Thursday, May 17, 2012

คิกออฟปราบโกงหรืแค่ลูบหน้าปะจมูก?

หนึ่งในนโยบายรัฐบาลที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยพูดถึงมากเท่าไร นั่นคือ นโยบายการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ถึงขนาดครั้งหนึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยเสนอแนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในเชิงผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ปรากฏว่า ครม.ชุดนี้นิ่งเฉยไม่มีการนำมาแถลงข่าว จนเป็นที่วิจารณ์ว่าข้อเสนอดังกล่าว อาจเป็นของแสลงใจรัฐบาลที่มีเครือญาติดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ล่าสุด การประชุม ครม. เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2555 ปรากฏวาระพิจารณาจร เรื่อง “ยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน” เข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือนของ รัฐบาลยิ่งลักษณ์หันมาจับนโยบายปราบปรามทุจริต โดยในวันที่ 18 พ.ค. จะมีการจัดนำร่องสู่การจัดเวิร์กช็อปเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการปราบ ปรามการทุจริตภาครัฐครั้งใหญ่ ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยเชิญคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคท้องถิ่นเข้าร่วม

แผนงานเชิงรุกตามที่รัฐบาลวาดฝันจะทำให้เกิดขึ้นจริง มี 4 แนวทาง ได้แก่

1.สร้างข้าราชการไทยหัวใจสีขาว รณรงค์ให้ข้าราชการตื่นตัวต่อต้านทุจริต

2.การพัฒนาองค์กรสีขาว โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน

3.การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก จัดตั้งศูนย์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (Anti-Corruption War Room) : เป็นศูนย์ปฏิบัติการในการบูรณาการด้านการตรวจสอบ รับแจ้งเบาะแสอย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร ณ จุดเดียว

4.การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด ด้วยการประกาศลงโทษผู้กระทำผิดการทุจริตให้สาธารณชนได้รับรู้
ทั้งนี้ ภายหลังการคิกออฟวันที่ 19 พ.ค.2555 รัฐบาลกำหนดปฏิทินทำงานไว้อย่างน่าสนใจ เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ค.-1 มิ.ย.2555 เป็นช่วงปูพรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ จากนั้นตลอดเดือน มิ.ย. จะสำรวจความพึงพอใจของประชาชน/เอกชนต่อนโยบายปราบโกงรัฐบาล ปลายเดือน มิ.ย. บรรดาส่วนราชการนำเสนอข้อเสนอการพัฒนาองค์กรในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน
ช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ถือว่ามีไฮไลต์น่าสนใจ เมื่อรัฐบาลวางแผนไว้ประมาณกลางเดือน ก.ค. ให้แก้กฎคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ให้การสอบสวนลงโทษกรณีทุจริตแล้วเสร็จภายใน 120 วัน กำหนดไม่ให้ส่วนราชการรับผู้ถูกลงโทษทุจริตกลับเข้ารับราชการ ประกาศบทลงโทษผู้กระทำผิด จากนั้นเดือน ส.ค.-ก.ย. จะมีการสรุปผลจำนวนเรื่องร้องเรียน/ดำเนินการสำเร็จมากน้อยขนาดไหน และในต้นเดือน ก.ย. สัญจรภาคครั้งที่ 2 กลางเดือน ก.ย. ประกาศผลสำรวจองค์กรยอดคดีและยอดแย่

ปลายเดือน ก.ย.-30 ต.ค.2555 ให้ส่วนราชการและจังหวัดรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและเผยแพร่ต่อ สาธารณะ มีสัญจรภูมิภาคครั้งที่ 3 ต้นเดือน พ.ย. ประกาศบทลงโทษผู้กระทำผิด นำร่องการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในส่วนราชการ ส่วนปลายเดือน ธ.ค. นายกรัฐมนตรีประกาศความสำเร็จรอบ 6 เดือน และประกาศก้าวต่อไปของการต่อต้านการทุจริต
แผนงานยังได้วางไว้ถึงปี 2556 โดยกลางเดือน พ.ค. นายกฯ จะประกาศความสำเร็จปราบโกง 1 ปี

ด้าน สมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและติดตามนโยบายภาครัฐ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มองนโยบายปราบโกงของรัฐบาล ว่า นโยบายที่ออกมาเป็นการมองคอร์รัปชันที่เกิดจากภาคข้าราชการฝ่ายเดียว ไม่ได้มองว่าข้าราชการต้องดำเนินการร่วมกับฝ่ายการเมือง ทั้งที่การทุจริตทุกวันนี้จะเห็นได้ชัดว่า ข้าราชการเป็นเพียงเครื่องมือของฝ่ายการเมือง ดังนั้น รัฐบาลควรออกมาตรการครอบคลุมไปถึงการทุจริตในฝ่ายการเมือง หรือในระดับนโยบายด้วย

ขณะที่กลไกการรับแจ้ง ที่นโยบายระบุว่า จะให้มีศูนย์รับแจ้ง หรือมีวอร์รูมขนาดใหญ่แบบวันสต็อปเซอร์วิสนั้น สมชัย กล่าวว่า การจัดทำศูนย์รับแจ้งทุจริตคอร์รัปชัน ก็มีผ่านสายตรงหลายสายและหลายหน่วยงานอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่รัฐบาลกลับไม่ได้วิเคราะห์ว่า สาเหตุที่วอร์รูม หรือศูนย์รับแจ้งเหล่านี้ล้มเหลว มีที่มาจากประชาชนไม่เชื่อในความปลอดภัยในชีวิตของตนเองหากแจ้งเรื่องผ่าน องค์กรเหล่านี้
“อันที่จริงนี่ไม่ใช่นโยบายการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันครั้งแรก แต่เรามีมาตลอด ภายใต้การส่งเสริม ป.ป.ช. ไม่ว่าจะเป็นโครงการศูนย์ราชการใสสะอาด หรือโครงการที่ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างได้ ซึ่งถ้าทำรูปแบบให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและติดตามได้ง่ายขึ้น รวมถึงเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้นว่า มาตรการเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตได้จริง ก็จะเป็นประโยชน์กว่านี้”

รสนา โตสิตระกูล สว.กรุงเทพมหานคร (กทม.) เห็นว่า นโยบายดังกล่าวเป็นเพียงการลูบหน้าปะจมูกของคนในรัฐบาลเท่านั้น เพราะหากมองไปจริงๆ แล้วยังมีการส่อแววทุจริตเชิงนโยบายอยู่หลายเหตุการณ์ อาทิ การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 ก.ย. 2554 ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียเงินในส่วนของก๊าซแอลพีจีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่ต้องจ่ายสมทบกองทุนกว่า 2,400 ล้านบาท
รสนายังยกตัวอย่างการเปิดช่องทุจริต เช่น การจัดซื้อจัดจ้างโครงการเพื่อป้องกันอุทกภัย ที่ให้ใช้การจัดซื้อจัดจ้างเป็นวิธีพิเศษทั้งหมด ซึ่งเอื้อให้การเมืองเข้ามาอาศัยโครงการขนาดใหญ่ในการหากิน และแบ่งส่วนแบ่งระหว่างข้าราชการและนักการเมือง
“เรามีสัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต 3 ฉบับ ซึ่งค้างมาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา และไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลชุดนี้จะหยิบขึ้นมาลงนาม ซึ่งเหลือประเทศไทยเป็นประเทศสุดท้ายที่ยังไม่ลงนาม น่าแปลกที่รัฐบาลชุดนี้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติว่าจะต่อต้านการทุจริต แต่กลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ทำให้เห็นว่าพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่พฤติกรรมที่ออกมาไม่เคยสนใจทำสักอย่าง” รสนา กล่า

:: คิกออฟปราบโกงหรืแค่ลูบหน้าปะจมูก? โพสต์ทูเดย์ดิจิตอล: โพสต์ทูเดย์ดอทคอม วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2555

No comments:

Post a Comment