'เพรียวพันธ์'เตรียมโผนายพล เสนอพิจารณาวันนี้-6โมงเย็น
"เพรียวพันธ์" เรียกประชุม รอง ผบ.ตร.ทุกคน เพื่อพิจารณาจัดอันดับอาวุโสข้าราชการตำรวจ เตรียมเสนอให้บอร์ดกลั่นกรองที่มีเลขาธิการ ก.พ.เป็นประธาน พิจารณาในวันนี้(21 ตุลาคม 2554) เวลา 18.00 น. ...
ที่ สตช. เมื่อเวลา 18.00น. วันที่ 20 ต.ค.2554 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ว่าที่ ผบ.ตร. เรียกประชุม รอง ผบ.ตร.ทุกคน เพื่อพิจารณาจัดอันดับอาวุโสข้าราชการตำรวจ ประกอบด้วย ระดับรอง ผบ.ตร.ที่ว่าง 3 ตำแหน่ง ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่ารอง ผบ.ตร. ว่าง 4 ตำแหน่ง ระดับผู้ช่วย ผบ.ตร.ว่าง8 ตำแหน่ง ระดับ ผบช.และรอง ผบช. ขยับเป็น ผบช.ในสัดส่วน 50 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนรายชื่อ รอง ผบช.ทั้งหมด เพื่อจัดทำบัญชีการแต่งตั้ง และจะนำรายชื่อเสนอคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการตำรวจ หรือบอร์ดกลั่นกรองที่มีเลขาธิการ ก.พ.เป็นประธาน พิจารณาในวันที่ 21ต.ค.2554 เวลา 18.00 น.
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2554
--------------
ผู้ใหญ่ในกรมตำรวจ สตช ไม่รู้จักคิด ห่วงยศ ห่วงอำนาจ ประชาชนประสบอุทกภัย น้ำท่วมใหญ่ในรอบร้อยปี ท่วมไปทั่วค่อนประเทศ แทนที่จะออกไปช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อน กลับห่วงติดยศ ติดเก้าอี้ ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เห็นมีแต่ทหารทุกระดับออกไปช่วยเหลือประชาชน เฮ้อ.. สงสารประเทศไทยจริง ๆ
Thursday, October 20, 2011
ใช้หลักการ 'น้ำดันน้ำ' คำแนะนำจากผู้รู้ ป้องกันน้ำท่วม กทม.
เวลานี้ชาวกทม.ต่างใจจดใจจ่อ ลุ้นระทึกว่าน้ำจะท่วมตามหลายๆจังหวัด และหลายๆนิคมอุตสาหกรรมหรือไม่ ขณะที่รัฐบาลโดยศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.) และกรุงเทพมหานคร(กทม.) ออกมาให้ความมั่นใจว่าสามารถป้องกันได้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อถือเท่าใดนัก เพราะมีบทเรียนจากนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่ง ที่รัฐบาลมั่นใจว่าเอาอยู่ แต่ปรากฏว่าแตกหมด
ล่าสุด ทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เผยแพร่คลิปวีดิโอแนะนำวิธีการป้องกันน้ำท่วม กทม. โดยนายอภิชาติ สุทธิศีลธรรม อดีตนิสิตวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ซึ่งทำงานภาคเอกชนมาทั้งชีวิต มีประสบการณ์ตรงมากมาย โดยได้เผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทูบและเฟซบุ๊กส่วนตัว http://facebook.com/mtaneewong
คุณอภิชาติ แนะนำวิธีการป้องกันโดยเน้นไปที่ปัญหาเรื่องเขื่อน พนัง หรือคันกั้นน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถป้องกันได้ ล้วนถูกน้ำซัดพังในทุกๆพื้นที่ วิธีสู้กับมวลน้ำมหาศาลนี้คือ ใช้ "น้ำดันน้ำ" โดยแยกเป็น 3 กรณี
คุณอภิชาติ อธิบายว่า ที่ผ่านมามีการสร้างเขื่อนหรือคันกั้นน้ำป้องกัน โดยหวังจะให้พื้นที่นั้นๆแห้ง ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะเขื่อนที่สร้างขึ้นมาเป็นเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราว แรงดันน้ำจำนวนมหาศาลจะทำให้น้ำค่อยๆซึมเข้าไปตามด้านล่างของเขื่อนที่อยู่ติดกับพื้นดิน เซาะฐานล่างจนทำให้เขื่อนพังในที่สุด
กรณีถ้ามีเวลาเตรียมตัว วิธีที่ทั่วโลกทำกันก็คือ ทำเขื่อน 2 ชั้น อาจจะให้มีระยะห่างระหว่างแนวเขื่อนชั้นแรกกับชั้นที่ 2 ประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นค่อยๆพร่องน้ำให้เข้ามาอยู่ระหว่างแนวเขื่อน ซึ่งแรงดันน้ำที่อยู่นอกเขื่อนกับในแนวเขื่อนก็จะดันกันเอง ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำซึมเข้ามาตามพื้นด้านล่าง หรือมีก็จะน้อยมาก นอกจากนั้นให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำคอยสูบน้ำที่อยู่ในแนวเขื่อนกลับออกไป เพื่อรักษาระดับสมดุลไว้ เขื่อนก็จะไม่พัง
คุณอภิชาติ อธิบายต่อว่า กรณีนี้จะเหมาะกับนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่อยู่นอกเมืองที่ยังไม่จม แต่มวลน้ำมาจ่อแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแนวเขื่อนกั้นอยู่ด้านนอก จุดอ่อนที่น้ำจะโจมตีคือที่บริเวณประตูทางเข้าอาคาร วิธีนี้จะใช้ผนังอาคารเป็นตัวกั้น โดยบริเวณประตูให้ก่ออิฐขึ้นมาและอาจจะมีแนวกระสอบเป็นตัวช่วย จากนั้นใช้เครื่องสูบน้ำ กาลักน้ำ หรือเปิดประตูระบาย เพื่อพร่องน้ำเข้ามาภายในแนวระหว่างเขื่อนกับตัวอาคาร วิธีนี้จะยอมให้พื้นที่รอบนอกอาคารถูกท่วมเสียหายเล็กน้อย เสียหายไม่เกิน 5% แต่จะสามารถป้องกันภายในตัวอาคารไว้ได้ ดีกว่ากั้นไว้จนเขื่อนพังแล้วน้ำทะลักเข้ามาจนเต็มพื้นที่ทั้งหมด
"อย่าเอาชนะน้ำ เราต้องยอมแพ้มัน แต่เราไม่ยอมแพ้ทั้งหมด เรายอมให้มันเข้ามา มันต้องการที่อยู่เราก็ให้มันเข้ามาอยู่ แต่ให้เข้ามาครึ่งเดียว ที่เหลือให้อยู่ข้างนอก"
คุณอภิชาติ ระบุว่า กรณีนี้สำหรับ กทม.โดยเฉพาะ ที่มั่นใจว่าเขื่อนเอาอยู่นั้น ในที่สุดก็จะพังเหมือนกับทุกๆที่ วิธีนี้ก็จะเหมือนกับวิธีที่ 2 คือ ต้องยอมให้ท่วมพื้นที่ กทม.ชั้นนอก เช่น ดอนเมือง สายไหม เชื่อว่าความเสียหายจะไม่เกิน 20% ของพื้นที่ กทม.ทั้งหมด โดยเราค่อยๆปล่อยให้น้ำเข้ามาท่วม โดยแจ้งประชาชนให้ทราบล่วงหน้า ให้มีเวลาเตรียมการขนย้าย ป้องกันตัวเอง น้ำอาจจะท่วมขังอยู่ 15-20 วัน แล้วจะค่อยๆลดลง เพราะไม่มีฝนตกแล้ว แต่ยังมีมวลน้ำเหนือมหาศาลก็พร้อมที่จะถล่ม กทม.
"กรณีนี้มันต้องมีคนเสีย มันต้องมีคนได้ และมันต้องมีคนกล้าถูกด่า เราต้องทำให้ประชาชนเชื่อว่า มันพังแน่ มันท่วมแน่ เพราะมันพิสูจน์แล้วว่า มันพังมาหมดแล้ว และพังแล้วไม่เคยอุดได้ อันนี้ต้องรีบตัดสินใจทำภายใน 1-2 วันนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ทีม ศปภ. หรือผู้ว่าฯ กทม.ต้องร่วมกันตัดสินใจ"
วิธีคือ เราค่อยๆปล่อยน้ำเข้ามาทางประตูน้ำให้เข้ามาในพื้นที่ กทม.ชั้นนอก พอได้ระดับซัก 1-1.50 เมตรก็ปิด หากฝนตกลงมาหรือซึมเข้ามามากก็สูบออกไปนอกแนวเขื่อน เพื่อให้แรงดันน้ำดันกันเอง กทม.ต้องยอมท่วมบ้าง ต้องยอมรับ หากทุกคนบอกว่าไม่ต้องการท่วมเลยสักคน มันก็จะท่วมทุกคนเลย แล้วใครจะมาช่วยเรา แต่ถ้าเราทำแบบนี้ คนที่ไม่ถูกท่วมก็จะมาช่วยได้
และเพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหาย ตอบแทนผู้ที่เสียสละ รัฐบาลหรือกทม.อาจจะใช้วิธีเก็บภาษีจากพวกที่ไม่ถูกท่วม อาจจะเป็นภาษีโรงเรือน จะเพิ่มขึ้นจาก 12.5% เป็น 15% เป็นเวลา 3 ปี เพื่อเอาเงินส่วนนี้มาช่วยเหลือฟื้นฟูพวกที่ยอมถูกน้ำท่วม หรือจะมีวิธีอะไรก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำ ที่สำคัญคือ จะต้องกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ ปล่อยให้น้ำท่วม โดยมีคำอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ไม่สับสน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2554
ล่าสุด ทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เผยแพร่คลิปวีดิโอแนะนำวิธีการป้องกันน้ำท่วม กทม. โดยนายอภิชาติ สุทธิศีลธรรม อดีตนิสิตวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ซึ่งทำงานภาคเอกชนมาทั้งชีวิต มีประสบการณ์ตรงมากมาย โดยได้เผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทูบและเฟซบุ๊กส่วนตัว http://facebook.com/mtaneewong
คุณอภิชาติ แนะนำวิธีการป้องกันโดยเน้นไปที่ปัญหาเรื่องเขื่อน พนัง หรือคันกั้นน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถป้องกันได้ ล้วนถูกน้ำซัดพังในทุกๆพื้นที่ วิธีสู้กับมวลน้ำมหาศาลนี้คือ ใช้ "น้ำดันน้ำ" โดยแยกเป็น 3 กรณี
กรณีที่ 1 ใช้วิธีสร้างเขื่อน 2 ชั้น
คุณอภิชาติ อธิบายว่า ที่ผ่านมามีการสร้างเขื่อนหรือคันกั้นน้ำป้องกัน โดยหวังจะให้พื้นที่นั้นๆแห้ง ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะเขื่อนที่สร้างขึ้นมาเป็นเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราว แรงดันน้ำจำนวนมหาศาลจะทำให้น้ำค่อยๆซึมเข้าไปตามด้านล่างของเขื่อนที่อยู่ติดกับพื้นดิน เซาะฐานล่างจนทำให้เขื่อนพังในที่สุด
กรณีถ้ามีเวลาเตรียมตัว วิธีที่ทั่วโลกทำกันก็คือ ทำเขื่อน 2 ชั้น อาจจะให้มีระยะห่างระหว่างแนวเขื่อนชั้นแรกกับชั้นที่ 2 ประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นค่อยๆพร่องน้ำให้เข้ามาอยู่ระหว่างแนวเขื่อน ซึ่งแรงดันน้ำที่อยู่นอกเขื่อนกับในแนวเขื่อนก็จะดันกันเอง ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำซึมเข้ามาตามพื้นด้านล่าง หรือมีก็จะน้อยมาก นอกจากนั้นให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำคอยสูบน้ำที่อยู่ในแนวเขื่อนกลับออกไป เพื่อรักษาระดับสมดุลไว้ เขื่อนก็จะไม่พัง
กรณีที่ 2 "ยอมแพ้ แต่ไม่ทั้งหมด"
คุณอภิชาติ อธิบายต่อว่า กรณีนี้จะเหมาะกับนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่อยู่นอกเมืองที่ยังไม่จม แต่มวลน้ำมาจ่อแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแนวเขื่อนกั้นอยู่ด้านนอก จุดอ่อนที่น้ำจะโจมตีคือที่บริเวณประตูทางเข้าอาคาร วิธีนี้จะใช้ผนังอาคารเป็นตัวกั้น โดยบริเวณประตูให้ก่ออิฐขึ้นมาและอาจจะมีแนวกระสอบเป็นตัวช่วย จากนั้นใช้เครื่องสูบน้ำ กาลักน้ำ หรือเปิดประตูระบาย เพื่อพร่องน้ำเข้ามาภายในแนวระหว่างเขื่อนกับตัวอาคาร วิธีนี้จะยอมให้พื้นที่รอบนอกอาคารถูกท่วมเสียหายเล็กน้อย เสียหายไม่เกิน 5% แต่จะสามารถป้องกันภายในตัวอาคารไว้ได้ ดีกว่ากั้นไว้จนเขื่อนพังแล้วน้ำทะลักเข้ามาจนเต็มพื้นที่ทั้งหมด
"อย่าเอาชนะน้ำ เราต้องยอมแพ้มัน แต่เราไม่ยอมแพ้ทั้งหมด เรายอมให้มันเข้ามา มันต้องการที่อยู่เราก็ให้มันเข้ามาอยู่ แต่ให้เข้ามาครึ่งเดียว ที่เหลือให้อยู่ข้างนอก"
กรณีที่ 3 "ต้องมีคนเสียสละ"
คุณอภิชาติ ระบุว่า กรณีนี้สำหรับ กทม.โดยเฉพาะ ที่มั่นใจว่าเขื่อนเอาอยู่นั้น ในที่สุดก็จะพังเหมือนกับทุกๆที่ วิธีนี้ก็จะเหมือนกับวิธีที่ 2 คือ ต้องยอมให้ท่วมพื้นที่ กทม.ชั้นนอก เช่น ดอนเมือง สายไหม เชื่อว่าความเสียหายจะไม่เกิน 20% ของพื้นที่ กทม.ทั้งหมด โดยเราค่อยๆปล่อยให้น้ำเข้ามาท่วม โดยแจ้งประชาชนให้ทราบล่วงหน้า ให้มีเวลาเตรียมการขนย้าย ป้องกันตัวเอง น้ำอาจจะท่วมขังอยู่ 15-20 วัน แล้วจะค่อยๆลดลง เพราะไม่มีฝนตกแล้ว แต่ยังมีมวลน้ำเหนือมหาศาลก็พร้อมที่จะถล่ม กทม.
"กรณีนี้มันต้องมีคนเสีย มันต้องมีคนได้ และมันต้องมีคนกล้าถูกด่า เราต้องทำให้ประชาชนเชื่อว่า มันพังแน่ มันท่วมแน่ เพราะมันพิสูจน์แล้วว่า มันพังมาหมดแล้ว และพังแล้วไม่เคยอุดได้ อันนี้ต้องรีบตัดสินใจทำภายใน 1-2 วันนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ทีม ศปภ. หรือผู้ว่าฯ กทม.ต้องร่วมกันตัดสินใจ"
วิธีคือ เราค่อยๆปล่อยน้ำเข้ามาทางประตูน้ำให้เข้ามาในพื้นที่ กทม.ชั้นนอก พอได้ระดับซัก 1-1.50 เมตรก็ปิด หากฝนตกลงมาหรือซึมเข้ามามากก็สูบออกไปนอกแนวเขื่อน เพื่อให้แรงดันน้ำดันกันเอง กทม.ต้องยอมท่วมบ้าง ต้องยอมรับ หากทุกคนบอกว่าไม่ต้องการท่วมเลยสักคน มันก็จะท่วมทุกคนเลย แล้วใครจะมาช่วยเรา แต่ถ้าเราทำแบบนี้ คนที่ไม่ถูกท่วมก็จะมาช่วยได้
และเพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหาย ตอบแทนผู้ที่เสียสละ รัฐบาลหรือกทม.อาจจะใช้วิธีเก็บภาษีจากพวกที่ไม่ถูกท่วม อาจจะเป็นภาษีโรงเรือน จะเพิ่มขึ้นจาก 12.5% เป็น 15% เป็นเวลา 3 ปี เพื่อเอาเงินส่วนนี้มาช่วยเหลือฟื้นฟูพวกที่ยอมถูกน้ำท่วม หรือจะมีวิธีอะไรก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำ ที่สำคัญคือ จะต้องกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ ปล่อยให้น้ำท่วม โดยมีคำอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ไม่สับสน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2554
Saturday, October 15, 2011
ปริญญาเอก: PhD/DSc/DEngr/DEd ...
การศึกษาปริญญาเอกนับเป็นระดับการศึกษาสูงสุดที่มีในระบบการศึกษา ผู้ที่ได้ปริญญาเอก ส่วนมากจะได้วุฒิ PhD (Ph.D.) Doctor of Philosophy. วุฒิการศึกษานี้เป็นชื่อโบราณ คนที่จะได้วุฒินี้ จะต้องทำการศึกษา และทำงานวิจัย ที่จะเขียนออกมาเป็นเล่มวิทยานิพนธ์
วุฒิอื่น ๆ ที่ถือเป็นการศึกษาระดับปริญญาเอกได้แก่ DSc/DEngr/DEd ...
DSc = Doctor of Science
DEngr = Doctor of Engineering
DEd = Doctor of Education
...
สำหรับผู้ที่ไปศึกษาสำเร็จมาจากพวกมหาวิทยาลัยห้องแถวนั้น (unaccredited colleges/universities) วุฒิปเอก ที่ได้ถือเป็นแค่ diploma mills (วุฒิปั๊ม วุฒิโหล). การที่เขามีชื่อเรียกอีกแบบนั้น แสดงว่า่ วุฒิห้องแถวเองพวกฝรั่งก็ไม่ยอมรับ
ในอเมริกา มีถึง 12 รัฐที่ออกกฎหมาย ห้ามใช้วุฒิจาก ม.ห้องแถว Broad Laws enforced in 12 states restrict or prohibit the use of unaccredited degrees. มหาวิทยาลัยห้องแถวอาจไม่มีอยู่จริง เช่น สมาคมวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทางใต้ของอเมริกากล่าวว่าสมาคมไม่สามารถตรวจสอบตัวตนของวิทยาลัยเทคนิคซานฟรานสิสโก ได้ วุฒิจาก ม.ห้องแถว ก็เป็นแค่วุฒิโหลวุฒิปั๊ม the Southern Association of Colleges and Universities "was unable to verify the existence of San Francisco Technical College and whether this entity is a 'duly accredited institution' and Lacrosse University is reported to be a diploma mill."
ผู้บริหารที่ใช้วุฒิโหลจากม.ห้องแถวอาจมีปัญหาได้ ดังนั้นผู้บริหารจะต้องมีความน่าเชื่อถือที่เหมาะสมโดยใช้วุฒิจากสถาบันที่ได้รับการรับรองเท่านั้น University/College leaders must have appropriate credentials from accredited institutions.
หลายที่ถือว่า วุฒิม.ห้องแถวเป็นวุฒิปลอม Fraud degrees/bogus degrees/pay to play degrees. ซึ่งปลอมก็คือปลอม Fraud is fraud, bogus is bogus.
Dr.SoS
legit doctoral
วุฒิอื่น ๆ ที่ถือเป็นการศึกษาระดับปริญญาเอกได้แก่ DSc/DEngr/DEd ...
DSc = Doctor of Science
DEngr = Doctor of Engineering
DEd = Doctor of Education
...
สำหรับผู้ที่ไปศึกษาสำเร็จมาจากพวกมหาวิทยาลัยห้องแถวนั้น (unaccredited colleges/universities) วุฒิปเอก ที่ได้ถือเป็นแค่ diploma mills (วุฒิปั๊ม วุฒิโหล). การที่เขามีชื่อเรียกอีกแบบนั้น แสดงว่า่ วุฒิห้องแถวเองพวกฝรั่งก็ไม่ยอมรับ
ในอเมริกา มีถึง 12 รัฐที่ออกกฎหมาย ห้ามใช้วุฒิจาก ม.ห้องแถว Broad Laws enforced in 12 states restrict or prohibit the use of unaccredited degrees. มหาวิทยาลัยห้องแถวอาจไม่มีอยู่จริง เช่น สมาคมวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทางใต้ของอเมริกากล่าวว่าสมาคมไม่สามารถตรวจสอบตัวตนของวิทยาลัยเทคนิคซานฟรานสิสโก ได้ วุฒิจาก ม.ห้องแถว ก็เป็นแค่วุฒิโหลวุฒิปั๊ม the Southern Association of Colleges and Universities "was unable to verify the existence of San Francisco Technical College and whether this entity is a 'duly accredited institution' and Lacrosse University is reported to be a diploma mill."
ผู้บริหารที่ใช้วุฒิโหลจากม.ห้องแถวอาจมีปัญหาได้ ดังนั้นผู้บริหารจะต้องมีความน่าเชื่อถือที่เหมาะสมโดยใช้วุฒิจากสถาบันที่ได้รับการรับรองเท่านั้น University/College leaders must have appropriate credentials from accredited institutions.
หลายที่ถือว่า วุฒิม.ห้องแถวเป็นวุฒิปลอม Fraud degrees/bogus degrees/pay to play degrees. ซึ่งปลอมก็คือปลอม Fraud is fraud, bogus is bogus.
Dr.SoS
legit doctoral
เหี้ยมโหด/ทารุณ: ruthless
คำภาษาอังกฤษทีให้ความหมายในลักษณะ โหดร้าย เหี้ยมโหด ทารุณ ไร้ความปรานี อำมหิต ได้แก่ ruthless(adj),
พวกคนอเมริกันที่ขายอาวุธสงครามเป็นพวกคนโหดร้ายไส้ระกำ Those Americans selling war weapons are ruthless.
ภาพยนต์สารคดีเรื่อง องศาฟาเรนไฮท์ 911 เปิดเผยว่าบรรดา สส.และ สว. สนับสนุนแต่ไม่ยอมส่งบุตรชายตัวเองไปร่วมสงครามในตะวันออกกลาง ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้หนอ The documentary movie "Fahrenheit 911" revealed that American representatives and senators supported but did not want their sons to go war in middle east. What a ruthlessness.
พวกเราเริ่มรู้แล้วว่า นายของเราเป็นพวก เผด็จการที่ไร้ซึ่งความเมตตากรุณา We starts to know that our president is a ruthless dictator.
พวกโจรที่ออกขโมยของชาวบ้านที่โดนน้ำท่วมช่างไร้ซึ่งความปรานีเอาซะเลย Thief people steal stuffs from flooded properties are considered very ruthless.
คำอื่น ๆ ที่ให้ความหมายคล้ายคลึงกัน (โหดร้าย เหี้ยมโหด ทารุณ ไร้ความปรานี อำมหิต) ได้แก่ cruel(adj), merciless(adj), pitiless(adj), brutally(adv), fiercely(adv), wastefully(adv),
คำนามที่ให้ความหมายคล้ายกันในเชิง โหดร้าย เหี้ยมโหด ทารุณ ไร้ความปรานี อำมหิต เช่น cruelty(n), ruthlessness(n), mercilessness(n), savage(n), brutality(n), inhumanity(n), callousness(n)
Dr.SoS
พวกคนอเมริกันที่ขายอาวุธสงครามเป็นพวกคนโหดร้ายไส้ระกำ Those Americans selling war weapons are ruthless.
ภาพยนต์สารคดีเรื่อง องศาฟาเรนไฮท์ 911 เปิดเผยว่าบรรดา สส.และ สว. สนับสนุนแต่ไม่ยอมส่งบุตรชายตัวเองไปร่วมสงครามในตะวันออกกลาง ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้หนอ The documentary movie "Fahrenheit 911" revealed that American representatives and senators supported but did not want their sons to go war in middle east. What a ruthlessness.
พวกเราเริ่มรู้แล้วว่า นายของเราเป็นพวก เผด็จการที่ไร้ซึ่งความเมตตากรุณา We starts to know that our president is a ruthless dictator.
พวกโจรที่ออกขโมยของชาวบ้านที่โดนน้ำท่วมช่างไร้ซึ่งความปรานีเอาซะเลย Thief people steal stuffs from flooded properties are considered very ruthless.
คำอื่น ๆ ที่ให้ความหมายคล้ายคลึงกัน (โหดร้าย เหี้ยมโหด ทารุณ ไร้ความปรานี อำมหิต) ได้แก่ cruel(adj), merciless(adj), pitiless(adj), brutally(adv), fiercely(adv), wastefully(adv),
คำนามที่ให้ความหมายคล้ายกันในเชิง โหดร้าย เหี้ยมโหด ทารุณ ไร้ความปรานี อำมหิต เช่น cruelty(n), ruthlessness(n), mercilessness(n), savage(n), brutality(n), inhumanity(n), callousness(n)
Dr.SoS
Wednesday, October 12, 2011
ไปรษณีย์ ส่งผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ ชี้จุดเสี่ยงภัยน้ำท่วม เนื่องจากมีความรู้ความชำนาญเฉพาะพื้นที่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คอลเซ็นเตอร์ 1545...
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. นางสาวอานุสรา จิตต์มิตรภาพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือ ปณท กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ มีหลายหน่วยงานได้ส่งความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยส่วนใหญ่มักจะประสบอุปสรรคในการช่วยเหลือ คือ ไม่คุ้นเคยและไม่รู้จักเส้นทางในจังหวัดนั้นๆ ส่งผลให้การช่วยเหลือของภาครัฐและเอกชนไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ดังนั้น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนเป็นการช่วยพี่น้องผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที ปณท จึงนำผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในทุกพื้นที่ ตลอดจนมีความใกล้ชิดกับชุมชน ด้วยการจัดส่งบุรุษไปรษณีย์หรือเจ้าหน้าที่นำจ่ายลงพื้นที่ร่วมไปกับขบวนรถหรือเรือขององค์กรและหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ เพื่อช่วยทำหน้าที่ชี้ทางเข้าไปในเขต หมู่บ้าน หรือชุมชนต่างๆ ในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยพื้นที่ในสำนักงานไปรษณีย์เขต 1 (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท) สามารถสอบถามได้ที่ นายองอาจ ศรีม่วง หมายเลขโทรศัพท์ 081-903-6207 นายธนูพร บุณยรัตกลิน หมายเลขโทรศัพท์ 081-994-6605
นอกจากนี้ ปณท ยังสนับสนุนรถขนส่งไปรษณีย์ขนาดใหญ่ไปช่วยลำเลียงสิ่งของที่หน่วยงานต่างๆ บริจาคส่งตรงไปยังพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนต่อไป สำหรับประชาชนที่จะบริจาคเงินและสิ่งของสามารถบริจาคได้ที่ทำการไปรษณีย์ใกล้บ้าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คอลเซ็นเตอร์ 1545
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 12 ตุลาคม 2554
==============
เสียดายที่ออกมาประกาศตัวช้าไปหน่อย
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. นางสาวอานุสรา จิตต์มิตรภาพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือ ปณท กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ มีหลายหน่วยงานได้ส่งความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยส่วนใหญ่มักจะประสบอุปสรรคในการช่วยเหลือ คือ ไม่คุ้นเคยและไม่รู้จักเส้นทางในจังหวัดนั้นๆ ส่งผลให้การช่วยเหลือของภาครัฐและเอกชนไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ดังนั้น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนเป็นการช่วยพี่น้องผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที ปณท จึงนำผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในทุกพื้นที่ ตลอดจนมีความใกล้ชิดกับชุมชน ด้วยการจัดส่งบุรุษไปรษณีย์หรือเจ้าหน้าที่นำจ่ายลงพื้นที่ร่วมไปกับขบวนรถหรือเรือขององค์กรและหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ เพื่อช่วยทำหน้าที่ชี้ทางเข้าไปในเขต หมู่บ้าน หรือชุมชนต่างๆ ในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยพื้นที่ในสำนักงานไปรษณีย์เขต 1 (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท) สามารถสอบถามได้ที่ นายองอาจ ศรีม่วง หมายเลขโทรศัพท์ 081-903-6207 นายธนูพร บุณยรัตกลิน หมายเลขโทรศัพท์ 081-994-6605
นอกจากนี้ ปณท ยังสนับสนุนรถขนส่งไปรษณีย์ขนาดใหญ่ไปช่วยลำเลียงสิ่งของที่หน่วยงานต่างๆ บริจาคส่งตรงไปยังพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนต่อไป สำหรับประชาชนที่จะบริจาคเงินและสิ่งของสามารถบริจาคได้ที่ทำการไปรษณีย์ใกล้บ้าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คอลเซ็นเตอร์ 1545
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 12 ตุลาคม 2554
==============
เสียดายที่ออกมาประกาศตัวช้าไปหน่อย
ชูวิทย์จวกพณ. มาม่า30บ. ขูดเลือดน้ำท่วม
ชูวิทย์จวกพณ. มาม่า 30 บ. ขูดเลือดน้ำท่วม (ราคาปกติซองละ 5-6 บาท)
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย สุดทนกระซวกไส้ ก.พาณิชย์และกรมการค้าภายในทำงานสุดแย่ ปล่อยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม ถูกขูดเลือดต้องซื้อมาม่าซองละ 30 บาทประทังชีวิต…
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวว่า ตนได้รับการร้องทุกข์จากชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะใน จ.อยุธยา จึงได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบพบว่า ความเป็นอยู่ของชาวบ้านลำบากมาก โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่รอบนอกจากเขตชุมชนหรือเขตเมือง ที่ต้องถูกตัดน้ำตัดไฟ ยังต้องขึ้นไปอยู่บนชั้นสอง หรือหลังคาบ้าน เพราะห่วงบ้าน เนื่องจากยังมีขโมยชุกชุมที่เข้าไปซ้ำเติม โดยเฉพาะกลางคืนไม่มีไฟฟ้าเสี่ยงต่อการถูกสัตว์เลื้อยคลานมีพิษกัด ขณะที่อาหารเครื่องอุปโภคบริโภคก็ขาดแคลน น้ำดื่มจากเดิมขวดละ 7 บาท มีการนำไปขายสูงถึงขวดละ 30 บาท มาม่า จากซองละ 5 บาท ขึ้นไป 30 บาท หรืออย่างอิฐบล๊อค จากราคาเดิมก้อนละ 3-4 บาท พุ่งไปก้อนละ 10 -12 บาท อิฐมวลเบาเดิมราคาก้อนละ 18-19 บาท พุ่งไป 22-25 บาท ทรายบรรจุถุง จากเดิมขายไปเกินถุงละ 30-40 บาท วันนี้ไปหาซื้อแทบไม่มี หรือมีก็ถูกโขกไปถึงถุงละ 80-100 บาท ซ้ำเติมทุกข์ชาวบ้าน
นอกจากนี้ ถุงยังชีพที่คนใจบุญนำมาบริจาคก็กระจุกตัวแจกกันเฉพาะเขตชุมชน หรือตัวเมืองและมีการเวียนเทียนมารับของแจก จากนั้นก็นำไปแยกถุง ก่อนนำใส่เรือไปขายในพื้นที่รอบนอก เพราะคนที่เอามาบริจาคก็บริจาคเฉพาะเขตชุมชน แต่ไม่มีเรือติดเครื่องยนต์เพื่อนำของไปบริจาคในพื้นที่รอบนอก ถือเป็นการซ้ำเติมทุกข์อย่างมาก หนำซ้ำค่าเช่าเรือเพื่อให้ขนของหนีน้ำ หรือไปรับญาติพี่น้องคนป่วยที่ติดอยู่ในบ้านของชาวบ้านด้วยกันเอง ก็ขูดเลือดขูดเนื้อ เรียกราคาสูงถึงเที่ยวละ 500 บาทขึ้นไป
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ยังมีปัญหาการกักตุนสินค้าทั้งสินค้า อุปโภค บริโภค ที่ขณะนี้ขยายมาถึงกรุงเทพและเขตปริมณฑลแล้ว ซึ่งตนประสบด้วยตนเอง โดยไปหาซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดที่บิ๊กซีรามคำแหง พบชาวบ้านแย่งกันซื้อน้ำจนถึงขั้นทะเลาะชกต่อยกันที่ชั้นขายน้ำดื่ม ขณะที่บนชั้นน้ำดื่ม มาม่า อาหารแห้ง ปลากระป๋อง ก็ไม่มีขาย
ส่วนราคาผลไม้พืชผักสดต่างๆในกรุงเทพ ก็เพิ่มขึ้นทั้งหมด อย่างละ 10-20 บาท แม่ค้าต่างอ้างว่าของขึ้นราคา ก็อยากถามว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างนี้หรือ หรือแค่การสั่งการเหมือนสั่งน้ำมูก แต่ฝ่ายปฏิบัติกลับไม่มาตรวจสอบ มันก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติ เวลานี้ชาวบ้านต่างด่าถึงกระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในว่า ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ออกมาจัดการปัญหา
“ทำไมคนที่เกี่ยวข้อง ผู้ใหญ่ในรัฐบาล ไม่ลงมาดูแลปัญหาทุกข์สุขชาวบ้านกลับเปิดช่องให้พ่อค้าหน้าเลือดขูดรีดซ้ำเติมเพิ่มความทุกข์ให้ชาวบ้าน ทั้งที่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีงานทำ บ้านจมน้ำ และต้องเก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น เสมือนผีถึงหลุมจะถูกโขกสับอย่างไรก็ต้องยอม ผมขอแนะให้รัฐบาลควรใช้เครือข่ายระบบราชการ และองค์กรการปกครองท้องถิ่นในการแจกจ่ายถุงยังชีพให้ชาวบ้านได้ทั่วถึงกว่านี้ โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่รอบนอกเขตเมือง เขตชุมชน อย่าสักแต่สั่ง แต่ไม่ติตตามผลว่าสั่งแล้วระดับปฏิบัตินำไปทำจริงหรือไม่
จึงขอเตือนหากไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะเครื่องอุปโภคบริโภค ที่จำเป็นในชีวิตต้องเข้าถึงชาวบ้านรอบนอกให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนี้ ที่สุดแล้วอาจเกิดปัญหาจลาจล การฉกชิง ปล้นจี้ร้านค้าสะดวก เพราะชาวบ้านไม่มีเงินแต่ท้องหิว มันจะเป็นปัญหาสังคมตามมา โดยเฉพาะปัญหาพ่อค้าโก่งราคาสินค้าต่างๆ ที่เอาเปรียบชาวบ้าน รัฐบาลต้องเร่งจัดการให้เห็นเป็นตัวอย่าง” นายชูวิทย์กล่าว
ที่มา: ทีมข่าวการเมือง ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2554
===================
เปรียบเทียบคนไทยที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมกับคนญี่ปุ่นที่ได้ผลกระทบจากสึนามิ แล้วรู้สังเวชที่คนไทยเห็นแก่ได้ ไม่ได้มองเห็นความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ .. ประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนา เห็นชัีดๆ ว่าไทยยังด้อยพัฒนาอีกมาก
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย สุดทนกระซวกไส้ ก.พาณิชย์และกรมการค้าภายในทำงานสุดแย่ ปล่อยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม ถูกขูดเลือดต้องซื้อมาม่าซองละ 30 บาทประทังชีวิต…
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวว่า ตนได้รับการร้องทุกข์จากชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะใน จ.อยุธยา จึงได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบพบว่า ความเป็นอยู่ของชาวบ้านลำบากมาก โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่รอบนอกจากเขตชุมชนหรือเขตเมือง ที่ต้องถูกตัดน้ำตัดไฟ ยังต้องขึ้นไปอยู่บนชั้นสอง หรือหลังคาบ้าน เพราะห่วงบ้าน เนื่องจากยังมีขโมยชุกชุมที่เข้าไปซ้ำเติม โดยเฉพาะกลางคืนไม่มีไฟฟ้าเสี่ยงต่อการถูกสัตว์เลื้อยคลานมีพิษกัด ขณะที่อาหารเครื่องอุปโภคบริโภคก็ขาดแคลน น้ำดื่มจากเดิมขวดละ 7 บาท มีการนำไปขายสูงถึงขวดละ 30 บาท มาม่า จากซองละ 5 บาท ขึ้นไป 30 บาท หรืออย่างอิฐบล๊อค จากราคาเดิมก้อนละ 3-4 บาท พุ่งไปก้อนละ 10 -12 บาท อิฐมวลเบาเดิมราคาก้อนละ 18-19 บาท พุ่งไป 22-25 บาท ทรายบรรจุถุง จากเดิมขายไปเกินถุงละ 30-40 บาท วันนี้ไปหาซื้อแทบไม่มี หรือมีก็ถูกโขกไปถึงถุงละ 80-100 บาท ซ้ำเติมทุกข์ชาวบ้าน
นอกจากนี้ ถุงยังชีพที่คนใจบุญนำมาบริจาคก็กระจุกตัวแจกกันเฉพาะเขตชุมชน หรือตัวเมืองและมีการเวียนเทียนมารับของแจก จากนั้นก็นำไปแยกถุง ก่อนนำใส่เรือไปขายในพื้นที่รอบนอก เพราะคนที่เอามาบริจาคก็บริจาคเฉพาะเขตชุมชน แต่ไม่มีเรือติดเครื่องยนต์เพื่อนำของไปบริจาคในพื้นที่รอบนอก ถือเป็นการซ้ำเติมทุกข์อย่างมาก หนำซ้ำค่าเช่าเรือเพื่อให้ขนของหนีน้ำ หรือไปรับญาติพี่น้องคนป่วยที่ติดอยู่ในบ้านของชาวบ้านด้วยกันเอง ก็ขูดเลือดขูดเนื้อ เรียกราคาสูงถึงเที่ยวละ 500 บาทขึ้นไป
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ยังมีปัญหาการกักตุนสินค้าทั้งสินค้า อุปโภค บริโภค ที่ขณะนี้ขยายมาถึงกรุงเทพและเขตปริมณฑลแล้ว ซึ่งตนประสบด้วยตนเอง โดยไปหาซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดที่บิ๊กซีรามคำแหง พบชาวบ้านแย่งกันซื้อน้ำจนถึงขั้นทะเลาะชกต่อยกันที่ชั้นขายน้ำดื่ม ขณะที่บนชั้นน้ำดื่ม มาม่า อาหารแห้ง ปลากระป๋อง ก็ไม่มีขาย
ส่วนราคาผลไม้พืชผักสดต่างๆในกรุงเทพ ก็เพิ่มขึ้นทั้งหมด อย่างละ 10-20 บาท แม่ค้าต่างอ้างว่าของขึ้นราคา ก็อยากถามว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างนี้หรือ หรือแค่การสั่งการเหมือนสั่งน้ำมูก แต่ฝ่ายปฏิบัติกลับไม่มาตรวจสอบ มันก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติ เวลานี้ชาวบ้านต่างด่าถึงกระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในว่า ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ออกมาจัดการปัญหา
“ทำไมคนที่เกี่ยวข้อง ผู้ใหญ่ในรัฐบาล ไม่ลงมาดูแลปัญหาทุกข์สุขชาวบ้านกลับเปิดช่องให้พ่อค้าหน้าเลือดขูดรีดซ้ำเติมเพิ่มความทุกข์ให้ชาวบ้าน ทั้งที่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีงานทำ บ้านจมน้ำ และต้องเก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น เสมือนผีถึงหลุมจะถูกโขกสับอย่างไรก็ต้องยอม ผมขอแนะให้รัฐบาลควรใช้เครือข่ายระบบราชการ และองค์กรการปกครองท้องถิ่นในการแจกจ่ายถุงยังชีพให้ชาวบ้านได้ทั่วถึงกว่านี้ โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่รอบนอกเขตเมือง เขตชุมชน อย่าสักแต่สั่ง แต่ไม่ติตตามผลว่าสั่งแล้วระดับปฏิบัตินำไปทำจริงหรือไม่
จึงขอเตือนหากไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะเครื่องอุปโภคบริโภค ที่จำเป็นในชีวิตต้องเข้าถึงชาวบ้านรอบนอกให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนี้ ที่สุดแล้วอาจเกิดปัญหาจลาจล การฉกชิง ปล้นจี้ร้านค้าสะดวก เพราะชาวบ้านไม่มีเงินแต่ท้องหิว มันจะเป็นปัญหาสังคมตามมา โดยเฉพาะปัญหาพ่อค้าโก่งราคาสินค้าต่างๆ ที่เอาเปรียบชาวบ้าน รัฐบาลต้องเร่งจัดการให้เห็นเป็นตัวอย่าง” นายชูวิทย์กล่าว
ที่มา: ทีมข่าวการเมือง ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2554
===================
เปรียบเทียบคนไทยที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมกับคนญี่ปุ่นที่ได้ผลกระทบจากสึนามิ แล้วรู้สังเวชที่คนไทยเห็นแก่ได้ ไม่ได้มองเห็นความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ .. ประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนา เห็นชัีดๆ ว่าไทยยังด้อยพัฒนาอีกมาก
เฮงซวย: Inferior / Bad / Low
คราวนี้มาพูดภาษาอังกฤษของคำ่ว่า "เฮงซวย" ซึ่งก่อนอื่นเรามาดูนิยามความหมายกันซะหน่อย พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของ "เฮงซวย" ว่า เอาแน่นอนอะไรไม่ได้, คุณภาพต่ำ, ไม่ดี, เช่น คนเฮงซวย ของเฮงซวย เรื่องเฮงซวย
คำภาษาอังกฤษที่ให้ความหมายใกล้เคียงกับ"เฮงซวย": Inferior / Bad / Low / nether / worst
คำ Inferior เป็นทั้ง นาม (noun) และ adjective (คำขยายนาม) และมี Inferiority (n) และ Inferiorly (adv)
มาดูตัวอย่างกัน
พลาสติกพวกนี้เฮงซวย คุณภาพห่วยไม่ได้มาตรฐาน These plastics are of inferior quality.
พวกเรามีรัฐบาลเฮงซวย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม We are having inferior governments who are interests in their own benefits more than public's.
เขาทำให้ลูกของฉันรู้สึกแย่ที่จะพูดในที่สาธารณะ He made my son feel inferior to speak in public.
เราเลิกกันเพราะความรักเฮงซวย (ไม่ได้รักกันจริง) We are split due mainly to inferior love.
ลืมมันไปซะเรื่องเฮงซวยพวกนี้ You should forget these inferior matters.
Dr.SoS
คำภาษาอังกฤษที่ให้ความหมายใกล้เคียงกับ"เฮงซวย": Inferior / Bad / Low / nether / worst
คำ Inferior เป็นทั้ง นาม (noun) และ adjective (คำขยายนาม) และมี Inferiority (n) และ Inferiorly (adv)
มาดูตัวอย่างกัน
พลาสติกพวกนี้เฮงซวย คุณภาพห่วยไม่ได้มาตรฐาน These plastics are of inferior quality.
พวกเรามีรัฐบาลเฮงซวย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม We are having inferior governments who are interests in their own benefits more than public's.
เขาทำให้ลูกของฉันรู้สึกแย่ที่จะพูดในที่สาธารณะ He made my son feel inferior to speak in public.
เราเลิกกันเพราะความรักเฮงซวย (ไม่ได้รักกันจริง) We are split due mainly to inferior love.
ลืมมันไปซะเรื่องเฮงซวยพวกนี้ You should forget these inferior matters.
Dr.SoS
เทพนิยายแห่งรัก'ราชา - สามัญชน'ภูฏาน
อีก 1 ความสนใจของคนไทย และปลื้มปีติยินดีที่แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นในเมืองไทย หรือเป็นชนเชื้อสายไทยก็ตาม แต่กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏานองค์นี้ก็ได้สร้างความประทับใจให้กับคนไทยเมื่อครั้งที่เสด็จมาเป็นพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อยู่ไม่น้อย...
ข่าวคราวของมกุฎราชกุมารแห่งภูฏานเมื่อครั้งเสด็จมาเมืองไทยเมื่อครานั้น ยังคงเป็นที่จดจำของคนไทย และสื่อต่างๆ ก็เฝ้าติดตามจนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ขึ้นครองสิริราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา
กษัตริย์หนุ่มแห่งภูฏานผู้นี้ นอกจากจะมีพระสิริโฉมที่งดงาม และมีมาดสุขุมนุ่มนวลแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ และมุ่งมั่นกับหน้าที่ของการดูแลประชาชนที่พระองค์ต้องปกครอง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป เช่นเดียวกับเรื่องความรักที่พระองค์เองนั้นรู้สึก ซึ่งหญิงสาวที่สามารถมัดหัวใจพระราชาหนุ่มองค์นี้ได้ก็คือ เจตซุน เพมา สาวสามัญชนที่กำลังจะเป็นเจ้าหญิงคนใหม่แห่งราชวงศ์วังชุก
รู้จักกับว่าที่ราชินีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน
'นางสาว เจตซุน เพมา' หญิงสาวในวัย 20 ปี เป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้อง 5 คนของนายโทนทับ ดียัลเซน กับนางโซนัม สุกี เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 ที่กรุงทิมพู ประเทศภูฏาน ในวัยเด็กจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ประเทศภูฏาน ก่อนเดินทางไปเรียนต่อที่ลอว์เรนซ์ สคูล ในเมืองซานาวาร์ หิมาจัลประเทศ และที่เซนต์โจเซฟคอนแวนต์ในกาลิมพง ประเทศอินเดีย หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนีเจนต์คอลเลจ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นอกจากเรื่องการศึกษา และสติปัญญาที่หญิงสาวคนนี้มีเพรียบพร้อมแล้ว
นิยายรัก ความประทับใจ พระราชาผู้ยิ่งใหญ่กับสาวสามัญชน
เส้นทางความรักของทั้งสอง สื่อต่างๆ นั้นต่างเปรียบว่าทั้งสองเปรียบเสมือนคู่ของเจ้าชายวิลเลียม และเคท มิดเดิลตัน แห่งอังกฤษ เพราะต่างพบรักกับหญิงสาวสามัญชนเหมือนกัน ขณะที่ความรักของเจ้าชายจิกมีกับนางสาวเจตซุน เพมา ดำเนินไปอย่างราบเรียบ ความโรแมนติกที่ทั้งสองได้แสดงออกต่อกันก็เริ่มเปิดเผยต่อสาธารณชนให้รับรู้มากขึ้น ว่าหญิงสาวผู้นี้ คือว่าที่ราชินีที่จะเคียงคู่พระองค์ในอนาคต พระองค์ก็เริ่มที่จะเผยความในใจที่พระองค์มีต่อหญิงสาวผู้นี้ให้กับสื่อมากขึ้น
ซีนโรแมนติก คู่รักแห่งปีของประเทศภูฏาน
การประกาศหมั้นของทั้งสอง ทำให้ประชาชนชาวภูฏานต่างรู้สึกยินดีอย่างมาก ฝ่ายของเจ้าชายจิกมีเอง ก็ได้ตรัสถึงว่าที่เจ้าสาวด้วยความชื่นชม ว่าเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดด้วยสติปัญญา และเป็นคนที่จิตใจดี ซึ่งพระองค์ทรงเริ่มรู้จักกัน ตั้งแต่ที่พระคู่หมั้นเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยทิมพู และตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็พัฒนามากขึ้น และเริ่มตามเสด็จไปพบปะประชาชนตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศอยู่บ้าง
ความต่างที่ลงตัวระหว่างกษัตริย์จิกมี และพระคู่หมั้น
แม้ว่าทั้งสองจะเกิดมาในครอบครัวที่แตกต่างกัน อีกคนคือกษัตริย์ที่มีภาระหน้าที่อันใหญ่หลวง ส่วนฝ่ายพระคู่หมั้น แม้ว่าจะเป็นสามัญชนธรรมดา แต่ก็เกิดมาในตระกูลที่มีฐานะดี นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีรสนิยมความชอบคล้ายๆ กัน โดยเฉพาะงานศิลปะ จิตรกรรม ภาพวาด อีกทั้งพระคู่หมั้นของกษัตริย์จิกมียังชื่นชอบการเล่นกีฬาบาสเกตบอลเป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งยังเต้นระบำพื้นเมืองพันกรา และการเต้นรำแบบตะวันตกอีกด้วย
อีกไม่กี่วันความปลื้มปีติที่จะได้เห็นพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของทั้งสองก็จะยิ่งมากขึ้น โดยพิธีจะจัดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 2554 ณ เมืองปุนาคา โดยจะจัดอย่างเรียบง่าย และเป็นตามประเพณีดั้งเดิมของภูฏาน ซึ่งคงนำความสุขมาสู่ทั้งสองพระองค์ และประชาชนทั่วประเทศ
Twitter : Sriploi_social
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 11 ตุลาคม 2554
ข่าวคราวของมกุฎราชกุมารแห่งภูฏานเมื่อครั้งเสด็จมาเมืองไทยเมื่อครานั้น ยังคงเป็นที่จดจำของคนไทย และสื่อต่างๆ ก็เฝ้าติดตามจนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ขึ้นครองสิริราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา
กษัตริย์หนุ่มแห่งภูฏานผู้นี้ นอกจากจะมีพระสิริโฉมที่งดงาม และมีมาดสุขุมนุ่มนวลแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ และมุ่งมั่นกับหน้าที่ของการดูแลประชาชนที่พระองค์ต้องปกครอง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป เช่นเดียวกับเรื่องความรักที่พระองค์เองนั้นรู้สึก ซึ่งหญิงสาวที่สามารถมัดหัวใจพระราชาหนุ่มองค์นี้ได้ก็คือ เจตซุน เพมา สาวสามัญชนที่กำลังจะเป็นเจ้าหญิงคนใหม่แห่งราชวงศ์วังชุก
รู้จักกับว่าที่ราชินีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน
'นางสาว เจตซุน เพมา' หญิงสาวในวัย 20 ปี เป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้อง 5 คนของนายโทนทับ ดียัลเซน กับนางโซนัม สุกี เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 ที่กรุงทิมพู ประเทศภูฏาน ในวัยเด็กจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ประเทศภูฏาน ก่อนเดินทางไปเรียนต่อที่ลอว์เรนซ์ สคูล ในเมืองซานาวาร์ หิมาจัลประเทศ และที่เซนต์โจเซฟคอนแวนต์ในกาลิมพง ประเทศอินเดีย หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนีเจนต์คอลเลจ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นอกจากเรื่องการศึกษา และสติปัญญาที่หญิงสาวคนนี้มีเพรียบพร้อมแล้ว
นิยายรัก ความประทับใจ พระราชาผู้ยิ่งใหญ่กับสาวสามัญชน
เส้นทางความรักของทั้งสอง สื่อต่างๆ นั้นต่างเปรียบว่าทั้งสองเปรียบเสมือนคู่ของเจ้าชายวิลเลียม และเคท มิดเดิลตัน แห่งอังกฤษ เพราะต่างพบรักกับหญิงสาวสามัญชนเหมือนกัน ขณะที่ความรักของเจ้าชายจิกมีกับนางสาวเจตซุน เพมา ดำเนินไปอย่างราบเรียบ ความโรแมนติกที่ทั้งสองได้แสดงออกต่อกันก็เริ่มเปิดเผยต่อสาธารณชนให้รับรู้มากขึ้น ว่าหญิงสาวผู้นี้ คือว่าที่ราชินีที่จะเคียงคู่พระองค์ในอนาคต พระองค์ก็เริ่มที่จะเผยความในใจที่พระองค์มีต่อหญิงสาวผู้นี้ให้กับสื่อมากขึ้น
ซีนโรแมนติก คู่รักแห่งปีของประเทศภูฏาน
การประกาศหมั้นของทั้งสอง ทำให้ประชาชนชาวภูฏานต่างรู้สึกยินดีอย่างมาก ฝ่ายของเจ้าชายจิกมีเอง ก็ได้ตรัสถึงว่าที่เจ้าสาวด้วยความชื่นชม ว่าเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดด้วยสติปัญญา และเป็นคนที่จิตใจดี ซึ่งพระองค์ทรงเริ่มรู้จักกัน ตั้งแต่ที่พระคู่หมั้นเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยทิมพู และตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็พัฒนามากขึ้น และเริ่มตามเสด็จไปพบปะประชาชนตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศอยู่บ้าง
ความต่างที่ลงตัวระหว่างกษัตริย์จิกมี และพระคู่หมั้น
แม้ว่าทั้งสองจะเกิดมาในครอบครัวที่แตกต่างกัน อีกคนคือกษัตริย์ที่มีภาระหน้าที่อันใหญ่หลวง ส่วนฝ่ายพระคู่หมั้น แม้ว่าจะเป็นสามัญชนธรรมดา แต่ก็เกิดมาในตระกูลที่มีฐานะดี นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีรสนิยมความชอบคล้ายๆ กัน โดยเฉพาะงานศิลปะ จิตรกรรม ภาพวาด อีกทั้งพระคู่หมั้นของกษัตริย์จิกมียังชื่นชอบการเล่นกีฬาบาสเกตบอลเป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งยังเต้นระบำพื้นเมืองพันกรา และการเต้นรำแบบตะวันตกอีกด้วย
อีกไม่กี่วันความปลื้มปีติที่จะได้เห็นพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของทั้งสองก็จะยิ่งมากขึ้น โดยพิธีจะจัดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 2554 ณ เมืองปุนาคา โดยจะจัดอย่างเรียบง่าย และเป็นตามประเพณีดั้งเดิมของภูฏาน ซึ่งคงนำความสุขมาสู่ทั้งสองพระองค์ และประชาชนทั่วประเทศ
Twitter : Sriploi_social
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 11 ตุลาคม 2554
Tuesday, October 11, 2011
(ความรัก)ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว: Affair
ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ตรงกับภาษาอังกฤษว่า affair
ปกติแล้ว affair(n) จะหมายถึง ธุระ การงาน กงการ แต่ในเชิงความรักความใคร่ affair จะหมายถึง ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว
โดยในแง่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว affair จะออกไปในลักษณะ เหตุการณ์อื้อฉาว หรือ เรื่องอื้อฉาว ได้ด้วย ดังนั้น affair จึงถือเป็นเรื่องรักที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม
ฉันกับภรรยามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวก่อนที่เราจะแต่งงานกัน I and my wife had an affair before we got marriage.
เขาเป็นชู้กับเธอใช่มั๊ย จริงมั๊ย Is it truth that he has an affair with her?
คำอื่น ๆ ทีี่ให้ความหมายในแง่ ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ได้แก่ amour, liaison, affaire
เรื่องรักแบบ affair อย่าได้ทำ เพราะมันไม่ถูกทำนองคลองธรรม
Dr.SoS
ปกติแล้ว affair(n) จะหมายถึง ธุระ การงาน กงการ แต่ในเชิงความรักความใคร่ affair จะหมายถึง ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว
โดยในแง่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว affair จะออกไปในลักษณะ เหตุการณ์อื้อฉาว หรือ เรื่องอื้อฉาว ได้ด้วย ดังนั้น affair จึงถือเป็นเรื่องรักที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม
ฉันกับภรรยามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวก่อนที่เราจะแต่งงานกัน I and my wife had an affair before we got marriage.
เขาเป็นชู้กับเธอใช่มั๊ย จริงมั๊ย Is it truth that he has an affair with her?
คำอื่น ๆ ทีี่ให้ความหมายในแง่ ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ได้แก่ amour, liaison, affaire
เรื่องรักแบบ affair อย่าได้ทำ เพราะมันไม่ถูกทำนองคลองธรรม
Dr.SoS
(ความรัก)คนที่ใช่ Mr.Right-Miss Right
ความรักมันไม่เข้าใครออกใคร คนที่ใช่ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Mr.Right หรือ Miss Right
ใครคือคนที่ใช่ Who is "Mr.Right/Miss Right" for you?
เคล็ดลับในการหาคนที่ใช่ Secrete of finding Mr.Right/Miss Right
ผมรู้ว่าหล่อนคือผู้หญิงที่ใช่ เธอใช่สำหรับผม He just knows she is Miss Right for him.
จากจูมพิตจูบแรกผมก็รู้ว่าเธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเธอ From our first kiss, I know he is my Mr.Right.
อ้าว เป็นอย่างนั้น เจอคนที่ใช่ แล้วทำไมสถิติในอังกฤษ จีน และอเมริกา ถึงบอกว่า คู่แต่งงานหย่าล้างกันเกินครึ่ง
Oh.. if it is that, you find the Right, then why more than half of marriage couples in UK, China, US get divorce.
อยากบอกให้รู้ ว่า มันมีความแตกต่างระหว่าง 'คนที่ใช่'ในความฝัน กับ'คนที่ใช่'จริงๆ there's a difference between what most women say they want Mr. Right to be, and who Mr. Right actually is
หวังว่าคุณคงสามารถหลีกคนที่ไม่ใช่เพื่อเจอะเจอกับคนที่ใช่นะ Hope you can avoid Mr. Wrong in order to meet Mr.Right/Miss Right.
Dr.SoS
ใครคือคนที่ใช่ Who is "Mr.Right/Miss Right" for you?
เคล็ดลับในการหาคนที่ใช่ Secrete of finding Mr.Right/Miss Right
ผมรู้ว่าหล่อนคือผู้หญิงที่ใช่ เธอใช่สำหรับผม He just knows she is Miss Right for him.
จากจูมพิตจูบแรกผมก็รู้ว่าเธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเธอ From our first kiss, I know he is my Mr.Right.
อ้าว เป็นอย่างนั้น เจอคนที่ใช่ แล้วทำไมสถิติในอังกฤษ จีน และอเมริกา ถึงบอกว่า คู่แต่งงานหย่าล้างกันเกินครึ่ง
Oh.. if it is that, you find the Right, then why more than half of marriage couples in UK, China, US get divorce.
อยากบอกให้รู้ ว่า มันมีความแตกต่างระหว่าง 'คนที่ใช่'ในความฝัน กับ'คนที่ใช่'จริงๆ there's a difference between what most women say they want Mr. Right to be, and who Mr. Right actually is
หวังว่าคุณคงสามารถหลีกคนที่ไม่ใช่เพื่อเจอะเจอกับคนที่ใช่นะ Hope you can avoid Mr. Wrong in order to meet Mr.Right/Miss Right.
Dr.SoS
ตกขบวน Fall behind
ตกขบวน เป็น สำนวนแสลงที่แสดงให้เห็นถึงการทำอะไรไม่ทัน หรือ ไม่ทันคนอื่่น ๆ นั่นเอง
ตกขบวน ตรงกับภาษาอังกฤษ "fall behind" เป็นลักษณะ ไล่ตามไม่ทัน ตามหลังอยู่ อยู่ตามหลัง to fail to do something fast enough or on time
ไปพบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พาดหัว "ทหารแก่ไม่มีใครตกขบวน" On an old newspaper headline, no old soldiers fall behind (the promotions).
อย่าช้านะ (อย่าตกขบวนนะ) = Don't fall behind.
เดินให้เร็วขึ้นจะได้ไม่ตกขบวน Walk faster so as not to fall behind.
บริษัทของเรามีการปรับปรุงเทคโนโลยีที่ไม่ได้ล้าหลังบริษัทอื่น ๆ Our company has updated technology that doesn't fall behind other companies!
ทำไมพวกนักเรียนถึงล้าหลังในเรื่องวิทยาศาสตร์ Why students fall behind on sciences?
ล้าหลัง ตกขบวน บางครั้งก็ใช้ be behind หรือ drag behind
ล้าหลัง ตกขบวน ในลักษณะ"ถอยหลัง"เีรียก recede หรือ fall behind
ล้าหลัง ตกขบวน ในลักษณะ"ด้อยพัฒนา" เรียก become underdeveloped
ย่า/ยายของฉันตกขบวนเทคโนใหม่ ๆ ของพวกมือถือ My grand ma falls behind in cell phone hi-tech.
จากการศึกษาพบว่า เด็กที่พ่อแม่หย่าร้างจะเรียนไม่ทันเพื่อนในเรื่องคณิต ทักษะทางสังคม และอื่นๆ Study finds: Children of divorce fall behind peers in math, social skills, etc.
ทำไม่ทัีนตามแผน เรียก fall behind schedule
Dr.SoS
ตกขบวน ตรงกับภาษาอังกฤษ "fall behind" เป็นลักษณะ ไล่ตามไม่ทัน ตามหลังอยู่ อยู่ตามหลัง to fail to do something fast enough or on time
ไปพบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พาดหัว "ทหารแก่ไม่มีใครตกขบวน" On an old newspaper headline, no old soldiers fall behind (the promotions).
อย่าช้านะ (อย่าตกขบวนนะ) = Don't fall behind.
เดินให้เร็วขึ้นจะได้ไม่ตกขบวน Walk faster so as not to fall behind.
บริษัทของเรามีการปรับปรุงเทคโนโลยีที่ไม่ได้ล้าหลังบริษัทอื่น ๆ Our company has updated technology that doesn't fall behind other companies!
ทำไมพวกนักเรียนถึงล้าหลังในเรื่องวิทยาศาสตร์ Why students fall behind on sciences?
ล้าหลัง ตกขบวน บางครั้งก็ใช้ be behind หรือ drag behind
ล้าหลัง ตกขบวน ในลักษณะ"ถอยหลัง"เีรียก recede หรือ fall behind
ล้าหลัง ตกขบวน ในลักษณะ"ด้อยพัฒนา" เรียก become underdeveloped
ย่า/ยายของฉันตกขบวนเทคโนใหม่ ๆ ของพวกมือถือ My grand ma falls behind in cell phone hi-tech.
จากการศึกษาพบว่า เด็กที่พ่อแม่หย่าร้างจะเรียนไม่ทันเพื่อนในเรื่องคณิต ทักษะทางสังคม และอื่นๆ Study finds: Children of divorce fall behind peers in math, social skills, etc.
ทำไม่ทัีนตามแผน เรียก fall behind schedule
Dr.SoS
Sunday, October 9, 2011
ปากแข็ง obstinate/stubborn/tight-lipped
ปากแข็ง จริง ๆ แล้ว ปากแข็งเป็นลักษณะสำนวน idiom ซึ่ง พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของ "ปากแข็ง = พูดยืนยันหรือเถียงอย่างดื้อดัน ไม่ยอมจํานนข้อเท็จจริง"
ปากแข็ง = not to say what one thinks or feels
ปากแข็ง = obstinate (adj) เป็นภาวะที่ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดหรือการกระทำแม้ว่าจะได้โต้เถึยง หรือ โน้นน้าว = unwilling to change opinion or action, not yielding to argument, persuasion, or entreaty.
พวกคนปากแข็งจะดื้อดึง ยึดติดกับเป้าหมาย/วัตถุประสงค์หรือความคิดของตัวเอง stubbornly adhering to one's purpose, opinion etc จะพูดว่า พวกปากแข็ง เป็นพวกไม่ยืดหยุ่น inflexible persistence หรือ ไม่ยอมเปลี่ยนความคิด or an unyielding attitude จะบอกว่า พวกปากแข็ง เปรียบเหมือนเชื้อโรค ช่างดื้อดึงจริง ๆ ควบคุมหรือพิชิตได้ยาก not easily controlled or overcome
คำในกลุ่มที่ให้ความหมายแนวเดียวกัน
obstinately (adv)
obstinacy (n)
obstinateness (noun)
พวกปากแข็งอย่างมาก อาจเติม super เข้าไปข้างหน้า ได้ เช่น
superobstinate (adjective)
superobstinately, adverb
superobstinateness, noun
พวกปากแข็งแบบต่อต้านการเปลี่ยนแปลง opposed to change ต่อต้่านคำแนะนำ opposed to suggestion จะเรียกว่า พวก ดื้อ ดื้อดึง ในภาษาอังกฤษ จะใช้ stubborn พวกนี้ จะจัดการยาก hard to fix ซ่อมยาก hard to deal with
พวกปากแข็งแบบไม่ยอมรับความผิด refuse to admit mistakes ปากแข็งไม่ยอมแพ้ refuse to admit defeat, pigheaded, stubborn, self-willed, obstinate จะเป็น พวก ดึงดัน ดื้อ พวกนี้ปกติแล้ว หากถูกจับได้ไล่ทันจะยืนกระต่ายขาเดียว ปากแข็ง ไม่ยอมรับเป็นอันขาด
พวกปากแข็งจะเข้าทำนองคำพวกนี้ stubborn, mulish, obdurate, unyielding, unbending, intractable, perverse, inflexible, refractory, pertinacious
พวกปากแข็ง จะมีอาการ ปิดปากเงียบ tight-lipped (Adj) เม้มปากแน่น เงียบ พูดน้อย
พวกปากแข็ง บางครั้งจะออกอาการ เงียบขรึม taciturn adj. เงียบขรึม พูดน้อย เงียบ (taciturnity n.) quiet, untalkative, reticent คือ ไม่พูดไม่จา
พวกปากแข็ง เข้าข่าย พวกหัวแข็ง(ดื้อดึง) headstrong
คนชาติไหน ภาษาไหนก็ปากแข็งกันเป็นทั้งนั้น คนปากแข็ง
Dr.SoS
ปากแข็ง = not to say what one thinks or feels
ปากแข็ง = obstinate (adj) เป็นภาวะที่ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดหรือการกระทำแม้ว่าจะได้โต้เถึยง หรือ โน้นน้าว = unwilling to change opinion or action, not yielding to argument, persuasion, or entreaty.
พวกคนปากแข็งจะดื้อดึง ยึดติดกับเป้าหมาย/วัตถุประสงค์หรือความคิดของตัวเอง stubbornly adhering to one's purpose, opinion etc จะพูดว่า พวกปากแข็ง เป็นพวกไม่ยืดหยุ่น inflexible persistence หรือ ไม่ยอมเปลี่ยนความคิด or an unyielding attitude จะบอกว่า พวกปากแข็ง เปรียบเหมือนเชื้อโรค ช่างดื้อดึงจริง ๆ ควบคุมหรือพิชิตได้ยาก not easily controlled or overcome
คำในกลุ่มที่ให้ความหมายแนวเดียวกัน
obstinately (adv)
obstinacy (n)
obstinateness (noun)
พวกปากแข็งอย่างมาก อาจเติม super เข้าไปข้างหน้า ได้ เช่น
superobstinate (adjective)
superobstinately, adverb
superobstinateness, noun
พวกปากแข็งแบบต่อต้านการเปลี่ยนแปลง opposed to change ต่อต้่านคำแนะนำ opposed to suggestion จะเรียกว่า พวก ดื้อ ดื้อดึง ในภาษาอังกฤษ จะใช้ stubborn พวกนี้ จะจัดการยาก hard to fix ซ่อมยาก hard to deal with
พวกปากแข็งแบบไม่ยอมรับความผิด refuse to admit mistakes ปากแข็งไม่ยอมแพ้ refuse to admit defeat, pigheaded, stubborn, self-willed, obstinate จะเป็น พวก ดึงดัน ดื้อ พวกนี้ปกติแล้ว หากถูกจับได้ไล่ทันจะยืนกระต่ายขาเดียว ปากแข็ง ไม่ยอมรับเป็นอันขาด
พวกปากแข็งจะเข้าทำนองคำพวกนี้ stubborn, mulish, obdurate, unyielding, unbending, intractable, perverse, inflexible, refractory, pertinacious
พวกปากแข็ง จะมีอาการ ปิดปากเงียบ tight-lipped (Adj) เม้มปากแน่น เงียบ พูดน้อย
พวกปากแข็ง บางครั้งจะออกอาการ เงียบขรึม taciturn adj. เงียบขรึม พูดน้อย เงียบ (taciturnity n.) quiet, untalkative, reticent คือ ไม่พูดไม่จา
พวกปากแข็ง เข้าข่าย พวกหัวแข็ง(ดื้อดึง) headstrong
คนชาติไหน ภาษาไหนก็ปากแข็งกันเป็นทั้งนั้น คนปากแข็ง
Dr.SoS
'สตีฟ จ็อบส์' บุรุษเจ้าของตำนานโลก 'ไอที' ศตวรรษที่ 21
'สตีฟ จ็อบส์' บุรุษเจ้าของตำนานโลก 'ไอที' ศตวรรษที่ 21 - Goodbye ลาก่อนเด้อ
ลองย้อนประวัติชีวิตในแง่มุมที่น่าสนใจของ สตีฟ จ็อบส์ เพื่อเป็นข้อคิดและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังที่อยากประสบความสำเร็จใน ชีวิตแบบชายผู้นี้ บุรุษทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 21...
"สตีฟ จ็อบส์" (Steve Jobs) ผู้ชายที่ดูแสนจะธรรมดา แต่กลับเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลก ด้วยมันสมองและสองมือที่จ็อบส์ไม่หยุดนิ่ง แม้พบอุปสรรคมากมายในชีวิต ทำให้วันนี้คนทั่วโลกต่างนับถือในผลงานและยกย่องให้เขาเป็น'ตำนาน'ของวงการ ไอทีที่สำคัญคนหนึ่งของโลก
สาวก แอปเปิลและชาวไอทีทั่วโลกคงกำลังน้ำตาซึมกับข่าวการจากไปของสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล วัย 56 ปี เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน หลังพยายามต่อสู้กับโรคมานานหลายปี และเพื่อเป็นการไว้อาลัยครั้งสุดท้ายให้กับซีอีโอผู้นี้ ไทยรัฐออนไลน์ขอย้อนประวัติชีวิตในแง่มุมที่น่าสนใจของสตีฟ จ็อบส์ เพื่อเป็นข้อคิดและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังที่อยากประสบความสำเร็จใน ชีวิตแบบชายผู้นี้บ้าง
1. พ่อที่แท้จริงของ'สตีฟ จ็อบส์' เป็นชาวซีเรียมุสลิม แต่ด้วยความไม่สะดวกที่จะเลี้ยงดูอุ้มชูเด็กชายสตีฟ จึงต้องไปอยู่กับครอบครัว "จ็อบส์" และเป็นต้นกำเนิดของซีอีโอใหญ่ในทุกวันนี้
2. เชื่อหรือไม่ว่า ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล อิงค์ เรียนหนังสือไม่จบมหาวิทยาลัย เพราะ 'ต้องการทำในสิ่งที่ตนเองรักมากกว่าพยายามทำในสิ่งที่สังคมกำหนด' แต่ใช่ว่าจ็อบส์จะไม่เห็นคุณค่าของวิชาที่เรียน อย่างวิชาการออกแบบตัวอักษรที่หนุ่มน้อยได้เรียนในมหาวิทยาลัย ก็สามารถต่อยอดตอนที่ Apple ได้เริ่มผลิต Mac ออกมา และมีตัวอักษรแบบแปลกๆสวยๆงามๆออกมาให้โลกรู้จัก
3. จ็อบส์ในวัย 21 ปี และเพื่อนสนิทเข้าร่วมชมรมเครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน และจากนั้นอีกเพียงไม่กี่ปี เพื่อนรักทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจ็อบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จ็อบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตา ได้แก่ เครื่อง Apple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกระแสตอบรับดีมาก จนมีเครื่อง Apple รุ่นอื่นๆผลิตออกมาเรื่อยๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือผลงานสร้างชื่อให้กับสตีฟ จ็อบส์และบริษัทแอปเปิลเป็นการเปิดตัวเครื่องแมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟฟิกที่ประสบ ความสำเร็จทางการค้า ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้ ส่วนสาเหตุที่ใช้แอปเปิลถูกกัดเป็นเครื่องหมายการค้า หลายคนคงพอรู้กันว่าในคัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงตำนานอดัมกับอีฟต้นกำเนิดของมนุษยชาติกัดกินแอปเปิล ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลไม้ต้องห้าม โดยผลลัพธ์ของการฝืนข้อห้ามนั้น ทำให้อดัมกับอีฟกลายร่างเป็นมนุษย์ ต้องเจ็บป่วย ทำงานแลกอาหาร และให้กำเนิดทารก
4. ชีวิตส่วนตัวของชายผู้นี้เรียบและง่ายอย่างที่สุด เขาเป็นมังสวิรัติ สวมเสื้อผ้าใส่สบายๆ สังเกตจากการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนทุกครั้งของสตีฟ จ็อบส์ ต้องเห็นเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบใส่สบาย การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ทำให้สื่อบางแขนงไปเจาะลึกถึงยี่ห้อและราคาออกมา ไม่น่าเชื่อจริงๆ เลยว่า พ่อวีรบุรุษโลกไอทีผู้นี้ใส่เสื้อผ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าเพียงหมื่นเศษๆ
5. ส่วนเรื่องความรัก จ็อบส์เข้าพิธีสมรสกับลอเรนซ์ พาวเวลล์ เมื่อวัน 18 มีนาคม ค.ศ.1991 และมีบุตรด้วยกันสามคน และยังมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อ ลิซา จ็อบส์ ที่เกิดจากสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้แต่งงานด้วย
6. นิสัยโมโหร้าย ถือเป็นข้อเสียของซีอีโอหนุ่มช่างคิดคนนี้ จนถึงขั้นว่าเขาถูกคณะกรรมการบริหารของแอปเปิลถอดออกจากภารกิจต่างๆที่เขา เป็นผู้รับผิดชอบและได้ลาออกในที่สุด โดยเขากล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมจะพูดอะไรได้ ผมจ้างคนผิด เขาทำลายทุกสิ่งที่ผมสร้างไว้ด้วยการทำงานยาวนานถึง 10 ปี ทุกอย่างเริ่มที่ตัวผมเอง แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าเศร้าที่สุด ผมคงจะยินดีออกจากแอปเปิล หากว่าแอปเปิลยอมทำอย่างที่ผมต้องการ"
7. การที่จ็อบส์สูญเสียแอปเปิลไป กลับพลิกชีวิตเขาให้ได้รู้จักกับความรักจนเป็นแรงใจให้เขาเริ่มต้นใหม่อีก ครั้ง โดยการเริ่มสร้างบริษัท Next และ Pixar บริษัทการ์ตูนแอนิเมชั่นชื่อดัง ซึ่งในตอนหลังได้ขายทำเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก และในที่สุด Next ก็ถูกบริษัทแอปเปิลซื้อ เขาจึงกลับมาทำงานกับ Apple อีกครั้งโดยปริยาย จนในที่สุดเขาก็ขึ้นเป็นซีอีโอแอปเปิล
8. ช่วงแอปเปิลเกือบถึงคราวสะดุด แต่จ็อบส์ก็ยังรู้จักประยุกต์แฟชั่นให้เข้ากับคอมพิวเตอร์ โดยเปิดตัวเครื่อง iMAC เครื่องใสๆ สีลูกกวาด พร้อมอุปกรณ์เสริมต่างๆที่เข้าชุดกัน ตามมาด้วย iPod เครื่องเล่นเพลงที่เขย่าวงการทั่วโลก เพราะมียอดขายถึงล้านเครื่องทั่วโลก ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะแอปเปิลยังช็อกคนทั้งโลกด้วยการเปิดตัว i-Phone และ i-Pad สร้างแบรนด์แอปเปิลให้กลายเป็นอุปกรณ์ไฮเทคที่ทุกบ้านจำเป็นต้องมีสัก เครื่อง
9. คำขวัญประจำใจของนักคิด'สตีฟ' "ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมันมีจุดเชื่อมต่อ มันจะต่อกันเอง เพียงแต่ขอให้เรามีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ มันเหมือนกับการลากเส้นจุดเชื่อมต่อ เราไม่สามารถลากจุดไปยังอนาคตได้ แต่หากเราลองมองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นว่าสิ่งที่ผ่านๆมามันประติดประต่อกัน มาเป็นเรื่องเป็นราวโดยอัตโนมัติ ดังนั้นจงเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ มันจะลากเส้นต่อเข้าหากันเองในอนาคต"
10. แม้จะเป็นคนฉลาดและหาทางออกทุกอย่างในชีวิตมาได้ตลอด แต่สุดท้ายสตีฟ จ็อบส์ก็ไม่สามารถหนีโรคภัยไข้เจ็บไปได้ เขารู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนเมื่อ 7 ปีที่แล้ว และทำการรักษาอย่างเต็มที่พร้อมกับสร้างสรรค์ผลงานไอทีออกมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2011 บุรุษผู้เป็นตำนานแอปเปิล อิงค์ได้ตัดสินใจส่งทอดอำนาจการบริหารต่อให้กับ "ทิม คุก"เป็นซีอีโอสืบสานอนาคตของบริษัทต่อไป
11. หลังจากที่แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ประกาศเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว แอปเปิลคอมพิวเตอร์ก็ออกมาประกาศว่า 'สตีฟ จ็อบส์' เสียชีวิตอย่างสงบแล้วจากโรคมะเร็งตับอ่อนรุมเร้ามาตั้งแต่กลางปีค.ศ. 2004 ด้วยวัยเพียง 56 ปี
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 7 ตุลาคม 2554
--------------------
ตอนที่ สตีฟ จอบส์ ถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือ
สตีฟ จอบส์: "ผมจะพูดอะไรได้? ผมจ้างคนผิด เขาทำลายทุกสิ่งที่ผมสร้างไว้ด้วยการทำงานยาวนานถึง 10 ปี ทุกอย่างเริ่มที่ตัวผมเอง แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าเศร้าที่สุด ผมคงจะยินดีออกจากแอปเปิลหากว่าแอปเปิลยอมทำอย่างที่ผมต้องการ"
คณะกรรมการบริหารของแอปเปิลระบุในแถลงการณ์ในงานศพของ สตีฟ จอบส์
"ความหลักแหลม กระตือรือร้น และพลังงานของสตีฟ เป็นที่มาของนวัตกรรมนับไม่ถ้วน ซึ่งเพิ่มคุณค่าและพัฒนาชีวิตของพวกเราให้ดีขึ้น โลกดีขึ้นอย่างสุดประมาณเพราะสตีฟ"
----------------------
Steve Jobs
----------------------
Steve Jobs is the Godfather of the Technological Age. Back in the '70s, as a young man, he and fellow "geek" Steve Wozniak started Apple Computers, literally out of their family garages. When Jobs was dismissed from Apple in the 80s, the company suffered. When he returned, he helped develop and promote all the "i's" - the ipod, itunes, iphone, etc., and, lo and behold, Apple again became #1. His appearances at the annual Macworld conventions were always highly anticipated and entertaining, and often produced major announcements regarding new products. When he announced that he would not be making an appearance at the show this year because of health problems, it sent a wave of concern among his "disciples."
One thing for sure, with the millions of dollars he has earned through the years, he certainly should be able to afford the absolute best medical care there is. Of course - life being what it is - if there's no cure for what ails Steve Jobs, if his "number's up," as they say, his wealth won't mean a thing.
Source: Basic Biittner: "Job -less" by Dan Whitney of Cherokee Chronicle Times
ลองย้อนประวัติชีวิตในแง่มุมที่น่าสนใจของ สตีฟ จ็อบส์ เพื่อเป็นข้อคิดและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังที่อยากประสบความสำเร็จใน ชีวิตแบบชายผู้นี้ บุรุษทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 21...
"สตีฟ จ็อบส์" (Steve Jobs) ผู้ชายที่ดูแสนจะธรรมดา แต่กลับเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลก ด้วยมันสมองและสองมือที่จ็อบส์ไม่หยุดนิ่ง แม้พบอุปสรรคมากมายในชีวิต ทำให้วันนี้คนทั่วโลกต่างนับถือในผลงานและยกย่องให้เขาเป็น'ตำนาน'ของวงการ ไอทีที่สำคัญคนหนึ่งของโลก
สาวก แอปเปิลและชาวไอทีทั่วโลกคงกำลังน้ำตาซึมกับข่าวการจากไปของสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล วัย 56 ปี เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน หลังพยายามต่อสู้กับโรคมานานหลายปี และเพื่อเป็นการไว้อาลัยครั้งสุดท้ายให้กับซีอีโอผู้นี้ ไทยรัฐออนไลน์ขอย้อนประวัติชีวิตในแง่มุมที่น่าสนใจของสตีฟ จ็อบส์ เพื่อเป็นข้อคิดและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังที่อยากประสบความสำเร็จใน ชีวิตแบบชายผู้นี้บ้าง
1. พ่อที่แท้จริงของ'สตีฟ จ็อบส์' เป็นชาวซีเรียมุสลิม แต่ด้วยความไม่สะดวกที่จะเลี้ยงดูอุ้มชูเด็กชายสตีฟ จึงต้องไปอยู่กับครอบครัว "จ็อบส์" และเป็นต้นกำเนิดของซีอีโอใหญ่ในทุกวันนี้
2. เชื่อหรือไม่ว่า ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล อิงค์ เรียนหนังสือไม่จบมหาวิทยาลัย เพราะ 'ต้องการทำในสิ่งที่ตนเองรักมากกว่าพยายามทำในสิ่งที่สังคมกำหนด' แต่ใช่ว่าจ็อบส์จะไม่เห็นคุณค่าของวิชาที่เรียน อย่างวิชาการออกแบบตัวอักษรที่หนุ่มน้อยได้เรียนในมหาวิทยาลัย ก็สามารถต่อยอดตอนที่ Apple ได้เริ่มผลิต Mac ออกมา และมีตัวอักษรแบบแปลกๆสวยๆงามๆออกมาให้โลกรู้จัก
3. จ็อบส์ในวัย 21 ปี และเพื่อนสนิทเข้าร่วมชมรมเครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน และจากนั้นอีกเพียงไม่กี่ปี เพื่อนรักทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจ็อบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จ็อบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตา ได้แก่ เครื่อง Apple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกระแสตอบรับดีมาก จนมีเครื่อง Apple รุ่นอื่นๆผลิตออกมาเรื่อยๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือผลงานสร้างชื่อให้กับสตีฟ จ็อบส์และบริษัทแอปเปิลเป็นการเปิดตัวเครื่องแมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟฟิกที่ประสบ ความสำเร็จทางการค้า ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้ ส่วนสาเหตุที่ใช้แอปเปิลถูกกัดเป็นเครื่องหมายการค้า หลายคนคงพอรู้กันว่าในคัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงตำนานอดัมกับอีฟต้นกำเนิดของมนุษยชาติกัดกินแอปเปิล ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลไม้ต้องห้าม โดยผลลัพธ์ของการฝืนข้อห้ามนั้น ทำให้อดัมกับอีฟกลายร่างเป็นมนุษย์ ต้องเจ็บป่วย ทำงานแลกอาหาร และให้กำเนิดทารก
4. ชีวิตส่วนตัวของชายผู้นี้เรียบและง่ายอย่างที่สุด เขาเป็นมังสวิรัติ สวมเสื้อผ้าใส่สบายๆ สังเกตจากการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนทุกครั้งของสตีฟ จ็อบส์ ต้องเห็นเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบใส่สบาย การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ทำให้สื่อบางแขนงไปเจาะลึกถึงยี่ห้อและราคาออกมา ไม่น่าเชื่อจริงๆ เลยว่า พ่อวีรบุรุษโลกไอทีผู้นี้ใส่เสื้อผ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าเพียงหมื่นเศษๆ
5. ส่วนเรื่องความรัก จ็อบส์เข้าพิธีสมรสกับลอเรนซ์ พาวเวลล์ เมื่อวัน 18 มีนาคม ค.ศ.1991 และมีบุตรด้วยกันสามคน และยังมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อ ลิซา จ็อบส์ ที่เกิดจากสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้แต่งงานด้วย
6. นิสัยโมโหร้าย ถือเป็นข้อเสียของซีอีโอหนุ่มช่างคิดคนนี้ จนถึงขั้นว่าเขาถูกคณะกรรมการบริหารของแอปเปิลถอดออกจากภารกิจต่างๆที่เขา เป็นผู้รับผิดชอบและได้ลาออกในที่สุด โดยเขากล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมจะพูดอะไรได้ ผมจ้างคนผิด เขาทำลายทุกสิ่งที่ผมสร้างไว้ด้วยการทำงานยาวนานถึง 10 ปี ทุกอย่างเริ่มที่ตัวผมเอง แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าเศร้าที่สุด ผมคงจะยินดีออกจากแอปเปิล หากว่าแอปเปิลยอมทำอย่างที่ผมต้องการ"
7. การที่จ็อบส์สูญเสียแอปเปิลไป กลับพลิกชีวิตเขาให้ได้รู้จักกับความรักจนเป็นแรงใจให้เขาเริ่มต้นใหม่อีก ครั้ง โดยการเริ่มสร้างบริษัท Next และ Pixar บริษัทการ์ตูนแอนิเมชั่นชื่อดัง ซึ่งในตอนหลังได้ขายทำเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก และในที่สุด Next ก็ถูกบริษัทแอปเปิลซื้อ เขาจึงกลับมาทำงานกับ Apple อีกครั้งโดยปริยาย จนในที่สุดเขาก็ขึ้นเป็นซีอีโอแอปเปิล
8. ช่วงแอปเปิลเกือบถึงคราวสะดุด แต่จ็อบส์ก็ยังรู้จักประยุกต์แฟชั่นให้เข้ากับคอมพิวเตอร์ โดยเปิดตัวเครื่อง iMAC เครื่องใสๆ สีลูกกวาด พร้อมอุปกรณ์เสริมต่างๆที่เข้าชุดกัน ตามมาด้วย iPod เครื่องเล่นเพลงที่เขย่าวงการทั่วโลก เพราะมียอดขายถึงล้านเครื่องทั่วโลก ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะแอปเปิลยังช็อกคนทั้งโลกด้วยการเปิดตัว i-Phone และ i-Pad สร้างแบรนด์แอปเปิลให้กลายเป็นอุปกรณ์ไฮเทคที่ทุกบ้านจำเป็นต้องมีสัก เครื่อง
9. คำขวัญประจำใจของนักคิด'สตีฟ' "ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมันมีจุดเชื่อมต่อ มันจะต่อกันเอง เพียงแต่ขอให้เรามีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ มันเหมือนกับการลากเส้นจุดเชื่อมต่อ เราไม่สามารถลากจุดไปยังอนาคตได้ แต่หากเราลองมองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นว่าสิ่งที่ผ่านๆมามันประติดประต่อกัน มาเป็นเรื่องเป็นราวโดยอัตโนมัติ ดังนั้นจงเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ มันจะลากเส้นต่อเข้าหากันเองในอนาคต"
10. แม้จะเป็นคนฉลาดและหาทางออกทุกอย่างในชีวิตมาได้ตลอด แต่สุดท้ายสตีฟ จ็อบส์ก็ไม่สามารถหนีโรคภัยไข้เจ็บไปได้ เขารู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนเมื่อ 7 ปีที่แล้ว และทำการรักษาอย่างเต็มที่พร้อมกับสร้างสรรค์ผลงานไอทีออกมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2011 บุรุษผู้เป็นตำนานแอปเปิล อิงค์ได้ตัดสินใจส่งทอดอำนาจการบริหารต่อให้กับ "ทิม คุก"เป็นซีอีโอสืบสานอนาคตของบริษัทต่อไป
11. หลังจากที่แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ประกาศเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว แอปเปิลคอมพิวเตอร์ก็ออกมาประกาศว่า 'สตีฟ จ็อบส์' เสียชีวิตอย่างสงบแล้วจากโรคมะเร็งตับอ่อนรุมเร้ามาตั้งแต่กลางปีค.ศ. 2004 ด้วยวัยเพียง 56 ปี
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 7 ตุลาคม 2554
--------------------
ตอนที่ สตีฟ จอบส์ ถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือ
สตีฟ จอบส์: "ผมจะพูดอะไรได้? ผมจ้างคนผิด เขาทำลายทุกสิ่งที่ผมสร้างไว้ด้วยการทำงานยาวนานถึง 10 ปี ทุกอย่างเริ่มที่ตัวผมเอง แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าเศร้าที่สุด ผมคงจะยินดีออกจากแอปเปิลหากว่าแอปเปิลยอมทำอย่างที่ผมต้องการ"
คณะกรรมการบริหารของแอปเปิลระบุในแถลงการณ์ในงานศพของ สตีฟ จอบส์
"ความหลักแหลม กระตือรือร้น และพลังงานของสตีฟ เป็นที่มาของนวัตกรรมนับไม่ถ้วน ซึ่งเพิ่มคุณค่าและพัฒนาชีวิตของพวกเราให้ดีขึ้น โลกดีขึ้นอย่างสุดประมาณเพราะสตีฟ"
----------------------
Steve Jobs
----------------------
Steve Jobs is the Godfather of the Technological Age. Back in the '70s, as a young man, he and fellow "geek" Steve Wozniak started Apple Computers, literally out of their family garages. When Jobs was dismissed from Apple in the 80s, the company suffered. When he returned, he helped develop and promote all the "i's" - the ipod, itunes, iphone, etc., and, lo and behold, Apple again became #1. His appearances at the annual Macworld conventions were always highly anticipated and entertaining, and often produced major announcements regarding new products. When he announced that he would not be making an appearance at the show this year because of health problems, it sent a wave of concern among his "disciples."
One thing for sure, with the millions of dollars he has earned through the years, he certainly should be able to afford the absolute best medical care there is. Of course - life being what it is - if there's no cure for what ails Steve Jobs, if his "number's up," as they say, his wealth won't mean a thing.
Source: Basic Biittner: "Job -less" by Dan Whitney of Cherokee Chronicle Times
Saturday, October 8, 2011
ไล่หนูกวนใจ ให้พ้นบ้าน
ไล่หนูกวนใจ ให้พ้นบ้าน
ครอบครัวไหนที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับการกวนใจจากหนู วันนี้มีเกร็ดความรู้ในการกำจัดหนูให้พ้นบ้านมาฝาก
หนูเป็นพาหะนำโรคชนิดหนึ่งมีชอบเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมชายคาบ้านกับเรา ความสกปรกของพื้นที่บางส่วนในบ้านอาจนำมาซึ่งสัตว์ไม่พึงประสงค์อย่างหนู การกำจัดจำเป็นต้องรู้ก่อนว่ามีต้นตอมาจากในบ้านหรือนอกบ้าน ถ้าสำรวจแน่ชัดแล้วว่ามีรังหนูอยู่ในบ้านให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
เริ่มจาก กำจัดแหล่งอาหาร เศษอาหาร บริเวณที่มีหนูมาชุมนุมกันอยู่ เพราะ เศษอาหารที่ตกอยู่โดยไม่ได้ทำความสะอาดจะกลายเป็นแหล่งอาหารของหนู และ ถ้ามีหนูเป็นจำนวนมากในบ้าน แนะนำให้ซื้อกรงดักหนูมาสัก 3-5 กรง (ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง มี 2 ขนาด) ใช้ลูกชิ้นเนื้อผ่าครึ่ง ห้อยเป็นเหยื่อล่อ จะสามารถดักได้วันละ 3-10 ตัว ดักไว้สัก 2 วัน
กรณีที่ในบ้านมีหนูมาชุมนุมมากกว่า 10 ตัว ในวันแรกที่ดักด้วยกรง ให้เสริมอุปกรณ์กาวดักหนูมาดักเพิ่มด้วย ดักควบคู่กันสักหนึ่งสัปดาห์ จำนวนหนูที่ดักได้ก็จะมากขึ้น จากนั้นสำรวจ และซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของบ้านที่เสียหายเป็นรู เพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของหนูอีกต่อไป หรือจะลองใช้วิธีพื้นบ้าน นำกิ่งยี่โถ มาตากแห้ง และทุบ นำไปวางตามที่ต่างๆที่พบหนู ประมาณ1-2สัปดาห์ พวกหนูจะทยอยหนีออกจากบ้านไปเอง
ที่มา: ไล่หนูกวนใจ ให้พ้นบ้าน เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 30 กันยายน 2554
กำจัดหนู ไล่หนู กำจัดหนูพาหะนำโรค
ครอบครัวไหนที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับการกวนใจจากหนู วันนี้มีเกร็ดความรู้ในการกำจัดหนูให้พ้นบ้านมาฝาก
หนูเป็นพาหะนำโรคชนิดหนึ่งมีชอบเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมชายคาบ้านกับเรา ความสกปรกของพื้นที่บางส่วนในบ้านอาจนำมาซึ่งสัตว์ไม่พึงประสงค์อย่างหนู การกำจัดจำเป็นต้องรู้ก่อนว่ามีต้นตอมาจากในบ้านหรือนอกบ้าน ถ้าสำรวจแน่ชัดแล้วว่ามีรังหนูอยู่ในบ้านให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
เริ่มจาก กำจัดแหล่งอาหาร เศษอาหาร บริเวณที่มีหนูมาชุมนุมกันอยู่ เพราะ เศษอาหารที่ตกอยู่โดยไม่ได้ทำความสะอาดจะกลายเป็นแหล่งอาหารของหนู และ ถ้ามีหนูเป็นจำนวนมากในบ้าน แนะนำให้ซื้อกรงดักหนูมาสัก 3-5 กรง (ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง มี 2 ขนาด) ใช้ลูกชิ้นเนื้อผ่าครึ่ง ห้อยเป็นเหยื่อล่อ จะสามารถดักได้วันละ 3-10 ตัว ดักไว้สัก 2 วัน
กรณีที่ในบ้านมีหนูมาชุมนุมมากกว่า 10 ตัว ในวันแรกที่ดักด้วยกรง ให้เสริมอุปกรณ์กาวดักหนูมาดักเพิ่มด้วย ดักควบคู่กันสักหนึ่งสัปดาห์ จำนวนหนูที่ดักได้ก็จะมากขึ้น จากนั้นสำรวจ และซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของบ้านที่เสียหายเป็นรู เพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของหนูอีกต่อไป หรือจะลองใช้วิธีพื้นบ้าน นำกิ่งยี่โถ มาตากแห้ง และทุบ นำไปวางตามที่ต่างๆที่พบหนู ประมาณ1-2สัปดาห์ พวกหนูจะทยอยหนีออกจากบ้านไปเอง
ที่มา: ไล่หนูกวนใจ ให้พ้นบ้าน เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 30 กันยายน 2554
กำจัดหนู ไล่หนู กำจัดหนูพาหะนำโรค
ยุงชอบกัดใคร-ทำอย่างไรหลังถูกกัด
ยุงชอบกัดใคร-ทำอย่างไรหลังถูกกัด
นั่งอยู่หลายคนแต่ทำไมยุงรุมกัดเฉพาะบางคน ข้อสงสัยนี้กลายเป็นประเด็นที่มีการทำวิจัยจนได้ข้อสรุปว่า ยุงชอบกัดคนที่เหงื่อออกมาก ซึ่งทำให้กลิ่นตัวเปรี้ยว โดยยุงสามารถได้กลิ่นดังกล่าวไกลถึง 30 เมตรนอกจากนี้ ยุงยังมักจะบินไปกัดคนที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการเผาผลาญของร่างกายออกมามาก ซึ่งมักจะเป็นคนที่หายใจแรง คนตัวใหญ่ รวมถึงคนท้อง ขณะที่คนตัวอุ่นๆ และตัวร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิบริเวณผิวหนังสูง ก็เป็นปัจจัยดึงดูดยุงได้เช่นกัน
ส่วนสาเหตุที่ยุงกัดแล้วคัน เนื่องจากระหว่างที่ยุงแทงปากลงที่ผิวและดูดเลือดนั้น ยุงจะปล่อยของเหลวที่ทำปฏิกิริยาป้องกันเลือดแข็งตัวออกมาเพื่อให้ดูดเลือดได้ง่าย ของเหลวหรือที่คนมักเรียก น้ำลายยุง นั้นจะทำให้บางคนเกิดอาการแพ้จึงรู้สึกคัน ผิวบริเวณที่ถูกกัดเป็นตุ่ม บวม และแดง
วิธีแก้คันและป้องกันการเกิดแผลบวมแดง ให้รีบล้างน้ำและถูสบู่บริเวณที่ถูกกัด แล้วใช้ผ้าเย็นหรือเจลเย็นประคบลดบวมและรอยแดง หากยังคันให้ใช้วิธีลูบเบาๆ หลีกเลี่ยงการเกา เพราะสิ่งสกปรกในเล็บอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียกลายเป็นแผลอักเสบไปกันใหญ่
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
ที่มา ยุงชอบกัดใคร-ทำอย่างไรหลังถูกกัด เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 04 ตุลาคม 2554
ทายนิสัยจากการนั่งเก้าอี้
ทายนิสัยจากการนั่งเก้าอี้
ลองสังเกตคนข้างๆเวลาทำงาน หรือคนทั่วไปเวลานั่งด้วยอิริยาบถต่างๆ คุณจะสามารถรู้ได้ว่าเขามีนิสัยอย่างไรจากการนั่งเริ่มจาก คนนั่งเต็มเก้าอี้ เป็น คนมีความกระตือรือร้นอย่างมากเวลาทำงาน เรื่องความรัก มักเป็นคนที่กล้าขอความรักจากคนที่ชอบอย่างตรงไปตรงมา จนบางครั้งก็ดูเหมือนเป็นคนช่างตื้อ แต่จะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง และมักประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเร็วกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน
สำหรับ คนนั่งจับหัวเข่า เป็นคนที่มีนิสัยชอบการแสดงความคิดเห็น และมีความคิดในเชิงสร้างสรรค์มากมาย จนบ้างครั้งอาจดูมากเกินไป จนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อในสายตาผู้อื่น ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือจากคนที่ทำงานร่วมกัน เหมาะที่จะทำงานอยู่กับความฝันของตัวเองคนเดียว
คนนั่งไขว้ห้าง แสดง ถึงความเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมรับความจริง ชอบฝันมากกว่า ลงมือทำ อีกทั้งยังเป็นคนขี้อวด ในบางครั้งมักจะทำอะไร แปลกประหลาด สามารถช็อคความรู้สึกของผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว และยังเป็นคนที่มีบุคลิกภาพขัดแย้งกับตัวตนเป็นอย่างมาก
คนนั่งอ้าขา เป็น คนชอบการพูดคุยและคบหาสมาคมกับผู้คนแปลกหน้า ชอบอยู่ท่ามกลางคนมาก ๆ แต่จะทำความรู้จักเพื่อเอาไว้พึ่งพาในเรื่องธุรกิจ การงาน มากกว่าคบไว้เป็นเพื่อน มักมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น มีความเชื่อมั่นในความคิดตัวเองสูงจนเหมือนเผด็จการ ทำให้มีทั้งคนรักและคนเกลียดพอๆกัน
ที่มา: ทายนิสัยจากการนั่งเก้าอี้ เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 01 ตุลาคม 2554
วิธีง่าย ๆ กำจัดแมลงสาบกวนใจ
วิธีง่าย ๆ กำจัดแมลงสาบกวนใจ วิธีง่าย ๆ จัดการแมลงสาบกวนใจ
เคล็ดลับกำจัดแมลงสาบพ้นบ้าน ที่ทำได้ง่ายและได้ผลแน่นอน รับรองว่าบ้านคุณจะไม่มีแมลงสาบกวนใจอีกต่อไป
แมลงสาบมักชอบอยู่ในมุมอับของบ้าน ผลิตลูกหลานออกมาอย่างมากมาย วิธีกำจัดง่ายๆ
วิธีแรก เอาน้ำตาลเคี่ยวกับน้ำให้มีกลิ่นหอมแล้วนำไปใส่ในกะละมังหรือภาชนะที่มีความ ลื่น เมื่อแมลงสาบได้กลิ่นก็จะลงไปกินไม่สามารถไต่ขึ้นมาได้
วิธีที่สอง นำ ขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างใส่น้ำแกงที่เหลือจากการรับประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) นำไปวางบริเวณซอกมุมห้องภายในบ้าน โดยวางให้ชิดติดกับผนังเพื่อล่อให้แมลงสาบไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกง ทำให้ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้
วิธีที่สาม ใช้บ้านแมลงสาบ ซึ่งเป็นกาวดักแมลงสาบที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง ใช้ง่ายเพียงแค่แกะกล่องกระดาษแล้วนำแผ่นเหยื่อไปวางไว้ตรงกลางแผ่นกาวและ พับเป็นรูปบ้าน นำไปวางไว้ตามห้องหรือซอกมุมที่มีแมลงสาบรบกวน แค่นี้ก็สามารถกำจัดแมลงสาบได้เป็นอย่างดี
วิธีที่สี่ นำ ปูนซีเมนต์ มาผสมกับสิ่งที่มีกินหอมน่าทาน เช่น นมผง โอวัลติน ฯลฯใส่ถาดวางใว้ในที่ที่แมลงสาบชอบเดินผ่าน จากนั้นนำขันใส่น้ำวางไว้ข้างๆ เมื่อแมลงสาบได้ลิ้มรส อาหารผสมปูนซีเมนต์ และจิบน้ำเข้าไป ปูนซีเมนต์เมื่อผสมกับน้ำก็จะแข็งตัวในท้องของแมลงสาบ
ลองเลือกนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ที่บ้านของคุณดู รับรองว่าเพียงเวลาไม่นานแมลงสาบที่กวนใจอยู่ทั่วบ้านจะหมดสิ้นไป
ที่มา: วิธีง่ายๆกำจัดแมลงสาบกวนใจ เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 07 ตุลาคม 2554
.
เคล็ดลับกำจัดแมลงสาบพ้นบ้าน ที่ทำได้ง่ายและได้ผลแน่นอน รับรองว่าบ้านคุณจะไม่มีแมลงสาบกวนใจอีกต่อไป
แมลงสาบมักชอบอยู่ในมุมอับของบ้าน ผลิตลูกหลานออกมาอย่างมากมาย วิธีกำจัดง่ายๆ
วิธีแรก เอาน้ำตาลเคี่ยวกับน้ำให้มีกลิ่นหอมแล้วนำไปใส่ในกะละมังหรือภาชนะที่มีความ ลื่น เมื่อแมลงสาบได้กลิ่นก็จะลงไปกินไม่สามารถไต่ขึ้นมาได้
วิธีที่สอง นำ ขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างใส่น้ำแกงที่เหลือจากการรับประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) นำไปวางบริเวณซอกมุมห้องภายในบ้าน โดยวางให้ชิดติดกับผนังเพื่อล่อให้แมลงสาบไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกง ทำให้ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้
วิธีที่สาม ใช้บ้านแมลงสาบ ซึ่งเป็นกาวดักแมลงสาบที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง ใช้ง่ายเพียงแค่แกะกล่องกระดาษแล้วนำแผ่นเหยื่อไปวางไว้ตรงกลางแผ่นกาวและ พับเป็นรูปบ้าน นำไปวางไว้ตามห้องหรือซอกมุมที่มีแมลงสาบรบกวน แค่นี้ก็สามารถกำจัดแมลงสาบได้เป็นอย่างดี
วิธีที่สี่ นำ ปูนซีเมนต์ มาผสมกับสิ่งที่มีกินหอมน่าทาน เช่น นมผง โอวัลติน ฯลฯใส่ถาดวางใว้ในที่ที่แมลงสาบชอบเดินผ่าน จากนั้นนำขันใส่น้ำวางไว้ข้างๆ เมื่อแมลงสาบได้ลิ้มรส อาหารผสมปูนซีเมนต์ และจิบน้ำเข้าไป ปูนซีเมนต์เมื่อผสมกับน้ำก็จะแข็งตัวในท้องของแมลงสาบ
ลองเลือกนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ที่บ้านของคุณดู รับรองว่าเพียงเวลาไม่นานแมลงสาบที่กวนใจอยู่ทั่วบ้านจะหมดสิ้นไป
ที่มา: วิธีง่ายๆกำจัดแมลงสาบกวนใจ เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ ที่ 07 ตุลาคม 2554
.
เคล็ดลับคั้นมะนาวให้ได้น้ำมาก
ขจัดรสขม ดื่มอร่อยสดชื่นเต็มน้ำเต็มเนื้อ เริ่มง่าย ๆ จากเทคนิคคัดเลือก “ลูกมะนาวคุณภาพ”
เริ่มจากการคัดเลือกมะนาว หากเป็นมะนาวแก่ คือ มีผิวใส เรียบ สีเขียว ไม่มีจุดด่างดำ จับบีบแล้วนิ่มเด้ง ๆ จะมีน้ำเยอะ ให้รสชาติ และกลิ่นที่ดี สามารถเลือกมาคั้นได้เลย หากบีบแล้วยังตึงแน่น ให้นำไปแช่น้ำอุ่น ประมาณ 1 นาที ก่อนคั้น จะได้น้ำมะนาวที่เยอะขึ้น นอกจากนี้ ความร้อนยังช่วยดึงน้ำมันบนผิว จึงขจัดรสขมได้ด้วย
สำหรับ “น้ำมะนาว” มีวิตามินซีสูง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับเสมหะ ลดอาการเจ็บคอ คลื่นไส้ ขับลมในกระเพาะ ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และจุกเสียดได้ ทั้งนี้ ควรดื่มให้หมดภายใน 15 นาที หลังจากทำเสร็จ ไม่เช่นนั้นวิตามินต่าง ๆ จะเจือจางไปกว่าครึ่ง.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
ที่มา: เคล็ดลับคั้นมะนาวให้ได้น้ำมาก เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 29 กันยายน 2554
เริ่มจากการคัดเลือกมะนาว หากเป็นมะนาวแก่ คือ มีผิวใส เรียบ สีเขียว ไม่มีจุดด่างดำ จับบีบแล้วนิ่มเด้ง ๆ จะมีน้ำเยอะ ให้รสชาติ และกลิ่นที่ดี สามารถเลือกมาคั้นได้เลย หากบีบแล้วยังตึงแน่น ให้นำไปแช่น้ำอุ่น ประมาณ 1 นาที ก่อนคั้น จะได้น้ำมะนาวที่เยอะขึ้น นอกจากนี้ ความร้อนยังช่วยดึงน้ำมันบนผิว จึงขจัดรสขมได้ด้วย
สำหรับ “น้ำมะนาว” มีวิตามินซีสูง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับเสมหะ ลดอาการเจ็บคอ คลื่นไส้ ขับลมในกระเพาะ ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และจุกเสียดได้ ทั้งนี้ ควรดื่มให้หมดภายใน 15 นาที หลังจากทำเสร็จ ไม่เช่นนั้นวิตามินต่าง ๆ จะเจือจางไปกว่าครึ่ง.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
ที่มา: เคล็ดลับคั้นมะนาวให้ได้น้ำมาก เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 29 กันยายน 2554
รอยจูบบนใบหน้าทำนายรัก
วันนี้มีคำทำนาย ทายนิสัย เกี่ยวกับการประทับรอยจูบมาฝาก มาดูกันว่ารอยจูบที่คู่ของคุณฝากไว้ บอกความนัยอย่างไรบ้าง
เริ่มจาก จูบหน้าผาก คุณ เป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรง แต่ชอบที่จะให้อภัยคนอื่น และต้องการความนับถือจากผู้อื่นอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นคนที่กล้าแสดงออก และมีมนุษยสัมพันธ์ดีมากๆ ทำให้เพื่อๆที่อยู่ข้างกายมักไว้ใจคุณมากที่สุดในทุกเรื่อง
สำหรับคนที่ชอบ จูบปลายจมูก คุณให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กเป็นอย่างมากในความสัมพันธ์กับคนรัก อีกทั้งยังเป็นคนมีความปรารถนารุนแรงในเรื่องของความรัก และเซ็ก เพราะคุณเป็นคนสนุกสนาน จึงเป็นการยากที่คุณจะสร้างรากฐานที่มั่นคงในอาชีพหรือการดำเนินชีวิต
ต่อกันด้วยคนที่ชอบ จูบใบหน้า-แก้ม เป็นคนให้ความสำคัญกับมิตรภาพระหว่างเพื่อนเหนือสิ่งอื่นใด และคุณยังเป็นคนใจดี อีกทั้งยังไม่เก็บเรื่องแย่ ๆ ของคนอื่นมาครุ่นคิด ดังนั้นจึงสามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์ด้านความรักเอาไว้ได้ยาวนาน
จูบใบหู คุณสามารถเดาใจของผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ เป็นอย่างดี และยังเป็นเอาอกเอาใจคนรักเก่ง อีกทั้งควบคุมอารมณ์และการแสดงออกอันไร้เหตุผลได้เป็นอย่างดี ทำให้พฤติกรรมที่ออกมาสอดคล้อง กับความรู้สึกภายในอย่างชัดเจน
คนที่ชอบ จูบริมฝีปาก คุณเป็นที่มีความซื่อสัตย์มาก เมื่อคุณได้จูบริมฝีปากของใครคนหนึ่ง หมายถึงการแสดงออกอย่างแน่นอนถึงความหวังของการมีรักแท้ อีกทั้งยังเป็นคนที่ยึดมั่นรักเดียวใจเดียว และให้เกียรติคนรักตลอดเวลา
ปิดท้ายด้วยคนที่ชอบ จูบซอกคอ คุณ ไม่ได้เป็นคนที่ฝันถึงความรักชั่วนิรันดร์ แม้ว่าความรู้สึกในการเป็นเจ้าของในสิ่งต่าง ๆ ของคุณจะมีมาก แต่มันก็จะจางหายไปในชั่วเวลาหนึ่ง แม้ถึงช่วงเวลาหนึ่งคุณไม่ได้รักคนรักแล้ว แต่ก็ยังหวังเสมอให้เขาหรือเธอคนนั้นรักคุณตลอดไป
ลองดูสิว่าคนรักของคุณมักฝากรอบจูบแสนประทับใจให้คุณบริเวณไหนบนใบหน้า แล้วสำรวจดูว่าตรงกับเรื่องราวนี้หรือไม่
ที่มา: รอยจูบบนใบหน้าทำนายรัก เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 08 ตุลาคม 2554
เริ่มจาก จูบหน้าผาก คุณ เป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรง แต่ชอบที่จะให้อภัยคนอื่น และต้องการความนับถือจากผู้อื่นอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นคนที่กล้าแสดงออก และมีมนุษยสัมพันธ์ดีมากๆ ทำให้เพื่อๆที่อยู่ข้างกายมักไว้ใจคุณมากที่สุดในทุกเรื่อง
สำหรับคนที่ชอบ จูบปลายจมูก คุณให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กเป็นอย่างมากในความสัมพันธ์กับคนรัก อีกทั้งยังเป็นคนมีความปรารถนารุนแรงในเรื่องของความรัก และเซ็ก เพราะคุณเป็นคนสนุกสนาน จึงเป็นการยากที่คุณจะสร้างรากฐานที่มั่นคงในอาชีพหรือการดำเนินชีวิต
ต่อกันด้วยคนที่ชอบ จูบใบหน้า-แก้ม เป็นคนให้ความสำคัญกับมิตรภาพระหว่างเพื่อนเหนือสิ่งอื่นใด และคุณยังเป็นคนใจดี อีกทั้งยังไม่เก็บเรื่องแย่ ๆ ของคนอื่นมาครุ่นคิด ดังนั้นจึงสามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์ด้านความรักเอาไว้ได้ยาวนาน
จูบใบหู คุณสามารถเดาใจของผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ เป็นอย่างดี และยังเป็นเอาอกเอาใจคนรักเก่ง อีกทั้งควบคุมอารมณ์และการแสดงออกอันไร้เหตุผลได้เป็นอย่างดี ทำให้พฤติกรรมที่ออกมาสอดคล้อง กับความรู้สึกภายในอย่างชัดเจน
คนที่ชอบ จูบริมฝีปาก คุณเป็นที่มีความซื่อสัตย์มาก เมื่อคุณได้จูบริมฝีปากของใครคนหนึ่ง หมายถึงการแสดงออกอย่างแน่นอนถึงความหวังของการมีรักแท้ อีกทั้งยังเป็นคนที่ยึดมั่นรักเดียวใจเดียว และให้เกียรติคนรักตลอดเวลา
ปิดท้ายด้วยคนที่ชอบ จูบซอกคอ คุณ ไม่ได้เป็นคนที่ฝันถึงความรักชั่วนิรันดร์ แม้ว่าความรู้สึกในการเป็นเจ้าของในสิ่งต่าง ๆ ของคุณจะมีมาก แต่มันก็จะจางหายไปในชั่วเวลาหนึ่ง แม้ถึงช่วงเวลาหนึ่งคุณไม่ได้รักคนรักแล้ว แต่ก็ยังหวังเสมอให้เขาหรือเธอคนนั้นรักคุณตลอดไป
ลองดูสิว่าคนรักของคุณมักฝากรอบจูบแสนประทับใจให้คุณบริเวณไหนบนใบหน้า แล้วสำรวจดูว่าตรงกับเรื่องราวนี้หรือไม่
ที่มา: รอยจูบบนใบหน้าทำนายรัก เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 08 ตุลาคม 2554
จีนช่วยไทยแก้น้ำท่วม 30 ล้าน
เพื่อนแท้ยามยากส์ จีนช่วยไทยแก้น้ำท่วม 30 ล้าน
จีนมอบเงินช่วยไทยกว่า 30 ล้าน เห็นใจผู้ประสบน้ำท่วม “ปู”ขอเรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกช่วยผู้เดือดร้อน
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 7 ต.ค. นายกว่าน มู่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลืออุทกภัยในประเทศไทย โดยในโอกาสนี้เอกอัครราชทูตฯได้กล่าวแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และขออวยพรให้รัฐบาลสามารถนำพาประเทศและประชาชนไทย ผ่านความยากลำบากในครั้งนี้ ทั้งนี้ในนามของรัฐบาลจีน ขอมอบเงินจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กว่า30ล้านบาท) และสิ่งของมูลค่า 10 ล้านหยวน เพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทย ได้กล่าวขอบคุณสำหรับความห่วงใยและความช่วยเหลือจากรัฐบาลและประชาชนจีน พร้อมยอมรับว่าอุทกภัยในครั้งนี้ ถือว่าหนักที่สุด และรัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้สารถผ่านพ้นความทุกข์ยากในครั้งนี้ สำหรับสิ่งของที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วน คือ เรือ สุขาชั่วคราว เต็นท์ที่พัก ซึ่งจะได้ขอความร่วมมือจากจีน รวมทั้งเรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เพื่อนำมาช่วยเหลือประชาชนต่อไป
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 08 ตุลาคม 2554
จีนนับเป็นเพื่อนแท้ยามยากของไทยมานานแสนนาน อเมริกา อเมริกันมีแต่กอบโกย ไม่เคยคิดช่วยอย่างจริงจัง
จีนมอบเงินช่วยไทยกว่า 30 ล้าน เห็นใจผู้ประสบน้ำท่วม “ปู”ขอเรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกช่วยผู้เดือดร้อน
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 7 ต.ค. นายกว่าน มู่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลืออุทกภัยในประเทศไทย โดยในโอกาสนี้เอกอัครราชทูตฯได้กล่าวแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และขออวยพรให้รัฐบาลสามารถนำพาประเทศและประชาชนไทย ผ่านความยากลำบากในครั้งนี้ ทั้งนี้ในนามของรัฐบาลจีน ขอมอบเงินจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กว่า30ล้านบาท) และสิ่งของมูลค่า 10 ล้านหยวน เพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทย ได้กล่าวขอบคุณสำหรับความห่วงใยและความช่วยเหลือจากรัฐบาลและประชาชนจีน พร้อมยอมรับว่าอุทกภัยในครั้งนี้ ถือว่าหนักที่สุด และรัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้สารถผ่านพ้นความทุกข์ยากในครั้งนี้ สำหรับสิ่งของที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วน คือ เรือ สุขาชั่วคราว เต็นท์ที่พัก ซึ่งจะได้ขอความร่วมมือจากจีน รวมทั้งเรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เพื่อนำมาช่วยเหลือประชาชนต่อไป
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 08 ตุลาคม 2554
จีนนับเป็นเพื่อนแท้ยามยากของไทยมานานแสนนาน อเมริกา อเมริกันมีแต่กอบโกย ไม่เคยคิดช่วยอย่างจริงจัง
เนินบนฝ่ามือ-ลายมือ-โชคชะตา
เนินบนฝ่ามือ-ลายมือ-โชคชะตา-โชคลาภ-ดวงอยู่บนมือ
ในบางโอกาสเราไม่สามารถมองเส้นเล็ก ๆ ได้อย่างละเอียด นักศึกษาก็สามารถดูจากเนินต่าง ๆ ได้ไม่ยาก แสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวยดังนี้
หมายเลข ๑
เนินที่โคนฝ่ามือประกอบด้วยเนินจันทร์และเนินศุกร์อุดมสมบูรณ์ แสดงถึงความร่ำรวยมั่นคงอย่างแน่นอน
หมายเลข ๒
เนินประกอบด้วยเนินพฤหัสและเนินเสาร์รวมกัน แสดงถึงอำนาจวาสนาจะได้เป็นใหญ่เป็นโตอย่างแน่นอน
หมายเลข ๓
เนินประกอบด้วยเนินอาทิตย์และเนินพุธรวมกัน จะแสดงถึงความร่ำรวยมหาศาล มีฐานะความเป็นอยู่สบาย
เราจะเห็นว่าเนินต่าง ๆ จะไม่ตรงเนิน บางทีเนินอาจจะแฟบแต่ไปรวมกับเนินอื่น ๆ ที่เห็นประจำคือเนินพุธกับอาทิตย์ ก็ขอทำนายเลยว่าร่ำรวยแน่นอน
ต้อย ตุลา
ที่มา: เนินบนฝ่ามือ เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 01 ตุลาคม 2554
---------------------------
ดวงอยู่บนมือ ชะตาอยู่ที่ตัวเรา
---------------------------
ในบางโอกาสเราไม่สามารถมองเส้นเล็ก ๆ ได้อย่างละเอียด นักศึกษาก็สามารถดูจากเนินต่าง ๆ ได้ไม่ยาก แสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวยดังนี้
หมายเลข ๑
เนินที่โคนฝ่ามือประกอบด้วยเนินจันทร์และเนินศุกร์อุดมสมบูรณ์ แสดงถึงความร่ำรวยมั่นคงอย่างแน่นอน
หมายเลข ๒
เนินประกอบด้วยเนินพฤหัสและเนินเสาร์รวมกัน แสดงถึงอำนาจวาสนาจะได้เป็นใหญ่เป็นโตอย่างแน่นอน
หมายเลข ๓
เนินประกอบด้วยเนินอาทิตย์และเนินพุธรวมกัน จะแสดงถึงความร่ำรวยมหาศาล มีฐานะความเป็นอยู่สบาย
เราจะเห็นว่าเนินต่าง ๆ จะไม่ตรงเนิน บางทีเนินอาจจะแฟบแต่ไปรวมกับเนินอื่น ๆ ที่เห็นประจำคือเนินพุธกับอาทิตย์ ก็ขอทำนายเลยว่าร่ำรวยแน่นอน
ต้อย ตุลา
ที่มา: เนินบนฝ่ามือ เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 01 ตุลาคม 2554
---------------------------
ดวงอยู่บนมือ ชะตาอยู่ที่ตัวเรา
---------------------------
ลายมือมีผู้อุปถัมภ์
ลายมือมีผู้อุปถัมภ์
คนที่ดำเนินชีวิตมีคนช่วยเหลือและมีผู้อุปถัมภ์อย่างสบาย ๆ ไม่เดือดร้อน และมีชีวิตมีความปลอดภัยราบรื่น ได้ครอบครัวดีมีความสุขมีอยู่ ๓ เส้นแบบง่าย ๆ
หมายเลข ๑-๑
เส้นชีวิตมีเส้นขนานไปกับเส้นชีวิต หมายถึง รอดปลอดภัย เมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น สามารถเอาตัวรอดไปได้ในที่สุด
หมายเลข ๒-๒
ตอนปลายเส้นชีวิตเป็นง่ามแยกออกไปทางเนินจันทร์ต่ำ บ่งบอกถึงการมีชีวิตที่มั่นคง มีคนช่วยเหลืออยู่เสมอ
หมายเลข ๓-๓
มีเส้นจากเนินจันทร์พุ่งไปสู่เนินเสาร์อาทิตย์พุธหรือพฤหัส บ่งบอกถึงการดำเนินชีวิต มีคนให้การช่วยเหลือตลอด เส้นสนับสนุนและช่วยชีวิตยังมีอีกมาก จะได้นำมาเสนอต่อไป.
ต้อย ตุลา
ลายมือมีผู้อุปถัมภ์ เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 24 กันยายน 2554
คนที่ดำเนินชีวิตมีคนช่วยเหลือและมีผู้อุปถัมภ์อย่างสบาย ๆ ไม่เดือดร้อน และมีชีวิตมีความปลอดภัยราบรื่น ได้ครอบครัวดีมีความสุขมีอยู่ ๓ เส้นแบบง่าย ๆ
หมายเลข ๑-๑
เส้นชีวิตมีเส้นขนานไปกับเส้นชีวิต หมายถึง รอดปลอดภัย เมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น สามารถเอาตัวรอดไปได้ในที่สุด
หมายเลข ๒-๒
ตอนปลายเส้นชีวิตเป็นง่ามแยกออกไปทางเนินจันทร์ต่ำ บ่งบอกถึงการมีชีวิตที่มั่นคง มีคนช่วยเหลืออยู่เสมอ
หมายเลข ๓-๓
มีเส้นจากเนินจันทร์พุ่งไปสู่เนินเสาร์อาทิตย์พุธหรือพฤหัส บ่งบอกถึงการดำเนินชีวิต มีคนให้การช่วยเหลือตลอด เส้นสนับสนุนและช่วยชีวิตยังมีอีกมาก จะได้นำมาเสนอต่อไป.
ต้อย ตุลา
ลายมือมีผู้อุปถัมภ์ เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 24 กันยายน 2554
ลายมือนักธุรกิจการเงิน
ลายมือนักธุรกิจการเงิน
ความหมายตาม ลายมือ ลายมือที่ทำงานทางการเงินเช่นนักหมุนเงิน เล่นเงิน เล่นทอง หรือ ตลาดหุ้นและเป็นนายธนาคารจะร่ำรวยมหาศาลต้องมีลักษณะเส้นดังนี้ hand lines/ palm lines of rich man.
หมายเลข ๑-๑
เป็นเส้นอาทิตย์ ใครมีเส้นนี้ก็ร่ำรวยอยู่แล้ว
หมายเลข ๒-๒
เป็นเส้นที่เกิดจากเส้นเดียวกับเส้นอาทิตย์ ก็จะแสดงถึงการทำธุรกิจทางการเงินร่ำ รวย
หมายเลข ๓-๓
เส้นคุ้มครองความร่ำรวย ใครมีเส้นนี้จะไม่มีความผิดพลาดได้ทุกเรื่อง จึงทำให้เกิดความร่ำรวยอย่างถาวร.
ต้อย ตุลา
ที่มา: ลายมือนักธุรกิจการเงิน เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 08 ตุลาคม 2554
Thursday, October 6, 2011
Top Universities 2010-2011
The World Best University and College 2011:
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Engineering and Technology Universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Physical Sciences universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Clinical, Pre-clinical and Health Universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Life Sciences Universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Social Sciences Universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Arts and Humanities Universities
World Class University in Engineering, Sciences, and Technologies
THE Top 50 Engineering and Technology Universities 2010-2011
(Rank by Time Higher Education)
1 California Institute of Technology United States
95.9
2 Massachusetts Institute of Technology United States
94.7
3 Stanford University United States
93
4 Princeton University United States
91.3
5 University of California Berkeley United States
90.5
6 University of Cambridge United Kingdom
87.8
7 Swiss Federal Institute of Technology Zurich Switzerland
87.2
8 University of Oxford United Kingdom
85.9
9 Imperial College London United Kingdom
85.8
10 Georgia Institute of Technology United States
83.2
11 Carnegie Mellon University United States
82.3
12 Cornell University United States
80.9
13 University of Toronto Canada
80.1
14 University of Michigan United States
79.5
15 University of Illinois - Urbana United States
77.8
16 National University of Singapore Singapore
77.5
17 University of California Santa Barbara United States
75.4
18 Northwestern University United States
75
19 University of Hong Kong Hong Kong
72.3
20 Tsinghua University China
71.3
20 Hong Kong University of Science and Technology Hong Kong
71.3
22 University of Tokyo Japan
70.4
22 Ecole Polytechnique France
70.4
24 École Polytechnique Federale of Lausanne Switzerland
69.4
25 Peking University China
69.1
26 University of Massachusetts United States
67.5
27 University of Minnesota United States
67
28 Pohang University of Science and Technology Republic of Korea
66.4
29 Brown University United States
64.7
30 University of Melbourne Australia
64.4
31 University of California San Diego United States
63.6
32 Rice University United States
63.5
33 Delft University of Technology Netherlands
63.2
34 Purdue University United States
62.8
34 University of Wisconsin United States
62.8
34 Ecole Normale Superieure, Paris France
62.8
37 University of Queensland Australia Australia
62.3
38 University of British Columbia Canada
62.1
38 University of Freiburg Germany
62.1
40 University of Sydney Australia
61.6
41 University of Southern California United States
60.9
42 University of California Davis United States
60.7
43 Birkbeck, University of London United Kingdom
60.6
44 Australian National University Australia
60.4
45 University of Science and Technology of China China
60.2
46 National Taiwan University Taiwan
60.1
47 University of Notre Dame United States
59.9
48 Nanjing University China
59.7
49 Bielefeld University Germany
58
50 Ohio State University United States
57.4
World Class University in Life Sciences
Top 50 Life Sciences Universities 2010-2011
(Rank by Time Higher Education)
1 Massachusetts Institute of Technology United States
95.1
2 Harvard University United States
94.7
3 Stanford University United States
91.7
4 University of Oxford United Kingdom
91.4
5 Yale University United States
90.5
5 University of Cambridge United Kingdom
90.5
7 University of California Berkeley United States
90.3
8 Johns Hopkins University United States
87.8
9 Imperial College London United Kingdom
87.7
10 Princeton University United States
87.3
11 University College London United Kingdom
85.9
12 University of California Los Angeles United States
83.6
13 Duke University United States
83.5
14 University of California San Diego United States
82.1
15 University of Washington United States
81.4
16 University of Michigan United States
81.3
17 Cornell University United States
79.9
18 Columbia University United States
79.5
19 University of British Columbia Canada
79.3
20 University of Toronto Canada
78.4
21 University of Pennsylvania United States
75.8
22 University of Wisconsin United States
75.5
23 McGill University Canada
75.3
24 University of California Davis United States
74.3
25 University of Chicago United States
73.7
26 University of Edinburgh United Kingdom
73
27 Washington University Saint Louis United States
72
28 Karolinska Institute Sweden
71.6
29 University of Hong Kong Hong Kong
71.4
30 University of Tokyo Japan
71.2
31 University of North Carolina, Chapel Hill United States
70.9
32 University of Melbourne Australia
70.8
33 Boston University United States
69.9
34 Swiss Federal Institute of Technology Zurich Switzerland
69.4
35 Kyoto University Japan
69
36 University of York United Kingdom
68.7
37 Pohang University of Science and Technology Republic of Korea
68.1
38 University of Queensland Australia Australia
67.6
39 University of Dundee United Kingdom
66.9
39 Australian National University Australia
66.9
39 University of Adelaide Australia
66.9
42 Monash University Australia
66.6
43 University of California Santa Barbara United States
66.5
44 University of Barcelona Spain
65.4
45 University of Cape Town South Africa
65.2
46 Ecole Normale Superieure, Paris France
64.7
47 King's College London United Kingdom
64.6
48 Vanderbilt University United States
64.4
49 University of Munich Germany
64
50 Hong Kong University of Science and Technology Hong Kong
63.9
93.3
2 Stanford University United States
91
3 University of Cambridge United Kingdom
90.3
4 University of Oxford United Kingdom
90.2
5 Imperial College London United Kingdom
88.5
6 Yale University United States
88
7 Johns Hopkins University United States
87.9
8 University of California Los Angeles United States
87.7
9 Columbia University United States
86.6
9 University College London United Kingdom
86.6
11 University of California Berkeley United States
86.5
12 University of Toronto Canada
85.7
13 University of Washington United States
85.5
14 Duke University United States
84.9
15 University of Michigan United States
83.3
16 University of Pennsylvania United States
82.9
17 University of North Carolina, Chapel Hill United States
82.6
18 University of Melbourne Australia
81.9
19 McGill University Canada
81.4
20 Washington University Saint Louis United States
81.1
21 Karolinska Institute Sweden
80.5
22 University of Hong Kong Hong Kong
77.8
23 University of Chicago United States
77.7
24 University of Pittsburgh United States
77.2
25 University of Sydney Australia
76.5
26 University of California San Diego United States
75.6
27 King's College London United Kingdom
75.5
28 Cornell University United States
74.3
29 University of British Columbia Canada
73.6
30 McMaster University Canada
73.4
31 Monash University Australia
72.9
32 Emory University United States
72.8
33 Boston University United States
72.6
34 Tufts University United States
71.1
35 University of Edinburgh United Kingdom
70.9
36 University of Massachusetts United States
70.7
37 University of Tokyo Japan
69.6
38 Vanderbilt University United States
69
39 National University of Singapore Singapore
67.8
40 University of Adelaide Australia
66.9
41 University of California Irvine United States
66.8
42 University of Queensland Australia Australia
66.4
43 University of Glasgow United Kingdom
66.2
44 Northwestern University United States
65.4
45 University of Wisconsin United States
65.2
45 University of Manchester United Kingdom
65.2
47 University of Alberta Canada
64.1
47 University of Auckland New Zealand
64.1
49 University of Barcelona Spain
63.8
50 University of Montreal Canada
63.7
50 University of Southern California United States
63.7
93.5
2 California Institute of Technology United States
92.4
3 Massachusetts Institute of Technology United States
91.7
4 Princeton University United States
90.3
5 Stanford University United States
90.1
6 University of California Berkeley United States
88.5
7 University of Chicago United States
86.1
8 University of Cambridge United Kingdom
84.4
9 Yale University United States
84.1
10 University of Oxford United Kingdom
82.2
11 Swiss Federal Institute of Technology Zurich Switzerland
80.5
12 Cornell University United States
80.4
13 Imperial College London United Kingdom
80.3
14 University of California Los Angeles United States
79.6
15 University of Washington United States
79.1
16 University of California Santa Barbara United States
78.6
17 Columbia University United States
75.7
18 University of Munich Germany
75
19 University of Tokyo Japan
73.6
20 Northwestern University United States
71.9
21 University of Michigan United States
71.8
22 University of Go"ttingen Germany
70.8
23 Ecole Polytechnique France
70.4
24 University of Illinois - Urbana United States
69.5
25 University of Toronto Canada
68.3
26 Pohang University of Science and Technology Korea, Republic Of
67.6
27 University of Edinburgh United Kingdom
67.5
28 University of Melbourne Australia
66.9
29 Ruprecht Karl University of Heidelberg Germany
66.7
29 University of Colorado United States
66.7
31 Boston University United States
66.6
32 Rice University United States
66.4
33 University of British Columbia Canada
66.2
34 University of Adelaide Australia
65.9
34 Carnegie Mellon University United States
65.9
36 University of Hong Kong Hong Kong
65.8
37 University of Sussex United Kingdom
65.6
38 University of California Santa Cruz United States
65.5
39 University of Zurich Switzerland
65.3
40 Royal Holloway, University of London United Kingdom
65.1
41 University of California Irvine United States
64.7
42 Peking University China
64.6
43 University of California San Diego United States
64.4
43 Hong Kong University of Science and Technology Hong Kong
64.4
45 University of Wisconsin United States
64.1
46 Lund University Sweden
63.9
47 Brown University United States
63.8
48 William & Mary United States
63.5
49 Ohio State University United States
63.1
50 Georgia Institute of Technology United States
63
Top 50 Social Sciences Universities 2010-2011
1 Harvard University United States
94.6
2 Princeton University United States
92.9
3 Stanford University United States
92.4
4 University of Michigan United States
92
4 Yale University United States
92
6 University of Chicago United States
91.5
7 University of Oxford United Kingdom
90.8
8 University of Cambridge United Kingdom
88.2
9 University of California Los Angeles United States
87.7
10 University of California Berkeley United States
86.9
11 University of Pennsylvania United States
85.9
12 Columbia University United States
84.7
13 London School of Economics and Political Science United Kingdom
83.4
14 University College London United Kingdom
83.1
15 University of Toronto Canada
81.7
16 Northwestern University United States
81.2
17 University of British Columbia Canada
79.4
18 University of North Carolina, Chapel Hill United States
77.3
19 Cornell University United States
76.1
20 University of Wisconsin United States
75.7
21 Duke University United States
73.6
22 Australian National University Australia
72.7
23 McGill University Canada
72.4
24 University of Melbourne Australia
71.2
25 University of Washington United States
71.1
26 New York University United States
70.4
27 University of Hong Kong Hong Kong
70.3
28 Carnegie Mellon University United States
69
29 University of Illinois - Urbana United States
68.4
30 University of Minnesota United States
67.2
31 King's College London United Kingdom
65.7
32 University of California San Diego United States
65.5
33 Ohio State University United States
65.3
34 Vanderbilt University United States
64.3
35 University of York United Kingdom
64.2
36 University of Maryland College Park United States
63.6
37 Washington University Saint Louis United States
63.1
38 University of Sydney Australia
62.6
39 University of Edinburgh United Kingdom
62.2
40 University of Virginia United States
61.5
41 University of California Santa Barbara United States
61.4
42 University of Cape Town South Africa
61.3
43 Emory University United States
61.2
44 University of California Irvine United States
60.9
45 Dartmouth College United States
60.5
46 Brown University United States
60.4
47 University of Arizona United States
60.3
47 Ecole Normale Superieure, Paris France
60.3
49 Durham University United Kingdom
60.2
50 University of Bristol United Kingdom
60
85.9
2 Stanford University United States
84.3
3 Princeton University United States
84
4 University of Chicago United States
83.4
5 University of Oxford United Kingdom
81.9
6 Columbia University United States
81.7
6 University of Cambridge United Kingdom
81.7
8 University of California Berkeley United States
80.3
9 Yale University United States
80
10 University College London United Kingdom
79.8
11 University of California Los Angeles United States
79.6
12 University of Toronto Canada
79.5
13 University of Michigan United States
78.6
14 Australian National University Australia
77.8
15 New York University United States
77.2
16 University of Edinburgh United Kingdom
73.6
17 Rutgers the State University of New Jersey United States
72.4
18 University of Pittsburgh United States
72
19 Cornell University United States
68.9
20 University of St. Andrews United Kingdom
68.3
21 McGill University Canada
66.9
22 University of Melbourne Australia
66.3
23 University of Pennsylvania United States
66.1
23 University of North Carolina, Chapel Hill United States
66.1
25 University of Sydney Australia
64.8
26 London School of Economics and Political Science United Kingdom
64.3
27 Duke University United States
63.8
28 University of Wisconsin United States
63.7
29 University of Manchester United Kingdom
60.1
29 Brown University United States
60.1
31 Indiana University United States
59.9
31 Lancaster University United Kingdom
59.9
33 University of Notre Dame United States
59.2
34 Leiden University Netherlands
58.7
34 Free University of Berlin Germany
58.7
36 Humboldt University of Berlin Germany
58.6
37 Catholic University of Leuven Belgium
58.3
37 University of Massachusetts United States
58.3
39 University of Amsterdam Netherlands
58
40 King's College London United Kingdom
57.6
41 University of California Santa Barbara United States
57.5
42 Georgetown University United States
57.1
43 University of Birmingham United Kingdom
56.9
44 University of Warwick United Kingdom
55.4
45 University of California San Diego United States
54.7
46 Northwestern University United States
54.5
47 University of Arizona United States
54.4
48 Tilburg University Netherlands
53.9
49 University of Auckland New Zealand
53.8
50 University of Southern California United States
53
50 Durham University United Kingdom
53
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Engineering and Technology Universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Physical Sciences universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Clinical, Pre-clinical and Health Universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Life Sciences Universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Social Sciences Universities
World Class Universities 2010-2011: Top 50 Arts and Humanities Universities
World Class University in Engineering, Sciences, and Technologies
THE Top 50 Engineering and Technology Universities 2010-2011
(Rank by Time Higher Education)
1 California Institute of Technology United States
95.9
2 Massachusetts Institute of Technology United States
94.7
3 Stanford University United States
93
4 Princeton University United States
91.3
5 University of California Berkeley United States
90.5
6 University of Cambridge United Kingdom
87.8
7 Swiss Federal Institute of Technology Zurich Switzerland
87.2
8 University of Oxford United Kingdom
85.9
9 Imperial College London United Kingdom
85.8
10 Georgia Institute of Technology United States
83.2
11 Carnegie Mellon University United States
82.3
12 Cornell University United States
80.9
13 University of Toronto Canada
80.1
14 University of Michigan United States
79.5
15 University of Illinois - Urbana United States
77.8
16 National University of Singapore Singapore
77.5
17 University of California Santa Barbara United States
75.4
18 Northwestern University United States
75
19 University of Hong Kong Hong Kong
72.3
20 Tsinghua University China
71.3
20 Hong Kong University of Science and Technology Hong Kong
71.3
22 University of Tokyo Japan
70.4
22 Ecole Polytechnique France
70.4
24 École Polytechnique Federale of Lausanne Switzerland
69.4
25 Peking University China
69.1
26 University of Massachusetts United States
67.5
27 University of Minnesota United States
67
28 Pohang University of Science and Technology Republic of Korea
66.4
29 Brown University United States
64.7
30 University of Melbourne Australia
64.4
31 University of California San Diego United States
63.6
32 Rice University United States
63.5
33 Delft University of Technology Netherlands
63.2
34 Purdue University United States
62.8
34 University of Wisconsin United States
62.8
34 Ecole Normale Superieure, Paris France
62.8
37 University of Queensland Australia Australia
62.3
38 University of British Columbia Canada
62.1
38 University of Freiburg Germany
62.1
40 University of Sydney Australia
61.6
41 University of Southern California United States
60.9
42 University of California Davis United States
60.7
43 Birkbeck, University of London United Kingdom
60.6
44 Australian National University Australia
60.4
45 University of Science and Technology of China China
60.2
46 National Taiwan University Taiwan
60.1
47 University of Notre Dame United States
59.9
48 Nanjing University China
59.7
49 Bielefeld University Germany
58
50 Ohio State University United States
57.4
World Class University in Life Sciences
Top 50 Life Sciences Universities 2010-2011
(Rank by Time Higher Education)
1 Massachusetts Institute of Technology United States
95.1
2 Harvard University United States
94.7
3 Stanford University United States
91.7
4 University of Oxford United Kingdom
91.4
5 Yale University United States
90.5
5 University of Cambridge United Kingdom
90.5
7 University of California Berkeley United States
90.3
8 Johns Hopkins University United States
87.8
9 Imperial College London United Kingdom
87.7
10 Princeton University United States
87.3
11 University College London United Kingdom
85.9
12 University of California Los Angeles United States
83.6
13 Duke University United States
83.5
14 University of California San Diego United States
82.1
15 University of Washington United States
81.4
16 University of Michigan United States
81.3
17 Cornell University United States
79.9
18 Columbia University United States
79.5
19 University of British Columbia Canada
79.3
20 University of Toronto Canada
78.4
21 University of Pennsylvania United States
75.8
22 University of Wisconsin United States
75.5
23 McGill University Canada
75.3
24 University of California Davis United States
74.3
25 University of Chicago United States
73.7
26 University of Edinburgh United Kingdom
73
27 Washington University Saint Louis United States
72
28 Karolinska Institute Sweden
71.6
29 University of Hong Kong Hong Kong
71.4
30 University of Tokyo Japan
71.2
31 University of North Carolina, Chapel Hill United States
70.9
32 University of Melbourne Australia
70.8
33 Boston University United States
69.9
34 Swiss Federal Institute of Technology Zurich Switzerland
69.4
35 Kyoto University Japan
69
36 University of York United Kingdom
68.7
37 Pohang University of Science and Technology Republic of Korea
68.1
38 University of Queensland Australia Australia
67.6
39 University of Dundee United Kingdom
66.9
39 Australian National University Australia
66.9
39 University of Adelaide Australia
66.9
42 Monash University Australia
66.6
43 University of California Santa Barbara United States
66.5
44 University of Barcelona Spain
65.4
45 University of Cape Town South Africa
65.2
46 Ecole Normale Superieure, Paris France
64.7
47 King's College London United Kingdom
64.6
48 Vanderbilt University United States
64.4
49 University of Munich Germany
64
50 Hong Kong University of Science and Technology Hong Kong
63.9
Top 50 Clinical, Pre-clinical and Health Universities 2010-2011
1 Harvard University United States93.3
2 Stanford University United States
91
3 University of Cambridge United Kingdom
90.3
4 University of Oxford United Kingdom
90.2
5 Imperial College London United Kingdom
88.5
6 Yale University United States
88
7 Johns Hopkins University United States
87.9
8 University of California Los Angeles United States
87.7
9 Columbia University United States
86.6
9 University College London United Kingdom
86.6
11 University of California Berkeley United States
86.5
12 University of Toronto Canada
85.7
13 University of Washington United States
85.5
14 Duke University United States
84.9
15 University of Michigan United States
83.3
16 University of Pennsylvania United States
82.9
17 University of North Carolina, Chapel Hill United States
82.6
18 University of Melbourne Australia
81.9
19 McGill University Canada
81.4
20 Washington University Saint Louis United States
81.1
21 Karolinska Institute Sweden
80.5
22 University of Hong Kong Hong Kong
77.8
23 University of Chicago United States
77.7
24 University of Pittsburgh United States
77.2
25 University of Sydney Australia
76.5
26 University of California San Diego United States
75.6
27 King's College London United Kingdom
75.5
28 Cornell University United States
74.3
29 University of British Columbia Canada
73.6
30 McMaster University Canada
73.4
31 Monash University Australia
72.9
32 Emory University United States
72.8
33 Boston University United States
72.6
34 Tufts University United States
71.1
35 University of Edinburgh United Kingdom
70.9
36 University of Massachusetts United States
70.7
37 University of Tokyo Japan
69.6
38 Vanderbilt University United States
69
39 National University of Singapore Singapore
67.8
40 University of Adelaide Australia
66.9
41 University of California Irvine United States
66.8
42 University of Queensland Australia Australia
66.4
43 University of Glasgow United Kingdom
66.2
44 Northwestern University United States
65.4
45 University of Wisconsin United States
65.2
45 University of Manchester United Kingdom
65.2
47 University of Alberta Canada
64.1
47 University of Auckland New Zealand
64.1
49 University of Barcelona Spain
63.8
50 University of Montreal Canada
63.7
50 University of Southern California United States
63.7
Top 50 Physical Sciences universities
1 Harvard University United States93.5
2 California Institute of Technology United States
92.4
3 Massachusetts Institute of Technology United States
91.7
4 Princeton University United States
90.3
5 Stanford University United States
90.1
6 University of California Berkeley United States
88.5
7 University of Chicago United States
86.1
8 University of Cambridge United Kingdom
84.4
9 Yale University United States
84.1
10 University of Oxford United Kingdom
82.2
11 Swiss Federal Institute of Technology Zurich Switzerland
80.5
12 Cornell University United States
80.4
13 Imperial College London United Kingdom
80.3
14 University of California Los Angeles United States
79.6
15 University of Washington United States
79.1
16 University of California Santa Barbara United States
78.6
17 Columbia University United States
75.7
18 University of Munich Germany
75
19 University of Tokyo Japan
73.6
20 Northwestern University United States
71.9
21 University of Michigan United States
71.8
22 University of Go"ttingen Germany
70.8
23 Ecole Polytechnique France
70.4
24 University of Illinois - Urbana United States
69.5
25 University of Toronto Canada
68.3
26 Pohang University of Science and Technology Korea, Republic Of
67.6
27 University of Edinburgh United Kingdom
67.5
28 University of Melbourne Australia
66.9
29 Ruprecht Karl University of Heidelberg Germany
66.7
29 University of Colorado United States
66.7
31 Boston University United States
66.6
32 Rice University United States
66.4
33 University of British Columbia Canada
66.2
34 University of Adelaide Australia
65.9
34 Carnegie Mellon University United States
65.9
36 University of Hong Kong Hong Kong
65.8
37 University of Sussex United Kingdom
65.6
38 University of California Santa Cruz United States
65.5
39 University of Zurich Switzerland
65.3
40 Royal Holloway, University of London United Kingdom
65.1
41 University of California Irvine United States
64.7
42 Peking University China
64.6
43 University of California San Diego United States
64.4
43 Hong Kong University of Science and Technology Hong Kong
64.4
45 University of Wisconsin United States
64.1
46 Lund University Sweden
63.9
47 Brown University United States
63.8
48 William & Mary United States
63.5
49 Ohio State University United States
63.1
50 Georgia Institute of Technology United States
63
Top 50 Social Sciences Universities 2010-2011
1 Harvard University United States
94.6
2 Princeton University United States
92.9
3 Stanford University United States
92.4
4 University of Michigan United States
92
4 Yale University United States
92
6 University of Chicago United States
91.5
7 University of Oxford United Kingdom
90.8
8 University of Cambridge United Kingdom
88.2
9 University of California Los Angeles United States
87.7
10 University of California Berkeley United States
86.9
11 University of Pennsylvania United States
85.9
12 Columbia University United States
84.7
13 London School of Economics and Political Science United Kingdom
83.4
14 University College London United Kingdom
83.1
15 University of Toronto Canada
81.7
16 Northwestern University United States
81.2
17 University of British Columbia Canada
79.4
18 University of North Carolina, Chapel Hill United States
77.3
19 Cornell University United States
76.1
20 University of Wisconsin United States
75.7
21 Duke University United States
73.6
22 Australian National University Australia
72.7
23 McGill University Canada
72.4
24 University of Melbourne Australia
71.2
25 University of Washington United States
71.1
26 New York University United States
70.4
27 University of Hong Kong Hong Kong
70.3
28 Carnegie Mellon University United States
69
29 University of Illinois - Urbana United States
68.4
30 University of Minnesota United States
67.2
31 King's College London United Kingdom
65.7
32 University of California San Diego United States
65.5
33 Ohio State University United States
65.3
34 Vanderbilt University United States
64.3
35 University of York United Kingdom
64.2
36 University of Maryland College Park United States
63.6
37 Washington University Saint Louis United States
63.1
38 University of Sydney Australia
62.6
39 University of Edinburgh United Kingdom
62.2
40 University of Virginia United States
61.5
41 University of California Santa Barbara United States
61.4
42 University of Cape Town South Africa
61.3
43 Emory University United States
61.2
44 University of California Irvine United States
60.9
45 Dartmouth College United States
60.5
46 Brown University United States
60.4
47 University of Arizona United States
60.3
47 Ecole Normale Superieure, Paris France
60.3
49 Durham University United Kingdom
60.2
50 University of Bristol United Kingdom
60
Top 50 Arts and Humanities Universities 2010-2011
1 Harvard University United States85.9
2 Stanford University United States
84.3
3 Princeton University United States
84
4 University of Chicago United States
83.4
5 University of Oxford United Kingdom
81.9
6 Columbia University United States
81.7
6 University of Cambridge United Kingdom
81.7
8 University of California Berkeley United States
80.3
9 Yale University United States
80
10 University College London United Kingdom
79.8
11 University of California Los Angeles United States
79.6
12 University of Toronto Canada
79.5
13 University of Michigan United States
78.6
14 Australian National University Australia
77.8
15 New York University United States
77.2
16 University of Edinburgh United Kingdom
73.6
17 Rutgers the State University of New Jersey United States
72.4
18 University of Pittsburgh United States
72
19 Cornell University United States
68.9
20 University of St. Andrews United Kingdom
68.3
21 McGill University Canada
66.9
22 University of Melbourne Australia
66.3
23 University of Pennsylvania United States
66.1
23 University of North Carolina, Chapel Hill United States
66.1
25 University of Sydney Australia
64.8
26 London School of Economics and Political Science United Kingdom
64.3
27 Duke University United States
63.8
28 University of Wisconsin United States
63.7
29 University of Manchester United Kingdom
60.1
29 Brown University United States
60.1
31 Indiana University United States
59.9
31 Lancaster University United Kingdom
59.9
33 University of Notre Dame United States
59.2
34 Leiden University Netherlands
58.7
34 Free University of Berlin Germany
58.7
36 Humboldt University of Berlin Germany
58.6
37 Catholic University of Leuven Belgium
58.3
37 University of Massachusetts United States
58.3
39 University of Amsterdam Netherlands
58
40 King's College London United Kingdom
57.6
41 University of California Santa Barbara United States
57.5
42 Georgetown University United States
57.1
43 University of Birmingham United Kingdom
56.9
44 University of Warwick United Kingdom
55.4
45 University of California San Diego United States
54.7
46 Northwestern University United States
54.5
47 University of Arizona United States
54.4
48 Tilburg University Netherlands
53.9
49 University of Auckland New Zealand
53.8
50 University of Southern California United States
53
50 Durham University United Kingdom
53
จัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก World Class University Ranking 2011-2012
คาลเทค'California Institute of Technology มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก World Class University Ranking 2011-2012
คาลเทค' เขี่ย 'ฮาร์วาร์ด' ซิวแชมป์มหาวิทยาลัยโลก
สถาบัน “ไทม์ ไฮเออร์ เอจดูเคชั่น” (THE) ในอังกฤษ เปิดเผยผลการจัดอันดับสุดยอดสถาบันอุดมศึกษา 200 แห่งทั่วโลกประจำปี 2554 ปรากฏว่าสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย หรือ “คาลเทค” แย่งตำแหน่งแชมป์ ไปจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในรัฐแมสซาชูเสตต์ สถาบันเก่าแก่อายุ 365 ปี ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยฮาร์วาร์ดหล่นไปอยู่อันดับ 2 ร่วมกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย...
สหรัฐฯยังเป็นประเทศที่มีมหาวิทยาลัยติดอันดับมากที่สุดถึง 75 แห่ง จากทั้งหมด 200 แห่ง และส่วนใหญ่ก็ติดอันดับสุดยอด 10 อันดับ หรือ “ท็อป 10” รวมทั้งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน, มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ และมหาวิทยาลัยชิคาโก ส่วนอังกฤษรั้งอันดับ 2 มีมหาวิทยาลัยติดใน 200 อันดับถึง 32 แห่ง แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพุ่งขึ้นมาอยู่อันดับ 4 แซงมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่ร่วงไปอยู่อันดับ 6
สำหรับกลุ่มสุดยอด 20 มหาวิทยาลัยทั่วโลก มีเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่อยู่นอกสหรัฐฯและอังกฤษ นั่นคือสถาบันเทคโนโลยีสวิตเซอร์แลนด์ ติดอันดับ 15 และมหาวิทยาลัยโตรอนโตของแคนาดา ติดอันดับ 19 ขณะที่ในเอเชีย มหาวิทยาลัยโตเกียวของญี่ปุ่นติดอันดับ 30 ส่วนจีน ชาติมหาอำนาจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีเพียงมหาวิทยาลัยชั้นนำ 2 แห่งเท่านั้นที่ติดอยู่ใน 200 อันดับ
ในภูมิภาคตะวันออกกลางมีเพียงมหาวิทยาลัยของอิสราเอล 2 แห่งที่ติดใน 200 อันดับ นั่นคือมหาวิทยาลัยฮีบรูแห่งนครเยรูซาเลม กับมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ โดยรั้งอันดับ 121 กับ 166 ตามลำดับ ขณะที่มหาวิทยาลัยของไทยไม่ติดอยู่ใน 200 อันดับแรก แต่มีมหาวิทยาลัยมหิดลแห่งเดียวที่ติดอันดับ 323 ในกลุ่ม 400 อันดับ ทั้งนี้ การพิจารณาตัดสินให้คะแนนมหาวิทยาลัยของ THE ใช้ปัจจัย 13 ข้อเป็นตัวชี้วัด รวมทั้งผลงานการค้นคว้าวิจัย การเรียนการสอน การถ่ายทอดความรู้ และกิจกรรมระหว่างประเทศ
สำหรับประเทศที่มีมหาวิทยาลัยติดใน 200 อันดับแรกจากมากไปหาน้อยคือ สหรัฐฯ อังกฤษร่วมกับเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สวีเดน ฝรั่งเศส ฮ่องกง เกาหลีใต้ จีน เบลเยียม เดนมาร์ก สิงคโปร์ ไอร์แลนด์ อิสราเอล นอร์เวย์ และฟินแลนด์
คาลเทค' เขี่ย 'ฮาร์วาร์ด' ซิวแชมป์มหาวิทยาลัยโลก
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 7 ตุลาคม 2554
--------------------------
1.สงสัยว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนหน้อ จุฬา ธรรมศาสตร์ มหิดล เชียงใหม่ ขอนแก่น ลาดกระบัง
มี ม.มหิดล แห่งเดียวที่ติดอันดับในช่วง 351-400
2. สงสัยผลงาน สกอ.ที่ให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทำประเมินโน่นประเมินนี่ ทั้ง self assessment อะไรอุรุงตุงนัง ถามว่า พวกมหาวิทยาลัยชั้นนำ เขาทำกันหรือเปล่า เปลืองเวลา เปลืองกระดาษ เปลืองค่าถ่ายเอกสาร สารพัด สงสารประเทศไทยจริง ๆิ เลย
3. ท่านสุรพล นิติไกรพจน์ บอกภูมิใจที่ได้รับการประเมินเป็นอันดับ 1/2 จะทำธรรมศาสตร์ให้เป็น World Class University
โอ๊ะโอ
คาลเทค' เขี่ย 'ฮาร์วาร์ด' ซิวแชมป์มหาวิทยาลัยโลก
สถาบัน “ไทม์ ไฮเออร์ เอจดูเคชั่น” (THE) ในอังกฤษ เปิดเผยผลการจัดอันดับสุดยอดสถาบันอุดมศึกษา 200 แห่งทั่วโลกประจำปี 2554 ปรากฏว่าสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย หรือ “คาลเทค” แย่งตำแหน่งแชมป์ ไปจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในรัฐแมสซาชูเสตต์ สถาบันเก่าแก่อายุ 365 ปี ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยฮาร์วาร์ดหล่นไปอยู่อันดับ 2 ร่วมกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย...
สหรัฐฯยังเป็นประเทศที่มีมหาวิทยาลัยติดอันดับมากที่สุดถึง 75 แห่ง จากทั้งหมด 200 แห่ง และส่วนใหญ่ก็ติดอันดับสุดยอด 10 อันดับ หรือ “ท็อป 10” รวมทั้งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน, มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ และมหาวิทยาลัยชิคาโก ส่วนอังกฤษรั้งอันดับ 2 มีมหาวิทยาลัยติดใน 200 อันดับถึง 32 แห่ง แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพุ่งขึ้นมาอยู่อันดับ 4 แซงมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่ร่วงไปอยู่อันดับ 6
สำหรับกลุ่มสุดยอด 20 มหาวิทยาลัยทั่วโลก มีเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่อยู่นอกสหรัฐฯและอังกฤษ นั่นคือสถาบันเทคโนโลยีสวิตเซอร์แลนด์ ติดอันดับ 15 และมหาวิทยาลัยโตรอนโตของแคนาดา ติดอันดับ 19 ขณะที่ในเอเชีย มหาวิทยาลัยโตเกียวของญี่ปุ่นติดอันดับ 30 ส่วนจีน ชาติมหาอำนาจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีเพียงมหาวิทยาลัยชั้นนำ 2 แห่งเท่านั้นที่ติดอยู่ใน 200 อันดับ
ในภูมิภาคตะวันออกกลางมีเพียงมหาวิทยาลัยของอิสราเอล 2 แห่งที่ติดใน 200 อันดับ นั่นคือมหาวิทยาลัยฮีบรูแห่งนครเยรูซาเลม กับมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ โดยรั้งอันดับ 121 กับ 166 ตามลำดับ ขณะที่มหาวิทยาลัยของไทยไม่ติดอยู่ใน 200 อันดับแรก แต่มีมหาวิทยาลัยมหิดลแห่งเดียวที่ติดอันดับ 323 ในกลุ่ม 400 อันดับ ทั้งนี้ การพิจารณาตัดสินให้คะแนนมหาวิทยาลัยของ THE ใช้ปัจจัย 13 ข้อเป็นตัวชี้วัด รวมทั้งผลงานการค้นคว้าวิจัย การเรียนการสอน การถ่ายทอดความรู้ และกิจกรรมระหว่างประเทศ
สำหรับประเทศที่มีมหาวิทยาลัยติดใน 200 อันดับแรกจากมากไปหาน้อยคือ สหรัฐฯ อังกฤษร่วมกับเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สวีเดน ฝรั่งเศส ฮ่องกง เกาหลีใต้ จีน เบลเยียม เดนมาร์ก สิงคโปร์ ไอร์แลนด์ อิสราเอล นอร์เวย์ และฟินแลนด์
คาลเทค' เขี่ย 'ฮาร์วาร์ด' ซิวแชมป์มหาวิทยาลัยโลก
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 7 ตุลาคม 2554
--------------------------
1.สงสัยว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนหน้อ จุฬา ธรรมศาสตร์ มหิดล เชียงใหม่ ขอนแก่น ลาดกระบัง
มี ม.มหิดล แห่งเดียวที่ติดอันดับในช่วง 351-400
2. สงสัยผลงาน สกอ.ที่ให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทำประเมินโน่นประเมินนี่ ทั้ง self assessment อะไรอุรุงตุงนัง ถามว่า พวกมหาวิทยาลัยชั้นนำ เขาทำกันหรือเปล่า เปลืองเวลา เปลืองกระดาษ เปลืองค่าถ่ายเอกสาร สารพัด สงสารประเทศไทยจริง ๆิ เลย
3. ท่านสุรพล นิติไกรพจน์ บอกภูมิใจที่ได้รับการประเมินเป็นอันดับ 1/2 จะทำธรรมศาสตร์ให้เป็น World Class University
โอ๊ะโอ
THE World University Rankings 2011-2012
1 | California Institute of Technology | United States | 94.8 |
2 | Harvard University | United States | 93.9 |
2 | Stanford University | United States | 93.9 |
4 | University of Oxford | United Kingdom | 93.6 |
5 | Princeton University | United States | 92.9 |
6 | University of Cambridge | United Kingdom | 92.4 |
7 | Massachusetts Institute of Technology | United States | 92.3 |
8 | Imperial College London | United Kingdom | 90.7 |
9 | University of Chicago | United States | 90.2 |
10 | University of California, Berkeley | United States | 89.8 |
11 | Yale University | United States | 89.1 |
12 | Columbia University | United States | 87.5 |
13 | University of California, Los Angeles | United States | 87.3 |
14 | Johns Hopkins University | United States | 85.8 |
15 | ETH Zürich - Swiss Federal Institute of Technology Zürich | Switzerland | 85 |
16 | University of Pennsylvania | United States | 84.9 |
17 | University College London | United Kingdom | 83.2 |
18 | University of Michigan | United States | 82.8 |
19 | University of Toronto | Canada | 81.6 |
20 | Cornell University | United States | 80.5 |
21 | Carnegie Mellon University | United States | 78.4 |
22 | University of British Columbia | Canada | 77.4 |
22 | Duke University | United States | 77.4 |
24 | Georgia Institute of Technology | United States | 77 |
25 | University of Washington | United States | 76.5 |
26 | Northwestern University | United States | 76.2 |
27 | University of Wisconsin-Madison | United States | 75.8 |
28 | McGill University | Canada | 75.5 |
29 | University of Texas at Austin | United States | 74.9 |
30 | University of Tokyo | Japan | 74.3 |
31 | University of Illinois at Urbana Champaign | United States | 74.2 |
32 | Karolinska Institute | Sweden | 73.1 |
33 | University of California, San Diego | United States | 73 |
34 | University of Hong Kong | Hong Kong | 72.3 |
35 | University of California, Santa Barbara | United States | 72.1 |
36 | University of Edinburgh | United Kingdom | 72 |
37 | University of Melbourne | Australia | 71.9 |
38 | Australian National University | Australia | 71.2 |
38 | University of California, Davis | United States | 71.2 |
40 | National University of Singapore | Singapore | 70.9 |
41 | Washington University in St Louis | United States | 70.5 |
42 | University of Minnesota | United States | 70 |
43 | University of North Carolina at Chapel Hill | United States | 69.3 |
44 | New York University | United States | 69 |
45 | Ludwig-Maximilians-Universität München | Germany | 67.6 |
46 | École Polytechnique Fédérale de Lausanne | Switzerland | 66.3 |
47 | London School of Economics and Political Science | United Kingdom | 66 |
48 | University of Manchester | United Kingdom | 65.7 |
49 | Brown University | United States | 65.6 |
49 | Peking University | China | 65.6 |
51 | Pennsylvania State University | United States | 64.9 |
52 | Kyoto University | Japan | 64.8 |
53 | Pohang University of Science and Technology | Republic of Korea | 64.6 |
54 | Boston University | United States | 64.2 |
55 | University of Southern California | United States | 64 |
56 | King's College London | United Kingdom | 63.2 |
57 | Ohio State University | United States | 63 |
58 | University of Sydney | Australia | 62.4 |
59 | École Normale Supérieure | France | 62 |
59 | University of Pittsburgh | United States | 62 |
61 | University of Zürich | Switzerland | 61.9 |
62 | Hong Kong University of Science and Technology | Hong Kong | 61.7 |
63 | École Polytechnique | France | 61.5 |
64 | University of Massachusetts | United States | 61.1 |
65 | McMaster University | Canada | 61 |
66 | University of Bristol | United Kingdom | 60.9 |
67 | Katholieke Universiteit Leuven | Belgium | 60.8 |
68 | Utrecht University | Netherlands | 60.4 |
69 | Georg-August-Universität Göttingen | Germany | 60.3 |
70 | Vanderbilt University | United States | 59.6 |
71 | Tsinghua University | China | 59.5 |
72 | Rice University | United States | 59 |
73 | Universität Heidelberg | Germany | 58.7 |
74 | University of Queensland Australia | Australia | 58.6 |
75 | Emory University | United States | 57.4 |
75 | Wageningen University and Research Center | Netherlands | 57.4 |
77 | University of Colorado Boulder | United States | 57.3 |
77 | Tufts University | United States | 57.3 |
79 | Leiden University | Netherlands | 57 |
80 | Lund University | Sweden | 56.9 |
81 | University of Rochester | United States | 56.8 |
81 | Rutgers, The State University of New Jersey | United States | 56.8 |
83 | Durham University | United Kingdom | 56.4 |
84 | Université Pierre et Marie Curie | France | 56 |
85 | University of St Andrews | United Kingdom | 55.7 |
86 | University of California, Irvine | United States | 55.4 |
87 | Uppsala University | Sweden | 55.2 |
88 | Technische Universität München | Germany | 55.1 |
89 | University of Notre Dame | United States | 55 |
90 | Dartmouth College | United States | 54.9 |
91 | University of Helsinki | Finland | 54.8 |
92 | University of Amsterdam | Netherlands | 54.7 |
93 | Case Western Reserve University | United States | 54.6 |
94 | Korea Advanced Institute of Science and Technology | Republic of Korea | 54.5 |
94 | University of Maryland, College Park | United States | 54.5 |
96 | Michigan State University | United States | 54.4 |
97 | University of Arizona | United States | 54.2 |
98 | Purdue University | United States | 54 |
99 | University of Sussex | United Kingdom | 53.9 |
100 | University of Alberta | Canada | 53.7 |
101 | University of Sheffield | United Kingdom | 53.6 |
102 | University of Glasgow | United Kingdom | 53.4 |
103 | University of Cape Town | South Africa | 53.2 |
104 | Delft University of Technology | Netherlands | 53.1 |
104 | University of Montreal | Canada | 53.1 |
106 | Ghent University | Belgium | 53 |
107 | Royal Holloway, University of London | United Kingdom | 52.9 |
108 | Tokyo Institute of Technology | Japan | 52.8 |
109 | Humboldt-Universität zu Berlin | Germany | 52.6 |
110 | University of California, Santa Cruz | United States | 52.5 |
111 | Universität Basel | Switzerland | 52.2 |
112 | University of Bern | Switzerland | 52.1 |
113 | University of Utah | United States | 51.9 |
114 | Stony Brook University | United States | 51.4 |
115 | Eindhoven University of Technology | Netherlands | 51.3 |
116 | Université de Lausanne | Switzerland | 51.2 |
117 | Monash University | Australia | 51.1 |
117 | Trinity College Dublin | Republic of Ireland | 51.1 |
119 | Osaka University | Japan | 51 |
120 | Tohoku University | Japan | 50.8 |
121 | Hebrew University of Jerusalem | Israel | 50.4 |
121 | University of York | United Kingdom | 50.4 |
123 | Indiana University | United States | 50.2 |
124 | Seoul National University | Republic of Korea | 50.1 |
125 | Aarhus University | Denmark | 50 |
125 | University of Florida | United States | 50 |
127 | Arizona State University | United States | 49.9 |
127 | Queen Mary, University of London | United Kingdom | 49.9 |
127 | University of Southampton | United Kingdom | 49.9 |
130 | University of Geneva | Switzerland | 49.8 |
131 | Lancaster University | United Kingdom | 49.7 |
131 | Stockholm University | Sweden | 49.7 |
133 | University of Leeds | United Kingdom | 49.5 |
134 | University of Groningen | Netherlands | 49.2 |
135 | University of Copenhagen | Denmark | 49 |
135 | George Washington University | United States | 49 |
135 | University of Virginia | United States | 49 |
138 | Georgetown University | United States | 48 |
139 | University of Vienna | Austria | 47.9 |
140 | University of Nottingham | United Kingdom | 47.7 |
141 | École Normale Supérieure de Lyon | France | 47.6 |
141 | University of Iowa | United States | 47.6 |
143 | University of California, Riverside | United States | 47.5 |
144 | Rensselaer Polytechnic Institute | United States | 47.4 |
145 | University of East Anglia | United Kingdom | 47.3 |
146 | Newcastle University | United Kingdom | 47 |
146 | William & Mary | United States | 47 |
148 | University of Birmingham | United Kingdom | 46.9 |
149 | Birkbeck, University of London | United Kingdom | 46.8 |
150 | Brandeis University | United States | 46.7 |
151 | University of Aberdeen | United Kingdom | 46.6 |
151 | Chinese University of Hong Kong | Hong Kong | 46.6 |
151 | Freie Universität Berlin | Germany | 46.6 |
154 | National Taiwan University | Taiwan | 46.2 |
154 | Yeshiva University | United States | 46.2 |
156 | University of Exeter | United Kingdom | 46.1 |
157 | Erasmus University Rotterdam | Netherlands | 46 |
157 | University of Warwick | United Kingdom | 46 |
159 | University College Dublin | Republic of Ireland | 45.9 |
159 | Radboud University Nijmegen | Netherlands | 45.9 |
159 | VU University Amsterdam | Netherlands | 45.9 |
162 | Medical University of South Carolina | United States | 45.8 |
162 | Wake Forest University | United States | 45.8 |
164 | University of Reading | United Kingdom | 45.7 |
164 | Texas A&M University | United States | 45.7 |
166 | Tel Aviv University | Israel | 45.4 |
167 | University of Illinois at Chicago | United States | 45.2 |
168 | RWTH Aachen University | Germany | 45.1 |
169 | Université Catholique de Louvain | Belgium | 45 |
169 | Nanyang Technological University | Singapore | 45 |
169 | Université Paris Diderot - Paris 7 | France | 45 |
172 | University of Miami | United States | 44.8 |
173 | University of Auckland | New Zealand | 44.6 |
173 | University of New South Wales | Australia | 44.6 |
173 | Queen's University | Canada | 44.6 |
176 | University of Dundee | United Kingdom | 44.5 |
177 | University of Victoria | Canada | 44.2 |
178 | University of São Paulo | Brazil | 44.1 |
178 | Technical University of Denmark | Denmark | 44.1 |
180 | University of Delaware | United States | 43.8 |
181 | Johann Wolfgang Goethe-Universität Frankfurt am Main | Germany | 43.6 |
181 | University of Liverpool | United Kingdom | 43.6 |
181 | University of Oslo | Norway | 43.6 |
184 | Iowa State University | United States | 43.4 |
185 | University of Ottawa | Canada | 43.2 |
186 | Pompeu Fabra University | Spain | 43.1 |
187 | KTH Royal Institute of Technology | Sweden | 43 |
187 | Eberhard Karls Universität Tübingen | Germany | 43 |
189 | Albert-Ludwigs-Universität Freiburg | Germany | 42.9 |
189 | University of Western Australia | Australia | 42.9 |
191 | University of Bergen | Norway | 42.8 |
192 | University of Science and Technology of China | China | 42.7 |
193 | City University of Hong Kong | Hong Kong | 42.6 |
194 | Universität Konstanz | Germany | 42.5 |
195 | Boston College | United States | 42.4 |
196 | Karlsruhe Institute of Technology | Germany | 41.6 |
197 | Georgia Health Sciences University | United States | 41.5 |
197 | University of Leicester | United Kingdom | 41.5 |
197 | Maastricht University | Netherlands | 41.5 |
200 | University of Twente | Netherlands | 41.4 |
201-225 | University of Adelaide | Australia |
201-225 | Autonomous University of Barcelona | Spain |
201-225 | University of Barcelona | Spain |
201-225 | Bilkent University | Turkey |
201-225 | Université Libre de Bruxelles | Belgium |
201-225 | University at Buffalo | United States |
201-225 | Cardiff University | United Kingdom |
201-225 | University of Cincinnati | United States |
201-225 | Colorado School of Mines | United States |
201-225 | University of Essex | United Kingdom |
201-225 | University of Georgia | United States |
201-225 | University of Gothenburg | Sweden |
201-225 | University of Innsbruck | Austria |
201-225 | University of Medicine and Dentistry of New Jersey | United States |
201-225 | Nagoya University | Japan |
201-225 | National Tsing Hua University | Taiwan |
201-225 | Northeastern University | United States |
201-225 | University of Otago | New Zealand |
201-225 | University of South Carolina | United States |
201-225 | University of Strasbourg | France |
201-225 | Technion Israel Institute of Technology | Israel |
201-225 | Tulane University | United States |
201-225 | Universität Ulm | Germany |
201-225 | Umeå University | Sweden |
201-225 | University of Waterloo | Canada |
201-225 | University of Western Ontario | Canada |
201-225 | Universität Würzburg | Germany |
226-250 | University of Bologna | Italy |
226-250 | University of Calgary | Canada |
226-250 | Carleton University | Canada |
226-250 | Chalmers University of Technology | Sweden |
226-250 | Colorado State University | United States |
226-250 | Creighton University | United States |
226-250 | Dalhousie University | Canada |
226-250 | Drexel University | United States |
226-250 | Fudan University | China |
226-250 | Universität Hamburg | Germany |
226-250 | Korea University | Republic of Korea |
226-250 | Macquarie University | Australia |
226-250 | University of Milan | Italy |
226-250 | University of Milan-Bicocca | Italy |
226-250 | University of Missouri | United States |
226-250 | National Chiao Tung University | Taiwan |
226-250 | University of Padua | Italy |
226-250 | Simon Fraser University | Canada |
226-250 | State University of New York Albany - University at Albany | United States |
226-250 | Swedish University of Agricultural Sciences | Sweden |
226-250 | Tokyo Metropolitan University | Japan |
226-250 | University of Trieste | Italy |
226-250 | Yonsei University | Republic of Korea |
251-275 | Bangor University | United Kingdom |
251-275 | University of Bath | United Kingdom |
251-275 | Universität Bielefeld | Germany |
251-275 | Ruhr-Universität Bochum | Germany |
251-275 | Brunel University | United Kingdom |
251-275 | Technische Universität Dresden | Germany |
251-275 | Karl-Franzens-Universität Graz | Austria |
251-275 | University of Hawaii at Manoa | United States |
251-275 | Hong Kong Polytechnic University | Hong Kong |
251-275 | Christian-Albrechts-Universität zu Kiel | Germany |
251-275 | Kyushu University | Japan |
251-275 | Johannes Kepler Universität Linz | Austria |
251-275 | Nanjing University | China |
251-275 | National Sun Yat-Sen University | Taiwan |
251-275 | Norwegian University of Science and Technology | Norway |
251-275 | Queen's University Belfast | United Kingdom |
251-275 | University of Southern Denmark | Denmark |
251-275 | Stellenbosch University | South Africa |
251-275 | University of Texas at Dallas | United States |
251-275 | Tilburg University | Netherlands |
251-275 | University of Tsukuba | Japan |
251-275 | Victoria University of Wellington | New Zealand |
251-275 | Virginia Polytechnic Institute and State University | United States |
251-275 | Wayne State University | United States |
251-275 | University of Witwatersrand | South Africa |
251-275 | University of Wollongong | Australia |
276-300 | Aberystwyth University | United Kingdom |
276-300 | University of Antwerp | Belgium |
276-300 | Autonomous University of Madrid | Spain |
276-300 | University of Crete | Greece |
276-300 | Technische Universität Darmstadt | Germany |
276-300 | University of Guelph | Canada |
276-300 | Hokkaido University | Japan |
276-300 | Hong Kong Baptist University | Hong Kong |
276-300 | University of Iceland | Iceland |
276-300 | Istanbul Technical University | Turkey |
276-300 | University of Kansas | United States |
276-300 | University of Kentucky | United States |
276-300 | Lomonosov Moscow State University | Russian Federation |
276-300 | Middle East Technical University | Turkey |
276-300 | Université Montpellier 2 | France |
276-300 | Westfälische Wilhelms-Universität Münster | Germany |
276-300 | The University of Newcastle | Australia |
276-300 | Queensland University of Technology | Australia |
276-300 | State University of Campinas | Brazil |
276-300 | Sun Yat-sen University | China |
276-300 | The University of Texas at San Antonio | United States |
276-300 | Tokyo Medical and Dental University | Japan |
276-300 | University of Trento | Italy |
276-300 | University of Tromsø | Norway |
276-300 | York University | Canada |
301-350 | Aalborg University | Denmark |
301-350 | Aalto University | Finland |
301-350 | Alexandria University | Egypt |
301-350 | Aveiro University | Portugal |
301-350 | Bar-Ilan University | Israel |
301-350 | Binghamton University, State University of New York | United States |
301-350 | Boğaziçi University | Turkey |
301-350 | University of Canterbury | New Zealand |
301-350 | Charles Darwin University | Australia |
301-350 | University College Cork | Republic of Ireland |
301-350 | University of Eastern Finland | Finland |
301-350 | University of Ferrara | Italy |
301-350 | George Mason University | United States |
301-350 | University of Hertfordshire | United Kingdom |
301-350 | University of Houston | United States |
301-350 | University of Hull | United Kingdom |
301-350 | Indian Institute of Technology, Bombay | India |
301-350 | Jagiellonian University | Poland |
301-350 | Keele University | United Kingdom |
301-350 | Keio University | Japan |
301-350 | Kent State University | United States |
301-350 | Lehigh University | United States |
301-350 | Université de Liège | Belgium |
301-350 | Linköping University | Sweden |
301-350 | University of Manitoba | Canada |
301-350 | University of Maryland, Baltimore County | United States |
301-350 | University of Modena and Reggio Emilia | Italy |
301-350 | National Taiwan University of Science and Technology | Taiwan |
301-350 | University of Oklahoma | United States |
301-350 | University of Pisa | Italy |
301-350 | Plymouth University | United Kingdom |
301-350 | Polytechnic University of Milan | Italy |
301-350 | University of Porto | Portugal |
301-350 | Charles University in Prague | Czech Republic |
301-350 | Sapienza University of Rome | Italy |
301-350 | Shanghai Jiao Tong University | China |
301-350 | Sharif University of Technology | Iran |
301-350 | University of South Florida | United States |
301-350 | University of Stirling | United Kingdom |
301-350 | Sungkyunkwan University (SKKU) | Republic of Korea |
301-350 | University of Surrey | United Kingdom |
301-350 | University of Tampere | Finland |
301-350 | University of Tasmania | Australia |
301-350 | University of Valencia | Spain |
301-350 | Vienna University of Technology | Austria |
301-350 | Vrije Universiteit Brussel | Belgium |
301-350 | University of Waikato | New Zealand |
301-350 | University of Warsaw | Poland |
301-350 | Washington State University | United States |
301-350 | Zhejiang University | China |
351-400 | Aston University | United Kingdom |
351-400 | Auburn University | United States |
351-400 | University of Bari Aldo Moro | Italy |
351-400 | Clemson University | United States |
351-400 | University of Coimbra | Portugal |
351-400 | Curtin University | Australia |
351-400 | Deakin University | Australia |
351-400 | Flinders University | Australia |
351-400 | Georgia State University | United States |
351-400 | Griffith University | Australia |
351-400 | Leibniz Universität Hannover | Germany |
351-400 | Harbin Institute of Technology | China |
351-400 | Heriot-Watt University | United Kingdom |
351-400 | Hiroshima University | Japan |
351-400 | University of Idaho | United States |
351-400 | Kansas State University | United States |
351-400 | University of Kent | United Kingdom |
351-400 | Kobe University | Japan |
351-400 | Kyung Hee University | Republic of Korea |
351-400 | La Trobe University | Australia |
351-400 | Liverpool John Moores University | United Kingdom |
351-400 | Loughborough University | United Kingdom |
351-400 | Mahidol University | Thailand |
351-400 | Massey University | New Zealand |
351-400 | Michigan Technological University | United States |
351-400 | National Central University | Taiwan |
351-400 | National University of Ireland, Galway | Republic of Ireland |
351-400 | National University of Ireland, Maynooth | Republic of Ireland |
351-400 | National Taiwan Ocean University | Taiwan |
351-400 | New Jersey Institute of Technology | United States |
351-400 | New University of Lisbon | Portugal |
351-400 | Old Dominion University | United States |
351-400 | Université Paris 13 | France |
351-400 | Polytechnic University of Catalonia | Spain |
351-400 | Polytechnic University of Turin | Italy |
351-400 | Pontifical Catholic University of Chile | Chile |
351-400 | Polytechnic University of Valencia | Spain |
351-400 | Saint Petersburg State University | Russian Federation |
351-400 | University of Salento | Italy |
351-400 | University of South Australia | Australia |
351-400 | University of Strathclyde | United Kingdom |
351-400 | Swansea University | United Kingdom |
351-400 | Swinburne University of Technology | Australia |
351-400 | University of Tartu | Estonia |
351-400 | Tokyo University of Agriculture and Technology | Japan |
351-400 | University of Turku | Finland |
351-400 | Waseda University | Japan |
351-400 | Wuhan University | China |
351-400 | University of Wyoming | United States |
351-400 | Yuan Ze University | Taiwan |
351-400 | University of Zaragoza | Spain |
Subscribe to:
Posts (Atom)