Monday, October 4, 2010

ว.วชิรเมธี -(คาถา)ศิลปะการป้องกันตัว(ให้หมดทุกข์ มีสุข)

คาถาบทนี้น่ะมีความขลังอย่างเหลือเชื่อต่อวิถีชีวิตซึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความไม่แน่นอนของคนเราได้เป็นอย่างดี....

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

ครั้งยังเป็นนักเรียนประถม โรงเรียนเคยจัดให้หน่วยทหารพัฒนาเข้ามาฝึกสอนวิชาศิลปะการป้องกันตัว เช่น มวยไทยให้นักเรียนทั้งโรงเรียนอยู่พักใหญ่ ศิลปะการป้องกันตัวเหล่านั้นตั้งแต่เรียนมาผู้เขียนยังไม่เคยได้ใช้เลย

แต่พอเข้ามาสู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ก็ได้มาพบกับศิลปะการป้องกันตัวอีก แบบหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนเสร็จแล้วก็ได้ใช้ทันที และใช้ได้ผลมาโดยตลอด ถึงขนาดที่ว่าพอ “ทุกข์กระทบ–ธรรมกระเทือน” ทันที

ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานองคมนตรี ก็เคยเล่าว่า ท่านได้รู้จักศิลปะการป้องกันตัวมาเช่นเดียวกันกับผู้เขียน “...สวนโมกข์เป็นอย่างไร ผมหลับตาเห็นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ผมภาวนา ‘สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ’ ซึ่งเป็นคาถาประจำใจผม...ผมนับถือคาถานี้มากเพราะช่วยผมในยามลำบากคับขัน ซึ่งผมได้เคยประสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ผมเผอิญเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ในเวลานี้ คาถานี้ก็ยังช่วยผมได้ในทุกสถาน ทุกกาลเวลา...”

ไฮโซสาวคนหนึ่งซึ่งหากเอ่ยชื่อขึ้นมาหลายคนคงร้องอ๋อ เพราะรู้จักดี ก็นับถือคาถาเดียวกันกับอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ มากเรื่องราวในชีวิตจริงของเธอน่าจะเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดี ดังที่เธอเคยถ่ายทอดเอาไว้อย่างละเมียดละไมในนิตยสารเล่มหนึ่ง

มนมาที่นี่ทุกวันอาทิตย์ ทุกครั้งที่มามนมีสีหน้าสดชื่น รื่นเริง อิ่มบุญเสมอ มนไม่เคยรบกวน ไม่เคยถามข้ออรรถข้อธรรม มนทำนั่นทำนี่สารพัด เหมือนเป็นคนวัดคนหนึ่ง แล้วมนก็กลับไป ไม่บอกกล่าว ไม่ล่ำลา ไม่รบกวน ไม่พูดมาก แต่ใครต่อใครที่นี่ก็รู้ดีว่ามนเป็นคนดี หรืออาจจะดีมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ มนไปๆ มาๆ เป็นอย่างนี้อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนเวลาผ่านนับนานหลายเดือนเคลื่อนเข้าสู่ปี และปีกว่า

แต่แล้ววันหนึ่ง มนดูเศร้าๆ ผิดปกติไปเล็กน้อย คนนอกไม่เคยมีใครสังเกตเห็น แต่หลวงพ่อเห็น หลวงพ่อรู้ดีว่ามนทุกข์ แต่มนไม่พูด มนยังคงทำตัวตามปกติ แต่มนเอ๋ย เธอจะหลอกใครหรือแม้กระทั่งหลอกตัวเองก็หลอกไปเถอะ แต่จะหลอกหลวงพ่อนั้นไม่สนิทหรอก ไม่ใช่หลวงพ่อเป็นพระอริยะนะมน จึงจะได้เที่ยวรู้ใจใครต่อใครเขาไปทั่ว แต่คนมีความสุขจริงๆ กับคนที่เสแสร้งแสดงตนว่ามีความสุขนั้นมันไม่เหมือนกันหรอก

มนกรวดน้ำรับพรเสร็จแล้วก็เงยหน้าสบสายตาหลวงพ่อที่ตนเคารพอย่างเต็ม หัวใจ สายตาของมนปะทะเข้ากับแววตาทอประกายเปี่ยมเมตตาของหลวงพ่อวัยกลางคน แต่สุขุม ลุ่มลึก ท่วงทีกิริยาบอกชัดว่าหลวงพ่อเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาเจนโลกจบธรรมอย่างไม่ต้อง สงสัย
พลันที่สบสายตาเปี่ยมการุณยธรรมจากหลวงพ่อ ยังไม่ทันพูดอะไรออกมาสักคำ มนก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ทำไม ทำไม ทำไมมนถึงร้องไห้ก็ไม่รู้ หลวงพ่อคะ มนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร มนเสียใจ มนทุกข์ แต่มนไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หลวงพ่อปล่อยให้มนร้องไห้จนสาแก่ใจ จนสายน้ำตาของมนเหือดแล้วจึงถามขึ้นเบาๆ

“เอาละ ร้องเสียให้พอ จากนั้นก็เล่าให้หลวงพ่อฟังซิว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”

“สามีของมนค่ะหลวงพ่อ เค้า เค้า แอบไปมี...มี”

“เอาละมน หลวงพ่อเข้าใจ”

เพียงหลวงพ่อพูดว่า “หลวงพ่อเข้าใจ” ใจอันเร่าร้อนปานกองเพลิงของมนก็เหมือนถูกรินรดด้วยน้ำฝนจากฟ้า สติของมนคืนกลับมาวูบใหญ่ ทำให้มนรีบเอามือปาดน้ำตาด้วยความอาย พยายามหักห้ามใจตัวเองให้อยู่ในอารมณ์สงบและเป็นปกติที่สุด มนสงสัย ทั้งๆ ที่หลวงพ่อยังไม่ทันได้พูดอะไร ทำไมทุกข์ของมนจึงหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลวงพ่อมีปาฏิหาริย์หรือ หรือว่า...

“มน หลวงพ่อไม่มีปาฏิหาริย์อะไรหรอก ทุกข์ของมนน่ะมันไม่มากมายอะไรนักหรอก ถ้ามนรู้จักที่จะ ‘ระบาย’ มันออกมาเสียบ้าง ที่มนรู้สึกดีขึ้นน่ะเพราะมนได้ระบายมันออกมาเท่านั้นเอง คนเราน่ะมน หลวงพ่อจะบอกให้ มีสุขมีทุกข์กันมากมายในชีวิตทั้งนั้นแหละ แต่ละชีวิตของคนเราก็เหมือนกับก้อนทุกข์ก้อนหนึ่ง ก้อนทุกข์ของเธอก็ก้อนหนึ่ง ก้อนทุกข์ของสามีเธอก็ก้อนหนึ่ง ของลูกเธอก็ก้อนหนึ่ง สามคนก็สามก้อนทุกข์ นี่ ‘เขา’ ไปมีคนใหม่อีก ก็เลยเพิ่มทุกข์มาอีกก้อนหนึ่ง แต่มนเอ๋ย ถ้าเธอรู้จักถ่ายเทความทุกข์ออกมาจากอกเสียบ้าง ไม่หวงความทุกข์นั้นไว้ทุกข์คนเดียว เธอก็จะไม่ทุกข์หนักอยู่คนเดียวอีกต่อไป”

“แต่หลวงพ่อคะ ถึงหนูจะระบายให้ใครฟัง ก็ใช่ว่าจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้”

“ใจเย็นไว้มน แม้ทุกอย่างจะไม่ดีขึ้นมาทันตาเห็น แต่อย่างน้อยเธอก็จะไม่ตายเสียก่อนเพราะทน ‘แบกทุกข์’ ไว้ไม่ไหว หลวงพ่อจะบอกอะไรให้นะ คนเราที่ตายๆ กันน่ะ ไม่ได้ตายเพราะความทุกข์หรอก แต่เขาตายเพราะทนแบกทุกข์ไม่ไหวต่างหาก เพราะฉะนั้นถ้าเธอมีทุกข์ จงอย่าแบกทุกข์เอาไว้คนเดียว หาใครสักคนหนึ่งไว้ปรับทุกข์ ระบายทุกข์ออกมาข้างนอกเสียบ้าง ทุกข์นั้นจะเบาบางลง”
คำปลอบโยนของหลวง พ่อทำให้มนหูตาสว่างขึ้นมาทันที อย่างนี้หรือเปล่านะที่เขาว่าพระมาชี้ทางสวรรค์ให้ ทุกข์ “ของเรา” เราหนักอกมาแรมเดือนแรมปี แต่พอเปิดใจให้หลวงพ่อฟัง มันพังทลายลงมาอย่างง่ายดายเหมือนปราสาททรายถูกคลื่นซัด

วันนั้นมนกราบลาหลวงพ่อกลับไปบ้าน พลางท่องคาถาที่หลวงพ่อให้มา “สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ : สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น” ไม่มีความยึดติดถือมั่นใดที่จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ มีรองเท้าคู่หนึ่ง รองเท้าหายก็ทุกข์แทบตาย เพราะคิดว่ามันเป็นรองเท้า “ของเรา” ทั้งๆ ที่รองเท้ามันไม่เคยคิดเหมือนเราสักหน่อย รองเท้าไม่เคยรู้สึกว่ามันมี “เจ้าของ” รองเท้าจึงไม่ทุกข์ เราต่างหากเที่ยวยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาเป็นของเรา เที่ยวแสดงความเป็นเจ้าของกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปทั่ว พอมันไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา จึงมานั่งตรอมตรมระทมทุกข์

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา มนไม่เคยเสียเวลานั่งรอเขากลับมาอีก มนอยู่กับลูกสาวสองคนอย่างเข้มแข็ง ด้วยเชื่อมั่นในคำของหลวงพ่อ มนบอกกับตัวเองว่า มนจะไม่เสียเวลากับคนที่มองไม่เห็นคุณค่าของเราอีก ชีวิตมีอะไรให้ทำมากกว่าการมานั่งรอใครสักคนซึ่งมองไม่เห็นคุณค่าของตนอย่าง แท้จริง มนเชื่อว่าของทุกอย่าง หรือคนทุกคน ถ้าเราไม่ยึดมั่นว่ามัน “ต้อง” เป็นของเรา มันก็ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ แต่พอเราไปยึดว่ามันต้องเป็นของเราเข้าเมื่อไร แม้แก้วน้ำสักใบหนึ่งซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจแท้ๆ แต่กระนั้นมันก็อาจทำให้เราทุกข์ปางตายได้
ตั้งแต่วันที่ได้เปิดใจกับ หลวงพ่อเป็นต้นมา มนก็ตั้งต้นชีวิตใหม่ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความฟุ้งซ่านวุ่นวาย ทิ้งความเจ็บปวดไว้เบื้องหลัง มนเตือนตัวเองว่า การเกิดมาเป็นคนใช่ของง่าย อย่าเสียเวลามากมายกับเรื่องไร้สาระ อะไรพึงทำก็ควรทำให้ดีที่สุด ก้าวหน้าต่อไป และทำสิ่งที่ทำอยู่ในวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะชีวิตนั้นไม่ยืนยาวอย่างที่คิด

ผ่านไปเพียงห้าเดือนมนก็เข้มแข็ง สามารถหยัดยืนด้วยตัวเองได้และ “เขา” คนใหม่ก็ผ่านเข้ามา เขาคือเพื่อนที่เคยชอบพอกันมาสมัยเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกลับมาของเขาทำให้ชีวิตของมนมีความหมายมากขึ้นเพียงไร แต่มนก็ยังคงท่องคาถาที่หลวงพ่อให้ไว้ว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ” อยู่เสมอๆ แต่...อนิจจา เขามาสู่ชีวิตของมนได้เพียงปีกว่าก็จากมนไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ก็นั่นแหละนะเสร็จงานศพเขาแล้วมนก็เลิกแต่งชุดดำ จากนั้นก็ดำเนินชีวิตของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนร่วมงานสงสัยว่าทำไมไม่เห็นพี่มนเศร้าสร้อยเลย ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มนบอกว่า

“ความโศกเศร้าจะเกิดขึ้นก็เฉพาะกับคนที่ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ’ เท่านั้นแหละจ้ะ”

“อะไรน่ะพี่มน หนูไม่เห็นเข้าใจ ภาษาต่างด้าวอะไรของพี่”

สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ แปลว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น ท่องไว้เถอะจ้ะ สักวันหนึ่งเธอจะรู้เองว่าคาถาที่พี่ท่องอยู่ประจำนี้มันจะช่วยชีวิตเธอได้ อย่างไร สำหรับพี่ พี่บอกได้เลยว่า ที่รอดตายมาได้ทุกวันนี้ตั้งหลายครั้งหลายคราว ก็เพราะพี่ท่องคาถานี้เป็นประจำอยู่ทุกวันนั่นเอง”

รุ่นน้องผู้เป็นลูกน้องอีกทีหนึ่งทำหน้ามุ่ยเดินจากไปแล้ว แต่มนกลับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่รู้อยู่แก่ใจว่าสักวันหนึ่งรุ่นน้องคนนั้นจะเข้าใจด้วยตัวเอง เป็นอย่างดี ว่าคาถาบทนี้น่ะมีความขลังอย่างเหลือเชื่อต่อวิถีชีวิตซึ่งแขวนอยู่บนเส้น ด้ายแห่งความไม่แน่นอนของคนเราได้เป็นอย่างดีเพียงไร

ที่มา: ว.วชิรเมธี ศิลปะการป้องกันตัว โพสต์ทูเดย์ดิจิตอล 19 กันยายน 2553

No comments:

Post a Comment