Wednesday, December 30, 2009
แก้ปีชง แก้กรรมด้วยการทำบุญที่ยิ่งใหญ่
และในวันสิ้นปีเช่นนี้ แนะนำให้คุณผู้อ่านร่วมทำบุญรับศักราชใหม่ด้วยการบริจาคโลหิตหรืออวัยวะ ซึ่งควรมีความเข้าใจถึงหน้าที่และความจำเป็นของสิ่งที่จะบริจาคกันก่อน
เริ่มจากการบริจาคโลหิต แบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย เม็ดโลหิต (เม็ดโลหิตแดง ขาว เกล็ดโลหิต) และพลาสมา โดยทั่วไปผู้คนมักร่วมบริจาคโลหิต เนื่องจากร่างกายของคนเรามีโลหิต 17-18 แก้วน้ำ แต่ใช้งานเพียง 15-16 แก้วน้ำ ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงสามารถบริจาคได้โดยไม่เป็นอันตราย ในการบริจาคจะใช้เลือดเพียง 350 – 450 ซีซี แล้วจะนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ ผ่าตัด คลอดบุตร เฉลี่ยร้อยละ 77 ส่วนอีกร้อยละ 23 ของโลหิตที่ได้รับการบริจาคจะนำไปรักษาผู้ป่วยเฉพาะโรค เช่น ธาลัสซีเมีย เกล็ดโลหิตต่ำ ฮีโมฟีเลีย เป็นต้น
แต่ยังมีการบริจาคส่วนประกอบสำคัญในโลหิตที่แบบเฉพาะเจาะจงลงไป คือ ‘เกล็ดโลหิต’ ซึ่งจะรับบริจาคเมื่อมีการร้องขอจากโรงพยาบาล เนื่องจากเมื่อนำเกล็ดโลหิตออกจากร่างกาย จะมีอายุการใช้งานภายใน 24 ชั่วโมง – 5 วัน แถมยังต้องถูกเก็บรักษาในตู้ที่อุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียส โดยนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว ไขกระดูกไม่ทำงาน โรคไข้เลือดออก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพราะผู้ป่วยเหล่านั้นจะมีเกล็ดโลหิตในร่างกายต่ำกว่า 1-5 แสนตัวต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
เฉพาะส่วนของเลือดยังมี ‘เม็ดโลหิตแดง’ ส่วน ประกอบสำคัญที่นำออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยอุบัติเหตุ ผ่าตัด หรือมีภาวะซีดเพราะเม็ดโลหิตแดงผิดปกติ สำหรับการบริจาคเม็ดโลหิตแดงจะรับได้จากผู้บริจาค 2 ยูนิตต่อราย การนำไปใช้แพทย์จะเตรียมเม็ดโลหิตแดงจากผู้บริจาครายเดียวจึงลดความเสี่ยงใน การติดเชื้อ
‘พลาสมา’ หรือน้ำเหลือง คือภูมิต้านทานโรคติดต่อและเชื้อโรค การแยกพลาสมาออกจากโลหิตนั้นจะได้เพียง 100 – 150 ซีซี จึงมีการเกิดรับบริจาคเฉพาะพลาสมามากขึ้น เนื่องจากการบริจาคเพียงแต่พลาสมา จะทำให้ได้ปริมาณ 500 ซีซีต่อคน นำไปใช้เป็นส่วนประกอบโลหิต และสร้างผลิตภัณฑ์โลหิตเพื่อฉีดเข้าเส้นสำหรับป้องกันไวรัสตับบีหรือพิษ สุนัขบ้า
และ ‘เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต’ (Stem Cell) เซลล์ตัวอ่อนของโลหิตที่จะเจริญเติบโตเป็นเม็ดโลหิตแดง ขาว และเกล็ดโลหิต ร่างกายสร้างขึ้นตลอดเวลา โดยนำไปช่วยผู้ป่วยธาลัสซีเมีย โลหิตจางชนิดไขกระดูกฝ่อ มะเร็งเม็ดโลหิต เป็นต้น
นอกเหนือจากการบริจาคโลหิตแล้ว การบริจาคอวัยวะก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ แต่เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน การบริจาคอวัยวะจึงมีจำนวนไม่มาก
การบริจาคดวงตา หลังผู้ที่บริจาคเสียชีวิตลง ภายใน 6 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญจะต้องทำการจัดเก็บ ก่อนสภาพศพเน่าเปื่อย ทั้งยังไม่ควรมีการฉีดน้ำยากันเน่าด้วย ดวงตาที่บริจาคนั้นจักษุแพทย์สามารถนำไปแยกส่วนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการ รักษาผู้ที่มีความต้องการกระจกตา เพราะมีอาการกระจกตาขุ่นเป็นฝ้าขาว กระจกตามีความโค้งนูนผิดปกติ หรือตาขาว
การบริจาคเยื่อหุ้มรก Amniotie Humbrane เยื่อบางใสหุ้มทารกและน้ำคร่ำขณะเด็กอยู่ในครรภ์มารดา หลังคลอดเยื่อหุ้มรกจะติดค้างกับรถ มี 2 ส่วนประกอบสำคัญ คือ เซลล์และแผ่นฐานรองรับเซลล์ ที่เรียกว่า basement membrane และส่วนของเนื้อเยื่อผูกพันที่อยู่กันอย่างหลวม ๆ และมีสารหลายอย่างละลายอยู่ข้างใน นำไปใช้ประโยชน์ในการผ่าตัดรักษาช่องท้อง ปกปิดแผลที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ทดแทนเนื้อเยื่อ ช่วยสมานแผล ทั้งยังช่วยในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับผิวดวงตา
ศูนย์กลางการรับบริจาคแห่งใหญ่ในบ้านเราอยู่ที่ ‘สภากาชาดไทย’ ซึ่ง ยังต้องการโลหิต ดวงตา และอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด ไต หัวใจ ตับ รวมทั้งร่างกายเพื่อการศึกษาของนักเรียนแพทย์ ผู้มีจิตศรัทธาต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.redcross.or.th
takecareDD@gmail.com
ที่มา ‘มุมสุขภาพ’ เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 31 ธันวาคม 2552 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentID=40254
Sunday, December 27, 2009
การตักบาตร และอานิสงส์ในการตักบาตร
๑.เป็นการสั่งสมบุญในแต่ละวัน เพราะการสั่งสมเป็นเหตุนำความสุขมาให้ นอกจากนี้ยังทำให้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
๒.เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำบุญทำให้จิตใจแจ่มใส เพื่อให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพราะผู้ที่ไม่มีบุญ
เกื้อหนุนอยู่ในใจ ย่อมพ่ายแพ้ต่อบาปได้ง่าย
๓.เป็นการทำที่พึ่งคือบุญให้แก่ตนเองในอนาคต เพราะทำให้มีความแข็งแรง มีอายุขัยยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
๔.เป็นการช่วยรักษาพุทธประเพณี เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตและที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต
ด้วนแต่ดำรงพระชนม์ชีพด้วยอาหารบิณฑบาต
๕.เป็นการช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์เป็นผู้ศึกษา ปฏิบัติพระธรรมวินัย
แล้วนำมาสั่งสอนให้ประชาชนไดรับรสแห่งพระธรรมด้วย อีกทั้งยังดำรงตนเป็นตัวอย่างด้านความประพฤติิดีงามของสังคม ฉะนั้น ชาวพุทธควรทำบุญตักบาตรเป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็นการสั่งสมบุญให้แก่ตนเองที่จะต้องนำไป ดุจเสบียงเดินทาง ในการท่องเที่ยวเวียนเกิดและเวียนตายอยู่ในวัฏฏสงสาร อันไม่ปรากฏเบื้องต้นและที่สุด และบุญที่สั่งสมไว้นี้ จะช่วยเกื้อกูลให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
๖. ทำให้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติมาก เป็นมหาเศรษฐี ผู้ใจบุญ ค้ำจุนพระพุทธศาสนา
๗. มีสติปัญญา และ ผิวพรรณ วรรณะผ่องใส มียศถาบรรดาศักดิ์ เกรียงไกร
๘. ไม่พลัดพรากจากของรัก มีความสุขในทุกสถาน
๙. ทำให้เป็นผู้เกิดภายใต้ร่มเงาบวรพระพุทธศาสนาตลอดไป
๑๐. บรรลุธรรมได้โดยง่ายไปทุกภพชาติ
อนึ่ง ประโยชน์ส่วนรวมที่จะเกิดขึ้น คือ เป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา เพระพระสงฆ์ซึ่งเป็น
ผู้นำของพุทธบริษัท ที่เป็นฐานกำลังสำคัญแห่งกองทัพธรรมนั้น ท่านดำรงชีพอยู่ได้ด้วยปัจจัยที่คฤหัสถ์จัด
ถวาย ท่านจึงสามารถมีกำลังกาย กำลังใจที่จะศึกษาพระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก ให้เข้าใจ ทรงจำ นำมาประพฤติปฏิบัติ และกล่าวสอนมวลมนุษย์ได้
การทำบุญตักบาตรจะสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
๑.ต้องเตรียมใจให้พร้อม ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะบุญที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจของผู้ถวาย ท่านแนะนำให้รักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ขณะ คือ
๑.๑ ก่อนถวาย ตั้งใจเสียสละอย่างแท้จริง
๑.๒ ขณะถวาย ก็มีใจเลื่อมใส ถวายด้วยความเคารพ
๑.๓ หลังจากถวายแล้ว ต้องยินดีในทานของตัวเองจิตใจเบิกบานเมื่อนึกถึงทานที่ตนเองได้ถวายไปแล้ว
การทำใจให้ได้ทั้ง ๓ ขณะดังกล่าวนี้ นับว่ายากมาก เพราะมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้จิตใจของเรา
เศร้าหมองในขณะใดขณะหนึ่งได้
๒.ผู้รับ คือ พระภิกษุสามเณร เป็นผู้สำรวมระวัง มีข้อวัตรปฏิบัติที่ดีงามตามพระธรรมวินัย ใฝ่ศึกษาเล่าเรียน
พระพุทธพจน์ ทรงจำ นำมาบอกกล่าว สั่งสอนได้ และเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรเทาราคะ โทสะ โมหะ
จนสามารถละขาดได้อย่างสิ้นเชิง
๓.สิ่งของที่ถวาย จะต้องได้มาด้วยวิธีที่สุจริต ไม่เบีดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน และที่สำคัญคือสิ่งนั้นต้องเหมาะสมแก่พระภิกษุสามเณรด้วย
ทำบุญตักบาตรให้หมั่นอธิษฐาน
เมื่อองค์ประกอบ ๓ อย่างข้างต้นบริบูรณ์ สิ่งที่จะต้องทำก่อนตักบาตร คือ "การอธิษฐาน" การอธิษฐานนี้นับว่า
เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะจะทำให้บุญของเราหนักแนน่ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นมากขี้น และยังทำให้เราทราบเป้าหมาย ในการทำบุญด้วย นอกจากนี้ การอธิษฐานยังสามารภสร้างพลังขึ้นในจิตใจให้มากขึ้น เป็นการสั่งสมกำลังแห่งความบากบั่น อดทน เพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญให้เราก้าวไปสู่สิ่งที่ปรารถนาได้ การอธิษฐานในขณะที่บำเพ็ญบุญนั้น ผลบุญย่อม หนุนส่งให้สำเร็จตามที่ปรารถนาไว้ ถึงแม้จะขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสบ้างก็ตาม แต่ความดีที่ทำไว้ย่อมไม่เสียหายไป แน่นอน
ฉะนั้น ก่อนตักบาตร ควรอธิษฐานโดยนั่งหรือยืนก็ได้ แล้วแต่สถานที่จะอำนวย ยกสี่งของที่จะถวายขึ้นเสมอหน้าผาก แล้วอธิษฐานตามที่ต้องการที่ชอบธรรมเป็นภาษาใดก็ได้ จะว่าในใจหรือออกเสียงเบา ๆ ก็ได้ จากนั้นจึงถวาย อาหารบิณฑบาตด้วยความเคารพ ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนให้ถวายหลังจากที่ถวายอาหารบิณฑบาตเสร็จแล้ว ถ้าเป็นสตรี ให้วางดอกไม้ธูปเทียนไว้บนฝาบาตร เมื่อพระท่านปิดบาตรแล้ว
คำอธิษฐานก่อนตักบาตร
ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา มีเป็นหมายเพื่อให้มนุษย์ปลดเปลื้องตนเองจากทุกข์ มีจิตใจเป็นอิสระ
เหนือทุกข์ทุกอย่าง (พระนิพพาน) หลักการดำเนินชีวีตของชาวพุทธนั้นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งพระ โบราณาจารย์ท่านจึงบัญญัติคำ อธิษฐานที่เป็นสากลนิยมไว้ว่า
อิทัง ทานัง สีละวันตานัง ภิกขูนัง นิยยาเทมิ สุทินนัง วะตะ เม ทานัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ อะนาคะเต กาเล ฯ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายทานนี้แด่พระสงฆ์ผู้มีศีล ขอท่านที่ข้าพเจ้าถวายดีแล้ว จงเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน ในอนาคตกาล เบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ
อีกบทหนึ่งเป็นคำอธิษฐานถึงพระสังฆรัตนะ ว่า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, เอเตนะ สังจะวัชเชนะ, โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา ฯ ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยคำสัตย์ นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อ เทอญ ฯ
Saturday, December 26, 2009
“โรคคอมพิวเตอร์”
ยังมีโรคภัยที่อาจเกิดขึ้น อันเป็นผลจากการใช้งานคอม พิวเตอร์นาน ๆ บ่อย ๆ ดังต่อไปนี้
มือ คนส่วนมากใช้คอมพิวเตอร์ก็ต้องเป็นอวัยวะมือเป็นหลัก ที่จะคอย กด คลิก เลื่อน พิมพ์งาน ซึ่งหากใช้มือใน การพิมพ์งานมาก ๆ ก็อาจเกิด อาการเมื่อยนิ้วเมื่อยมือได้ แต่การใช้งานคอมพิวเตอร์มีอีก 2 ลักษณะที่อาจเป็นปัญหาจากการใช้งานได้ นั่นคือ ข้อมือข้างที่ถนัดที่มักใช้เมาส์ มีการขยับข้อมือมาก จนบางครั้งเกิดการอักเสบของพังผืดบริเวณข้อมือ ทำให้มีอาการบวมไปกดเส้นประสาทที่วิ่งผ่านใต้พังผืดบริเวณของข้อ จนเกิดอาการชานิ้วหรือฝ่ามือได้ ทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า carpal tunnel syndrome
การรักษาภาวะนี้ที่สำคัญคือ การลดการใช้งานข้อมือลงให้ลดการอักเสบยุบบวม แต่หากไม่ดีขึ้นอาจต้องรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัด อีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นกับมือข้างถนัดที่ใช้เมาส์คือ การอักเสบของเส้นเอ็นของนิ้วชี้ที่ใช้คลิกเมาส์เนื่องจากการใช้มากเกินไป การรักษาก็ต้องพักหรือลดการใช้งานให้น้อยลง ในกรณีของการใช้จอยสติ๊กหรือเครื่องกดในการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ก็อาจมีการอักเสบของเส้นเอ็นหรือข้อนิ้วอื่นในมือได้เช่นเดียวกัน
โรคกระเพาะอาหาร อาจสงสัยว่า การใช้งานคอมพิวเตอร์มีความเกี่ยวข้องกับโรคกระเพาะอาหารได้อย่างไร ต้องอธิบายว่า เพราะในปัจจุบันมีการใช้งานคอมพิวเตอร์กันมาก โดยเฉพาะส่วนของอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีใช้กันอย่างแพร่หลายแทบทุกเครื่องต้องมีการใช้งาน ซึ่งประโยชน์ของการใช้งานก็จะทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร และใช้ติดต่อสื่อสารกันอย่างกว้างขวางเสมือนกับเป็นการย่อโลกลงมา แต่ในขณะเดียวกัน การใช้อินเทอร์เน็ตก็มักจะทำให้ผู้ใช้เพลิดเพลินจนเลยเวลารับประทานอาหาร นั่นทำให้รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา จนอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และมีอาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหารได้ รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมมื้ออาหารของแต่ละวันกันด้วย
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ นี่ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลา นาน โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ที่นั่งทำงาน กับเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหลายชั่วโมงได้ และเป็นเหตุให้ไม่ได้ไปปัสสาวะหรือกลั้นปัสสาวะเอาไว้ กะว่ารอจนทำงานเสร็จค่อยไปปัสสาวะโดยเฉพาะในผู้หญิง การกลั้นปัสสาวะไว้นาน ๆ จะทำให้มีโอกาสที่เชื้อโรคบริเวณปากช่องคลอดจะเข้าไปในท่อปัสสาวะทำให้เกิด การอักเสบติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย เวลาปัสสาวะจะมีอาการแสบขัด บางรายถึงกับลุกลามเป็นกรวยไตอักเสบ มีอาการมีไข้ ปวดหลังได้ ดังนั้นในระหว่างที่ใช้คอมพิวเตอร์ ถ้ารู้สึกปวดปัสสาวะควรไปห้องน้ำทันที ไม่ควรรอ
โรคขาดอาหาร การเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์นานๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เล่นเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโต อาจถึงทำให้เกิดภาวะขาดอาหารได้ เนื่องจากไม่สนใจการรับประทานอาหาร ไม่อยากอาหาร หรือหากทานอาหารก็จะทานอาหาร ที่หาง่ายทำง่าย เช่น บะหมี่ปรุงสำเร็จ ที่ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น จนส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายได้
ปวดหลัง หลาย ๆ คนที่นั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์นาน ๆ จะรู้สึกปวดหลัง ทั้ง หลังส่วนบนและหลังส่วนล่าง ทั้งนี้เนื่องจากการนั่งในท่า เดิมเป็นเวลานาน โดยไม่ได้ขยับเปลี่ยนท่า กล้ามเนื้อหลังตั้งแต่ บ่า สะบัก และกล้ามเนื้อสองข้างของกระดูกสันหลัง จะต้องมีการหดเกร็งตัวเพื่อรักษาร่างกายให้อยู่ในท่าเดิมตลอดเวลา
ในความเป็นจริงแล้ว ปกติเวลานั่งในท่าเดิมระยะหนึ่งจะรู้สึกปวดเมื่อย แล้วก็มักจะขยับตัวเปลี่ยนท่าเอง แต่ในระหว่างการใช้คอมพิวเตอร์ คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสนใจและมีสมาธิกับสิ่งที่อยู่ในจอมอนิเตอร์ จนละเลยความรู้สึกปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อหลัง กระทั่งไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถของร่างกาย กว่าจะรู้ตัว กล้ามเนื้อหลัง ก็มีการเกร็งตัวเป็นเวลานานจนรู้สึกปวดมากแล้ว การแก้ไขคือ พยายามเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนท่านั่งบ่อย ๆ ในระหว่างการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์
การขาดการออกกำลังกาย การใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นประจำจนติด เช่น ติดการใช้อินเทอร์เน็ต ติดเกมคอมพิวเตอร์ ทำให้ใช้เวลาในแต่ละวันนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์หลาย ๆ ชั่วโมง จนบางครั้งไม่มีเวลาหรือไม่มีความคิดที่จะออกกำลังกาย
การขาดการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง กล้ามเนื้อในร่างกายขาดการฝึกฝนใช้งาน ทำให้กล้ามเนื้อหดลีบ ขาดความคล่องตัว ดังที่มีคนทำนายไว้ว่า มนุษย์เราในอนาคตจะมีลักษณะหัวโต เพราะใช้สมองมาก แต่ตัวลีบ เพราะขาดการออกกำลังกาย จะมีแต่นิ้วที่ยาวแต่แข็งแรงไม่มากเพราะใช้แต่คอมพิวเตอร์ ภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอลง ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย เป็นหวัด เจ็บคอบ่อย ๆ จากการติดเชื้อทางเดินหายใจ เพราะนั่งใช้คอมพิวเตอร์อยู่แต่ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศเกือบตลอดเวลา ไม่ค่อยออกไปสัมผัสกับแสงแดดและอากาศบริสุทธิ์
ที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงตัวอย่างของโรคที่เกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ และจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นกิจวัตรที่คนจำนวนไม่น้อยทำในแต่ละวัน โรคที่มากับการใช้คอมพิวเตอร์ก็จะเป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้นตามไปด้วย แต่ส่วนมากเป็นโรคหรือภาวะที่หลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้เมื่อทราบและมีการ ปฏิบัติที่ถูกต้อง
จึงควรหันมาใส่ใจตนเองให้มากขึ้น เมื่อต้องมีการใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมสำหรับผู้ที่มีภาวะเข่าเสื่อม ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ความรู้เรื่องการดูแลเข่า ผู้สนใจโทร 0-2201-1688, 0-2201-1584.
ผศ.นพ.กิตติ โตเต็มชัยการ
อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 26 ธันวาคม 2552 http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=493&contentID=39449
ลายมือที่มีความสำเร็จด้วยปัญญา
ความหมายตามลายเส้น
หมายเลข ๑-๑
เส้นพฤหัสมาจากเส้นสมอง จะประสบความสำเร็จในการศึกษามีความรู้สูง สติปัญญาดีในการบริหารการปกครองที่สูงส่งได้
หมายเลข ๒-๒
เส้นเสาร์มาจากเส้นสมอง หมายถึงการทำงานใหญ่ที่มีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ มีกิจการที่ยิ่งใหญ่ด้วยความสามารถของตนเอง
หมายเลข ๓-๓
เส้นอาทิตย์มาจากสมอง จะมีความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังมีฐานะการเงินมหาศาล มีการลงทุนการค้าขนาดใหญ่ ด้วยปัญญาของ ตนเอง
หมายเลข ๔-๔
เส้นพุธมาจากเส้นสมอง หมายถึงความสำเร็จในการค้าการตลาดที่มีความสามารถในการลงทุนด้วยความคิด และความสามารถตนเอง
ต้อย ตุลา
ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์ เสาร์ ที่ 26 ธันวาคม 2552 http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=492&contentId=39459
ทุก(ข์)ปัญหามีทางออก: There is always a solution to life's problem
“ช่วงนี้คนไทยเป็นโรคเครียดกันมากขึ้น ความเครียดเป็นโทษต่อร่างกาย ก็อยากให้มองเป็นเรื่องขำๆ ไปซะ มองชีวิตในแง่บวกทุกวัน ทุกชั่วโมง เราต้องเอาธรรมะมากู้วิกฤติ คนที่ไม่เคยเข้าวัด บางคนพอได้ธรรมะดีๆ ไปสักข้อสองข้อ ชีวิตดีขึ้นก็มีเยอะ ลองปรับความคิดตามหลักพุทธศาสนาว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ดี พรุ่งนี้แย่ ล้วนเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน จำไว้ว่าความทุกข์จากโลกเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ได้มีไว้ให้แบก ทุกอย่างเกิดจากเหตุและผล ฉะนั้น เมื่อผลของเหตุทำให้เราเกิดทุกข์ เราก็ต้องไปดับทุกข์ที่นั่น มองหาสาเหตุหรือต้นตอแล้วขุดขึ้นมาแก้ไขตรงนั้นเลย เมื่อความทุกข์ไม่มี ปัญหาสังคมไม่เกิด ชีวิตก็จะสงบสุข การแก้ปัญหาแบบอริยสัจ 4 การเสียสละ หรือแม้แต่การมองโลกในแง่ดี มันไม่เคยตกยุค เพราะอย่างนี้ธรรมะถึงยังช่วยกู้วิกฤติได้ทุกสถานการณ์”
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่นี้ พระมหาสมปองยังแนะให้คนไทยทุกคนใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท ยึดปรัชญาหลัก ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทาน แล้วเราก็จะมีความสุขทุกๆ วัน ทุกๆ เดือนเป็นต้นไป ปัญหาบางสิ่งบางอย่างถ้าได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด นั่นคือความหมายของความสามัคคีที่ไม่ใช่เพียงแค่การรวมกำลังกาย แต่ยังรวมกำลังใจและกำลังสมองเข้าด้วยกัน โดยมีธรรมะเป็นเครื่องกำกับให้เดินไปได้อย่างถูกทำนองครองธรรม สุดท้ายขอให้ยิ้ม หัวเราะ มีความสุข ร่าเริง เพื่อเป็นกำลังใจต่อชีวิต วันไหนที่หงุดหงิด ชีวิตก็ขาดทุน ฉะนั้น เรามาสร้างกำไรให้ชีวิตด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกันดีกว่า เจริญพร
Friday, December 25, 2009
มหัศจรรย์แห่งชีวิต หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี Miracle of Life As of W.Vajiramete
| ๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
|
| ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
|
| ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ
|
| ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
|
|
|
| ๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
|
| ( ๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
|
| ( ๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
|
| ( ๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
|
| ( ๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
|
|
|
| ๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
|
| ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
|
| ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
|
| ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
|
|
|
| ๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
|
| งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
|
| รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
|
| อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
|
|
|
| ๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
|
| โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
|
| คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
|
| คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
|
| ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
|
|
|
| ๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี ?
|
| ( ๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
|
| ( ๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
|
| ( ๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
|
|
|
| ๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร ?
|
| เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
|
| แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
|
|
|
| ๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
|
| ( ๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
|
| ( ๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
|
| ( ๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
|
| สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
|
|
|
| ๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
|
| โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
|
| คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
|
| คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
|
| เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
|
| ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
|
|
|
| ๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
|
| ( ๑) หางานใหม่
|
| ( ๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
|
| ( ๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
|
| ( ๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
|
| จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
|
|
|
| ๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
|
| คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
|
| คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
|
| แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
|
|
|
| ๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
|
| ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
|
| แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
|
| แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
|
|
|
| ๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
|
| ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
|
| ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
|
|
|
| ๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี ?
|
| มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
|
| ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
|
| ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
|
|
|
| ๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร ?
|
| ( ๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
|
| ( ๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
|
| ( ๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
|
|
|
| ๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
|
| ( ๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
|
| ( ๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
|
| ( ๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
|
| คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
|
|
|
| ๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
|
| ( ๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
|
| ( ๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
|
| ( ๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
|
| เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
|
|
| ๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
|
| ( ๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
|
| ( ๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
|
| ( ๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
|
|
| ๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
|
| ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
|
| ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา
|
| แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
|
|
| ๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
|
| ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
|
| ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
|
Thursday, December 24, 2009
ความหมายตามลายมือ
เส้นการเงินและชื่อเสียง
หมายเลข ๑
เส้นอาทิตย์มาจากเนินอังคารใน ชื่อเสียงการเงินมักมาจากการต่อสู้ การแข่งขันการกีฬาหรือการต่อสู้ทั่วไป
หมายเลข ๒
เส้นอาทิตย์มาจากเนินศุกร์ ชื่อเสียงการเงินมาจากการได้คู่ครองความรักที่ดีหรือมาจากความสวยงาม
หมายเลข ๓
เส้นอาทิตย์มาจากเส้นชีวิต การมีชื่อเสียงมาจากการงานและมีความสำเร็จใหญ่มาจากความสำเร็จทั่วไป
หมายเลข ๔
เส้นอาทิตย์มาจากเนินจันทร์ ความสำเร็จมาจากการเป็นนักแสดง ความ สามารถทางความคิดการเสี่ยง
หมายเลข ๕
เส้นอาทิตย์มาจากเนินอังคารนอก การเงินและความสำเร็จ ชื่อเสียงมาหลายทาง แต่จะต้องได้มาจากการต่อสู้
ความหมายของลายเส้นยังมีส่วนประกอบอีกมากมาย
ต้อย ตุลา
ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์ เสาร์ ที่ 12 ธันวาคม 2552 http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=36906&categoryID=503
ปันพลังใจ ให้ของขวัญ คนงานไทรอัมพ์
***
แทนการสรวลเสเฮฮา 24 ธันวา วันคริสตมาสอีฟ ในหมู่คนกันเอง -อยากเชิญชวนเพื่อนๆไปมอบของขวัญ+กำลังใจให้กรรมกรหญิงไทรอัมพ์ เกือบ 2,000 ชีวิตถูกลอยแพ ตั้งแต่เดือนมิถุนา นายจ้างต่างชาติไล่คนงานออกโดยไม่มีการเจรจา ละเมิดทั้งกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ และหลักการของ ILO (International Labour Organization) บางรายอุ้มลูกน้อยมาร่วมชุมนุม บางรายนั่งถักผ้าพันคอไหมพรมขายแลกเอาเงิน สหภาพแรงงานถูกยุบ แต่รัฐบาล (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไหนว่า ประชาชนต้องมาก่อน) กระทรวงแรงงานกลับเมินเฉย กรรมกรหญิงเหล่านี้จึงมาปักหลักขอความเห็นใจ
การต่อสู้ที่ยืดเยื้อย่อมทำให้อ่อนล้า กรรมกรไทรอัมพ์กำลังแสวงหาความยุติธรรมในสังคมไทยที่ไร้ความยุติธรรม กำลังรักษาสิทธิแรงงาน ขณะที่ขบวนการแรงงานแตกแยกและอ่อนแอ กำลังต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ขณะที่นับวันสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยยิ่งสูญหายไป...ช่วยเสริมพลังใจ...ไปมอบสิ่งดีๆ
ลายมือที่มีความสำเร็จด้วยตนเอง
ความสำเร็จที่เกิดจากตนเองไม่ว่าทางการงานการเงิน การ ค้าและธุรกิจต่าง ๆ มาจากความสามารถของตนเองและต้องผ่านอุปสรรคและต้องต่อสู้ด้วยตนเองมีดังนี้
หมายเลข ๑-๑
เส้นพฤหัสมาจากเส้นชีวิต ความสำเร็จการงาน ตำแหน่งหน้าที่มาจากตนเองด้วยความสามารถเป็นพิเศษของตนเองเท่านั้น
หมายเลข ๒-๒
เส้นเสาร์มาจากเส้นชีวิต ความสำเร็จทางการงานทุกอย่างจะต้องผ่านอุปสรรคอย่างมาก และต้องเลี้ยงดูคนอื่นอีกด้วย
หมายเลข ๓-๓
เส้นอาทิตย์มาจากเส้นชีวิต ความสำเร็จทางการเงินความร่ำรวยทุก อย่างมาจากพร สวรรค์ของตนเองและชีวิตเด่นดัง
หมายเลข ๔-๔
เส้นพุธมา จากเส้นชีวิต ความสำเร็จทางการค้าหรือธุรกิจทุกอย่างการค้าการลงทุนทุกอย่างและความร่ำรวยมาจากตนเอง.
ต้อย ตุลา
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 19 ธันวาคม 2552 http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=38164&categoryID=503
หลับเวร
และได้ฟันธงบวกคอนเฟิร์มว่ามาตรา ๙๒ ของกฎหมาย ป.ป.ช. น่าจะขัดต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ
มีความเห็นเป็นประการใดยังรับความคิดเห็นจากทุกท่านอยู่ขอรับ
ข้าราชการพลเรือนนั้นเหมือนลูกเมียน้อยต้องลงโทษตามฐานความผิดที่ ป.ป.ช.ชี้มูลเท่านั้น
แต่ข้าราชการตุลาการ ตุลาการศาลปกครอง และข้าราชการอัยการ กฎหมาย ป.ป.ช.ท่านให้ส่งสำนวนไปยังคณะกรรมการที่ดูแลการบริหารงานบุคคล เช่น คณะกรรมการตุลาการ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการอัยการ เป็นผู้ดำเนินการสอบสวนลงโทษทางวินัย
ถ้าคณะกรรมการท่านเห็นว่าไม่มีมูลที่จะลงโทษทางวินัย ก็ให้รายงาน ป.ป.ช.ทราบเท่านั้นเอง
แล้วจะไม่น้อยใจแทนข้าราชการพลเรือนได้ยังไง
ขนาดจะนอนหลับทั้งทียังมีเวรเลย
เรื่องนี้ เป็นเรื่องของลูกจ้างประจำตำแหน่งนักการภารโรงในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เผลอหลับไปหน่อยระหว่างอยู่เวรดูแลรับผิดชอบสถานที่และทรัพย์สินนอกเวลาทำงานปกติตามคำสั่งของมหาวิทยาลัย
มีทรัพย์สินสูญหายระหว่างนั้น งานเข้าเต็ม ๆ มหาวิทยาลัยมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
ท่านว่ามหาวิทยาลัยมีคำสั่งให้อยู่เวรตลอดคืน การที่ไปนอนหลับในเวลาหลังเที่ยงคืนจึงเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการ
ไอ้ที่ไปนอนหลับมันก็มีเหตุน่าเห็นใจไม่ใช่ด้วยความไม่รับผิดชอบนะท่านอาจารย์
ก็สั่งให้ไปอยู่เวรหลังจากที่ทำหน้าที่ตามปกติมาแล้วทั้งวันและเสร็จจากอยู่เวรครั้งนี้แล้วยังต้องทำงานต่อในวันรุ่งขึ้นอีก
คนนะไม่ใช่เครื่องจักร
อย่างนี้ถือว่าไม่เป็นธรรม คุณภารโรงจึงฟ้องมหาวิทยาลัยขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
กรณีในเรื่องนี้เป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหาย ต่อหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่ให้หน่วยงานของรัฐเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ได้
และตามมาตรา ๑๐ พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว กำหนดให้การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดได้ กระทำการนั้นไปด้วย ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนท่านให้คำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่ง การกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจำนวนของ ความเสียหายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดำเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าวออกด้วย
หนีไปนอนหลับระหว่างอยู่เวรจนของหายเข้าข่ายต้องรับผิด เต็ม ๆ ไม่ใช่เป็นการจัดฉากแน่นอน แต่มหาวิทยาลัยก็ใช้งานจนหัวปักหัวปาแบบนี้ก็น่าคิดเหมือนกันนะ
เรื่องนี้ศาลปกครองสูงสุดท่านวินิจฉัยไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติราชการต่อไปไว้ดังนี้
เมื่อปรากฏว่าคำสั่งของมหาวิทยาลัยผู้ถูกฟ้องคดีให้ผู้ฟ้องคดีอยู่เวรดัง กล่าว เป็นคำสั่งที่มีผลทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องปฏิบัติหน้าที่ทั้งใน เวลาทำงานปกติและนอกเวลาทำงานปกติรวมกันถึงสองวันกับหนึ่งคืนติดต่อกัน
ดังนั้น โดยสภาพการทำงานจึงต้องยอมให้ผู้ฟ้องคดีได้นอนพักผ่อนระหว่างอยู่เวรในตอนกลางคืน
และเมื่อปรากฏด้วยว่าเงินค่าตอบแทนการอยู่เวรเป็นเงินค่าตอบแทนที่อยู่นอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติไม่ใช่เงินค่าจ้างเฝ้ายาม
ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ต้องรับผิดดังเช่นพนักงานรักษาความปลอดภัย ผู้มีอาชีพเฝ้ายามโดยเฉพาะ และคำสั่งไม่ได้ห้ามผู้ฟ้องคดีนอนพักผ่อนระหว่างปฏิบัติหน้าที่และไม่ได้ กำหนดวิธีการในการอยู่เวรจะต้องตรวจตราอาคารหรือทรัพย์สินโดยเฉพาะผู้ฟ้อง คดีจึงตรวจเยี่ยงวิญญูชนจะพึงกระทำตามปกติ
ผู้ฟ้องคดีได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรอันพึงปฏิบัติแล้วโดยตรวจสอบปิดล็อก ประตูหน้าต่างก่อนเข้านอนพักผ่อนและไม่พบสิ่งผิดปกติแต่ประการใด
จึงเป็น การปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ในการดูแลทรัพย์สิน ประกอบกับผลการสอบสวนสรุปว่า ทรัพย์สินสูญหายโดยไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์หรือสิ่งผิดปกติที่ผู้ฟ้องคดีรู้หรือควรรู้ แล้วไม่ป้องกันแก้ไข
จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงผู้ฟ้องคดีไม่ ต้องรับผิดชดใช้ ให้เพิกถอนคำสั่งที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหาย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๗๙/๒๕๔๙).
พิสิษฐู พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=337&contentID=38120
Wednesday, December 23, 2009
ใช้สติร่วมแก้ปัญหาครอบครัวฝ่าฟันปัญหาเศรษฐกิจ
นพ. กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า เป็นห่วงสุขภาพจิตของคนไทย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว "พ่อ" ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ซึ่งหลายครอบครัวต้องเผชิญกับปัญญาเศรษฐกิจที่รุมเร้า โดยเฉพาะในครอบครัวที่ต้องถูกเลิกจ้างในช่วงนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะ เกิดความเครียด และป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ที่อาจจะนำไปสู่การฆ่าตัวตาย และทำร้ายคนในครอบครัว ตามที่เคยได้มีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อต่างๆ เนื่องจากกลุ้มใจ คิดว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ครอบครอบครัว และคิดว่าไม่สามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งได้อีกต่อไปแล้ว และไม่รู้ว่าจะสามารถพาสมาชิกในครอบครัวให้ผ่านพ้นสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่าง ไร
"ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ เมื่อเจอปัญหาก็อาจจะคิดเหมือนกัน แต่เรามักจะมองว่าผู้ชายเข้มแข็งกว่าผู้หญิง เคยมีงานวิจัยพบว่าผู้หญิงมีความอดทนมากกว่าผู้ชาย เมื่อเจอปัญหาในผู้ชายที่มีความคิดอยากทำร้ายตนเองและผู้อื่นนั้น พบว่าจะทำได้สำเร็จมากกว่าผู้หญิง สุภาพบุรุษที่ดีคงไม่มีใครคิดแก้ปัญหาด้วยการจบชีวิต เพราะคนเหล่านี้จะมีมุมมองว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีและ สามารถมองเห็นมุมมองที่ดีแม้ในภาวะที่เป็นลบได้" จิตแพทย์กล่าวนพ.กัมปนาท กล่าวว่า ในสถานการณ์นี้อยากให้ทุกคนได้เอาใจใส่ผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือผู้ที่เป็นพ่อช่วยกันสังเกตุและให้กำลังใจ แสดงความร่วมมือร่วมใจ โดยช่วยกันทำความเข้าใจว่าสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่หลีก เลี่ยงไม่ได้ แต่หากในครอบครัว ได้มีเตรียมตัวและปรับใจยอมรับสถานการณ์ ก็จะสามารถนำพาครอบครัวให้อยู่รอดต่อไปได้ โดยทุกครอบครัวควรจะมีการเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการประหยัด ลดรายจ่ายในบ้านที่ไม่จำเป็นลง ด้วยการเริ่มต้นทบทวนรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด และแจ้งนโยบายการประหยัดให้ทุกคนในครอบครัวทราบ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ต้องช่วยกันประหยัดคือการใช้พลังงานในบ้าน เช่นไฟฟ้า และ น้ำประปา เป็นต้น ไม่ควรใช้จ่ายไปกับสิ่งของฟุ่มเฟือย แต่อย่างไรก็ตามคงไม่ต้องหยุดทำทุกสิ่งทุกอย่างมากจนเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความเครียดหรือการตื่นตระหนก (panic) ตามมาก็ได้ อาจทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปอีก นอกจากนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทุกคนในครอบครัวจะต้องปรับจิตใจและความคิดให้เข้าใจถึงสภาวะที่เกิดขึ้นของ โลก มองเป็นเรื่องธรรมดาที่มีขึ้นมีลง อย่าอยู่บนความคาดหวังที่ไม่ยอมยืดหยุ่น เพราะสิ่งสำคัญคือความสุขใจของคนในครอบครัว มากกว่าทรัพย์สินเงินทอง
นพ. กัมปนาท ชี้ว่า แทนที่หัวหน้าครอบครัว จะปล่อยให้ตนเองเครียด สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสนำครอบครัวสูการใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้ มีความอบอุ่น ช่วยกันคิดฝ่าวิกฤติ
"คนที่เป็นพ่อหรือหัวหน้าครอบครัวจะต้องทำตัวเป็นผู้นำทางความคิดให้กับ สมาชิกในครอบครัวให้ได้ ควรทำตัวเป็นแบบอย่างในเรื่องของการประหยัด ไม่ควรแสดงสีหน้าถึงความเครียดมากจนเกินไปให้กับสมาชิกในครอบครัวเห็น เพราะจะยิ่งทำให้คนอื่นๆ พลอยเครียดตามไปด้วย อาจจะเริ่มต้นคุยกันดีๆกับสมาชิกในครอบครัวให้หันมาช่วยกันประหยัด และลดค่าใช้จ่ายได้อย่างไร ในขณะเดียวกันจะหาทางเพิ่มรายรับให้กับครอบครัวในช่องทางไหนบ้าง ควรให้ทุกคนในครอบครัวมีส่วนร่วมในการช่วยคิดและร่วมมือกันปฏิบัติ เพราะถ้าพ่อเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ก็จะทำให้พ่อเครียดอยู่คนเดียว ในขณะที่ลูกๆไม่สามารถที่จะเรียนรู้ประสบการณ์การช่วยเหลือครอบครัวเลย ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดพ่อจะเครียดจนอาจเป็นโรคซึมเศร้าและอาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ สมาชิกในครอบครัวยิ่งไม่พอใจ รังเกียจ ไม่มีใครอยากคุยด้วย ทั้งๆ ที่พ่ออาจจะเป็นผู้ปรารถนาดีต่อครอบครัว" นพ.กัมปนาทกล่าว
ส่วนวิธีการปรับใจนั้น นพ.กัมปนาท มองว่าเป็นเรื่องของทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ซึ่งก่อนอื่นสมาชิกในครอบครัวจะต้องเปลี่ยนความคิดจากลบให้กลายเป็นบวกเสีย ก่อน โดยมองว่าตนเองไม่ได้เจอกับปัญหาเพียงคนเดียว แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ต้องเจอกับปัญหาแบบนี้เหมือนกัน และบางครอบครัวอาจจะแย่กว่าตนเองด้วยซ้ำ นอกจากนั้นต้องคอยหาประสบการณ์ดีๆ มาคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า แม้วันนี้สิ่งที่ทำอยู่อาจจะไม่ดีไม่สำเร็จหรือมีปัญหา แต่สิ่งที่ได้มาคือประสบการณ์อันล้ำค่าที่เกิดจากความตั้งใจ ความพากเพียรในอดีตที่ทำให้ชีวิตและครอบครัวดำเนินมาถึงทุกวันนี้ได้ แสดงว่าคุณก็เป็นคนที่มีศักยภาพมากเหมือนกัน พยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่าคุณเป็นคนที่มีคุณค่า เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเองในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ อย่างไรก็ตามถ้าบางคนเป็นคนที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพจิตแล้ว การจะให้เปลี่ยนความคิดจากลบเป็นบวกอาจจะยากในช่วงแรก ซึ่งจะต้องใช้เวลาปรับเปลี่ยนความคิดนานสักหน่อย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ถ้าหากสมาชิกในครอบครัวร่วมใจกัน
นพ.กัมปนาท แนะนำหลักการปฏิบัติตัวที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ คือ
- ให้มองและสำรวจสุขภาพจิตของตนเองก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเริ่มมีปัญหาแล้ว ก็ต้องรีบหาทางปรึกษาและแก้ไข โดยให้สมาชิกในครอบครัวช่วยกันสังเกต เมื่อพบว่าไม่ปรกติก็ควรหาทางรักษา และไม่ควรเก็บปัญหาไว้คนเดียว เพราะจะยิ่งทำให้เครียดหนักเข้าไปอีก
- พยายามมีสติในการแก้ไขปัญหา อย่าใช้อารมณ์ ควรคิดให้รอบคอบ หลายๆ ด้าน คิดแบบมีเหตุผล หากคิดไม่ออกก็ควรปล่อยวาง และหากิจกรรมอย่างอื่นทำไปก่อน เมื่อสมองปลอดโปร่งแล้วก็ค่อยกลับมาคิดหาทางแก้ไขใหม่อีกรอบ
- ครอบครัวควรจะวางนโยบายเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวรับทราบ เช่นการประหยัด น้ำประปา ไฟฟ้า และสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ โดยอาจจะทำป้ายต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือคนในครอบครัวให้ช่วยกันประหยัด เช่น "ปิดสวิชต์ทุกครั้งหลังออกจากห้องน้ำนะจ๊ะ" หรือไม่ก็อาจจะกำหนดช่วงเวลาการเปิดปิดเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน เป็นต้น
- ต้องคอยเตือนตัวเองไว้เสมอว่า "คุณมีสิทธิ์ท้อได้แต่อย่าเพิ่งถอย"
- คิดว่าไม่มีใครเก่งอยู่คนเดียว เมื่อเจอปัญหา ควรหาช่องทางแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ โดยให้ทุกคนในครอบครัวมีส่วนร่วมในการร่วมแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะว่าเรื่องครอบครัวไม่ควรมองว่าใครเป็นช้างเท้าหน้าหรือเท้าหลัง อยากให้มองว่าทุกคน เป็นทุกเซลล์เล็กๆที่ต้องร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจกันในการที่จะพาครอบครัวให้ผ่านอุปสรรคต่างๆไปให้ได้ การมองว่าพ่อเป็นช้างเท้าหน้า อาจจะมองว่าเป็นบทบาทที่ทางสังคมมอบให้ หรือยัดเยียดให้ ความจริงแล้วทุกคนควรรับผิดชอบชีวิตของตนเองให้ดี และพร้อมที่จะร่วมแบ่งปันให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
นพ.กัมปนาท สรุปทิ้งท้ายว่า บุคคลรอบข้างมีส่วนสำคัญในการสร้างกำลังใจมากที่สุด โดยเฉพาะครอบครัว ซึ่งถือเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดของการดูแลสุขภาพจิตซึ่งกันและกัน และยังเป็นหัวใจสำคัญที่จะประคับประคองให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ โดยจะต้องมีความรัก ความสามัคคี ใช้มธุรสวาจา และถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น และทำให้สามารถฝ่าฟันกับอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี
รายงานดัชนีผลกระทบการอ้างอิงของวารสารไทย 2545-2548 Thai Journal Impact Factor
ลำดับ | ชื่อวารสาร: ISSN | Thai Journal Impact Factor | |||
2548 | 2547 | 2546 | 2545 | ||
1 | วารสารโลหะ วัสดุ และแร่ 0857-6149 | 0.342 | 0 | 0 | 0 |
2 | วารสารวิจัยและวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา 1685-6740 | 0.294 | 0.250 | 0 | 0 |
3 | จดหมายเหตุทางแพทย์แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ 0125-2208 | 0.120 | 0.075 | 0.086 | 0.078 |
4 | วารสารวิจัยและพัฒนา มจธ.0125-278x | 0.119 | 0.053 | 0 | 0.021 |
5 | วารสารสัตวแพทยศาสตร์ มข.0858-2297 | 0.109 | 0.200 | 0 | 0 |
6 | วารสารวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ 0857-4421 | 0.103 | 0 | 0 | 0.087 |
7 | วารสารมหาวิทยาลัยนเรศวร 0858-7418 | 0.102 | 0 | 0.024 | 0 |
8 | The Southeast Asian Journal of Tropical Medicine and Public Health 0038-3619 | 0.100 | 0.120 | 0.156 | 0.158 |
9 | วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 0858-1231 | 0.091 | 0.073 | 0.022 | 0.077 |
10 | วารสารสงขลานครินทร์ ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 0125-3395 | 0.091 | 0.068 | 0.085 | 0.092 |
11 | วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย 2859-497-X | 0.091 | 0.049 | 0 | 0 |
12 | วิศวกรรมสารฉบับวิจัยและพัฒนา 0857-7951 | 0.074 | 0.067 | 0.04 | 0 |
13 | วารสารพยาบาล 0125-0078 | 0.071 | 0 | 0.079 | 0 |
14 | วารสารวิจัยวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 0125-6335 | 0.071 | 0.037 | 0 | 0.130 |
15 | The Journal of the Siam Society 0857-7099 | 0.067 | 0 | 0 | 0 |
16 | วารสารทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 0215-2534 | 0.067 | 0.047 | 0.022 | 0.044 |
17 | เวชชสารสัตวแพทย์ 0125-6491 | 0.064 | 0.054 | 0.083 | 0.083 |
18 | วารสารวิจัยทางการพยาบาล 0859-7685 | 0.061 | 0.036 | 0.047 | 0.077 |
19 | รัฐศาสตร์สาร 0125-135X | 0.057 | 0.043 | 0 | 0.048 |
20 | วารสารเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ 0000-0000 | 0.054 | 0.027 | 0.040 | 0 |
21 | สงขลานครินทร์เวชสาร 0125-8435 | 0.054 | 0 | 0.015 | 0.030 |
22 | วารสารวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 0857-2178 | 0.050 | 0 | 0 | 0 |
23 | รามาธิบดีพยาบาลสาร 0857-0852 | 0.047 | 0.025 | 0.051 | 0.070 |
24 | KMITL Science Journal 0685-2044 | 0.045 | 0.054 | 0 | 0 |
25 | วชิรเวชสาร 0125-1252 | 0.044 | 0.019 | 0.067 | 0.033 |
26 | วารสารวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมไทย 1686-2961 | 0.043 | 0 | 0 | 0 |
27 | วารสารสงขลานครินทร์ ฉบับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 0859-1113 | 0.043 | 0.043 | 0 | 0.031 |
28 | วารสารสภาการพยาบาล 1513-1262 | 0.043 | 0.024 | 0.020 | 0.200 |
29 | ศรีนครินทรวิโรฒเภสัชสาร 0859-6255 | 0.043 | 0.125 | 0 | 0 |
30 | ศรีนครินทร์เวชสาร 0857-3123 | 0.042 | 0.049 | 0 | 0 |
31 | ScienceAsia 1513-1874 | 0.041 | 0.017 | 0.028 | 0.054 |
32 | วารสารวิจัย มข. 0859-3957 | 0.039 | 0.032 | 0.125 | 0.083 |
33 | วารสารเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 0125-1570 | 0.037 | 0 | 0.083 | 0 |
34 | แก่นเกษตร 0125-0485 | 0.036 | 0 | 0 | 0 |
35 | ไทยเภสัชสาร 0125-4685 | 0.034 | 0 | 0 | 0.125 |
36 | วิทยาสารเกษตรศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ 0075-5192 | 0.034 | 0.060 | 0.017 | 0.033 |
37 | วารสารพยาบาลทหารบก1513-5217 | 0.032 | 0 | 0.067 | 0 |
38 | วารสารวิทยาศาสตร์ลาดกระบัง 0857-9512 | 0.032 | 0 | 0 | 0 |
39 | วารสารโลหิตวิทยา และ เวชศาสตร์บริการโลหิต 0858-2025 | 0.030 | 0.030 | 0.069 | 0.068 |
40 | วารสารสังคมศาสตร์ 0125-0590 | 0.029 | 0.026 | 0 | 0.133 |
41 | MANUSYA Journal of Humanities 0859-9920 | 0.028 | 0.024 | 0.029 | 0 |
42 | วารสารราชบัณฑิตยสถาน 0215-2968 | 0.028 | 0.077 | 0.126 | 0.025 |
43 | วารสารกีฏและสัตววิทยา 0125-3794 | 0.027 | 0 | 0.026 | 0.035 |
44 | วารสารศิลปศาสตร์ 1513-9131 | 0.027 | 0 | 0 | 0 |
45 | วารสารบริหารธุรกิจ 0125-233x | 0.025 | 0.061 | 0.036 | 0 |
46 | วารสารวิชาการเกษตร 0125-8389 | 0.023 | 0.045 | 0.023 | 0.045 |
47 | Thai Journal of Agricultural Science 0049-03589 | 0.022 | 0.026 | 0.058 | 0.049 |
48 | จุฬาลงกรณ์วารสาร 0857-6483 | 0.020 | 0.077 | 0 | 0 |
49 | วารสารพระจอมเกล้าลาดกระบัง 0858-8430 | 0.019 | 0 | 0 | 0 |
50 | วิศวสารลาดกระบัง 0125-1724 | 0.019 | 0.009 | 0.064 | 0.039 |
51 | วารสารวิทยาศาสตร์ มข. 0125-2364 | 0.018 | 0.019 | 0 | 0 |
52 | สารศิริราช 0125-152X | 0.018 | 0.047 | 0.056 | 0.154 |
53 | ASEAN Journal on Science and Technology for Development 0217-5460 | 0.016 | 0 | 0 | 0 |
54 | Asian Pacific Journal of Allergy and Immunology 0125-877X | 0.016 | 0.076 | 0.113 | 0.100 |
55 | Thammasat International Journal of Science and Technology 0859-4074 | 0.016 | 0.036 | 0.021 | 0.042 |
56 | วารสารคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 0125-2526 | 0.016 | 0.113 | 0 | 0.030 |
57 | วารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 0859-8835 | 0.016 | 0 | 0 | 0 |
58 | จุฬาลงกรณ์เวชสาร 0125-6483 | 0.015 | 0.031 | 0.048 | 0.053 |
59 | Asian Journal of Energy and Environment 1513-4121 | 0 | 0 | 0.125 | 0 |
60 | Chiang Mai University Journal 1685-1994 | 0 | 0 | 0 | 0 |
61 | Chulalongkorn Journal of Economics 0857-8397 | 0 | 0 | 0 | 0 |
62 | Engineering Transactions 0859-9238 | 0 | 0.027 | 0.026 | 0 |
63 | Journal of Science, Technology, and Humanities 1685-6600 | 0 | 0.053 | 0 | 0 |
64 | The Natural History Bulletin of the Siam Society 0080-9462 | 0 | 0 | 0.042 | 0.020 |
65 | เชียงใหม่เวชสาร 0125-5983 | 0 | 0.041 | 0.018 | 0.098 |
66 | เวชสารคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 0859-3299 | 0 | 0 | 0 | 0 |
67 | จุฬาลงกรณ์ธุรกิจปริทัศน์ 0125-6524 | 0 | 0 | 0.053 | 0 |
68 | บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ มข. 0215-8427 | 0 | 0.022 | 0.125 | 0 |
69 | พยาบาลสาร 0125-5118 | 0 | 0.073 | 0 | 0 |
70 | ภาษาและภาษาศาสตร์ 0857-1406 | 0 | 0 | 0 | 0 |
71 | วนสาร 0943-0916 | 0 | 0 | 0 | 0 |
72 | วารสาร มฉก.วิชาการ 0859-9343 | 0 | 0.024 | 0.015 | 0 |
73 | วารสารเทคโนโลยีสุรนารี 0858-849X | 0 | 0.012 | 0 | 0 |
74 | วารสารเทคนิคการแพทย์และกายภาพบำบัด 0857-6653 | 0 | 0.030 | 0 | 0 |
75 | วารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 0858-9291 | 0 | 0 | 0 | 0.036 |
76 | วารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 0589-8479 | 0 | 0 | 0 | 0 |
77 | วารสารกรมการแพทย์ 0125-1643 | 0 | 0 | 0 | 0.022 |
78 | วารสารกายภาพบำบัด 0125-4634 | 0 | 0 | 0 | 0 |
79 | วารสารธรรมศาสตร์ 0125-3670 | 0 | 0 | 0 | 0 |
80 | วารสารประชากรศาสตร์ 0857-2143 | 0 | 0.053 | 0 | 0 |
81 | วารสารปาริชาต 0857-0884 | 0 | 0 | 0 | 0 |
82 | วารสารพัฒนบริหารศาสตร์ 0125-3689 | 0 | 0 | 0.026 | 0 |
83 | วารสารภาษา 0125-2488 | 0 | 0 | 0 | 0 |
84 | วารสารภาษาปริทัศน์ 0857-7285 | 0 | 0 | 0 | 0 |
85 | วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 1686-445X | 0 | 0 | 0 | 0 |
86 | วารสารมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ 0125-5061 | 0 | 0 | 0 | 0 |
87 | วารสารมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร 0858-7396 | 0 | 0 | 0 | 0 |
88 | วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน 1685-1412 | 0 | 0.026 | 0 | 0 |
89 | วารสารมหาวิทยาลัยทักษิณ 0859-9807 | 0 | 0 | 0 | 0 |
90 | วารสารมหาวิทยาลัยบูรพา 0859-2535 | 0 | 0 | 0 | 0 |
91 | วารสารมหิดล 0859-2586 | 0 | 0 | 0 | 0.077 |
92 | วารสารร่มไทรทอง 0858-2688 | 0 | 0 | 0 | 0 |
93 | วารสารร่มพฤกษ์ 0125-7609 | 0 | 0 | 0 | 0 |
94 | วารสารวิจัยและสาระสถาปัตยกรรม 1685-361X | 0 | 0 | 0 | 0 |
95 | วารสารวิจัยและสาระสถาปัตยกรรม/การผังเมือง 1905-2022 | 0 | 0 | 0 | 0 |
96 | วารสารวิจัยวิทยาศาสตร์ (Section T) 1685-2923 | 0 | 0 | 0 | 0 |
97 | วารสารวิจัยสภาวะแวดล้อม 0125-6939 | 0 | 0.043 | 0 | 0 |
98 | วารสารวิจัยสังคม 0857-9180 | 0 | 0 | 0 | 0 |
99 | วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 0857-684x | 0 | 0 | 0.013 | 0 |
100 | วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 0125-2437 | 0 | 0.016 | 0 | 0 |
101 | วารสารวิชาชีพบัญชี 1686-8293 | 0 | 0 | 0 | 0 |
102 | วารสารวิทยาศาสตร์ มก. 0125-7730 | 0 | 0 | 0.273 | 0 |
103 | วารสารวิทยาศาสตร์ มศว. 0857-1600 | 0 | 0 | 0 | 0 |
104 | วารสารวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 0125-7498 | 0 | 0 | 0 | 0 |
105 | วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 0858-4435 | 0 | 0 | 0.022 | 0.043 |
106 | วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬา และสุขภาพ 1513-7430 | 0 | 0 | 0 | 0 |
107 | วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา 0858-7612 | 0 | 0 | 0 | 0 |
108 | วารสารวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร 1686-5561 | 0 | 0 | 0 | 0 |
109 | วารสารวิธีวิทยาการ วิจัย 0857-2933 | 0 | 0.043 | 0.036 | 0.143 |
110 | วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา 0857-5290 | 0 | 0 | 0 | 0 |
111 | วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร 0859-9688 | 0 | 0 | 0.059 | 0.053 |
112 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 0857-1511 | 0 | 0 | 0 | 0 |
113 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 0859-5121 | 0 | 0 | 0.047 | 0 |
114 | วารสารสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ xxxx-xxxx | 0 | 0 | 0 | 0 |
115 | วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย 0125-6985 | 0 | 0 | 0.239 | 0.2 |
116 | วารสารสหเวชศาสตร์ 1513-4865 | 0 | 0 | 0.04 | 0.059 |
117 | วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 0125-2860 | 0 | 0.031 | 0 | 0 |
118 | วารสารสัตวแพทย์ 0125-5169 | 0 | 0.032 | 0.031 | 0.031 |
119 | วารสารสาธารณสุขศาสตร์ 0125-1678 | 0 | 0 | 0.047 | 0 |
120 | วารสารสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ 0028-0011 | 0 | 0.08 | 0.04 | 0.042 |
121 | วารสารสุโขทัยธรรมาธิราช 8057-6955 | 0 | 0.049 | 0.015 | 0.017 |
122 | วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อม 0857-0965 | 0 | 0 | 0 | 0 |
123 | วารสารอักษรศาสตร์ 0125-4820 | 0 | 0 | 0 | 0 |
124 | วิทยาสารเกษตรศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์ 0125-8370 | 0 | 0.061 | 0 | 0 |
125 | วิศวกรรมสาร มข. 0125-8273 | 0.000 | 0.002 | 0.003 | 0 |
126 | ศรีปทุมปริทัศน์ 1513-7287 | 0 | 0 | 0 | 0 |
Saturday, December 19, 2009
หลักทักษา: วันเกิดกับสีของรถที่ถูกโฉลก
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีเขียวเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีดำ สีเทา สีควันบุหรี่เป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีฟ้า สีน้ำเงิน (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอาทิตย์
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันวันอาทิตย์
* อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68และอายุ 77 ปีห้ามซื้อรถสีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 ,และ 69 สีที่ห้ามซื้อคือสีเขียวทุกชนิด
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีเทา สีควันบุหรี่ เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันอาทิตย์ ห้ามใช้ ศ ษ ส ห ฬ ฮ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 6 และเลข 3
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันศุกร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอังคาร เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันอาทิตย์
รถสีแดงก่ำ หรือ สีแดงเลือดหมู
เสริมสง่าราศี มากด้วยบุญญาบารมี มีอำนาจวาสนา คนนบนอบยำเกรง
รถสีดำ
เสริมความน่าเคารพนับถือ เสริมดวงเรื่องทรัพย์สินเงินทอง การเงิน
รถสีขาว สีครีม
เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
รถสีม่วงเปลือกมังคุด
เสริมดวงด้านศรัทธา ความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ และดวงเรื่องการเงิน
รถสีเขียว
เสริมดวงให้คนรักเมตตา อุปถัมภ์ค้ำชู ช่วยเหลือทำให้สะดวกราบรื่นในเรื่องต่างๆ
รถสีบรอนซ์ สีเทา สีทอง
เสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ การสนับสนุนเกื้อกูล
รถสีฟ้า สีน้ำเงิน ไม่ควรออกรถสีนี้ เพราะเป็นกาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
บุคคลที่เกิดวันจันทร์
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเขียว เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีดำ สีม่วงเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีฟ้า สีน้ำเงินเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) ส่วนสีที่ต้องห้าม คือ สีแดง (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันจันทร์
* ช่วงอายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเขียวทุกชนิด เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีดำ , สีม่วง
* และช่วงอายุย่าง 26 , 35 , 44 , 53 , 62 , 71 และ 80 ขึ้นไป สีที่ห้ามซื้อคือ สีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด ยกเว้นสีแดงสีเดียว
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันจันทร์ ห้ามใช้ สระทั้งหมด (เว้นไม้หันอากาศและตัวการันต์) เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 1 และเลข 5
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอาทิตย์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันจันทร์
รถสีส้ม สีเหลืองแก่
เสริมดวงเรื่องการเงิน ความมั่นคง ทุนทรัพย์ ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้แก่ตนเองในปัจจุบันและภายภาคหน้า
รถสีดำ
เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
รถสีน้ำเงิน สีทอง
เสริมเสน่ห์ ผู้ใหญ่รักเมตตาและเอ็นดู มีแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรัก เมตตา และศรัทธาในตัวเรา
รถสีม่วงเปลือกมังคุด
เสริมดวงด้านความสะดวกราบรื่นทุกอย่าง
รถสีชมพู เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริมในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
รถสีฟ้า
เสริมดวงให้ประสพความสำเร็จในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
รถสีเขียว
อำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับบัญชาคน
รถสีแดง สีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
บุคคลที่เกิดวันอังคาร
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีดำ หรือสีม่วง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทองเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีแดงเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีบรอนซ์เงิน สีขาว สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอังคาร
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันอังคาร
* อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีดำและสีม่วง เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอังคาร
* สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีแดง เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันอังคาร ห้ามใช้ ก ข ค ฆ ง เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 2 และเลข 1 และห้ามเลข เพราะทะเบียนที่มีเลข จะมีเรื่องและเกิดอุบัติบ่อยๆ
ทำให้เสียเงินทองหรือทำให้เจ้าของได้รับบาดเจ็บ
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันจันทร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันอังคาร
รถสีม่วงแก่
เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี
รถสีดำ เสริมดวงด้านพลังอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับ
รถสีบรอนซ์ สีเทา
เสริมความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ
รถสีทอง สีแสด
เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
รถสีน้ำตาล
เสริมดวงด้านความมั่นคงในชีวิต เช่นมั่นคงเรื่อง หลักทรัพย์ ทรัพย์สิน หน้าที่การงาน
รถสีเขียว
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง
รถสีแดง สีชมพู
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
รถสีขาว สีเหลืองนวล เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางวัน)
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีดำ สีเทาเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์ทอง สีเหลืองอ่อนเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีชมพู สีโอโรส (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางวัน)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางวัน)
* อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเหลืองแก่ สีแสด และสีบรอนซ์ทอง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีดำ , สีเทา
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพุธ (กลางวัน) ห้ามใช้ จ ฉ ช ซ ฌ ญ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 3 และเลข 8
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอังคาร เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางคืน) เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพุธ (กลางวัน)
รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
เสริมดวงด้านความเคารพนับถือ ยกย่องยอมรับ
รถสีน้ำตาล สีทอง
เสริมดวงด้านพลังอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับ
รถสีขาว สีเหลืองอ่อน
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
รถสีเทา สีบรอนซ์ เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
รถสีดำ
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น
รถสีม่วงแก่
เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี
รถสีเขียว
เสริมดวงด้านเสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา
รถสีชมพู สีแสด เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางคืน)
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีแดง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อนเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีดำ สีม่วงเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์เงิน สีแสด (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางคืน)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางคืน)
* อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68และ 77 ปีห้ามซื้อรถสีแดง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 และอายุ 69 สีที่ห้ามซื้อคือสีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงินและสีเหลืองอ่อน
* และช่วงอายุย่าง 22 , 31 , 40 ,49 ,58 และ 67ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีม่วง เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพุธ (กลางคืน) ห้ามใช้ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 5 และเลข 4
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพฤหัสบดี เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางวัน) เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพุธ (กลางคืน)
รถสีชมพู
เสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ
รถสีดำ
เสริมดวงด้านความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน
รถสีเทา สีบรอนซ์
เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
รถสีม่วงแก่
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น
รถสีแดง สีน้ำตาล
เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี
รถสีส้ม สีทอง เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
บุคคลที่เกิดวันพฤหัสบดี
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีแดงเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีเขียวเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีดำ สีม่วง (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพฤหัสบดี
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพฤหัสบดี
* อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 , 69และอายุย่าง 78 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีแดง
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเขียวทุกชนิด เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพฤหัสบดี ห้ามใช้ ด ต ถ ท ธ น เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 7
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันเสาร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพฤหัสบดี
รถสีขาว
เสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ
รถสีแดง
เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
รถสีเทา สีบรอนซ์
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น
รถสีฟ้า
เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี
รถสีเขียว
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
รถสีส้ม สีทอง
เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา
รถสีดำ สีม่วง สีน้ำเงิน เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
บุคคลที่เกิดวันศุกร์
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อนเพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีชมพู และสีโอโรสเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีแสด สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์ทอง เป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเทา สีดำ สีควันบุหรี่ (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันศุกร์
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันศุกร์
* อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68 และ 77 ปีห้ามซื้อรถสีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 , 69 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีชมพู สีโอโรส
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์ทอง และสีแสด เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันศุกร์ ห้ามใช้ ย ร ล ว เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 8 และเลข 7
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางคืน) เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันเสาร์ เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันศุกร์
รถสีเขียว
เสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วาง
รถสีสีแดง สีทอง
เสริมดวงด้านความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน
รถสีแดง สีชมพู
เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
รถสีเหลือง
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริมในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
รถสีดำ
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น
รถสีน้ำตาล
เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี
รถสีฟ้า สีน้ำเงิน
เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา
รถสีเทา สีบรอนซ์ สีม่วง เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
บุคคลที่เกิดวันเสาร์
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเทา สีดำ เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีฟ้า สีน้ำเงินเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีชมพู สีโอโรสเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเขียวทุกชนิด (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันเสาร์
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันเสาร์
* อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเทา สีดำ เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 , 68และอายุย่าง 77 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีฟ้า สีน้ำเงิน
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันเสาร์ ห้ามใช้ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 4 และเลข 6
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางวัน) เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันศุกร์ เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันเสาร์
รถสีแดง
เสริมดวงให้คนยอมรับเชื่อถือและไว้วางใจ
รถสีชมพู
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริมในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
รถสีทา สีบรอนซ์
เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี
รถสีทอง สีเหลือง
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น
รถสีดำ สีม่วงแก่
เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา
รถสีเขียว สีแสด เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
Friday, December 18, 2009
ตามติดถนนสายชีวิตของ “เถ้าแก่น้อย”
แต่สำหรับ ต็อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ใน วัย 24 ปีของเขา กลับเป็นวัยที่น่าจดจำ เพราะถนนสายชีวิตที่เขากำลังโลดแล่นอยู่นั้น เรียกได้ว่าไปไกล หรือเกือบจะถึงเส้นชัยแล้วก็ได้ ในขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันเพิ่งจะออกสตาร์ทเครื่องเท่านั้น
อ่าน มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจคิดว่าเป็นการพูดเกินจริง งานนี้เลยต้องพิสูจน์ด้วยภาระหน้าที่ของหนุ่มน้อยวัย 24 ปีคนนี้ เพราะปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือ อาจจะเรียกสั้นๆว่า “เถ้าแก่น้อย” ก็คงไม่ผิดนัก
รู้สึกยังไงกับการเป็นเถ้าแก่น้อย?
ผม คิดว่ามันสองแง่มุมครับ ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่ามันทำให้เราทำอะไรได้ไม่เต็มที่ คือ บางทีคนคิดว่าเราเป็นแบรนด์อิมเมจ ทำให้เราไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวพอให้กับตัวเอง ไม่มีเวลาในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงว่าต้องทำงานมาก เพราะทำงานมากไม่เป็นไร แต่บางครั้งบางเวลาเราอยากออกไปเดินเล่นบ้างอะไรบ้าง แต่บางครั้งคนอื่นก็จำเราได้ ซึ่งผมมองว่านั่นก็เป็นข้อเสียด้านหนึ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี เพราะถ้าพูดถึงข้อดี แน่นอนว่ามันตามมาอีกเยอะ แต่ส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกแบบนี้ เพราะจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษ ชอบความเป็นส่วนตัวสูง
มองว่าทุกวันนี้เราประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง?
ผม คิดว่ายัง คือตอนนี้เพิ่ง 5 ปีเอง ที่ผมเข้ามาทำธุรกิจแบบจริงจัง ถ้าเป็นเด็กก็เหมือนเริ่มวิ่งได้ ส่วนตัว ผมคิดว่าสิ่งที่ได้มาภายใน 5 ปีนี้ มันยังไม่ใช่ความสำเร็จ มันเหมือนกับแค่เราโชคดีทำในสิ่งที่ถูกจุด แต่ถ้าถามว่าความสำเร็จของผมคืออะไร ผมคิดว่าผมสามารถรักษามันได้ในวันที่ผมเดินออกมาแล้ว คือ เมื่อไหร่ที่ผมรีไทร์ ผมยังสามารถรักษาธุรกิจนี้ไว้ได้ ผมถือว่ามันหมดช่วงเวลาของผมแล้ว และผมทำได้ดีที่สุดแล้ว นั่นแหละคือความสำเร็จ ผมเชื่อว่าชีวิตคนเรามันมีคนมีลง เหมือนที่คุณพ่อของผมเคยสอนไว้ว่า เวลาที่ชีวิตขึ้นอะไรมันก็ดีหมด แต่เวลาที่ชีวิตลงสำคัญคือ เราต้องอยู่กับมันให้ได้ ถ้าอยู่กับมันไม่ได้เราก็ไม่ไหว
รู้สึกกดดันจากการถูกคาดหวังหรือไม่?
แน่ นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมถูกคาดหวังจากคนรอบข้าง แต่ผมเป็นคนที่แปลกอย่างหนึ่ง คือเป็นคนที่มีแรงขับดันในตัวเอง ผมคิดว่าลึกๆผมอาจจะมีความหวังบางอย่าง คือผมเป็นคนที่มีความฝัน บางครั้งผมว่ามันก็ดีนะ เพราะบางครั้งความฝันทำให้เรามีแรงที่จะตื่น เราไม่ง่วงนอนตอนเช้า
ถ้าถามถึงอาชีพในฝันตอนยังเป็นเด็ก?
ตอน เด็กๆ ผมก็ฝันอยากเป็นนักธุรกิจนัก แต่พอ ม.1-2 เริ่มอยากเป็นนักร้อง (หัวเราะ) จน ม. 6 ผมก็อยากกลับมาเป็นนักธุรกิจเหมือนเดิม ทุกวันนี้ก็ถือว่าโชคดีที่เราได้ทำงานตามที่เราฝัน ซึ่งผมไม่ได้หวังว่าอาชีพนี้จะทำให้ผมร่ำรวย แต่ผมอยากสร้างอะไรที่เป็นอาณาจักร เป็นโลกของเรา มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสร้างขึ้นมาด้วยมือเราเอง
มีหลักการทำงานและสูตรความสำเร็จอย่างไร?
ธรรมดา มากเลยครับ พยายามๆๆ มองไกลๆๆ พัฒนาๆๆ อดทนๆ แต่ส่วนที่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น สำหรับกรณีของผม ผมบอกว่า เพราะผมมีและรู้ข้อมูลบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ แต่ผมรู้ เหมือนกับบิล เกตต์ ท่ีรู้ว่าต้องทำวินโดว์แล้วจะดี ผมก็รู้ว่าสาหร่ายมีคนชอบทานเยอะ เพียงแต่เอามาปรับรูปร่าง แพ็คเกจ รีแบรนด์ดิ้งเท่านั้นเอง คือ คนที่จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูว่าเค้าได้ข้อมูลมาถูกที่หรือเปล่า ที่สำคัญคือเอาข้อมูลนั้นมาใช้มั้ย บางคนรู้ข้อมูลแล้วไม่เอามาทำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ เราก็ต้องตรวจสอบข้อมูลที่เราได้รับมา แต่จะตรวจยังไง อันนี้ก็ต้องลงมือทำลองผิดลองถูก เพราะไม่มีอะไรบอกคุณได้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด นอกจากเราทำแล้วเรียนรู้จากมัน
เวลาที่ต้องเจออุปสรรค มีวิธีรับมืออย่างไร?
ผม จะนึกถึงหน้าคุณแม่ เพราะผมเคยเห็นภาพของท่านตอนแม่ร้องไห้ ผิดหวัง ซึ่งผมจะคิดเสมอว่าไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก ดังนั้น เวลาที่เราเจอปัญหาก็ต้องพยายามอดทน และดึงตัวเองกลับมา หรือออกมาจากความผิดหวังให้ได้ คิดเสมอว่าทุกวันนี้ที่เราทำ เราทำเพื่อคุณแม่และเพื่อครอบครัว
เคยรู้สึกว่าต้องแบกภาระเกินวัยรุ่นคนหนึ่งหรือไม่?
ตอน นี้ผมรู้สึกว่าสนุกกับชีวิต เพราะผมคิดว่าเพื่อนหรือคนรุ่นเดียวกับผม ซึ่งคงจะมีที่มาเจออะไรแบบผม แต่คงจะน้อย ยิ่งโอกาสที่จะได้เจอเรื่องสนุกๆ แบบนี้มันคงจะแทบไม่มีสำหรับคนอายุ 24 การที่จะได้เจอเรื่องท้าทาย ซึ่งผมคิดว่ามันสนุก ผมสามารถแก้อะไรยากๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนทำไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันท้าทายสำหรับผม
ทำงานหนักแบบนี้ ทำให้ไม่ได้รับประสบการณ์ตามวัยหรือไม่?
อย่าง ที่บอกผมเป็นเด็กเกเรมาก่อน ก่อนหันมาทำธุรกิจจริงจัง ผมคิดว่าตัวเองก็ใช้ได้เหมือนกัน ก็ผ่านประสบการณ์แบบสุดๆ มาเหมือนกัน ทำให้เรารู้ว่าความสนุกตรงนั้นมันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ใช่เราละทิ้งมันนะ แต่เราเอาเป็นแค่ช่วง relax ของเรา คือ ผมทำงานหนักก็จริง แต่ผมก็มีช่วงที่ relax มีช่วงที่สนุกแบบคนทั่วไปได้ มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ขาดไป เพียงแต่ผมควบคุมมันได้ และรู้ว่าควรทำมันตอนไหน เวลาไหนควรทำอะไร ใช้การแบ่งเวลามากกว่า
ไลฟ์สไตล์ประจำวันเป็นอย่างไร?
ผม ทำงานทุกวัน อย่างผมมาเที่ยวเดินเล่นพารากอน ถามว่าทำงานไปด้วยมั้ย ผมก็ทำ ผมสังเกต ผมดูไลฟ์สไตล์คน อย่างแคมเปญแจกบีบี (โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแบล็ค เบอร์รี่) ล่าสุด มันก็เกิดมาการที่ผมมาเดินห้างและเห็นคนทั่วไปใช้บีบีกันเต็มไปหมด ซึ่งผมเชื่อว่าในจำนวนนั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังอยากได้บีบี ผมเลยคิดว่าแคมเปญนี้ก็น่าจะเข้าท่า เลยเอาทำเป็นโครงการใหม่ของบริษัทสำหรับผม ผมถือว่าเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย ขณะเดียวกันก็เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วยเช่นกัน เพราะผมคิดว่าคนเราทำงาน หรือเจ้าของกิจการต้องมองว่าการทำงานคือการเที่ยวเล่นของคุณ อย่าไปมองว่ามันเป็นการทำงานมันจะหดหู่ ต้องมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกจะดีกว่า คนเราจะสุขหรือไม่สุขอยู่ที่วิธีคิด
ความสุขสำหรับเถ้าแก่น้อยคืออะไร?
หลาย อย่างครับ การได้ทำธุรกิจและเห็นสิ่งที่ผมทำมันไปได้ คนรักคนชอบในสิ่งที่ผมทำ บางคนอาจไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยสัมผัส แต่สำหรับผมมันสุขยิ่งกว่ายาเสพติดอีก
มองอนาคตของตัวเองอย่างไร?
ผม ยังไม่ได้วางแผนชัดเจน แต่เลือกที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลา เพราะถ้าเรามัวมากำหนดอนาคตตั้งแต่ปัจจุบัน ก็ทำให้เครียดเปล่าๆ
แม้ จะเป็นเวลาไม่นานสำหรับการพูดคุยกับหนุ่มหน้าใสวัย 24 ปีคนนี้ แต่ "เถ้าแก่่น้อย" ก็สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นมุมมองความคิดทั้งเรื่องงาน หรือเรื่องการใช้ชีวิต เอาเป็นว่าขอยกนิ้วซูฮกในความสามารถให้ เถ้าแก่ต็อบ แห่งสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแล้วกัน...
ที่มา: ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2552 http://www.thairath.co.th/content/life/52156
Monday, December 14, 2009
ชื่อคนพม่า
เช่นผู้ชาย "อู" จะใช้เรียกคนที่อาวุโสกว่า
"โก" เรียกคนที่มีฐานะใกล้กัน
และ "หม่อง" ใช้เรียกคนที่อ่อนว่า เช่นคนหนุ่มหรือวัยรุ่น
ส่วนเด็กผู้ชายจะใช้ว่า "เมา"
เช่น หม่อง เอ, โก ขิ่นหยุ่น, อู นุ
บางทีก็จะใช้ควบกันเช่น โก หม่อง ติน
สำหรับผู้หญิง "ดอร์" จะใช้เรียกสตรีสูงวัย
"มะ" ใช้กับเด็กผู้หญิง
เช่น ดอร์ ซูจี, มะ เมี๊ยะ
เช่นเดียวกับสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเรียกชื่อคนพม่าโดยไม่กล่าวถึงสถานะทางสังคมนั้นเป็นการไม่สุภาพมาก
เช่น ครู และ แพทย์ ซึ่งเป็นอาชีพที่มีฐานะสูง มักจะมีคำนำหน้าว่า "สยา"
นายทหารจะใช้คำน้ำหน้าว่า "โบ" เช่น โบ เมี๊ยะ
พระที่เป็นเจ้าอาวาสใช้ "สยาดอ" เจ้าคณะเรียก "อะเช็ง" พระคุณเจ้าเรียก "โบดอ"
การตั้งชื่อของคนพม่านั้นโดยมากมักจะเป็นคำเดี่ยวหรือสองพยางค์ ไม่เกินสามพยางค์เป็นอย่างมาก ซึ่งจะตั้งตามวันเกิดเวลาตกฟาก(โดยมากให้พระตั้งให้) ซึ่งอันนี้ลึกเกินไป
AAG_th6
มะเร็ง - มันมากับอาหาร vs อ.ย.
===
นิติภูมิ นวรัตน์
ผู้อ่านท่านที่เคารพ ห้วงที่ผ่านมา ผมพบผู้คนที่ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเยอะจริงๆ ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลแต่ละที มีแต่เสียงร้องไห้โหยหวนของญาติซึ่งร่ำอาลัยผู้วายชนม์ สังเกตอย่างหนึ่งว่า เพื่อนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งมักจะมีนิวาสสถานบ้านช่องอยู่ในจังหวัดที่มีโรง งานมาก นางอรดา มั่นวิมล เพื่อนรักของผมที่เพิ่งฌาปนกิจศพไปเมื่อวาน ก็ย้ายบ้านจากเขตบางกอกน้อย มาอยู่ในเขตโรงงาน ไม่นานก็เป็นมะเร็ง
ผม เคยไปที่อำเภอแห่งหนึ่ง มีคนเอามรณบัตรมาให้ดูเกือบ 30 ใบ ตายในวันเวลาเรียงเคียงกัน สาเหตุของการตาย มะเร็ง มะเร็ง มะเร็ง มะเร็ง ไม่มีโรคอื่นเลย ผมถ่ายภาพยนตร์สารคดีพวกนี้ไว้เยอะ มีมากมายหลายสิบม้วน เด็กเล็กๆนี่แหละ เท้าเปื่อยรักษาเท่าใดก็ไม่หาย ไม่ได้เป็นแค่เด็กคนเดียวนะครับ เป็นกันทั้งหมู่บ้าน
อยู่ในเรือกสวน ไร่นามาตั้งแต่ทวดปู่ย่าตายาย วันดีคืนดีก็มีโรงงานมาตั้งเต็มพรืดทั้งตำบล น้ำก็ทานไม่ได้ คุณยายคนหนึ่งโพงน้ำจากโข่ขึ้นมาให้ผมดู น้ำมีกลิ่นเหม็นมาก จะไปดื่มได้อย่างไร ต้องเดือดร้อนซื้อน้ำขวดมาทาน ต้นทุนการดำรงชีวิตเพิ่มอีกเดือนละหลายร้อยบาท เกิดเป็นคนจนนี่ครับ จะย้ายบ้านเรือนไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีทุน ไปร้องแรกแหกกระเชอที่ไหนก็ไม่มีใครฟัง ลูกหลานป้าเป็นคนมีการศึกษาน้อย ทุกวันนี้ก็นึกซะว่า เราเกิดมามีกรรม โทษอะไรไม่ได้ก็ต้องโทษกรรม ที่บรรพบุรุษดันมาตั้งรกรากอยู่ในตำบลหนแห่งที่หลวงท่านอนุญาตให้โรงงานมา ตั้งเต็มพรืดไปหมด
โถ จะไปร้องแรกแหกกระเชอที่ไหนกันละครับคุณป้า เดี๋ยวนี้พวกบริษัทที่ปล่อยสารพิษเข้าไปในน้ำกับอากาศ เขามี CSR หรือ Corporate Social Responsibility ที่ดัดจริตแปลกันว่า "ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ" ไอ้ CSR นี่แหละตัวลวงโลก พวกนี้จะพาดารานักร้องไปปลูกป่าชายเลนบ้าง โยนเศษสตางค์พานักเรียนไปทำประโยชน์นั่น ประโยชน์นี่ พวกนี้มีความภูมิใจและเชื่ออย่างจริงจังซะด้วยนะครับ ว่าพวกตนทำประโยชน์ให้สังคม นำและทำประโยชน์ ให้กับชุมชน พวกสื่อสารมวลชนทั้งหลายเฮโลสาระพา อา เอากะเขาด้วย โดยที่ไม่เคยมองมุมของคนในชุมชนนั้นอีกจำนวนไม่น้อย ที่กำลังนอนพะงาบๆ กำลังจะตายอยู่ในโรงพยาบาล เด็กนักเรียนอีกเป็นร้อยนับพันที่คันศีรษะ เกากันจนผมจะหลุดหมดหัวอยู่แล้ว
นิติภูมิมีลูกศิษย์คนหนึ่ง คุณแม่เธอเป็นเจ้าของสะพานปลา ด้วยความรักอาจารย์ หนูไม่อยากให้อาจารย์ทานปลาทู หรือปลาจากทะเลทุกประเภท แทบจะไม่มีปลาประเภทไหนดอกค่ะ ที่เมื่อเอาขึ้นมาจากทะเลแล้ว ไม่นำมาแช่ฟอร์มาลินน้ำยาแช่ศพ อาจารย์อย่าทานปลาเลยดีกว่า ปลาน้ำจืดตามแม่น้ำคลองหลายแห่งเป็นแหล่งสะสมแคดเมียมและปรอท สารพวกนี้ถูกแอบปล่อยจากโรงงานลงในแม่น้ำลำคลอง เมื่อโลหะหนักเหล่านี้ไปสะสมในร่างกายก็จะทำให้ระบบประสาทถูกทำลายได้
ผม เคยได้รับทุนไปทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องความมีอายุยืนยาวของมนุษย์ในหลาย ประเทศ ทั้งมองโกเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ กรีซ บัลแกเรีย ฯลฯ พบว่า เรื่องอาหาร อากาศ อะไรพวกนี้มีส่วนสำคัญต่อชีวิตที่ดีมีคุณภาพมาก บางประเทศดีโดยธรรมชาติ บางประเทศดีเพราะมีการจัดการที่ดี ผมว่าถึงเวลาแล้วละครับ ที่เรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยจะต้องกลายเป็นวาระแห่งชาติกันซะที
ผม เขียนต้นฉบับวันนี้ขณะที่จะไปเชียงใหม่ เทียวเที่ยวไปในอำเภอต่างๆของไทย ผมเห็นด้วยกับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (สทพ.) ที่ลำดับสถานที่ในประเทศไทยที่น่าอยู่ หรือเมืองน่าอยู่ ชุมชนน่าอยู่ ที่ท่านจัดไว้ โดยใช้ดัชนีความน่าอยู่ 5 มิติมาพิจารณาคือ มิติความปลอดภัย มิติความมีคุณภาพชีวิตที่ดี มิติการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล และมิติความเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
จากการลงไปเก็บ ข้อมูลอย่างละเอียด 124 เทศบาลทั่วประเทศ เมืองน่าอยู่ลำดับ 1 ถึง 10 ของประเทศไทยมีดังนี้ (ผมเรียนไปแล้วนะครับว่าผมเห็นด้วยอย่างมาก และเคยเดินทางไปเยือนทุกแห่ง)
1. เมืองพนัสนิคม จ.ชลบุรี 2. เมืองแม่ฮ่องสอน 3. เมืองน่าน 4. เมืองพิจิตร 5. เมืองมุกดาหาร 6. เมืองพะเยา 7. เมืองแสนสุข จ.ชลบุรี 8. เมืองนครพนม 9. เมืองกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และ 10. เมืองท่าบ่อ จ.หนองคาย.
นิติภูมิ นวรัตน์
www.nitipoom.com
e-mail: nitipoom@nitipoom.com
ไทยรัฐออนไลน์ 23 ตุลาคม 2552 http://www.thairath.co.th/content/oversea/41393
100 มหาวิทยาลัยคุณภาพของโลก
นิติภูมิ นวรัตน์
ไปบรรยายรับใช้ข้าราชการสำคัญกลุ่มหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อผมถามเรียงตัวแต่ละท่านว่า ดร.มหฎีร บิน มุฮัมหมัด เป็นใคร? ท่านที่นั่งสองแถวหน้าทั้งหมดตอบไม่ได้ มีเพียงสองสามเสียงที่ตะโกนมาจากทางข้างหลังว่า "อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย"
การสอบเข้ารับราชการแต่ละครั้ง มีผู้สมัครหลายหมื่น รับได้เพียงจำนวนน้อยไม่กี่ร้อยคน พวกที่สอบได้จำนวนน้อยไม่กี่ร้อยคนนี่จึงถือว่า เป็นยอดของบัณฑิตที่จบมาในแต่ละรุ่น
ทว่ายอดบัณฑิตจากสถาบันการศึกษา ไทยสมัยนี้ ทำให้ผมเหนื่อยทั้งใจกายเมื่อผมรับหน้าที่ไปบรรยายในหลักสูตรอบรมรับใช้ท่าน เหลือเกินครับ ทั้งความรู้เฉพาะและความรู้รอบตัว ท่านมีน้อยมาก ทั้งที่จำนวนไม่น้อยจบปริญญาโท
ผมจึงขอเรียกร้องให้สถาบันการศึกษา ไทยบางแห่งเพิ่มความเข้มข้นด้านคุณภาพหน่อย ไม่ใช่ว่าเพียงนักศึกษามีสตางค์จ่ายค่าหน่วยกิตก็ต้องให้สอบได้ เดี๋ยวนี้คะแนนทำรายงานของผู้เรียนสูงจริงๆ เพียงเข้าชั้นเรียนและทำรายงานก็สอบผ่านได้เป็นบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตกันแล้ว แล้วก็ทุกวันนี้ มีสำนักรับทำรายงานและวิทยานิพนธ์กันดื่นดาษกลาดเกลื่อนรอบบริเวณ มหาวิทยาลัย แถมมีการติว "ปกป้องสารนิพนธ์และวิทยานิพนธ์" ให้เรียบร้อย ผมอยากถามว่า เมื่อจบมาแล้ว ท่านมีความรู้อะไร
การติววิชาตามปกติ เป็นการเพิ่มพูนให้ผู้เรียนมีความรู้อย่างเป็นระบบ รู้ตั้งแต่ต้นจนจบ การติวอย่างนี้พอรับได้ แต่การทำวิทยานิพนธ์และติวปกป้องให้ด้วยนั้น ผมถือว่าเป็นการทำลายคุณภาพการศึกษาของชาติอย่างรุนแรงที่สุด
เรื่อง การรับอาจารย์ก็เหมือนกัน หลายแห่งท่านรับกันโดยไม่มีการคัดกรองเรื่องความรู้ความสามารถและคุณธรรม เท่าที่ควร ในชีวิตผมเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภามหาวิทยาลัยและสถาบันระดับอุดม ศึกษาของรัฐมาแล้ว 3 แห่ง ขอเรียนว่า คุณภาพ จริยธรรมคุณธรรม และทัศนคติของอาจารย์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องรีบแก้ไขโดยด่วนที่สุด ถ้าไม่เช่นนั้น ในอนาคต เราจะมีแต่บัณฑิตด้อยคุณภาพเต็มประเทศ
ผู้ อ่านท่านครับ นิติภูมิอ่านจากข่าวของไทยรัฐนี่แหละ เรื่องการจัดลำดับคุณภาพทางวิชาการของมหาวิทยาลัยทั่วโลก 100 อันดับ ข่าวในไทยรัฐยังแนะนำให้เข้าไปดูในเว็บไซต์ www.aewu.org ผมเข้าไปดูแล้ว ก็ขอนำสถาบันคุณภาพของโลกมาเรียนรับใช้กัน เรื่องนี้ก็สำคัญครับ เพราะสถาบันการศึกษาของประเทศใดมีคุณภาพ ประเทศนั้นก็จะสามารถผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพออกมาพัฒนาประเทศชาติ บ้านเมืองและเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
จาก 100 แห่ง สหรัฐอเมริกาครองแชมป์มีสถาบันการศึกษาคุณภาพสุดสูงมากที่สุด ที่ 1 อเมริกา ที่ 1 ทวีปอเมริกา และที่ 1 ของโลก คือ ม.ฮาร์วาร์ด ส่วนที่ 1 อังกฤษ ที่ 1 ยุโรป ที่ 4 โลก คือ ม.แคมบริดจ์
นอกจากสหรัฐฯ และอังกฤษ ก็ตามด้วยสถาบันของญี่ปุ่น ที่ 1 ญี่ปุ่น ที่ 1 เอเชีย/แปซิฟิก ที่ 20 โลก คือ ม.โตเกียว
ที่ 1 สวิตเซอร์แลนด์ ที่ 4 ยุโรป ที่ 23 ของโลกคือ สถาบันเทคโนโลยีซูริก ที่ 1 แคนาดา ที่ 20 ทวีปอเมริกา ที่ 27 ของโลก คือ ม.โตรอนโต
ที่ 1 ฝรั่งเศส ที่ 6 ยุโรป ที่ 40 ของโลก คือ Pierre and Marie Curie University-Paris 6 ที่ 1 เดนมาร์ก ที่ 8 ยุโรป ที่ 43 โลก คือ ม.โคเปนเฮเกน ที่ 1 สวีเดน ที่ 10 ยุโรป ที่ 50 โลก คือสถาบันคาโรลินสกา
ที่ 1 เนเธอร์แลนด์ ที่ 11 ยุโรป ที่ 52 โลก คือ ม.อูเทร็ชท์
ที่ 1 เยอรมนี ที่ 14 ยุโรป ที่ 55 โลก คือ ม.มิวนิก ที่ 1 ออสเตรเลีย ที่ 3 เอเชีย/แปซิฟิก ที่ 59 โลก คือ ม.แห่งชาติออสเตรเลีย ที่ 1 อิสราเอล ที่ 4 เอเชีย/แปซิฟิก ที่ 64 โลก คือ ม.ฮิบรูแห่งเยรูซาเล็ม ที่ 1 นอร์เวย์ ที่ 18 ยุโรป ที่ 65 โลก คือ ม.ออสโล ที่ 1 ฟินแลนด์ ที่ 21 ยุโรป ที่ 72 โลก คือ ม.เฮลซินกิ
ที่ 1 รัสเซีย ที่ 24 ยุโรป ที่ 77 โลก คือ ม. มอสโก
100 มหาวิทยาลัยคุณภาพสูงสุดของโลก สถาบันในทวีปอเมริกาติด 59 แห่ง ทวีปยุโรปติดมากถึง 32 แห่ง และทวีปเอเชียและแปซิฟิก 9 แห่ง
นาย คุณนิติ นวรัตน์ ลูกชายของผมเรียนปริญญาตรีด้านผังเมืองอยู่ที่ ม.อูเทร็ชท์ ซึ่งเป็นสถาบันอันดับ 1 ของเนเธอร์แลนด์ อันดับ 11 ของยุโรป และลำดับ 52 ของโลก ผมโทรศัพท์คุยกับลูกบ่อยว่าพ่อยังให้โอกาสลูกเลือกว่าจะเรียนที่นี่ต่อ หรือจะตระเวนไปอยู่ในประเทศต่างๆ ประเทศละ 1-2 ปี หาประสบการณ์ไปเรื่อยจนกระทั่งอายุ 35 ปี ซึ่งคิดว่า ทำอย่างหลังน่าจะเป็นผู้รู้อย่างสมบูรณ์และให้ประโยชน์ได้มากกว่า
===========
ไทยรัฐออนไลน์ 3 พฤศจิกายน 2552 http://www.thairath.co.th/content/oversea/43971
พม่า: เรื่องที่ต้องรู้
================
ตั้งแต่ 2 มีนาคม 2552 เป็นต้นมา นิติภูมิพูดรายการวิทยุ FM 99 MHz ของ อสมท ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ครับ รายการ "บ้านเขาเมืองเรา" เวลา 11.00-12.00 น. วันไหนไปต่างประเทศก็จะอัดเสียงมาเปิด มีเรื่องอะไรเล่ารับใช้ให้ฟังเยอะแยะ หากอยากฟังย้อนหลัง ก็เข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ www.mcot.net หรือ www.nitipoom.com เมนูวิทยุ/radio ก็ได้ ส่วนท่านที่จะถามคำถามก็เชิญที่ nitipoom@gmail.com
1. ผมไปงานศพของคนพม่า คนพม่าเวลาตายกลายเป็นผีนี่ จะมีการนำเหรียญไปใส่ไว้ในปากเหมือนของคนไทยเหมือนกัน ผมไม่เคยถามทางฝั่งไทยนะครับว่า ทำไมต้องเอาเหรียญใส่ไว้ในปากศพ จนกระทั่งไปงานศพพม่า จึงได้รับคำอธิบายว่า ต้องเอาเงินนี้ไปจ้างคนแจวเรือที่ส่งศพให้ข้ามสายธารไปถึงชาติหน้า ถ้าไม่มีเงินจำนวนนี้ คนแจวเรือก็จะไม่ทำงาน คนตาย ก็จะไม่ได้ไปเกิด คนพม่าเชื่อว่า ในงานศพ ผู้ตายจะมาอยู่ในงานร่วมพิธีศพด้วย วิญญาณของผู้ตายก็จะวนเวียนอยู่ในบ้านเป็นเวลา 7 วัน
2. ใครไปพม่า ก็อย่าไปวิจารณ์พระภิกษุสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติแตกต่างจากพระสงฆ์ไทยอยู่บ้าง พุทธศาสนิกชนคนพม่าจะยึดหลักการตีความตามพระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัดมาก พระพม่าไม่โกนคิ้ว และฉันอาหารมื้อเดียว ส่วนเรื่องการบิณฑบาต พระพม่าบิณฑบาตได้ตลอดวัน หลังเที่ยงไปแล้วก็ไม่ได้บิณฑบาตเพื่ออาหาร แต่เพื่อปัจจัย ชีเมืองไทยห่มขาว แต่แม่ชีพม่า จะนุ่งห่มผ้าสีชมพูอ่อน หรือไม่ก็สีส้ม โกนผม แต่ไม่โกนคิ้ว และก็ออกบิณฑบาตในตอนเช้าแบบเดียวกับพระสงฆ์
3. คนไทยไปมีคดีความกับคนพม่า เมื่อฟ้องร้องกัน คนไทยแทบจะไม่เคยชนะ หากสัญญาเขียนผูกไว้ไม่รัดกุม เพราะคนพม่าไม่มีชื่อนามสกุลใช้ เมื่อเด็กเกิดได้ 7 วัน พ่อแม่จะต้องเชิญเพื่อนสนิทมิตรสหายและญาติพี่น้องมาร่วมในงานพิธีตั้งชื่อ ตามหลักโหราศาสตร์ คนพม่าจึงมีชื่อตามวันเดือนปีเกิด อย่างนิติภูมินี่ ผมเคยเอาวันเดือนปีเกิดไปให้หมอพม่าลองตั้งชื่อเสียงเรียงนามเล่นๆ ไปที่ไหนๆ ก็มักจะได้ชื่อเริ่มต้นว่า ออง เพราะผมเกิดวันอาทิตย์ ส่วนใหญ่หมอพม่าจะให้ชื่อผมว่าเป็น ออง เมียต ตู
เมื่อไปมีคดีในศาล คนชื่อนามสกุลเดียวกับคู่ความของท่านอาจจะมีเป็นหมื่น ในสัญญาจึงควรเขียนสถานที่เกิด และเขียนข้อมูลผูกไว้มากๆ ว่าเป็นนายคนนี้แน่ มิใช่นายออง เมียต ตู คนไหน ชื่อคนพม่านี่นะครับ ไม่จำเป็นจะต้องไปคล้าย หรือมีส่วนเกี่ยวดองหนองยุ่งกับพ่อแม่เลย แถมคนพม่ายังเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามกันบ่อย ตามแต่ความเชื่อทางโหราศาสตร์ ไปดูหมอ หมอว่าชื่อไม่ดีก็เปลี่ยนกันแล้ว
แม้ แต่คนดังๆที่ท่านรู้จักชื่อกันคุ้นหู เอาอย่างเนวินก็ได้ คนพม่าจำนวนไม่น้อยรู้จักในนามเดิมของท่านว่า ตะขิ่น ชู หม่อง หรืออย่างอดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่าอูนุ คนไทยเรียกว่าอูนุ แต่คนพม่าเรียกว่าทะขิ่น นุ
4. อังกฤษต้องยกเลิกระบบกษัตริย์ของพม่า เพราะพระเจ้าธีบอ กษัตริย์ องค์สุดท้ายของพม่าทำสัญญากับฝรั่งเศสเอาไว้มาก สัญญาว่าจะให้ฝรั่งเศสทำทางรถไฟ ตั้งธนาคาร ออกธนบัตร ฯลฯ ซึ่งถ้าอังกฤษยังคงยอมให้พระเจ้าธีบอเป็นกษัตริย์ของพม่าต่อไป สัญญาต่างๆเหล่านั้นก็จะยังมีผลตามกฎหมาย พวกฝรั่งเศสก็เข้ามาทำมาหากินในพม่าแข่งกับอังกฤษ
เขียนให้ง่ายเข้า ใจเร็วขึ้นก็คือ อังกฤษต้องการทำลายสิทธิ์ของคนฝรั่งเศส เชื้อพระวงศ์ของพม่าในบั้นปลายท้ายๆ รัชสมัยของพระเจ้าธีบอนี่ แทบจะไม่มีเหลือแล้วครับ เพราะตอนที่แย่งราชสมบัติ ต่างฆ่ากันตายไปเยอะ พี่ฆ่าน้อง เพราะกลัวน้องจะได้เป็นกษัตริย์ น้องก็จ้องฆ่าพี่ แม้ว่าจะจงรักภักดี แต่ชาวพม่าก็เอือมระอากับความวุ่นวายที่เกิดจากการแย่งชิงราชสมบัติในสมัย นั้น ก็จึงไม่มีใครออกมาต้านเมื่อตอนอังกฤษประกาศยกเลิกระบบกษัตริย์
5. เดิมพม่าไม่มีพื้นที่ใดติดกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เพราะว่ามีประเทศมอญคั่นอยู่ ทางเหนือก็มีล้านนา พม่าพยายามขยายอาณาเขตมาทางมอญมากกว่า เพราะว่าแผ่นดินอุดมสมบูรณ์และติดทะเล
เมืองเมาะตะมะของมอญในทิศ เหนือมีเส้นทางมายังจังหวัดตากของไทย เรียกสายด่านแม่ละเมา ทางใต้ก็เข้ามาประเทศไทยได้ที่จังหวัดกาญจนบุรี ตรงด่านพระเจดีย์สามองค์ ทางนี้ในสมัยโบราณใช้ติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาได้ไวกว่าทางตอนเหนือ ที่มอญไม่มีประเทศของตัวเองในปัจจุบันทุกวันนี้ ผมว่าเป็นเพราะมอญเป็นเหมือนรัฐกันชน แถมคนมอญก็ชอบศิลปวัฒนธรรมมากกว่าที่จะไปรบพุ่ง ไม่ค่อยมีสภาพเป็นนักรบ ป้องกันตัวเองไม่ค่อยเป็นคนมอญจึงต้องมาอ่อนข้อกับไทยบ้าง กับพม่าบ้าง เป็นเหตุให้สองประเทศนี่ทะเลาะรบกันบ่อยๆ เพราะไม่ว่าจะพม่าหรือไทยก็อยากมีอำนาจเหนือมอญ เพื่อไม่ให้มารุกรานตัวเอง
6. นายพลเนวิน เสียชีวิตไปแล้วครับ เมื่อ 5 ธันวาคม 2545 พวกลูกหลาน ลูกเขยของแกก็ถูกจับกันเกือบทุกคน คิดเอาเองครับว่า รัฐบาลทหารพม่ายุคปัจจุบันต้องการล้างอำนาจทั้งทางการเมืองและ การเศรษฐกิจของตระกูลเนวิน เพราะตระกูลนี้ผูกขาดธุรกิจหลายประเทศ ทำให้ไม่มีใครกล้ามาลงทุน ประเทศไม่เจริญครับ.
นิติภูมิ นวรัตน์
ไทยรัฐออนไลน์ 15 ตุลาคม 2552 http://www.thairath.co.th/content/oversea/39594
Wednesday, December 9, 2009
ลายมือทำกิจกรรมในครอบครัว
ความหมายตามลายมือ
หมายเลข ๑-๑
เส้นพฤหัสมาจากเนินศุกร์ มีความหมาย ถึงการทำงานใหญ่ภายในครอบครัวหรือเปิดกิจการโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
หมายเลข ๒-๒
เส้นเสาร์มาจากเนินศุกร์ มีความหมายถึงการทำงานกิจการโรงงานที่ทำกันภายในครอบครัว หรือทำธุรกิจจัดสรรที่ดิน
หมายเลข ๓-๓
เส้นอาทิตย์มาจากเนินศุกร์ บ่งถึงการทำกิจการด้านการแสดงเด่นดัง และยังทำต่อเนื่องกันเป็นครอบครัว
หมายเลข ๔-๔
เส้นพุธมาจากเนินศุกร์ หมายถึงการทำธุรกิจใหญ่โตและทำงานภายในครอบครัว มีหลักการบริหารที่เหนียวแน่นตลอดไป.
ต้อย ตุลา
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 28 พฤศจิกายน 2552 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=34473&categoryID=492
ลายมือไปได้ดีในต่างถิ่น
ความหมายตาม ลายมือ
หมายเลข ๑-๑
เส้นชีวิตที่มีเส้นแยกไปสู่เนินจันทร์ มีความหมายถึงการจะมีทางไปดำเนินชีวิตในต่างถิ่นต่างแดน มีชีวิตส่วนตัวไม่เหมือนครอบครัวเดิม
หมายเลข ๒-๒
เส้นสมองที่โค้งยาวไปสู่เนินจันทร์ แสดงถึงการมีความคิดที่จะมีการเดินทางไกลอยู่เสมอ จะมีความสุขที่มีการเดินทางไปสู่ถิ่นใหม่ หรือมีชีวิตที่ต้องการก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าความรู้หรือการศึกษาต่อต่างถิ่นต่างแดน
หมายเลข ๓-๓
เส้นที่แยกจากเส้นชีวิตออกเป็นรูปตรง ๆ ขนานออกไปทางเนินจันทร์ สูง หมายถึงการมีชีวิตที่ต้องการเดินทางอยู่เสมอ ไม่อยู่กับที่
หมายเลข ๔-๔
เส้นวาสนามาจากเนินจันทร์ไปสู่เนินเสาร์ ถือว่าเป็นคนมีวาสนาที่เกี่ยวกับต่างประเทศ และมีโอกาสทำงานทางด้านต่างประเทศ มีการเดินทางอยู่เสมอ
ต้อย ตุลา
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 21 พฤศจิกายน 2552 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=33159&categoryID=492
ลายมือผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
ความหมายตามลายเส้น
หมายเลข ๑-๑ กากบาทกลางฝ่ามือ
อยู่ระหว่างเส้นสมองกับเส้นหัวใจ มักจะ รู้อะไรล่วงหน้า เมื่อภัยจะมาถึงตัว ทำให้รอดปลอดภัย และถือว่าเป็นเส้นอิทธิพล ทำให้เกิดวาสนาที่ดีต่อไป
หมายเลข ๒-๒ เส้นวงพระจันทร์
เป็นเส้นโค้งจากเนินจันทร์ไปจนถึงเนินพุธ มักจะระลึกชาติได้ สามารถมองเห็นธรรม มีสติรู้ดีรู้ชั่ว สามารถบอกให้คนอื่นรู้ล่วงหน้าว่า ภัยจะมาถึงตัว และยังมีความรู้ปัญญาความคิด เห็นอดีตและอนาคตได้ เช่น พระอรหันต์
หมายเลข ๓-๓ เส้นสมองรูปตัวเอ
เป็นเส้นสมองที่ตรงปลายเป็นแฉกและมีการตัดกันกับเส้นวงพระจันทร์หรือเส้นพุธ ก็ได้ ถือว่าเป็นคนมีสมองดีเยี่ยม สามารถในการศึกษา มีความคิดในการวางแผนชีวิตทางด้านการศึกษา การงาน การเงิน ได้อย่างรอบคอบ ส่วนมากจะมีความรู้ความสามารถสูง รู้อะไรล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
ต้อย ตุลา
ลายมือที่มีความสำเร็จทุกอย่าง
หมายเลข ๑-๑
เส้นหัวใจที่พุ่งไปสู่เนินพฤหัสและมีเส้นแยกออกไปด้วยก็บ่งถึงความสำเร็จทางด้านจิตใจ มีความสุขในครอบครัวและมีความรักที่สมหวัง
หมายเลข ๒-๒
เส้นสมองที่มีเส้นแยกออกไปสู่เนินพฤหัส ก็หมายถึงความสำเร็จในการศึกษาและมีความก้าวหน้าในด้านความคิดและการออกความ เห็นที่ถูกต้องแน่นอน
หมายเลข ๓-๓
เส้นชีวิตที่เส้นแยกไปสู่เนินพฤหัส หมายถึงความสำเร็จในการทำงานมีตำแหน่งหน้าที่สูงส่ง และอนาคตจะก้าวหน้าด้วยความสามารถของตนเอง
ต้อย ตุลา
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 07 พฤศจิกายน 2552 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=30501&categoryID=492
เส้นสำเร็จที่เกิดจากเส้นสมอง
หมายเลข ๑-๑
เส้นสำเร็จที่เกิดจากเส้นสมอง ปลายไปสู่เนินพฤหัส หมายถึงความสำเร็จในการศึกษาและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีตำแหน่งสูงในบ้านเมืองเสมอ
หมายเลข ๒-๒
เส้นสำเร็จที่เกิดจากเส้นสมอง ปลายไปสู่เนินเสาร์ ถือว่าเป็นเส้นวาสนาได้ที่เกิดจากความสามารถของตนเอง จะทำอะไรก็คิดเป็นผลประโยชน์ที่จะได้รับ
หมายเลข ๓-๓
เส้นสำเร็จที่เกิดจากเส้นสมอง ปลายไปสู่เนินอาทิตย์ ถือว่าเป็นคนที่มีความสำเร็จในด้านการเงิน มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านต่าง ๆ และทำอะไรเป็นเงินเป็นทอง
หมายเลข ๔-๔
เส้นสำเร็จที่เกิดจากเส้นสมอง ปลายไปสู่เนินพุธ ถือว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดมากในด้านการพูดการเจรจา มีความสำเร็จในด้านการค้าการลงทุน มีทรัพย์สินมากมาย.
ต้อย ตุลา
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 31 ตุลาคม 2552 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=29169&categoryID=492
ลายมือใจถึง Palmline for a person who dare to do things
ความหมายตามลายเส้น
หมายเลข ๑-๑
เส้นสมองยาวตรงห่างจากเส้นชีวิต บ่งถึงมีความตั้งใจสูงเด็ดขาด กล้าได้กล้าเสีย เป็นคนที่มีความรักเด็ดเดี่ยว ไม่เชื่อฟังคนอื่น มาชักจูงให้เปลี่ยนแปลง แม้แต่จะเป็นใครก็ตาม จะทำตามที่ตัวเองคิด และมีความตั้งใจแม้จะหนีตามกันไปก็ตาม
หมายเลข ๒-๒
เส้นหัวใจยาวตรง มีความรักมั่นคง จริงใจจริงจัง เสียสละ รักเดียวใจเดียว มีความมุ่งมั่นสูง และมีความซื่อสัตย์ กตัญญู รู้คุณคน จะเสียสละแม้แต่ชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนรักให้ปลอดภัย และมีความสุขแม้ตัวเองจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะไม่เป็นคนเห็นแก่ตัวเด็ดขาด
หมายเลข ๓-๓
เส้นคุ้มครองความสำเร็จ จะทำอะไรก็ผ่านอุปสรรค มีความ ตั้งใจ แก้ไขปัญหาได้ เส้นนี้เป็นเส้นสำคัญที่ อยู่ในลายมือใครก็ตามก็ มักจะประสบความสำเร็จด้วยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การช่วยเหลืออย่างปลอดภัย ไม่มีตายโหง ไม่มีติดคุก ไม่มีล้มละลาย และยังช่วยเหลือคนอื่นที่ตนรักให้ปลอดภัยไปด้วย.
ต้อย ตุลา
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 17 ตุลาคม 2552 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=26471&categoryID=492