Friday, December 18, 2009

ตามติดถนนสายชีวิตของ “เถ้าแก่น้อย”

ลองจินตนาการดูว่าหากคุณกำลังเข้าสู่วัยรุ่นในวัย 24 ปี คุณกำลังทำอะไรอยู่ หรือหากคุณอยู่ในวัยนั้นแล้ว คุณจะเป็นอย่างไร คุณจะยังเป็นเพียงเด็กกะโปโลคนหนึ่งที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างโลกของความเป็น จริง กับโลกของหนังสือเรียน หรือคุณยังสนุกกับการเพลิดเพลินใช้ชีวิตไปวันๆ ก่อนจะสยายปีกทยานไปบนถนนแห่งชีวิต

แต่สำหรับ ต็อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ใน วัย 24 ปีของเขา กลับเป็นวัยที่น่าจดจำ เพราะถนนสายชีวิตที่เขากำลังโลดแล่นอยู่นั้น เรียกได้ว่าไปไกล หรือเกือบจะถึงเส้นชัยแล้วก็ได้ ในขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันเพิ่งจะออกสตาร์ทเครื่องเท่านั้น

อ่าน มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจคิดว่าเป็นการพูดเกินจริง งานนี้เลยต้องพิสูจน์ด้วยภาระหน้าที่ของหนุ่มน้อยวัย 24 ปีคนนี้ เพราะปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือ อาจจะเรียกสั้นๆว่า “เถ้าแก่น้อย” ก็คงไม่ผิดนัก

รู้สึกยังไงกับการเป็นเถ้าแก่น้อย?

ผม คิดว่ามันสองแง่มุมครับ ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่ามันทำให้เราทำอะไรได้ไม่เต็มที่ คือ บางทีคนคิดว่าเราเป็นแบรนด์อิมเมจ ทำให้เราไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวพอให้กับตัวเอง ไม่มีเวลาในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงว่าต้องทำงานมาก เพราะทำงานมากไม่เป็นไร แต่บางครั้งบางเวลาเราอยากออกไปเดินเล่นบ้างอะไรบ้าง แต่บางครั้งคนอื่นก็จำเราได้ ซึ่งผมมองว่านั่นก็เป็นข้อเสียด้านหนึ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี เพราะถ้าพูดถึงข้อดี แน่นอนว่ามันตามมาอีกเยอะ แต่ส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกแบบนี้ เพราะจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษ ชอบความเป็นส่วนตัวสูง

มองว่าทุกวันนี้เราประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง?

ผม คิดว่ายัง คือตอนนี้เพิ่ง 5 ปีเอง ที่ผมเข้ามาทำธุรกิจแบบจริงจัง ถ้าเป็นเด็กก็เหมือนเริ่มวิ่งได้ ส่วนตัว ผมคิดว่าสิ่งที่ได้มาภายใน 5 ปีนี้ มันยังไม่ใช่ความสำเร็จ มันเหมือนกับแค่เราโชคดีทำในสิ่งที่ถูกจุด แต่ถ้าถามว่าความสำเร็จของผมคืออะไร ผมคิดว่าผมสามารถรักษามันได้ในวันที่ผมเดินออกมาแล้ว คือ เมื่อไหร่ที่ผมรีไทร์ ผมยังสามารถรักษาธุรกิจนี้ไว้ได้ ผมถือว่ามันหมดช่วงเวลาของผมแล้ว และผมทำได้ดีที่สุดแล้ว นั่นแหละคือความสำเร็จ ผมเชื่อว่าชีวิตคนเรามันมีคนมีลง เหมือนที่คุณพ่อของผมเคยสอนไว้ว่า เวลาที่ชีวิตขึ้นอะไรมันก็ดีหมด แต่เวลาที่ชีวิตลงสำคัญคือ เราต้องอยู่กับมันให้ได้ ถ้าอยู่กับมันไม่ได้เราก็ไม่ไหว

รู้สึกกดดันจากการถูกคาดหวังหรือไม่?
แน่ นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมถูกคาดหวังจากคนรอบข้าง แต่ผมเป็นคนที่แปลกอย่างหนึ่ง คือเป็นคนที่มีแรงขับดันในตัวเอง ผมคิดว่าลึกๆผมอาจจะมีความหวังบางอย่าง คือผมเป็นคนที่มีความฝัน บางครั้งผมว่ามันก็ดีนะ เพราะบางครั้งความฝันทำให้เรามีแรงที่จะตื่น เราไม่ง่วงนอนตอนเช้า

ถ้าถามถึงอาชีพในฝันตอนยังเป็นเด็ก?
ตอน เด็กๆ ผมก็ฝันอยากเป็นนักธุรกิจนัก แต่พอ ม.1-2 เริ่มอยากเป็นนักร้อง (หัวเราะ) จน ม. 6 ผมก็อยากกลับมาเป็นนักธุรกิจเหมือนเดิม ทุกวันนี้ก็ถือว่าโชคดีที่เราได้ทำงานตามที่เราฝัน ซึ่งผมไม่ได้หวังว่าอาชีพนี้จะทำให้ผมร่ำรวย แต่ผมอยากสร้างอะไรที่เป็นอาณาจักร เป็นโลกของเรา มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสร้างขึ้นมาด้วยมือเราเอง

มีหลักการทำงานและสูตรความสำเร็จอย่างไร?
ธรรมดา มากเลยครับ พยายามๆๆ มองไกลๆๆ พัฒนาๆๆ อดทนๆ แต่ส่วนที่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น สำหรับกรณีของผม ผมบอกว่า เพราะผมมีและรู้ข้อมูลบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ แต่ผมรู้ เหมือนกับบิล เกตต์ ท่ีรู้ว่าต้องทำวินโดว์แล้วจะดี ผมก็รู้ว่าสาหร่ายมีคนชอบทานเยอะ เพียงแต่เอามาปรับรูปร่าง แพ็คเกจ รีแบรนด์ดิ้งเท่านั้นเอง คือ คนที่จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูว่าเค้าได้ข้อมูลมาถูกที่หรือเปล่า ที่สำคัญคือเอาข้อมูลนั้นมาใช้มั้ย บางคนรู้ข้อมูลแล้วไม่เอามาทำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ เราก็ต้องตรวจสอบข้อมูลที่เราได้รับมา แต่จะตรวจยังไง อันนี้ก็ต้องลงมือทำลองผิดลองถูก เพราะไม่มีอะไรบอกคุณได้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด นอกจากเราทำแล้วเรียนรู้จากมัน

เวลาที่ต้องเจออุปสรรค มีวิธีรับมืออย่างไร?
ผม จะนึกถึงหน้าคุณแม่ เพราะผมเคยเห็นภาพของท่านตอนแม่ร้องไห้ ผิดหวัง ซึ่งผมจะคิดเสมอว่าไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก ดังนั้น เวลาที่เราเจอปัญหาก็ต้องพยายามอดทน และดึงตัวเองกลับมา หรือออกมาจากความผิดหวังให้ได้ คิดเสมอว่าทุกวันนี้ที่เราทำ เราทำเพื่อคุณแม่และเพื่อครอบครัว

เคยรู้สึกว่าต้องแบกภาระเกินวัยรุ่นคนหนึ่งหรือไม่?
ตอน นี้ผมรู้สึกว่าสนุกกับชีวิต เพราะผมคิดว่าเพื่อนหรือคนรุ่นเดียวกับผม ซึ่งคงจะมีที่มาเจออะไรแบบผม แต่คงจะน้อย ยิ่งโอกาสที่จะได้เจอเรื่องสนุกๆ แบบนี้มันคงจะแทบไม่มีสำหรับคนอายุ 24 การที่จะได้เจอเรื่องท้าทาย ซึ่งผมคิดว่ามันสนุก ผมสามารถแก้อะไรยากๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนทำไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันท้าทายสำหรับผม

ทำงานหนักแบบนี้ ทำให้ไม่ได้รับประสบการณ์ตามวัยหรือไม่?
อย่าง ที่บอกผมเป็นเด็กเกเรมาก่อน ก่อนหันมาทำธุรกิจจริงจัง ผมคิดว่าตัวเองก็ใช้ได้เหมือนกัน ก็ผ่านประสบการณ์แบบสุดๆ มาเหมือนกัน ทำให้เรารู้ว่าความสนุกตรงนั้นมันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ใช่เราละทิ้งมันนะ แต่เราเอาเป็นแค่ช่วง relax ของเรา คือ ผมทำงานหนักก็จริง แต่ผมก็มีช่วงที่ relax มีช่วงที่สนุกแบบคนทั่วไปได้ มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ขาดไป เพียงแต่ผมควบคุมมันได้ และรู้ว่าควรทำมันตอนไหน เวลาไหนควรทำอะไร ใช้การแบ่งเวลามากกว่า

ไลฟ์สไตล์ประจำวันเป็นอย่างไร?
ผม ทำงานทุกวัน อย่างผมมาเที่ยวเดินเล่นพารากอน ถามว่าทำงานไปด้วยมั้ย ผมก็ทำ ผมสังเกต ผมดูไลฟ์สไตล์คน อย่างแคมเปญแจกบีบี (โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแบล็ค เบอร์รี่) ล่าสุด มันก็เกิดมาการที่ผมมาเดินห้างและเห็นคนทั่วไปใช้บีบีกันเต็มไปหมด ซึ่งผมเชื่อว่าในจำนวนนั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังอยากได้บีบี ผมเลยคิดว่าแคมเปญนี้ก็น่าจะเข้าท่า เลยเอาทำเป็นโครงการใหม่ของบริษัทสำหรับผม ผมถือว่าเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย ขณะเดียวกันก็เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วยเช่นกัน เพราะผมคิดว่าคนเราทำงาน หรือเจ้าของกิจการต้องมองว่าการทำงานคือการเที่ยวเล่นของคุณ อย่าไปมองว่ามันเป็นการทำงานมันจะหดหู่ ต้องมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกจะดีกว่า คนเราจะสุขหรือไม่สุขอยู่ที่วิธีคิด

ความสุขสำหรับเถ้าแก่น้อยคืออะไร?
หลาย อย่างครับ การได้ทำธุรกิจและเห็นสิ่งที่ผมทำมันไปได้ คนรักคนชอบในสิ่งที่ผมทำ บางคนอาจไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยสัมผัส แต่สำหรับผมมันสุขยิ่งกว่ายาเสพติดอีก

มองอนาคตของตัวเองอย่างไร?

ผม ยังไม่ได้วางแผนชัดเจน แต่เลือกที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลา เพราะถ้าเรามัวมากำหนดอนาคตตั้งแต่ปัจจุบัน ก็ทำให้เครียดเปล่าๆ

แม้ จะเป็นเวลาไม่นานสำหรับการพูดคุยกับหนุ่มหน้าใสวัย 24 ปีคนนี้ แต่ "เถ้าแก่่น้อย" ก็สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นมุมมองความคิดทั้งเรื่องงาน หรือเรื่องการใช้ชีวิต เอาเป็นว่าขอยกนิ้วซูฮกในความสามารถให้ เถ้าแก่ต็อบ แห่งสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแล้วกัน...


ที่มา: ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2552 http://www.thairath.co.th/content/life/52156

No comments:

Post a Comment