้แต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูหนุ่มดูสาวเข้าไว้ ใครว่าไม่เจียมอย่าไปสน Age Is Just a Number: Believe You’re Younger and Your Health Will Follow
อายุเป็นเพียงตัวเลข Maybe age really is just a number - ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุผู้ที่"ใจยังหนุ่มสาว" (young at heart) และยังคงแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามทันสมัย จะมีสุขภาพดีกว่า เพื่อนฝูงวัยเดียวกันที่ปฏิบัติตัวไปตามวัย How young or old someone feels has a huge influence on their health and how other people view them. An article published in Perspectives on Psychological Science, a journal of the Association for Psychological Science, reviews the research and suggests that feeling young can actually make you look young—and have the health of a younger person, too.
นักวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศึกษาผลของจิตใจที่มีต่อร่างกายมานานกว่า 30ปี Harvard psychological scientist Ellen Langer has been studying how the mind influences the body for over three decades.
งานวิจัยทำอย่างมีนัยแฝงที่แยบยล โดยให้ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่ง ให้มีชิวิตจิตใจ กลับไปมีชีวิตแบบย้อนยุค 20 กว่าปีก่อน สมัยเมื่อปี พ.ศ.2520 นานเป็นเวลา 1 อาทิตย์ In one classic study, she had old men live in a retreat that was retrofitted to look like it was 20 years earlier, while they pretended that they were living in that year. “Their minds were in the past. การมองเห็นก็ดีขึ้น กำลังวังชาก็ดีขึ้น Their vision improved, their strength improved, and so on,” she says. Langer cowrote the new article with Laura M. Hsu of Harvard and Jaewoo Chung of the Massachusetts Institute of Technology.
พวกผู้หญิงก็ให้ไปตัดผมย้อมผม In one study by Langer and her colleagues, women had their hair cut and dyed at a hair salon, and volunteers looked at before and after pictures of the women. พวกสาว ๆ พากันรู้สึกสาวขึ้นกว่าอายุจริง Those women who believed having their hair dyed made them look younger actually did look younger after the salon visit, according to the observers who were shown photos of their faces only. Women who didn’t believe they looked younger with dyed hair didn’t have that benefit.
หลังจากนั้น เมื่อครบกำหนด ให้พวกเขากลับคืนสู่โลกปัจจุบัน หลายคนต่างให้ความเห็นว่า พวกเขาดูหนุ่มสาวกว่าเก่าขึ้นอีก 3 ปี เนื่องจากว่าหูตากลับดีขึ้นกว่าเดิม กล้ามเนื้อก็แข็งแรงขึ้น ตลอดจนสติ ปัญญาก็เฉียบแหลมเช่นกัน
นักวิจัย ดร.เอลเลน แลนเกอร์ (Dr.Ellen Langer) เธอได้ เขียนในรายงานว่า เหตุที่คนส่วนใหญ่ พากันร่วงโรยไปตามวัย อาจจะเกิดจากความคิดอันไม่เป็นมงคลของตน จึงทำให้แก่ชราลง
Past research has found that male-pattern baldness increases the risk of prostate cancer. Langer and her colleagues hypothesize that this might be because balding men feel older; every day in the mirror, they get a stark visual reminder that they’re aging. (Prostate cancer is more common in older men.) Some heart problems are also linked with balding. There’s no clear biological reason for why hair loss and heart problems would go together; the men’s own feelings about their age could be partly to blame.
Older first-time mothers are often healthier as they age than women who have their first children younger—maybe, Langer says, because they’re spending their time with younger women at playgrounds and preschools. And people who marry older partners have a shorter life expectancy, while those who marry younger partners live younger.
So if Langer and her colleagues are right, and feeling young makes you healthier, what can you do about it? One route is to dress like a teenager, dye your hair, and find a younger boyfriend. But Langer has another solution: “Don’t buy the mindset in the first place. Then you won’t be vulnerable to it,” she says. “I think we have far more control over our health and wellbeing than most of us realize.”
For more information about this study, please contact: Ellen Langer at langer @ wjh.harvard.edu.
จิตใจที่กระชุ่มกระชวยช่วยให้ดู หนุ่มสาวขึ้นถึงหลายปี ถ้ามีคำถามส่งไปถามเธอเลย
อายุเป็นเพียงตัวเลข Maybe age really is just a number - ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุผู้ที่"ใจยังหนุ่มสาว" (young at heart) และยังคงแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามทันสมัย จะมีสุขภาพดีกว่า เพื่อนฝูงวัยเดียวกันที่ปฏิบัติตัวไปตามวัย How young or old someone feels has a huge influence on their health and how other people view them. An article published in Perspectives on Psychological Science, a journal of the Association for Psychological Science, reviews the research and suggests that feeling young can actually make you look young—and have the health of a younger person, too.
นักวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศึกษาผลของจิตใจที่มีต่อร่างกายมานานกว่า 30ปี Harvard psychological scientist Ellen Langer has been studying how the mind influences the body for over three decades.
งานวิจัยทำอย่างมีนัยแฝงที่แยบยล โดยให้ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่ง ให้มีชิวิตจิตใจ กลับไปมีชีวิตแบบย้อนยุค 20 กว่าปีก่อน สมัยเมื่อปี พ.ศ.2520 นานเป็นเวลา 1 อาทิตย์ In one classic study, she had old men live in a retreat that was retrofitted to look like it was 20 years earlier, while they pretended that they were living in that year. “Their minds were in the past. การมองเห็นก็ดีขึ้น กำลังวังชาก็ดีขึ้น Their vision improved, their strength improved, and so on,” she says. Langer cowrote the new article with Laura M. Hsu of Harvard and Jaewoo Chung of the Massachusetts Institute of Technology.
พวกผู้หญิงก็ให้ไปตัดผมย้อมผม In one study by Langer and her colleagues, women had their hair cut and dyed at a hair salon, and volunteers looked at before and after pictures of the women. พวกสาว ๆ พากันรู้สึกสาวขึ้นกว่าอายุจริง Those women who believed having their hair dyed made them look younger actually did look younger after the salon visit, according to the observers who were shown photos of their faces only. Women who didn’t believe they looked younger with dyed hair didn’t have that benefit.
หลังจากนั้น เมื่อครบกำหนด ให้พวกเขากลับคืนสู่โลกปัจจุบัน หลายคนต่างให้ความเห็นว่า พวกเขาดูหนุ่มสาวกว่าเก่าขึ้นอีก 3 ปี เนื่องจากว่าหูตากลับดีขึ้นกว่าเดิม กล้ามเนื้อก็แข็งแรงขึ้น ตลอดจนสติ ปัญญาก็เฉียบแหลมเช่นกัน
นักวิจัย ดร.เอลเลน แลนเกอร์ (Dr.Ellen Langer) เธอได้ เขียนในรายงานว่า เหตุที่คนส่วนใหญ่ พากันร่วงโรยไปตามวัย อาจจะเกิดจากความคิดอันไม่เป็นมงคลของตน จึงทำให้แก่ชราลง
Past research has found that male-pattern baldness increases the risk of prostate cancer. Langer and her colleagues hypothesize that this might be because balding men feel older; every day in the mirror, they get a stark visual reminder that they’re aging. (Prostate cancer is more common in older men.) Some heart problems are also linked with balding. There’s no clear biological reason for why hair loss and heart problems would go together; the men’s own feelings about their age could be partly to blame.
Older first-time mothers are often healthier as they age than women who have their first children younger—maybe, Langer says, because they’re spending their time with younger women at playgrounds and preschools. And people who marry older partners have a shorter life expectancy, while those who marry younger partners live younger.
So if Langer and her colleagues are right, and feeling young makes you healthier, what can you do about it? One route is to dress like a teenager, dye your hair, and find a younger boyfriend. But Langer has another solution: “Don’t buy the mindset in the first place. Then you won’t be vulnerable to it,” she says. “I think we have far more control over our health and wellbeing than most of us realize.”
For more information about this study, please contact: Ellen Langer at langer @ wjh.harvard.edu.
จิตใจที่กระชุ่มกระชวยช่วยให้ดู หนุ่มสาวขึ้นถึงหลายปี ถ้ามีคำถามส่งไปถามเธอเลย
Subscribe to:
Posts (Atom)