Monday, October 18, 2010

คำอบรมสั่งสอนของแม่ชี

อ: ตอนนี้ผมถูกคนแทงข้างหลัง ครับ
แม่ชี: แม่ชีพูดได้ไหม
อ: ครับ ได้ครับ
แม่ชี: โยมอย่าคิดมาก มันเป็นทั้งกรรมเก่า และกรรมใหม่ เป็นคนใกล้ตัว โยมก็รู้ว่าเป็นใคร เป็นผู้หญิงคนนึง ผู้ชายคนนึง
อ: ครับ ผมทราบครับ
แม่ชี: โยมให้อโหสิกรรมเขาเถอะ เพราะอย่างไรเขาก็ทำอะไรโยมไม่ได้หรอก เพราะโยมทำความดีเอาไว้มาก อย่าคิดมาก ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีมารผจญเลย
อ: ครับ แต่ตอนนี้ผมคงถอนแจ้งความไม่ได้ เพราะหมิ่นประมาทเป็นคดีอาญาครับ ทางตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเขาเก่งมาก DNA และ+ลายนิ้วมือ ตอนนี้เขากำลังส่งเรื่องไปที่อัยการเพื่อทำการฟ้อง
แม่ชี: ถ้าโยมให้อภัย ให้อโหสิกรรมได้ก็ทำเถอะ ถ้าผู้ชายคนนี้ยังคิดไม่ได้ ลูก 2 คนของเขาก็จะเป็นทายาทกรรมที่เขาทำไว้ เราไม่ต้องไปทำอะไรหรอก
อ: ครับ เดี๋ยวผมจะขอให้ทำถอนแจ้งความครับ
แม่ชี: แม่ชีอยากให้โยมทำความดีของโยมต่อไปนะ แม่ชีจะเอาใจช่วย
อ: ขอบพระคุณแม่ชีครับ

ถอดเทปโดย: หนึ่งร้อย

Friday, October 15, 2010

ทอดไข่ดาวให้ฟองใหญ่น่ากิน

วันนี้มีเคล็ดลับก้นครัวที่เผยเดลินิวส์ออนไลน์พร้อมให้ความรู้ เทคนิคการทอดไข่ดาวให้ดูฟองใหญ่น่ากิน

เริ่มจากต่อยไข่ใส่ถ้วย แล้วใช้นิ้วมือบี้ไข่ขาวรอบ ๆ ไข่แดงให้ทั่ว ระวังอย่าให้ไข่แดงแตก จากนั้นเทไข่จากถ้วยลงในกระทะที่น้ำมันมากและร้อนจัด ไข่ขาวจะพองและขยายตัวมากกว่าปกติ ทำให้ดูน่ากินกว่าการทอดธรรมดา

อยากรู้จริงไม่จริง ต้องพิสูจน์!

ที่มา: ทอดไข่ดาวให้ฟองใหญ่น่ากิน เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2553

Thursday, October 14, 2010

ทัพโขนสะกดสายตาชาวอิเหนา

เสียงปีพาทย์เริ่มโหมโรงประสานกับเสียงระนาดเป็นจังหวะพร้อมบรรเลงเพลงเพื่อ ขับกล่อมผู้ชมชาวอินโดนีเซียในการแสดงโชว์โขนราม เกียรติ์ ตอน สีดาหาย ถวายผล ยกรบ ของกรมศิลปากร ณ โรงละคร Gedung Kesenian กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยการจัดงานครั้งนี้ถือเป็นการกระชับสายสัมพันธ์และส่งเสริมการทูตทาง วัฒนธรรม โดยใช้การแสดงเป็นสื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศได้รู้จักและเกิดความ ผูกพัน ขณะเดียวกันจะได้รับการพัฒนาในด้านต่าง ๆโดยใช้มิติทางวัฒนธรรมเชื่อมระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

หากเอ่ยถึงความสัมพันธ์ทางด้านสังคมและวัฒนธรรมของสองประเทศ ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์มาอย่างช้านาน โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับชวา และมีความกระชับแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในสมัยราชอาณาจักรสยาม เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยือน ชวาถึง 3 ครั้ง ใน พ.ศ. 2413, 2439 และ 2444 โดยมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นทางด้านวรรณคดี อาหาร ภาษา เครื่องแต่งกาย หรือเครื่องดนตรี

นอกจากการนำโขนมาแสดงฉลองความสัมพันธ์ครั้งนี้แล้ว ยังได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมการบูรณะศาลาไทย 2 หลังบริเวณน้ำตกดาโก (Dago) เมืองบันดุง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์การสถาปนาความสัมพันธ์ทาง การทูต เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว เนื่องจากศาลาไทยทั้งสองหลังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจารึกอักษรพระปรมาภิไธยย่อ จปร. เมื่อคราวเสด็จเยือนชวา ในปี 2439 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเยือนชวาเมื่อปี 2472 ก็ทรงจารึกพระปรมาภิไธย ปปร.ไว้เช่นกัน จากนั้นรัฐบาลจึงให้สร้างศาลาไทยครอบศิลาจารึกดังกล่าวไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่แสดงถึงสัมพันธไมตรีอันดีของสองชาติ

การจัดงานในครั้งนี้ก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วอย่างงดงาม เพราะเมื่อแสงไฟภายในโรงละครดับลง เหลือเพียงแสงไฟบนเวที ผู้ชมต่างเงียบงันเหมือนต้องมนต์สะกด สายตาทุกคู่จับจ้องมองการแสดงลีลาร่ายรำอันอ่อนช้อย ผสมผสานกับเครื่องแต่งกายที่สะท้อนความวิจิตรส่งประกายเจิดจ้าระยิบระยับอัน งดงามด้วยความชื่นชมในท่วงท่าอันสง่างามและคงความเป็นเอกลักษณ์แบบตัวละคร ของไทยได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะฉากการต่อตัวเพื่อยกรบของพระเอกและตัวร้ายในท้องเรื่องที่สร้างความ สนุกสนานและฝากความประทับใจไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ระยะเวลาของการแสดงเพียง 1 ชั่ว โมงผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ได้สะกดผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวอินโดนีเซียให้อยู่ กับที่ เมื่อการแสดงสิ้นสุดลงผู้ชมพร้อมใจกันปรบมือให้อย่างกึกก้องกระหึ่มทั่วทั้ง โรงละคร

อาจารย์ปกรณ์ พรพิสุทธิ์ นาฏศิลปินอาวุโส ในฐานะผู้กำกับการแสดงโขนรามเกียรติ์ อธิบายว่า เราใช้เวลาการเตรียมตัวและซักซ้อมการแสดงเป็นเวลาเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น และการเดินทางมาเยือนประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมครั้งนี้เป็นการฉลองสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและอิน โดฯที่มีมาอย่างยาวนาน และสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย เพื่อนำมาเปิดการแสดงในครั้งนี้ก็คงจะเป็นการแสดงอะไรไม่ได้นอกจากการแสดง โขน เพราะถือเป็นมหรสพชั้นสูง แม้ประเทศอินโดนีเซียจะมีการแสดงรามายะณะแบบชวา แต่รูปแบบก็แตกต่างกัน

“การแสดงโขนถือเป็นศิลปะชั้นสูงที่ใช้เป็นการแสดงเพื่อเชิดหน้าชูตาระดับ ประเทศ และก็เชื่อมั่นว่าชาวอินโดฯจะต้องชื่นชมศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์แบบไทย ๆ ที่มีรูปแบบไม่เหมือนชาติใดอย่างแน่นอน และเมื่อคณะนักแสดงเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้วชาวอินโดนีเซียจะต้องได้รับ ชมการแสดงที่ดีที่สุดของประเทศไทย และได้รับการกล่าวขวัญอย่างล้นหลาม” อ.ปกรณ์ กล่าวและว่า ณ วันนี้การแสดงผ่านไปแล้วและมีเสียงตอบรับดีมาก ชาวอินโดนีเซียและชาวต่างชาติต่างชื่นชม โดยเฉพาะโครงสร้างการรำที่งดงาม ซึ่งก็ได้สร้างความอบอุ่นให้แก่ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในอินโดนีเซียอีกด้วย

นายสุทธิ สุทธิรักษ์ นาฏศิลปิน (ระดับปฏิบัติงาน) สำนักการสังคีต กรมศิลปากร หรือ พี่แบงค์ ผู้แสดงเป็นทศกัณฐ์ เล่าว่า รู้สึกดีใจและประทับใจที่ได้มาเปิดการแสดงที่นี่ และยังทราบอีกว่าการมาเปิดแสดงโขนครั้งนี้ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินโดนีเซีย ในโอกาสครบ 60 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งพวกเรายกทัพโขนมาเปิดการแสดงอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการพากย์ การร้อง และการเจรจา โดยการแสดงครั้งนี้มีความพิเศษคือ ผู้ชมชาวอินโดนีเซียและต่างชาติ จะได้รับชมการแสดงโขนของคณะนักแสดงจากกรมศิลปากรอย่างแท้จริง พร้อมสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของความสวยงามอย่างไทย และพวกเราก็หายเหนื่อยเมื่อพบว่า ผู้ชมการแสดงต่างพากันชื่นชมและประทับใจอย่างล้นหลาม

Mr.Hendrikus DWI Riyawto ผู้ชมชาวอินโดนีเซีย บอกว่า การแสดงโขนถือเป็นการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ในความเป็นไทยได้อย่างงดงาม การดำเนินเรื่องเข้าใจง่ายสามารถติดตามได้ไม่ยากทำให้รู้สึกประทับใจ เพราะหากเปรียบเทียบการแสดงโชว์รามายะณะของอินโดฯถือว่ามีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องเครื่องแต่งกายของนักแสดงมีความสวยงามและดึงดูดผู้คนได้ดี เยี่ยม และหากมีโอกาสก็อยากให้มีการจัดแสดงแบบนี้อีก เพราะเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จะได้เรียน รู้เรื่องวัฒนธรรมของสองประเทศว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในการแสดงโชว์โขนเรื่องรามเกียรติ์ที่ทรงคุณ ค่าของไทย นอกจากจะเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยให้ชาวอินโดนีเซียได้รู้จักอย่างกว้างขวาง แล้ว ยังถือเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชนต่อประชาชน เพื่อเดินหน้าใช้มิติด้านวัฒนธรรมทำให้คนสองชาติผูกพันแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น.

อุทิตา รัตนภักดี

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2553

สำนวน poke/stick your nose into something

poke/stick your nose into something เป็นสำนวน หรือ เป็นแสลง หมายถึง การแสดงออกมากเกินไปในเรื่อง (บางอย่าง) ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณ to show too much interest in a situation that does not involve you

ตัวอย่าง Danai, you must stop poking your nose in our affairs = ดนัยคุณควรหยุดสนใจในเรื่องของพวกเราได้แล้ว

นอกจากนั้น poke/stick your nose into something แสลงสำนวนนี้ ยังหมายถึง การพยายามค้นหาบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณ to try to discover things that do not involve you

ลองดูตัวอย่างจากภาพยนต์เรื่อง Winter's Bone (2010)

She knows her father is involved in the local drug trade and manufactures crystal meth but anywhere she goes the message is the same: stay out of it and stop poking your nose in other people's business. เธอรู้ว่า พ่อของเธอเกี่ยวข้องกับการขาย และ การผลิต ยาเสพติดในท้องที่ แต่ทุกที่ที่เธอไป เธอได้รับคำเตือนอย่างเดียวกัน นั่นคือ อย่างเข้ามายุ่งเรื่องนี้ (stay out of it) และ หยุดการพยายามค้นหาในเรื่องของคนอื่น

คำว่า meth ในตัวอย่างประโยคข้างบนหมายถึง methadone ซึ่งเป็นยาเสพติด สารเสพย์ติด คล้ายมอร์ฟีนช่วยระงับปวดได้

ไทเกอร์

comfy: สุขสบาย อุ่นหนาฝาคั่ง

comfy (adj) เป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า
1. สุขสบาย
2. อุ่นหนาฝาคั่ง

I am not comfy. ฉันรู้สึกไม่สุขสบายเอาซะเลย

คำ comfy นี้จำง่าย เพราะเป็นการย่อคำ comfortable นั่นเอง

เจมส์ชอบที่จะตอนบนเตียงที่สุขสบายของเขา James loves to sleep on his comfy bed.

เก้าอี้โซฟาตัวโปรด a comfy sofa
เสื้อผ้าแบบใส่สบาย comfy clothes
รองเท้าใส่สบาย comfy shoes
แบบเสื้อผ้าที่ใส่สบาย comfy clothing line
โซฟาแบบยาวที่นอนได้อย่างสุขสบาย comfy couch
ยี่ห้อสินค้าที่ใช้แล้วสุขสบาย comfy brand

ถ้าเป็นขั้นกว่า com·fi·er ขั้นสูงสุด com·fi·est
รู้สึกรำคาญว่าเตียงนอนให้ความสุขสบายในตอนเช้ามากกว่าตอนหัวค่ำ Its annoying that my bed is more comfier in the morning than at night.

เธอนั่งเก้าอี้ในครัวที่สุขสบายกว่า She had sat on comfier kitchen chairs

หมอนที่สุขสบายที่สุด The comfiest pillows
บริษัทผลิตรองเท้าบูืทที่สบายที่สุดในโลก The company produces the comfiest boots in the world

คำที่มาความหมายเหมือนกัน Synonyms: comfortable, cozy, cushy, easy, snug, soft

ไทเกอร์

KIA: การถูกฆ่าตายโดยการถูกข้าศึกโจมตี

การถูกฆ่าตายโดยการถูกข้าศึกโจมตี ตรงกับภาษาอังกฤษ Killed in action (KIA) ใช้ในการทหาร โดยอธิบายการตายโดยฝ่ายตนเองที่ถูกโจมตีโดยศัตรู (the deaths of their own forces at the hands of hostile forces)

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (The US Department of Defense) กล่าวว่า การประกาศ KIA นั้นไม่จำเป็นต้องยิงต่อสู้ แต่ถูกฆ่าโดยการจู่โจมของฝ่ายตรงข้าม (those declared KIA need not have fired their weapons but have been killed due to hostile attack) ทั้งนี้ KIAs จะต้องไม่ใช่มาจากอุบัติเหตุเช่นรถชน KIAs do not come from incidents such as accidental vehicle crashes และต้องไม่ใช่กรณีที่ไม่เกี่ยวกับการถูกโจมตี ("non-hostile" events) หรือไม่เกี่ยวกับการก่อการร้าย (terrorism)

KIA อาจเป็นการโจมตีซึ่งหน้า KIA can be applied both to front-line combat troops และอาจเป็นทางน้ำทางเรือ and to naval, ทางอากาศ air, และหน่วยทหารสนับสนุน and support troops.

สรุป KIA เป็นคำที่ใช้กล่าวถึงบุคคลที่ตายจากการถูกโจมตีในสนามรบ Further, KIA denotes one to have been killed in action on the battlefield

การไ้ด้รับบาดเจ็บแล้วตายในภายหลัง จะใช้คำว่า died of wounds (DOW) เกี่ยวข้องกับการที่ใครบางคนสามารถมีชีวิตรอดจนถึงมือหมอ ถึงหน่วยแพทย์ ถึงโรงพยาบาลแล้วตายภายหลัง died of wounds (DOW) relates to someone who survived to reach a medical treatment facility.

องค์กรนาโต้จะใช้คำว่า "died of wounds received in action" (DWRIA) แทนคำ DOW ซึ่งเป็นการแสดงความชัดเจนว่าการตายเกิดจากบาดแผลที่ได้รับจากการถูกฆ่าศึกโจมตี The North Atlantic Treaty Organization (NATO) also uses DWRIA, rather than DOW, for "died of wounds received in action." อย่างไรก็ตาม ในแง่ประวัติศาสตร์ นักการทหารและนักประวัติศาสตร์จะใช้คำ DOW มากกว่า However, historically, militaries and historians have used the former acronym.

Wednesday, October 13, 2010

บาปกรรม: สลด!ม.6รีดลูกเองตกเลือดหวิดดับ

นักเรียน ม.6 ซื้อยาทำแท้งจากเว็บ หวังรีดลูก 8 เดือน เคราะห์ร้ายตกเลือดปางตาย ตำรวจแจ้งข้อหา จ่อขยายผลหาต้อตอ

เมื่อ เวลา 13.00 น. วันที่ 13 ต.ค.2553 พ.ต.ท.พีชญะ วิริยะสัมมา สวป.สน.สุทธิสาร รับแจ้งเหตุเด็กมัธยมทำแท้งในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในย่านห้วยขาง กรุงเทพฯ จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุภายในห้องพักชั้น 2 พบเยาวชนหญิงชาย อายุ 17 ปีเท่ากัน ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 โรงเรียนดังระดับประเทศ โดยนักเรียนหญิงนอนหมดสติ อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ถูกเลือดย้อมกลายเป็นสีแดงฉาน ใกล้กันพบภาพสุดสลด เป็นซากทารกเพศหญิงอายุในครรภ์ 8 เดือน ถูกยัดใส่ถุงพลาสติกสีเขียวเตรียมนำไปทิ้ง โดยมีนักเรียนชายซึ่งเป็นแฟนคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

จากการสอบปากคำนักเรียนชาย ให้การว่า ตนกับหญิงสาวได้คบหาเป็นแฟนกันได้สักระยะหนึ่ง โดยแฟนสาวจะแวะมาที่ห้องพักอยู่บ่อยครั้งจนได้เสียกัน แต่แฟนสาวได้ตั้งครรภ์กับแฟนเก่ามาก่อนหน้านี้ ซึ่งตนพยายามบอกให้แฟนสาวบอกพ่อแม่ แต่แฟนสาวไม่กล้าพูดความจริง จึงตัดสินใจแก้ปัญหากันเอง

หนุ่มมัธยมปลายรายนี้ กล่าวต่อว่า ตนกับแฟนสาวได้เปิดดูเว็บไซต์ และเห็นโฆษณายาทำแท้งไซโตเทค จึงตัดสินใจโทรสั่งซื้อยาทาง เว็บไซต์ cytotec 1 แผง ในราคา 5,300 บาท แต่ทางเว็บไซต์ลดให้เหลือ 5,000 บาท โดยยาได้ถูกส่งมาทางไปรษณีย์เมื่อ 2 วันก่อน และมีคำแนะนำให้สอดครั้งละ 4 เม็ด ทิ้งระยะห่างกัน 2 ชั่วโมง ซึ่งครั้งสุดท้ายให้สอดเข้าไป 2 เม็ด พอแฟนสาวตนปฏิบัติตาม ทำให้เด็กหลุดออกมาในห้องน้ำ จากนั้นแฟนสาวได้หมดสติไป ด้วยความตกใจจึงรีบโทรแจ้งกับทางคอนโด เพื่อช่วยติดต่อรถพยาบาลให้ด้วย

ด้าน พ.ต.ท.พีชญะ กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่า มีเด็กนักเรียนหญิงมีอาการตกเลือดจากการทำแท้ง ต่อมาทางมูลนิธิร่วมกตัญญูได้เข้าไปช่วยเหลือและได้พบศพเด็กทารกในห้องคน เจ็บ จึงรีบโทรฯ แจ้งตำรวจ ก่อนรีบนำตัวเด็กนักเรียนหญิงไปส่งโรงพยาบาล โดยขณะนี้นักเรียนหญิงอาการปลอดภัยแล้วและพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ราชวิถี ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้ปกครองของเด็กทั้งสองคนรับทราบแล้ว โดยพนักงานสอบสวนจะได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการกับเยาวชนทั้งสองตามขั้นตอนกฎหมายและจะได้ขยายผลกวาดล้างจับ กุมผู้ลักลอบขายยาทำแท้งทางเว็บไซต์ให้เด็กนักเรียนต่อไป

ด้าน พญ.วารุณี จินารัตน์ ผอ.รพ.ราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงอาการของนักเรียนหญิง ว่า คนไข้เลือดเสียตั้งแต่ก่อนถูกนำส่ง ซึ่งหลังได้รับตัวคนไข้แล้ว ทางแพทย์ได้รีบผ่าตัดนำรกที่ค้างในมดลูกออก จนขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว อยู่ระหว่างการพักฟื้นรอดูอาการอยู่ห้องธรรมดาแล้ว

รายงานเพิ่มเติม แจ้งว่า ก่อนหน้านี้ องค์การอาหารและยาได้มีคำเตือนเกี่ยวกับยาไซโตเทค ที่อวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นยาสอดขับเลือด ทำแท้ง ว่าเป็นยาปลอมที่ลักลอบขายโดยผิดกฎหมายและมีการให้ข้อมูลปลอม โดยยาไซโตเท็ค จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ที่ให้ใช้เฉพาะในโรงพยาบาล ขึ้นทะเบียนตำรับ-ยากับทาง อย. เลขที่ 1C 38/46 มีลักษณะเป็นเม็ดสีขาวรูปหกเหลี่ยม มีขีดแบ่งครึ่งทั้งสองข้าง ใช้รับประทานเพื่อรักษาแผลของลำไส้เล็กส่วนต้นและกระเพาะอาหาร มีข้อห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่มีแผนการตั้งครรภ์ เนื่องจากจะเพิ่มความแรงของการบีบตัวของมดลูกในเวลามีครรภ์ ซึ่งอาจทำให้การปฏิสนธิในครรภ์ถูกขับออกเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด

โดยช่วงปี 2552 ที่ผ่านมา เกิดกรณีนักศึกษาสาวซื้อยาทำแท้งไซโตเทคมาใช้ และตกเลือดเสียชีวิตใน จ.เชียงใหม่ ต่อมา ตำรวจจากกองบังคับการกองปราบปราม ได้ออกกวาดล้างจับกุมผู้จำหน่ายรวมถึงเว็บไซต์ขายยาทำแท้งดังกล่าว กระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ยกแก๊ง และเป็นที่น่าตกตะลึง เมื่อพบว่ามีนายแพทย์คนหนึ่งร่วมขบวนการ หลังจากนั้น ขบวนการขายยาทำแท้งทางอินเทอร์เน็ตได้กบดานเงียบหายระยะเวลาหนึ่ง กระทั่งมีเหตุการณ์สลดดังกล่าวเกิดขึ้นอีกครั้ง เดชะบุญที่เหยื่อไม่เสียชีวิต

ด้านพ.ต.ต.แดนชัย ทูลออง พงส.สบ 2 เจ้าของคดีเปิดเผยว่าเบื้องต้นยังไม่มีการแจ้งข้อหาใครเพราะต้องทำการสอบปาก คำ นร.สาวอย่างละเอียดก่อน ซึ่งขณะนี้นร.สาวยังอยู่ในอาการช็อกจากการตกเลือดพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอ ซียู รพ.ราชวิถี ส่วนตัวยาขับที่พบนั้นมีชื่อว่า Misoprost-200 ทราบว่าทางนร.สาวได้สั่งซื้อมาจากทางอินเทอร์เน็ตโดยมีการส่งมาทางไปรษณีย์ ระบุหน้าซองส่งมาจากคนชื่อกอล์ฟ ร้านพีเคสมุนไพร ซึ่งจะต้องส่งแผงยาที่พบไปให้ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบว่าใช่ ยาขับเด็กหรือไม่ รวมถึงจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนหาที่มาของยาดังกล่าวต่อไป ส่วนแฟนหนุ่มของผู้บาดเจ็บนั้นทราบว่าเป็นนร.ชายชั้นม.5 รร.เดียวกันก็จะต้องทำการสอบปากคำด้วยว่ามีส่วนรู้เห็นในการทำแท้งเด็กหรือ ไม่ หากผมว่ามีส่วนร่วมรู้เห็นก็จะถูกดำเนินคดีในฐานความผิดดังกล่าวด้วย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6000 บาท

===
สังคมเสื่อมอย่างหนัก บาปกรรม บาปกรรม ควรป้องกันตั้งแต่แรก การทำแท้ง เท่ากับ การฆ่าคน อุทาหรณ์ ขออย่าได้ทำ กรรมจะติดไปหลายภพหลายชาติ .. ขอให้วิญญาญเด็กไปสู่สุขคติเถิด

ขอใครสักคน: เทพบุตรมายา เทพธิดาจำแลง

เพลง ประกอบละคร เทพบุตรมายา เทพธิดาจำแลง
ฟังเพลงนี้ใน ละคร เทพบุตรมายา เทพธิดาจำแลง ในตอนที่ พระเอกรอง กับ นางเอกรอง งอนกัน ฟังแล้วต้องบอกชอบเพลงนี้ (เนื้อทำนองของเพลงนี้มันเศร้า ๆ ลงกับเนื้อหา ของ ละคร เทพบุตรมายา เทพธิดาจำแลง พอดี)

เพลง : ขอใครสักคน
ศิลปิน : ลีโอพุฒ

อยากจะมีใคร คอยห่วงใยดูแลกัน ในวันที่ฉันเหงาใจ
อยากจะมีใคร ที่จับมือกันเดินไป ในคืนที่ฟ้ามืดมน
แต่มันเหมือนทั้งโลกว่างเปล่า
ไม่มีคนเข้าใจ เหมือนไม่เคยเจอใครซักคน
อาจจะเคยมี คนที่เคยมองตากัน
แต่ก็ไม่เคยซึ้งใจ
อาจจะเคยมี คนที่เดินเคียงกันไป
แต่ก็ดูเหมือนไม่มี
ก็ชีวิตฉันยังว่างเปล่า ไม่มีคนเข้าใจ
ฉันต้องการแค่ใครสักคน

**ใครสักคนที่เป็นทุกอย่าง
ให้ความหวัง และคอยห่วงใยทุกวัน
ใครที่คอยจะอยู่เคียงข้างกัน
ที่จะพร้อม ให้ความผูกพันจริงใจ
ใครสักคนที่เป็นคนพิเศษ
ช่วยให้เหงาที่มีได้จางหายไป
ช่วยเป็นแสง สว่างในหัวใจ
อยากจะขอ แค่ใครสักคน ที่รักจริง
( ซ้ำ * , ** )

ที่มา: เพลงประกอบ ละคร เทพบุตรมายา เทพธิดาจำแลง

Monday, October 11, 2010

อัดสหรัฐฯ ทำเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า

อัดสหรัฐฯ ทำเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า

พูดอย่างแดกดัน อย่างเยาะเย้ยกระทบกระเทียบ กระแทกแดกดัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ นายบารัค โอบาม่า มีปฏิบัติการที่แตกต่างในใจ คือ การฆ่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ Ironically the winner of this year’s Nobel Price for the Peace, Barack Obama also had a totally different mission in mind; killing the US dollar. แน่นอนว่า นายโอบาม่า และทีมงานด้านการเงินจะพูดบ่อย ๆ ว่า "พวกเรามีนโยบายให้เงินดอลล่าร์แข็ง" Of course, Obama and his financial ministers will always say: “America has a strong dollar policy.” อย่า่งไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเงินยูโร ซึ่งมีเสถียรภาพมากกว่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนค่า However measured in Euros - a more stable ruler than the ever-weakening dollar -, ค่าจีดีพีต่อหัวของคนสหรัฐฯลดลงร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 U.S. real per capita GDP is down 25% since 2000, ขณะที่จีดีพีของคนเยอรมนีเพิ่มร้อยละ 4 ซึ่งดีกว่าของสหรัฐ while Germany's is up 4% and tops that of the U.S.

The questions are: Is expanding the Fed’s balance sheet by $1.4 trillion a strong dollar policy? Is a $15 trillion national debt a strong dollar policy? How about record budget and trade deficits – are those things that make up a strong dollar? Certainly not, that’s why last night, the dollar index - which tracks the dollar versus a basket of six major currencies - fell to a 14-month low of 75.78.

Mid-term elections are about a year away. And Obama and the congressional Democrats are looking for a way to hold on to their grand majority in 2010. Democrats recognize the tide is turning against them. A “secret job plan” has been developed to save Election Day. The Democrats want to keep the dollar cheap to get back manufacturing jobs from abroad. The reasoning is: An employed electorate is a happy electorate. MIT’s economic professor Simon Johnson explains why the buck will continue to fall and drown.

“Think what a weaker dollar does for the industrial heartland, where so many congressional seats will be in play and where today it’s easier to export or compete against imports because the same dollar costs convert into fewer Euros, yen, or renminbi (this is what a “weaker” dollar means—foreigners can more easily afford our goods and their stuff is more expensive to us). If the dollar stays weak or declines further, our car companies, machinery makers, and turbine blade manufacturers will soon be rehiring and we’ll finally get some job growth as part of our sputtering economic recovery.”

This plan will not work. If history is any indicator, it will fail miserably. David Malpass of Encima Global explains in the WSJ why this plan is a disaster in waiting:

“Some weak-dollar advocates believe that American workers will eventually get cheap enough in foreign-currency terms to win manufacturing jobs back. In practice, however, capital outflows overwhelm the trade flows, causing more job losses than cheap real wages create. This was the lesson of the British malaise, the Carter malaise, the Mexican malaise of the 1990s, Yeltsin's Russian malaise through 1999 and the rest. No countries have devalued their way into prosperity, while many—Hong Kong, China, Australia today—have used stable money to invite capital and jobs.

The more the dollar devalued against the yen in the 1970s and '80s, the more Japan gained share in valued-added manufacturing, using the capital from weak-currency countries to increase productivity. China is doing the same now. It watches in chagrin as the U.S. pleads with it to strengthen the Yuan, adding productivity fast with the dollars rushing its way in search of currency stability.”

If a cheap dollar won’t create jobs and the dollar lose buying power, who will benefit? The bankers on Wall Street and America’s large corporations overseas branches, of course.

With access to the Fed’s discount window, the zombie banks make a killing off the new dollar carry trade. And large corporations borrow cheaply to expand overseas operations.

If the banks and corporations are happy, everyone should be happy too? Wrong. Again David Malpass explains why all are worse off due to Obama’s cheap dollar policy.

“If stocks double but the dollar loses half its value, who beyond Wall Street are the winners and losers? There's been a clear demonstration this decade. The S&P nearly doubled from 2003 through 2007. Those who borrowed to buy won big-time. Rich people got richer, seeing their equity bottom line double. At the same time, the dollar's value was cut nearly in half versus the euro and other stable measures. Capital fled, undercutting job growth. Rent, gasoline and food prices rose more than wages.

Equity gains provide cold comfort when currencies crash. From the euro perspective, the S&P peaked at 1700 in 2000, finally retained 1100 in the 2007 bubble, fell below 600 in March and now stands at 700. With most of the market capitalization of U.S. stocks held by Americans, the dollar devaluation has caused a massive decline in the U.S. share of global wealth.”

This is pretty shocking news, as mentioned in the opening words: ‘In a stable currency, US GDP is down 25% over the past nine years.’ It was thought that the US had an era of prosperity squeezed in between the dot COM and real estate busts. But that is an illusion.

Source: http://www.nowpublic.com/world/nobel-peace-prize-winner-kills-us-dollar October 10, 2009

พวกอเมริกันสับปรับ เชื่อถือไม่ได้ เงินของมันยังเสกให้สูงต่ำได้ ต่อไปใครจะเชื่อถือ bastard america

นักเศรษฐศาสตร์ ออกโรงอัดสหรัฐฯรวมถึงนโยบายที่รัฐบาลสหรัฐฯได้ออกมาว่า ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐสหรัฐฯแต่กลับสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้ ส่วนต่างๆ ของโลก...

นายโจเซฟ สติกลิทช์ นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล ให้ความเห็นว่า นโยบายต่างๆที่รัฐบาลสหรัฐฯออกมา ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเลย ตรงกันข้ามยันสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับส่วนต่างๆของโลก ขณะที่ นายแบรนดัน บราวน์ นักเศรษฐศาสตร์ของ มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ซีเคียวริตีส์ อินเตอร์เนชั่นแนล โจมตี IMF ว่า ล้มเหลวในการดำเนินภารกิจหลักเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการเงินและไม่พยายามสกัด กั้นการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯพยายามทำให้เงินดอลลาร์ของตนอ่อนค่าลงด้วยการพิมพ์ เงินดอลลาร์ลงมาในตลาด

นายสติกลิทช์ กล่าวด้วยว่า ในสภาวะแวดล้อมที่กระแสเงินร้อนกำลังไหลเข้าสู่ตลาดทั้งในอินเดีย ไทย และเกาหลีใต้ นั้นเป็นที่ชัดเจนว่า ประเทศต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถะปล่อยให้สกุลเงินของเราแข็งค่าขึ้นจนทำลายยอด การส่งออกได้ ส่วนว่าแต่ละประเทศจะมีนโยบายชะลอการแข็งค่าของเงินได้อย่างไร ต้องติดตามดูกันเอง

Sunday, October 10, 2010

กินโยเกิร์ต ช่วยเคลือบ รักษาฟัน

คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฟูกูโอกะ กับมหาวิทยาลัยโตเกียวของญี่ปุ่น ได้มีการศึกษาวิจัย พบว่า โยเกิร์ตช่วยป้องกันฟันผุได้ ผู้ที่กินโยเกิร์ตอาทิตย์ละ 4 หน จะป้องกันได้มากถึงร้อยละ 25

ผลงานที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ "ทันตกรรม" ของสหรัฐฯ รายงานว่า ถึงแม้ยังไม่ทราบเหตุผล แต่ก็เชื่อว่า โปรตีนที่อยู่ในโยเกิร์ตเป็นประโยชน์ โดยการไปเกาะยึดเคลือบฟัน ช่วยทำให้ช่วยป้องกันฤทธิ์กัดของกรดในปากเอาไว้

คณะนักวิจัย ยังให้ความเห็นด้วยว่า การเสียเงินซื้อโยเกิร์ตมากินนั้น ย่อมถูกกว่าค่าอุดฟันแน่นอน

===
ค่าอุดฟันที่ญี่ปุ่นคงแพงมากนะเจ้าคะ

แพ้ท้องแท้งลูกยาก ค้นพบคุณประโยชน์ของเกิดอาการโอ้กอ้าก

การศึกษาเรื่องใหม่พบว่า อาการแพ้ท้องอย่างหนักตอนตั้งท้องใหม่ๆ อาจจะเป็นลางดี แสดงว่าการตั้งครรภ์สมบูรณ์ดี และไม่ค่อยจะแท้งลูก

ดร.รอน นา แอล ฉั่น มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ของสหรัฐฯ ผู้เรียบเรียงผลการศึกษา กล่าวว่า "อย่างไรก็ดี สตรีที่ไม่มีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ตอนตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่มีท้อง มีลูกได้สำเร็จจะต้องแพ้ท้องกันไปหมด เพราะการมีท้องอาจจะแตกต่างกันไปได้ตามแต่ละท้อง แม้ว่าจะเป็นแม่คนเดียวกัน"

ดร.รอนนากับคณะตั้งข้อสังเกต ในรายงานผลการศึกษา ซึ่งเผยแพร่ใน วารสารวิชาการ "การเจริญพันธุ์ของมนุษย์" ต่อไปว่า "สตรีมากระหว่างร้อยละ 50-90 จะมีอาการแพ้ท้องในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก การศึกษาเมื่อก่อนหน้าได้พบว่า ผู้ที่มีอาการนี้จะไม่ค่อยแท้งลูก

หมอ รอนนากับคณะได้ศึกษากับหญิงมีครรภ์ชาวอเมริกันไม่ต่ำกว่า 2,400 ราย ได้พบว่า สตรีมีครรภ์ร้อยละ 89 จะมีอาการแพ้น้อยบ้างมากบ้าง ในจำนวนนี้จะมีทั้งคลื่นไส้และอาเจียนร้อยละ 53 และมีอยู่ร้อยละ 11 ที่เกิดแท้งเสียก่อนจะครบกำหนด โดยที่มารดาผู้ที่ไม่เคยมีอาการแพ้ท้องเลยจะมีโอกาสแท้งลูกมากกว่าผู้ที่เคย มีอาการ 3.2 เท่า

ที่มา: แพ้ท้องแท้งลูกยาก ค้นพบคุณประโยชน์ของเกิดอาการโอ้กอ้าก ไทยรัฐออนไลน์ 11 ตุลาคม 2553

Rest room/Toilet/Lavatory/Loo/John : ห้องน้ำ

คำ่ว่า ห้องน้ำ(noun)ในภาษาอังกฤษ มี
1. toilet
2. lavatory
3. john
4. latrine
5. loo
6. water closet (WC)

ลักษณะที่แตกต่างกันของคำเหล่านี้ อาจอธิบายได้ดังนี้
1. toilet จริง ๆ toilet เป็นภาชนะรูปร่างคล้ายชาม ใช้สำหรับการปลดปล่อยปัสสาวะ(ฉี่) หรือ อุจจาระ (solid waste) หรือ อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์การใช้งานคล้ายกัน
อย่าลืมกดชักโครก = Don't forget to flush the toilet.
ขอโืทษครับ หนูจอนสัน ผมขอใช้ห้องน้ำหน่อยครับ = Excuse me, Miss Johnson, I need/want (to go to) the toilet.
ที่นั่งชักโครกแตก และห้องน้ำก็ไม่มีกระดาษ = The toilet seat was cracked and there was no paper.
เขานั่งอยู่บนชักโครกตอนที่มือถือดัง = I was on (= using) the toilet when the cell rang.

go to the toilet ไปห้องน้ำ
ห้องน้ำมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้การปลดปล่อยปัสสาวะ (urine) หรือ อุจจาระ (solid waste)จากร่างการมนุษย์ ไม่ใช่เป็นที่นินทาคนนะฮะ
นี่เป็นการเดินทางใช้เวลานาน เด็ก ๆ ถ้าต้องการไปห้องน้ำก็รีบทำซะนะ This is a long trip, boys, so if you want to go to the toilet, do so now.

ในอเมริกา US มีการใช้คำ bathroom หมายถึงห้องที่มี toilet (โถปัสสาวะ/ชักโครก) อยู่ข้างใน

Toilets จึงกล่าวได้ว่าเป็นห้องหรือ อาคารเล็ก ๆ ในที่สาธารณะ ที่ภายในมีห้องต่าง ๆ และมีอุปกรณ์โถปัสสาวะ/ชักโครก อยู่ติดตั้งอยู่หลายจุด

down the toilet (ในอังกฤษ UK เรียก down the pan):
ของที่หล่นลงไปใน toilet (โถปัสสาวะ/ชักโครก) ของนั้นก็จะใช้ไม่ได้ (wasted) หรือ เสีย (spoiled)
หลังจากข่าวอื้อฉาว หน้าที่การงานของดาราดังก็ดิ่งเหว = After the scandal, the superstar's career went down the toilet.

toilet water (noun) เป็นน้ำหอมอ่อนๆ = a weak perfume ประมาณ cologne
(a perfumed liquid lighter than cologne)

toilet-trained (adjective) = potty-trained = เป็นการฝึกเด็ก ๆ ในการใช้ห้องน้ำ บางทีก็เรียก pot-trained

toilet tissue (noun) หรือ toilet paper คือ กระดาษชำระนั่นเอง ใช้ทำความสะอาดในขณะที่ใช้ห้องน้ำ ถ้าเป็นม้วนยาว ๆ ก็เรียก toilet roll

toilet soap สบู่ในห้องน้ำที่มีกลิ่นอ่อน ๆ เพื่อใช้ล้างทำความสะอาดร่างกาย

flush (something) down the toilet
การกำจัดของบางอย่างโดยการใส่เข้าไปในชักโครก แล้วก็กดชักโครก
เช่น A week-old itish puppy is safe and sound after being accidentally flushed down the toilet by his 4-year-old master. ลูกหมาอายุสัปดาห์เดียวโชคดีที่รอดหลังจากถูกกดลงชักโครกโดยเจ้านายอายุแค่ 4 ขวบ (เหลือเชื่อจริง ๆ ทั้งคนทั้งหมา)

ฺBKK Water said the underwear was flushed down a toilet and caused a blockage in a sewage pipe. เจ้าพนังงานด้านน้ำกล่าวว่า ชุดชั้นในถูกกดลงชักโครกแล้วทำให้เกิดการอุดตัดของระบบระบาย

เชื่อไหมครับ ว่าตอนนี้ คนญี่ปุ่น ใช้คำว่า toilet ในภาษาญี่ปุ่นแล้ว เพราะคนแก่ยังรู้เลย toilet ว่า คือ ห้องน้ำ

2. lavatory ห้องน้ำบนเครื่องบิน
3. john เป็นคำแสลงในอเมริกา เช่น She is waiting for her boyfriend as he goes to the john. เธอกำลังรอเพื่อนชายขณะที่เขาไปห้องน้ำ
4. latrine
5. loo เช่น กล่าวว่า ผมทำธุระอยู่ในห้องน้ำ I am in the loo. คำ loo น่าจะใช้ในชาวอังกฤษมากกว่าพวกอเมริกัน
6. water closet

.

Saturday, October 9, 2010

"พีจีดี เทคนิค" อีกความหวังผู้มีบุตรยาก

"ลูก” เปรียบเสมือนโซ่ทองคล้องใจและเป็นความหวังของครอบครัวที่บางครั้งคู่รักทั้ง หลายอยากจะมีลูกน้อยไว้อุ้มชูเพื่อเติมเต็มความสุข แต่บางครอบครัวก็ไม่สามารถมีบุตรได้ด้วยเหตุผลหลากหลายประการที่แตกต่างกัน ไป จึงเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ความสุขของครอบครัวขาดหายไป

พญ.สุนี ไมตรีสถิต สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ และเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลบางประกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล ได้อธิบาย ปัจจัยที่ทำให้บางครอบครัวมีบุตรยากว่า การที่เรามีความพร้อมอยากมีลูกมากเกินไป แต่ไม่มีสักทีก็สามารถทำให้ เกิดความเครียด หรือการที่เราเครียดกับสภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งความเครียดนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเข้าข่ายมีบุตรยาก อย่างไรก็ตามปัญหาที่ทำให้เรามีบุตรยากเกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง ซึ่งแบ่งเป็นปัญหาของฝ่ายชาย 40 เปอร์เซ็นต์ ฝ่ายหญิง 40 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์เป็นปัญหาร่วม

ปัญหาของฝ่ายชายอันดับแรกเกิดจากการที่ตัวอัณฑะมีการผลิตอสุจิ แต่ว่าท่อนำอสุจิอาจจะตีบหรือมีปัญหา 2.เกิดจากความเครียดในเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันทำให้ชายไทยทำงานหนักและมักเครียดบ่อยอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ อสุจิผลิตได้น้อยและไม่แข็งแรง และ 3.การใช้ความร้อนเป็นเวลานาน ๆ เช่น การเข้าอบเซาน่านาน ๆ โดยเฉพาะที่บริเวณอัณฑะตลอดเวลาอาจทำให้อสุจิผลิตได้ไม่ดี อสุจิไม่มีคุณภาพ ทำให้มีอสุจิน้อยไม่แข็งแรงหรืออสุจิไม่สามารถที่จะหลั่งมาในน้ำอสุจิได้

ส่วนปัญหาของฝ่ายหญิงได้แก่ ปัญหาจากช่องคลอดหรือปากมดลูกมีการอักเสบเรื้อรัง ทำให้ตัวอสุจิแหวกว่ายผ่านช่องคลอด ปากมดลูกไปที่ตัวมดลูกและต่อไปยังปีกมดลูกได้ยาก หรือกระทั่งว่าปัญหาในโพรง มดลูกที่มีการหนาตัวหรือบางตัวที่ผิดปกติ ถ้ามีการปฏิสนธิเกิด ขึ้นก็อาจจะฝังตัวได้ไม่ดี หรือกระทั่งปีกมดลูกมีการตีบตัน ไม่ว่าจะเกิดจากการอักเสบเรื้อรังหรือเกิดจากปัญหาผนังเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้น ผิดที่บริเวณปีกมดลูกและทำให้ปีกมดลูกหรือท่อนำไข่อุดตันก็อาจสร้างปัญหาทำ ให้อสุจิกับไข่ไม่สามารถไปเจอกันตรงปีกมดลูกได้ซึ่งปัญหานี้ก็ทำให้มีบุตร ยาก หรือกระทั่งว่ารังไข่อาจจะไม่มีการตกของไข่ เช่น เนื่องจากความอ้วน ความเครียด หรือฮอร์โมนที่บกพร่อง ทำให้ไข่ไม่สมบูรณ์ทำให้เรามีบุตรยาก

ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนวิธีการแก้ไข คือ ถ้าฝ่ายหญิงปกติแต่ฝ่ายชายมีปัญหา คืออสุจิไม่แข็งแรง จะใช้วิธีนำอสุจิมาปั่นล้าง และเลือกตัวดีใส่เข้าไปในโพรงมดลูก เราเรียกว่า “การฉีด น้ำเชื้อ” (IUI : Intrauterine Insemination)

ต่อมามี การทำกิฟท์ (GIFT : Gamete Intrafallopian Transfer) คือการกระตุ้นไข่ด้วยการนำไข่ของฝ่ายหญิงมาและนำตัวอสุจิจากน้ำอสุจิของฝ่าย ชายมาปฏิสนธิ ที่ปีกมดลูก ด้วยการส่องกล้อง เข้าไปที่ปีกมดลูก

ต่อมามี การทำซิฟท์ (ZIFT : Zygote IntraFollopain Transfer) คือ คล้าย ๆ กับการทำกิฟท์ แต่การทำซิฟท์จะนำไข่กับอสุจิมาปฏิสนธิกันที่หลอดแก้วจน กระทั่งตัวอ่อนอยู่ในช่วงไซโกต (ZYGOTE) หลังจากนั้นจะเจาะรูตรงใต้สะดือส่องกล้องและนำตัวอ่อนใส่ไปที่ปีกมดลูก แต่ทั้ง 2 วิธีนี้ค่อนข้างที่จะนานมาแล้วและกลายเป็นตำนาน ไปแล้ว

ปัจจุบันนี้เรามีเทคโนโลยีที่ดีกว่านั้นคือ การทำเด็กในหลอดแก้ว คือการที่เรากระตุ้นไข่ และนำไข่กับอสุจิมาปฏิสนธิในหลอดแก้วที่ห้องทดลอง จนกระทั่ง 5-6 วัน หลังจากที่ตัวอ่อนเกิดการปฏิสนธิกลายเป็นบลาสโตซิสต์ เรานำตัวอ่อนนั้นใส่เข้าไปที่โพรงมดลูกโดยการ ใส่เข้าไปทางช่องคลอด ผ่านปากมดลูกด้วยการใช้เครื่องมือเล็ก ๆ ดูดเอาตัวอ่อนใส่เข้า ไปผ่านทางปากมดลูกเข้าไปที่โพรงมดลูก และวิธีการทำอิ๊กซี่ (ICSI : Intracytoplasmic Sperm Injection) คือการ ฉีดหรือเจาะใส่ “ตัวอสุจิ” เข้าไปในเนื้อของเซลล์ “ไข่” คือวิธีการทำคล้ายกับวิธี IVF-ET แต่ต่างกันตรงที่เรากระตุ้นไข่กับอสุจิและเลือกอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุด แล้วยิงใส่เข้าไปที่ตัวไข่โดยตรงให้เกิดการปฏิสนธิ จนกระทั่งวันที่ 3-5 เรานำตัวอ่อนนั้นฉีดใส่เข้าไปที่โพรงมดลูก

ปัจจุบันนอกจากจะมีปัญหาเรื่องการมีบุตรยากแล้วบางครอบครัวยังมีปัญหาคุณแม่ แท้งอยู่บ่อยครั้ง หรือคุณแม่ บางคนอายุมากหรือปัญหาในเรื่องของโรคทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม ธาลัสซีเมีย ฯลฯ ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันเราสามารถแก้ปัญหาด้วยวิธี “พีจีดี เทคนิค” (Preimplantation Genetic Diagnosis) คือการกระตุ้นรังไข่ฝ่ายหญิงให้ผลิตไข่ที่สมบูรณ์ หลังจากนั้นจะนำไข่ที่ได้รับการกระตุ้นโดยการเจาะไข่ผ่านทางช่องคลอด แล้วนำมาทำการปฏิสนธิกับอสุจิของสามีภายนอกร่างกาย แล้วเลี้ยงตัวอ่อนในห้องทดลองจนตัวอ่อนเข้า สู่ระยะบลาสโตซิสต์ ซึ่งจะมีจำนวนเซลล์ ประมาณ 150 เซลล์ หลังจากนั้นจะทำการ ดูดเซลล์ของตัวอ่อนออกมาประมาณ 5-10 เซลล์เพื่อทำการตรวจความผิดปกติของโครโมโซมด้วยวิธีการที่เรียกว่า F.I.S.H.(Fluorescent InSitu Hybridization) ก็จะสามารถทราบความผิดปกติของตัวอ่อนได้ พอคัดเลือกตัวอ่อนที่สมบูรณ์ปราศจากโรคทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรมหรือธาลัสซีเมีย จึงใส่ตัวอ่อนที่สมบูรณ์กลับคืนสู่โพรงมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัว

หากคู่สมรสที่เพียรพยายามอยากมีบุตรมาแล้ว 1 ปี แต่ ยังไม่สามารถมีได้ อย่าเพิ่งท้อ เพราะเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์นี้ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถดูแลท่านได้ โดยสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ศูนย์ดูแลผู้ มีบุตรยาก โดยเฉพาะโรงพยาบาล บางประกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล แต่ทั้งหมดแล้วกำลังใจจากครอบครัว ความไม่เครียด และการดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมสร้างชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์ทั้งกายและใจ

ที่มา: การแพทย์ก้าวหน้า"พีจีดี เทคนิค" อีกความหวังผู้มีบุตรยาก เดลินิวส์ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2553

วิธีแก้ปัญหา ‘ผ้า’ เหม็นอับ

การซักเสื้อผ้าในวันฝนตก คุณพ่อบ้านแม่บ้าน อาจกังวลใจเรื่องของกลิ่นอับชื้นบนเสื้อผ้าที่ตามมา วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ อาสาคลายความกังวล ด้วยการนำวิธีซักผ้าที่ลดการเหม็นอับอย่างได้ผลมาฝาก

สิ่งที่ต้องเตรียมคือ ผงฟู หรือ เบคกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต นำมาใช้ซักเสื้อผ้าแทนผงซักฟอก โดยปริมาณการใช้ 3-4 ช้อนโต๊ะ ต่อการซักหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณเสื้อผ้าด้วย หากมีเสื้อผ้าจำนวนมากก็ให้เพิ่มปริมาณผงฟูตามความเหมาะสม หากเสื้อผ้ามีคราบสกปรกหรือรอยเปื้อนมาก ๆ ให้ใช้ผงซักฟอกธรรมดาควบคู่ไปด้วย

สำหรับการเลือกผงฟูมาซักผ้านั้น ขอย้ำให้เลือกที่เป็นผงฟูแท้ โดยดูจากหน้าซองที่เขียนว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต เนื่องจากปัจจุบันผงฟูบางยี่ห้อมีส่วนผสมของสารประกอบอื่นด้วย

ที่มา: วิธีแก้ปัญหา ‘ผ้า’ เหม็นอับ หน้าเกร็ดความรู้ เดลินิวส์ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2553

ลูกศิษย์ VS ลูกค้า: ข้อคิดจากภาพยนตร์ The Karate Kid (2010)

เรียนภาษาอังกฤษพร้อมได้ข้อคิดจาก หนังเรื่อง The Karate Kid (2010):
1. Mr. Han says "Kung Fu is for knowledge, defense. Not to make war but to create peace." การเรียน กังฟู เพื่อเป็นความรู้ เพื่อป้องกันตัว ไม่ใช่เพื่อทำร้ายทำสงครามกัน แต่เพื่อสร้างสันติ สร้างความสงบสุข

2.Dre กล่าวตอบว่า "That's not definitely what they are taught" นั่นแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาได้รับการสอนมา

3. คำตอบ Mr. Han states "no such thing as bad student. Only bad teacher, teacher say, student do.ไม่มีหรอกที่ว่า นักเรียนห่วย นักเรียนแย่ มีเพียงครูที่ไม่ได้เรื่อง ครูมีหน้าที่อบรมสั่งสอน นักเรียนมีหน้าที่ปฏิบัติ(ตามคำสอน)

คุณหล่ะคิดอย่างไร แต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ ขอให้อ่านข้อความข้างล่าง

===Gene ได้กล่าวไว้ในบอร์ดของ KarateCafe.com ===
เรื่องที่พูดต่อไป เป็นการกล่าวที่เกี่ยวข้องกันการเรียน(คาราเต้)

1.คุณ Kyoshi บ่อยครั้งได้แยกแยะความแตกต่างระหว่าง "นักเรียน(ลูกศิษย์)" กับ "ลูกค้า" เราลองมาพิจารณานิยามความหมายของคำทั้งสองนี้ - Kyoshi has often differentiated between a "student" and a "customer", so let's apply those definitions to the question at hand.

2.1 ก่อนอื่น คำ"นักเรียน" หมายถึง ใครสักคนมาที่ dojo 道場 (โรงเรียนหรือสถาบันหรือสถานที่ที่สอนศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น) มาด้วยตัวเอง มีแรงบันดาลใจ/ดลใจ/จูงใจ ที่จะมาเรียนรู้ให้มากที่สุด เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ซึ่งไม่ใช่แต่เรียนแง่มุมศิลปะการป้องกันตัวเท่านั้น แต่ยังเรียนประวัติศาสตร์ เรียนเกี่ยวกับจิตใจ และ การจดจำอีกด้วย First, a "student" is someone who comes to the dojo on his/her own, and is motivated to learn as much as he/she can, not just about the self-defense aspects of the arts, but the historical, spiritual and cognitive aspects, as well.

2.2. นักเรียนมองการฝึกฝนเป็นการลงทุนในระยะยาว ที่เกี่ยวข้องกับ เลือด เหงื่อ น้ำตา และเงินที่ใช้จ่ายไป The student views his/her training as a long-term investment of blood, sweat, tears, time and money, และในที่สุดจะได้พัฒนาตนเอง เป็นคนที่ดีขึ้นในการต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ and eventually developes into a much better person for their trouble.

2.3. นักเรียนยอมรับในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ราวกับเป็น กระดานที่ว่างเปล่า They accept their role as a "blank slate", ให้ความเคารพในสิ่งที่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอน เพื่อจะได้ปรับตัวได้ดีในการเรียนรู้ศิลปะวิทยาการ respect what the sensei says and adapt very well to the martial arts. :D

3.1. ในทางตรงกันข้าม "ลูกค้่า" หมายถึง ใครสักคนที่คาดหวังบริการจากเงินที่เขาได้จ่ายไป A "customer", on the other hand, is someone who expects a service for his money, โดยไม่คำนึงถึงความเป็นครูเป็นศิษย์ disregards the teacher-student model, ไม่ได้มองเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ศิลปะวิทยาการ มากไปกว่าการใช้สิ่งที่เรียนไปใช้ในลักษณะการเป็นนักเลงอันธพาล sees no greater purpose to the arts other than to perhaps beat people up และทั่วไปแล้วไม่ได้ให้ความเคารพต่อขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม หรือ ไม่มีมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่เกิดขึ้นระหว่างการศึกษาเล่าเรียน and generally has no respect for tradition, culture or the camaraderie that develops with the other practitioners. ร้ายกาจนัก :evil: บางครั้งลูกค้าก็กลายเป็นลูกศิษย์ แต่ส่วนใหญ่แล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้ Sometimes a customer becomes a student, but most of the time, they don't. โอเค ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เห็นด้วยกับคุณ Miyagi (จากเรื่อง The Karate Kid (2010))ที่ว่า ไม่มีนักเรียนห่วย นักเรียนแย่ OK, so if these definitions are true, then I agree with Mr. Han, there are no bad "students". แต่ก็อยากจะแย้งว่า ลูกค้า ส่วนมากแล้วแย่มาก ๆ และไม่ว่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูอาจารย์มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางกลายเป็นนักเรียนไปได้ I would also further argue that there are PLENTY of bad "customers", who will not become "students" no matter how much extra TLC their receive from the sensei. การขจัดล้างบาง เป็นวิธีการทางอ้อมในการทำให้ ลูกค้า ไม่อยากมาทำให้สถาบันมืดดำมัวหมอง Kyoshi's idea of a purge seems to me to be the ideal way of indirectly discouraging these "customers" from continuing to darken your doorway.

จ่ายครบ จบแน่ นักเรียน(ลูกศิษย์) กับ ลูกค้า มันก็คงต่างกันตรงนี้ คุณคิดว่า ตัวคุณเองเป็นเช่นไร?

ให้น้ำตาเยียวยาหัวใจ

ร้องไห้เป็นเรื่องธรรมชาติที่ติดตัวคนเราตั้งแต่เกิดมา เมื่อยังเป็นแค่เด็กทารก เราร้องไห้เมื่อรู้สึกหิว เมื่อง่วงนอน เหนื่อย หงุดหงิด รู้สึกไม่สบายเนื้อตัว

เมื่อโตขึ้นสักหน่อย น้ำตารินไหลเมื่อไม่มีใครสนใจ เมื่อกลัว เมื่อถูกผู้ใหญ่ตำหนิลงโทษ หรือเมื่อหกล้มลง แต่นั่นก็ในเวลาไม่นานนัก แค่ไม่กี่นาทีเราก็กลับมาวิ่งเล่นเป็นเด็กปกติได้เหมือนเคย

มิต้า พาน Mita Bhan นักบำบัดองค์รวมชาวอินเดีย เธอเขียนข้อแนะนำ "เดอะ ฮีลลิ่ง เพาเวอร์ ออฟเทียร์" ลงเว็บไซต์ บอกว่า

พอคนเราเริ่มโตขึ้น ก็ถูกสอนว่าให้เก็บกดอารมณ์ของตัวเองไว้ ไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจหรือความเจ็บปวดออกมาได้โดยง่าย เรากลายเป็นคนโตๆ ที่ต้องไม่ร้องไห้ แล้วพวกครู และพ่อแม่ผู้ปกครองก็พร่ำสอนเราอยู่เรื่อยๆ ว่าอย่าร้องไห้ไปเลยคนเก่ง หยุดร้องเสียเถอะคนดี

แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญยิ่งกว่านั้นที่พวกเรา พึงทราบก็คือว่า คนเราทุกคนต้องร้องไห้ ไม่ด้วยเรื่องใดก็เรื่องหนึ่งในชีวิต ในช่วงที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แถมนักวิทยาศาสตร์ยังพบด้วยว่าคนที่ร้องไห้อยู่บ่อยๆ นั้น ยังทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

มาดูกันว่าการร้องไห้ช่วยเยียวยาหัวใจให้แข็งแรงได้อย่างไร คุณมิต้า พาน เธอสรุปเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

-การร้องไห้ช่วยปลดปล่อยความเครียด และสารพิษท็อกซินในอารมณ์เครียด ออกไปจากร่างกาย หลังจากร้องไห้ ยกใหญ่แล้วเราจะรู้สึกว่าอารมณ์โปร่งโล่งเบาขึ้น

-น้ำตาซึ่งถูกขับ ออกมานั้น จะมีปริมาณของ โปรตีนและเบต้าเอนโดรฟินสูง ช่วยลดความเจ็บปวดตามธรรมชาติลงได้ น้ำตายังฆ่าแบคทีเรีย และหล่อลื่นดวงตาให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

-มีรายงานว่าคนที่ร้องไห้บ่อยกว่าคนอื่นจะมีความเจ็บป่วยทางกายน้อยกว่าคนที่ชอบเก็บงำเอาไว้

-การร้องไห้ช่วยให้รู้สึกสงบอยู่ข้างใน เราจะสามารถมองเห็นสถานการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น หลังจากได้ร้องไห้หนักๆ ไปแล้ว

พึงระลึกไว้ว่า การเป็นคนเก่งและกล้าหาญไม่จำเป็นต้องเก็บกดอารมณ์เสมอไป

ที่มา: ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ 9 ตุลาคม 2553
===จริง ๆ เรื่อง น้ำตาให้พลังเยียวยาหัวใจ นี้มีคนกล่าวเยอะ ทำวิจัยแยะ Mita Bhan เพียงสรุปข้อมูลของคนอื่นเท่านั้น=======
The Healing Power of Tears ให้น้ำตาเยียวยาหัวใจ

Crying has come naturally to us since the day we were born. When we were infants, we bawled when we were hungry, sleepy, tired, frustrated, dirty, you name it. As we grew a little older, our tears rolled when we felt ignored, scared, reprimanded by adults, or we fell down. The tears didn't last for too long, and within a few minutes we were back to our normal active, curious, childlike selves.

But what happened as we grew older? We learnt to repress our emotions. Not show our disappointment or pain so easily. We became big boys and big girls, and our parents and teachers reminded us again and again to stop crying over this or that and to be brave.

But fact of the matter is we all have to cry even as adults at some point or the other in our lives. And scientists have discovered that those who have a good cry periodically actually lead healthier lives.

Here's how crying can heal you:

1. Release tension and the toxins of emotional stresses from the body. After a good bawl, don't we all feel a little lighter?
2. Tears which flow with emotion actually contain higher amounts of protein and beta endorphin - natural pain relievers. Tears also kill bacteria, lubricate our eyes and help us see better.
3. Those who cry more often than others report less physical illnesses than those who keep it inside.
4. Crying aids inner calm and peace. We can view the situation more clearly and calmly after a good session.

Being strong and brave is not about suppression of emotions. It's about clarity, willingness to face whatever life offers our way. And knowing the power of release. So the next time you feel the tears well up, go get the box of tissues and cry your heart out. You'll feel better in more ways than one.

Mita Bhan is a US Certified Psychic Tarot Reader and Holistic Healing Practitioner based in DLF City, India น้าน โม้เข้าไป เก่งจริงสาวน้อยนางนี้

Source: idiva.com

Friday, October 8, 2010

Debut: เปิดตัวครั้งแรก

Debut (อ่านก้ำกึ่งระหว่าง เด-บิ่ว กับ เด-บู' dey-byoo, di-, dey-byoo, deb-yoo) เป็นคำภาษาอังกฤษที่ยืมมาจากภาษาฝรั่งเศส

ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง
1. การเข้าสังคมครั้งแรก
2. การแสดงตัว/ปรากฏตัวครั้งแรก (ต่อสาธารณะชนหรือวงสังคม)= first public appearance
3. การวางตลาดหรือเปิดตัวสินค้าเป็นครั้งแรก the first appearance of something, as a new product
4. การเริ่มทำงาน เริ่มประกอบวิชาชีพ the beginning of a profession, career, etc.

เช่น การปรากฏต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรกของนักแสดงหรือนักกีฬา

เผอิญได้รับข้อความว่า Keepsake Ornament Debut is this weekend! ซึ่งหมายถึง เครื่องประดับของที่ระลึกเปิดตัวครั้งแรกวันหยุดสุดสัปดาห์นี้
Ornament = เครื่องประดับ
Keepsake = ของที่ระลึก ของฝาก ของชำร่วย
Debut = เปิดตัวครั้งแรก จำง่าย ๆ แปลว่า beginning/begin (เริ่มต้น) นั่นเอง
this weekend = วันหยุดสุดสัปดาห์นี้

แฟนคลับแห่เชียร์ 'เดอะสตาร์ 6' ใน 'Seed Debut Concert'
Seed Debut Concert จะแปลว่า "คอนเสิร์ตเปิดตัวครั้งแรกของเมล็ดพันธุ์" ก็กระไรอยู่ อันนี้ก็ต้องเป็น "คอนเสิร์ตเปิดตัวครั้งแรกของนักร้องใหม่หัดขับนั่นเอง
Seed = เมล็ดพันธุ์

–คำกริยา (ใช้โดยไม่มีกรรม used without object)
5. เป็นการเปิดตัว to make a debut, as in society or in a performing art
เช่น Jessica plans to debut with several other pianists, next year.
6. การแสดงเปิดตัวสินค้าเป็นครั้งแรก to appear as on the market for the first time
เช่น A new cell phone product will debut next month. จะมีการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ปีหน้า

–คำกริยา(ใช้โดยมีกรรม used with object)
7. การเปิดการแสดงต่อหน้าผู้ฟังเป็นครั้งแรก to perform (something) for the first time before an audience เช่น The orchestra would debut Paul's new symphony. (orchestra = วงดุริยางค์, วงออเคสตรา, วงมโหรี) [symphony = เพลงสำหรับดนตรีวงใหญ่]
8. แนะนำทางการตลาดเป็นครั้งแรก to place on the market for the first time (introduce).
เช่น The manager debut a must-have toothbrush.

–คุณศัพท์ adjective เพื่อขยายคำนามให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
9. สัมพันธ์ หรือ เกี่ยวข้องกับการเปิดตัวครั้งแรก of, pertaining to, or constituting a first appearance เช่น a debut performance หรือ a debut record album

'เล่นตัว'ในเกมความรัก: 'Play hard to get' in love game

นิยายความรักของ'สม'กับ'สา' ฉบับยาหมด
(เรียนภาษาอังกฤษจากนิยายความรัก learn English from a love story)

ความรักคืออะไร นิยามคงมีได้มากมาย What is love? It of course has lots of definitions. แต่ปกติความรักมันไม่ได้มาโดด ๆ Love does not come alone แต่ปะติดความอยากได้มาเป็นเจ้าของเข้าไปด้วย It attaches with feeling of ownership นายสม เกิดปิ๊ง นางสาว สา นายสม Som feels love at first sight (รักแรกพบ) with Sa. Som have a crush on Sa (สำนวน have a crush on someone = ปิ๊งใครบางคน)

สมจึงตามจีบตามตื้อ (แบบไม่ทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกรำคาญ) Som woos Sa (woo = จีบ หลี) อยากพบอยากเห็นอยากอยู่ใกล้ Som wants to see, to meet, to be near Sa. สาไม่แน่ใจในตัวสม Sa does not confident in Som แต่สมคิดว่าสาเล่นตัว Som thinks (that) Sa plays hard to get (สำนวน play hard to get ก็คือ เล่นตัว) แต่จริง ๆ แล้วสาต้องการเวลา ต้องการความมั่นใจ(ว่าสมรักสาจริง ๆ) In fact, Sa needs more time. Sa wants to make sure (that Som really loves Sa)

สาต้องการรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง Sa needs to know her true feeling เพราะสาไม่อยากทำอะไรผิดพลาด Sa does not want to do mistake แต่จริง ๆ แล้วสาลืมไปว่าคนเราทำผิดพลาดตลอดเวลา Sa forgets that people do mistakes all the time. ยิ่งในห้วงรัก ยิ่งตาบอด Love makes people blind. (blind = ตาบอด, blind love = ความรักที่ตาบอด) ยิ่งรักแท้ ก็ยิ่งบอดมาก True love is really blind.

คนมีรักบอกว่า รักแท้ต้องตาบอด For love be true it must be blind. รักที่ตาบอดเปรียบเหมือนเรือที่กำลังแล่นแต่ปฏิเสธที่จะมองสิ่งที่ไม่ดี ไม่สวย ไม่ปรารถนาต่าง ๆ For love to be blind it means the vessel through which it flows refuses or chooses not to see undesirable features of their object of affection.

ตอนนี้ยาหมด ไว้มียาแล้วค่อยมาว่ากันต่อเด้อ..
::นิยายความรักของ'สม'กับ'สา' ฉบับยาหมด

As with many activities in life, the thrill of the dating game is often in the chase, not the capture. The destination may be intriguing, but it's the journey that keeps the interest level high. This is the basis of playing hard to get, a relationship tactic in which the pursuee deliberately holds the pursuer at bay in an effort to appear more alluring and selective. Playing hard to get is not the same as being hard to get, although the hapless victim of love may not realize it at the time.

Tuesday, October 5, 2010

ตั้งศูนย์ชีวิต + สมเด็จองค์ปฐมชี้คติธรรม

ในโลกปัจจุบัน ที่มีแต่ความวุ่นวาย แข่งขัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ไม่มีมิตรแท้-ศัตรูถาวร เน้นเงินตรา เข้มข้นด้วยภาวะทุนนิยม การเลียนแบบ การบ้าดารา(เกาหลี) การบ้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต้องรุ่นใหม่ ต้องทันสมัย ต้องเหมือนเพื่อน รวมทั้งภาวะข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลอย่างรวดเร็วและมหาศาล การถูกจับผิด ถูกตำหนิบ่อย ๆ สิ่งต่าง ๆ มากมายที่อยู่รอบ ๆ ตัวเหล่านี้ ทำให้"ชีวิตเสียศูนย์"ได้ บางคนอาจเข้าสู่ภาวะ"จิตตก"ได้ บางคนกำลังเผาตัวเองอยู่..ด้วยเป็นโรคหงุดหงิดง่าย

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สะสมมากเข้า ก็เกิดเป็น"ความทุกข์" หากรู้ไม่เท่าทันก็จักพ้นทุกข์ไม่ได้

การตั้งศูนย์ชีวิต อาจกล่าวในรายละเอียดได้ดังนี้

1. ต้องมีสติ หมายถึง ต้องใจเย็น ใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา ทุกคนล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น แต่ถ้าเรามองว่า ปัญหาที่เราเผชิญอยู่เป็นสิ่งท้าทาย เราควรมาสนุกกับการเอาชนะปัญหาด้วยธรรมะ ใช้ธรรมะนำชีวิต มองปัญหาใหญ่ให้เป็นปัญหาเล็ก มองปัญหาเล็กเป็นไม่มีปัญหา อันนี้ย่อมเป็นการปรับเปลี่ยนทัศนะคติในการมองโลก มองโลกบวกย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง

2. ปรับทุกข์กับคนสนิท การปลดปล่อยสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจ ย่อมทำให้เราสบายใจขึ้น ถ้าไม่มีใครจะคุยด้วย คุยกับสัตว์เลี้ยงก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น หมา แมว หรือ ปลา เราก็จะรู้สึกดีขึ้น ถ้าสามารถขอคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่เรานับถือ ก็จะดี เพราะท่านอาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมอาจชี้ทางออกของปัญหาให้เราได้

3. การสวดมนต์ การสวดมนต์จะช่วยให้ใจของเราสบายมากขึ้น สุขยิ่งขึ้น ทุกข์น้อยลง การสวดมนต์ให้สวดช้า ๆ ให้ใจจดจ่อกับการสวดมนต์เท่านั้น ถ้าวอกแวก ก็ดึงกลับมา ให้หาบทสวดที่ยาวหน่อยจะดีมาก เช่น พาหุง-มหากา ซึ่งเป็นการอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้าที่ทรงชนะมารที่มาผจญ ให้เราสามารถเอาชนะอุปสรรคอันตรายทั้งปวงได้ด้วยเช่นกัน

4. หาเวลาพักผ่อน บางครั้งเราอาจเครียดเกิืนไป การเปลี่ยนบรรยากาศ จะช่วยให้จิตใจของเราดีขึ้น การตักบาตร-ทำบุญ การนั่งสมาธิ ย่อมทำให้จิตของเราดีขึ้น แถมยังได้บุญอีกด้่วย -บุญต้องสั่งสมไว้ตอนมีชีวิต พอหมดชีวิตก็หมดสิทธิ์สั่งสมบุญ เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาท (ในการทำความดี)

=-=-=-=-=-=-=-=-=-
หาดีใส่ตัวนั้นสมควร แต่อย่าเอาชั่วใส่คนอื่น

สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
๑. อย่าเอาความชั่วของเขามาใส่ใจเรา และจงอย่าเอาความชั่วของใจเราไปใส่ใจใคร ระมัดระวังอารมณ์ให้ดี ๆ หากรู้ไม่เท่าทันก็จักพ้นทุกข์ไม่ได้

๒. อนึ่งอยู่ในคนหมู่มาก การที่จักกล่าววาจาใด ๆ ออกมาจึงหมั่นกลั่นกรองเสียก่อนแล้วจึงพูด จักได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง

๓. การจักละอารมณ์ชั่วได้ ก็อยู่ที่กำลังใจ คือ ไม่ท้อถอยต่อความผิด ความเลว รู้ว่าผิดก็ตั้งต้นต่อสู้ใหม่ ไม่มีคำว่าสายเกินไปในพระพุทธศาสนา จักไม่ยอมให้ความชั่ว ความผิดมันครอบงำจิตได้นาน ตั้งหน้าตั้งตาเดินรุดหน้า ทำแต่ความดี

๔. ดีในที่นี้ คือ ดีอยู่ในศีล - สมาธิ - ปัญญา อันเป็นหนทางนำไปสู่พระนิพพานเท่านั้น

๕. อย่าลืม วันหนึ่งๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่ากับอารมณ์จิตของเราเองทำร้ายจิตเราเอง

อยู่คนเดียวให้ระวังอารมณ์จิต อยู่หลายคนให้ระวังวาจา

สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

๑. รักษาอารมณ์ของจิตให้ดี ๆ อยู่หลายคนให้ระวังวาจา และพยายามทำตนให้เหมือนอยู่คนเดียว

๒. ทุกคนไม่ช้าไม่นาน ก็ต้องพรากจากกันไปหมดคือ มีความตายเป็นที่สุด อย่าถือเขาถือเราให้มันมากนัก ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ ที่ประชุมกันขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น มีความทุกข์เป็นพื้นฐาน มีความแปรปรวนในท่ามกลาง และมีความตายไปในที่สุด

๓. บุคคลผู้ยังเกาะติดร่างกาย ต่างก็เป็นผู้น่าสงสาร เพราะหลงวนอยู่ในความทุกข์

๔. การมีอารมณ์ไม่พอใจ หรือ พอใจเขา นั่นคือการพอใจหรือไม่พอใจในร่างกาย หรือติดอยู่ใน สักกายทิฎฐิ นั่นเอง

๕. จงเห็นตามความเป็นจริงว่า คนทุกคน สัตว์ทุกตัว รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน แม้แต่ตัวเจ้าเองก็เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นจงอย่าตำหนิใครว่าเลว ให้เห็นใจซึ่งกันและกัน และอย่าแบกเอากรรมของใคร ๆ มาเป็นที่หนักใจ แค่กรรมของเจ้าเองก็หนักโขอยู่แล้ว


อย่าติดอดีตและอนาคตธรรม จิตจักไม่มีความสุข

สมเด็จปฐม ทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

๑. จงอย่ามีอารมณ์โมโหหุนหัน เมื่อพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ ให้รู้ว่านั่นเป็นอดีตธรรมที่ผ่านไปแล้ว อย่านำมาขุ่นเคืองผูกใจจำอยู่ในปัจจุบัน จิตจักไม่มีความสุข

๒. กรรมใดยังไม่เกิด เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เมื่อเจ้านำมากล่าวขึ้นในปัจจุบัน ก็เป็นจุดซึ่งนำมาแห่งความทุกข์ ทำไมเจ้าจึงไม่คิดว่า บางทีชีวิตของเจ้าอาจสิ้นสุดในวินาทีข้างหน้านี้ สู้เอาเวลามาเตรียมตัวเตรียมใจ ซ้อมตายให้พร้อมเพื่อความได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ให้มั่นคงทุก ๆ ขณะจิตมิดีกว่าหรือ (ก็ยอมรับว่าดีกว่า แต่จิตอดคิดเลวไม่ได้)

๓. ก็เลวเป็นปกติ เพราะผู้ใดยังมีสังโยชน์ ๑๐ ประการร้อยรัดใจอยู่ จงอย่าได้ลืมตนคิดว่าเป็นคนดีเป็นอันขาด
(สังโยชน์ ๑๐ เบื้องต้น ก็คือ มีอธิศีล เบื้องกลาง คือ มีอธิจิต และเบื้องปลาย คือ มีอธิปัญญาตามลำดับ)

๔. จงเตือนจิตตนเองไว้เสมอ อย่าไปดูอารมณ์ของใคร และอย่าติดใจในอารมณ์ของบุคคลอื่น ให้หมั่นดูอารมณ์จิตของตนเป็นสำคัญ เรียนให้มันรู้ว่า จิตที่เสวยอารมณ์อยู่นี้มันสุขหรือมันทุกข์ มีความถูกต้องหรือบกพร่องในอารมณ์พระกรรมฐานหรือไม่ จับตามองอารมณ์ดีๆ ผิดแล้วก็เริ่มต้นใหม่ๆ ให้ใช้ความเพียรอยู่อย่างนี้ อย่าท้อถอย อุปสรรคย่อมมีมาขัดขวาง เป็นครูที่เข้ามาทดสอบอารมณ์ของจิต นั่นเป็นของดี

๕. ไม่มีศัตรูก็ย่อมไม่มีการต่อสู้ ชนะโดยปราศจากอุปสรรคนั้นดีไม่จริง จักต้องต่อสู้ฟันฝ่าในทุกด้านของกิเลสที่สิงอยู่ในอารมณ์ ถ้าสู้เยี่ยงนี้แล้วชนะศัตรูได้ นั่นแหละจึงจะเป็นของจริง

๖. แต่ถ้าหากท้อถอยอย่างไม่ทันตั้งท่าสู้ ก็จงอย่าหวังว่าจักได้เข้าสู่พระนิพพาน ตามที่องค์สมเด็จพระบรมครูทุก ๆ องค์ต้องการให้เข้าสู่ได้ เพราะนั่นเป็นการแพ้ตั้งแต่นอนอยู่ในมุ้งแล้ว ใช้ไม่ได้

๗. พยายามอยู่ในธรรมปัจจุบันให้มาก อย่าให้อดีต - อนาคตเข้ามาเป็นพิษ ทำร้ายจิตของตนเอง เตือนกันไว้แค่นี้


ความไม่รู้จักพอ

สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

๑. อย่ากังวลใจในส่วนที่ใครจักร่วมทำบุญหรือไม่ก็ตาม อย่าเอาจิตไปผูกพัน เพราะนั่นเป็นอารมณ์เลว หรือโลภ อยากได้ทรัพย์ของเขาประการหนึ่งเหมือนกัน

๒. แม้จักไม่นำทรัพย์นั้นมาเป็นส่วนตนก็ตาม ก็ยังจัดได้ว่ามีความอยากได้ จุดนี้ทำให้อารมณ์จิตมีความกระหายเป็นทุกข์ เพราะความไม่รู้จักพอ

๓. ผู้รับทานบริจาค จักต้องมีอารมณ์พอ คือ พอในใจอยู่เสมอ ใครจักทำบุญหรือไม่ทำบุญ เราก็พอใจ ไม่โลภอยากได้ทรัพย์สินของเขามาร่วมบุญที่เราทำ ทำก็ดี ไม่ทำก็ดี มีความพอดีอยู่ในใจ อารมณ์จิตก็จักเป็นสุข

๔. อารมณ์ไม่วุ่นวาย กับอารมณ์เฉยๆ อันไหนจักดีกว่ากัน (ตอบว่า อารมณ์เฉย ๆ ดีกว่า)

๕. ส่วนใหญ่เจ้ามักจักเฉยไม่เป็น นี่เพราะอานาปานัสสติกรรมฐานอ่อนไป จึงมักจักขาดสติ ตามไม่รู้เท่าทันอารมณ์อยู่เสมอ จุดนี้แหละที่บกพร่อง ทำให้จิตกระวนกระวาย ต้องหมั่นควบคุมอานาปานัสสติกรรมฐานให้มาก

ที่มา: บางส่วนของสมเด็จองค์ปฐมจากการรวบรวมของ พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

ทศลักษณ์ของผู้นำ

ทศลักษณ์ของผู้นำ

ผู้นำขั้นสูงที่ควรแก่การกล่าวว่าเป็น “วินายโก” (ผู้นำเหนือผู้นำ) ก็คือ ผู้นำที่มีธรรมชาติของการเป็นผู้นำอยู่ในจิตสำนึกสูง เพียงเห็น “แวว” ของปัญหาก็ลุกขึ้นมานำ...

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

ความหมาย

ผู้นำ (Leader/นายก) หมายถึง ผู้อำนวยการให้คนมาทำงานร่วมกัน โดยที่เมื่อทำงานแล้ว ก่อให้เกิดบรรยากาศ “คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ” หรือ

ผู้นำ ก็คือ ผู้นำในการแก้ปัญหาฝ่าวิกฤตโดยที่เมื่อแก้ปัญหาฝ่าวิกฤตสำเร็จแล้ว ปัญหาก็ได้รับการแก้ไข คนส่วนใหญ่ก็ยอมรับในภาวะแห่งการเป็นผู้นำของตน

ผู้นำ ก็คือ ผู้ที่มีศักยภาพแห่งการนำอยู่ในตนเองสูง จนก่อให้เกิดแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ อยากเดินตามเพื่อมาร่วมทำงานด้วย และเมื่อทำงานด้วยแล้วก็ก่อให้เกิดภาวะ “งานก็สัมฤทธิ์ ชีวิตก็รื่นรมย์” และ/หรือแม้ไม่ได้ร่วมงานด้วย แต่ภาวะผู้นำของเขาก็ก่อให้เกิดแรงดลบันดาลใจในการอยากดำเนินรอยตาม

นิยามที่หนึ่ง เป็นนิยามที่ปรากฏโดยทั่วไปตามทฤษฎีภาวะผู้นำของปราชญ์ตะวันตก นิยามที่สองและสาม เป็นบทนิยามที่เขียนขึ้นใหม่เฉพาะในที่นี้ ซึ่งนิยามดังกล่าวนี้ กลั่นกรองมาจากการสังเกตภาวะผู้นำของผู้นำคนสำคัญๆ ระดับโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน

กล่าวเฉพาะคำนิยามที่สองนั้น หมายถึง ภาวะผู้นำที่จะปรากฏออกมาต่อสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมาย ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้นำในการแก้วิกฤตการณ์ ซึ่งเป็นบทบาททั่วไปของคนที่เป็นผู้นำอยู่แล้ว ส่วนนิยามที่สามเป็นนิยามของผู้นำตามธรรมชาติ ที่ไม่ต้องรอให้มีการแต่งตั้ง แต่ศักยภาพแห่งการเป็นผู้นำ (Leadership) ก็เปล่งประกายเป็นที่ยอมรับของผู้ตามโดยอัตโนมัติ ยิ่งเมื่อลุกขึ้นมาทำหน้าที่ผู้นำก็ยิ่งแสดงภาวะผู้นำโดดเด่นจนเป็นที่ยอม รับอย่างกว้างขวาง เช่น เนลสัน แมนเดลา ที่แม้จะอยู่ในคุกถึง 27 ปีเต็ม แต่ประชาชนที่อยู่นอกคุกก็ยังคงรักและศรัทธาในตัวเขา หรือ จอห์น เอฟ เคเนดี และ/หรือ ดาไล ลามะ ที่ไม่ว่าจะปรากฏกายทำอะไรที่ไหน ก็มีแต่ผู้รัก ศรัทธา ปรารถนาจะดำเนินรอยตาม ผู้นำชนิดนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น “ผู้นำที่เป็นคนดลใจ” หรือ Charismatic Leader

ความสำคัญ

“ผู้นำ” เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของคน ขององค์กร ของประเทศ คน องค์กร ประเทศ จะเป็นอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำของคนที่เป็นผู้นำเป็นสำคัญ ความสำคัญของผู้นำ มีอยู่อย่างไร จะเห็นได้จากพุทธดำรัสของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า “ผู้นำ เหมือนโคจ่าฝูง หากโคจ่าฝูงนำไปคด ผู้ตามก็คด หากโคจ่าฝูงนำไปตรง ผู้ตามก็ตรง” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “ผู้นำเป็นอย่างไร ผู้ตามก็เป็นอย่างนั้น”

ประเภทของผู้นำ

ก.ทฤษฎีของผู้รู้

1.ผู้นำแบบคนขับรถไฟ (ทำงานตามระบบที่วางไว้ - - ไม่สร้างสรรค์)

2.ผู้นำแบบนายแพทย์ (มีปัญหาจึงลุกขึ้นมานำ)

3.ผู้นำแบบชาวนา (นำเฉพาะที่ - - รอให้มีคำสั่งจากหน่วยเหนือ)

4.ผู้นำแบบชาวประมง (กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้ารับผิดชอบ)

ข.ทฤษฎีของ ว.วชิรเมธี

1.ผู้นำ คือ ผู้อาวุโส

2.ผู้นำ คือ ผู้ดำรงตำแหน่ง

3.ผู้นำ คือ นอมินี (ร่างทรง)

4.ผู้นำ คือ ผู้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ทศลักษณ์ของผู้นำ

1.มีความรู้ดี

1.1 รู้เหตุ (รู้หลักการ/What)

1.2 รู้ผล (รู้วัตถุประสงค์/Why)

1.3 รู้ตน

1.4 รู้ประมาณ

1.5 รู้กาล

1.6 รู้สังคม

1.7 รู้บุคคล (ความแตกต่างระหว่างบุคคล)

2.มีความสามารถดี

3.มีวิสัยทัศน์ดี

4.มีจิตสำนึกดี

5.มีบุคลิกภาพดี

6.มีการบริหารจัดการดี

7.มีเพื่อนร่วมงานดี

8.มีมนุษยสัมพันธ์ดี

9.มีสุขภาพดี

10.มีประวัติดี

ผู้นำที่พึงประสงค์ ก็คือ ผู้นำที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ผู้นำชนิดนี้ จะมีภาวะผู้นำอยู่ในตัวเอง กล่าวคือ เขาจะลุกขึ้นมานำโดยที่ไม่ต้องรอให้มีใครมาแต่งตั้ง หากแต่การนำนั้นเกิดจากการมีวิสัยทัศน์และการมีจิตสำนึกสูงอันเนื่องมาจาก การตระหนักรู้ว่า หากไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ปัญหาไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับการแก้ไข แต่จะลุกลามใหญ่โตทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว ผู้นำชนิดนี้ก็เช่น มหาตมะ คานธี หรือ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ จูเนียร์ ทั้งสองท่านเป็นผู้นำในการเรียกร้องสิทธิพลเมืองให้แก่คนผิวดำ (คานธีที่แอฟริกาใต้, ลูเธอร์ คิงส์ ที่สหรัฐอเมริกา) จนคนผิวดำมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ทัดเทียมกับคนผิวขาว เฉพาะที่อเมริกานั้น ก้าวหน้าไปไกลจนถึงขั้นที่ปัจจุบันมีประธานาธิบดีผิวสีเป็นคนแรกนั่นก็คือ บารัก โอบามา ซึ่งหากไม่ใช่เพราะอานิสงส์ของการลงแรงมาอย่างยากลำบากของ ลูเธอร์ คิงส์ แล้ว บารัก โอบามา ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจ อันดับหนึ่งของโลกได้

ผู้นำทั่วไปนั้น จะนำก็ต่อเมื่อได้รับการมอบหมายให้นำ นี่นับเป็นผู้นำธรรมดาที่มีอยู่อย่างดาษดื่น ผู้นำขั้นสูงที่ควรแก่การกล่าวว่าเป็น “วินายโก” (ผู้นำเหนือผู้นำ) ก็คือ ผู้นำที่มีธรรมชาติของการเป็นผู้นำอยู่ในจิตสำนึกสูง เพียงเห็น “แวว” ของปัญหาก็ลุกขึ้นมานำ และเมื่อนำแล้ว ก็ไม่เรียกร้องต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน เพราะเขาถือว่า การแก้ปัญหาได้สำเร็จ นั่นแหละคือบำเหน็จที่สูงค่าที่สุดแล้วสำหรับภาวะผู้นำของเขา


ที่มา: โพสต์ทูเดย์ดอทคอม ทศลักษณ์ของผู้นำ โดย ว.วชิรเมธี 05 กันยายน 2553

(ฟ้องทางการฐาน)ไม่ให้ข้อมูลข่าวสาร

สมัยก่อนโน้น เรื่องที่ชาวบ้านจะเดินเทิ่ง ๆ ไปสอบถามเรื่องราวข้อมูลกับท่านนายอำเภอ หรือข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของตน

เป็นเรื่องที่วิญญูชนทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง อาจถูกบ้องหูเอ็ดตะโรแข้งขาอ่อนกลับมา อย่างเบาะ ๆ ถูกมองว่าหัวหมอ ชีวิตจะอยู่ยากขึ้น สมัยนี้กลับกัน เรื่องข้อมูลข่าวสารของทางราชการต้องเปิดกันแบบโอเพ่น ท่านว่า เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น มี พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ บังคับใช้ ตามนั้น

ในทางคดีปกครอง ยังเป็นขั้นตอนหนึ่งทางกฎหมายที่ต้องกระทำก่อนฟ้องคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

มีกฎหมายบังคับให้เปิดกันสว่างกันขนาดนี้ ยังมีปัญหาคลุมเครือกันต้องฟ้องร้องเป็นคดี จึงต้องเตรียมตัวให้เข้าสเปกในทางคดีปกครองดังกล่าว

ผู้ฟ้องคดีรายนี้เป็นคนต่างด้าวชาวรัสเซีย ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจับกุมและกักขังเพื่อส่งตัวกลับประทาน โทษ ไม่ใช่มิสเตอร์วิคเตอร์ บูท นะครับ เรื่องนี้ใบ้รับประทาน สิบ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารก็เอาไม่อยู่ เลยคดีปกครองไปแล้วขอรับในการนี้ เจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือแจ้งคำสั่งออกนอกประเทศ ติดตามด้วยคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้แก่ผู้ฟ้องคดี

ทั้งสองคำสั่งปรากฏแต่เพียงลายมือชื่อของพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่ได้ระบุชื่อและตำแหน่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่ง

ผู้ฟ้องคดีเปิด พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ เห็นจะจะในมาตรา ๓๖ ที่กำหนดให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองเท่า นั้นที่เป็นผู้มีอำนาจเพิกถอนการให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว

แต่ลายมือชื่อในคำสั่งทั้งสองมันกำกวม น่าสงสัยว่ามิใช่ลายมือชื่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวนี่หว่า ยังงี้ต้องถามให้หายข้องใจ

จึงทำหนังสือสอบถามถึงผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ช่วยกรุณาบอกหน่อยว่าไผเป็นผู้ลงนาม ขอทั้งชื่อและตำแหน่ง

ไหมล่ะ เป็นอัมพาตหมดทั้งสำนักงานเพราะเงียบฉี่ไร้คำตอบและความเคลื่อนไหวใด ๆ

จึงฟ้องต่อศาลปกครองขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้บัญชาการสำนักงาน ตรวจคนเข้าเมืองผู้ถูกฟ้องคดีเปิดเผยชื่อและตำแหน่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ดำเนินการจับกุมและมีคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของผู้ฟ้องคดี

ได้ความประการใดจะได้ต่อยอดเล่นเป็นคดีต่อไป

พี่แกมัวแต่เปิดดู พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ลืมเปิด ดู พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๑๓ ที่กำหนดให้กรณีทางราชการที่ถูกขอดูข้อมูลข่าวสารทำยึกยักเล่นตัว

ท่านให้ร้องเรียนต่อ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสียก่อน ได้ผลประการใดยังไม่สะเด็ดน้ำจึงให้ว่ากล่าวกันต่อไป

เป็นขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ ซึ่งตามมาตรา ๔๒ วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บังคับว่าต้องไปดำเนินการเสียก่อนฟ้องคดีปกครอง

ศาลปกครองชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากผู้ฟ้องคดีมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ

ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ อ้างว่าเป็นการเลือกปฏิบัติเพราะเห็นผู้ฟ้องคดีเป็นชาวต่างชาติ จึงนำความเดือดร้อนเสียหายมาฟ้องต่อศาลปกครองได้เลย ไม่จำต้องปฏิบัติตามมาตรา ๑๓ ของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ก่อน

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า จะเป็นบุคคลต่างชาติหรือไม่ การฟ้องคดีปกครองต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการฟ้องคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ เสียก่อนนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง

คดีนี้ มาตรา ๔๔ แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับมาตรา ๑๓ แห่ง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ กำหนดให้ผู้ที่เห็นว่าหน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการจัดหาข้อมูลข่าวสารให้แก่ ตน

หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าหรือเห็นว่าตนไม่ได้รับความสะดวกโดยไม่มีเหตุอันสมควรจากการขอข้อมูลข่าวสาร

มีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร เพื่อมีคำวินิจฉัย

จึงต้องถือว่ากฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดวิธีการและขั้นตอนสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายไว้โดยเฉพาะ

เป็นเงื่อนไขที่ผู้ฟ้องคดีต้องปฏิบัติเสียก่อนจึงจะนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองได้ ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ

มีคำสั่ง ไม่รับฟ้อง ยืนตามศาลปกครองชั้นต้น (คำสั่งที่ ๘๐๙/ ๒๕๔๙)

แขกบังกลาเทศขายโรตีขายถั่วหลายคนเล่าให้ฟังว่า จ่ายเดือนละพันบาทสะดวกกว่ามาก ไม่มีคดี ส่วนจ่ายใครบ้างความไม่แจ้ง อันนี้แขกกลัวมั่ก ๆ ไม่เล่าให้ฟัง

พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์

ที่มา: กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2553

เรียนรู้คุณค่าของ"เงิน" จากโอชิน

ตอนที่ 35

หลังการตระเวนเมืองซาง่าแห่งความ หลังจนเหนื่อยอ่อนทั้งย่ากับหลานต่างก็กลับโรงแรมที่พักด้วยความอ่อนระโหย อาหารมื้อเย็นของวันนั้น เค่ ชายหนุ่มอายุ 20 ปีบริบูรณ์จึงรู้สึกอร่อย

“ผมฟังเรื่องที่คุณย่าเล่าแล้ว รู้สึกว่าคนรุ่นผมนี่มันสบายเกินไป ทุกอย่างล้วนฟู่ฟ่าไปหมด”

“ใช่ ว่าที่จริงแล้วแกมันก็น่าสงสารที่เกิดมาเป็นคนรุ่นนี้ ชีวิตอุดมสมบูรณ์ไปทุกสิ่งทุกอย่าง ขาดเหลืออะไรนิดหน่อยก็โวยวายแล้ว สมัยที่ย่ายังสาว ญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งความยากจน ความเป็นอยู่ก็แร้นแค้น ไม่ผิดอะไรเลยที่ผู้คนพากันพูดว่า ชีวิตคือทุกข์...เทียบกับคนสมัยนี้ เอาแต่จะหาเงินลูกเดียว หาให้ได้มากที่สุดโดยไม่รู้ว่าจะหาไปทำไม แต่ทุกคนก็ไม่วายจะหายใจเป็นเงิน”

“แต่ก็เป็นการดีไม่ใช่รึครับคุณย่าที่เราจะมีเงิน”

“คนที่ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน เอาแต่หาเงิน มันก็มีสภาพที่เหมือนกับคนไม่มีเงินนั่นแหละ...สมัยก่อนนี้ย่าทำงานได้เงิน มาเยนนึงดีใจสักแค่ไหน คนสมัยนี้ไม่มีทางรู้หรอก”

ที่มา: ละครเรื่อง 'สงครามชีวิตโอชิน'

ถ่ายภาพทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์

มารู้จัก เทคโนโลยีที่ช่วยค้นหาจุดกำเนิดของโรคลมชักและประเมินเพื่อวางแผนในการผ่าตัด หนึ่งในนั้นคือ การถ่ายภาพทางเวชศาสตร์ นิวเคลียร์ เป็น เทคนิคการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ โดยให้สารเภสัชรังสีแก่ผู้ป่วย และถ่ายภาพการกระจายตัวของสารเภสัชรังสีในอวัยวะที่ต้องการตรวจด้วยเครื่อง ตรวจและสร้างภาพ เช่น GAmma camera หรือ Single Photon Emission Computed Tomography (SPECT) หรือ Positron Emission Tomography (PET) เพื่อแสดงขนาด รูปร่าง ตำแหน่ง และการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ที่ไม่สามารถตรวจวินิจฉัยได้โดยวิธีอื่น

SPECT-Single Photon Emission Computed Tomography เป็นเทคนิคการถ่ายภาพอวัยวะภายในร่างกายที่ต้องการตรวจโดยการให้สารเภสัช รังสีแก่คนไข้ แล้วทำการตรวจวัดรังสีแกมมาที่แผ่ออกมาจากสารเภสัชรังสีนั้นด้วย อุปกรณ์ที่เรียกว่า "กล้องถ่าย แกมมา (gamma camera)" ซึ่งมีทั้งแบบที่หมุนได้ และแบบอยู่กับที่รอบตัวคนไข้ จากนั้น คอมพิวเตอร์จะแปลข้อมูลที่ได้ออกมาให้เห็นเป็นภาพการกระจายตัวของสารเภสัช รังสี โดยสร้างภาพตัดเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ทำให้สามารถบอกความผิดปกติของอวัยวะได้โดยดูการกระจายตัวของสารเภสัชรังสี ซึ่งเทคนิค SPECT สามาวินิจฉัยได้ดีในโรคหัวใจ โรคลมบ้าหมู และโรคมะเร็ง ข้อได้เปรียบอีกอย่างคือไม่ต้องใช้เครื่องไซโคลตรอนในการผลิตไอโซโทปรังสี

PET-Positron Emission Tomography เป็น เทคนิคการถ่ายภาพอวัยวะในร่างกายที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน โดยการตรวจวัดสารกัมมันตรังสีบางชนิด ซึ่งให้แก่ร่างกายในรูปของสารเภสัชรังสีเพื่อใช้ในการตรวจวัดเชิงปริมาณของ ขบวนการทางชีวเคมีในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ไอโซโทปรังสีที่ใช้จะเป็นชนิดที่ปลดปล่อยโพซิตรอนออกมา ซึ่งโพซิตรอนที่จะทำปฏิกิริยาประลัยเกือบจะทันทีทันใดกับอิเล็กตรอนที่โคจร อยู่รอบนิวเคลียสในอะตอมของสาร จึงทำให้ PET มีประโยชน์ในการศึกษากระบวนการทางสรีรวิทยาและชีวเคมีที่ผิดปกติ โดย PET จะมุ่งไปยังระบบประสาทส่วนกลางเป็นหลัก ด้วยการวัดตัวแปรเสริมอื่น ๆ ประกอบเช่นการไหลเวียนของเลือด กระบวนการสร้างและสลายน้ำตาล กลูโคส และการเผาผลาญออกซิเจน จึงมีความเป็นไปได้ที่จะหาสมุฏฐานของโรคลมบ้าหมู หรือหาขนาดที่แน่นอนของบริเวณที่พิการในสมองได้ ในการศึกษาที่เกี่ยวกับหัวใจและหน้าที่ของหัวใจ การตรวจโดยใช้ PET จะเป็นวิธีที่เฉพาะเจาะจง และ ให้ผลดีกว่าการตรวจสอบโดยวิธีอื่น ๆ

takecareDD @ gmail.com

ที่มา: ถ่ายภาพทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ภาษาหมอวันละคำ เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคารที่ 05 ตุลาคม 2553

‘ฝังเข็ม’ โรคที่ควร-คนที่ห้าม / 6 ขั้นตอนการฝังเข็ม

การฝังเข็ม 6 ขั้นตอน

การรักษาอาการป่วยด้วยวิธีฝังเข็มนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ระหว่างการรักษาไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดหนักหนานัก และเพื่อคลายกังวล ถ้าต้องถูกฝังเข็ม ‘มุมสุขภาพ’ จึงลำดับขั้นตอนในการฝังเข็มไว้ดังต่อไปนี้...

ขั้นแรก วินิจฉัยโรค แพทย์ จะซักประวัติและตรวจร่างกายผู้ป่วย วินิจฉัยอาการและโรคเสียก่อน เพื่อให้ทราบโรคที่เป็น อาการใดเป็นอาการหลัก-เป็นรอง อาการใดควรรักษาก่อน-หลัง ทั้งเพื่อให้ทราบว่า มีโรคแทรกซ้อนหรือไม่

ต่อมา กำหนดแผนการรักษา แพทย์ จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์วางแผนการรักษา เช่น กำหนดเลือกจุดปักเข็ม ตำแหน่งใด ใช้กี่จุด จุดใดคือจุดหลักที่ต้องปักทุกครั้ง จุดใดเป็นจุดรองที่ปักเป็นบางครั้ง ซึ่งคล้ายกับแพทย์แผนปัจจุบันที่ต้องเขียนใบสั่งยานั่นเอง

ตามด้วย จัดท่าผู้ป่วย จะ จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมกับการปักเข็ม เช่น ใช้ท่านอนคว่ำเมื่อจะปักเข็มบริเวณหลังหรือเอว ใช้ท่านอนหงายเมื่อจะต้องปักเข็มบริเวณใบหน้า หน้าท้อง แขนขา เป็นต้น

ถัดมาเป็นขั้น ปักเข็ม แพทย์ ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคทำความสะอาดบริเวณผิวหนัง ก่อนใช้เข็มขนาดเล็กปราศจากเชื้อ ปักลงบนจุดฝังเข็มที่กำหนดไว้ โดยเข็มจะผ่านชั้นผิวหนังอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บ หากเจ็บจะคล้ายมดกัด โดยผู้ป่วยต้องรู้สึกตื้อ ๆ บริเวณที่ถูกฝังเข็ม ซึ่งเรียกว่า ความรู้สึกได้ลมปราณ

ขั้นรองสุดท้าย กระตุ้นเข็ม เพื่อให้ความรู้สึกได้ลมปราณเกิดขึ้น มี 2 แบบ คือ กระตุ้นด้วยการใช้มือหมุนปั่นเข็มไปทางซ้ายขวาหรือปักและดึงเข็มขึ้นลงสลับ กัน อีกแบบใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ต่อสายไฟติดกับเข็ม แล้วเปิดเครื่องกระตุ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณที่ปักเข็มกระตุกเบา ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ

สุดท้าย การถอนเข็ม หลังจากปักเข็มและกระตุ้นรวมเวลาราว 30 นาที แพทย์จึงถอนเข็มออกทั้งหมด ไม่ฝังค้างไว้ ยกเว้นกรณีพิเศษ เช่น ฝังเข็มหู เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกปวดเมื่อยเล็กน้อย เพียงไม่กี่วันจะหายไปเอง.

takecareDD @ gmail.com

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 30 กันยายน 2553

‘ฝังเข็ม’ โรคที่ควร-คนที่ห้าม

วันนี้ ‘ภาษาหมอ’ บอกต่อถึงโรคที่รักษาด้วยวิธีฝังเข็มแล้วให้ผลการรักษาอย่างน่าพึงพอใจ ที่ให้ผลดีเป็นพิเศษ คือ กลุ่มอาการปวดต่าง ๆ อาทิ ปวดจากระบบเคลื่อนไหว ปวดจากความเครียด ปวดจากการเล่นกีฬา ปวดหลังผ่านการผ่าตัด

นอกจากนี้ยังรวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพของแขนและขา เนื่องจากการเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ งูสวัด เม็ดเลือดขาวน้อยกว่าปกติ สมรรถภาพทางเพศเสื่อม ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส ลมชัก โปลิโอ อาการนอนไม่หลับ ขากรรไกรค้าง แพ้ท้อง การเลิกเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด

ส่วนกลุ่มอาการที่ฝังเข็มแล้วให้ผลดี ประกอบด้วย อาการเจ็บเฉียบพลันหรือเรื้อรังในลำคอ (ต่อมทอนซิล) การวิงเวียนศีรษะเพราะน้ำในช่องหู สายตาสั้นในเด็ก เด็กในครรภ์มารดาอยู่ในท่าขวางทำให้คลอดยาก อาการผิดปกติของลำไส้เมื่อมีความเครียด สำหรับการฝังเข็มที่ให้พอใช้ อาทิ ท้องผูก ท้องเดิน มีบุตรยาก เรอบ่อย ปัสสาวะขัด หญิงหลังคลอดน้ำนมน้อย

ทั้งนี้ยังมีเพื่อความงาม อย่างการรักษาสิว ฝ้า เพื่อผิวพรรณเปล่งปลั่ง ลดหรือเพิ่มน้ำหนัก ซึ่งโดยรวมแล้วไม่ว่าจะฝังเข็มเพื่อรักษาอาการใด ควรทำควบคู่กับการรักษาร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการฝังเข็มเพียงอย่างเดียวอาจให้ผลการรักษาระหว่างร้อยละ 51-94

ข้อห้ามในการฝังเข็ม เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย จะห้ามฝังเข็มในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ เว้นแต่การฝังเข็มเพื่อลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ช่วยคลอดง่าย ห้ามฝังเข็มในผู้ป่วยที่ภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ ห้ามฝังเข็มลงที่ก้อนเนื้อร้ายในผู้ป่วยมะเร็ง และในผู้ป่วยที่ต้องเข้าผ่าตัดรักษาอย่างแน่นอน.

takecareDD @ gmail.com

ที่มา: ‘ฝังเข็ม’ โรคที่ควร-คนที่ห้าม วันอังคารที่ 28 กันยายน 2553 เดลินิวส์ออนไลน

อัจฉริยลักษณ์ของอานาปานสติสมาธิภาวนา

อานาปานสติภาวนา เป็นกรรมฐาน หรือเป็นสมาธิภาวนาแบบที่พระพุทธองค์ได้ปฏิบัติและตรัสรู้, มีคำตรัสยืนยันว่า ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติภาวนาโดยเฉพาะ....

เรื่อง: ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย / ภาพ : ตุลย์

ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่าว่า พระโพธิสัตว์ก่อนจะตรัสรู้ มีพระชนม์เพียง 7 พรรษาเท่านั้น ก็ได้เคยฝึกอานาปานสติสมาธิภาวนาด้วย พระองค์เองมาครั้งหนึ่งแล้วและก็ด้วยประสบการณ์คราวนี้เอง ที่ทำให้พระองค์ทรงหวนระลึกถึงว่า “น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้บรรลุภาวะพระนิพพาน” หลังจากที่ทรงทดลองฝึกวิธีการต่างๆ มาแล้วจากครูบาอาจารย์แทบทุกสำนัก แต่กลับทรงค้นพบว่า ไม่ใช่วิถีทางที่ทรงแสวงหาประสบการณ์ในวัยเยาว์คราวนั้นแท้ ๆ ที่ทำให้พระองค์ทรงค้นพบอนุตรสัมมาโพธิญาณสำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ด้วยเหตุที่อานาปานสติสมาธิภาวนา เป็นภาวนาวิธีที่ทำให้พระองค์ประสบความสำเร็จอันใหญ่หลวง จึงทรงยกย่องสมาธิวิธีข้อนี้เป็นอย่างมาก ถึงท่านพุทธทาสภิกขุเอง เมื่อได้อ่านพบอานาปานสติสูตร ก็รู้สึกประทับใจเป็นอันมาก จึงได้อุทิศตนทุ่มเทศึกษาพระสูตรอย่างจริงจัง กระทั่งนำมาเขียนเป็นหนังสือ จัดตั้งวางเป็นแบบแผนแห่งการปฏิบัติขึ้นที่สำนักสวนโมกขพลาราม ซึ่งยังคงมีการสอนกันอยู่มาจนถึงบัดนี้ ทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ

ท่านพุทธทาสภิกขุ กล่าวถึงอานาปานสติสมาธิว่า

“อานาปานสติภาวนา เป็นกรรมฐาน หรือเป็นสมาธิภาวนาแบบที่พระพุทธองค์ได้ปฏิบัติและตรัสรู้, มีคำตรัสยืนยันว่า ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติภาวนาโดยเฉพาะ นี้ก็เป็นเรื่องพิเศษเรื่องหนึ่งว่า ทำไมจึงระบุอย่างนี้, กรรมฐานภาวนามีตั้งมากมาย ทำไมจึงตรัสระบุอานาปานสติภาวนา, ใช้คำว่า อานาปานสติภาวนา ไม่ได้ใช้คำว่า สติปัฏฐาน; แม้ว่าเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องเดียวกัน จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างก็ไม่เท่าไร, พระองค์ก็ยังตรัส เรียกว่า ระบบอานาปานสติภาวนา เป็นระบบที่ทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้, นี้ก็ควรจะสนใจ

มันมีของดีหลายอย่างหลายประการสำหรับแบบนี้, ตัวอย่างเช่น แบบนี้เมื่อทำแล้วจะเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาพร้อมกันไปในตัว ไม่ต้องแยกทำคนละที และยังแถมกล่าวได้ว่า มีศีลพร้อมกันไปในตัว ไม่ต้องทำพิธีรับศีลก่อนแล้วจึงมาทำ, ขอให้ลงมือทำเถิดตามระบบนี้ ก็จะมีศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมกันไปในตัว, แบบนี้จะสู้แบบที่เขากำลังเล่าลือกันในโลก คือแบบเซน อย่างแบบเซน ของจีน ของญี่ปุ่น ที่ไปมีชื่อเสียงโด่งดังในตะวันตกในพวกฝรั่งนั้น ก็เพราะว่า มันเป็นแบบที่มีสมถะและวิปัสสนาติดกันอยู่ด้วยพร้อมกันไปในตัว

เมื่อมาพิจารณาดูถึงแบบฝ่ายเถรวาท ก็เห็นว่า แบบอานาปานสตินี้แหละ มีสมถะและวิปัสสนาพร้อมกันไปในตัว แล้วก็อย่างรัดกุมที่สุด, เลยเป็นเหตุให้ต้องนึกถึงข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงทางออกจากความทุกข์ คือ วิถีทางดับทุกข์นั้น โดยทั่วไปก็ตรัสเป็นอัฏฐังคิกมรรค หรือมัชฌิมาปฏิปทา แต่ก็มีมากแห่งเหลือเกินแทนที่จะตรัสว่า มัชฌิมาปฏิปทา ก็ตรัสแต่เพียงว่า สมโถ จ วิปัสสนา จ เท่านี้ก็มีคือ สมถะและวิปัสสนา เป็นนิโรธคามินีปฏิปทา คือ ตรัสแทนคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา...

ทำไมมันแทนกันได้ เพราะว่าในสมถะนั้น มีศีลรวมอยู่ด้วย, เมื่อพูดว่าสมถะและวิปัสสนา ก็มีทั้งศีล ทั้งสมาธิ และทั้งปัญญา ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น, ถ้าสงเคราะห์ย่นย่อแล้วก็เพียงศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น มันจึงมีค่าเท่ากัน, พระองค์จึงนำมาตรัสแทนกันได้, ระหว่างคำว่า มัชฌิมาปฏปทา กับคำว่า สมโถ จ วิปัสสนา จ, ขอให้เป็นที่เข้าใจในข้อนี้

ทำสมาธิภาวนาโดยวิธีอานาปานสติภาวนาแล้ว จะเป็นการปฏิบัติอย่างถึงที่สุดทั้งใน สมาธิ และทั้งในปัญญา เรียกว่ามันสมบูรณ์แบบอยู่ในตัว ถ้าจะพูดอย่างธรรมดาสามัญก็ว่า เป็นวิธีที่ได้เปรียบที่สุด”

อานาปานสติสมาธิภาวนา เป็นทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในตัวเองพร้อมบริบูรณ์ วิธีปฏิบัติก็ง่าย ไม่ต้องใช้องค์ประกอบมากมาย อาศัยเพียงแต่การตามระลึกรู้ลมหายใจ (กาย) เวทนา จิต ธรรมอย่างรู้ตังทั่งพร้อมเท่านั้น หากผู้ใดปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวนี้อย่างถูกต้องก็จะได้รับผลตั้งแต่ขั้น ต่ำ คือ ความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันทันตาเห็น เกื้อกูลต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต ส่งเสริมให้ศักยภาพทางจิตและปัญญา เข้มแข็ง เฉียบคม สุกสว่าง กระจ่างใส สดชื่น เบิกบาน ผ่อนคลาย สบายใจ ไร้ความตึงเครียด และประโยชน์ขั้นสูงสุด คือ ทำให้หยั่งลงสู่สัจธรรรมระดับปรมัตถ์ กล่าวคือ ภาวะพระนิพพาน อันเป็นที่สิ้นสุดลงของความทุกข์บรรดามีทั้งมวล

อานาปานสติสมาธิภาวนา จึงเป็นสมาธิภาวนาที่ควรนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างทั่วถึง ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ทั้งนี้ เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้ลิ้มชิมรสอมตธรรมในชีวิตนี้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้เนิ่นนานไกลออกไปนับแสนล้านชาติภพอย่างที่เคยเชื่อกันมา อย่างผิดๆ แต่โบราณอีกต่อไป ดังที่มีพุทธพจน์ตรัสยืนยันอย่างชัดเจนว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอเจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้แล ทำให้มากอย่างนี้แล้วเธอพึงหวังผล 7 ประการ ผล 7 ประการคือ อะไรบ้าง กล่าวคือ

1.บรรลุอรหัตตผลในปัจจุบันทันที

2.หากไม่ได้บรรลุอรหัตตผลในปัจจุบัน ก็จะบรรลุในเวลาใกล้มรณะ

3.หากไม่ได้บรรลุอรหัตตผลในปัจจุบันและในเวลาใกล้มรณะ ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี

4. ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี

5. ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี

6. ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี

7. ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี

เพราะอุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 ประการหมดสิ้นไป

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอเจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้แล ทำให้มากอย่างนี้แล้ว เธอพึงหวังผล 7 ประการดังกล่าวมานี้”

Let all happiness be happened at your heart, your soul, and your spirit through the meditation process of Buddhist's way of conduct.

ที่มา: อัจฉริยลักษณ์ของอานาปานสติสมาธิภาวนา โพสต์ทูเดย์ดอทคอม โดย ว.วชิรเมธี 15 สิงหาคม 2553

วิตามินซี หรือ L-ascorbic acid

วิตามินซี หรือ L-ascorbic acid

วิตามินซี หรือ L-ascorbic acid เป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำ สังเคราะห์จากกลูโคส เมื่อถูกออกซิไดซ์จะเปลี่ยนเป็น dehydroascorbic acid ทั้งสองรูปแบบมีในอาหารธรรมชาติและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ วิตามินซีพบมากในผลไม้จำพวกตระกูลส้ม และมะนาว ผักสีเขียว มันฝรั่ง เป็นต้น อาหารที่มีวิตามินซีน้อยหรือมากหรือไม่มีเลยได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ ข้าว ขนมปัง ไขมัน มนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้ จึงต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีอยู่เสมอเพื่อป้องกันการขาด

ประวัติการค้นพบวิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือกรดแอสคอร์บิก ซึ่งมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้

วิตามินซีละลายได้ดีในน้ำ มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เอง แต่ได้จากผักและผลไม้ คนเราจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีจากอาหาร ผักและผลไม้ที่กินกันทุกวัน ซึ่งอาหารที่คนไทยกินส่วนใหญ่จะให้ปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยได้พบผู้ที่ขาดวิตามินซี ยกเว้นผู้ที่ไม่ได้กินผักและผลไม้เป็นเวลานานๆ ในแต่ละวันร่างกายของคนเราได้รับปริมาณวิตามินซีจากอาหารในปริมาณที่เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกายแล้ว จากการสำรวจในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ได้รับวิตามินซีจากอาหารมากเกินความต้องการในแต่ละวันอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้ามาเปรียบเทียบกับอาหารของชาวไทยที่อุดมไปด้วยผัก และผลไม้นานาชนิด จึงเชื่อว่าคนไทยน่าจะได้รับวิตามินซีจากอาหารในชีวิตประจำวันที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว

แหล่งที่อุดมด้วยวิตามินซี


วิตามินซีที่ดีควรเป็นวิตามินที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่มากมายในอาหารที่เรากินเป็นประจำทุกวัน ตัวอย่างอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม มะละกอ มะม่วงมะนาว บร็อกโคลี่ องุ่น สตรอเบอร์รี่ ผลกีวี แคนตาลูป มะเขือเทศ มันฝรั่ง และผักใบเขียว เป็นต้น นักโภชนาการประมาณว่า ฝรั่งขนาดกลางหนึ่งผลจะมีวิตามินซีประมาณ 150 มิลลิกรัม ซึ่งเกินพอต่อความต้องการของร่างกายในหนึ่งวัน ที่ต้องการเพียง 60-90 มิลลิกรัมเท่านั้น วิตามินซีพบมากในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ หากร่างกายขาดวิตามินซี อาจมีผลให้เกิดอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เลือดออกตามไรฟัน นอกจากนี้การขาดวิตามินอาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารพิษจากสภาพแวดล้อมได้น้อยลง วิตามินซีมีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง และยังสลายตัวได้ง่าย

ปริมาณวิตามินซีที่จำเป็นต่อมนุษย์

ปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการเพื่อนำไปใช้ดำรงชีวิตตามปกตินั้น พบว่าผู้ใหญ่มีความต้องการวิตามินซี วันละ 60-90 มิลลิกรัม ขณะที่เด็กมีความต้องการวิตามินซี 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร มีความต้องการปริมาณวิตามินซีเพิ่มขึ้นมากกว่าคนปกติ เพราะต้องการปริมาณที่เพียงพอสำหรับมารดาและทารกในครรภ์ ซึ่งมีความต้องการอยู่ระหว่าง 90-100 มิลลิกรัมต่อวัน อีกกรณีหนึ่งที่มีความต้องการวิตามินซีที่สูงกว่าคนปกติคือผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะส่งผลไปลดปริมาณวิตามินซีของร่างกาย จึงต้องการปริมาณวิตามินซีเพิ่มสูงขึ้น อีกประมาณ 35 มิลลิกรัมต่อวัน หรือผู้ที่สูบบุหรี่มีความต้องการวิตามินซีประมาณ 95-125 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินซีในอาหาร
1. วิตามินซีเป็นสารที่สลายตัวง่ายเมื่อมีความร้อน โลหะหนัก และ ascorbic oxidase enzyme ที่มีอยู่ในผลไม้
2. การตากลม ถูกแสง หรือ ความร้อนจะกระทบกระเทือนต่อการสลายตัวของวิตามินซีอย่างมาก
3. การตากแห้งและการเก็บไว้นานๆ หรือผสมกับด่างแม้เพียงเล็กน้อย ทำให้ไม่เหลือวิตามินซีเลย
4. ไม่ควรเติมโซดาในการต้มผัก และผลไม้ถึง แม้จะรักษาสีให้คงที่ก็ตาม
5. การล้างผักและผลไม้ ไม่ควรแช่น้ำนานๆ
6. การแกะสลักและการปอกผลไม้ก็เป็นการทำลาย ควรพยายามเลี่ยง ถ้าเป็นไปได้ใช้เวลาหุงต้มให้สั้นที่สุด
7. การต้มควรจะใช้น้ำหรือน้ำแกงเดือดเต็มที่ก่อนใส่ผัก แล้วปิดฝาทันที
8. ถ้าไม่จำเป็น ไม่ควรหั่นหรือสับ
9. ผักบางชนิดควรต้มหรือนึ่งทั้งเปลือก เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฟักทอง และเผือก
10. หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่ทำด้วยทองแดง

ความสำคัญของวิตามินซี

1. วิตามินซีมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย วิตามินซีมีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซลล์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ
2. ช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด
3. ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของกระดูก กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด โดยวิตามินซีเป็นปัจจัยจำเป็นในการเปลี่ยน proline เป็น hydroxyproline สารนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของคอลลาเจน วิตามินซีช่วยในการสร้างคอลลาเจน ลดการเกิดแผลเป็น ทำให้ผิวนุ่มนวล
4. ช่วยรักษาหลอดเลือดฝอย กระดูก และฟันให้แข็งแรง วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
5. ช่วยในกระบวนการสมานแผลให้หายได้เร็ว วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจากวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาดวิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน
6. ช่วยในการสร้างสารสำคัญในร่างกายของเรา เช่น อีพิเนฟริน (epinephrine) คอร์ติโคสตีรอยด์ (corticosteroids) เป็นต้น
7. วิตามินซียังช่วยให้การดูดซึม ของธาตุเหล็กจากทางเดินอาหารได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย วิตามินซียังจำเป็นสำหรับการ reduce เหล็กจาก ferric เป็น ferrous ในกระเพาะอาหาร ช่วยเพิ่มการดูดซึมของเหล็กในรูปแบบที่เป็น non-heme ในลำไส้ให้มากขึ้น
8. เนื่องจากวิตามินซีเป็น reducing agent ที่ดี จึงถูก oxidize ได้ง่าย ทำหน้าที่เป็น antioxidant ป้องกันสารอื่นไม่ให้ถูก oxidize ได้ง่าย เช่น ป้องกันไม่ให้เกิด oxidation ของ tetrahydrofolate ซึ่งเป็น coenzyme สำคัญที่ใช้ในปฏิกิริยาหลายอย่าง

ประโยชน์ของวิตามินซี

1. เพิ่มความต้านทานต่อการเป็นโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยลดปริมาณไขมันเกาะตัวที่ภายในผนังหลอดเลือด
2. เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี จึงอาจช่วยป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน
3. ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก
4. บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด และไซนัสอักเสบ
5. ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับกรดแพนโทธีนิก โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
6. ช่วยเรื่องความจำ โดยวิตามินซีจะไปช่วยรักษาสภาพของเซลล์ประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากใช้ ร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10

การหาปริมาณของวิตามินซี

การหาปริมาณของวิตามินซี L-ascobic acid ซึ่งเป็น reducing agent ทำได้ด้วยการทำปฏิกิริยากับ 2,6-dichlorophenol indolphenol (เรียกสั้นๆ ว่า dye) ซึ่งมีสีน้ำเงินในสภาพออกซิไดซ์ ในสารละลายที่เป็นกลางหรือเป็นด่าง ให้กลายเป็นสภาพรีดิวซ์ ซึ่งไม่มีสี และเมื่อถึงจุดสิ้นสุดปฏิกิริยา จะได้สีชมพูอมม่วงอย่างถาวร

การใช้วิตามินซีในขนาดสูง

1. ร่างกายของเราต้องการวิตามินซี ประมาณวันละ 90 มิลลิกรัม แต่หากได้รับวิตามินซีมากเกินไป จนถึง 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ก็อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาจเกิดอาการท้องเสีย ทางสายกลางที่น่าจะดีที่สุดคือการรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ
2. แนวคิดของกลุ่มที่ไม่แนะนำให้ใช้วิตามินซีในขนาดสูง มักอ้างถึงการกินวิตามินซีเสริมเพื่อช่วยลดโอกาสการเป็นหวัด หรือช่วยให้หวัดหายเร็วขึ้น หรือลดโอกาสการเป็นมะเร็ง โดยแนะนำให้ใช้ในขนาดสูง ในเรื่องนี้มีรายงานว่า ผู้ที่ป่วยเป็นหวัด มะเร็ง เครียด มักมีระดับของวิตามินซีในร่างกายต่ำกว่าปกติ ซึ่งควรได้รับวิตามินซีให้ได้ในระดับปกติ แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าการกินวิตามินซีในขนาดสูง จะช่วยลดสิ่งเหล่านี้ได้
3. การที่ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลข้างเคียงได้หลายประการ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเกิดจากวิตามินซีไปสร้างความระคายเคืองให้กับกระเพาะอาหาร และหากกินเข้าไปในปริมาณสูงมากๆ อาจทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และไม่มีการสะสมในร่างกาย เมื่อกินในปริมาณที่มากเกิน ร่างกายจะขับทิ้งออกทางไต ซึ่งถ้ากินเข้าไปในปริมาณมากกลับเป็นโทษ คือ ไตจะต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้น เพื่อขจัดวิตามินซีที่ได้รับมากเกินนี้ทิ้งออกไปจากร่างกาย และอาจทำให้เกิดนิ่วที่ไตได้
4. แนวคิดของกลุ่มที่นิยมใช้ วิตามินซีในขนาดสูง มักแนะนำให้รับประทานวิตามินซีอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน และหากต้องการผลในด้านการป้องกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250–1,000 มิลลิกรัม
5. เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรพิจารณารับประทานวิตามินซีร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอยด์ ซึ่งจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน
6. การรับประทานวิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อน และยังไม่มีรายงานว่าวิตามินซีชนิดพิเศษพวกเอสเทอริไฟด์จะให้ผลดีกว่า วิตามินซีชนิดธรรมดา
7. การรับประทานวิตามินซีในปริมาณ สูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ทองแดง ซีลีเนียม และอาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้
8. วิตามินซีทำให้การดูดซึมธาตุ เหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน ควรระวังการใช้วิตามินซีในผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย และผู้ป่วยที่ขาดเอนไซม์ G-6-PD ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติต่อเลือดได้

วิตามินซีกับเด็ก

พ่อแม่หรือผู้ปกครองหลายคนนิยม ให้เด็กอมวิตามินซีจำนวนมาก เพราะราคาไม่แพง วิตามินซีละลายในน้ำและไม่มีการสะสม ผู้ใหญ่ให้เด็กอมวิตามินซี จึงค่อนข้างปลอดภัย ถ้าให้เป็นครั้งคราวเท่านั้น และให้หลังอาหารทันที พร้อมทั้งดูแลเรื่องเหงือก และฟันของเด็กให้ดี การให้วิตามินซีแก่ลูกหลาน ผู้ใหญ่มักมีเจตนาให้วิตามินซีเหมือนขนมหรือลูกอมที่หอมหวานและมีรสชาติอร่อย ซึ่งเข้าใจว่าอาจเป็นประโยชน์แก่เด็กในแง่บำรุงร่างกาย ประกอบกับเด็กก็ชอบอมเป็นประจำ เนื่องจากรสชาติอร่อยเหมือนขนมหรือลูกอมชั้นดี การที่เด็กได้รับวิตามินซีเป็นระยะเวลานานๆ อาจเกิดผลเสียแก่เด็กได้ ทั้งนี้ เพราะวิตามินซีมีรสเปรี้ยวจากการแต่งรส ซึ่งเป็นกรด จะกัดกร่อนทำลายเคลือบฟัน เกิดผลเสียต่อเหงือกและฟันของเด็กได้ ประกอบกับเด็กได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารที่กินเข้าไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้วิตามินซีเสริมเพิ่มเติมแก่เด็ก ด้วยการหาซื้อวิตามินซีให้อม เพราะเกิดผลเสียต่อฟัน และเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
http://www.bangkokhospital.com
http://www.bangkokhealth.com

ไทยรัฐออนไลน์ วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2553

Monday, October 4, 2010

อเมริกาจะเข้าสู่ยุคแห่งความมืด America Goes Dark

อเมริกาจะเข้าสู่ยุคแห่งความมืด ในสายตาของ Paul Krugman โดย สมจินต์ เปล่งขำ สำนักงานส่งเสริมการค้ารระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์อเมริกันที่เคยได้รับรางวัลโนเบิล เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์ เร็วๆนี้ โดยจั่วหัวเรื่องว่า "America Goes Dark"

อเมริกาจะเข้าสู่ยุคแห่งความมืดจริงดังที่ Paul Krugmanเขียนไว้หรือไม่ ลองมาอ่านเรื่องราวในบทความนี้กันก่อนดีกว่า เขาว่าไว้ดังนี้

"ไฟฟ้ากำลังจะดับทั่วอเมริกาอย่างแน่นอน" Colorado Springs สร้างเหตุการณ์ที่ทำให้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์จากความพยายาม (อย่างสิ้นหวัง) ที่จะประหยัดเงินโดยการปิดไฟถนนหนึ่งในสาม แต่เหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่ ฟิลาเดเฟีย ไปจนถึง เฟรสโน (ตะวันออก ไปจนถึง ตะวันตก)

"ประเทศที่ครั้งหนึ่ง (นานมาแล้ว) เคยทำให้โลกตกตะลึง ในวิสัยทัศน์การลงทุนด้านคมนาคม จากคลอง Erie Canal จนถึง ระบบทางหลวงเชื่อมระหว่างรัฐ ปัจจุบันกำลังไม่สามารถแม้แต่จะลาดยางปิดหน้าพื้นถนนตัวเองได้ รัฐบาลท้องถิ่นในหลายมลรัฐต้องปล่อยให้ถนนพังเป็นหลุมเป็นบ่อ เพราะไม่มีงบประมาณที่จะซ่อมบำรุง" เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่น่าประหลาดใจ คนไทยหลายคนที่ได้ไปเยี่ยมเยียนมหานครนิวยอร์ก จะตกใจกับถนนในเมืองใหญ่แห่งนี้ที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ โดยเฉพาะถนน บอร์ดเวย์ บริเวณหน้า วอลล์สตรีท  ซึ่งเป็นจุดที่มีเงินสะพัดในการซื้อขายหุ้นอย่างมหาศาลในแต่ละวัน กลับเต็มไปด้วยหลุม พื้นหน้าถนนเสียหายจนต้องเอาแผ่นเหล็กมาปูทับไว้เป็นระยะๆ เวลาขับรถผ่านก็ต้องคดไปเคี้ยวมาหลบหลุมพวกนี้

"และประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเรื่องการศึกษา เคยเป็นประเทศอันดับต้นของโลกในการให้การศึกษาพื้นฐานกับเด็กๆ เดี๋ยวนี้กลับต้องตัดงบประมาณด้านนี้ ครูถูกลอยแพ โครงการต่างๆถูกยกเลิก และยังมีสัญญาณว่าจะมีการตัดโครงการและงบประมาณเพิ่มอีกในอนาคต"

"คนอเมริกันได้รับการบอกกล่าวว่า เราไม่มีทางเลือกอื่น หน้าที่พื้นฐานของรัฐบาลในการให้บริการที่สำคัญๆต่างๆมาทุกยุคทุกสมัย บัดนี้ไม่สามารถจะหาเงินมาใช้จ่ายได้แล้ว ซึ่งก็เป็นความจริงที่ว่าทั้งรัฐบาลของรัฐฯและรัฐบาลท้องถิ่นเจอมรสุม เศรษฐกิจถดถอย แต่ก็ยังไม่น่าจะต้องรัดเข็มขัดกิ่วแบบนี้ ถ้านักการเมืองจะพิจารณาอย่างน้อยที่สุดก็เรื่องการขึ้นภาษีรายได้ และรัฐบาลกลางที่สามารถออกพันธบัตรระยะยาวในอัตราดอกเบี้ย 1.04% เพื่อป้องกันเงินเฟ้อกลับไม่ต้องรัดเข็มขัดอะไรเลย จึงควรที่จะเสนอให้เงินช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อปกป้องอนาคตของเด็ก (เรื่องการศึกษา) และของโครงสร้างพื้นฐาน (เรื่องคมนาคม)"

"แต่วอชิงตันกลับให้ความช่วยเหลือแบบกะปริบกะปรอย ยิ่งกว่านั้นคือเหมือนไม่เต็มใจ พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตบางพวกพากันพูดแต่ว่า เราต้องให้ความสำคัญอันดับแรกกับการลดการขาดดุลก่อน และยังต้องรักษาระดับการหั่นภาษีพวกคนรวยไว้ที่ต้นทุนงบประมาณ 700 พันล้านเหรียญฯในทศวรรษหน้า ผลก็คือ สิ่งที่นักการเมืองส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ คือ ให้ทางเลือกพวกคนรวยที่สุด (2% ของคนอเมริกัน) ว่า จะกลับไปจ่ายภาษีในอัตราที่เคยจ่ายในยุคเฟื่องฟูของประธานาธิบดีคลินตัน หรือจะยอมให้โครงสร้างพื้นฐานของประเทศต้องแตกสลายไป (โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาและถนนหนทาง) ปรากฎว่าคนรวยสุดๆพวกนี้เลือกอย่างหลัง!!!!! และทางเลือกนี้เป็นมหันตภัยต่อประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว"

"ในระยะสั้น การตัดงบประมาณของรัฐบาลแห่งรัฐฯและรัฐบาลท้องถิ่น จะเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจ และเพิ่มอัตราการว่างงาน"

" สิ่งสำคัญคือ เราต้องคำนึงถึงรัฐบาลแห่งรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นไว้ในใจเสมอ เวลาได้ยินคนโวยเรื่องการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลโอบามาที่ออกนอกลู่นอกทาง ใช่แล้ว รัฐบาลกลางกำลังใช้จ่ายเงินมากขึ้นๆแต่รัฐบาลแห่งรัฐฯและรัฐบาลท้องถิ่น กำลังตั้งหน้าตั้งตาตัดงบประมาณ ซึ่งถ้ารวมสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน จะพบว่า การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวงคือ โครงการตาข่ายรองรับกันตก (Safety-Net Program) เช่น การประกันการว่างงาน ซี่งทำให้ต้องใช้เงินสูงมาก"

" เป็นอันว่างบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ก็คือ เมื่อเราดูการใช้จ่ายของรัฐบาลโดยรวมแล้ว จะเห็นว่าแทบไม่ได้กระตุ้นอะไรเลย และยิ่งการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางยังซ้ำๆรอยเดิมในขณะที่รัฐบาลแห่งรัฐฯและ รัฐบาลท้องถิ่นยังคงตัดงบประมาณต่อไป ผลก็คือเรากำลังเข้าเกียร์ถอยหลัง"

" ทีนี้ดูซิว่า การไม่ขึ้นภาษีคนรวยเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยหรือไม่? คำตอบคือ ไม่ใช่แน่นอน เมื่อเรารักษางานไว้ให้ครูนั่นเป็นการช่วยเหลือเรื่องการจ้างงานอย่างชัดเจน แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น เราเอาเงินมาให้คนรวยสุดๆมากขึ้น มีความเป็นไปได้สูงว่าเงินนั้นจะนั่งอยู่เฉยๆไม่เคลื่อนไหวไปไหน"

" แล้วเรื่องอนาคตของเศรษฐกิจล่ะ? ที่เรารู้มาเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจคือ ประชากรมีการศึกษาดีและโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง เป็นส่วนสำคัญ ประเทศที่กำลังเจริญเติบโตทั้งหลายต่างก็เร่งพละกำลังอย่างใหญ่หลวงเพื่อยก ระดับคุณภาพถนน, ท่าเรือ, โรงเรียน แต่ในอเมริกา เรากำลังเดินถอยหลัง"

" เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? มันเป็นผลสืบเนื่องมา 3 ทศวรรษของการปลุกปั่นให้แอนตี้รัฐบาล การปลุกปั่นซึ่งทำให้คนที่ลงคะแนนเลือกตั้งเชื่อว่า หนึ่งดอลล่าร์ที่ถูกเก็บภาษีไปเป็นหนึ่งดอลล่าร์ที่สูญเปล่า และภาครัฐบาลไม่สามารถทำอะไรที่ถูกต้องได้เลย การรณรงค์แอนตี้รัฐบาลมักจะมาในรูปวลีจากฝ่ายค้านว่า สูญเปล่าและขี้โกง (Waste and Fraud) ซี่งจริงๆแล้ว การสูญเปล่าและขี้โกงไม่ได้มีมากมายขนาดที่ถูกกล่าวหา ตอนนี้การรณรงค์ได้มาถึงจุดแล้ว เรากำลังได้เห็นเป้ายิงว่าใครควรจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ การบริการซึ่งทุกคน (ยกเว้นคนรวย)ต้องการ การบริการซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้ให้ เช่นไฟข้างถนน, ถนนที่รถวิ่งได้, และโรงเรียนรัฐบาลที่มีมาตรฐานและเพียงพอสำหรับประชาชน ฯลฯ"

" ผลลัพธ์สุดท้ายของการรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลอันยาวนาน ก็คือ เราได้เลี้ยวผิดทางอย่างอันตรายที่สุด อเมริกากำลังอยู่บนถนนที่ไม่ได้ลาดยางและไม่มีไฟ ซึ่งจะไม่ได้พาเราไปสู่ที่ไหนทั้งสิ้น"

Paul Krugman จบข้อเขียนของเขาอย่างคมชัดตามแบบฉบับ ถึงแม้จะฟังดูค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็ยังแฝงการกระตุ้นทั้งฝ่ายรัฐบาลและประชาชนให้หันมาสนใจต่อการแก้ไข ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศอย่างจริงจัง และสนับสนุนความคิดของเขาที่จะให้เก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น แน่นอนเรื่องนี้จะกลายเป็นประเด็นใหญ่อย่างแน่นอนในการหาเสียงเลือกตั้งที่ กำลังใกล้เข้ามา เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลกำลังถูกโจมตีอย่างมากในเรื่องการใช้งบกระตุ้น เศรษฐกิจที่ล้มเหลว และการอุ้มคนรวย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี หรือการให้ความช่วยเหลือบริษัทการเงินใหญ่ๆที่มีปัญหา คงต้องดูกันว่า รัฐบาลโอบามาจะบริหารประเทศผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร

ที่มา: อเมริกาจะเข้าสู่ยุคแห่งความมืด เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 16 กันยายน 2553

อ่านภาษาไทยแล้ว ลองอ่านภาษาอังกฤษต้นฉบับดูครับ
America Goes Dark
By PAUL KRUGMAN
Published: August 8, 2010

The lights are going out all over America — literally. Colorado Springs has made headlines with its desperate attempt to save money by turning off a third of its streetlights, but similar things are either happening or being contemplated across the nation, from Philadelphia to Fresno.
Fred R. Conrad/The New York Times

Meanwhile, a country that once amazed the world with its visionary investments in transportation, from the Erie Canal to the Interstate Highway System, is now in the process of unpaving itself: in a number of states, local governments are breaking up roads they can no longer afford to maintain, and returning them to gravel.

And a nation that once prized education — that was among the first to provide basic schooling to all its children — is now cutting back. Teachers are being laid off; programs are being canceled; in Hawaii, the school year itself is being drastically shortened. And all signs point to even more cuts ahead.

We’re told that we have no choice, that basic government functions — essential services that have been provided for generations — are no longer affordable. And it’s true that state and local governments, hit hard by the recession, are cash-strapped. But they wouldn’t be quite as cash-strapped if their politicians were willing to consider at least some tax increases.

And the federal government, which can sell inflation-protected long-term bonds at an interest rate of only 1.04 percent, isn’t cash-strapped at all. It could and should be offering aid to local governments, to protect the future of our infrastructure and our children.

But Washington is providing only a trickle of help, and even that grudgingly. We must place priority on reducing the deficit, say Republicans and “centrist” Democrats. And then, virtually in the next breath, they declare that we must preserve tax cuts for the very affluent, at a budget cost of $700 billion over the next decade.

In effect, a large part of our political class is showing its priorities: given the choice between asking the richest 2 percent or so of Americans to go back to paying the tax rates they paid during the Clinton-era boom, or allowing the nation’s foundations to crumble — literally in the case of roads, figuratively in the case of education — they’re choosing the latter.

It’s a disastrous choice in both the short run and the long run.

In the short run, those state and local cutbacks are a major drag on the economy, perpetuating devastatingly high unemployment.

It’s crucial to keep state and local government in mind when you hear people ranting about runaway government spending under President Obama. Yes, the federal government is spending more, although not as much as you might think. But state and local governments are cutting back. And if you add them together, it turns out that the only big spending increases have been in safety-net programs like unemployment insurance, which have soared in cost thanks to the severity of the slump.

That is, for all the talk of a failed stimulus, if you look at government spending as a whole you see hardly any stimulus at all. And with federal spending now trailing off, while big state and local cutbacks continue, we’re going into reverse.

But isn’t keeping taxes for the affluent low also a form of stimulus? Not so you’d notice. When we save a schoolteacher’s job, that unambiguously aids employment; when we give millionaires more money instead, there’s a good chance that most of that money will just sit idle.

And what about the economy’s future? Everything we know about economic growth says that a well-educated population and high-quality infrastructure are crucial. Emerging nations are making huge efforts to upgrade their roads, their ports and their schools. Yet in America we’re going backward.

How did we get to this point? It’s the logical consequence of three decades of antigovernment rhetoric, rhetoric that has convinced many voters that a dollar collected in taxes is always a dollar wasted, that the public sector can’t do anything right.

The antigovernment campaign has always been phrased in terms of opposition to waste and fraud — to checks sent to welfare queens driving Cadillacs, to vast armies of bureaucrats uselessly pushing paper around. But those were myths, of course; there was never remotely as much waste and fraud as the right claimed. And now that the campaign has reached fruition, we’re seeing what was actually in the firing line: services that everyone except the very rich need, services that government must provide or nobody will, like lighted streets, drivable roads and decent schooling for the public as a whole.

So the end result of the long campaign against government is that we’ve taken a disastrously wrong turn. America is now on the unlit, unpaved road to nowhere.

Source: Op-Ed Columnist (c) 2010 The New York Times [August 8, 2010]

ว.วชิรเมธี -วิสัยทัศน์-วิสัยธรรม

จิตวิทยาแนวพุทธบอกเราว่า ความคิดจะเกิดขึ้นในหัวของเราทีละเรื่อง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราโกรธ แค่เพียงเราเปลี่ยนไปคิดในเรื่องอื่นซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้โกรธ.....

เรื่อง : ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

1.การเมืองไม่ใช่เรื่องสกปรก ตรงกันข้ามเป็นเรื่องที่ประเสริฐเลิศล้ำที่สุด เพราะหัวใจของการเมืองก็คือ การอุทิศตนรับใช้เพื่อนมนุษย์และประเทศชาติให้มีสันติสุข ที่เราเห็นกันว่า การเมืองเป็นเรื่องสกปรกนั้น เป็นเพราะมี “คนสกปรก” เข้าไปสู่วงการเมืองเท่านั้น การเมืองโดยตัวมันเองเป็นสิ่งประเสริฐสุด

2.เกราะป้องกันการทุจริตที่ดีที่สุดไม่ใช่กฎหมายที่ตราไว้อย่างรัดกุม เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่คือการมีค่านิยมไม่ยอมรับการทุจริตอย่างเข้มแข็งของประชาชนต่างหาก เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนเห็นว่า การทุจริตคือ “บาปมหันต์” เมื่อนั้นการทุจริตก็จะลดน้อยลงไปเอง

3.คนที่จะได้รับประโยชน์จากการให้อภัยเป็นคนแรกก็คือตัวเราผู้ให้อภัย นั่นเอง คนที่ไม่ยอมให้อภัยก็คือ คนที่กักขังตัวเองไว้ในคุกของความเจ็บปวดอันยาวนาน

4.อย่าด่วนสรุปว่าคนเลวจะต้องเลวตลอดไป ในความเป็นคนเลวนั้น ย่อมมีเหตุผลอันควรรับฟังเสมอ คนเลวก็เป็นเพียงแค่คนที่ทำผิดพลาด ในแง่ของศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว เขายังคงมีอยู่ครบทุกประการ การฆ่าคนเลวด้วยความรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คน หรือเขาเป็นคนที่สมควรฆ่า เพราะมีค่าแห่งความเป็นคนต่ำกว่าเรา เป็นทัศนคติที่อันตราย

5.การทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมือง คือ ต้นธารของความล้มเหลวร่วมกันของคนทั้งประเทศ ในทางกลับกัน ความสุจริตของนักการเมืองก็เป็นหลักประกันสันติสุขของคนทั้งประเทศร่วมกัน

6.ประเทศที่ประชาชนยอมรับว่าการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นสิ่งสามัญที่ “ควรทำ” เพราะ “ใครๆ เขาก็ทำกัน” คือประเทศที่กำลังย่างบาทก้าวเข้าสู่ความเป็นรัฐที่ล้มเหลว

7.อย่าคิดว่าความรุนแรงจะต้องมาจากปลายกระบอกปืนหรือจากแรงระเบิดเท่า นั้น ความไม่รู้หนังสือ ความอยุติธรรม ความยากจน ภาวะทุพโภชนาการ และการมอมเมาประชาชนด้วยข้อมูลเท็จ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความรุนแรงทั้งสิ้น และเป็นรากฐานของความรุนแรงที่ปะทุผ่านปลายกระบอกปืนและแรงระเบิดด้วย

8.เราแต่ละคนต่างก็มีส่วนหล่อเลี้ยงให้เกิดความรุนแรงไม่มากก็น้อย การที่เรายึดติดในความคิดเห็นของตัวเองอย่างเข้มข้น จนไม่เปิดใจฟังคนที่คิดต่าง ก็ทำให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงได้แล้ว

9.การที่หลักจริยธรรมซึ่งควรเป็นบรรทัดฐานของสังคมถูกเมินเฉยก็เพราะว่า เรามักจะนำเสนอสิ่งเหล่านี้ในฐานะที่เป็นหลักการทางศาสนา และด้วยท่าทีลีลาที่เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ หากเราลองเปลี่ยนการนำเสนอแนวทางของจริยธรรมเสียใหม่ โดยชี้ให้เพื่อนมนุษย์ของเราเห็นว่า หลักจริยธรรม ก็คือ หลักประกันความสุขในชีวิตของเราแต่ละคน ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ ใครทำ คนนั้นก็มีชีวิตที่ดี ใครไม่ทำ คนนั้นก็กำลังปฏิเสธการมีชีวิตที่ดี การมีจริยธรรมควรเริ่มจากการเห็นคุณค่าของจริยธรรม ไม่ใช่เริ่มจากการยัดเยียดมาจากเบื้องบนหรือในนามของการสั่งการโดยอำนาจรัฐ

10.ทุกสิ่งที่เราลงมือทำ ไม่ว่าจะด้วยความมีสติ หรือขาดสติก็ตาม ในที่สุดแล้ว การกระทำของเราจะส่งผลสะเทือนต่อมนุษยชาติในแง่ใดแง่หนึ่งเสมอ หากเธอไม่เชื่อ ก็ลองโยนหินสักก้อนหนึ่งลงในธารน้ำดูสิ

11.ในขณะที่นักหนังสือพิมพ์กำลังตรวจสอบนักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะนั้น สังคมก็กำลังตรวจสอบนักหนังสือพิมพ์ด้วยเช่นเดียวกัน

12.ในบางกรณีเรามักจะคอยสมเพชคนอื่น โดยหารู้ไม่ว่า บ่อยครั้งคนที่ควรสมเพชก็คือ ตัวเราเอง ซึ่งในบางสถานการณ์ทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรดี แต่กลับไม่ทำ และทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรไม่ดี แต่กลับตั้งใจทำลงไปแล้ว

13.ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับคนซึ่งปราศจากสตินั้น เป็นความทุกข์ที่น่าสงสาร เพราะมัน (ทุกข์) จะไม่ได้รับการประเมินค่าอย่างถูกต้อง ในทางพุทธศาสนา เราถือกันว่า ความทุกข์เป็นครูผู้มาปลุกให้ตื่น แต่สำหรับคนขาดสติ เมื่อความทุกข์มาปลุก เขาจะลุกไม่ขึ้นเพราะมัวแต่ “เป็น” ทุกข์ จนมองไม่ “เห็น” ทุกข์

14.การที่สื่อมวลชนได้รับการยกย่องว่าเป็นฐานันดรที่สี่นั้น ไม่ใช่เพราะว่าเป็นผู้มีอิทธิพลที่จะให้ร้าย ตรวจสอบ หรือจะสนับสนุนพรรคการเมืองไหนให้เป็นรัฐบาลก็ได้เท่านั้น แต่การเป็นฐานันดรที่สี่ควรหมายความว่า นักหนังสือพิมพ์สามารถใช้ศักยภาพของตนเปลี่ยนแปลงทิศทางของสังคม ประเทศ และโลก ให้เป็นไปในทิศทางที่ประเสริฐได้อย่างมีพลังมากกว่าคนในวงการอื่นๆ ศักยภาพด้านนี้ สื่อมวลชนในประเทศของเราดูเหมือนจะยังไม่ค่อยตระหนักกันมากนัก สื่อกระแสหลักไม่น้อย จึงเน้นแต่บทบาทเชิงพาณิชย์และการขายชานอ้อยของความคิดเห็นไปแบบวันต่อวัน

15.จิตวิทยาแนวพุทธบอกเราว่า ความคิดจะเกิดขึ้นในหัวของเราทีละเรื่อง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราโกรธ แค่เพียงเราเปลี่ยนไปคิดในเรื่องอื่นซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้โกรธ ด้วยวิธีย้ายความคิดง่ายๆ เพียงแค่นี้ ความโกรธก็จะสลายตัวลงโดยอัตโนมัติ

16.คนที่รวยล้นฟ้าด้วยการทำมาหากินอย่างสุจริตนั้น หากเขายังไม่รู้จักแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ ก็ยังไม่นับเป็นคนที่ควรยกย่องแต่อย่างใด เขาเป็นได้อย่างดีก็แค่คนที่ครอบครองทรัพยากรเงินมากกว่าคนอื่นเท่านั้น

17.ความมั่นคงทางจิตใจ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่เป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามมากที่สุด

ที่มา: โพสต์ทูเดย์ดิจิตอล/โพสต์ทูเดย์ดอทคอม วิสัยทัศน์-วิสัยธรรม โดย ว.วชิรเมธี * 29 สิงหาคม 2553

พื้นฐานความคิด (ต้อง) อยู่ที่คิดบวก

ความคิดของคนเรามีส่วนสำคัญอย่างมากในการดำเนินชีวิต หากมองในแง่ดีเป็นพื้นฐานแล้ว
ชีวิตของผู้นั้นก็จะเป็นชีวิตที่ทุกข์น้อย แต่สุขมาก


เรื่อง...วรธาร ทัดแก้ว

ความคิดของคนเรามีส่วนสำคัญอย่างมากในการดำเนินชีวิตรวมถึงเรื่องงาน ถ้าใครมีความคิดในเรื่องของการดำเนินชีวิตในเชิงบวก มองในแง่ดีเป็นพื้นฐานแล้ว ชีวิตของผู้นั้นก็จะเป็นชีวิตที่ทุกข์น้อย แต่สุขมาก หรือแทบจะไม่ทุกข์ ในส่วนของเรื่องงานก็ช่วยทำให้มีพลังในการทำงาน หรือทำงานแบบมีชีวิตชีวา สนุกกับงาน ทำงานสำเร็จได้เร็วพลัน ไม่ท้อแท้ ไม่รู้สึกว่างานยากเกินไป ช่วยให้บรรยากาศดี ไม่หดหู่ซึมเศร้า เป็นต้น ในทางกลับกันถ้าใครคิดหรือมองแต่ทางลบ ชีวิตของผู้นั้นก็คงจะหนีไม่พ้นความวุ่นวายที่ประดังเข้ามาไม่หยุด เพราะว่าการคิดหรือการมองแต่ทางลบนั้นย่อมก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ซึ่งถ้าเปรียบความคิดเชิงลบก็เหมือนกับการราดน้ำมันไว้รอไฟให้มาติดและลุก ไหม้นั่นเอง

อาจารย์รัศมี ธันยธร ศิษย์ของ ดร.เอเวิร์ด เดอ โบโน ปรมาจารย์ด้านความคิดสร้างสรรค์ ผู้อำนวยการสถาบันความคิดสร้างสรรค์ ได้แนะนำเคล็ดลับง่ายๆ 3 ประการ ในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข และงานก็ไปได้ดีและประสบความสำเร็จ

ฝึกมองส่วนดีที่ 95%

อาจารย์รัศมี กล่าวว่า ในโลกนี้ธรรมชาติจะมีสิ่งที่เป็นทั้งบวกและลบ ไม่มีบวกอย่างเดียวหรือลบอย่างเดียว โดยส่วนดีจะมีประมาณ 95% อีก 5% เป็นส่วนไม่ดีหรือส่วนที่ไม่ถูกใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ให้มองไปที่ 95% ไว้ก่อน

“คือพยายามมองไปส่วนที่ดีเข้าไว้ โฟกัสไปที่ 95% เข้าไว้ ห้ามมองที่ 5% ซึ่งเป็นส่วนไม่ดีเป็นอันขาด เพราะแม้ว่าจะแค่ 5% ซึ่งน้อยนิด แต่ก็ทำให้ชีวิตและจิตใจของทุกคนมัวหมอง เป็นทุกข์กังวลได้มากทีเดียว เช่น วันนี้เห็นคนอื่นขับรถปาดหน้า ปาดหลัง คันหลังก็บีบแตรลั่นถนน แทนที่จะโกรธเคืองทั้งสองคน ก็มาคิดในทางที่ดีว่าที่เขาทำอย่างนั้นคงมีเหตุผลของเขา ซึ่งถ้าไม่มีเหตุผลเขาคงไม่ทำ เป็นต้น ซึ่งการคิดหรือการมองในลักษณะอย่างนี้คือการคิดหรือการมองเชิงบวก โดยการโฟกัสไปที่ 95% ทั้งนี้เพราะถ้าเราคิดโกรธคนที่ขับรถปาดหน้า ปาดหลัง หรือคิดด่าคนที่บีบแตรข้างหลัง นั่นก็หมายความว่าเราเอาใจของเราโฟกัสไปที่ 5% ซึ่งเกิดผลเสียแน่นอน”

ผู้อำนวยการสถาบันความคิดสร้างสรรค์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแต่เช้าต้องคิดบวก มองบวกไว้ก่อน โดยมองไปที่ 95% เท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี เหตุการณ์ไม่เป็นที่พอใจ ใครจะด่าหรือใครจะว่าอะไร ก็ต้องฝึกมองเรื่องนั้น คนนั้นในแง่ดีไว้ก่อน แล้วอะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น ปัญหาและความยุ่งยากก็จะไม่เกิดให้ต้องปวดหัว แต่ถ้าคิดว่าทำไมขับรถอย่างนี้ ขับไม่ได้เรื่อง ไม่เคารพกฎหมาย เป็นต้น ก็จะทำให้อารมณ์เสียได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นตื่นมาจุดสตาร์ตที่ดีที่สุดคือ คิดบวกไว้ก่อนที่ 95%

เลี่ยงส่วนเสีย 5%

อาจารย์รัศมี กล่าวต่อว่า สิ่งที่ควรระวังก็คือพยายามเลี่ยงส่วนเสีย 5% นั้นอยู่เสมอ อย่าเผลอให้ใจเราไปคิดกับเรื่องที่ไม่ดีแค่น้อยนิดนั้น เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้จะแค่ 5% แต่ 95% ก็สู้ไม่ได้ เพราะว่าพลังของ 5% นั้นใหญ่มาก สามารถที่จะทำให้จิตใจของคนเราหวั่นไหว หมองหม่น เศร้าซึม ไม่มีความสุข และเต็มไปด้วยความทุกข์ จนหมดแรงกายแรงใจที่จะทำงานและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขได้

ผู้อำนวยการสถาบันความคิดสร้างสรรค์ กล่าวต่อว่า แม้ว่า 5% จะเป็นเรื่องจริงที่เห็นแล้วยากที่จะยอมรับได้ แต่ก็ต้องพยายามมองเรื่องนั้นในแง่ดีไว้ก่อน เช่น ตื่นมาเห็นบรรยากาศข้างนอกมัวๆ ก็คิดว่าดีเหมือนกัน วันนี้ไม่มีแดด อากาศไม่ร้อนดี แต่ถ้าใสขึ้นมา แดดจ้า โอ๋...วันนี้อากาศสดใส แดดจ้า สว่างดีจริงๆ อย่างนี้ต้องหาอะไรเย็นๆ กิน เป็นต้น

“เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดนอกจากฝึกมองไปที่ 95% แล้ว จะต้องเลี่ยงส่วนที่เป็น 5% นั้นด้วย คือ ต้องฝึกที่จะไม่ทำให้เรื่องต่างๆ แค่ 5% นั้นเกิดปัญหาเพิ่มพูนขึ้นในใจอีกด้วย” อาจารย์กล่าว

คิดทำดีต่อคนอื่น

อาจารย์รัศมี กล่าวว่า การที่ตื่นมาในตอนเช้าการคิดจะทำอะไรสักอย่างให้คนอื่นได้ชื่นใจเป็นสิ่งที่ ควรทำอย่างยิ่ง โดยเริ่มต้นตั้งแต่ทำกับคนในครอบครัวก่อน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เช่น การพูดจาดีๆ การทำอาหารให้ทาน การถามไถ่สุขภาพ เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว

“เมื่อทำกับคนที่อยู่ในบ้านแล้ว ก็คิดทำกับคนอื่นๆ เช่น สมมติวันนี้ขับรถไปทำงานก็คิดว่าจะให้ทางกับคนที่ต้องการจะเปลี่ยนเลนสัก 3 คน หรือว่าเวลาที่ขึ้นรถเมล์จะหยุดให้คนอื่นขึ้นก่อนแล้วขึ้นทีหลัง เป็นต้น ซึ่งความคิดอย่างนี้ถือเป็นความคิดที่สร้างสรรค์ ได้ทำแล้วก็มีความสุข และเป็นความสุขที่ไม่จำเป็นต้องมีคนมาเชิดชูสรรเสริญ แต่เราจะรู้เองจากความคิดและการกระทำของเรา”

อาจารย์รัศมี กล่าวต่อว่า คนเราสามารถที่จะคิดดี พูดดี และทำดีต่อคนอื่นได้เสมอ โดยให้ยึดหลัก 95% และเลี่ยง 5% ที่กล่าวมาข้างต้นให้ได้ อย่าเอาทั้งสองอย่างมาผสมผสานกันเป็นอันขาด เดี๋ยวจะยุ่งกันใหญ่

เพราะฉะนั้นคนเราสำคัญที่สุดอยู่ที่ถ้าความคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยนด้วย ถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุข การงานไปโลด ก็ต้องโฟกัสความคิดไปที่ 95% เท่านั้น ห้ามดึงเอา 5% มาเกี่ยวข้องด้วย

ที่มา: โพสต์ทูเดย์ดอทคอม พื้นฐานความคิด (ต้อง) อยู่ที่คิดบวก โดย วรธาร ทัดแก้ว 23 สิงหาคม 2553

===
เรื่องไม่ดีต้องวางอุเบกขา "ตถตา-มันเป็นเช่นนั้นเอง" ตั้งจิตอยู่ ตรงกลางระหว่าง + และ - คือ "0 = สุญญตา" แล้วจะมีสุข

สมการความสำเร็จของชีวิต = ความสามารถ x ความพยายาม x ทัศนคติ
ตัวแปรคือทัศนคติ ถ้าทัศนคติเป็นลบ ผลจะออกมาเป็นลบทั้งหมด
(โดย montol)