สำนวนแสลง my game, my turf, my rules นี้เป็นการแสดงหรือบอกว่า คนที่พูดมีอำนาจมากกว่า มีอะไรดีกว่า คือ มีดีที่ดีกว่าคนฟังนั้นเอง และเป็นการบังคับให้คนฟังต้องปฏิบัติตามที่คนพูดต้องการ
สำนวน my game, my turf, my rules นี้ ฮิตอย่างมาก จากภาพยนต์เรื่อง "The King's Speech" เพราะมันเป็นคำพูดที่หมอพูดกับพระราชินี จะต้องปฏิบัติตามที่เขาต้องการถ้าหากต้องการรักษาโรคติดอ่างของพระราชา (King George VI)แห่งสหราชอาณาจักร(ประเทศอังกฤษ) เนื่องเพราะพระราชาจำต้องกล่าวสุนทรพจน์ (speech) ในที่ต่างๆ การพูดติดอ่างจึงเป็นปัญหาอย่างมาก
การพูดติดอ่าง หรือ พูดตะกุกตะกัก เรียก stammer (v)
เมื่อพระราชามาหาหมอถึงบ้าน (หมอชื่อ Dr.Lionel) หมอก็ค่อยๆสนทนากับพระราชา โดยก่อนอื่นหมอห้ามไม่ให้พระราชาสูบบุหรี่ โดยใช้กฎของหมอ หมอพูดว่า my castle my rule
จากนั้น หมอก็ขออนุญาตเรียกชื่อเล่นของพระราชา คือ Bertie
จากนั้น หมอก็สอบถามถึงความทรงจำครั้งแรกของพระราชา พระรา่ชาเริ่มมีน้ำโห (เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องส่วนตัวนั้นเอง) หมอพูดว่า ท่านเริ่มมีอารมณ์แล้วนะ You have a bit of a temper.
โปรดทำตัวตามสบาย please make yourself comfortable.
ถึงตอนนี้ไม่มีภาพยนต์เรื่องใดเทียบเท่าเรื่องนี้ For now "The King's Speech" has no equal.
Dr.SoS .
Monday, February 28, 2011
นิยามแห่งความสำเร็จ สิ่งดีๆที่อยากแบ่งปัน ♥
นิยามแห่งความสำเร็จ สิ่งดีๆที่อยากแบ่งปัน ♥
ยิ้มให้บ่อยที่สุด หมายถึงยิ้มให้ตัวเอง และให้คนอื่น
ตื่นเช้าๆ นอนดึกสักหน่อย จะได้มีเวลาดูโลกมากๆ
เห็นโลกให้มากที่สุด นั่นหมายถึงเดินเล่นดูโลกเยอะๆ
ไม่ต้องกินทุกสิ่งที่อร่อย แต่น่าจะอร่อยกับทุกสิ่งที่กิน
ไม่ต้องรักทุกคน ไม่ต้องทำให้ทุกคนรัก แค่มีบางคนที่รักกันจริงๆ
หายใจในจังหวะที่พอดี ไม่ถี่ ไม่เนือยจนเกินไป
ได้อยู่กับครอบครัว ปล่อยมุกให้เขาฮา และฮามุกของเขา
สะสมปัญญา ไม่ใช่เพราะอยากฉลาด แต่จะได้ไม่ทุกข์
เข้าใจโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน เข้าใจมันอย่างที่มันเป็น
ในโลกมีคน เข้าใจโลกหมายถึงเข้าใจผู้คนด้วย
โกรธให้น้อย ชีวิตสั้น โกรธกันมันเสียเวลา
ดื่มน้ำให้มาก นั่นหมายถึงน้ำทุกประเภท
บางวันโค้กก็อร่อย บางวันก็โออิชิ บางวันก็ชาอู่หลง
เกิดมาตั้งนาน จะดื่มน้ำอย่างเดียวมันเศร้าไปหน่อย
แต่ไม่น่าดื่มอะไรซ้ำๆ กันนานๆ เดี๋ยวจะหวานหรือจืดเกิน
แต่น้ำไม่ใช่คน คนไม่ได้มีไว้ดื่ม และคนหนึ่งคนก็มีหลายรสชาติ
คบคนจำนวนมาก หากดูแลใส่ใจเขาได้
หากไม่ไหว น้อยไว้อาจจะดีกว่า
หาความตื่นเต้นใหม่ๆ ให้ชีวิตบ่อยๆ จะได้รู้สึกอยากหายใจต่อไป
ไม่ทิ้งขยะไว้บนโลก โลกมีขยะเยอะแล้ว
สร้างสรรค์อะไรทิ้งไว้บ้าง มุมหนึ่งคือจะได้ภูมิใจ
อีกมุมคือ ความหมายของการเกิดมา
ฟังเพลงเพราะๆ ไม่ด่าเพลงที่ตัวเองคิดว่าไม่เพราะ
เพราะอาจมีคนอื่นเขาชอบเพลงนั้นก็ได้
เอาปากมาร้องเพลงที่เราชอบ ดีกว่าเอาปากไปด่าเพลงที่ไม่ชอบ
อ่านหนังสือให้เยอะที่สุด หนังสือดีๆ อ่านทั้งชีวิตก็ไม่หมด
ถ้าใช้เวลากับเรื่องไร้สาระน้อย จะมีเวลาให้เรื่องมีสาระเยอะ
แต่เรื่องมีสาระมีมาก เวลาเท่าไหร่ก็ไม่พอ
" สาระ " ของแต่ละคนต่างกัน
เรื่องไร้สาระของบางคนอาจเป็นเรื่องมีสาระของบางคน
มีหนังสือหลายเล่มที่อยากอ่านก่อนตาย
ถ้าตายแล้วไม่ได้อ่านก็วางมันไว้บนโลกนี่แหละ
ถ้าชาติหน้ามีจริงจะกลับมาอ่าน ถ้าไม่มีก็ดีแล้ว
คุยกับคนต่อหน้ามากกว่าผ่านอินเตอร์เน็ต
เวลาจ้องตากันนี่มันดีนะ
หลับให้สบาย วางความคิดไว้ข้างเตียง
เกิดมาทั้งทีควรหลับฝันดีทุกคืน (หรือไม่ก็ไม่ต้องฝัน)
หากมีคนที่เราอยากให้เขาฝันดี น่าจะบอกเขาบ่อยๆ
มันไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดจะบันดาลให้มันเป็นจริงหรอก
แต่เขาจะได้รู้สึกดีตั้งแต่ก่อนฝันแล้ว
เวลาหลับเราต้องการความสงบ เวลาตื่นต่างหากที่เราอยากยิ้ม
เกิดมาทั้งทีน่าจะได้ทดลองทำในสิ่งที่อยากทำ
รู้ได้ไงว่าจะได้เกิดมาลองอีกหน โทรไปถามพระพรหมแล้วหรือ
ความสำเร็จ คือการได้ลงมือทำ
ความผิดพลาดคือ อยากแล้วไม่ลอง
ผิดคือครู ไม่ผิดจะเรียนรู้จากใคร
เวลาผ่านไปทุกวัน โอกาสก็ยิ่งน้อยลง
เคารพคนแก่ที่น่าเคารพ เช่นเดียวกับเคารพเด็กที่น่าเคารพ
วันหนึ่งเราจะแก่เหมือนเขา ศึกษาจากความแก่ ดูแลความชรา
เลือกดูทีวีที่ " น่าดู " ใครก็รู้ว่า " น่าดู " คืออะไร
ของใครก็ของมัน
ไปทะเลบ้าง ทะเลมันกว้าง ใหญ่ ช่วยขยายใจได้
ไปภูเขาบ้าง ภูเขามันสูง ตระหง่าน อยู่นานกว่าคน
ขำ-เวลาที่อยากขำ ไม่ต้องอั้นทำเก๊กว่า-ไม่เห็นขำตรงไหน
ชม-เวลาเจออะไรที่ชอบ เก็บเอาไว้ ตายไปไม่ได้บอก
ชื่นชม-สิ่งที่อยากชื่นชม
หากมัวเอาเวลาไปตั้งแง่ จะเหลือเวลาที่ไหนให้ชื่นชม
ความสำเร็จอาจเหมือนก้อนอิฐ ที่ต้องก่อร่างทีละก้อน
เพื่อเห็นผลสำเร็จในปั้นปลาย หากไม่ก่อวันนี้จะมีตึกไหม
หรืออาจเหมือนลมหายใจที่ไหลวนปนอยู่ในชีวิตทุกวินาที
แทนที่จะสำเร็จตอนอายุสี่สิบ ห้าสิบ หกสิบ หรือเจ็ดสิบ
ทำไมเราไม่สำเร็จมัน ณ วินาทีนี้เลย
คนเราอาจประสบความสำเร็จได้ในทุกวินาที
แต่เราจะประสบความสำเร็จได้
คงต้องตอบตัวเองก่อนว่า
นิยามของความสำเร็จของเราคืออะไร
เมื่อตอบได้ และทำมันสำเร็จ
นั่นอาจนับได้ว่า เกิดมา เราประสบความสำเร็จแล้ว
ที่มา: forward mail
.
ยิ้มให้บ่อยที่สุด หมายถึงยิ้มให้ตัวเอง และให้คนอื่น
ตื่นเช้าๆ นอนดึกสักหน่อย จะได้มีเวลาดูโลกมากๆ
เห็นโลกให้มากที่สุด นั่นหมายถึงเดินเล่นดูโลกเยอะๆ
ไม่ต้องกินทุกสิ่งที่อร่อย แต่น่าจะอร่อยกับทุกสิ่งที่กิน
ไม่ต้องรักทุกคน ไม่ต้องทำให้ทุกคนรัก แค่มีบางคนที่รักกันจริงๆ
หายใจในจังหวะที่พอดี ไม่ถี่ ไม่เนือยจนเกินไป
ได้อยู่กับครอบครัว ปล่อยมุกให้เขาฮา และฮามุกของเขา
สะสมปัญญา ไม่ใช่เพราะอยากฉลาด แต่จะได้ไม่ทุกข์
เข้าใจโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน เข้าใจมันอย่างที่มันเป็น
ในโลกมีคน เข้าใจโลกหมายถึงเข้าใจผู้คนด้วย
โกรธให้น้อย ชีวิตสั้น โกรธกันมันเสียเวลา
ดื่มน้ำให้มาก นั่นหมายถึงน้ำทุกประเภท
บางวันโค้กก็อร่อย บางวันก็โออิชิ บางวันก็ชาอู่หลง
เกิดมาตั้งนาน จะดื่มน้ำอย่างเดียวมันเศร้าไปหน่อย
แต่ไม่น่าดื่มอะไรซ้ำๆ กันนานๆ เดี๋ยวจะหวานหรือจืดเกิน
แต่น้ำไม่ใช่คน คนไม่ได้มีไว้ดื่ม และคนหนึ่งคนก็มีหลายรสชาติ
คบคนจำนวนมาก หากดูแลใส่ใจเขาได้
หากไม่ไหว น้อยไว้อาจจะดีกว่า
หาความตื่นเต้นใหม่ๆ ให้ชีวิตบ่อยๆ จะได้รู้สึกอยากหายใจต่อไป
ไม่ทิ้งขยะไว้บนโลก โลกมีขยะเยอะแล้ว
สร้างสรรค์อะไรทิ้งไว้บ้าง มุมหนึ่งคือจะได้ภูมิใจ
อีกมุมคือ ความหมายของการเกิดมา
ฟังเพลงเพราะๆ ไม่ด่าเพลงที่ตัวเองคิดว่าไม่เพราะ
เพราะอาจมีคนอื่นเขาชอบเพลงนั้นก็ได้
เอาปากมาร้องเพลงที่เราชอบ ดีกว่าเอาปากไปด่าเพลงที่ไม่ชอบ
อ่านหนังสือให้เยอะที่สุด หนังสือดีๆ อ่านทั้งชีวิตก็ไม่หมด
ถ้าใช้เวลากับเรื่องไร้สาระน้อย จะมีเวลาให้เรื่องมีสาระเยอะ
แต่เรื่องมีสาระมีมาก เวลาเท่าไหร่ก็ไม่พอ
" สาระ " ของแต่ละคนต่างกัน
เรื่องไร้สาระของบางคนอาจเป็นเรื่องมีสาระของบางคน
มีหนังสือหลายเล่มที่อยากอ่านก่อนตาย
ถ้าตายแล้วไม่ได้อ่านก็วางมันไว้บนโลกนี่แหละ
ถ้าชาติหน้ามีจริงจะกลับมาอ่าน ถ้าไม่มีก็ดีแล้ว
คุยกับคนต่อหน้ามากกว่าผ่านอินเตอร์เน็ต
เวลาจ้องตากันนี่มันดีนะ
หลับให้สบาย วางความคิดไว้ข้างเตียง
เกิดมาทั้งทีควรหลับฝันดีทุกคืน (หรือไม่ก็ไม่ต้องฝัน)
หากมีคนที่เราอยากให้เขาฝันดี น่าจะบอกเขาบ่อยๆ
มันไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดจะบันดาลให้มันเป็นจริงหรอก
แต่เขาจะได้รู้สึกดีตั้งแต่ก่อนฝันแล้ว
เวลาหลับเราต้องการความสงบ เวลาตื่นต่างหากที่เราอยากยิ้ม
เกิดมาทั้งทีน่าจะได้ทดลองทำในสิ่งที่อยากทำ
รู้ได้ไงว่าจะได้เกิดมาลองอีกหน โทรไปถามพระพรหมแล้วหรือ
ความสำเร็จ คือการได้ลงมือทำ
ความผิดพลาดคือ อยากแล้วไม่ลอง
ผิดคือครู ไม่ผิดจะเรียนรู้จากใคร
เวลาผ่านไปทุกวัน โอกาสก็ยิ่งน้อยลง
เคารพคนแก่ที่น่าเคารพ เช่นเดียวกับเคารพเด็กที่น่าเคารพ
วันหนึ่งเราจะแก่เหมือนเขา ศึกษาจากความแก่ ดูแลความชรา
เลือกดูทีวีที่ " น่าดู " ใครก็รู้ว่า " น่าดู " คืออะไร
ของใครก็ของมัน
ไปทะเลบ้าง ทะเลมันกว้าง ใหญ่ ช่วยขยายใจได้
ไปภูเขาบ้าง ภูเขามันสูง ตระหง่าน อยู่นานกว่าคน
ขำ-เวลาที่อยากขำ ไม่ต้องอั้นทำเก๊กว่า-ไม่เห็นขำตรงไหน
ชม-เวลาเจออะไรที่ชอบ เก็บเอาไว้ ตายไปไม่ได้บอก
ชื่นชม-สิ่งที่อยากชื่นชม
หากมัวเอาเวลาไปตั้งแง่ จะเหลือเวลาที่ไหนให้ชื่นชม
ความสำเร็จอาจเหมือนก้อนอิฐ ที่ต้องก่อร่างทีละก้อน
เพื่อเห็นผลสำเร็จในปั้นปลาย หากไม่ก่อวันนี้จะมีตึกไหม
หรืออาจเหมือนลมหายใจที่ไหลวนปนอยู่ในชีวิตทุกวินาที
แทนที่จะสำเร็จตอนอายุสี่สิบ ห้าสิบ หกสิบ หรือเจ็ดสิบ
ทำไมเราไม่สำเร็จมัน ณ วินาทีนี้เลย
คนเราอาจประสบความสำเร็จได้ในทุกวินาที
แต่เราจะประสบความสำเร็จได้
คงต้องตอบตัวเองก่อนว่า
นิยามของความสำเร็จของเราคืออะไร
เมื่อตอบได้ และทำมันสำเร็จ
นั่นอาจนับได้ว่า เกิดมา เราประสบความสำเร็จแล้ว
ที่มา: forward mail
.
Friday, February 25, 2011
"คดีอนาจาร-สื่อลามก" เด็กต่ำกว่า 18 ในญี่ปุ่นพุ่ง
เผยจำนวนคดีอนาจาร-ผลิตและจำหน่ายสื่อลามก เด็กต่ำกว่า 18 ปี ในญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นในรอบ 2 ปี 43.5 เปอร์เซ็นต์...
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น เปิดเผยจำนวนคดีเกี่ยวข้องเหตุกับลามกอนาจาร หรือแสวงประโยชน์ทางเพศต่อเด็กในประเทศ ช่วงครึ่งปีท่ีแล้ว เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2552 มากถึง 43.5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1,342 คดี ทั้งการผลิตจำหน่ายจ่ายแจกสื่อลามกอนาจารเกี่ยวข้องกับเด็ก ถือเป็นข้อมูลใหม่นับตั้งแต่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งแรกเมื่อปี 2543
ทั้งนี้ เด็กญี่ปุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ตกเป็นเหยื่อถูกแสวงประโยชน์ทางเพศ 618 ราย หรือเพิ่มขึ้น 52.6 เปอร์เซ็นต์ คดีแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็กผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 783 คดี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นกับรัสเซียเป็นเพียง 2 ชาติในกลุ่มจี-8 ที่ไม่ถือว่าการครอบครองสื่อลามกอนาจารต่อเด็กผิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่มากกว่า 70 ประเทศทั่วโลกถือเรื่องนี้ผิดกฎหมาย
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 26 กุมภาพันธ์ 2554
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น เปิดเผยจำนวนคดีเกี่ยวข้องเหตุกับลามกอนาจาร หรือแสวงประโยชน์ทางเพศต่อเด็กในประเทศ ช่วงครึ่งปีท่ีแล้ว เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2552 มากถึง 43.5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1,342 คดี ทั้งการผลิตจำหน่ายจ่ายแจกสื่อลามกอนาจารเกี่ยวข้องกับเด็ก ถือเป็นข้อมูลใหม่นับตั้งแต่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งแรกเมื่อปี 2543
ทั้งนี้ เด็กญี่ปุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ตกเป็นเหยื่อถูกแสวงประโยชน์ทางเพศ 618 ราย หรือเพิ่มขึ้น 52.6 เปอร์เซ็นต์ คดีแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็กผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 783 คดี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นกับรัสเซียเป็นเพียง 2 ชาติในกลุ่มจี-8 ที่ไม่ถือว่าการครอบครองสื่อลามกอนาจารต่อเด็กผิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่มากกว่า 70 ประเทศทั่วโลกถือเรื่องนี้ผิดกฎหมาย
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 26 กุมภาพันธ์ 2554
รอเดี๋ยว: hold on, wait a minute
การบอกให้คนอื่นรอสักครู่ หรือ รอเดี๋ยวนั้น หรือ หยุดรอสักประเดี่ยว นั้น เราสามารถพูด hold on หรือ hold on please หรือ wait a minute (please) หรือ wait awhile หรือ bide ก็ได้
รอเดี๋ยว ตอนนี้ยังไม่ถึงตาของคุณ Hold on a minute—it's not your turn.
ในการพูดโทรศัพท์ การบอกให้คนที่เราคุยโทรศัพท์รอเดี๋ยว เช่น เพราะมีอีกสายหนึ่งเข้า สามารถบอกได้ว่า Hold on, I get another line coming in.
การรอคอย เราสามารถใช้คำ wait for ได้ เช่น เธอรอเพื่อนชาย(แฟน)ว่าเมื่อไหร่จะมา She waits for her boyfriend to come.
await(อ่าน อะเวท') vt.,vi. คอย รอคอย เฝ้าคอย กำลังคอยอยู่
ส่วนคำ Wait ใน Wait Wait...Don't Tell Me! นั้น หมายถึง หยุด หยุด ไม่ต้องบอกฉัน
การรอแล้วรอเล่านั้น เราสามารถพูดว่า I waited and waited but she never showed up. ฉันรอแล้วรออีก เธอก็ไม่มาสักที
การ"คอยจังหวะ" หรือ "คอยโอกาส" สามารถใช้ wait for the right moment หรือ wait for a chance หรือ bide one's time หรือ await a favorable opportunity หรือ beat time
เช่น กล่าวว่า ฉันรอคอยโอกาสที่จะเข้าไปเป็นทีมผู้บริหาร I am waiting for the right moment to be in administrative team.
คำ bide ก็ให้ความหมายว่า รอ หรือ รอคอย เช่นกัน เช่น ถามว่านานแค่ไหนที่คุณจะสามารถทนอยู่ในสภาพที่ไม่มีความสุขนี้ How long can you bide to this unhappy situation?
การรอแบบซ่อนเร้น (to stay still and hidden, waiting for someone or something) โดยเฉพาะในแบบพร้อมจู่โจม สามารถใช้คำ lie in wait (for someone or something) เช่น มันจะเป็นการฉลาดถ้าเราจะรอเวลาจังหวะที่เหมาะสมที่จะขอเลื่อนตำแหน่งหรือเพิ่มเงินเดือน The smart thing to do is lie in wait for the right time to ask for a raise.
คำ Synonyms ที่ให้ความหมายในเชิง"รอ"ได้แก่ abide, bide, endure, continue, hold up, keep up, last, perdure, persist, remain, run on
เขายังคงถือสายรออยู่ He remains in the line.
เขาไม่อยากรอ(อยู่อย่างนั้นหรือแถวนั้น) สามารถใช้ ได้ เช่น เขาไม่อยากรอคุณอยู่อย่างนั้นอีกต่อไป He doesn't want to wait around for you any more.
ถึงแม้คุณจะรีบ แต่คุณก็ต้องรอจนกว่าจะถูกตาคุณ Even you are in hurry, you must wait your turn.
เวลาวารีไม่คอยท่า Time and tide wait for no man.
ช้าๆได้พร้าเล่มงาม Good things come to him who waits. หรือ Everything comes to him who waits.
Dr.SoS
.
รอเดี๋ยว ตอนนี้ยังไม่ถึงตาของคุณ Hold on a minute—it's not your turn.
ในการพูดโทรศัพท์ การบอกให้คนที่เราคุยโทรศัพท์รอเดี๋ยว เช่น เพราะมีอีกสายหนึ่งเข้า สามารถบอกได้ว่า Hold on, I get another line coming in.
การรอคอย เราสามารถใช้คำ wait for ได้ เช่น เธอรอเพื่อนชาย(แฟน)ว่าเมื่อไหร่จะมา She waits for her boyfriend to come.
await(อ่าน อะเวท') vt.,vi. คอย รอคอย เฝ้าคอย กำลังคอยอยู่
ส่วนคำ Wait ใน Wait Wait...Don't Tell Me! นั้น หมายถึง หยุด หยุด ไม่ต้องบอกฉัน
การรอแล้วรอเล่านั้น เราสามารถพูดว่า I waited and waited but she never showed up. ฉันรอแล้วรออีก เธอก็ไม่มาสักที
การ"คอยจังหวะ" หรือ "คอยโอกาส" สามารถใช้ wait for the right moment หรือ wait for a chance หรือ bide one's time หรือ await a favorable opportunity หรือ beat time
เช่น กล่าวว่า ฉันรอคอยโอกาสที่จะเข้าไปเป็นทีมผู้บริหาร I am waiting for the right moment to be in administrative team.
คำ bide ก็ให้ความหมายว่า รอ หรือ รอคอย เช่นกัน เช่น ถามว่านานแค่ไหนที่คุณจะสามารถทนอยู่ในสภาพที่ไม่มีความสุขนี้ How long can you bide to this unhappy situation?
การรอแบบซ่อนเร้น (to stay still and hidden, waiting for someone or something) โดยเฉพาะในแบบพร้อมจู่โจม สามารถใช้คำ lie in wait (for someone or something) เช่น มันจะเป็นการฉลาดถ้าเราจะรอเวลาจังหวะที่เหมาะสมที่จะขอเลื่อนตำแหน่งหรือเพิ่มเงินเดือน The smart thing to do is lie in wait for the right time to ask for a raise.
คำ Synonyms ที่ให้ความหมายในเชิง"รอ"ได้แก่ abide, bide, endure, continue, hold up, keep up, last, perdure, persist, remain, run on
เขายังคงถือสายรออยู่ He remains in the line.
เขาไม่อยากรอ(อยู่อย่างนั้นหรือแถวนั้น) สามารถใช้ ได้ เช่น เขาไม่อยากรอคุณอยู่อย่างนั้นอีกต่อไป He doesn't want to wait around for you any more.
ถึงแม้คุณจะรีบ แต่คุณก็ต้องรอจนกว่าจะถูกตาคุณ Even you are in hurry, you must wait your turn.
เวลาวารีไม่คอยท่า Time and tide wait for no man.
ช้าๆได้พร้าเล่มงาม Good things come to him who waits. หรือ Everything comes to him who waits.
Dr.SoS
.
Thursday, February 24, 2011
โปรด(อด)ทนรอ: Please be patient
ในการทำอะไรหลาย ๆ อย่าง จำเป็นต้องรู้จักรอ รู้จักอดทน โดยเฉพาะการติดต่อกับหน่วยงานาราชการแบบไทย ๆ เพราะปรับปรุงยังไงก็ไม่ต่างจากเดินสักเท่าไหร่
การให้คนอื่นรอนั้น เราสามารถพูดว่า please be patient โปรดรอคอยด้วยความอดทน ด้วยความใจเย็น
คำ patient เป็น (adj) ส่วน patience เป็น (n)และ patiently [adv] อย่างอดทน ให้ความหมายถึงการอดทนด้วยความใจเย็น อย่างสงบเสงี่ยม อย่างอดกลั้น อย่างหักห้ามใจ ดังนั้น คำ patient(n) จึงใช้หมายถึงคนไข้ ผู้ป่วย คนเจ็บ คนป่วยด้วย ที่ต้องอดทนต่อสู้โรคร้ายด้วยความใจเย็น
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราไปธุระสักครู่ เราอาจติดป้ายไว้ว่า please be patient, I will be right back soon. โปรดรอด้วยความใจเย็นเราจะกลับมาในเร็วๆนี้ (หวังว่าคงไม่ใช่ชาติหน้านะ)
อีกคำสำนวนที่ให้ความหมายใกล้กันคือ "Please bear with me" ซึ่งให้ความหมายว่า please be patient while I check something/do something. โปรดอดทน(โปรดใจเย็น มีขันติ)ขณะที่เรากำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างหรือทำอะไรบางอย่าง
ปกติแล้ว "Please bear with me" จะใช้ในกรณีที่บุคคลที่ให้บริการถูกบังคับให้ต้องจำกัดการให้บริการ the person providing a service is forced to offer a limited service เช่น บอกว่าโปรดใจเย็น ขณะที่กำลังปรับปรุงสำนักงาน Please bear with us as the office is under renovation. ซึ่งผู้ให้บริการกำลังอดทน (bear)อยู่กับอะไรบางอย่าง จึงอยากให้คนอื่นเข้าใจ(และอดทน)ในไม่สะดวกที่เกิดขึ้น
ทีนี้ถ้าเราหมดความอดทน(ในการทำอะไรบางอย่าง) เราสามารถพูด "I lose my patience." เช่น ฉันพยายามอย่างมากที่จะไม่หมดความอดทนที่มีต่อลูก I am working very hard not to lose my patience with my baby.
ถ้าเธออดทนอีกสักนิด เธอคงทำมันสำเร็จ If you had been a little more patient, you would have succeeded. (ประโ่ยคนี้ใช้ had จึงแสดงว่าไม่สำเร็จเพราะไม่ได้อดทนนั่นเอง) ดังนั้นเหนือสิ่งอื่นใด จงอดทนจงใจเย็น Above all, be patient.
Dr.SoS
.
การให้คนอื่นรอนั้น เราสามารถพูดว่า please be patient โปรดรอคอยด้วยความอดทน ด้วยความใจเย็น
คำ patient เป็น (adj) ส่วน patience เป็น (n)และ patiently [adv] อย่างอดทน ให้ความหมายถึงการอดทนด้วยความใจเย็น อย่างสงบเสงี่ยม อย่างอดกลั้น อย่างหักห้ามใจ ดังนั้น คำ patient(n) จึงใช้หมายถึงคนไข้ ผู้ป่วย คนเจ็บ คนป่วยด้วย ที่ต้องอดทนต่อสู้โรคร้ายด้วยความใจเย็น
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราไปธุระสักครู่ เราอาจติดป้ายไว้ว่า please be patient, I will be right back soon. โปรดรอด้วยความใจเย็นเราจะกลับมาในเร็วๆนี้ (หวังว่าคงไม่ใช่ชาติหน้านะ)
อีกคำสำนวนที่ให้ความหมายใกล้กันคือ "Please bear with me" ซึ่งให้ความหมายว่า please be patient while I check something/do something. โปรดอดทน(โปรดใจเย็น มีขันติ)ขณะที่เรากำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างหรือทำอะไรบางอย่าง
ปกติแล้ว "Please bear with me" จะใช้ในกรณีที่บุคคลที่ให้บริการถูกบังคับให้ต้องจำกัดการให้บริการ the person providing a service is forced to offer a limited service เช่น บอกว่าโปรดใจเย็น ขณะที่กำลังปรับปรุงสำนักงาน Please bear with us as the office is under renovation. ซึ่งผู้ให้บริการกำลังอดทน (bear)อยู่กับอะไรบางอย่าง จึงอยากให้คนอื่นเข้าใจ(และอดทน)ในไม่สะดวกที่เกิดขึ้น
ทีนี้ถ้าเราหมดความอดทน(ในการทำอะไรบางอย่าง) เราสามารถพูด "I lose my patience." เช่น ฉันพยายามอย่างมากที่จะไม่หมดความอดทนที่มีต่อลูก I am working very hard not to lose my patience with my baby.
ถ้าเธออดทนอีกสักนิด เธอคงทำมันสำเร็จ If you had been a little more patient, you would have succeeded. (ประโ่ยคนี้ใช้ had จึงแสดงว่าไม่สำเร็จเพราะไม่ได้อดทนนั่นเอง) ดังนั้นเหนือสิ่งอื่นใด จงอดทนจงใจเย็น Above all, be patient.
Dr.SoS
.
หยุด(การกระทำ): spare me
การพูดแบบมีอารมณ์(บ้าง) กับคนที่ทำให้คุณรู้สึกรำคาญอะไรสักอย่างนั้น เราสามารถพูด spare me กับคนที่สร้างความรู้สึกอย่างว่ากับเราได้
คำ spare me นี้ มาจากคำเต็มว่า Spare me the details (คือให้เก็บ[รายละเอียด คำสั่งสอน คำว่ากล่าว]ที่เหลือไว้ ไม่ต้องพูดอีกต่อไป)
-ความหมาย spare me เป็นในเชิง ไม่ต้องพูดอีกต่อไป เพราะไม่สนใจในเนื้อหารายละเอียด เช่น หลินกำลังถูกลินดาต่อว่าต่อขาน หลินก็สามารถพูดว่า Spare me your constant condemnation. หรือ Spare me your constant scold. คือ บอกให้หยุดว่ากล่าวติเตียนฉันได้แล้วเพราะฉันไม่สน
เช่น กรุณาหยุดพูดรายละเอียด(ทั้งหมดของ)เรื่องรักใคร่ของเธอได้แล้ว เพราะเราไม่สนใจ Spare me (the gross details of) your love affairs. I'm not interested.
ถ้ามีคนบอกว่า spare me [the/your] tears นั้นหมายความว่า ไม่ต้องมาทำเป็นร้องไห้ You don't bother crying เพราะยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ it won't make me change my mind. ฉะนั้นเธอควร save your tears ซะเถอะ
ถ้าเกิดจับได้ว่า คนรักเรามีกิ๊กมีก๊อก แล้วเธอก็แกล้งทำเป็นมาเล่นละครตบตาเรา เราดันรู้ทันก็เลยพูดตะโกนว่า You know what, Spare me (the details and drama). We are finished. ซึ่งแปลว่า รู้อะไรมั๊ย หยุด(เสแสร้งเล่นละคร)ได้แล้ว(เพราะฉันเบื่อรำคาญ) เราจบกันแค่นี้ ซึ่งเราสามารถพูด We are through. แทน We are finished.ได้
Dr.SoS
.
คำ spare me นี้ มาจากคำเต็มว่า Spare me the details (คือให้เก็บ[รายละเอียด คำสั่งสอน คำว่ากล่าว]ที่เหลือไว้ ไม่ต้องพูดอีกต่อไป)
-ความหมาย spare me เป็นในเชิง ไม่ต้องพูดอีกต่อไป เพราะไม่สนใจในเนื้อหารายละเอียด เช่น หลินกำลังถูกลินดาต่อว่าต่อขาน หลินก็สามารถพูดว่า Spare me your constant condemnation. หรือ Spare me your constant scold. คือ บอกให้หยุดว่ากล่าวติเตียนฉันได้แล้วเพราะฉันไม่สน
เช่น กรุณาหยุดพูดรายละเอียด(ทั้งหมดของ)เรื่องรักใคร่ของเธอได้แล้ว เพราะเราไม่สนใจ Spare me (the gross details of) your love affairs. I'm not interested.
ถ้ามีคนบอกว่า spare me [the/your] tears นั้นหมายความว่า ไม่ต้องมาทำเป็นร้องไห้ You don't bother crying เพราะยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ it won't make me change my mind. ฉะนั้นเธอควร save your tears ซะเถอะ
ถ้าเกิดจับได้ว่า คนรักเรามีกิ๊กมีก๊อก แล้วเธอก็แกล้งทำเป็นมาเล่นละครตบตาเรา เราดันรู้ทันก็เลยพูดตะโกนว่า You know what, Spare me (the details and drama). We are finished. ซึ่งแปลว่า รู้อะไรมั๊ย หยุด(เสแสร้งเล่นละคร)ได้แล้ว(เพราะฉันเบื่อรำคาญ) เราจบกันแค่นี้ ซึ่งเราสามารถพูด We are through. แทน We are finished.ได้
Dr.SoS
.
Wednesday, February 23, 2011
ปรับเปลี่ยนลีลารัก เพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจในสังเวียนใคร่
ทำยังไงก็ไม่ตื่นเต้นเหมือนก่อน กับลีลาท่วงท่าแบบเดิมๆ จะเล่นพิเรนทร์ก็กลัวจะเกิดอันตรายมากกว่าจะมีความสุข วันนี้เลยมีเรื่องดีๆ มาแนะนำง่ายๆ แต่สร้างความท้าทายให้กับกิจกรรมรักของคุณได้แน่นอน กับการเปลี่ยน เสริม เติมลีลาใหม่ๆ ให้ไฉไลกว่าเดิม
Cow girl lap dance
พื้นเพ เดิมที ท่านี้ก็สุดจะฮอตอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณอยากให้สนามรักของคุณเร่าร้อนมากกว่าเดิมในท่วงท่านี้ก็คงต้องมี อุปกรณ์เสริมกันบ้าง แนะนำว่าให้ใช้เก้าอี้เป็นตัวช่วยในการทำกิจ โดยฝ่ายหญิงนั่งอยู่บนตักคุณ ให้เท้าของเธอแตะพื้นด้วยนะ เพราะเวลาเริ่มลงจังหวะจะได้สามารถขยับเปลี่ยนทิศทางได้ จะซ้าย จะขวา หมุนไปทางไหนแล้วแต่ ขออย่างเดียวว่าตัวฝ่ายชายอย่าเอาแต่นั่งนิ่ง เพราะคุณเองต้องสวมบทเป็นไม้เลื้อย ใช้มือลูบไล้จับที่บริเวณจุดอ่อนไหวของตัวแฟนด้วย
Doggy Leg Lift
สำหรับ Doggy ขยี้รัก ถ้าอยากให้แปลกใหม่มากขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการใช้พื้นที่บ้างนิดหน่อย โดยคุณต้องให้ฝ่ายหญิงยืนที่พื้น แล้วก้มโค้งเอามือยันบนเตียง โดยขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน แค่นี้ต่อให้เป็นสวรรค์ชั้นไหน ก็สู้สวรรค์บนเตียงไม่ได้หรอก
Missionary with pillows
เป็นท่าเก่าโบราณ เบสิกสุดๆ ก็จริง แต่ใช่ว่าอานุภาพแห่งการทำรักจะไม่สูง เชื่อเลยว่าคู่รักหลายๆ คู่ ก็เริ่มมีเซ็กซ์ครั้งแรกด้วยท่านี้ เอ๊ะ! หรือจะเถียงกันในใจ แต่ไม่เป็นไร ถ้าไม่ใช่เราไม่ว่ากัน มาเริ่มเปิดประเด็นการปรับ เพิ่มเติมรักกันต่อดีกว่า สำหรับท่ามิชชันนารี ที่แสนธรรมดา อย่างการนอนประคบประหงมรัก ลองเพิ่มอุปกรณ์เสริมใกล้ตัวที่นุ่มนิ่มอย่างหมอน โดยใช้หนุนที่แผ่นหลังของฝ่ายหญิงไว้ ก่อนที่คุณจะเริ่มประกบรวมร่างสร้างจังหวะครื้นเครง นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนลีลาให้มีสีสันมากขึ้นแล้ว คิดอีกด้านนึงก็ช่วยคลายปวดหลังให้แฟนคุณได้เหมือนกันนะ
Spoon Split
แบบนี้เขาเรียกว่าแยกแต่ไม่แตกจากกัน สำหรับลีลานี้ ถ้าให้ดี และเพิ่มความซู่ซ่าเข้าไปอีก คุณก็ต้องยกขาของเธอให้สูงเข้าไว้ แล้วจับขาแนบด้านข้างให้มั่น ยันขาตัวเองติดพื้นให้ดี สีสันของคืนรักของคุณในคืนนี้ ยังไงก็ต้องสุขสดชื่นกันแน่นอน
ที่มา: ทีมข่าวไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2554
"
Cow girl lap dance
พื้นเพ เดิมที ท่านี้ก็สุดจะฮอตอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณอยากให้สนามรักของคุณเร่าร้อนมากกว่าเดิมในท่วงท่านี้ก็คงต้องมี อุปกรณ์เสริมกันบ้าง แนะนำว่าให้ใช้เก้าอี้เป็นตัวช่วยในการทำกิจ โดยฝ่ายหญิงนั่งอยู่บนตักคุณ ให้เท้าของเธอแตะพื้นด้วยนะ เพราะเวลาเริ่มลงจังหวะจะได้สามารถขยับเปลี่ยนทิศทางได้ จะซ้าย จะขวา หมุนไปทางไหนแล้วแต่ ขออย่างเดียวว่าตัวฝ่ายชายอย่าเอาแต่นั่งนิ่ง เพราะคุณเองต้องสวมบทเป็นไม้เลื้อย ใช้มือลูบไล้จับที่บริเวณจุดอ่อนไหวของตัวแฟนด้วย
Doggy Leg Lift
สำหรับ Doggy ขยี้รัก ถ้าอยากให้แปลกใหม่มากขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการใช้พื้นที่บ้างนิดหน่อย โดยคุณต้องให้ฝ่ายหญิงยืนที่พื้น แล้วก้มโค้งเอามือยันบนเตียง โดยขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน แค่นี้ต่อให้เป็นสวรรค์ชั้นไหน ก็สู้สวรรค์บนเตียงไม่ได้หรอก
Missionary with pillows
เป็นท่าเก่าโบราณ เบสิกสุดๆ ก็จริง แต่ใช่ว่าอานุภาพแห่งการทำรักจะไม่สูง เชื่อเลยว่าคู่รักหลายๆ คู่ ก็เริ่มมีเซ็กซ์ครั้งแรกด้วยท่านี้ เอ๊ะ! หรือจะเถียงกันในใจ แต่ไม่เป็นไร ถ้าไม่ใช่เราไม่ว่ากัน มาเริ่มเปิดประเด็นการปรับ เพิ่มเติมรักกันต่อดีกว่า สำหรับท่ามิชชันนารี ที่แสนธรรมดา อย่างการนอนประคบประหงมรัก ลองเพิ่มอุปกรณ์เสริมใกล้ตัวที่นุ่มนิ่มอย่างหมอน โดยใช้หนุนที่แผ่นหลังของฝ่ายหญิงไว้ ก่อนที่คุณจะเริ่มประกบรวมร่างสร้างจังหวะครื้นเครง นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนลีลาให้มีสีสันมากขึ้นแล้ว คิดอีกด้านนึงก็ช่วยคลายปวดหลังให้แฟนคุณได้เหมือนกันนะ
Spoon Split
แบบนี้เขาเรียกว่าแยกแต่ไม่แตกจากกัน สำหรับลีลานี้ ถ้าให้ดี และเพิ่มความซู่ซ่าเข้าไปอีก คุณก็ต้องยกขาของเธอให้สูงเข้าไว้ แล้วจับขาแนบด้านข้างให้มั่น ยันขาตัวเองติดพื้นให้ดี สีสันของคืนรักของคุณในคืนนี้ ยังไงก็ต้องสุขสดชื่นกันแน่นอน
ที่มา: ทีมข่าวไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2554
"
ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว You are not as adult as you think :Brain develops ”till the age of 40”
นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน กล่าวว่า คนเรายังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว คงมีความเป็นวัยรุ่นเหลือติดอยู่ เพราะเหตุว่าสมองเรายังพัฒนาไม่เต็มที่ จนกว่าจะย่างเข้าถึงวัย 40 ปี
การ ค้นพบนี้ บางทีอาจจะเป็นเหตุผลอธิบาย ว่า ทำไมผู้ที่ดูมีท่าทางเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือบางคนยังคงแสดงความโมโหโกรธา ออกมา หรือตีหน้ายักษ์ไม่พูดไม่จาเมื่อไม่ได้ดังใจอยู่
การที่พบว่า ส่วนของสมองส่วนสำคัญกับการ คบค้ากับคนอื่น ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเจริญ เต็มที่นั้น ยังอาจเป็นสาเหตุที่เหตุใดบางคนถึงได้เคอะเขิน เมื่อเข้าสังคม แม้วัยจะล่วงเลยความเป็นวัยรุ่นไปแล้ว
นักประสาทวิทยาศาสตร์ ซาราห์ เจย์น แบล็กมอร์ กล่าวว่า "เราเชื่อกันมาก่อน แม้แต่เมื่อ 10 ปีมาแล้วนี้ว่า สมองของเราหยุดพัฒนาลงตั้งแต่ต้นวัยเด็ก แต่ บัดนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ถูก ที่จริงแล้วสมองเกือบทุกส่วน ยังคงพัฒนาอยู่เป็นเวลาหลายสิบปี และส่วนที่ใช้เวลาพัฒนายืดเยื้อที่สุด ได้แก่ ส่วนหน้าของสมองกลีบหน้าผาก ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ในการตัดสินใจวางแผน และห้ามใจในการประพฤติอันเป็นที่รังเกียจของสังคม ตลอดจนการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจในผู้อื่น".
ที่มา: ไทยรัฐฉบับพิมพ์ วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554
Brain only fully ‘matures’ in middle age, claims neuroscientist. You might think that you become fully matur when you turn 21 but new research suggests that your brain does not stop developing until your late 40s. Scientists used to believe that your brain stopped physically evolving in early childhood but new research has shown that keeps changing well into middle age. Brain scans have shown that prefrontal cortex – the area just behind your forehead – continues to change shape in your 30s and 40s. The discovery is particularly significant as the prefrontal cortex is a key area of the brain and is often thought said to be key to what makes us human.It is said to be involved with decision making, social interaction
and many other personality traits. Professor Sarah-Jayne Blakemore, a neuroscientist at University College London, revealed the new thinking at the British Neuroscience Christmas symposium in London. She said: “Until about 10 years ago we pretty much assumed that the human brain stopped developing in early childhood. “But we now understand from brain imaging that that is far from the truth and that many human brains keep on developing for many decades.”The area of the brain that goes through the most protracted development is the prefrontal cortex right at the front of the brain.”It is the part of the brain that is involved in high cognitive function such as decision making, planning and social behaviour. It is also to do with understanding other people.”It starts develop in early childhood, is reorganised in late adolescence and continues developing well into the 30s and 40s.”It is the part of the brain that makes us human.” - Blakemore Lab; The Developmental Group at the UCL Institute of Cognitive Neuroscience focuses on the development of mentalising, emotions, action understanding and executive function during adolescence. A second focus of our research is on social cognitive deficits in autism spectrum disorders. Our research involves a variety of behavioural (psychophysics, eye-tracking, motion capture)
and neuroimaging (MRI, fMRI and MEG) methods. We are based at the UCL Institute of Cognitive Neuroscience in Queen Square, London, UK. Group Leader: Prof Sarah-Jayne Blakemore Institute of Cognitive Neuroscience University College London. Current Research and Interest; Social cognitive development during adolescence. Social cognitive processes (action understanding, mentalising, emotion processing) in the normal brain and in people with autism.
http://goodnews.ws/2010/12/26/brain-develops-till-the-age-of-40-you-are-not-as-adult-as-you-think/
Researchers at Children’s Hospital in Boston and at Harvard Medical School report a genetic signature revealed in post mortem tissues of individuals between 26 and 106 years old. They looked at tissue from the prefrontal region of the brain, the locus of higher level functions such as long-term planning and executive function.
Bruce Yankner, lead author of the study, says aging brains show significant differences in the behavior of several groups of genes that are important for brain function and that may contribute to the aging process. One group of the genes plays a role in what researchers call synaptic plasticity—the ability of the brain to make new connections so critical to learning and memory.
It may be that DNA damage in the brain is reversible. --Bruce Yankner, Harvard Medical School
Another group of genes, involved in processes such as responses to stresses and defense against damaging oxidants such as free radicals, are turned on in the aging brain. The researchers found that regions of particular genes are quite vulnerable to DNA damage in the aging brain.
“These regions appear to be quite vulnerable to DNA damage—they are chemically sensitive, and they are not repaired easily,” Yankner says. The findings appear this week as an advance online publication in Nature.
The research team performed a statistical analysis to 11,000 genes for the study, and compared the rates of change over time. The changes in genes of individuals younger than 40 years were quite similar, and the genes of the oldest individuals were also similar. However, the individuals between ages 40 and 73—the middle years—aged at strikingly different rates, with some gene patterns resembling those of the young group, while others had gene patterns more like those of the older group.
Once they zeroed in on the groups of genes, the researchers conducted laboratory tests in which they exposed brain cells to agents such as free radicals and environmental toxins. The results mimic the changes seen in the tissue of aging brains.
On the bright side, when the researchers duplicated the scenario in the lab, and genetically manipulated the cells to produce proteins to repair the damage, the function of the damaged genes was restored, and more copies were made.
“It may be that DNA damage, once it occurs in the brain, is reversible,” Yankner says.
Once the damage is reversed, it might be possible to extend the duration of cognitive function, or to delay the onset of age-related diseases such as Alzheimer’s disease or Parkinson’s. This will be a goal of future research.
“There is certainly evidence that DNA damage can underlie a large part of the aging process in humans,” Yankner says. “My feeling is that the process of maintaining the integrity of the genome is going to be very important in understanding the aging process. Whether it explains the entire spectrum of the aging process, or a part of it, remains to be seen.”
Lu, T. et al. Gene regulation and DNA damage in the aging human brain. Published online in Nature (June 9, 2004).
การ ค้นพบนี้ บางทีอาจจะเป็นเหตุผลอธิบาย ว่า ทำไมผู้ที่ดูมีท่าทางเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือบางคนยังคงแสดงความโมโหโกรธา ออกมา หรือตีหน้ายักษ์ไม่พูดไม่จาเมื่อไม่ได้ดังใจอยู่
การที่พบว่า ส่วนของสมองส่วนสำคัญกับการ คบค้ากับคนอื่น ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเจริญ เต็มที่นั้น ยังอาจเป็นสาเหตุที่เหตุใดบางคนถึงได้เคอะเขิน เมื่อเข้าสังคม แม้วัยจะล่วงเลยความเป็นวัยรุ่นไปแล้ว
นักประสาทวิทยาศาสตร์ ซาราห์ เจย์น แบล็กมอร์ กล่าวว่า "เราเชื่อกันมาก่อน แม้แต่เมื่อ 10 ปีมาแล้วนี้ว่า สมองของเราหยุดพัฒนาลงตั้งแต่ต้นวัยเด็ก แต่ บัดนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ถูก ที่จริงแล้วสมองเกือบทุกส่วน ยังคงพัฒนาอยู่เป็นเวลาหลายสิบปี และส่วนที่ใช้เวลาพัฒนายืดเยื้อที่สุด ได้แก่ ส่วนหน้าของสมองกลีบหน้าผาก ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ในการตัดสินใจวางแผน และห้ามใจในการประพฤติอันเป็นที่รังเกียจของสังคม ตลอดจนการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจในผู้อื่น".
ที่มา: ไทยรัฐฉบับพิมพ์ วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554
Brain only fully ‘matures’ in middle age, claims neuroscientist. You might think that you become fully matur when you turn 21 but new research suggests that your brain does not stop developing until your late 40s. Scientists used to believe that your brain stopped physically evolving in early childhood but new research has shown that keeps changing well into middle age. Brain scans have shown that prefrontal cortex – the area just behind your forehead – continues to change shape in your 30s and 40s. The discovery is particularly significant as the prefrontal cortex is a key area of the brain and is often thought said to be key to what makes us human.It is said to be involved with decision making, social interaction
and many other personality traits. Professor Sarah-Jayne Blakemore, a neuroscientist at University College London, revealed the new thinking at the British Neuroscience Christmas symposium in London. She said: “Until about 10 years ago we pretty much assumed that the human brain stopped developing in early childhood. “But we now understand from brain imaging that that is far from the truth and that many human brains keep on developing for many decades.”The area of the brain that goes through the most protracted development is the prefrontal cortex right at the front of the brain.”It is the part of the brain that is involved in high cognitive function such as decision making, planning and social behaviour. It is also to do with understanding other people.”It starts develop in early childhood, is reorganised in late adolescence and continues developing well into the 30s and 40s.”It is the part of the brain that makes us human.” - Blakemore Lab; The Developmental Group at the UCL Institute of Cognitive Neuroscience focuses on the development of mentalising, emotions, action understanding and executive function during adolescence. A second focus of our research is on social cognitive deficits in autism spectrum disorders. Our research involves a variety of behavioural (psychophysics, eye-tracking, motion capture)
and neuroimaging (MRI, fMRI and MEG) methods. We are based at the UCL Institute of Cognitive Neuroscience in Queen Square, London, UK. Group Leader: Prof Sarah-Jayne Blakemore Institute of Cognitive Neuroscience University College London. Current Research and Interest; Social cognitive development during adolescence. Social cognitive processes (action understanding, mentalising, emotion processing) in the normal brain and in people with autism.
http://goodnews.ws/2010/12/26/brain-develops-till-the-age-of-40-you-are-not-as-adult-as-you-think/
The Brain Starts to Change at Age 40
If you’re middle aged, there’s a good reason why you can’t beat your child at games like “Memory” and “Concentration.” Scientists report that after age 40, brain tissue shows genetic changes that may contribute to the aging process, including cognitive decline.Researchers at Children’s Hospital in Boston and at Harvard Medical School report a genetic signature revealed in post mortem tissues of individuals between 26 and 106 years old. They looked at tissue from the prefrontal region of the brain, the locus of higher level functions such as long-term planning and executive function.
Bruce Yankner, lead author of the study, says aging brains show significant differences in the behavior of several groups of genes that are important for brain function and that may contribute to the aging process. One group of the genes plays a role in what researchers call synaptic plasticity—the ability of the brain to make new connections so critical to learning and memory.
It may be that DNA damage in the brain is reversible. --Bruce Yankner, Harvard Medical School
Another group of genes, involved in processes such as responses to stresses and defense against damaging oxidants such as free radicals, are turned on in the aging brain. The researchers found that regions of particular genes are quite vulnerable to DNA damage in the aging brain.
“These regions appear to be quite vulnerable to DNA damage—they are chemically sensitive, and they are not repaired easily,” Yankner says. The findings appear this week as an advance online publication in Nature.
The research team performed a statistical analysis to 11,000 genes for the study, and compared the rates of change over time. The changes in genes of individuals younger than 40 years were quite similar, and the genes of the oldest individuals were also similar. However, the individuals between ages 40 and 73—the middle years—aged at strikingly different rates, with some gene patterns resembling those of the young group, while others had gene patterns more like those of the older group.
Once they zeroed in on the groups of genes, the researchers conducted laboratory tests in which they exposed brain cells to agents such as free radicals and environmental toxins. The results mimic the changes seen in the tissue of aging brains.
On the bright side, when the researchers duplicated the scenario in the lab, and genetically manipulated the cells to produce proteins to repair the damage, the function of the damaged genes was restored, and more copies were made.
“It may be that DNA damage, once it occurs in the brain, is reversible,” Yankner says.
Once the damage is reversed, it might be possible to extend the duration of cognitive function, or to delay the onset of age-related diseases such as Alzheimer’s disease or Parkinson’s. This will be a goal of future research.
“There is certainly evidence that DNA damage can underlie a large part of the aging process in humans,” Yankner says. “My feeling is that the process of maintaining the integrity of the genome is going to be very important in understanding the aging process. Whether it explains the entire spectrum of the aging process, or a part of it, remains to be seen.”
Lu, T. et al. Gene regulation and DNA damage in the aging human brain. Published online in Nature (June 9, 2004).
การช่วยชีวิตคนหมดสติแนวใหม่ด้วยเพลง“สุขกันเถอะเรา” แพทย์ไทย เผยใช้เป็นจังหวะกดหน้าอกปั๊มหัวใจได้ดีที่สุด หลังทั่วโลกปรับมาตรฐานการกู้ชีพไม่ต้องใช้ “เมาท์ ทู เมาท์” พบอัตราการรอดเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว...
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิต และผอ.รพ.พญาไท 2 เปิดเผยถึงเทคนิคการช่วยชีวิตด้วยวิธี CPR หรือ Cardio Pulmonary Resuscitation ด้วยการใช้เพลงป็นสื่อ ว่า ในปี 2554ทั่วโลกได้มีการปรับมาตรฐานของการช่วยชีวิตด้วยวิธี CPR ใหม่ จากการช่วยชีวิตด้วยการเป่าปาก(Mouth to Mouth )และกดหน้าอก เป็นการช่วยชีวิตด้วยมืออย่างเดียวหรือ Hands only CPR ซึ่งจะทำให้คนทั่วไปสามารถช่วยชีวิตคนอื่นได้ง่ายขึ้น
นพ.สันต์ กล่าวว่า การเสียชีวิตอย่างกระทันหันส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายนอกโรงพยาบาล จากสถิติพบว่า ในบรรดาผู้หมดสตินอกโรงพยาบาลมีเพียง 20% เท่านั้น ที่ได้รับการช่วยชีวิตโดยคนที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งๆที่หากได้รับการช่วยชีวิตทันที จะเพิ่มความสำเร็จของการฟื้นคืนชีพได้ถึง 1 เท่าตัว และว่ามาตรฐานใหม่นี้เป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกปฏิบัติร่วมกันเพื่อใช้ช่วยชีวิต คนในเวลาฉุกเฉิน เป็นการช่วยฟื้นคืนชีพด้วยมือเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีตัวอย่างจากทั่วโลก ที่คนหมดสติแล้วไดรับการกดลงที่หน้าอกเพื่อช่วยบีบเลือดที่หัวใจออกไปเลี้ยง ร่างกายแล้ว ทำให้สามารถฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้อย่างปกติ
ประธาน มูลนิธิสอนช่วยชีวิต กล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกามีการแนะนำวิธีการช่วยชีวิตด้วยมืออย่างเดียวหรือ Hands only CPR โดยให้พนักงานรับโทรศัพท์ที่ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินเป็นผู้แนะนำวิธีการ ช่วยชีวิตด้วยการกดหน้าอกผู้หมดสติ โดยคนที่อยู่ใกล้ๆ ขณะที่รอรถพยาบาลไปถึง พบว่า อัตราการฟื้นคืนชีพหลังการช่วบชีวิตเพิ่มสูงขึ้น เช่น ในเมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตันของสหรัฐอเมริกา หลังจากที่มีการนำระบบดังกล่าวไปใช้ จำนวนผู้หมดสติที่ได้รับการฟื้นคืนชีพจากการช่วยชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 27% เป็น 56%
“เวลาที่พบคนหมดสติ คนส่วนใหญ่มักจะตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก จึงมีแต่คนที่ไปมุงดู แต่ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งถ้าต้องลงไปเป่าปากคนที่เราไม่รู้จัก ก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ ไม่กล้า แต่ถึงปี พ.ศ.นี้แล้ว อย่าลังเลที่จะช่วยชีวิตคนที่อยู่ใกล้ๆ เพราะมาตรฐานใหม่ของการช่วยชีวิตนั้นง่ายนิดเดียว แค่ใช้มือกดหน้าอกไม่ต้องกังวลเรื่องการเป่าปากอีกต่อไป ”นพ.สันต์ กล่าว
และ ว่า หลักการของการช่วยชีวิตด้วยการกดหน้าอกนั้น ตามมาตรฐาน คือกดตามจังหวะที่เหมาะสม ให้ได้จังหวะการกดมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที “มีคำถามว่า กดคำว่ากดเป็นจังหวะนั้นกดอย่างไร ในต่างประเทศ เขาใช้เพลงมาช่วยสอนการช่วยชีวิต เพลงที่ใช้คือเพลง Staying Alive ของ บีจี ซึ่งเป็นจังหวะที่พอดีในการกดหน้าอก
ส่วนในเมืองไทย ผมพยายามคิดอยู่ว่าเพลงอะไรที่เข้ากับจังหวะการกดหน้าอกได้ดีที่สุด และพบว่า เพลงสุขกันเถอะเรา ของ วงสุนทราภรณ์นั้น เป็นจังหวะที่สามารถใช้กับวิธีการช่วยชีวิตแบบ Hands only CPR ได้ดีที่สุด” นพ.สันต์ กล่าว และว่า วิธีการกดหน้าอกเพื่อช่วยชีวิตตามจังหวะเพลงนั้น ให้วางส้นมือข้างหนึ่งที่หน้าอกตรงกลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง จากนั้นวางส้นมืออีกข้างประสานกัน เหยียดแขนตรง หลังตรง กดหน้าอกให้ลึก 2 นิ้ว ปล่อยหน้าอกให้เด้งกลับมาสุด กดแล้วปล่อย กดแล้วปล่อย ตามจังหวะเพลงสุขกันเถอะเรา จนกว่าความช่วยเหลือจากรถพยาบาลหรือรถฉุกเฉินจะมาถึง
ด้าน น.ส.สุจิตรา แววทอง หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลผู้ป่วยใน รพ.ราชวิถี กล่าวว่า การกดหน้าอกช่วยชีวิตด้วยเพลงสุขกันเถอะเรา เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะจังหวะในการบีบตัวของเลือดในหัวใจไปหล่อเสี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งหลังจากนำมาสอนพยาบาลและพนักงานกู้ชีพฉุกเฉินในรพ.แล้ว ทุกคนรู้สึกว่า การช่วยชีวิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป และก็มีตัวอย่างแล้วว่า สามารถช่วยชีวิตคนให้สุขกันเถอะเราได้จริงๆ
ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554
.
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิต และผอ.รพ.พญาไท 2 เปิดเผยถึงเทคนิคการช่วยชีวิตด้วยวิธี CPR หรือ Cardio Pulmonary Resuscitation ด้วยการใช้เพลงป็นสื่อ ว่า ในปี 2554ทั่วโลกได้มีการปรับมาตรฐานของการช่วยชีวิตด้วยวิธี CPR ใหม่ จากการช่วยชีวิตด้วยการเป่าปาก(Mouth to Mouth )และกดหน้าอก เป็นการช่วยชีวิตด้วยมืออย่างเดียวหรือ Hands only CPR ซึ่งจะทำให้คนทั่วไปสามารถช่วยชีวิตคนอื่นได้ง่ายขึ้น
นพ.สันต์ กล่าวว่า การเสียชีวิตอย่างกระทันหันส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายนอกโรงพยาบาล จากสถิติพบว่า ในบรรดาผู้หมดสตินอกโรงพยาบาลมีเพียง 20% เท่านั้น ที่ได้รับการช่วยชีวิตโดยคนที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งๆที่หากได้รับการช่วยชีวิตทันที จะเพิ่มความสำเร็จของการฟื้นคืนชีพได้ถึง 1 เท่าตัว และว่ามาตรฐานใหม่นี้เป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกปฏิบัติร่วมกันเพื่อใช้ช่วยชีวิต คนในเวลาฉุกเฉิน เป็นการช่วยฟื้นคืนชีพด้วยมือเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีตัวอย่างจากทั่วโลก ที่คนหมดสติแล้วไดรับการกดลงที่หน้าอกเพื่อช่วยบีบเลือดที่หัวใจออกไปเลี้ยง ร่างกายแล้ว ทำให้สามารถฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้อย่างปกติ
ประธาน มูลนิธิสอนช่วยชีวิต กล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกามีการแนะนำวิธีการช่วยชีวิตด้วยมืออย่างเดียวหรือ Hands only CPR โดยให้พนักงานรับโทรศัพท์ที่ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินเป็นผู้แนะนำวิธีการ ช่วยชีวิตด้วยการกดหน้าอกผู้หมดสติ โดยคนที่อยู่ใกล้ๆ ขณะที่รอรถพยาบาลไปถึง พบว่า อัตราการฟื้นคืนชีพหลังการช่วบชีวิตเพิ่มสูงขึ้น เช่น ในเมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตันของสหรัฐอเมริกา หลังจากที่มีการนำระบบดังกล่าวไปใช้ จำนวนผู้หมดสติที่ได้รับการฟื้นคืนชีพจากการช่วยชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 27% เป็น 56%
“เวลาที่พบคนหมดสติ คนส่วนใหญ่มักจะตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก จึงมีแต่คนที่ไปมุงดู แต่ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งถ้าต้องลงไปเป่าปากคนที่เราไม่รู้จัก ก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ ไม่กล้า แต่ถึงปี พ.ศ.นี้แล้ว อย่าลังเลที่จะช่วยชีวิตคนที่อยู่ใกล้ๆ เพราะมาตรฐานใหม่ของการช่วยชีวิตนั้นง่ายนิดเดียว แค่ใช้มือกดหน้าอกไม่ต้องกังวลเรื่องการเป่าปากอีกต่อไป ”นพ.สันต์ กล่าว
และ ว่า หลักการของการช่วยชีวิตด้วยการกดหน้าอกนั้น ตามมาตรฐาน คือกดตามจังหวะที่เหมาะสม ให้ได้จังหวะการกดมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที “มีคำถามว่า กดคำว่ากดเป็นจังหวะนั้นกดอย่างไร ในต่างประเทศ เขาใช้เพลงมาช่วยสอนการช่วยชีวิต เพลงที่ใช้คือเพลง Staying Alive ของ บีจี ซึ่งเป็นจังหวะที่พอดีในการกดหน้าอก
ส่วนในเมืองไทย ผมพยายามคิดอยู่ว่าเพลงอะไรที่เข้ากับจังหวะการกดหน้าอกได้ดีที่สุด และพบว่า เพลงสุขกันเถอะเรา ของ วงสุนทราภรณ์นั้น เป็นจังหวะที่สามารถใช้กับวิธีการช่วยชีวิตแบบ Hands only CPR ได้ดีที่สุด” นพ.สันต์ กล่าว และว่า วิธีการกดหน้าอกเพื่อช่วยชีวิตตามจังหวะเพลงนั้น ให้วางส้นมือข้างหนึ่งที่หน้าอกตรงกลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง จากนั้นวางส้นมืออีกข้างประสานกัน เหยียดแขนตรง หลังตรง กดหน้าอกให้ลึก 2 นิ้ว ปล่อยหน้าอกให้เด้งกลับมาสุด กดแล้วปล่อย กดแล้วปล่อย ตามจังหวะเพลงสุขกันเถอะเรา จนกว่าความช่วยเหลือจากรถพยาบาลหรือรถฉุกเฉินจะมาถึง
ด้าน น.ส.สุจิตรา แววทอง หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลผู้ป่วยใน รพ.ราชวิถี กล่าวว่า การกดหน้าอกช่วยชีวิตด้วยเพลงสุขกันเถอะเรา เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะจังหวะในการบีบตัวของเลือดในหัวใจไปหล่อเสี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งหลังจากนำมาสอนพยาบาลและพนักงานกู้ชีพฉุกเฉินในรพ.แล้ว ทุกคนรู้สึกว่า การช่วยชีวิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป และก็มีตัวอย่างแล้วว่า สามารถช่วยชีวิตคนให้สุขกันเถอะเราได้จริงๆ
ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554
.
Monday, February 21, 2011
สถานการณ์: circumstance
คำที่อธิบายสถานการณ์ได้ดีคำหนึ่ง คือ circumstance อันหมายถึง สภาวะแวดล้อม เหตุการณ์ สถานการณ์ การณ์ รูปการณ์ อาจพูดได้ว่า circumstance เป็นเงื่อนไข ความจริง หรือ การณ์ ที่ทำให้เกิดสถานการณ์อย่างที่เป็น Circumstance is a condition or fact or event causing a situation the way it is
คำ circumstance นี้ ปกติส่วนมากจะใช้เป็นพหูพจน์ นั่นคือ circumstances แต่ก็พบเห็นได้บ้างที่เป็นเอกพจน์
คำที่ให้ความหมายในทำนอง circumstance ได้แก่ situation, condition, scenario, contingency, state of affairs
พฤติการณ์แวดล้อม เราสามารถใช้ surrounding circumstances
สำนวน idiom ที่ว่า under no circumstances หรือ in no circumstances ใช้หมายถึง "ไม่ว่ากรณีใดๆ"
สำนวน idiom ที่ว่า under/in the circumstances สังเกตว่าสำนวนอันนี้ใช้ "the" อันหมายถึง ภายใต้ภาวะการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น because of conditions หรือ this being the case
สำนวน idiom ที่ว่า depending on circumstances ใช้หมายถึง "แล้วแต่กรณี" as the case may be
สำนวน idiom ที่ว่า in hard circumstances ใช้หมายถึง "ข้นแค้น ยากลำบาก"
สำนวน idiom ที่ว่า "reduced circumstances" ให้ความหมายที่คล้ายกับ in hard circumstances นั่้นคือ มีเงินน้อย ยากจนข้นแค้น เช่น He is living in reduced circumstances. (reduced circumstances = with little money).
หากต้องการใช้สำนวน idiom ที่ให้ความหมาย"กรณีพิเศษ" นั้น เราสามารถใช้ special circumstances หรือ special case หรือ particular case ได้
สำนวน in good (or bad) circumstances ให้ความหมายในด้านการเงินของคน ว่าคนๆนั้น มีภาวะทางการเงินดี(หรือแย่)อย่างไร
เขาเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น He is innocent victim of circumstances.
พระเอกภายใต้การรุมล้อมสภาวะการณ์ที่ไม่ดี เขาจะต้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทำงานให้สำเร็จ หรือ ไม่งั้นก็ตาย The hero is besieged by unfortunate circumstances and must one way or another succeed or die.
นาย David Hume ได้กล่าวไว้ว่า เขาคงมีความสุข ที่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เข้ากับอุปนิสัยใจคอของเขา แต่คงจะเจ๋งวิเศษได้ ถ้าเขาสามารถปรับอุปนิสัยใจคอของเขาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใดๆ He is happy whom circumstances suit his temper; but he Is more excellent who suits his temper to any circumstance.
มันคงจะดีมากถ้าเราสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ It would be great if you can always adapt to new circumstance.
Dr.SoS
.
คำ circumstance นี้ ปกติส่วนมากจะใช้เป็นพหูพจน์ นั่นคือ circumstances แต่ก็พบเห็นได้บ้างที่เป็นเอกพจน์
คำที่ให้ความหมายในทำนอง circumstance ได้แก่ situation, condition, scenario, contingency, state of affairs
พฤติการณ์แวดล้อม เราสามารถใช้ surrounding circumstances
สำนวน idiom ที่ว่า under no circumstances หรือ in no circumstances ใช้หมายถึง "ไม่ว่ากรณีใดๆ"
สำนวน idiom ที่ว่า under/in the circumstances สังเกตว่าสำนวนอันนี้ใช้ "the" อันหมายถึง ภายใต้ภาวะการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น because of conditions หรือ this being the case
สำนวน idiom ที่ว่า depending on circumstances ใช้หมายถึง "แล้วแต่กรณี" as the case may be
สำนวน idiom ที่ว่า in hard circumstances ใช้หมายถึง "ข้นแค้น ยากลำบาก"
สำนวน idiom ที่ว่า "reduced circumstances" ให้ความหมายที่คล้ายกับ in hard circumstances นั่้นคือ มีเงินน้อย ยากจนข้นแค้น เช่น He is living in reduced circumstances. (reduced circumstances = with little money).
หากต้องการใช้สำนวน idiom ที่ให้ความหมาย"กรณีพิเศษ" นั้น เราสามารถใช้ special circumstances หรือ special case หรือ particular case ได้
สำนวน in good (or bad) circumstances ให้ความหมายในด้านการเงินของคน ว่าคนๆนั้น มีภาวะทางการเงินดี(หรือแย่)อย่างไร
เขาเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น He is innocent victim of circumstances.
พระเอกภายใต้การรุมล้อมสภาวะการณ์ที่ไม่ดี เขาจะต้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทำงานให้สำเร็จ หรือ ไม่งั้นก็ตาย The hero is besieged by unfortunate circumstances and must one way or another succeed or die.
นาย David Hume ได้กล่าวไว้ว่า เขาคงมีความสุข ที่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เข้ากับอุปนิสัยใจคอของเขา แต่คงจะเจ๋งวิเศษได้ ถ้าเขาสามารถปรับอุปนิสัยใจคอของเขาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใดๆ He is happy whom circumstances suit his temper; but he Is more excellent who suits his temper to any circumstance.
มันคงจะดีมากถ้าเราสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ It would be great if you can always adapt to new circumstance.
Dr.SoS
.
Friday, February 18, 2011
วัน(ต่างๆ ): date
วันนี่ใครจะว่าสำคัญก็สำคัญ จะว่าไม่สำคัญนั้นมีน้อยมาก การรู้จัก"วัน"ต่างๆ
- due date หมายถึง วันที่ครบกำหนดที่จะต้องใช้เงินคืน the date on which an monetary obligation must be repaid โดยเฉพาะท่านที่ใช้บัตรเครดิต จะต้องชำระเงินค่าใช้จ่ายที่ท่านไปรูดบัตรเอาไว้ ต้องจ่ายให้ตรงเวลา โดยวันครบชำระ จะเรียกว่า due date
ฉันจำเป็นต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิต เพราะวันครบกำหนดชำระเป็นวันจันทร์ที่กำลังมาถึง I have to pay my credit card debt, the due date is this coming Monday.
- นอกจากนั้น due date ยังหมายถึง วันครบกำหนดคลอดลูกอีกด้วย ท่านสามารถถามคุณหมอให้ช่วยประมาณวันคลอดลูกได้ You can ask your doctor to calculate approximate pregnancy due date.
-ในแง่ประกันภัย วันครบกำหนดการรับประกันก็เรียก due date
- เกี่ยวกับข้อมูลใหม่หรือสิ่งใหม่ update (n,v) คุณต้องอัพเดทข้อมูลต่อต้านไวรัสบ่อยๆเพื่อป้องกันให้คอมพิวเตอร์ปลอดภัย You have to update your anti-virus definitions frequently in order to protect your computer.
- เวลาจะบอกเกี่ยวกับการมีอยู่ก่อนหรือเกิดก่อนอีกสิ่ง (precede in time) เราสามารถใช้ predate ได้ เช่นกล่าวว่า การออกแบบครั้งแรกมีมาก่อนการออกแบบสมัยใหม่เกือบร้อยปี(ศตวรรษ) The first design predated the modern designs almost a century.
- การเขียนเช็คหรือเอกสาร โดยลงวันที่ย้อนหลังนั้นก็เรียก predate ( a date earlier than the actual one) เช่นที่กล่าวว่า เขาเขียนเช็คลงวันที่ย้อนหลังสองสัปดาห์ He predates the check a week ago.
- เราสามารถใช้ foredate หรือ antedate ในทำนองเดียวกันกับ predate ได้
- การกำหนดวันในการให้มีผลย้อนหลัง นั้นเราเรียกว่า backdate (making something effective from an earlier time โดยเฉพาะการขึ้นราคา especially a pay increase เช่นกล่าวว่า พวกเขาได้ค่าจ้างรายวันเพิ่ม โดยให้มีผลย้อนหลังไปที่วันแรกของเดือนนี้ They got daily wage increase backdated to the day of this month
- การเขียนเอกสารหรือเช็คลงวันที่ล่วงหน้า writing a future date on (a document)นั้นก็เรียก postdate เช่นที่กล่าวว่า เขาเขียนเช็คลงวันที่ล่วงหน้านานถึงสองเดือน He postdates the check as long as two months. เขาเขียนล่วงหน้าคือตอนนี้ยังไม่ต้องจ่ายเงินจริงๆ แต่คาดหมายว่าจะจ่ายในอนาคต
- คำ sedate(s) หมายถึง การทำให้คนหรือสัตว์สงบลงอย่างมาก (อาจเป็นการให้ยาให้นอนหลับ) sedation เช่น The doctor makes she rest by giving her strong sedate. ยาพวกทำให้หลับเรียก tranquilizer [N] ยาระงับประสาท, ยากล่อมประสาท
- ล้าสมัย เชย ตกรุ่น สามารถใช้คำ outdated หรือ out-of-date, obsolete, old-fashioned, out-moded, outdated, behind the times, antiquated ก็ได้
Dr.SoS
.
- due date หมายถึง วันที่ครบกำหนดที่จะต้องใช้เงินคืน the date on which an monetary obligation must be repaid โดยเฉพาะท่านที่ใช้บัตรเครดิต จะต้องชำระเงินค่าใช้จ่ายที่ท่านไปรูดบัตรเอาไว้ ต้องจ่ายให้ตรงเวลา โดยวันครบชำระ จะเรียกว่า due date
ฉันจำเป็นต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิต เพราะวันครบกำหนดชำระเป็นวันจันทร์ที่กำลังมาถึง I have to pay my credit card debt, the due date is this coming Monday.
- นอกจากนั้น due date ยังหมายถึง วันครบกำหนดคลอดลูกอีกด้วย ท่านสามารถถามคุณหมอให้ช่วยประมาณวันคลอดลูกได้ You can ask your doctor to calculate approximate pregnancy due date.
-ในแง่ประกันภัย วันครบกำหนดการรับประกันก็เรียก due date
- เกี่ยวกับข้อมูลใหม่หรือสิ่งใหม่ update (n,v) คุณต้องอัพเดทข้อมูลต่อต้านไวรัสบ่อยๆเพื่อป้องกันให้คอมพิวเตอร์ปลอดภัย You have to update your anti-virus definitions frequently in order to protect your computer.
- เวลาจะบอกเกี่ยวกับการมีอยู่ก่อนหรือเกิดก่อนอีกสิ่ง (precede in time) เราสามารถใช้ predate ได้ เช่นกล่าวว่า การออกแบบครั้งแรกมีมาก่อนการออกแบบสมัยใหม่เกือบร้อยปี(ศตวรรษ) The first design predated the modern designs almost a century.
- การเขียนเช็คหรือเอกสาร โดยลงวันที่ย้อนหลังนั้นก็เรียก predate ( a date earlier than the actual one) เช่นที่กล่าวว่า เขาเขียนเช็คลงวันที่ย้อนหลังสองสัปดาห์ He predates the check a week ago.
- เราสามารถใช้ foredate หรือ antedate ในทำนองเดียวกันกับ predate ได้
- การกำหนดวันในการให้มีผลย้อนหลัง นั้นเราเรียกว่า backdate (making something effective from an earlier time โดยเฉพาะการขึ้นราคา especially a pay increase เช่นกล่าวว่า พวกเขาได้ค่าจ้างรายวันเพิ่ม โดยให้มีผลย้อนหลังไปที่วันแรกของเดือนนี้ They got daily wage increase backdated to the day of this month
- การเขียนเอกสารหรือเช็คลงวันที่ล่วงหน้า writing a future date on (a document)นั้นก็เรียก postdate เช่นที่กล่าวว่า เขาเขียนเช็คลงวันที่ล่วงหน้านานถึงสองเดือน He postdates the check as long as two months. เขาเขียนล่วงหน้าคือตอนนี้ยังไม่ต้องจ่ายเงินจริงๆ แต่คาดหมายว่าจะจ่ายในอนาคต
- คำ sedate(s) หมายถึง การทำให้คนหรือสัตว์สงบลงอย่างมาก (อาจเป็นการให้ยาให้นอนหลับ) sedation เช่น The doctor makes she rest by giving her strong sedate. ยาพวกทำให้หลับเรียก tranquilizer [N] ยาระงับประสาท, ยากล่อมประสาท
- ล้าสมัย เชย ตกรุ่น สามารถใช้คำ outdated หรือ out-of-date, obsolete, old-fashioned, out-moded, outdated, behind the times, antiquated ก็ได้
Dr.SoS
.
Friday, February 11, 2011
หลี จีบ เกี้ยว: Woo
จีบ หลี เกี้ยว เกี้ยวพาราสี ในภาษาอังกฤษก็มีหลายคำที่ให้ความหมายในทำนองนี้
court, woo, pay court to, fawn, flirt
hit on (slang) จีบ (สร้างความสัมพันธ์แบบชู้สาว)
จีบผู้หญิง philander[VT]
flirt (เฟลิร์ท) vi. จีบ,พูดจาเกี้ยว,เล่นรัก ได้มีภาพยนต์เรื่อง the flirting club หรือพูดง่ายๆ คือ สมาคมจีบหญิงนั่นเอง
การจีบหญิงสวยนี่ไม่ยากถ้ารู้วิธีและเทคนิค You will need to learn how to flirt a pretty girl, by applying various methods and techniques. ถ้าจีบไม่สำเร็จก็อยู่เป็นโสดเถอะ If not succeed, be single.
courtship (n) การจีบ การเกี้ยวพาราสี,การขอความรัก,การประจบ,การติดผู้หญิง
การขอความรักแบบ courtship นั้นจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัว ไม่มีการสัมผัสกัน ไม่มีการจูบกัน ไม่มีการอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่จะต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วยตลอดเวลา For many courtship relationships, couple will not spend any time together unless family members, preferably parents, are present at all times. โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อดูความเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะได้แต่งงานกัน finding if the other person is a suitable potential marriage partner.
ส่วนคำว่า"เดท" (date,dating) นั้นคนไทยรู้จักกันดี ซึ่งการเดทของคนที่ไม่ใช่คริสเตียน(non-Christians) ก็จะ มีวัตถุประสงค์เชิงความสัมพันธ์เพื่อร่วมรัก (a series of intimate physical relationships) แต่ถ้าเป็นคนคริสเตียน(Christians) การเดทถือว่าเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ หรืออย่างมากก็เกินเพื่อนไปเล็กน้อยแต่ไม่เกินเลย (little more than friendship) ไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับบางคนแตะเนื้อต้องตัวกันยังไม่ได้เลย
คนที่ออกเดท เราจะเรียกว่า daters
woo [VI] ขอความรัก เกี้ยว ขอแต่งงาน คำที่คล้ายกัน เช่น woo, entice, encircle, assail, flirt
เขารู้วิธีการหลีหญิง แต่ก็นั่นแหละมันเป็นเรื่องของศิลปะที่ซับซ้อน He knows how to woo a girl. Well, art of wooing a girl is a complex one.
การเกี้ยวรัก การเรียกหาความรัก To solicit in love
เวลาเราจีบหญิง ผู้หญิงก็จะเล่นตัว เรียกว่า play hard to get ,
Dr.SoS
/
court, woo, pay court to, fawn, flirt
hit on (slang) จีบ (สร้างความสัมพันธ์แบบชู้สาว)
จีบผู้หญิง philander[VT]
flirt (เฟลิร์ท) vi. จีบ,พูดจาเกี้ยว,เล่นรัก ได้มีภาพยนต์เรื่อง the flirting club หรือพูดง่ายๆ คือ สมาคมจีบหญิงนั่นเอง
การจีบหญิงสวยนี่ไม่ยากถ้ารู้วิธีและเทคนิค You will need to learn how to flirt a pretty girl, by applying various methods and techniques. ถ้าจีบไม่สำเร็จก็อยู่เป็นโสดเถอะ If not succeed, be single.
courtship (n) การจีบ การเกี้ยวพาราสี,การขอความรัก,การประจบ,การติดผู้หญิง
การขอความรักแบบ courtship นั้นจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัว ไม่มีการสัมผัสกัน ไม่มีการจูบกัน ไม่มีการอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่จะต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วยตลอดเวลา For many courtship relationships, couple will not spend any time together unless family members, preferably parents, are present at all times. โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อดูความเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะได้แต่งงานกัน finding if the other person is a suitable potential marriage partner.
ส่วนคำว่า"เดท" (date,dating) นั้นคนไทยรู้จักกันดี ซึ่งการเดทของคนที่ไม่ใช่คริสเตียน(non-Christians) ก็จะ มีวัตถุประสงค์เชิงความสัมพันธ์เพื่อร่วมรัก (a series of intimate physical relationships) แต่ถ้าเป็นคนคริสเตียน(Christians) การเดทถือว่าเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ หรืออย่างมากก็เกินเพื่อนไปเล็กน้อยแต่ไม่เกินเลย (little more than friendship) ไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับบางคนแตะเนื้อต้องตัวกันยังไม่ได้เลย
คนที่ออกเดท เราจะเรียกว่า daters
woo [VI] ขอความรัก เกี้ยว ขอแต่งงาน คำที่คล้ายกัน เช่น woo, entice, encircle, assail, flirt
เขารู้วิธีการหลีหญิง แต่ก็นั่นแหละมันเป็นเรื่องของศิลปะที่ซับซ้อน He knows how to woo a girl. Well, art of wooing a girl is a complex one.
การเกี้ยวรัก การเรียกหาความรัก To solicit in love
เวลาเราจีบหญิง ผู้หญิงก็จะเล่นตัว เรียกว่า play hard to get ,
Dr.SoS
/
เร่ร่อน: Stray
ส่วนมากเราจะรู้จักกับ stay ซึ่งแปลว่า อยู่ เข้าพัก (home stay) หยุด ค้าง (stay still) อะไรพวกนี้
คราวนี้ เรามารู้จักภาษาอังกฤษอีกคำ ที่เขียนง่าย ๆ เพียงเติมตัว r หลัง s
Stray (v) 1. เร่ร่อน 2. ไถล 3. บ่ายเบน 4. เที่ยวไป 5. หันเห 6. กระเจิดกระเจิง 7. ระหกระเหิน 8. ระเหินระหก 9. ระเหเร่ร่อน 10.พเนจร
Stray (adj) 1. หลงทาง 2. กระจัดกระจาย 3. พลัดพราก
Stray (n) คนหรือสัตว์ที่หลงทาง คนไร้บ้าง คนพเนจร คนจรจัด
a stray dog (n) สุนัขจรจัด
a stray cat (n) แมวจรจัด แมวหลงทาง
a stray calf (n) ลูกสัตว์หลงทาง โดยเฉพาะลูกควาย ลูกวัว ลูกช้าง
ตัวอย่างประโยค จะทำไงดีกับพวก แมวพเนจร แมวจรจัด How Do You Get Rid Of Stray Cats?
พายุทำให้เรือหลงออกนอกเส้นทาง The storm caused the ship to stray off course.
นอกจากนั้น stray ยังให้ความหมายในเชิง หลงความคิด หลงการพูดคุยได้ด้วย ทั้งที่ควรจะได้ใส่ใจ เช่น
โครงการหลงออกนอกทางไปจากที่ได้รับอนุมัติแต่เริ่มแรก The project is strayed from original approval.
เธอบอกเสียใจที่หลงออกไปจากหัวข้อ(การสนทนาพูดคุย) She says sorry for being strayed from the subject.
stray มีคำที่ให้ความหมายใกล้เคียงกัน คือ rove, roam, lose, deviate, rove, range, meander, err, vagrant ; homeless ; stray
Dr.SoS
"
คราวนี้ เรามารู้จักภาษาอังกฤษอีกคำ ที่เขียนง่าย ๆ เพียงเติมตัว r หลัง s
Stray (v) 1. เร่ร่อน 2. ไถล 3. บ่ายเบน 4. เที่ยวไป 5. หันเห 6. กระเจิดกระเจิง 7. ระหกระเหิน 8. ระเหินระหก 9. ระเหเร่ร่อน 10.พเนจร
Stray (adj) 1. หลงทาง 2. กระจัดกระจาย 3. พลัดพราก
Stray (n) คนหรือสัตว์ที่หลงทาง คนไร้บ้าง คนพเนจร คนจรจัด
a stray dog (n) สุนัขจรจัด
a stray cat (n) แมวจรจัด แมวหลงทาง
a stray calf (n) ลูกสัตว์หลงทาง โดยเฉพาะลูกควาย ลูกวัว ลูกช้าง
ตัวอย่างประโยค จะทำไงดีกับพวก แมวพเนจร แมวจรจัด How Do You Get Rid Of Stray Cats?
พายุทำให้เรือหลงออกนอกเส้นทาง The storm caused the ship to stray off course.
นอกจากนั้น stray ยังให้ความหมายในเชิง หลงความคิด หลงการพูดคุยได้ด้วย ทั้งที่ควรจะได้ใส่ใจ เช่น
โครงการหลงออกนอกทางไปจากที่ได้รับอนุมัติแต่เริ่มแรก The project is strayed from original approval.
เธอบอกเสียใจที่หลงออกไปจากหัวข้อ(การสนทนาพูดคุย) She says sorry for being strayed from the subject.
stray มีคำที่ให้ความหมายใกล้เคียงกัน คือ rove, roam, lose, deviate, rove, range, meander, err, vagrant ; homeless ; stray
Dr.SoS
"
เสริมดวงชะตา 2554
คมชัดลึก :ไท้ส่วยเอี๊ยเป๋าส่วยกุงเผ่งอัง คือเทพผู้ทรงสิทธิ์ คุ้มครองดวงชะตาซึ่งชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนจะรู้จักกันเป็นอย่างดี และเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยนั้น จะมีชื่อเรียกต่างๆ รวมกันทั้งหมด 60 องค์ และทำหน้าที่รักษาคุ้มครองแบบเฝ้าปี หรือกล่าวโดยง่ายว่า ทุกๆ 60 ปีจะมีเทพสลับหมุนเวียนทำหน้าที่รักษาคุ้มครองดวงปีของมนุษย์ไม่ซ้ำองค์ ซึ่งในปีนี้องค์ไท้ส่วยเอี๊ยที่ลงมาสถิตเฝ้าปีมีพระนามว่า ห่วมเล้งไต่เจียงกุง และถ้าหมดปีนี้เทพองค์นี้ก็จะกลับไปสถิตอยู่บนสวรรค์และจะกลับมาคุ้มครองดวง ปีอีก 60 ปีข้างหน้า ก็คือปีพ.ศ.2614
โดยหลักการคำนวณที่ผม เขียนมานี้ เป็นเคล็ดลับวิชาผูกดวงของซินแสจีนโบราณ ที่เรียกว่า โป๊ยหมี่ซี้เถียว ซึ่งจะคำนวณจาก ราศีบน เทียงถัง 10 ตัว มารวมกับราศีล่าง ตี่กี หรือราศรี 12 นักษัตรที่เรารู้จักกัน และจะนำทั้งหมดมาไล่เรียงจับคู่กันได้ 60 คู่ เรียกว่า หลักจับก๊งจื้อ โดยจะเวียนมาบรรจบครบรอบทุกๆ 60 ปี
ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมจู่ๆ ผมก็เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งอาจจะบอกเบื้องต้นได้ว่า เพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่จีน หรือเทศกาลตรุษจีน ซึ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วันก็ว่าได้ แต่ความจริงแล้ว ผมตั้งใจที่จะเขียนถึงวิธีแก้ชง ปรับดวง เสริมดวงชะตา ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันเล่นๆ หรือจะอ่านกันจริงๆ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป และเหตุที่สำคัญที่ทำให้ผมต้องเขียนเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะว่า มีเหตุการณ์ชนิดที่เรียกว่าน่าเชื่อถือเกิดขึ้นกับตัวผมและคนที่ผมรู้จัก ก็คือย้อนไปเมื่อกลางปีที่แล้ว ตอนที่ผมไปแสดงคอนเสิร์ตที่ชิคาโกและหลังจากนั้นผมก็ได้รู้จักกับคนไทยที่ ปักหลักตั้งรกรากอยู่ที่นั่นหลายต่อหลายคน และยังคงติดต่อกันด้วยทางอีเมล รวมถึงโทรศัพท์คุยกันถึงสารทุกข์สุกดิบกันบ้าง ซึ่งหนึ่งในหลายคนนั้นก็มี คุณเปิ้ล เจ้าหน้าที่สายการบินเอเอ็นเอ ซึ่งตอนนั้นคุณเปิ้ลได้อำนวยความสะดวกให้แก่คณะของผมตอนขากลับ ในเรื่องของน้ำหนักสัมภาระที่เกินกว่าที่สายการบินกำหนดกันเกือบทุกคน หลังจากนั้นผมและน้องๆ ในวงก็เลยรู้จักกับคุณเปิ้ล ซึ่งมีวัยเท่ากับผม ก็คือเกิดปีเดียวกันนั่นเอง
เมื่อช่วงก่อนปีใหม่คุณเปิ้ลได้บินกลับมาเมืองไทย เพื่อจะมารับคุณพ่อไปเที่ยวที่ชิคาโก และก็ถือโอกาสมาเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูง และก่อนมาก็ได้คุยกันว่า ปีนี้ปีเถาะของเรานั้นเป็นปีชง ซึ่งคุณเปิ้ลก็บอกกับผมว่า อยากจะไปทำพิธีแก้ชง แต่ว่าต้องเดินทางกลับชิคาโกก่อนตรุษจีน เนื่องจากลางานยาวเป็นเดือนไม่ได้ แต่ว่าช่วงเดือนมิถุนายน จะกลับมาใหม่ และจะไปทำพิธีในช่วงนั้น
หลังจากคุณเปิ้ลได้กลับไปชิคาโกในช่วงกลางเดือนมกราคม และอีก 2 อาทิตย์ต่อมาได้โทรมาคุยกับผมว่า เขาประสบอุบัติเหตุขณะที่ไปธุระกับลูกสาว โดยเสียหลักลื่นล้ม แขนหัก ต้องผ่าตัดใช้เหล็กดาม ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า มันอาจจะเกี่ยวข้องกับปีชงก็เป็นไปได้ และสำหรับตัวผมแล้ว ก็เพิ่งจะรู้จักกับการปรับดวงชง ซึ่งเป็นตำราของจีน เมื่อตอนปี 2548
ซึ่งตอนนั้นคนปีเถาะชงแบบตรงๆ ก็คือหนักมากที่สุดในรอบ 60 ปี โดยมีคุณแม่ของผมเองเป็นผู้บอกเรื่องนี้กับผม โดยในตอนแรกผมเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็อดเสียมิได้จากการรบเร้าของคุณแม่ผม ซึ่งก็เกิดปีเถาะเหมือนกับผม และหลังจากที่ผมได้ไปทำพิธีปรับดวงชงหรือแก้ดวงชง ผมก็รู้สึกได้เลยว่า สิ่งที่ดีๆ และแปลกๆ เข้ามาในชีวิตผมหลายอย่าง เช่น ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว ทันทีในงวดต่อมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกมาเป็นแรมปี และอีก 2 เดือนต่อมาก็ได้รับการติดต่อจากแกรมมี่ให้ไปถ่ายโฆษณาเครื่องดื่ม เอ็ม-150 ซึ่งอะไรเหล่านี้อาจจะเป็นในเรื่องของความรู้สึกหรือความเชื่อส่วนตัว ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็เป็นไปได้ทั้ง 2อย่าง แต่ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้วมันก็เป็นการเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตเพื่อเรียกความมั่นใจให้แก่ตัวเราใน การทำงานต่างๆ ในปีนี้
ในปี 2554 นี้ คนที่เกิดปีระกาเป็นปีชงชนิดที่เรียกว่า โดนเต็มๆ หนักกว่าปีอื่นๆ ส่วนรองลงมาเป็นลำดับก็คือ ปีเถาะ ซึ่งเป็นปีเกิดของผมเอง ต่อมาก็เป็นปีมะเมีย และสุดท้ายก็คือปีชวด ผู้ที่เกิดทั้ง 4 ปีนี้ต้องไปเสริมดวงชะตา ทำพิธีแก้ชงที่ วัดเล่งเน่ยยี่ ย่านเยาวราช ซึ่งเราเดินเข้าไปในวัดแล้วก็จะรู้เองว่าเราต้องทำอย่างไรบ้าง และผมก็อยากให้ท่านผู้อ่านที่เกิดในปีทั้ง 4 นี้ ไปทำพิธีแก้ชงเสริมดวงชะตา ซื่งอาจจะทำให้ดวงชะตาของท่านเปลี่ยนจากโชคร้ายเคราะห์ร้ายมาเป็นโชคดีมีลาภ ก็เป็นไปได้ เรื่องแบบนี้เชื่อเอาไว้บ้างก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกครับ และสำหรับตัวผมเองก็ไปทำพิธีที่วัดเล่งเน่ยยี่ มาเรียบร้อยแล้วล่ะครับ
เอาล่ะครับ ก่อนที่จะจากกันไปในฉบับนี้ ก็ขอประชาสัมพันธ์นิดหน่อย คือตอนนี้ คอลัมน์โลกใบนี้ดนตรีไทยของผม มีเฟซบุ๊กเพื่อเอาไว้สื่อสารกับท่านผู้อ่านแล้วนะครับ โดยท่านสามารถเข้าไปที่เฟซบุ๊กของท่านแล้วก็พิมพ์ คมชัดลึก โลกใบนี้ ดนตรีไทย หลังจากเจ้าหน้าที่ประจำคอลัมน์ของผมรับแอดท่านผู้อ่านแล้ว ท่านก็จะได้รับชมภาพหรือคลิปวิดีโอรวมถึงรายละเอียดต่างๆ ที่นอกเหนือจากในคอลัมน์ล่าสุด และที่สำคัญก็คือ การถามตอบปัญหาของทุกท่านในเฟซบุ๊กที่ดีและมีประโยชน์ ก็จะถูกนำมาเขียนลงคอลัมน์ในฉบับต่อไป
สำหรับฉบับนี้ คงต้องขอจบลงแต่เพียงแค่นี้ เอาไว้เจอกันในเฟซบุ๊กนะครับ...สวัสดีครับ
"ขุนอิน"
ที่มา: เสริมดวงชะตากับเฟซบุ๊ก โลกใบนี้ดนตรีไทย < ไลฟ์สไตล์ < คมชัดลึก วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554
เรามา "เติมบุญ" "เสริมมงคล" "เสริมโชค" "เสริมลาภ" "เสริมดวง" "เสริมสุข" แก้ปีชง 2554 กันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นคนปีชงโดยตรง รวมทั้งทุก ๆ คนที่เกิดปีอื่น ๆ ก็สามารถปฏิบัติได้ โดยการเติมบุญ แก้ปีชง เพิ่มบุญไม่ให้กรรมตามทัน การเติมบุญ สามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้ คือ
-การบริจาค (โดยเฉพาะการบริจาคเลือด เพราะว่า ได้บุญมาก และได้บุญเร็ว)
-การสวดมนต์และแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร บรรพบุรุษ บิดา มารดา และตัวเอง (ควรทำเป็นประจำ)
-ทำบุญตักบาตรและกรวดน้ำ (ทำบ่อย ๆ ทุกวันยิ่งดี)
-การรักษาศีลและการทำความดีต่าง ๆ
-การมีสติ (ฝึกใจเย็น นับ 1-10)
ขอให้โชคดีและมีความสุข จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
2011 is classified according to Chinese astrology as a "wooden rabbit year." The word "wooden" here is referred to as substance or "element," not real wood thing as in English language. Rabbit is a symbolic of fertility, growth, quickness and agility. Rabbit also is a symbolism for fear. You can face your fears with care and gentleness. As humans it is our nature to feel fear at times but we are shown to not let our growth and movement become paralyzed by our fears. Anyway, sooth-say, 2011 is not really a bad year.
Chinese-astrologically, those people who are born in Monkey, Tiger, Snake, and Pig years are affected by "tiger year."
Sooth/Alleviate Bad-luck/Misery/Pains/Sickness 2011
The ways to alleviate 2011 bad luck / pains / misery / sickness (from sins did in this or previous reincarnations) are described. Sinful pain, bad-luck, misery, sickness, heart-broken can be soothed simply by adding virtue, merit, good deeds, goodness to life. Items listed below give ways to add virtue/merit to your destiny. Chase sad-tears away, make your life to success/happy/calm in all aspects and dimensions =>
- Donate to Buddhist temple/monks + do blood donation
- conduct Buddhist pray as well as be compassionate (extend loving kindness to all; be pitiful; wish happiness & extend loving kindness to all creatures; think benevolently) especially to persons with previous deeds on each other
- give food offerings to a Buddhist monk & then pour ceremonial water
- observe the precepts and do good things
- conscionable with right mind (Keep your shirt on! Laid-back, Get a grip on stress and happiness management)
- come and pay-respect to Buddha statues in Thailand will bring you total good-lucks and happiness
Then you'll cry only happy-tears. Good-luck to all from people of Thailand - Buddha Blesses You. Let's Buddha bless You
โดยหลักการคำนวณที่ผม เขียนมานี้ เป็นเคล็ดลับวิชาผูกดวงของซินแสจีนโบราณ ที่เรียกว่า โป๊ยหมี่ซี้เถียว ซึ่งจะคำนวณจาก ราศีบน เทียงถัง 10 ตัว มารวมกับราศีล่าง ตี่กี หรือราศรี 12 นักษัตรที่เรารู้จักกัน และจะนำทั้งหมดมาไล่เรียงจับคู่กันได้ 60 คู่ เรียกว่า หลักจับก๊งจื้อ โดยจะเวียนมาบรรจบครบรอบทุกๆ 60 ปี
ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมจู่ๆ ผมก็เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งอาจจะบอกเบื้องต้นได้ว่า เพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่จีน หรือเทศกาลตรุษจีน ซึ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วันก็ว่าได้ แต่ความจริงแล้ว ผมตั้งใจที่จะเขียนถึงวิธีแก้ชง ปรับดวง เสริมดวงชะตา ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันเล่นๆ หรือจะอ่านกันจริงๆ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป และเหตุที่สำคัญที่ทำให้ผมต้องเขียนเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะว่า มีเหตุการณ์ชนิดที่เรียกว่าน่าเชื่อถือเกิดขึ้นกับตัวผมและคนที่ผมรู้จัก ก็คือย้อนไปเมื่อกลางปีที่แล้ว ตอนที่ผมไปแสดงคอนเสิร์ตที่ชิคาโกและหลังจากนั้นผมก็ได้รู้จักกับคนไทยที่ ปักหลักตั้งรกรากอยู่ที่นั่นหลายต่อหลายคน และยังคงติดต่อกันด้วยทางอีเมล รวมถึงโทรศัพท์คุยกันถึงสารทุกข์สุกดิบกันบ้าง ซึ่งหนึ่งในหลายคนนั้นก็มี คุณเปิ้ล เจ้าหน้าที่สายการบินเอเอ็นเอ ซึ่งตอนนั้นคุณเปิ้ลได้อำนวยความสะดวกให้แก่คณะของผมตอนขากลับ ในเรื่องของน้ำหนักสัมภาระที่เกินกว่าที่สายการบินกำหนดกันเกือบทุกคน หลังจากนั้นผมและน้องๆ ในวงก็เลยรู้จักกับคุณเปิ้ล ซึ่งมีวัยเท่ากับผม ก็คือเกิดปีเดียวกันนั่นเอง
เมื่อช่วงก่อนปีใหม่คุณเปิ้ลได้บินกลับมาเมืองไทย เพื่อจะมารับคุณพ่อไปเที่ยวที่ชิคาโก และก็ถือโอกาสมาเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูง และก่อนมาก็ได้คุยกันว่า ปีนี้ปีเถาะของเรานั้นเป็นปีชง ซึ่งคุณเปิ้ลก็บอกกับผมว่า อยากจะไปทำพิธีแก้ชง แต่ว่าต้องเดินทางกลับชิคาโกก่อนตรุษจีน เนื่องจากลางานยาวเป็นเดือนไม่ได้ แต่ว่าช่วงเดือนมิถุนายน จะกลับมาใหม่ และจะไปทำพิธีในช่วงนั้น
หลังจากคุณเปิ้ลได้กลับไปชิคาโกในช่วงกลางเดือนมกราคม และอีก 2 อาทิตย์ต่อมาได้โทรมาคุยกับผมว่า เขาประสบอุบัติเหตุขณะที่ไปธุระกับลูกสาว โดยเสียหลักลื่นล้ม แขนหัก ต้องผ่าตัดใช้เหล็กดาม ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า มันอาจจะเกี่ยวข้องกับปีชงก็เป็นไปได้ และสำหรับตัวผมแล้ว ก็เพิ่งจะรู้จักกับการปรับดวงชง ซึ่งเป็นตำราของจีน เมื่อตอนปี 2548
ซึ่งตอนนั้นคนปีเถาะชงแบบตรงๆ ก็คือหนักมากที่สุดในรอบ 60 ปี โดยมีคุณแม่ของผมเองเป็นผู้บอกเรื่องนี้กับผม โดยในตอนแรกผมเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็อดเสียมิได้จากการรบเร้าของคุณแม่ผม ซึ่งก็เกิดปีเถาะเหมือนกับผม และหลังจากที่ผมได้ไปทำพิธีปรับดวงชงหรือแก้ดวงชง ผมก็รู้สึกได้เลยว่า สิ่งที่ดีๆ และแปลกๆ เข้ามาในชีวิตผมหลายอย่าง เช่น ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว ทันทีในงวดต่อมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกมาเป็นแรมปี และอีก 2 เดือนต่อมาก็ได้รับการติดต่อจากแกรมมี่ให้ไปถ่ายโฆษณาเครื่องดื่ม เอ็ม-150 ซึ่งอะไรเหล่านี้อาจจะเป็นในเรื่องของความรู้สึกหรือความเชื่อส่วนตัว ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็เป็นไปได้ทั้ง 2อย่าง แต่ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้วมันก็เป็นการเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตเพื่อเรียกความมั่นใจให้แก่ตัวเราใน การทำงานต่างๆ ในปีนี้
ในปี 2554 นี้ คนที่เกิดปีระกาเป็นปีชงชนิดที่เรียกว่า โดนเต็มๆ หนักกว่าปีอื่นๆ ส่วนรองลงมาเป็นลำดับก็คือ ปีเถาะ ซึ่งเป็นปีเกิดของผมเอง ต่อมาก็เป็นปีมะเมีย และสุดท้ายก็คือปีชวด ผู้ที่เกิดทั้ง 4 ปีนี้ต้องไปเสริมดวงชะตา ทำพิธีแก้ชงที่ วัดเล่งเน่ยยี่ ย่านเยาวราช ซึ่งเราเดินเข้าไปในวัดแล้วก็จะรู้เองว่าเราต้องทำอย่างไรบ้าง และผมก็อยากให้ท่านผู้อ่านที่เกิดในปีทั้ง 4 นี้ ไปทำพิธีแก้ชงเสริมดวงชะตา ซื่งอาจจะทำให้ดวงชะตาของท่านเปลี่ยนจากโชคร้ายเคราะห์ร้ายมาเป็นโชคดีมีลาภ ก็เป็นไปได้ เรื่องแบบนี้เชื่อเอาไว้บ้างก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกครับ และสำหรับตัวผมเองก็ไปทำพิธีที่วัดเล่งเน่ยยี่ มาเรียบร้อยแล้วล่ะครับ
เอาล่ะครับ ก่อนที่จะจากกันไปในฉบับนี้ ก็ขอประชาสัมพันธ์นิดหน่อย คือตอนนี้ คอลัมน์โลกใบนี้ดนตรีไทยของผม มีเฟซบุ๊กเพื่อเอาไว้สื่อสารกับท่านผู้อ่านแล้วนะครับ โดยท่านสามารถเข้าไปที่เฟซบุ๊กของท่านแล้วก็พิมพ์ คมชัดลึก โลกใบนี้ ดนตรีไทย หลังจากเจ้าหน้าที่ประจำคอลัมน์ของผมรับแอดท่านผู้อ่านแล้ว ท่านก็จะได้รับชมภาพหรือคลิปวิดีโอรวมถึงรายละเอียดต่างๆ ที่นอกเหนือจากในคอลัมน์ล่าสุด และที่สำคัญก็คือ การถามตอบปัญหาของทุกท่านในเฟซบุ๊กที่ดีและมีประโยชน์ ก็จะถูกนำมาเขียนลงคอลัมน์ในฉบับต่อไป
สำหรับฉบับนี้ คงต้องขอจบลงแต่เพียงแค่นี้ เอาไว้เจอกันในเฟซบุ๊กนะครับ...สวัสดีครับ
"ขุนอิน"
ที่มา: เสริมดวงชะตากับเฟซบุ๊ก โลกใบนี้ดนตรีไทย < ไลฟ์สไตล์ < คมชัดลึก วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554
"เติมบุญ" "เสริมมงคล" "เสริมโชค" "เสริมลาภ" "เสริมดวง" "เสริมสุข" แก้ปีชง 2554 / 2011
เรามา "เติมบุญ" "เสริมมงคล" "เสริมโชค" "เสริมลาภ" "เสริมดวง" "เสริมสุข" แก้ปีชง 2554 กันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นคนปีชงโดยตรง รวมทั้งทุก ๆ คนที่เกิดปีอื่น ๆ ก็สามารถปฏิบัติได้ โดยการเติมบุญ แก้ปีชง เพิ่มบุญไม่ให้กรรมตามทัน การเติมบุญ สามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้ คือ
-การบริจาค (โดยเฉพาะการบริจาคเลือด เพราะว่า ได้บุญมาก และได้บุญเร็ว)
-การสวดมนต์และแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร บรรพบุรุษ บิดา มารดา และตัวเอง (ควรทำเป็นประจำ)
-ทำบุญตักบาตรและกรวดน้ำ (ทำบ่อย ๆ ทุกวันยิ่งดี)
-การรักษาศีลและการทำความดีต่าง ๆ
-การมีสติ (ฝึกใจเย็น นับ 1-10)
ขอให้โชคดีและมีความสุข จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
2011 is classified according to Chinese astrology as a "wooden rabbit year." The word "wooden" here is referred to as substance or "element," not real wood thing as in English language. Rabbit is a symbolic of fertility, growth, quickness and agility. Rabbit also is a symbolism for fear. You can face your fears with care and gentleness. As humans it is our nature to feel fear at times but we are shown to not let our growth and movement become paralyzed by our fears. Anyway, sooth-say, 2011 is not really a bad year.
Chinese-astrologically, those people who are born in Monkey, Tiger, Snake, and Pig years are affected by "tiger year."
Sooth/Alleviate Bad-luck/Misery/Pains/Sickness 2011
The ways to alleviate 2011 bad luck / pains / misery / sickness (from sins did in this or previous reincarnations) are described. Sinful pain, bad-luck, misery, sickness, heart-broken can be soothed simply by adding virtue, merit, good deeds, goodness to life. Items listed below give ways to add virtue/merit to your destiny. Chase sad-tears away, make your life to success/happy/calm in all aspects and dimensions =>
- Donate to Buddhist temple/monks + do blood donation
- conduct Buddhist pray as well as be compassionate (extend loving kindness to all; be pitiful; wish happiness & extend loving kindness to all creatures; think benevolently) especially to persons with previous deeds on each other
- give food offerings to a Buddhist monk & then pour ceremonial water
- observe the precepts and do good things
- conscionable with right mind (Keep your shirt on! Laid-back, Get a grip on stress and happiness management)
- come and pay-respect to Buddha statues in Thailand will bring you total good-lucks and happiness
Then you'll cry only happy-tears. Good-luck to all from people of Thailand - Buddha Blesses You. Let's Buddha bless You
วัยรุ่นไทย พร่องอีคิว-พร้อมเสียตัว
อีคิวเด็กไทยสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางเพศและความเข้มแข็งทางจิตใจของวัยรุ่น โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมอารมณ์ แนะไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความรักด้วยวิธีที่เสี่ยง ในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์...
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า จากข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนไทยที่เผยแพร่ในเว็บไซต์เด็กดีด อทคอม ระบุว่า วัยรุ่นไทยให้ความสนใจ และให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากที่สุดถึง 47.8% รองลงมา คือ วัยทำงาน 12.6% และคู่สมรส 12.5% และยังระบุอีกว่ากิจกรรมที่วัยรุ่นนิยมทำกันมากที่สุดในวันวาเลนไทน์ สูงสุดถึง 42.58% คือ การไปดูหนัง ฟังเพลง ทานข้าวกับคนรัก และอยู่กันสองต่อสอง ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้สามารถนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ได้ง่ายมาก จากเหตุผลหลายประการ เช่น ความรัก อารมณ์พาไป อยากรู้อยากลอง ความพอใจ รวมถึงวุฒิภาวะที่มีอยู่น้อย ขาดความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น สอดคล้องกับผลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่าปัจจุบันวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น เริ่มตั้งแต่อายุ 15-17 ปี ผลที่ตามมาก็คือการทำแท้ง โดยพบว่า 61.3% ของผู้หญิงที่ทำแท้ง เป็นเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี และ 29.9% มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ในจำนวนนี้ 24.7% เป็นนักเรียน นักศึกษา
รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร จนนำไปสู่ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะในวัยรุ่น เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) กับพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นไทยมีความสัมพันธ์กัน รวมถึงความเข้มแข็งทางจิตใจก็มีผลต่อการแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ทั้งนี้ การลดความเสี่ยงของการมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม จำเป็นต้องพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ทั้ง 3 ด้าน คือ ดี เก่ง และสุข โดยพัฒนาในเรื่องการควบคุมอารมณ์ตนเอง การรู้ถูกผิด การตัดสินใจแก้ปัญหา และการสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งจะทำให้วัยรุ่นสามารถตัดสินใจได้อย่างมีสติ เป็นตัวของตัวเอง ไม่กลัวคนรักโกรธ มั่นใจในคุณค่าของตนเอง ไม่ตกเป็นเหยื่อของการท้าทาย และไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความรักหรือความกล้าของตนเองด้วยวิธีที่เสี่ยง
ที่มา: วัยรุ่นไทย พร่องอีคิว-พร้อมเสียตัว ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554
เด็กไทยเสียตัววาเลนไทน์ ไม่เว้นแม้ส้วมปั๊มยันกระท่อม
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แฉ วัยรุ่น 12% นิยมเสียตัววันวาเลนไทน์ ห้องพักแหล่งฮิตมีเซ็กส์ ไม่เว้นส้วมปั๊มยันกระท่อม...
นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวว่า ปัจจุบัน เด็กและเยาวชนมีพฤติกรรมชิงสุกก่อนห่ามมากขึ้น โดยถือเอาวันวาเลนไทน์ เป็นวันเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
พม.โดยศูนย์การเฝ้า ระวังและเตือนภัยทางสังคมได้สำรวจข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงเกี่ยว กับเด็กและเยาวชนช่วงวาเลนไทน์ ทุกปีโดยปีที่ผ่านมา พบการมีเพศสัมพันธ์ถึง ร้อยยะ 9.4 ในจำนวนนี้จะใช้สถานที่ในบ้าน/ห้องส่วนตัว ร้อยละ 8.8 หอพัก/ห้องเช่า ร้อยละ 7.5 บ้านเพื่อน/แฟน ร้อยละ 6.9 นอกนั้นใช้โรงแรมและที่สาธารณะมุมมิดชิด
โดยภาพรวมจากการสำรวจของ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่า วัยรุ่นนิยมมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือคนรักในวันวาเลนไทน์ถึงร้อยละ 12 โดยใช้สถานที่บ้าน/ห้องส่วนตัวบ้านเพื่อน/บ้านแฟน หอพัก/ห้องเช่า โรงแรม/สถานที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ ห้องน้ำปั๊มน้ำมัน และกระท่อม ตามลำดับ
นายอิสสระ กล่าวอีกว่า ช่วงวันวาเลนไทน์นี้ จึงอยากรณรงค์ให้ทุกภาคส่วน สอดส่องดูแลเด็กและเยาวชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถาบันครอบครัวผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานให้อยู่ในสายตา หากิจกรรมสร้างสรรค์ในครอบครัวสถาบันการศึกษา มีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้นักเรียน มีความประพฤติที่เหมาะสม และมีความรับผิดชอบต่อสังคมรวมทั้งความร่วมมือจากเครือข่ายต่างๆ ที่ต้องทำงานอย่างบูรณาการร่วมกัน ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับหน่วยงานหลักในการรายงานสถานการณ์แจ้งข้อมูลและ ป้องกันในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเสนอข่าวสารเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อกระตุ้นเตือนและสร้างจิตสำนึก สร้างทัศนคติเชิงบวก ที่สำคัญคือเยาวชนซึ่งยังอยู่ในวัยเรียนควรคำนึงถึงประเพณีไทย รักนวลสงวนตัว ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว หากไปเที่ยวที่ใดก็ควรมีเพื่อนที่ไว้วางใจได้ไปด้วย ในส่วนของสถานบริการ ก็ควรดูแลไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่ากำหนดเข้าไปใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม ยังปรากฎว่ามีสถานบริการหลายแห่งที่ลักลอบให้เด็กเข้าไปเพราะหวังผลประโยชน์ ทางธุรกิจเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควรกวดขัน สถานบริการอย่างจริงจัง ทั้งในเรื่องของเวลาเปิด-ปิดและอายุของผู้เข้าไปใช้บริการด้วย
ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554
.
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า จากข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนไทยที่เผยแพร่ในเว็บไซต์เด็กดีด อทคอม ระบุว่า วัยรุ่นไทยให้ความสนใจ และให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากที่สุดถึง 47.8% รองลงมา คือ วัยทำงาน 12.6% และคู่สมรส 12.5% และยังระบุอีกว่ากิจกรรมที่วัยรุ่นนิยมทำกันมากที่สุดในวันวาเลนไทน์ สูงสุดถึง 42.58% คือ การไปดูหนัง ฟังเพลง ทานข้าวกับคนรัก และอยู่กันสองต่อสอง ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้สามารถนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ได้ง่ายมาก จากเหตุผลหลายประการ เช่น ความรัก อารมณ์พาไป อยากรู้อยากลอง ความพอใจ รวมถึงวุฒิภาวะที่มีอยู่น้อย ขาดความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น สอดคล้องกับผลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่าปัจจุบันวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น เริ่มตั้งแต่อายุ 15-17 ปี ผลที่ตามมาก็คือการทำแท้ง โดยพบว่า 61.3% ของผู้หญิงที่ทำแท้ง เป็นเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี และ 29.9% มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ในจำนวนนี้ 24.7% เป็นนักเรียน นักศึกษา
รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร จนนำไปสู่ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะในวัยรุ่น เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) กับพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นไทยมีความสัมพันธ์กัน รวมถึงความเข้มแข็งทางจิตใจก็มีผลต่อการแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ทั้งนี้ การลดความเสี่ยงของการมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม จำเป็นต้องพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ทั้ง 3 ด้าน คือ ดี เก่ง และสุข โดยพัฒนาในเรื่องการควบคุมอารมณ์ตนเอง การรู้ถูกผิด การตัดสินใจแก้ปัญหา และการสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งจะทำให้วัยรุ่นสามารถตัดสินใจได้อย่างมีสติ เป็นตัวของตัวเอง ไม่กลัวคนรักโกรธ มั่นใจในคุณค่าของตนเอง ไม่ตกเป็นเหยื่อของการท้าทาย และไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความรักหรือความกล้าของตนเองด้วยวิธีที่เสี่ยง
ที่มา: วัยรุ่นไทย พร่องอีคิว-พร้อมเสียตัว ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554
เด็กไทยเสียตัววาเลนไทน์ ไม่เว้นแม้ส้วมปั๊มยันกระท่อม
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แฉ วัยรุ่น 12% นิยมเสียตัววันวาเลนไทน์ ห้องพักแหล่งฮิตมีเซ็กส์ ไม่เว้นส้วมปั๊มยันกระท่อม...
นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวว่า ปัจจุบัน เด็กและเยาวชนมีพฤติกรรมชิงสุกก่อนห่ามมากขึ้น โดยถือเอาวันวาเลนไทน์ เป็นวันเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
พม.โดยศูนย์การเฝ้า ระวังและเตือนภัยทางสังคมได้สำรวจข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงเกี่ยว กับเด็กและเยาวชนช่วงวาเลนไทน์ ทุกปีโดยปีที่ผ่านมา พบการมีเพศสัมพันธ์ถึง ร้อยยะ 9.4 ในจำนวนนี้จะใช้สถานที่ในบ้าน/ห้องส่วนตัว ร้อยละ 8.8 หอพัก/ห้องเช่า ร้อยละ 7.5 บ้านเพื่อน/แฟน ร้อยละ 6.9 นอกนั้นใช้โรงแรมและที่สาธารณะมุมมิดชิด
โดยภาพรวมจากการสำรวจของ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่า วัยรุ่นนิยมมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือคนรักในวันวาเลนไทน์ถึงร้อยละ 12 โดยใช้สถานที่บ้าน/ห้องส่วนตัวบ้านเพื่อน/บ้านแฟน หอพัก/ห้องเช่า โรงแรม/สถานที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ ห้องน้ำปั๊มน้ำมัน และกระท่อม ตามลำดับ
นายอิสสระ กล่าวอีกว่า ช่วงวันวาเลนไทน์นี้ จึงอยากรณรงค์ให้ทุกภาคส่วน สอดส่องดูแลเด็กและเยาวชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถาบันครอบครัวผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานให้อยู่ในสายตา หากิจกรรมสร้างสรรค์ในครอบครัวสถาบันการศึกษา มีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้นักเรียน มีความประพฤติที่เหมาะสม และมีความรับผิดชอบต่อสังคมรวมทั้งความร่วมมือจากเครือข่ายต่างๆ ที่ต้องทำงานอย่างบูรณาการร่วมกัน ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับหน่วยงานหลักในการรายงานสถานการณ์แจ้งข้อมูลและ ป้องกันในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเสนอข่าวสารเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อกระตุ้นเตือนและสร้างจิตสำนึก สร้างทัศนคติเชิงบวก ที่สำคัญคือเยาวชนซึ่งยังอยู่ในวัยเรียนควรคำนึงถึงประเพณีไทย รักนวลสงวนตัว ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว หากไปเที่ยวที่ใดก็ควรมีเพื่อนที่ไว้วางใจได้ไปด้วย ในส่วนของสถานบริการ ก็ควรดูแลไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่ากำหนดเข้าไปใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม ยังปรากฎว่ามีสถานบริการหลายแห่งที่ลักลอบให้เด็กเข้าไปเพราะหวังผลประโยชน์ ทางธุรกิจเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควรกวดขัน สถานบริการอย่างจริงจัง ทั้งในเรื่องของเวลาเปิด-ปิดและอายุของผู้เข้าไปใช้บริการด้วย
ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554
.
(กำลังใจ+ความมานะบากบั่นจาก)คนไม่มีมือซ้าย
(กำลังใจ+ความมานะบากบั่นจาก) คนไม่มีมือซ้าย
ที่ญี่ปุ่น เด็กชายคนหนึ่งที่ต้องเสียแขนซ้ายไปในอุบัติเหตุรถยนต์คราวหนึ่ง ตัดสินใจที่จะฝึกยูโดกับอาจารย์ท่านหนึ่ง
เขาตั้งใจในการฝึกหัดมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเอามากๆ คือหกเดือนผ่านไปแล้ว
อาจารย์ยังคงสอนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงท่าเดียว จนในวันหนึ่ง เขาอดถามอาจารย์ไม่ได้ว่า
“อาจารย์ครับ สอนท่ามากกว่านี้ไม่ได้หรือครับ”
อาจารย์ตอบเขาว่า “เธอเพียงฝึกท่านี้ให้ดีที่สุด ก็ใช้ได้แล้ว”
แม้เด็กชายจะไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของอาจารย์เท่าใดนัก แต่เขาก็เชื่อในตัวอาจารย์ จึงมานะฝึกฝนต่อไป
หลายเดือนผ่านไป อาจารย์ได้พาเขาเข้าทำการแข่งขันเลื่อนขั้นรายการหนึ่ง เขาได้ใช้ท่าที่เขาถนัด ผ่านเข้ารอบไปเรื่อยๆ จน
ในที่สุด ได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ คู่ต่อสู้หินมากๆ จนเขาเกือบจะต้านไม่ไหว แต่เขาก็คงยังใช้ท่าเดิมนั้น เปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะ จนในที่สุดก็ได้รางวัลชนะเลิศ
ในระหว่างที่เดินทางกลับบ้าน เขาอดถามอาจารย์ไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงสามารถใช้ท่าที่อาจารย์สอนเพียงท่าเดียวนั้น
เอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ อาจารย์ตอบว่า “มีเหตุผล 2 ประการ
หนึ่ง คือ ฉันได้สอนท่าที่ยากที่สุดของยูโดให้แก่เธอ และเธอก็ทำได้เยี่มมที่สุด
สอง คือ หากคู่ต่อสู้ต้องการทำลายกระบวนท่านี้ เขาต้องคว้าแขนซ้ายของเธอให้ได้เท่านั้น”
**จุดอ่อนที่สุดของเด็กชายคนนี้ กลับกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้เขาชนะในครั้งนี้
คนเราทุกคนย่อมมีจุดอ่อน แต่ธรรมชาติมักประทานพลังมาพร้อมกับจุดอ่อนเหล่านี้ เพียงเรารู้จักใช้พลังที่ให้มานี้ เราก็จะเหมือนเด็กชายคนนี้ คือพบคำอวยพรที่ให้มาพร้อมกับจุดอ่อนนี้**
* งานการไม่จำเป็นต้องมากไป เหลือเวลาให้ตัวเองได้ปรับตัวและปรับปรุงเสียบ้าง
* เพื่อนไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เพียงรู้ใจและให้อิสระกันบ้าง
* โปรแกรมชีวิต ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเสมอไป ทิ้งช่วงให้ตัวเองหายใจและคำนึงเสียบ้าง
* คำพูดไม่จำเป็นต้องเปลืองเกิน ให้คนฟังมีโอกาสเสนอความคิดเห็นบ้าง
* ไม่จำเป็นต้องเด่น ให้คนอื่นมีความอบอุ่นที่ได้แสดงบ้าง
* ไม่จำเป็นต้องดัง ขอแค่ความอิสระและความสุขในการสื่อสารบ้างก็พอ
(กำลังใจ+ความมานะบากบั่นจาก) คนไม่มีมือซ้าย
ที่มา: forwarded email
ที่ญี่ปุ่น เด็กชายคนหนึ่งที่ต้องเสียแขนซ้ายไปในอุบัติเหตุรถยนต์คราวหนึ่ง ตัดสินใจที่จะฝึกยูโดกับอาจารย์ท่านหนึ่ง
เขาตั้งใจในการฝึกหัดมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเอามากๆ คือหกเดือนผ่านไปแล้ว
อาจารย์ยังคงสอนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงท่าเดียว จนในวันหนึ่ง เขาอดถามอาจารย์ไม่ได้ว่า
“อาจารย์ครับ สอนท่ามากกว่านี้ไม่ได้หรือครับ”
อาจารย์ตอบเขาว่า “เธอเพียงฝึกท่านี้ให้ดีที่สุด ก็ใช้ได้แล้ว”
แม้เด็กชายจะไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของอาจารย์เท่าใดนัก แต่เขาก็เชื่อในตัวอาจารย์ จึงมานะฝึกฝนต่อไป
หลายเดือนผ่านไป อาจารย์ได้พาเขาเข้าทำการแข่งขันเลื่อนขั้นรายการหนึ่ง เขาได้ใช้ท่าที่เขาถนัด ผ่านเข้ารอบไปเรื่อยๆ จน
ในที่สุด ได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ คู่ต่อสู้หินมากๆ จนเขาเกือบจะต้านไม่ไหว แต่เขาก็คงยังใช้ท่าเดิมนั้น เปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะ จนในที่สุดก็ได้รางวัลชนะเลิศ
ในระหว่างที่เดินทางกลับบ้าน เขาอดถามอาจารย์ไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงสามารถใช้ท่าที่อาจารย์สอนเพียงท่าเดียวนั้น
เอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ อาจารย์ตอบว่า “มีเหตุผล 2 ประการ
หนึ่ง คือ ฉันได้สอนท่าที่ยากที่สุดของยูโดให้แก่เธอ และเธอก็ทำได้เยี่มมที่สุด
สอง คือ หากคู่ต่อสู้ต้องการทำลายกระบวนท่านี้ เขาต้องคว้าแขนซ้ายของเธอให้ได้เท่านั้น”
**จุดอ่อนที่สุดของเด็กชายคนนี้ กลับกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้เขาชนะในครั้งนี้
คนเราทุกคนย่อมมีจุดอ่อน แต่ธรรมชาติมักประทานพลังมาพร้อมกับจุดอ่อนเหล่านี้ เพียงเรารู้จักใช้พลังที่ให้มานี้ เราก็จะเหมือนเด็กชายคนนี้ คือพบคำอวยพรที่ให้มาพร้อมกับจุดอ่อนนี้**
* งานการไม่จำเป็นต้องมากไป เหลือเวลาให้ตัวเองได้ปรับตัวและปรับปรุงเสียบ้าง
* เพื่อนไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เพียงรู้ใจและให้อิสระกันบ้าง
* โปรแกรมชีวิต ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเสมอไป ทิ้งช่วงให้ตัวเองหายใจและคำนึงเสียบ้าง
* คำพูดไม่จำเป็นต้องเปลืองเกิน ให้คนฟังมีโอกาสเสนอความคิดเห็นบ้าง
* ไม่จำเป็นต้องเด่น ให้คนอื่นมีความอบอุ่นที่ได้แสดงบ้าง
* ไม่จำเป็นต้องดัง ขอแค่ความอิสระและความสุขในการสื่อสารบ้างก็พอ
(กำลังใจ+ความมานะบากบั่นจาก) คนไม่มีมือซ้าย
ที่มา: forwarded email
Thursday, February 10, 2011
ให้เป็นคนหนักแน่น
** ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ **
ยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้
+++++++++++++++++++++
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครแช่ง ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ
คุณนามแฝงสิงโตหมอบ ได้กล่าวไว้ว่า กลอนบทนี้ไม่ได้บอกสอนให้เราเป็นคนเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง หรือ ไม่ได้ชี้นำว่าเราควรไม่แยแสคำคน หรือความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อตัวเรา บางครั้งคำพูด หรือการแสดงออกของคนอื่น ก็เป็นกระจกสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเรา เพียงแต่กลอนบทนี้สอนให้เราหนักแน่น และไม่รวนเรไปตามคำคน และที่สำคัญ ปลดปลงให้เป็น เย็นให้ได้ ไม่ใช่ใครว่าอะไรทีก็เสียใจ ซวดเซ เป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นเดือดเป็นแค้น ไปเสียทุกครั้งคราว
ชอบก็ช่าง เขาไง เราไกลหนี
ชอบก็ดี วางไว้ ไม่ฉลอง
ชอบไม่เห็น ไม่รู้ ดูดั่งทอง
ชอบไม่ต้อง เกี่ยวแวะ นั่นแหละดี
ใครรักเรา เรารู้อยู่ ว่ารัก
ใครไม่ทัก รักใคร่ ก็ไปหนี
ใครสรรเสริญ เยินยอ ก็พอที
ใครราวี คิดร้าย ไม่หมายสู้
ชังก็ช่าง ไม่อีนัง ไปขังขอบ
ชังเกินชอบ ตอบช่าง วางไว้หู
ชังหนังหน้า ไม่เห็น เช่นไม่ดู
ชังก็อยู่ แค่ชัง ไม่ฟังเขา
ช่างเขาเถิด ถ้าเขา ไม่เข้าจิต
ช่างเขาเถิด ไม่คิด ให้มันเศร้า
ช่างเขาเถิด ใจเขา มิใช่เรา
ช่างเขาเถิด ไม่เอา เขามาคิด
เถิดขอร้อง อย่ามอง เขาเศร้าสร้อย
เถิดอย่าคอย ขุ่นแค้น แสนหงุดหงิด
เถิดอย่าเห็น คนอื่น ตื่นสัมฤทธิ์
เถิดอย่าติด ใจเขา เฝ้าใจตน
ใครดีมา ดีไป ได้ทั้งนั้น
ใครเดียด ฉันไม่ดู รู้ไม่สน
ใครรักนิด คิดตอบ มอบกมล
ใครจะบ่น คนนั้น ฉันไม่รู้
เชิดมาใส่ ใครอ้าง ก็ช่างเขา
เชิดจะเอา ไม่เห็น เป็นอดสู
เชิดจะจริง นิ่งเฉย ไม่เงยดู
เชิดคอชู อยู่ไหน ก็ไม่ว่า
ใครนินทา ว่าใคร ก็ไม่เห็น
ใครดีเด่น เกินใคร ไม่ถือสา
ใครรักใคร เกลียดใคร ไม่นินทา
แช่ง ช่างเขา เราไม่เห็น ต้องรู้
แช่ง ก็อยู่ ช่างแช่ง ไม่แขว่งแขน
แช่ง จะผุดขุดชัก ไม่หนักแทน
แช่ง ก็แสน ไม่เห็นจะเป็นไร
ช่างเขาเถิด ถ้าเกิดเขา ไม่เข้าท่า
ช่างเขาเถิด เมินหน้า ไม่กล้าใกล้
ช่างเขาเถิด ปล่อยเขา เราทำใจ
ช่างเขาเถิด หยุดไป ใส่ใจติด
เขาจะพูด แบบไหน ก็ไม่ว่า
เขาจะด่า แบบไหน ก็ไม่คิด
เขาจะบ่น บ่นไป ไม่หงุดหงิด
เขามีสิทธิ์ ส่วนเขา เรามองเมิน
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง
...พุทธทาส ภิกขุ ...
** ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ **
ยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้
Let it be ยอมให้เป็น
Let me cooled เย็นให้พอ
Let me waited รอให้ได้
*********************
ข้อความข้างล่างต่อไปนี้ โดย พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
..มักจะมีความทุกข์มาเยือนมากกว่าความสุข การดำเนินชีวิตของมนุษย์ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความสุขคือ “การรู้จักยอมหรือยอมเป็น”คือยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นจนเป็นนิสัย บางครั้งแม้ว่าสิ่งที่เขาคิดหรือพูดนั้นเราจะไม่เห็นด้วย แต่การยอมรับฟังความคิดที่แตกต่างก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไม่เกิดความ วุ่นวาย เมื่อสังคมสงบสุขตัวเราเองก็มีผลแห่งความสันตินั้นด้วย คนที่รู้จักยอมรับฟังคนอื่น มักจะเป็นคนที่มีความสุข
มีเรื่องเล่าว่าสามีภรรยาคู่หนึ่งพึ่งแต่งงานใหม่ๆ โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ได้รักชายที่เป็นสามีเลย แต่เพราะเห็นแก่พ่อแม่จึงจำเป็นต้องแต่งงาน สุภาษิตโบราณเรียการแต่งงานแบบนี้ว่าคลุมถุงชน ถ้าสามีภรรยาปรับความต่างให้กลายเป็นความเหมือนได้ก็อาจจะอยู่ด้วยกันยืด แต่ถ้าปรับความเห็นให้ลงรอยกันไม่ได้ ชีวิตแต่งงานก็ล้มเหลวต้องเลิกราแยกทางกันในที่สุด
ฝ่ายภรรยาซึ่งไม่ได้รักสามีมาก่อนเลยจึงคิดหาทางแกล้งสามีเพื่อที่ว่าสามีจะ ทนไม่ได้ จะได้ขอแยกทางกัน คิดหาวิธีอยู่หลายวัน จึงคิดออกโดยเริ่มที่อาหารการกินนี่แหละเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด แม้ภรรยาจะไม่ได้รักสามีแต่ก็ยังคงทำหน้าที่ของภรรยาไม่ขาดตกบกพร่อง
วันหนึ่งภรรยาหุงข้าวใส่น้ำมากเกินไป เพื่อต้องการให้ข้าวแฉะสามีจะได้ทานข้าวไม่ได้และเกิดความไม่พอใจ พอยกสำหรับกับเข้ามาให้สามี ด้วยความที่สามีเป็นคนรู้จักยอม พอตักข้าวใส่ปากจึงบอกภรรยาว่า “ข้าววันนี้หุงข้าวได้นิ่มดีกินแล้วคล่องคอ”จากนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี และรับประทานข้าวจนหมดจาน
วันต่อมาภรรยาหุงข้าวใส่น้ำน้อยข้าวเลยไหม้ ฝ่ายสามีก็รับประทานอย่างหน้าตาเฉย พลางบอกว่า “ข้าววันนี้หอมดี” แล้วก็ก้มหน้าก้มตารับประทานต่อไปอย่างหน้าตาเฉยด้วยความสงบเยือกเย็น
แม้ภรรยาจะหาเรื่องแกล้งสามีด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่สามีก็ยอม ไม่โต้เถียงใดๆ เรียกว่าจะแกล้งอย่างไรก็รอได้ รอว่าสักวันภรรยาคงเห็นใจ จนในที่สุดภรรยาก็ต้องยอมแพ้ความอดทนและความใจเย็นของสามี ทั้งสองครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่ชรา มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง สิ่งหนึ่งที่สามีภรรยาคู่นี้อยู่ด้วยกันได้ส่วนหนึ่งมาจากการรู้จักยอมหรือ การยอมเป็น เย็นพอ และรอได้ของสามี หากสามีขึ้นเสียงเถียงภรรยาตั้งแต่วันแรกๆที่อยู่ด้วยกัน ภรรยาร้อนมาผัวร้อนไป ก็จะเกิดความร้อนใจประดุจไฟเผาทรวง ไฟได้เชื้อมีแต่จะเกิดเปลวไฟเผาผลาญ ตราบใดที่ไฟได้เชื้อก็จะไม่หมดเปลว แต่หากคนหนึ่งร้อนคนหนึ่งเย็นก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขได้ ชีวิตมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากได้เชื้อกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงคอยเติมอยู่ตลอดก็มีแต่จะเกิดความร้อนภายในจิตใจไม่มีวันหมดสิ้น แต่หากบรรเทาโลภ โกรธ หลงลงได้ก็จะพบกับความสงบเย็น ไฟดับได้ด้วยน้ำ จิตใจร้อนดับได้ด้วยธรรม
ในสังคมมนุษย์ปัจจุบันมีแต่คนที่หวังแต่จะเอาชนะคนอื่น จึงไม่มีใครยอมใคร อีกอย่างยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีการทำมาหากินฝืดเคืองก็มีผลทำให้คนใจร้อน ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหา แต่ถ้าต่างฝ่ายมีความใจเย็นสังคมก็น่าอยู่ และบางอย่างก็ต้องรู้จักรอโอกาสเหมือนปลูกไม้ดอกไม้ประดับก็ต้องรอจนถึงเวลา ที่ไม้นั้นจะออกดอก การศึกษาก็เหมือนกันต้องค่อยเป็นค่อยไปต้องรอให้ได้จึงจะเห็นผลในบั้น ปลาย ดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า "ต้นไม้ออกดอกช้าฉันใด การศึกษาก็เป็นไปฉันนั้น" หากมนุษย์ทุกคนรู้จักยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ การดำเนินชีวิตก็จะมีความสุข โลกนี้ก็จะสงบสันติและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้
+++++++++++++++++++++
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครแช่ง ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ
คุณนามแฝงสิงโตหมอบ ได้กล่าวไว้ว่า กลอนบทนี้ไม่ได้บอกสอนให้เราเป็นคนเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง หรือ ไม่ได้ชี้นำว่าเราควรไม่แยแสคำคน หรือความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อตัวเรา บางครั้งคำพูด หรือการแสดงออกของคนอื่น ก็เป็นกระจกสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเรา เพียงแต่กลอนบทนี้สอนให้เราหนักแน่น และไม่รวนเรไปตามคำคน และที่สำคัญ ปลดปลงให้เป็น เย็นให้ได้ ไม่ใช่ใครว่าอะไรทีก็เสียใจ ซวดเซ เป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นเดือดเป็นแค้น ไปเสียทุกครั้งคราว
ชอบก็ช่าง เขาไง เราไกลหนี
ชอบก็ดี วางไว้ ไม่ฉลอง
ชอบไม่เห็น ไม่รู้ ดูดั่งทอง
ชอบไม่ต้อง เกี่ยวแวะ นั่นแหละดี
ใครรักเรา เรารู้อยู่ ว่ารัก
ใครไม่ทัก รักใคร่ ก็ไปหนี
ใครสรรเสริญ เยินยอ ก็พอที
ใครราวี คิดร้าย ไม่หมายสู้
ชังก็ช่าง ไม่อีนัง ไปขังขอบ
ชังเกินชอบ ตอบช่าง วางไว้หู
ชังหนังหน้า ไม่เห็น เช่นไม่ดู
ชังก็อยู่ แค่ชัง ไม่ฟังเขา
ช่างเขาเถิด ถ้าเขา ไม่เข้าจิต
ช่างเขาเถิด ไม่คิด ให้มันเศร้า
ช่างเขาเถิด ใจเขา มิใช่เรา
ช่างเขาเถิด ไม่เอา เขามาคิด
เถิดขอร้อง อย่ามอง เขาเศร้าสร้อย
เถิดอย่าคอย ขุ่นแค้น แสนหงุดหงิด
เถิดอย่าเห็น คนอื่น ตื่นสัมฤทธิ์
เถิดอย่าติด ใจเขา เฝ้าใจตน
ใครดีมา ดีไป ได้ทั้งนั้น
ใครเดียด ฉันไม่ดู รู้ไม่สน
ใครรักนิด คิดตอบ มอบกมล
ใครจะบ่น คนนั้น ฉันไม่รู้
เชิดมาใส่ ใครอ้าง ก็ช่างเขา
เชิดจะเอา ไม่เห็น เป็นอดสู
เชิดจะจริง นิ่งเฉย ไม่เงยดู
เชิดคอชู อยู่ไหน ก็ไม่ว่า
ใครนินทา ว่าใคร ก็ไม่เห็น
ใครดีเด่น เกินใคร ไม่ถือสา
ใครรักใคร เกลียดใคร ไม่นินทา
แช่ง ช่างเขา เราไม่เห็น ต้องรู้
แช่ง ก็อยู่ ช่างแช่ง ไม่แขว่งแขน
แช่ง จะผุดขุดชัก ไม่หนักแทน
แช่ง ก็แสน ไม่เห็นจะเป็นไร
ช่างเขาเถิด ถ้าเกิดเขา ไม่เข้าท่า
ช่างเขาเถิด เมินหน้า ไม่กล้าใกล้
ช่างเขาเถิด ปล่อยเขา เราทำใจ
ช่างเขาเถิด หยุดไป ใส่ใจติด
เขาจะพูด แบบไหน ก็ไม่ว่า
เขาจะด่า แบบไหน ก็ไม่คิด
เขาจะบ่น บ่นไป ไม่หงุดหงิด
เขามีสิทธิ์ ส่วนเขา เรามองเมิน
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง
...พุทธทาส ภิกขุ ...
** ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ **
ยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้
Let it be ยอมให้เป็น
Let me cooled เย็นให้พอ
Let me waited รอให้ได้
*********************
ข้อความข้างล่างต่อไปนี้ โดย พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
..มักจะมีความทุกข์มาเยือนมากกว่าความสุข การดำเนินชีวิตของมนุษย์ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความสุขคือ “การรู้จักยอมหรือยอมเป็น”คือยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นจนเป็นนิสัย บางครั้งแม้ว่าสิ่งที่เขาคิดหรือพูดนั้นเราจะไม่เห็นด้วย แต่การยอมรับฟังความคิดที่แตกต่างก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไม่เกิดความ วุ่นวาย เมื่อสังคมสงบสุขตัวเราเองก็มีผลแห่งความสันตินั้นด้วย คนที่รู้จักยอมรับฟังคนอื่น มักจะเป็นคนที่มีความสุข
มีเรื่องเล่าว่าสามีภรรยาคู่หนึ่งพึ่งแต่งงานใหม่ๆ โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ได้รักชายที่เป็นสามีเลย แต่เพราะเห็นแก่พ่อแม่จึงจำเป็นต้องแต่งงาน สุภาษิตโบราณเรียการแต่งงานแบบนี้ว่าคลุมถุงชน ถ้าสามีภรรยาปรับความต่างให้กลายเป็นความเหมือนได้ก็อาจจะอยู่ด้วยกันยืด แต่ถ้าปรับความเห็นให้ลงรอยกันไม่ได้ ชีวิตแต่งงานก็ล้มเหลวต้องเลิกราแยกทางกันในที่สุด
ฝ่ายภรรยาซึ่งไม่ได้รักสามีมาก่อนเลยจึงคิดหาทางแกล้งสามีเพื่อที่ว่าสามีจะ ทนไม่ได้ จะได้ขอแยกทางกัน คิดหาวิธีอยู่หลายวัน จึงคิดออกโดยเริ่มที่อาหารการกินนี่แหละเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด แม้ภรรยาจะไม่ได้รักสามีแต่ก็ยังคงทำหน้าที่ของภรรยาไม่ขาดตกบกพร่อง
วันหนึ่งภรรยาหุงข้าวใส่น้ำมากเกินไป เพื่อต้องการให้ข้าวแฉะสามีจะได้ทานข้าวไม่ได้และเกิดความไม่พอใจ พอยกสำหรับกับเข้ามาให้สามี ด้วยความที่สามีเป็นคนรู้จักยอม พอตักข้าวใส่ปากจึงบอกภรรยาว่า “ข้าววันนี้หุงข้าวได้นิ่มดีกินแล้วคล่องคอ”จากนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี และรับประทานข้าวจนหมดจาน
วันต่อมาภรรยาหุงข้าวใส่น้ำน้อยข้าวเลยไหม้ ฝ่ายสามีก็รับประทานอย่างหน้าตาเฉย พลางบอกว่า “ข้าววันนี้หอมดี” แล้วก็ก้มหน้าก้มตารับประทานต่อไปอย่างหน้าตาเฉยด้วยความสงบเยือกเย็น
แม้ภรรยาจะหาเรื่องแกล้งสามีด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่สามีก็ยอม ไม่โต้เถียงใดๆ เรียกว่าจะแกล้งอย่างไรก็รอได้ รอว่าสักวันภรรยาคงเห็นใจ จนในที่สุดภรรยาก็ต้องยอมแพ้ความอดทนและความใจเย็นของสามี ทั้งสองครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่ชรา มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง สิ่งหนึ่งที่สามีภรรยาคู่นี้อยู่ด้วยกันได้ส่วนหนึ่งมาจากการรู้จักยอมหรือ การยอมเป็น เย็นพอ และรอได้ของสามี หากสามีขึ้นเสียงเถียงภรรยาตั้งแต่วันแรกๆที่อยู่ด้วยกัน ภรรยาร้อนมาผัวร้อนไป ก็จะเกิดความร้อนใจประดุจไฟเผาทรวง ไฟได้เชื้อมีแต่จะเกิดเปลวไฟเผาผลาญ ตราบใดที่ไฟได้เชื้อก็จะไม่หมดเปลว แต่หากคนหนึ่งร้อนคนหนึ่งเย็นก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขได้ ชีวิตมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากได้เชื้อกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงคอยเติมอยู่ตลอดก็มีแต่จะเกิดความร้อนภายในจิตใจไม่มีวันหมดสิ้น แต่หากบรรเทาโลภ โกรธ หลงลงได้ก็จะพบกับความสงบเย็น ไฟดับได้ด้วยน้ำ จิตใจร้อนดับได้ด้วยธรรม
ในสังคมมนุษย์ปัจจุบันมีแต่คนที่หวังแต่จะเอาชนะคนอื่น จึงไม่มีใครยอมใคร อีกอย่างยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีการทำมาหากินฝืดเคืองก็มีผลทำให้คนใจร้อน ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหา แต่ถ้าต่างฝ่ายมีความใจเย็นสังคมก็น่าอยู่ และบางอย่างก็ต้องรู้จักรอโอกาสเหมือนปลูกไม้ดอกไม้ประดับก็ต้องรอจนถึงเวลา ที่ไม้นั้นจะออกดอก การศึกษาก็เหมือนกันต้องค่อยเป็นค่อยไปต้องรอให้ได้จึงจะเห็นผลในบั้น ปลาย ดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า "ต้นไม้ออกดอกช้าฉันใด การศึกษาก็เป็นไปฉันนั้น" หากมนุษย์ทุกคนรู้จักยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ การดำเนินชีวิตก็จะมีความสุข โลกนี้ก็จะสงบสันติและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
Monday, February 7, 2011
เนเธอร์แลนด์ส่งทีมจัดการน้ำ สำรวจอ่าวไทยแก้กัดเซาะชายฝั่ง
เนเธอร์แลนด์ ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ สำรวจพื้นที่อ่าวไทยแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แผ่นดินยุบตัว พร้อมเสนอแผนจัดการน้ำทั้งระบบ...
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานเปิดงานการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การศึกษากำหนดเพื่อกำหนดเป้าหมายด้านการจัดการพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำของประเทศเนเธอร์แลนด์" โดยนายวีระชัย กล่าวว่า วท.ได้หารือกับเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เพื่อพัฒนาพื้นที่อ่าวไทยตอนบนซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติ เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แผ่นดินยุบตัว โดยเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่ประสบปัญหาใกล้เคียงกับประเทศไทย อีกทั้งมีรูปแบบการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2461
นาย วีระชัย กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นจำเป็นต้องใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ตลอดจนระบบบริหารจัดการพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยและปากแม่น้ำ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
ด้านนาย Tjaco vanden Hout เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า พื้นที่กว่าร้อยละ 27 หรือกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศเนเธอร์แลนด์อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 4-7 เมตร ทำให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาอุทกภัย โดยอาศัยเทคโนโลยีและการจัดการอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่มีประชากรอยู่อาศัยราวร้อยละ 60 ทั้งนี้ทีมวิศวกรของเนเธอร์แลนด์ได้เสนอแนวคิดในการแก้ไขทั้งเทคโนโลยีงาน ก่อสร้างเขื่อน ผนังกั้นน้ำ และการจัดการอย่างเป็นระบบ โดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้กำหนดให้เป็นพระราชบัญญัติจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำ ตลอดจนงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาปากแม้น้ำหลายล้านยูโร ซึ่งการจัดการปัญหาลุ่มน้ำจำเป็นต้องติดตามและดำเนินการอย่างเป็นระบบทุกภาค ส่วน โดยนอกจากเทคโนโลยีที่เหมาะสมแล้ว งบประมาณยังเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการจัดการปัญหาภาพใหญ่ของประเทศ
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (ศรภอ.) กล่าวว่า เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่ริเริ่มเทคโนโลยีแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีมาจนถึงปัจจุบัน จากเขื่อนและผนังกั้นน้ำมาเป็นอาคาร หรือบ้านลอยน้ำที่เหมาะสมต่อการใช้ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเทศไทยนั้น ต้องทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ สภาพความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างแตกต่างในพื้นที่เดียวกัน ทั้งนี้ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน เช่น สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี รวมถึงกรุงเทพมหานคร มีหลายพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งที่ผ่านมาการจัดการเป็นไปอย่างกระจัดกระจาย แต่ละพื้นที่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง และขาดการจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งปัญหาและปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ประเทศไทยจะถูกนำมารวบรวม โดยทีมวิศวกรชาวเนเธอร์แลนด์และทีมงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการพิจารณาและกำหนดแนวทางในการจัดการปัญหาที่เหมาะสมต่อไป
ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554
.
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานเปิดงานการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การศึกษากำหนดเพื่อกำหนดเป้าหมายด้านการจัดการพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำของประเทศเนเธอร์แลนด์" โดยนายวีระชัย กล่าวว่า วท.ได้หารือกับเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เพื่อพัฒนาพื้นที่อ่าวไทยตอนบนซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติ เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แผ่นดินยุบตัว โดยเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่ประสบปัญหาใกล้เคียงกับประเทศไทย อีกทั้งมีรูปแบบการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2461
นาย วีระชัย กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นจำเป็นต้องใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ตลอดจนระบบบริหารจัดการพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยและปากแม่น้ำ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
ด้านนาย Tjaco vanden Hout เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า พื้นที่กว่าร้อยละ 27 หรือกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศเนเธอร์แลนด์อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 4-7 เมตร ทำให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาอุทกภัย โดยอาศัยเทคโนโลยีและการจัดการอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่มีประชากรอยู่อาศัยราวร้อยละ 60 ทั้งนี้ทีมวิศวกรของเนเธอร์แลนด์ได้เสนอแนวคิดในการแก้ไขทั้งเทคโนโลยีงาน ก่อสร้างเขื่อน ผนังกั้นน้ำ และการจัดการอย่างเป็นระบบ โดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้กำหนดให้เป็นพระราชบัญญัติจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำ ตลอดจนงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาปากแม้น้ำหลายล้านยูโร ซึ่งการจัดการปัญหาลุ่มน้ำจำเป็นต้องติดตามและดำเนินการอย่างเป็นระบบทุกภาค ส่วน โดยนอกจากเทคโนโลยีที่เหมาะสมแล้ว งบประมาณยังเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการจัดการปัญหาภาพใหญ่ของประเทศ
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (ศรภอ.) กล่าวว่า เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่ริเริ่มเทคโนโลยีแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีมาจนถึงปัจจุบัน จากเขื่อนและผนังกั้นน้ำมาเป็นอาคาร หรือบ้านลอยน้ำที่เหมาะสมต่อการใช้ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเทศไทยนั้น ต้องทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ สภาพความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างแตกต่างในพื้นที่เดียวกัน ทั้งนี้ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน เช่น สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี รวมถึงกรุงเทพมหานคร มีหลายพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งที่ผ่านมาการจัดการเป็นไปอย่างกระจัดกระจาย แต่ละพื้นที่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง และขาดการจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งปัญหาและปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ประเทศไทยจะถูกนำมารวบรวม โดยทีมวิศวกรชาวเนเธอร์แลนด์และทีมงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการพิจารณาและกำหนดแนวทางในการจัดการปัญหาที่เหมาะสมต่อไป
ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554
.
ปราศจากเงื่อนไข: No strings attached
สำนวน Idiom ที่ฝรั่งใช้บ่อยอยู่พอสมควร คือ 'No strings attached'
คำ string หมายถึง เชือก เชือกด้าย เชือกป่าน สายเชือก
สำนวน สแลง no strings attached นี้ เป็นการบอกว่า ถ้าอะไรก็ตามที่ เป็นไปโดยปราศจากเงื่อนไข นั่นหมายความว่า จะไม่มีภาระผูกพัน ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีพันธกรณี ไม่มีภาระติดพัน ไม่มีพันธะ ไม่มีข้อเรียกร้อง ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อเรียกร้อง If something has no strings attached, there are no obligations or requirements or conditions involved.
คำ strings (เติม s) ในสำนวนนี้ จึงหมายถึง เงื่อนไขนั่นเอง
ดังนั้น no strings attached นี้ จึงเป็นการทำอะไรบางสิ่งบางอย่างโดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทน Doing something for someone without asking for anything in return
ตัวอย่างเช่น ฉันจะทำให้เธอ(ให้เธอชอบ โปรดปราน) แน่นอนหล่ะ ไม่มีเงื่อนไขไม่มีข้อผูกมัดอะไรตามมา I will do you a favor, of course no strings attached.
ในเชิงธุรกิจหรือข้อตกลง สำหรับข้อเสนอหรือการจัดการ ที่ปราศจากเงื่อนไข ที่ไม่ีมีการกำหนดเงื่อนไข if there are no strings attached to an offer or arrangement, ก็จะไม่ีมีสิ่งที่ทำให้รู้สึกรำคาญ ไม่พอใจ ไม่สะดวก ที่จะไปรับข้อเสนอนั้น there is nothing that is unpleasant or not convenient that you have to accept นั่นคือไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้คุณต้องยอมรับข้อเสนอนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์เต็ม ๆ in order to get the advantage from the offer
ถ้าในแง่เชิงความสัมพันธ์(ชู้สาว) Being in a relationship with someone ถ้าอยู่ระหว่างการเดท คบหาดูใจ, while still dating other people. ถ้าทั้งคู่คบกันแบบไม่มีเงื่อนไขไม่มีพันธะผูกมัด we agree that there are no strings attached ก็ไม่ต้องไปห่วงกังวลว่า เขาหรือะธอไปอยู่ไหน หรือทำอะไรอยู่ This is so there is not anxiety of worrying about where him or her is or what him or her is doing.
ตัวอย่างเช่น ฉันชอบเธอมากโขอยู่ แต่จะดีกว่า ถ้าเราคบกันแบบไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีพันธะต่อกัน I like you a lot, but I think (that) it is better if we just have no strings attached.
ซึ่ง no strings attached จะไม่มีการตามจับ ตามหึงหวง there is no catch
อีกสำนวนสแลง คือ no-strings (adj) หรือ no strings (adj) ให้ความหมายที่ใกล้เคียงกัน คือ ทำโดยปราศจากเงื่อนไขหรือข้อจำกัด done without conditions or limitations ในเชิงความสัมพันธ์ชู้สาวก็เช่นเดียวกันกับ no strings attached
Dr.SoS
.
คำ string หมายถึง เชือก เชือกด้าย เชือกป่าน สายเชือก
สำนวน สแลง no strings attached นี้ เป็นการบอกว่า ถ้าอะไรก็ตามที่ เป็นไปโดยปราศจากเงื่อนไข นั่นหมายความว่า จะไม่มีภาระผูกพัน ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีพันธกรณี ไม่มีภาระติดพัน ไม่มีพันธะ ไม่มีข้อเรียกร้อง ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อเรียกร้อง If something has no strings attached, there are no obligations or requirements or conditions involved.
คำ strings (เติม s) ในสำนวนนี้ จึงหมายถึง เงื่อนไขนั่นเอง
ดังนั้น no strings attached นี้ จึงเป็นการทำอะไรบางสิ่งบางอย่างโดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทน Doing something for someone without asking for anything in return
ตัวอย่างเช่น ฉันจะทำให้เธอ(ให้เธอชอบ โปรดปราน) แน่นอนหล่ะ ไม่มีเงื่อนไขไม่มีข้อผูกมัดอะไรตามมา I will do you a favor, of course no strings attached.
ในเชิงธุรกิจหรือข้อตกลง สำหรับข้อเสนอหรือการจัดการ ที่ปราศจากเงื่อนไข ที่ไม่ีมีการกำหนดเงื่อนไข if there are no strings attached to an offer or arrangement, ก็จะไม่ีมีสิ่งที่ทำให้รู้สึกรำคาญ ไม่พอใจ ไม่สะดวก ที่จะไปรับข้อเสนอนั้น there is nothing that is unpleasant or not convenient that you have to accept นั่นคือไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้คุณต้องยอมรับข้อเสนอนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์เต็ม ๆ in order to get the advantage from the offer
ถ้าในแง่เชิงความสัมพันธ์(ชู้สาว) Being in a relationship with someone ถ้าอยู่ระหว่างการเดท คบหาดูใจ, while still dating other people. ถ้าทั้งคู่คบกันแบบไม่มีเงื่อนไขไม่มีพันธะผูกมัด we agree that there are no strings attached ก็ไม่ต้องไปห่วงกังวลว่า เขาหรือะธอไปอยู่ไหน หรือทำอะไรอยู่ This is so there is not anxiety of worrying about where him or her is or what him or her is doing.
ตัวอย่างเช่น ฉันชอบเธอมากโขอยู่ แต่จะดีกว่า ถ้าเราคบกันแบบไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีพันธะต่อกัน I like you a lot, but I think (that) it is better if we just have no strings attached.
ซึ่ง no strings attached จะไม่มีการตามจับ ตามหึงหวง there is no catch
อีกสำนวนสแลง คือ no-strings (adj) หรือ no strings (adj) ให้ความหมายที่ใกล้เคียงกัน คือ ทำโดยปราศจากเงื่อนไขหรือข้อจำกัด done without conditions or limitations ในเชิงความสัมพันธ์ชู้สาวก็เช่นเดียวกันกับ no strings attached
Dr.SoS
.
Sunday, February 6, 2011
เขมรไล่ควาย
พุทธทำนายทายเรื่องเมืองขะแมร์
เกิดมาแต่ผู้สร้างเมื่อปางก่อน
เป็นสัตว์ลิ้นสองแฉกซอกแซกซอน
ได้รับก้อนข้าวบิณฑ์จึงกินบุญ
มากลับชาติกำเนิดเกิดเป็นคน
ผู้นำทางตั้งต้น ด้วยบุญหนุน
จนตั้งเขมรเมืองขะแมร์แผ่สกุล
เป็นรุ่นรุ่นสืบคำพุทธทำนาย
ว่าเมืองนี้ดินน้ำทำเลดี
ผู้คนมีความสุขสบายหลาย
แต่ผู้นำมาเล่ห์ เพทุบาย
เพราะสืบสายสองแฉกแต่แรกมา
จึงถ้อยคำพร่ำเพรื่อเชื่อไม่ได้
ตวัดไหวกะลาวนพ่นมุสา
ตำนานพุทธทำนายไม่ธรรมดา
เชื่อไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่กัน
เพลงเขมรไล่ควายในวันนี้
ได้ปลุกผีกำโพธโขมดขมัน
ได้เห็นลิ้นสองแฉกประเชิญประชัน
ได้เห็นพันธุ์ควายไทยอีกหลายตัว !
ที่มา: คอลัมน์ ข้างคลองคันนายาว เดลินิวส์ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2554
หมายเหตุ: แต่เหตุการณ์การปะทะเขมรโจมตีไทย ไทยยิงต่อสู้คืน ภายในการนำของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของไทย และ นายฮุนเซน ของเขมร
เกิดมาแต่ผู้สร้างเมื่อปางก่อน
เป็นสัตว์ลิ้นสองแฉกซอกแซกซอน
ได้รับก้อนข้าวบิณฑ์จึงกินบุญ
มากลับชาติกำเนิดเกิดเป็นคน
ผู้นำทางตั้งต้น ด้วยบุญหนุน
จนตั้งเขมรเมืองขะแมร์แผ่สกุล
เป็นรุ่นรุ่นสืบคำพุทธทำนาย
ว่าเมืองนี้ดินน้ำทำเลดี
ผู้คนมีความสุขสบายหลาย
แต่ผู้นำมาเล่ห์ เพทุบาย
เพราะสืบสายสองแฉกแต่แรกมา
จึงถ้อยคำพร่ำเพรื่อเชื่อไม่ได้
ตวัดไหวกะลาวนพ่นมุสา
ตำนานพุทธทำนายไม่ธรรมดา
เชื่อไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่กัน
เพลงเขมรไล่ควายในวันนี้
ได้ปลุกผีกำโพธโขมดขมัน
ได้เห็นลิ้นสองแฉกประเชิญประชัน
ได้เห็นพันธุ์ควายไทยอีกหลายตัว !
ที่มา: คอลัมน์ ข้างคลองคันนายาว เดลินิวส์ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2554
หมายเหตุ: แต่เหตุการณ์การปะทะเขมรโจมตีไทย ไทยยิงต่อสู้คืน ภายในการนำของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของไทย และ นายฮุนเซน ของเขมร
Thursday, February 3, 2011
เหมือนกันยังกับแกะ: As alike as two peas in a pod
เหมือนกันยังกับแกะ (เหมือนกันยังกะแกะ) นั้นตรงกับสำนวนภาษาอังกฤษ ว่า "as alike as two peas in a pod" หรือ "be like two peas in a pod" หรือ "like as two peas"
คำ pea ในที่นี้หมายถึง เม็ดถั่วลันเตา pea เป็นเอกพจน์ ถ้าถั่วหลายเม็ดใช้ peas (พหูพจน์)
ความหมายของสแลงนี้ เป็นการบอกว่า เหมือนกันมาก to be very similar คล้ายกันมากจนแยกไม่ออกนั่นเอง
ทุกคนรู้่คู่แฝดคู่นี้ว่า อยู่ด้วยกัน และเหมือนกันยังกับแกะ Everyone knows twins stick together like two peas in a pod.
คุณเป็นคู่แฝดที่เหมือนกันเลยที่เดียว You are identical twin.
แฝดคู่นี้เคยเหมือนกันราวกับแกะเลยทีเดียว The twins were as alike as two peas in a pod.
Dr.SoS
คำ pea ในที่นี้หมายถึง เม็ดถั่วลันเตา pea เป็นเอกพจน์ ถ้าถั่วหลายเม็ดใช้ peas (พหูพจน์)
ความหมายของสแลงนี้ เป็นการบอกว่า เหมือนกันมาก to be very similar คล้ายกันมากจนแยกไม่ออกนั่นเอง
ทุกคนรู้่คู่แฝดคู่นี้ว่า อยู่ด้วยกัน และเหมือนกันยังกับแกะ Everyone knows twins stick together like two peas in a pod.
คุณเป็นคู่แฝดที่เหมือนกันเลยที่เดียว You are identical twin.
แฝดคู่นี้เคยเหมือนกันราวกับแกะเลยทีเดียว The twins were as alike as two peas in a pod.
Dr.SoS
เอาหูไปนาเอาตาไปไร่: turn a blind eye
สำนวน เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ตรงกับ "turn a blind eye"
สำนวน slang นี้หมายถึง การละเลยไม่ใส่ใจในบางอย่าง to ignore something, ปิดตาไม่สนใจที่จะไปร้ับรู้เรื่องราวอะไร close your/its eyes to something เป็นการที่รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นจริงแต่ก็ปฏิเสธที่จะรับรู้ To knowingly refuse to acknowledge something which you know to be real
เรื่องนี้มีัที่มาจากนายทหารเรือที่ตาบอดข้างหนึ่ง ชื่อ Admiral Horatio Nelson ของกองทัพอังกฤษ (British forces) เหตุเกิดในห้วงปี ค.ศ. 1801 ระหว่างสงครามทางเรือ (a naval battle engagement) สงครามที่เมืองโคเพนเฮเก้น (Battle of Copenhagen) ที่อังกฤษ ต่อสู้กับ กองกำลังผสมเดนมากกับนอร์เวย์ (Danish/Norwegian forces)
กองกำลังของ Nelson ได้รับธงอาณัติสัญญาณ (signal flags) จากผู้นำชื่อ Admiral Sir Hyde Parker ให้ถอนทัพ (disengage / withdraw) แต่ท่าน Nelson ก็ดันเอากล้องส่องทางไกล (telescope) ส่องกับตาที่บอดของท่าน he lifted his telescope up to his blind eye แล้วจะไปมองเห็นได้อย่างไร ทำให้กองทัพของท่านก็ยังสู้ต่อไป เพราะท่านเชื่อของท่านว่า ท่านจะชนะศึกนี้ถ้าดึงเกมให้ยืดเยื้อ Nelson was convinced he could win if he persisted แล้วท่านดันชนะซะงั้น ประโยคของท่านเลยดังระเบิด(มาถึงเมืองไทย)
ถ้าให้สมบูรณ์ ก็ต้องพูด turn a blind eye and a deaf ear ถึงจะตรงกับ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
บางครั้งบางคราเราก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะบ้าง (ไม่รับรู้เรื่องของชาวบ้าน) เพราะมันทำให้เรารู้สึกสบายใจรู้สึกดีสุด ๆ ไปเลย We turn a blind eye and a deaf ear every now and then, and we get on marvelously well.
turn a blind eye = เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
Dr.SoS
.
สำนวน slang นี้หมายถึง การละเลยไม่ใส่ใจในบางอย่าง to ignore something, ปิดตาไม่สนใจที่จะไปร้ับรู้เรื่องราวอะไร close your/its eyes to something เป็นการที่รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นจริงแต่ก็ปฏิเสธที่จะรับรู้ To knowingly refuse to acknowledge something which you know to be real
เรื่องนี้มีัที่มาจากนายทหารเรือที่ตาบอดข้างหนึ่ง ชื่อ Admiral Horatio Nelson ของกองทัพอังกฤษ (British forces) เหตุเกิดในห้วงปี ค.ศ. 1801 ระหว่างสงครามทางเรือ (a naval battle engagement) สงครามที่เมืองโคเพนเฮเก้น (Battle of Copenhagen) ที่อังกฤษ ต่อสู้กับ กองกำลังผสมเดนมากกับนอร์เวย์ (Danish/Norwegian forces)
กองกำลังของ Nelson ได้รับธงอาณัติสัญญาณ (signal flags) จากผู้นำชื่อ Admiral Sir Hyde Parker ให้ถอนทัพ (disengage / withdraw) แต่ท่าน Nelson ก็ดันเอากล้องส่องทางไกล (telescope) ส่องกับตาที่บอดของท่าน he lifted his telescope up to his blind eye แล้วจะไปมองเห็นได้อย่างไร ทำให้กองทัพของท่านก็ยังสู้ต่อไป เพราะท่านเชื่อของท่านว่า ท่านจะชนะศึกนี้ถ้าดึงเกมให้ยืดเยื้อ Nelson was convinced he could win if he persisted แล้วท่านดันชนะซะงั้น ประโยคของท่านเลยดังระเบิด(มาถึงเมืองไทย)
ถ้าให้สมบูรณ์ ก็ต้องพูด turn a blind eye and a deaf ear ถึงจะตรงกับ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
บางครั้งบางคราเราก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะบ้าง (ไม่รับรู้เรื่องของชาวบ้าน) เพราะมันทำให้เรารู้สึกสบายใจรู้สึกดีสุด ๆ ไปเลย We turn a blind eye and a deaf ear every now and then, and we get on marvelously well.
turn a blind eye = เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
Dr.SoS
.
(อเมริกาก็)สองมาตรฐาน
สหรัฐอเมริกา ซึ่งสมัยนี้มองกันว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ ในอดีตเมื่อไม่กี่สิบปีที่แล้วเองก็ยังเป็นดินแดนแห่งสองมาตรฐาน
ไม่ใช่สองมาตรฐานที่ class-based = อยู่บนพื้นฐานของชนชั้น นะครับ เพราะว่าแม้สหรัฐจะมีชนชั้น แต่เส้นที่แบ่งกั้นระหว่างชนชั้นไม่ได้หนามาก ทุกคนเชื่อใน the American dream ที่ว่าถ้าทำงานหนักก็จะได้รับความสำเร็จเป็นรางวัล โดยไม่ขึ้นอยู่กับชาติตระกูลหรือช้อนเงินที่คาบมาตั้งแต่เกิด
แต่ก่อนหน้านี้ราวครึ่งศตวรรษ the American dream เป็นความฝันเฉพาะของคนผิวขาว เพราะสองมาตรฐานในสมัยนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัจจัยที่เลือกไม่ได้และติด ตัวมาแต่เกิด นั่นคือ race = เผ่าพันธุ์
สมัยนั้นถ้าคุณเกิดมาเป็นคนผิวดำ ถึงจะทำงานหนักอย่างไรก็ไม่สามารถลบความดำออกจากผิวได้ (นอกจากจะเป็นโรค vertiligo อย่างไมเคิล แจ็คสัน) และแม้ตระกูลของคุณจะเป็นคนผิวขาวหมด มีบรรพบุรุษผิวดำเพียงคนเดียว แค่นั้นก็ถือว่าคุณเป็นคนดำแล้ว แม้ว่าจะดูเหมือนคนขาวก็ตาม (อย่างบารัค โอบามา ยังจัดว่าเป็นคนดำ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วครึ่งดำครึ่งขาว)
ในทางกฎหมาย คนดำได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง และสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในกองทัพ (ในสงครามโลกครั้งที่สอง ยังต้องมีหน่วยทหารผิวดำแยกต่างหาก)
แต่การที่คนดำในสหรัฐเคยเป็นทาสและถูกปฏิบัติราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ sub-human = ต่ำกว่ามนุษย์ (เพื่อจะได้ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญที่ประกาศว่า All men are created equal. = มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกัน) มาเป็นเวลานาน จึงยังต้องกล้ำกลืนความอยุติธรรมสารพัด เช่นห้ามปะปนกับคนขาว ห้ามเข้าร้านอาหารเดียวกัน ห้ามเรียนโรงเรียนเดียวกัน ฯลฯ
จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 1954 ศาลสูงสุดตัดสินด้วยคะแนนเอกฉันท์ในคดี Brown v. Board of Education of Topeka, Kansas ว่า segregation = การแยกผิว ในโรงเรียนของรัฐ (คือการห้ามนักเรียนต่างผิวเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน) ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เมื่อปี ค.ศ. 1896 ศาลสูงสุดพิพากษาในคดี Plessy v. Ferguson ว่าการแยกโรงเรียนบนพื้นฐานของผิวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะถือว่า separate but equal = แม้จะแยกกันแต่ก็ยังเท่าเทียมอยู่
แต่ศาลเมื่อ ค.ศ. 1954 ตัดสินว่า separate educational facilities are inherently unequal = สถานที่ศึกษาที่แยกกันย่อมไม่เท่าเทียมกันอยู่ในตัวเอง
จุดประกาย civil rights movement ซึ่งเปลี่ยนโฉมสังคมสหรัฐมาเป็นอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้.
บ็อบ บุญหด
ที่มา: (อเมริกาก็)สองมาตรฐาน เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2554
.
คดี Plessy v. Ferguson เป็นคดีที่สมาคมเสรีชนผิวสีแห่งนิวออร์ลีนส์ “จัด” ขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1892 เพื่อทดสอบว่ารัฐเอาจริงแค่ไหนกับหลักการที่ว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีการออกบทแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐให้คนดำมีสิทธิ เท่าเทียมพลเมืองทั่วไป
ก่อนหน้านั้น หลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง รัฐบาลกลางได้ส่งกองกำลังเข้าไปในรัฐภาคใต้เพื่อคุ้มครองคนดำ แต่หลังจากกองกำลังส่วนกลางนั้นได้ถอนออกไป รัฐบาลของรัฐภาคใต้ก็พากันออกกฎหมายที่เรียกว่า Jim Crow laws กีดกันคนดำไม่ให้ใช้บริการสถานร่วมกับคนขาว
(Jim Crow เป็นชื่อตัวละครชายผิวดำซึ่งแสดงโดยคนขาว เป็นตัวละครที่เกียจคร้าน ไม่มีความคิด วัน ๆ มีแต่ร้องรำทำเพลงสนุกสนานไปเรื่อย เป็น stereotype ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์คนดำในสายตาคนขาวยุคนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐภาค ใต้)
Homer Plessy ดูเหมือนคนขาว แต่มีทวดผิวดำอยู่คน ตามกฎหมายรัฐ Louisiana (ลูซีแย้นหน่า) จึงถือว่าเขาเป็นคนดำด้วย เขาซื้อตั๋วรถไฟสำหรับตู้ที่เป็น whites only = สงวนให้เฉพาะคนขาว เมื่อขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วก็คุยกับผู้โดยสารคนอื่นและแย้มว่าตนมี บรรพบุรุษเป็นคนดำ
แค่นั้นก็ได้เรื่อง ผู้โดยสารไปแจ้งเจ้าหน้าที่รถไฟ เจ้าหน้าที่รถไฟก็มาไล่เขาลงให้ไปนั่งตู้คนดำ แต่ Plessy ไม่ยอมขยับ จึงถูกจับแล้วลากไปเข้าตาราง ตามที่สมาคมวางแผนไว้เพื่อที่จะได้ฟ้องรัฐได้
คดีนี้อุทธรณ์ฎีกาอยู่หลายชั้นจนขึ้นถึงศาลฎีกาสหรัฐภายใต้ชื่อ Plessy v. Ferguson (ชื่อหลังเป็นชื่อประธานศาลรัฐ Louisiana) และในที่สุดศาลฎีกาสหรัฐก็ตัดสินให้จำเลยชนะ โดยอ้างหลัก separate but equal เท่ากับว่ากฎหมาย Jim Crow ทั้งหลายในรัฐภาคใต้เป็นที่ยอมรับโดยรัฐส่วนกลาง
อีก 58 ปีต่อมา ศาลฎีกาสหรัฐพลิกคำพิพากษาจากครั้งนั้นในคดี Brown v. Board of Education โดยปฏิเสธหลักการ separate but equal และตัดสินว่าการแยกโรงเรียนตามผิวนักเรียนขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลต่อหลักการ segregation = การแยกผิว ที่ฝังอยู่ในกฎหมาย Jim Crow ทั้งหลาย
ทุกวันนี้เรามองว่าสหรัฐเป็นประเทศที่กฎหมายเป็นใหญ่ แต่ไม่ว่าตัวบทกฎหมายจะเขียนไว้อย่างไร ถ้าไม่ได้ถูกนำไปทดสอบในภาคปฏิบัติก็ไร้ความหมาย
ในปีต่อมาหลังจากคำตัดสินคดี Brown v. Board of Education ก็มีเด็กหนุ่มผิวดำคนหนึ่งถูกจับไปฆ่าเพราะบังอาจผิวปากใส่ผู้หญิงผิวขาว ตำรวจจับหนุ่มขาวสองคนได้ แต่คณะลูกขุน (ซึ่งเป็นคนขาวทั้งหมด) ตัดสินว่าไม่มีความผิด และหลังจากนั้นทั้งสองก็ยืดอกให้สัมภาษณ์ว่าตนเป็นคนฆ่าจริง
ที่มา: ศาลยุติ (ความเป็น) ธรรม เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธที่ 02 กุมภาพันธ์ 2554
หลังจากศาลฎีกาสหรัฐตัดสินในคดี Brown v. Board of Education ว่าการแยกโรงเรียนตามสีผิวของนักเรียนขัดต่อรัฐธรรมนูญ คนดำก็เริ่มทวงสิทธิอันชอบธรรมของตน ในระยะแรกๆ ก็อาจเป็นกรณีโดดๆ แต่เมื่อได้คนที่มีอุดมการณ์แรงกล้า ก็กลายเป็นขบวนการที่เรียกว่า civil rights movement = ขบวนการ (เรียกร้อง) สิทธิพลเมือง
กรณีดังที่บุกเบิกกระแสการทวงสิทธิและศักดิ์ศรีของคนดำเกิดขึ้นที่นคร Montgomery (มอนท์ก๊อมหมะหรี่) รัฐ Alabama (แอลลาแบ๊มหม่า) นั่นคือกรณีของ Rosa Parks หญิงผิวดำผู้ไม่ยอมสละที่นั่งบนรถเมล์ให้กับผู้โดยสารชายผิวขาวเมื่อที่นั่งในรถเต็ม
รถเมล์ทางใต้สมัยนั้นแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหน้าเป็น white section ให้คนขาวนั่ง ส่วนหลังเป็น colored section ให้คน “ผิวสี” นั่ง และตามธรรมเนียมในระบบ Jim Crow ถือว่าเมื่อที่นั่งเต็ม คนดำมีหน้าที่ต้องลุกให้คนขาวนั่ง ไม่ว่า คนดำนั้นจะเป็นหญิงหรือคนชราและคนขาวนั้นเป็นชายหนุ่มก็ตาม และคนขับก็มีสิทธิที่จะเลื่อนป้ายแบ่งเขตระหว่างสองส่วนเพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับผู้โดยสารผิวขาว
แต่วันนั้น เมื่อคนขับเลื่อนป้ายแบ่งเขตไปอยู่ข้างหลังแถวที่ Rosa Parks นั่งและสั่งคนดำที่นั่งแถวเดียวกับเธอให้ลุกขึ้นยืน อีกสามคนยอมทำตาม แต่เธอไม่ยอม คนขับขู่ว่าถ้าเธอไม่ยอมเขาก็จะเรียกตำรวจมาจับ เธอก็ตอบว่า You may do that. = คุณทำได้ (การใช้ may เหมือนเป็นการให้อนุญาต) ก็เลยโดนจับไปเข้าตะราง
ในรายการสัมภาษณ์ทางวิทยุภายหลัง เธอถูกถามว่าทำไมถึงไม่ลุกขึ้นยืนซะ ให้หมดเรื่องหมดราว เธอตอบว่า “I would have to know for once and for all what rights I had as a human being and a citizen.” = ฉันต้องรู้ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวว่าฉันมีสิทธิอะไรบ้างในฐานะมนุษย์และราษฎร คนหนึ่ง
ความจริงก่อนหน้านั้นก็มีหญิงดำบางคนที่ไม่ยอมลุกขึ้นยืนให้คนขาวและเมื่อคดีไปถึงศาลฎีกาของสหรัฐก็ชนะคดี แต่ Rosa Parks เป็นกรณีแรกที่การไม่ยอม สละที่นั่งรถเมล์ให้คนขาวจุดกระแส civil disobedience = การขัดขืนอำนาจรัฐโดยสันติ (หรือที่บางคนชอบเรียกว่าอารยะขัดขืน ซึ่งสะท้อนถึงความสับสนระหว่าง civil กับ civilized) ครั้งใหญ่ นั่นคือการคว่ำบาตรรถเมล์ในนคร Montgomery
การคว่ำบาตรรถเมล์นี้ดำเนินอยู่นานกว่าหนึ่งปี จนกระทั่งกฎหมายที่ให้แบ่งเขตในรถเมล์ถูกยกเลิก แต่สำคัญตรงที่แสดงว่าคนดำยอมลำบาก แต่ไม่ยอม อีกต่อไปกับการถูกปฏิบัติเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง และตรงที่การเคลื่อนไหวได้ผู้นำคนใหม่ เป็นนักเทศน์หนุ่มชื่อ Martin Luther King, Jr.
ที่มา: ผิดเพราะไม่ลุกยืน เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 03 กุมภาพันธ์ 2554
ไม่ใช่สองมาตรฐานที่ class-based = อยู่บนพื้นฐานของชนชั้น นะครับ เพราะว่าแม้สหรัฐจะมีชนชั้น แต่เส้นที่แบ่งกั้นระหว่างชนชั้นไม่ได้หนามาก ทุกคนเชื่อใน the American dream ที่ว่าถ้าทำงานหนักก็จะได้รับความสำเร็จเป็นรางวัล โดยไม่ขึ้นอยู่กับชาติตระกูลหรือช้อนเงินที่คาบมาตั้งแต่เกิด
แต่ก่อนหน้านี้ราวครึ่งศตวรรษ the American dream เป็นความฝันเฉพาะของคนผิวขาว เพราะสองมาตรฐานในสมัยนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัจจัยที่เลือกไม่ได้และติด ตัวมาแต่เกิด นั่นคือ race = เผ่าพันธุ์
สมัยนั้นถ้าคุณเกิดมาเป็นคนผิวดำ ถึงจะทำงานหนักอย่างไรก็ไม่สามารถลบความดำออกจากผิวได้ (นอกจากจะเป็นโรค vertiligo อย่างไมเคิล แจ็คสัน) และแม้ตระกูลของคุณจะเป็นคนผิวขาวหมด มีบรรพบุรุษผิวดำเพียงคนเดียว แค่นั้นก็ถือว่าคุณเป็นคนดำแล้ว แม้ว่าจะดูเหมือนคนขาวก็ตาม (อย่างบารัค โอบามา ยังจัดว่าเป็นคนดำ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วครึ่งดำครึ่งขาว)
ในทางกฎหมาย คนดำได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง และสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในกองทัพ (ในสงครามโลกครั้งที่สอง ยังต้องมีหน่วยทหารผิวดำแยกต่างหาก)
แต่การที่คนดำในสหรัฐเคยเป็นทาสและถูกปฏิบัติราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ sub-human = ต่ำกว่ามนุษย์ (เพื่อจะได้ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญที่ประกาศว่า All men are created equal. = มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกัน) มาเป็นเวลานาน จึงยังต้องกล้ำกลืนความอยุติธรรมสารพัด เช่นห้ามปะปนกับคนขาว ห้ามเข้าร้านอาหารเดียวกัน ห้ามเรียนโรงเรียนเดียวกัน ฯลฯ
จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 1954 ศาลสูงสุดตัดสินด้วยคะแนนเอกฉันท์ในคดี Brown v. Board of Education of Topeka, Kansas ว่า segregation = การแยกผิว ในโรงเรียนของรัฐ (คือการห้ามนักเรียนต่างผิวเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน) ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เมื่อปี ค.ศ. 1896 ศาลสูงสุดพิพากษาในคดี Plessy v. Ferguson ว่าการแยกโรงเรียนบนพื้นฐานของผิวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะถือว่า separate but equal = แม้จะแยกกันแต่ก็ยังเท่าเทียมอยู่
แต่ศาลเมื่อ ค.ศ. 1954 ตัดสินว่า separate educational facilities are inherently unequal = สถานที่ศึกษาที่แยกกันย่อมไม่เท่าเทียมกันอยู่ในตัวเอง
จุดประกาย civil rights movement ซึ่งเปลี่ยนโฉมสังคมสหรัฐมาเป็นอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้.
บ็อบ บุญหด
ที่มา: (อเมริกาก็)สองมาตรฐาน เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2554
.
ศาลยุติ (ความเป็น) ธรรม
คดี Plessy v. Ferguson เป็นคดีที่สมาคมเสรีชนผิวสีแห่งนิวออร์ลีนส์ “จัด” ขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1892 เพื่อทดสอบว่ารัฐเอาจริงแค่ไหนกับหลักการที่ว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีการออกบทแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐให้คนดำมีสิทธิ เท่าเทียมพลเมืองทั่วไป
ก่อนหน้านั้น หลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง รัฐบาลกลางได้ส่งกองกำลังเข้าไปในรัฐภาคใต้เพื่อคุ้มครองคนดำ แต่หลังจากกองกำลังส่วนกลางนั้นได้ถอนออกไป รัฐบาลของรัฐภาคใต้ก็พากันออกกฎหมายที่เรียกว่า Jim Crow laws กีดกันคนดำไม่ให้ใช้บริการสถานร่วมกับคนขาว
(Jim Crow เป็นชื่อตัวละครชายผิวดำซึ่งแสดงโดยคนขาว เป็นตัวละครที่เกียจคร้าน ไม่มีความคิด วัน ๆ มีแต่ร้องรำทำเพลงสนุกสนานไปเรื่อย เป็น stereotype ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์คนดำในสายตาคนขาวยุคนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐภาค ใต้)
Homer Plessy ดูเหมือนคนขาว แต่มีทวดผิวดำอยู่คน ตามกฎหมายรัฐ Louisiana (ลูซีแย้นหน่า) จึงถือว่าเขาเป็นคนดำด้วย เขาซื้อตั๋วรถไฟสำหรับตู้ที่เป็น whites only = สงวนให้เฉพาะคนขาว เมื่อขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วก็คุยกับผู้โดยสารคนอื่นและแย้มว่าตนมี บรรพบุรุษเป็นคนดำ
แค่นั้นก็ได้เรื่อง ผู้โดยสารไปแจ้งเจ้าหน้าที่รถไฟ เจ้าหน้าที่รถไฟก็มาไล่เขาลงให้ไปนั่งตู้คนดำ แต่ Plessy ไม่ยอมขยับ จึงถูกจับแล้วลากไปเข้าตาราง ตามที่สมาคมวางแผนไว้เพื่อที่จะได้ฟ้องรัฐได้
คดีนี้อุทธรณ์ฎีกาอยู่หลายชั้นจนขึ้นถึงศาลฎีกาสหรัฐภายใต้ชื่อ Plessy v. Ferguson (ชื่อหลังเป็นชื่อประธานศาลรัฐ Louisiana) และในที่สุดศาลฎีกาสหรัฐก็ตัดสินให้จำเลยชนะ โดยอ้างหลัก separate but equal เท่ากับว่ากฎหมาย Jim Crow ทั้งหลายในรัฐภาคใต้เป็นที่ยอมรับโดยรัฐส่วนกลาง
อีก 58 ปีต่อมา ศาลฎีกาสหรัฐพลิกคำพิพากษาจากครั้งนั้นในคดี Brown v. Board of Education โดยปฏิเสธหลักการ separate but equal และตัดสินว่าการแยกโรงเรียนตามผิวนักเรียนขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลต่อหลักการ segregation = การแยกผิว ที่ฝังอยู่ในกฎหมาย Jim Crow ทั้งหลาย
ทุกวันนี้เรามองว่าสหรัฐเป็นประเทศที่กฎหมายเป็นใหญ่ แต่ไม่ว่าตัวบทกฎหมายจะเขียนไว้อย่างไร ถ้าไม่ได้ถูกนำไปทดสอบในภาคปฏิบัติก็ไร้ความหมาย
ในปีต่อมาหลังจากคำตัดสินคดี Brown v. Board of Education ก็มีเด็กหนุ่มผิวดำคนหนึ่งถูกจับไปฆ่าเพราะบังอาจผิวปากใส่ผู้หญิงผิวขาว ตำรวจจับหนุ่มขาวสองคนได้ แต่คณะลูกขุน (ซึ่งเป็นคนขาวทั้งหมด) ตัดสินว่าไม่มีความผิด และหลังจากนั้นทั้งสองก็ยืดอกให้สัมภาษณ์ว่าตนเป็นคนฆ่าจริง
ที่มา: ศาลยุติ (ความเป็น) ธรรม เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธที่ 02 กุมภาพันธ์ 2554
ผิดเพราะไม่ลุกยืน
หลังจากศาลฎีกาสหรัฐตัดสินในคดี Brown v. Board of Education ว่าการแยกโรงเรียนตามสีผิวของนักเรียนขัดต่อรัฐธรรมนูญ คนดำก็เริ่มทวงสิทธิอันชอบธรรมของตน ในระยะแรกๆ ก็อาจเป็นกรณีโดดๆ แต่เมื่อได้คนที่มีอุดมการณ์แรงกล้า ก็กลายเป็นขบวนการที่เรียกว่า civil rights movement = ขบวนการ (เรียกร้อง) สิทธิพลเมือง
กรณีดังที่บุกเบิกกระแสการทวงสิทธิและศักดิ์ศรีของคนดำเกิดขึ้นที่นคร Montgomery (มอนท์ก๊อมหมะหรี่) รัฐ Alabama (แอลลาแบ๊มหม่า) นั่นคือกรณีของ Rosa Parks หญิงผิวดำผู้ไม่ยอมสละที่นั่งบนรถเมล์ให้กับผู้โดยสารชายผิวขาวเมื่อที่นั่งในรถเต็ม
รถเมล์ทางใต้สมัยนั้นแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหน้าเป็น white section ให้คนขาวนั่ง ส่วนหลังเป็น colored section ให้คน “ผิวสี” นั่ง และตามธรรมเนียมในระบบ Jim Crow ถือว่าเมื่อที่นั่งเต็ม คนดำมีหน้าที่ต้องลุกให้คนขาวนั่ง ไม่ว่า คนดำนั้นจะเป็นหญิงหรือคนชราและคนขาวนั้นเป็นชายหนุ่มก็ตาม และคนขับก็มีสิทธิที่จะเลื่อนป้ายแบ่งเขตระหว่างสองส่วนเพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับผู้โดยสารผิวขาว
แต่วันนั้น เมื่อคนขับเลื่อนป้ายแบ่งเขตไปอยู่ข้างหลังแถวที่ Rosa Parks นั่งและสั่งคนดำที่นั่งแถวเดียวกับเธอให้ลุกขึ้นยืน อีกสามคนยอมทำตาม แต่เธอไม่ยอม คนขับขู่ว่าถ้าเธอไม่ยอมเขาก็จะเรียกตำรวจมาจับ เธอก็ตอบว่า You may do that. = คุณทำได้ (การใช้ may เหมือนเป็นการให้อนุญาต) ก็เลยโดนจับไปเข้าตะราง
ในรายการสัมภาษณ์ทางวิทยุภายหลัง เธอถูกถามว่าทำไมถึงไม่ลุกขึ้นยืนซะ ให้หมดเรื่องหมดราว เธอตอบว่า “I would have to know for once and for all what rights I had as a human being and a citizen.” = ฉันต้องรู้ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวว่าฉันมีสิทธิอะไรบ้างในฐานะมนุษย์และราษฎร คนหนึ่ง
ความจริงก่อนหน้านั้นก็มีหญิงดำบางคนที่ไม่ยอมลุกขึ้นยืนให้คนขาวและเมื่อคดีไปถึงศาลฎีกาของสหรัฐก็ชนะคดี แต่ Rosa Parks เป็นกรณีแรกที่การไม่ยอม สละที่นั่งรถเมล์ให้คนขาวจุดกระแส civil disobedience = การขัดขืนอำนาจรัฐโดยสันติ (หรือที่บางคนชอบเรียกว่าอารยะขัดขืน ซึ่งสะท้อนถึงความสับสนระหว่าง civil กับ civilized) ครั้งใหญ่ นั่นคือการคว่ำบาตรรถเมล์ในนคร Montgomery
การคว่ำบาตรรถเมล์นี้ดำเนินอยู่นานกว่าหนึ่งปี จนกระทั่งกฎหมายที่ให้แบ่งเขตในรถเมล์ถูกยกเลิก แต่สำคัญตรงที่แสดงว่าคนดำยอมลำบาก แต่ไม่ยอม อีกต่อไปกับการถูกปฏิบัติเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง และตรงที่การเคลื่อนไหวได้ผู้นำคนใหม่ เป็นนักเทศน์หนุ่มชื่อ Martin Luther King, Jr.
ที่มา: ผิดเพราะไม่ลุกยืน เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 03 กุมภาพันธ์ 2554
ขึงป้ายเด็กฝากติดประจานหน้ารร.
ขึงป้ายเด็กฝากติดประจานหน้าโรงเรียน
ศธ.แก้เส้นใหญ่
"ศธ." งัดมาตรการเด็ดป้องกันตั๋วเด็กฝาก "ชินวรณ์" มุ่งมั่นเดินหน้าล้างระบบฝากเด็กเข้าเรียนโดยมิชอบ ส่งทีมออกสุ่มตรวจโรงเรียนชื่อดัง 369 โรงเรียน ใช้มาตรการคุมเข้มให้ประกาศรายชื่อเด็กฝากในโควตาผู้มีอุปการคุณต่อโรงเรียน ให้สาธารณชนรับรู้ ย้ำผู้บริหารโรงเรียนไหน ทำดีจะมีเกียรติบัตรยกย่อง แต่นอกลู่นอกทางจะถูกสังคมประณาม แถมยังอาจโดนเล่นงานทั้งทางวินัยและอาญา กสม.ค้านระบบอุปการคุณ แนะใช้ระบบคุณธรรมสอบเข้าแทน
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2554 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวถึงการรับนักเรียนในปีการศึกษา 2554 ว่า ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการรับนักเรียน และคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ประสานงานการรับนักเรียน ศธ. ปีการศึกษา 2554 โดยกำหนดให้คณะกรรมการติดตามตรวจสอบร่วมกับผู้ตรวจราชการ ศธ. และเขตพื้นที่การศึกษาออกสุ่มตรวจการรับนักเรียนของโรงเรียน ที่มีอัตราการแข่งขันสูงทั่วประเทศ ในช่วงการรับสมัครนักเรียน และให้รายงานผลการสุ่มตรวจมาให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา และป้องกันไม่ให้มีการเรียกรับเงินและฝากเด็ก
นายชินวรณ์ กล่าวต่อว่า การรับนักเรียนในปีนี้ จะเกิดผลโดยตรง ที่ทำให้คุณภาพการศึกษาสูงขึ้น รวมทั้งปราศจากการเรียกรับเงิน และผลประโยชน์อื่นใด จึงอยากขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีบารมีให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงิน หรือหาผลประโยชน์จากการรับนักเรียน อาจจะถูกจับตามองเป็นพิเศษจากสังคม และอาจนำไปสู่การดำเนินการลงโทษทางสังคม อีกทั้ง หากมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า เป็นการหาผลประโยชน์โดยมิชอบ จะมีการดำเนินคดี ทั้งทางอาญา และทางวินัยอย่างเด็ดขาด
ด้านรศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการรับนักเรียน กล่าวว่า สัปดาห์หน้าคณะกรรมการจะประชุม เพื่อกำหนดวิธีการ และแบ่งสายลงพื้นที่ตรวจสอบ การรับนักเรียนของโรงเรียน ที่มีอัตราการแข่งขันสูง ทั้ง 369 โรงเรียน โดยจะมีการตรวจสอบว่า ที่ใดมีการรับฝากเด็กบ้าง เพื่อจะได้ดำเนินการตามอำนาจ ที่ได้รับมอบจาก รมว.ศธ. และหากพบความไม่ชอบมาพากล จะแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เพราะฉะนั้นยืนยันว่า คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจเต็มที่ไม่เป็นเพียงเสือกระดาษอย่างแน่นอน
รศ.ดร.สุขุม กล่าวอีกว่า ในการรับนักเรียนนั้น มีประเด็นที่เป็นห่วงกันมากว่า อาจจะมีบางโรงเรียนหลบเลี่ยงไปฝากเด็กในส่วนผู้ที่มีอุปการคุณต่อโรงเรียน ซึ่งเรื่องนี้ได้กำหนดวิธีการที่ชัดเจนไว้แล้วว่า โรงเรียนต้องประกาศสัดส่วนเด็กฝากที่เหมาะสม และต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษา รวมถึงต้องประกาศรายชื่อเด็ก และชื่อผู้ฝากทุกคนพร้อมเหตุผลก่อนการรับสมัครสอบด้วย แต่หากเด็กสอบเข้าได้ด้วยตนเอง จะต้องตัดโควตาในส่วนของเด็กฝากออก โดยห้ามนำรายชื่อเด็กคนอื่นมาสวมแทน ส่วนการประกาศผลสอบ จะต้องประกาศตามลำดับคะแนน หากมีผู้ใดสละสิทธิ จะต้องเรียกสำรองขึ้นมาตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า อาจจะมีการนำชื่อเด็กที่รับฝากไปฝากเรียนที่โรงเรียนอื่นก่อน แล้วค่อยรับย้ายมากลางปีนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะมีดาบสองที่จะจัดการอยู่แล้ว
รมว.ศธ.ยำ้ว่าการรับนักเรียนปีนี้ ถ้าโรงเรียนไหนทำดีไม่มีเด็กฝาก ก็จะได้รับเกียรติบัตรยกย่องชมเชย แต่ถ้าทำไม่ดี ก็ต้องมีผู้บริหารโรงเรียนถูกลงโทษย้ายออกนอกพื้นที่ และยิ่งถ้ามีเรื่องการเรียกรับเงินทอง ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นถ้าปีนี้มีใครบอกว่า สามารถฝากเด็กเข้าเรียนได้ ก็ให้แจ้งความดำเนินคดีได้ทันที เพราะถือว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน ส่วนที่มีความกังวลว่าข้อสอบจะรั่วนั้น เรื่องนี้ศธ.ให้ความสนใจมาก จึงมีการออกระเบียบห้ามครูที่เกี่ยวข้องกับการออกข้อสอบไปจัดติวหรือรับจ้าง ติวอย่างเด็ดขาด โดยจะถือว่ามีความผิด รศ.ดร.สุขุม กล่าว
นางวิสา เบ็ญจะมโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ด้านสิทธิเด็กสตรีและความเสมอภาคของบุคคล กล่าวถึงกรณีที่นายชินวรณ์ จะกวาดล้างระบบเด็กฝากเข้าโรงเรียน แต่มีนักวิชาการเกรงว่า โรงเรียนจะหลบเลี่ยงการกวาดล้างระบบดังกล่าว โดยใช้ระบบอุปการคุณสถาบันแทน จนเกรงว่าจะมีการประกาศชื่อให้ทราบที่มาที่ไปของเด็กนักเรียน ว่า เป็นการละเมิดสิทธิเด็กหรือไม่นั้น ตนคิดว่าไม่เป็นการละเมิด แต่การเปิดรายชื่อเด็กผู้ที่มาจากระบบอุปการคุณเกรงว่า จะมีการเลือกปฏิบัติระหว่างกลุ่มปกติ ที่มาจากการสอบและกลุ่มที่มาจากระบบอุปการคุณสถาบัน หากจะแก้ระบบจะต้องแก้ให้หมด ไม่ควรให้มีระบบอุปการคุณสถาบัน จึงไม่เห็นด้วยหากจะใช้ระบบนี้ เพราะควรใช้ระบบคุณธรรม ที่มีความเป็นธรรมในการแข่งขันในการสอบเข้าโรงเรียนมากกว่า
ที่มา: การศึกษา เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2554
.
ศธ.แก้เส้นใหญ่
"ศธ." งัดมาตรการเด็ดป้องกันตั๋วเด็กฝาก "ชินวรณ์" มุ่งมั่นเดินหน้าล้างระบบฝากเด็กเข้าเรียนโดยมิชอบ ส่งทีมออกสุ่มตรวจโรงเรียนชื่อดัง 369 โรงเรียน ใช้มาตรการคุมเข้มให้ประกาศรายชื่อเด็กฝากในโควตาผู้มีอุปการคุณต่อโรงเรียน ให้สาธารณชนรับรู้ ย้ำผู้บริหารโรงเรียนไหน ทำดีจะมีเกียรติบัตรยกย่อง แต่นอกลู่นอกทางจะถูกสังคมประณาม แถมยังอาจโดนเล่นงานทั้งทางวินัยและอาญา กสม.ค้านระบบอุปการคุณ แนะใช้ระบบคุณธรรมสอบเข้าแทน
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2554 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวถึงการรับนักเรียนในปีการศึกษา 2554 ว่า ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการรับนักเรียน และคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ประสานงานการรับนักเรียน ศธ. ปีการศึกษา 2554 โดยกำหนดให้คณะกรรมการติดตามตรวจสอบร่วมกับผู้ตรวจราชการ ศธ. และเขตพื้นที่การศึกษาออกสุ่มตรวจการรับนักเรียนของโรงเรียน ที่มีอัตราการแข่งขันสูงทั่วประเทศ ในช่วงการรับสมัครนักเรียน และให้รายงานผลการสุ่มตรวจมาให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา และป้องกันไม่ให้มีการเรียกรับเงินและฝากเด็ก
นายชินวรณ์ กล่าวต่อว่า การรับนักเรียนในปีนี้ จะเกิดผลโดยตรง ที่ทำให้คุณภาพการศึกษาสูงขึ้น รวมทั้งปราศจากการเรียกรับเงิน และผลประโยชน์อื่นใด จึงอยากขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีบารมีให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงิน หรือหาผลประโยชน์จากการรับนักเรียน อาจจะถูกจับตามองเป็นพิเศษจากสังคม และอาจนำไปสู่การดำเนินการลงโทษทางสังคม อีกทั้ง หากมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า เป็นการหาผลประโยชน์โดยมิชอบ จะมีการดำเนินคดี ทั้งทางอาญา และทางวินัยอย่างเด็ดขาด
ด้านรศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการรับนักเรียน กล่าวว่า สัปดาห์หน้าคณะกรรมการจะประชุม เพื่อกำหนดวิธีการ และแบ่งสายลงพื้นที่ตรวจสอบ การรับนักเรียนของโรงเรียน ที่มีอัตราการแข่งขันสูง ทั้ง 369 โรงเรียน โดยจะมีการตรวจสอบว่า ที่ใดมีการรับฝากเด็กบ้าง เพื่อจะได้ดำเนินการตามอำนาจ ที่ได้รับมอบจาก รมว.ศธ. และหากพบความไม่ชอบมาพากล จะแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เพราะฉะนั้นยืนยันว่า คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจเต็มที่ไม่เป็นเพียงเสือกระดาษอย่างแน่นอน
รศ.ดร.สุขุม กล่าวอีกว่า ในการรับนักเรียนนั้น มีประเด็นที่เป็นห่วงกันมากว่า อาจจะมีบางโรงเรียนหลบเลี่ยงไปฝากเด็กในส่วนผู้ที่มีอุปการคุณต่อโรงเรียน ซึ่งเรื่องนี้ได้กำหนดวิธีการที่ชัดเจนไว้แล้วว่า โรงเรียนต้องประกาศสัดส่วนเด็กฝากที่เหมาะสม และต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษา รวมถึงต้องประกาศรายชื่อเด็ก และชื่อผู้ฝากทุกคนพร้อมเหตุผลก่อนการรับสมัครสอบด้วย แต่หากเด็กสอบเข้าได้ด้วยตนเอง จะต้องตัดโควตาในส่วนของเด็กฝากออก โดยห้ามนำรายชื่อเด็กคนอื่นมาสวมแทน ส่วนการประกาศผลสอบ จะต้องประกาศตามลำดับคะแนน หากมีผู้ใดสละสิทธิ จะต้องเรียกสำรองขึ้นมาตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า อาจจะมีการนำชื่อเด็กที่รับฝากไปฝากเรียนที่โรงเรียนอื่นก่อน แล้วค่อยรับย้ายมากลางปีนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะมีดาบสองที่จะจัดการอยู่แล้ว
รมว.ศธ.ยำ้ว่าการรับนักเรียนปีนี้ ถ้าโรงเรียนไหนทำดีไม่มีเด็กฝาก ก็จะได้รับเกียรติบัตรยกย่องชมเชย แต่ถ้าทำไม่ดี ก็ต้องมีผู้บริหารโรงเรียนถูกลงโทษย้ายออกนอกพื้นที่ และยิ่งถ้ามีเรื่องการเรียกรับเงินทอง ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นถ้าปีนี้มีใครบอกว่า สามารถฝากเด็กเข้าเรียนได้ ก็ให้แจ้งความดำเนินคดีได้ทันที เพราะถือว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน ส่วนที่มีความกังวลว่าข้อสอบจะรั่วนั้น เรื่องนี้ศธ.ให้ความสนใจมาก จึงมีการออกระเบียบห้ามครูที่เกี่ยวข้องกับการออกข้อสอบไปจัดติวหรือรับจ้าง ติวอย่างเด็ดขาด โดยจะถือว่ามีความผิด รศ.ดร.สุขุม กล่าว
นางวิสา เบ็ญจะมโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ด้านสิทธิเด็กสตรีและความเสมอภาคของบุคคล กล่าวถึงกรณีที่นายชินวรณ์ จะกวาดล้างระบบเด็กฝากเข้าโรงเรียน แต่มีนักวิชาการเกรงว่า โรงเรียนจะหลบเลี่ยงการกวาดล้างระบบดังกล่าว โดยใช้ระบบอุปการคุณสถาบันแทน จนเกรงว่าจะมีการประกาศชื่อให้ทราบที่มาที่ไปของเด็กนักเรียน ว่า เป็นการละเมิดสิทธิเด็กหรือไม่นั้น ตนคิดว่าไม่เป็นการละเมิด แต่การเปิดรายชื่อเด็กผู้ที่มาจากระบบอุปการคุณเกรงว่า จะมีการเลือกปฏิบัติระหว่างกลุ่มปกติ ที่มาจากการสอบและกลุ่มที่มาจากระบบอุปการคุณสถาบัน หากจะแก้ระบบจะต้องแก้ให้หมด ไม่ควรให้มีระบบอุปการคุณสถาบัน จึงไม่เห็นด้วยหากจะใช้ระบบนี้ เพราะควรใช้ระบบคุณธรรม ที่มีความเป็นธรรมในการแข่งขันในการสอบเข้าโรงเรียนมากกว่า
ที่มา: การศึกษา เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2554
.
ผลิตสำเร็จ: ชุดตรวจพิษร้ายที่เนื้อปักเป้า
ชุดตรวจพิษร้ายที่เนื้อปักเป้า
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขสุดเจ๋ง ผลิตชุดทดสอบตรวจสารพิษเตโตรท็อกซินในปลาปักเป้าและแมงดาทะเลได้สำเร็จเป็น ครั้งแรกในโลก แถมใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงรู้ผล ขณะที่แบบเก่ากว่าจะรู้ผลต้องใช้เวลานับชั่วโมง มีวางขายแล้วราคาอันละ 120 บาท ผู้ผลิตชุดทดสอบใหม่ชี้ หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคควรนำไปใช้มากกว่าให้ประชาชนนำไปใช้เอง ด้านอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากปลาปักเป้าถือว่าผิดกฎหมาย แต่ปัจจุบันยังมีผู้ลักลอบนำเนื้อปลาปักเป้ามาทำเป็นอาหารขายอยู่
ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สถาพร วงษ์เจริญ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวถึงผลสำเร็จในการผลิตชุดทดสอบสารพิษจากปลาปักเป้าและแมงดาถ้วย เป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของโลก ดร.พรรณสิริ กล่าวว่า ในแต่ละปีจะพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการได้รับสารพิษเตโตรท็อกซินจากปลา ปักเป้าและแมงดาถ้วย โดยเฉพาะแมงดาถ้วยจะมีพิษมากในช่วงเดือน ก.พ.-มิ.ย. ซึ่งพิษดังกล่าวมีผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ผู้ที่ได้รับพิษจะเกิดอาการชาที่ริมฝีปาก มือและเท้า ไม่มีแรง หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต หากรับประทานในปริมาณมากทำให้เสียชีวิต ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงผลิตชุดทดสอบชุดแรกที่ใช้ตรวจสอบสารพิษเต โตรท็อกซินที่ใช้ง่ายเห็นผลเร็ว มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง
ด้าน นพ.สถาพร กล่าวว่า ชุดทดสอบสารพิษเตโตรท็อกซินที่ผลิตขึ้นนี้เป็นการคิดค้นโดย ดร.อารี ทัตติยพงศ์ จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และคณะ ได้ทดสอบประสิทธิภาพของชุดทดสอบร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 4 (สมุทรสงคราม) พบว่าชุดทดสอบสารพิษเตโตรท็อกซิน มีความไว 100% และความจำเพาะ 80% ขณะนี้มีวางจำหน่ายแล้วที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นอกจากนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินประสิทธิภาพเครื่องมือในการตรวจสอบปลา ปักเป้า อย่างไรก็ตามขอเรียนว่าขณะนี้การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาปักเป้าถือว่า ผิดกฎหมาย และปัจจุบันมีการลักลอบนำเนื้อปลาปักเป้ามาผลิตอาหารอยู่
ดร.อารี ทัตติยพงศ์ จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กล่าวว่า ได้เริ่มทำชุดทดสอบตั้งแต่ปี 2549 แล้วเสร็จในปี 2551 ก่อนที่จะนำไปทดสอบภาคสนามอีก 2 ปีจนสำเร็จ และผลิตชุดทดสอบเป็นผลสำเร็จ โดยตกราคาอันละ 120 บาท 1 กล่องมี 10 อัน ราคา 1,200 บาท ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกในโลกที่ผลิตได้
สำหรับชุดทดสอบใหม่นี้ใช้เวลาตรวจหาสารพิษเตโตรท็อกซินโดยทราบผลในเวลาไม่ เกิน 30 นาที เริ่มจากนำตัวอย่างปลามาบดให้ละเอียด แล้วนำเนื้อปลา 2 กรัมผสมกับกรดอะเซติก 8 มิลลิลิตร นำไปต้มในน้ำเดือด 10 นาที เขย่าเป็นครั้งคราว ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นจะพบว่าส่วนใสอยู่ข้างบน นำหลอดดูดส่วนใสไปหยดลงในหลุมชุดทดสอบ หากมีพิษชุดทดสอบจะปรากฏผล 1 ขีด แต่ถ้าไม่มีพิษจะขึ้น 2 ขีด ได้ผลเร็วกว่าการตรวจแบบเดิมที่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงทำให้วันหนึ่งสามารถตรวจ ตัวอย่างได้ไม่ถึง 10 ตัวอย่าง แต่ชุดทดสอบแบบใหม่สามารถตรวจได้นับ 100 ตัวอย่าง อย่างไรก็ตามชุดทดสอบนี้เหมาะสำหรับหน่วยงานนำไปใช้ในการคุ้มครองผู้บริโภค มากกว่าที่ประชาชนจะนำไปใช้เอง
ที่มา: วิทยาการเดลินิวส์ เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2554
.
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขสุดเจ๋ง ผลิตชุดทดสอบตรวจสารพิษเตโตรท็อกซินในปลาปักเป้าและแมงดาทะเลได้สำเร็จเป็น ครั้งแรกในโลก แถมใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงรู้ผล ขณะที่แบบเก่ากว่าจะรู้ผลต้องใช้เวลานับชั่วโมง มีวางขายแล้วราคาอันละ 120 บาท ผู้ผลิตชุดทดสอบใหม่ชี้ หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคควรนำไปใช้มากกว่าให้ประชาชนนำไปใช้เอง ด้านอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากปลาปักเป้าถือว่าผิดกฎหมาย แต่ปัจจุบันยังมีผู้ลักลอบนำเนื้อปลาปักเป้ามาทำเป็นอาหารขายอยู่
ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สถาพร วงษ์เจริญ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวถึงผลสำเร็จในการผลิตชุดทดสอบสารพิษจากปลาปักเป้าและแมงดาถ้วย เป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของโลก ดร.พรรณสิริ กล่าวว่า ในแต่ละปีจะพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการได้รับสารพิษเตโตรท็อกซินจากปลา ปักเป้าและแมงดาถ้วย โดยเฉพาะแมงดาถ้วยจะมีพิษมากในช่วงเดือน ก.พ.-มิ.ย. ซึ่งพิษดังกล่าวมีผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ผู้ที่ได้รับพิษจะเกิดอาการชาที่ริมฝีปาก มือและเท้า ไม่มีแรง หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต หากรับประทานในปริมาณมากทำให้เสียชีวิต ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงผลิตชุดทดสอบชุดแรกที่ใช้ตรวจสอบสารพิษเต โตรท็อกซินที่ใช้ง่ายเห็นผลเร็ว มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง
ด้าน นพ.สถาพร กล่าวว่า ชุดทดสอบสารพิษเตโตรท็อกซินที่ผลิตขึ้นนี้เป็นการคิดค้นโดย ดร.อารี ทัตติยพงศ์ จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และคณะ ได้ทดสอบประสิทธิภาพของชุดทดสอบร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 4 (สมุทรสงคราม) พบว่าชุดทดสอบสารพิษเตโตรท็อกซิน มีความไว 100% และความจำเพาะ 80% ขณะนี้มีวางจำหน่ายแล้วที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นอกจากนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินประสิทธิภาพเครื่องมือในการตรวจสอบปลา ปักเป้า อย่างไรก็ตามขอเรียนว่าขณะนี้การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาปักเป้าถือว่า ผิดกฎหมาย และปัจจุบันมีการลักลอบนำเนื้อปลาปักเป้ามาผลิตอาหารอยู่
ดร.อารี ทัตติยพงศ์ จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กล่าวว่า ได้เริ่มทำชุดทดสอบตั้งแต่ปี 2549 แล้วเสร็จในปี 2551 ก่อนที่จะนำไปทดสอบภาคสนามอีก 2 ปีจนสำเร็จ และผลิตชุดทดสอบเป็นผลสำเร็จ โดยตกราคาอันละ 120 บาท 1 กล่องมี 10 อัน ราคา 1,200 บาท ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกในโลกที่ผลิตได้
สำหรับชุดทดสอบใหม่นี้ใช้เวลาตรวจหาสารพิษเตโตรท็อกซินโดยทราบผลในเวลาไม่ เกิน 30 นาที เริ่มจากนำตัวอย่างปลามาบดให้ละเอียด แล้วนำเนื้อปลา 2 กรัมผสมกับกรดอะเซติก 8 มิลลิลิตร นำไปต้มในน้ำเดือด 10 นาที เขย่าเป็นครั้งคราว ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นจะพบว่าส่วนใสอยู่ข้างบน นำหลอดดูดส่วนใสไปหยดลงในหลุมชุดทดสอบ หากมีพิษชุดทดสอบจะปรากฏผล 1 ขีด แต่ถ้าไม่มีพิษจะขึ้น 2 ขีด ได้ผลเร็วกว่าการตรวจแบบเดิมที่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงทำให้วันหนึ่งสามารถตรวจ ตัวอย่างได้ไม่ถึง 10 ตัวอย่าง แต่ชุดทดสอบแบบใหม่สามารถตรวจได้นับ 100 ตัวอย่าง อย่างไรก็ตามชุดทดสอบนี้เหมาะสำหรับหน่วยงานนำไปใช้ในการคุ้มครองผู้บริโภค มากกว่าที่ประชาชนจะนำไปใช้เอง
ที่มา: วิทยาการเดลินิวส์ เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2554
.
ข้อคิดดีๆจากนักธุรกิจแสนล้าน
คมชัดลึก : ขอนำข้อคิดดี ๆ มีคุณค่ายิ่งต่อการดำรงชีวิต ต่อการปฏิบัติหน้าที่การงานของแต่ละท่านมา ”เล่าสู่กันฟัง” ในฉบับนี้นะครับ
ข้อคิดคราวนี้ได้มาจากการแสดงทัศนะของนักธุรกิจการ ค้าชั้นนำของโลกที่เป็นคนไทย พูดไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ด้วยความที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน ก็เลยไม่ได้ใส่ชื่อท่านไว้ ณ ที่นี้ ต้องขออภัยด้วย
ก่อนอื่นใด ท่านเกริ่นนำเอาไว้เป็นประเด็นแรกๆ ของการบรรยายเหมือนกับหลายครั้งที่เคยได้ยินมา ว่าคนเราต้องรู้จักกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และหาทางตอบแทนบุญคุณนั้น คนที่จะเจริญก้าวหน้าได้ต้องกระทำสิ่งนี้ ซึ่งคำว่าผู้มีพระคุณนี้นอกเหนือจากบุคคล เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ที่เคยให้ความกรุณาเอ็นดูช่วยเหลือเราในเรื่องต่างๆ เช่น ถ้าเราทำการค้า ทำธุรกิจ ลูกค้าของเราก็นับว่ามีบุญคุณกับเรา เขามาซื้อของของเรา เท่ากับส่งเสริมให้ร้านของเราเจริญรุ่งเรือง หรือคนรับราชการหรือเป็นพนักงานองค์กรต่างๆ เจ้านายที่ดีๆ คอยให้คำชี้แนะ สั่งสอนอบรมให้เราพัฒนางาน เป็นต้น
ต่อจากนั้นได้แนะนำว่าผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับ "คน” ที่ทำงานในองค์กรของเรา เพราะทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยคน ไม่ใช่เครื่องจักร เทคโนโลยีทั้งหลายสามารถซื้อหามาได้ด้วยเงิน เมื่อมีเงินใครๆ ก็ซื้อเทคโนโลยีได้ แต่ซื้อคนไม่ได้ คนที่เก่งๆ ดีๆ องค์กรต้องผูกมัดเขาไว้ด้วยใจ ให้ความรักความเมตตา สร้างความผูกพันกับเขา ให้ความยุติธรรม เป็นธรรมให้โอกาสที่จะเจริญก้าวหน้า เขาจึงอยากอยู่กับเรา และเมื่อเราเป็นศูนย์รวมของคนเก่งคนดี องค์กรของเราย่อมเข้มแข็งและมีโอกาสที่จะประสบชัยชนะในการแข่งขันสูง
ในคนแต่ละคน มีความแตกต่างทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกภาพ นิสัยใจคอ ความรักความชอบ รวมถึงศักยภาพ จุดแข็งจุดอ่อน จุดเด่นจุดด้อย ที่แตกต่างกันออกไป เราควรบริหารที่จุดเด่นของเขา ใช้งานที่เขาเก่งเขาถนัดเขาชอบ เขาจะได้แสดงพลังงานความรู้ความสามารถความคิดอ่านในเรื่องนั้นๆ ออกมาอย่างสุดแรงเกิด เต็มพลัง และด้วยความสุขที่ได้ทำภารกิจนั้นๆ ผลงานที่ออกมาก็มักมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ตรงข้ามหากเราไปบริหารที่จุดด้อยของเขา ให้งานที่เขาไม่ถนัด พยายามไปเคี่ยวเข็ญด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งจะเก่งขึ้นมาได้ อย่างนี้นอกจากจะไม่สำเร็จหรือสำเร็จอย่างเชื่องช้าแล้ว ต่างก็เครียดด้วยกันทั้งสองฝ่ายทั้งคนและองค์กร
การให้เกียรติซึ่งกันและกันก็เป็นอีกประเด็น คนที่เป็นนายก็ต้องให้เกียรติลูกน้อง พูดจาปฏิบัติหรือใช้งานอย่างสุภาพ คนเป็นลูกน้องก็ต้องให้เกียรติยกย่องนับถือผู้บังคับบัญชา รวมไปถึงการให้เกียรติเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วย
เมื่อทำการใดๆ แล้วประสบความสำเร็จก็อย่าเพิ่งดีอกดีใจง่ายๆ ต้องคิดเสมอว่าทำอย่างไรเราจึงจะทำให้ดีขึ้นกว่านี้อีกในคราวหน้า เพราะถ้าเราพอใจในความสำเร็จคราวนี้เสียแล้ว เราก็จะไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาให้มันดีขึ้นๆ ไปอีก เกิดการย่ำเท้าอยู่กับที่ เดี๋ยวเดียวคนอื่นก็เลียนแบบตามทันและแซงหน้าไปได้ในเวลาไม่นาน
ให้รักที่จะทำงานยากๆ งานที่ท้าทายความสามารถ อย่าย่อท้อ อย่าถอดใจยอมแพ้แต่ต้น เพราะงานง่ายๆ ใครก็ทำได้ แต่ถ้าเป็นงานยากหากเราทำได้สำเร็จ คนจะเลียนแบบยาก ตามทันยาก จะเป็นความสำเร็จที่อยู่กับเราไปอีกนาน
ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลาในทุกๆ ด้าน เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และปรับปรุงพัฒนาตนให้เท่าทันและอยู่ร่วมกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่ เปลี่ยนแปลงไปให้ได้ จึงจะอยู่รอดและอยู่ดี
ผมเองก็ยึดตามหลักการข้อแรกข้างต้น คือมองว่าผู้อ่านคอลัมน์ของผมทุกท่านล้วนเป็นผู้มีพระคุณ ที่พึงตอบแทน ดังนั้น เมื่อได้ฟังข้อคิดดีๆ เหล่านี้มาแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ก็เลยเอามา ”เล่าสู่กันฟัง” ใครที่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์เผื่อจะประสบความสำเร็จกับเขาบ้างก็ลองนำไป คิดดูนะครับ แต่ถ้าเห็นว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่น่าหลงเสียเวลาอ่านเลย ก็ต้องขออภัยด้วยเช่นกันครับ
บัญญัติ คำนูณวัฒน์
ที่มา: ข้อคิดดีๆจากนักธุรกิจแสนล้าน คมชัดลึกออนไลน์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2554
'
ข้อคิดคราวนี้ได้มาจากการแสดงทัศนะของนักธุรกิจการ ค้าชั้นนำของโลกที่เป็นคนไทย พูดไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ด้วยความที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน ก็เลยไม่ได้ใส่ชื่อท่านไว้ ณ ที่นี้ ต้องขออภัยด้วย
ก่อนอื่นใด ท่านเกริ่นนำเอาไว้เป็นประเด็นแรกๆ ของการบรรยายเหมือนกับหลายครั้งที่เคยได้ยินมา ว่าคนเราต้องรู้จักกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และหาทางตอบแทนบุญคุณนั้น คนที่จะเจริญก้าวหน้าได้ต้องกระทำสิ่งนี้ ซึ่งคำว่าผู้มีพระคุณนี้นอกเหนือจากบุคคล เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ที่เคยให้ความกรุณาเอ็นดูช่วยเหลือเราในเรื่องต่างๆ เช่น ถ้าเราทำการค้า ทำธุรกิจ ลูกค้าของเราก็นับว่ามีบุญคุณกับเรา เขามาซื้อของของเรา เท่ากับส่งเสริมให้ร้านของเราเจริญรุ่งเรือง หรือคนรับราชการหรือเป็นพนักงานองค์กรต่างๆ เจ้านายที่ดีๆ คอยให้คำชี้แนะ สั่งสอนอบรมให้เราพัฒนางาน เป็นต้น
ต่อจากนั้นได้แนะนำว่าผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับ "คน” ที่ทำงานในองค์กรของเรา เพราะทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยคน ไม่ใช่เครื่องจักร เทคโนโลยีทั้งหลายสามารถซื้อหามาได้ด้วยเงิน เมื่อมีเงินใครๆ ก็ซื้อเทคโนโลยีได้ แต่ซื้อคนไม่ได้ คนที่เก่งๆ ดีๆ องค์กรต้องผูกมัดเขาไว้ด้วยใจ ให้ความรักความเมตตา สร้างความผูกพันกับเขา ให้ความยุติธรรม เป็นธรรมให้โอกาสที่จะเจริญก้าวหน้า เขาจึงอยากอยู่กับเรา และเมื่อเราเป็นศูนย์รวมของคนเก่งคนดี องค์กรของเราย่อมเข้มแข็งและมีโอกาสที่จะประสบชัยชนะในการแข่งขันสูง
ในคนแต่ละคน มีความแตกต่างทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกภาพ นิสัยใจคอ ความรักความชอบ รวมถึงศักยภาพ จุดแข็งจุดอ่อน จุดเด่นจุดด้อย ที่แตกต่างกันออกไป เราควรบริหารที่จุดเด่นของเขา ใช้งานที่เขาเก่งเขาถนัดเขาชอบ เขาจะได้แสดงพลังงานความรู้ความสามารถความคิดอ่านในเรื่องนั้นๆ ออกมาอย่างสุดแรงเกิด เต็มพลัง และด้วยความสุขที่ได้ทำภารกิจนั้นๆ ผลงานที่ออกมาก็มักมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ตรงข้ามหากเราไปบริหารที่จุดด้อยของเขา ให้งานที่เขาไม่ถนัด พยายามไปเคี่ยวเข็ญด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งจะเก่งขึ้นมาได้ อย่างนี้นอกจากจะไม่สำเร็จหรือสำเร็จอย่างเชื่องช้าแล้ว ต่างก็เครียดด้วยกันทั้งสองฝ่ายทั้งคนและองค์กร
การให้เกียรติซึ่งกันและกันก็เป็นอีกประเด็น คนที่เป็นนายก็ต้องให้เกียรติลูกน้อง พูดจาปฏิบัติหรือใช้งานอย่างสุภาพ คนเป็นลูกน้องก็ต้องให้เกียรติยกย่องนับถือผู้บังคับบัญชา รวมไปถึงการให้เกียรติเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วย
เมื่อทำการใดๆ แล้วประสบความสำเร็จก็อย่าเพิ่งดีอกดีใจง่ายๆ ต้องคิดเสมอว่าทำอย่างไรเราจึงจะทำให้ดีขึ้นกว่านี้อีกในคราวหน้า เพราะถ้าเราพอใจในความสำเร็จคราวนี้เสียแล้ว เราก็จะไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาให้มันดีขึ้นๆ ไปอีก เกิดการย่ำเท้าอยู่กับที่ เดี๋ยวเดียวคนอื่นก็เลียนแบบตามทันและแซงหน้าไปได้ในเวลาไม่นาน
ให้รักที่จะทำงานยากๆ งานที่ท้าทายความสามารถ อย่าย่อท้อ อย่าถอดใจยอมแพ้แต่ต้น เพราะงานง่ายๆ ใครก็ทำได้ แต่ถ้าเป็นงานยากหากเราทำได้สำเร็จ คนจะเลียนแบบยาก ตามทันยาก จะเป็นความสำเร็จที่อยู่กับเราไปอีกนาน
ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลาในทุกๆ ด้าน เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และปรับปรุงพัฒนาตนให้เท่าทันและอยู่ร่วมกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่ เปลี่ยนแปลงไปให้ได้ จึงจะอยู่รอดและอยู่ดี
ผมเองก็ยึดตามหลักการข้อแรกข้างต้น คือมองว่าผู้อ่านคอลัมน์ของผมทุกท่านล้วนเป็นผู้มีพระคุณ ที่พึงตอบแทน ดังนั้น เมื่อได้ฟังข้อคิดดีๆ เหล่านี้มาแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ก็เลยเอามา ”เล่าสู่กันฟัง” ใครที่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์เผื่อจะประสบความสำเร็จกับเขาบ้างก็ลองนำไป คิดดูนะครับ แต่ถ้าเห็นว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่น่าหลงเสียเวลาอ่านเลย ก็ต้องขออภัยด้วยเช่นกันครับ
บัญญัติ คำนูณวัฒน์
ที่มา: ข้อคิดดีๆจากนักธุรกิจแสนล้าน คมชัดลึกออนไลน์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2554
'
คุณครูในดวงใจ
วันที่รัฐบาลสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศเมื่อปี 2499 เป็นต้นมาว่า ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น "วันครู” โดยมีเจตนารมณ์ให้เป็นวันที่ "ลูกศิษย์” ทั้งหลาย มีโอกาสได้แสดงออกถึงความเคารพ ความรัก และระลึกถึงพระคุณของครูผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้ในทุกระดับการศึกษา
จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเรียนหนังสือ มีครูท่าน หนึ่งชื่ออาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ ทราบว่าต่อมาท่านได้รับการยกย่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้เป็นบุคคลดี เด่นของชาติ สาขาการพัฒนาสังคม เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณ เป็นราชบัณฑิต เป็นอาจารย์ที่สอนหนังสือได้เก่งมาก สอนด้วยความเมตตาต่อศิษย์ ใจเย็น นุ่มนวล รอบรู้เหมือนสารานุกรมเคลื่อนที่ วิชาที่ผมเรียนกับท่านถ้าจำไม่ผิดเป็นวิชาที่เกี่ยวกับภาษาไทย วรรณคดีไทย วรรณคดีเปรียบเทียบ อะไรทำนองนี้ ถ้าผิดพลาดก็ต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ เพราะนานมากแล้ว
มาเมื่อสองวันที่ผ่าน มีโอกาสได้อ่านบทความที่กล่าวถึงข้อคิดของท่านเกี่ยวกับเรื่องครูและคุณลักษณะของครู ก็เลยขอนำบางตอนมาสรุปใน ”เล่าสู่กันฟัง” ฉบับนี้
อาจารย์กล่าวไว้ว่าครูที่ดีควรเป็นผู้มีความรอบรู้ หมายถึงรู้และเข้าใจในวิชาต่างๆ ที่สอนเป็นอย่างดี มีความเชื่อมั่นในวิชาการ แต่ไม่หยิ่งผยอง ครูต้อง มีอารมณ์ขัน มีเทคนิคการสอนที่ช่วยให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างสนุกสนาน ต้องมีความยืดหยุ่น พร้อมแก้ไขปรับเปลี่ยน ต้องมีวิญญาณของความเป็นครู คือรักในตัวเด็กและสอนด้วยความยินดี มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความสามารถทำให้เรื่องยากเป็นเรื่องเข้าใจได้ง่าย รวบรัด ชัดเจน เต็มใจที่จะเปิดเผยวิชาความรู้อย่างเต็มที่ ไม่ขยักเอาไว้ มีความอดทนที่จะเห็นวิวัฒนาการของเด็กๆ ซึ่งบางคนอาจเป็นไปอย่างช้าๆ ทีละเล็กทีละน้อย วันต่อวัน มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความรู้ความสามารถพิเศษในหลายๆ ด้าน
เพราะครูส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมักมิได้มีความรู้เพียงด้านเดียว ครูที่ดีควรเป็นผู้แต่งกายเรียบร้อย สะอาด ไม่จำเป็นต้องเป็นเสื้อผ้าราคาแพง แต่อยู่ที่ความสะอาดเรียบร้อย มีสุขอนามัยที่ดี เพราะครูที่ มีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ จะช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียนนักศึกษาได้มากขึ้น และสุดท้ายคือการกระทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่เด็กๆ เพราะครูเป็นเสมือนต้นแบบที่สำคัญของเด็ก สิ่งที่ครูประพฤติปฏิบัติมักถูกเด็กๆ มองว่าสิ่งนั้นถูกต้องแล้ว ถ้าครูประพฤติดีเด็กก็ได้ต้นแบบที่ดี ดังนั้นการประพฤติดีของครูย่อมเปรียบเสมือนเป็นการช่วยเหลือสังคมอีกทางหนึ่งด้วย
นั่นคือครูดีในทัศนะของครูด้วยกัน แต่หากถามว่าแล้วในความคิดเห็นของเด็กๆ บ้าง ว่าครูที่ ดีในมุมมองของเด็กเป็นอย่างไรก็พบว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย จากการศึกษาของศาสตราจารย์เฉลียว บุรีภักดี ที่รวบรวมข้อมูลจากนักเรียน ผู้ปกครอง ครู ฯลฯ กว่า 7,000 คน เมื่อหลายปีก่อน พบว่าคุณสมบัติครูดีในสายตาของเด็กก็มีหลายข้อ เช่น อยากให้ครูอุทิศเวลาให้แก่นักเรียนให้มาก ไม่เจ้าอารมณ์ รู้จักยอมรับผิด มีความเมตตาปรานี เป็นมิตร จริงใจ เปิดใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน มีความยุติธรรม ไม่อาฆาตศิษย์ ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับการให้คะแนน สนใจและเข้าใจปัญหาของเด็ก เป็นต้น
“ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้ก่อประโยชน์ศึกษา...” เชื่อว่าคนที่เคยเป็นนักเรียนมาก่อนทุกคนน่าจะจำข้อความนี้ได้ และยังคงร้องได้อยู่ แม้วันเดือนปีที่ผ่านมาอาจทำให้บางคนหลงลืมข้อความบางตอนไปบ้าง แต่ก็เชื่อว่าทุกคนคงจะยังจำคุณครูของตนเองได้ อาจไม่ครบทุกคน อย่างน้อยแต่ละคนน่าจะมีครูในดวงใจ ที่ทำให้หวนนึกถึงทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังบทกลอนข้างต้น
เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณอันเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของคนดี วันครูปีนี้เรามาช่วยกันตั้งจิตอธิษฐานขอให้คุณครูผู้ มีพระคุณของแต่ละท่านมีความสุขกายสบายใจ สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ฯลฯ กันดีไหม ส่วนตัวผมเองจำเป็นต้องสนับสนุนความคิดนี้เต็มที่อยู่แล้ว เพราะคนที่บ้านก็เป็นครูเหมือนกันครับ
บัญญัติ คำนูณวัฒน์
ที่มา: คุณครูในดวงใจ คมชัดลึกออนไลน์ วันพุธที่ 12 มกราคม 2554
จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเรียนหนังสือ มีครูท่าน หนึ่งชื่ออาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ ทราบว่าต่อมาท่านได้รับการยกย่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้เป็นบุคคลดี เด่นของชาติ สาขาการพัฒนาสังคม เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณ เป็นราชบัณฑิต เป็นอาจารย์ที่สอนหนังสือได้เก่งมาก สอนด้วยความเมตตาต่อศิษย์ ใจเย็น นุ่มนวล รอบรู้เหมือนสารานุกรมเคลื่อนที่ วิชาที่ผมเรียนกับท่านถ้าจำไม่ผิดเป็นวิชาที่เกี่ยวกับภาษาไทย วรรณคดีไทย วรรณคดีเปรียบเทียบ อะไรทำนองนี้ ถ้าผิดพลาดก็ต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ เพราะนานมากแล้ว
มาเมื่อสองวันที่ผ่าน มีโอกาสได้อ่านบทความที่กล่าวถึงข้อคิดของท่านเกี่ยวกับเรื่องครูและคุณลักษณะของครู ก็เลยขอนำบางตอนมาสรุปใน ”เล่าสู่กันฟัง” ฉบับนี้
อาจารย์กล่าวไว้ว่าครูที่ดีควรเป็นผู้มีความรอบรู้ หมายถึงรู้และเข้าใจในวิชาต่างๆ ที่สอนเป็นอย่างดี มีความเชื่อมั่นในวิชาการ แต่ไม่หยิ่งผยอง ครูต้อง มีอารมณ์ขัน มีเทคนิคการสอนที่ช่วยให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างสนุกสนาน ต้องมีความยืดหยุ่น พร้อมแก้ไขปรับเปลี่ยน ต้องมีวิญญาณของความเป็นครู คือรักในตัวเด็กและสอนด้วยความยินดี มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความสามารถทำให้เรื่องยากเป็นเรื่องเข้าใจได้ง่าย รวบรัด ชัดเจน เต็มใจที่จะเปิดเผยวิชาความรู้อย่างเต็มที่ ไม่ขยักเอาไว้ มีความอดทนที่จะเห็นวิวัฒนาการของเด็กๆ ซึ่งบางคนอาจเป็นไปอย่างช้าๆ ทีละเล็กทีละน้อย วันต่อวัน มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความรู้ความสามารถพิเศษในหลายๆ ด้าน
เพราะครูส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมักมิได้มีความรู้เพียงด้านเดียว ครูที่ดีควรเป็นผู้แต่งกายเรียบร้อย สะอาด ไม่จำเป็นต้องเป็นเสื้อผ้าราคาแพง แต่อยู่ที่ความสะอาดเรียบร้อย มีสุขอนามัยที่ดี เพราะครูที่ มีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ จะช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียนนักศึกษาได้มากขึ้น และสุดท้ายคือการกระทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่เด็กๆ เพราะครูเป็นเสมือนต้นแบบที่สำคัญของเด็ก สิ่งที่ครูประพฤติปฏิบัติมักถูกเด็กๆ มองว่าสิ่งนั้นถูกต้องแล้ว ถ้าครูประพฤติดีเด็กก็ได้ต้นแบบที่ดี ดังนั้นการประพฤติดีของครูย่อมเปรียบเสมือนเป็นการช่วยเหลือสังคมอีกทางหนึ่งด้วย
นั่นคือครูดีในทัศนะของครูด้วยกัน แต่หากถามว่าแล้วในความคิดเห็นของเด็กๆ บ้าง ว่าครูที่ ดีในมุมมองของเด็กเป็นอย่างไรก็พบว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย จากการศึกษาของศาสตราจารย์เฉลียว บุรีภักดี ที่รวบรวมข้อมูลจากนักเรียน ผู้ปกครอง ครู ฯลฯ กว่า 7,000 คน เมื่อหลายปีก่อน พบว่าคุณสมบัติครูดีในสายตาของเด็กก็มีหลายข้อ เช่น อยากให้ครูอุทิศเวลาให้แก่นักเรียนให้มาก ไม่เจ้าอารมณ์ รู้จักยอมรับผิด มีความเมตตาปรานี เป็นมิตร จริงใจ เปิดใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน มีความยุติธรรม ไม่อาฆาตศิษย์ ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับการให้คะแนน สนใจและเข้าใจปัญหาของเด็ก เป็นต้น
“ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้ก่อประโยชน์ศึกษา...” เชื่อว่าคนที่เคยเป็นนักเรียนมาก่อนทุกคนน่าจะจำข้อความนี้ได้ และยังคงร้องได้อยู่ แม้วันเดือนปีที่ผ่านมาอาจทำให้บางคนหลงลืมข้อความบางตอนไปบ้าง แต่ก็เชื่อว่าทุกคนคงจะยังจำคุณครูของตนเองได้ อาจไม่ครบทุกคน อย่างน้อยแต่ละคนน่าจะมีครูในดวงใจ ที่ทำให้หวนนึกถึงทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังบทกลอนข้างต้น
เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณอันเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของคนดี วันครูปีนี้เรามาช่วยกันตั้งจิตอธิษฐานขอให้คุณครูผู้ มีพระคุณของแต่ละท่านมีความสุขกายสบายใจ สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ฯลฯ กันดีไหม ส่วนตัวผมเองจำเป็นต้องสนับสนุนความคิดนี้เต็มที่อยู่แล้ว เพราะคนที่บ้านก็เป็นครูเหมือนกันครับ
บัญญัติ คำนูณวัฒน์
ที่มา: คุณครูในดวงใจ คมชัดลึกออนไลน์ วันพุธที่ 12 มกราคม 2554
ชะตาฟ้า ชะตามนุษย์ ชะตาดิน ในปี 54
คมชัดลึก : เขียนแต่เรื่องวิทยาศาสตร์ ไฮเทคโนโลยี หลักการ ทฤษฎี ฯลฯ มามากแล้ว วันนี้อยากจะพูดถึงเรื่องเหนือธรรมชาติดูบ้าง แต่เป็นเรื่องที่เชื่อว่าน่าสนใจยิ่งและไม่ควรลบหลู่ดูแคลน และมีบางท่านก็เรียกสิ่งนี้ว่า ซูเปอร์ไฮเทค ด้วยซ้ำ
คืออย่างนี้ครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีโอกาสได้ไปฟังท่านซินแส ธวัชพงศ์ ธนิตลิมปะพงศ์ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะนักธุรกิจใหญ่ๆ ชั้นแนวหน้าของประเทศบรรยายให้ฟังว่า ในปี 2554 นี้ ทำอย่างไรจึงจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายไปได้และประสบความสำเร็จในที่สุด โดยท่านเริ่มว่าความสำเร็จในชีวิตคนเรานั้นมีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 ประการ
ประการแรกคือ ชะตาฟ้า ได้แก่ วันเดือนปีเกิดของเรา ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วโดยฟ้าลิขิต ชะตานี้จะมีผลต่อชีวิตเรา ร้อยละ 25 ประการที่สองคือ ชะตามนุษย์ ได้แก่ ความรู้ ความสามารถของเรา สติปัญญาของเรา รวมไปถึงโหงวเฮ้ง รูปร่าง หน้าตา มีผลต่อชีวิตเราร้อยละ 35 ประการที่สามคือ ชะตาดิน ได้แก่ บริเวณ ทิศที่ตั้งของที่อยู่อาศัย การนอน การนั่งทำงาน มีผลต่อชีวิตเรา ร้อยละ 40
ท่านบอกว่า ในปีกระต่ายนี้ ผู้ที่มีชะตาฟ้าคือ ปีเกิด เป็นปีระกา ปีเถาะ ปีมะเมีย และปีชวด จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการเปลี่ยนแปลงของปี ซึ่งวิธีแก้สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น การไหว้พระ ทำบุญ ส่วนผู้ที่มีเดือนเกิดที่จะได้รับผลกระทบคือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม วิธีแก้ก็มีตั้งแต่การย้ายที่นอน ย้ายเตียง ย้ายบ้าน หรือการเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล เป็นต้น
นอกเหนือจากเรื่องของบุคคลแล้ว ท่านยังได้คาดการณ์ไปถึงเรื่องราวของประเทศและโลกด้วยว่า ในปีนี้ประเทศไทยของเราจะมีค่าเงินที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาด้านคอรัปชั่นโกงกินยังคงอยู่ แต่ข้าราชการและนักการเมืองที่ทุจริตจะถูกเปิดโปงและถูกปลด การท่องเที่ยวยังคงซบเซา แต่คนไทยจะเที่ยวกันเองมากขึ้น อาจมีตึกถล่มหรือไฟไหม้อาคารสูง เกิดโรคระบาดใหม่ๆ กฎหมายไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์ ปลายปีน้ำจะท่วมหนักอีก
เรื่องของชะตาดิน ซึ่งเป็นเรื่องของฮวงจุ้ย และทิศ ก็มีความหมายต่างๆ กันไปในแต่ละปี เพราะมีการโยกย้ายพลังทำให้อาจเกิดผลดีที่เป็นมงคล หรือผลร้ายก็ได้ หนักบ้าง เบาบ้าง ขึ้นอยู่กับว่า หน้าบ้านและประตูบ้านของคุณตรงกับทิศใด โดยซินแสท่านนี้บอกว่า ในปี 2554 นี้ บ้านที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นทิศมงคล จะมีเรื่องดีๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนการศึกษาของลูกหลาน คนในบ้านได้รับการยกย่อง หันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ การเงินจะราบรื่น ธุรกิจเจริญก้าวหน้า ได้มาทั้งทรัพย์สิน ที่ดิน รถยนต์ และโชคลาภ หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะเกิดการปรับปรุง การขยายงาน บุตรหลานสอบเข้าเรียนได้ เช่นเดียวกับบ้านที่หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่เจ้าบ้านจะได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนยศ การเงินมั่นคง เกิดความกระตือรือร้น คล่องตัว
ส่วนบ้านที่หันไปทางทิศที่เหลือจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ยกเว้นทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศกลางๆ ไม่ได้รับผลกระทบทั้งดีและไม่ดี กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่หันหน้าไปทางทิศเหนือที่อาจเกิดความขัดแย้ง เกิดปัญหาเกี่ยวกับบ้านที่ดิน การเจ็บป่วยเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ระบบเลือด หรือทิศใต้ที่อาจมีการทะเลาะวิวาท มีความขัดแย้งภายในบ้าน จิตใจร้อนรน เกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ โดยเฉพาะบ้านที่หันไปทางทิศตะวันตกจะเกิดอุปสรรคมากกว่าทุกทิศในหลายๆ ด้าน เรียกว่าเป็นทิศที่ไม่ดีที่สุดของปีนี้
ในการบรรยายซินแสท่านไม่ได้บอกเฉพาะว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่บอกหนทางป้องกัน แก้ไข หรือปรับเปลี่ยนเหตุการณ์เหล่านั้น ที่ดีจะให้ดีขึ้น หรือที่ไม่ดีจะให้รอดพ้น ได้อย่างไร เอาไว้ด้วย แต่ผมไม่ได้จดมา จำได้แต่เพียงว่า ข้อแนะนำที่กลางๆ ที่สุดและสามารถปฏิบัติได้ทุกคนก็คือ ให้ทำบุญทำทานเยอะๆ ยึดมั่นในคุณธรรม กระทำความดีเป็นนิตย์ ก็จะช่วยให้ชีวิตราบรื่นได้ จำมาเล่าสู่กันฟังได้แค่นี้สำหรับเปิดศักราชใหม่ 2554 ครับ
บัญญัติ คำนูณวัฒน์
ที่มา: ชะตาฟ้า ชะตามนุษย์ ชะตาดิน ในปี 54 คมชัดลึกออนไลน์ วันพุธที่ 5 มกราคม 2554
คืออย่างนี้ครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีโอกาสได้ไปฟังท่านซินแส ธวัชพงศ์ ธนิตลิมปะพงศ์ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะนักธุรกิจใหญ่ๆ ชั้นแนวหน้าของประเทศบรรยายให้ฟังว่า ในปี 2554 นี้ ทำอย่างไรจึงจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายไปได้และประสบความสำเร็จในที่สุด โดยท่านเริ่มว่าความสำเร็จในชีวิตคนเรานั้นมีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 ประการ
ประการแรกคือ ชะตาฟ้า ได้แก่ วันเดือนปีเกิดของเรา ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วโดยฟ้าลิขิต ชะตานี้จะมีผลต่อชีวิตเรา ร้อยละ 25 ประการที่สองคือ ชะตามนุษย์ ได้แก่ ความรู้ ความสามารถของเรา สติปัญญาของเรา รวมไปถึงโหงวเฮ้ง รูปร่าง หน้าตา มีผลต่อชีวิตเราร้อยละ 35 ประการที่สามคือ ชะตาดิน ได้แก่ บริเวณ ทิศที่ตั้งของที่อยู่อาศัย การนอน การนั่งทำงาน มีผลต่อชีวิตเรา ร้อยละ 40
ท่านบอกว่า ในปีกระต่ายนี้ ผู้ที่มีชะตาฟ้าคือ ปีเกิด เป็นปีระกา ปีเถาะ ปีมะเมีย และปีชวด จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการเปลี่ยนแปลงของปี ซึ่งวิธีแก้สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น การไหว้พระ ทำบุญ ส่วนผู้ที่มีเดือนเกิดที่จะได้รับผลกระทบคือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม วิธีแก้ก็มีตั้งแต่การย้ายที่นอน ย้ายเตียง ย้ายบ้าน หรือการเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล เป็นต้น
นอกเหนือจากเรื่องของบุคคลแล้ว ท่านยังได้คาดการณ์ไปถึงเรื่องราวของประเทศและโลกด้วยว่า ในปีนี้ประเทศไทยของเราจะมีค่าเงินที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาด้านคอรัปชั่นโกงกินยังคงอยู่ แต่ข้าราชการและนักการเมืองที่ทุจริตจะถูกเปิดโปงและถูกปลด การท่องเที่ยวยังคงซบเซา แต่คนไทยจะเที่ยวกันเองมากขึ้น อาจมีตึกถล่มหรือไฟไหม้อาคารสูง เกิดโรคระบาดใหม่ๆ กฎหมายไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์ ปลายปีน้ำจะท่วมหนักอีก
เรื่องของชะตาดิน ซึ่งเป็นเรื่องของฮวงจุ้ย และทิศ ก็มีความหมายต่างๆ กันไปในแต่ละปี เพราะมีการโยกย้ายพลังทำให้อาจเกิดผลดีที่เป็นมงคล หรือผลร้ายก็ได้ หนักบ้าง เบาบ้าง ขึ้นอยู่กับว่า หน้าบ้านและประตูบ้านของคุณตรงกับทิศใด โดยซินแสท่านนี้บอกว่า ในปี 2554 นี้ บ้านที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นทิศมงคล จะมีเรื่องดีๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนการศึกษาของลูกหลาน คนในบ้านได้รับการยกย่อง หันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ การเงินจะราบรื่น ธุรกิจเจริญก้าวหน้า ได้มาทั้งทรัพย์สิน ที่ดิน รถยนต์ และโชคลาภ หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะเกิดการปรับปรุง การขยายงาน บุตรหลานสอบเข้าเรียนได้ เช่นเดียวกับบ้านที่หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่เจ้าบ้านจะได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนยศ การเงินมั่นคง เกิดความกระตือรือร้น คล่องตัว
ส่วนบ้านที่หันไปทางทิศที่เหลือจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ยกเว้นทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศกลางๆ ไม่ได้รับผลกระทบทั้งดีและไม่ดี กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่หันหน้าไปทางทิศเหนือที่อาจเกิดความขัดแย้ง เกิดปัญหาเกี่ยวกับบ้านที่ดิน การเจ็บป่วยเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ระบบเลือด หรือทิศใต้ที่อาจมีการทะเลาะวิวาท มีความขัดแย้งภายในบ้าน จิตใจร้อนรน เกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ โดยเฉพาะบ้านที่หันไปทางทิศตะวันตกจะเกิดอุปสรรคมากกว่าทุกทิศในหลายๆ ด้าน เรียกว่าเป็นทิศที่ไม่ดีที่สุดของปีนี้
ในการบรรยายซินแสท่านไม่ได้บอกเฉพาะว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่บอกหนทางป้องกัน แก้ไข หรือปรับเปลี่ยนเหตุการณ์เหล่านั้น ที่ดีจะให้ดีขึ้น หรือที่ไม่ดีจะให้รอดพ้น ได้อย่างไร เอาไว้ด้วย แต่ผมไม่ได้จดมา จำได้แต่เพียงว่า ข้อแนะนำที่กลางๆ ที่สุดและสามารถปฏิบัติได้ทุกคนก็คือ ให้ทำบุญทำทานเยอะๆ ยึดมั่นในคุณธรรม กระทำความดีเป็นนิตย์ ก็จะช่วยให้ชีวิตราบรื่นได้ จำมาเล่าสู่กันฟังได้แค่นี้สำหรับเปิดศักราชใหม่ 2554 ครับ
บัญญัติ คำนูณวัฒน์
ที่มา: ชะตาฟ้า ชะตามนุษย์ ชะตาดิน ในปี 54 คมชัดลึกออนไลน์ วันพุธที่ 5 มกราคม 2554
ทำไมเขาถึงอายุยืนกันทั้งอำเภอ
คมชัดลึก : วันก่อนแวะไปเยี่ยมเยือนหน่วยงานที่ชื่อว่า “อาศรมสยาม จีนวิทยา” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เปรียบเสมือนแหล่งรวบรวมภูมิปัญญาความรู้และผู้ชำนาญการ เรื่องเผ่าพันธุ์และผู้คนในสยามประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน
เรื่องราวของผู้คนในอำเภอ ”ปาหม่า” ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบแอ่งกระทะเขตปกครองตนเองกวางสี และที่ราบสูงยูนนาน เป็นแหล่งรวมของชนเผ่ากว่า 12 ชนเผ่าในประเทศจีน ประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ ผู้คนในพื้นที่แห่งนี้ล้วนมีอายุยืนกันทั้งอำเภอ ติดอันดับหนึ่งในห้าของพื้นที่ที่มีผู้คนอายุยืนที่สุดในโลก แถมปริมาณผู้มีอายุยืนก็เพิ่มมากขึ้นทุกปีและอย่างต่อเนื่อง
ที่ว่าอายุยืนน่ะเอาอะไรมาวัด? คืออย่างนี้ครับ เขามีการกำหนดมาตรฐานเอาไว้ว่าถ้าจะยกให้พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ของผู้มีอายุ ยืนติดอันดับละก้อ พื้นที่นั้นจะต้องมีคนอายุมากกว่า 100 ปีเกิน 7 คนต่อพลเมือง 1 แสนคน แต่ปรากฏว่าในจำนวนพลเมืองทั้งหมดของอำเภอนี้ มีอยู่ราวๆ 2.5 แสนคน มีคนอายุเกิน 100 ปีอยู่ถึง 76 คน มากกว่ามาตรฐานถึง 5 เท่า แค่นั้นยังไม่พอ เพราะในประวัติศาสตร์ของจีนในยุคราชวงศ์ชิงยังบันทึกเอาไว้ว่ามีผู้เฒ่าแห่ง อำเภอปาหม่านามว่า หลันเสียง มีอายุยืนนานถึง 142 ปี
เรื่องนี้มีผู้คนสนใจกันมากก็เลยมีการเข้าไปศึกษาว่าอะไรคือปัจจัยที่ เป็นยาอายุวัฒนะกันแน่ ผลที่ออกมาพบว่าน่าจะมีหลายสาเหตุ เรื่องแรกเลยคืออากาศ พบว่าอากาศของพื้นที่บริเวณนี้มีออกซิเจนอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับการดำรง ชีวิตมาก ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของปาหม่าปกคลุมด้วยป่าไม้ที่หนาทึบ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลเกือบ 800 เมตร จึงมีอากาศบริสุทธิ์ ปลอดโปร่ง ผู้คนที่อาศัยก็กระปรี้กระเปร่า สดชื่น บรรดานักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปเยือนก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ทั้งที่ต้องเดินขึ้นเขาไปถึงสองร้อยเมตร นอกจากนั้น ยังพบว่าคนในอำเภอนี้แทบจะไม่มีใครเป็นโรคเบาหวาน โรคเกาต์ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน
ชนชาวปาหม่าส่วนใหญ่ดื่มน้ำแร่จากภูเขา ใสสะอาด ปราศจากมลพิษ และอุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิด มีกรดอะมิโนและกากใยอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายสูงมาก มีนักวิจัยรุ่นใหม่พยายามเข้าไปนำน้ำจากบริเวณนี้มาศึกษาก็พบว่าเหมาะแก่การ นำมาเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพอย่างมาก เพราะบริสุทธิ์ ไม่มีสารอินทรีย์ ไม่มีโลหะ ไม่มีจุลินทรีย์เจือปน แถมมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดเป็นด่างในโลหิตของ คน
ชาวปาหม่าทุกเพศทุกวัยนิยมแก้ผ้าลงไปอาบน้ำในแม่น้ำผานหยาง แม่น้ำสายหลักของอำเภอ ตามครรลองวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมาจากบรรพชนของพวกเขา ปรากฏว่าแม่น้ำสายนี้เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุนานาชนิด เพราะไหลผ่านธารหินงอกหินย้อยใต้พิภพถึง 4 ช่วง น้ำจึงใสสะอาดจนมองเห็นพื้นทรายใต้ท้องน้ำสีเขียวมรกต อุณหภูมิเฉลี่ยราวๆ 17-18 องศา การได้แก้ผ้าอาบน้ำในแม่น้ำที่มีคุณสมบัติที่ว่านี้เป็นเวลานานๆ ได้ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้ดี และแร่ธาตุต่างๆ ทำให้ผิวพรรณของชาวปาหม่าอ่อนละมุน เป็นมันสวย
อาหารที่กินก็มีส่วนอย่างมากเช่นกัน ชาวปาหม่านิยมกินอาหารจำพวกข้าวโพดและมันเทศที่อุดมไปด้วยจุลธาตุ งาดำซึ่งมีกรดไขมันต่ำแบบไม่อิ่มตัว ฟัก หน่อไม้ ชาน้ำมัน บ๊วย ฯลฯ
ประเด็นสุดท้ายที่ได้จากการศึกษา ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะมีผลต่อการมีอายุยืนด้อยไปกว่าปัจจัยอื่นๆ ก็คือ พบว่าชาวปาหม่าส่วนใหญ่เป็นคนมองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอารมณ์ขันเป็นนิสัย และไม่ปล่อยเวลาให้ว่างๆ โดยไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าจะอายุสักเท่าไหร่ก็ตาม
เห็นได้ว่า การมีอายุยืนนานได้ไม่ใช่เป็นเพราะโชคชะตา แต่ต้องได้มาด้วยการประพฤติปฏิบัติ การดำรงชีพ ถิ่นที่อยู่และสภาพแวดล้อม แม้โอกาสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่หลายอย่างเราสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเลย โดยเฉพาะประเด็นสุดท้ายคือการมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่วันๆ คิดแต่จะทะเลาะเบาะแว้ง จ้องแต่จะคดโกง มุ่งแต่จะรบทัพจับศึก ซึ่งล้วนเป็นหนทางไปสู่การมีอายุสั้นทั้งสิ้น
บัญญัติ คำนูณวัฒน์
ที่มา: ทำไมเขาถึงอายุยืนกันทั้งอำเภอ หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ออนไลน์ วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
เรื่องราวของผู้คนในอำเภอ ”ปาหม่า” ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบแอ่งกระทะเขตปกครองตนเองกวางสี และที่ราบสูงยูนนาน เป็นแหล่งรวมของชนเผ่ากว่า 12 ชนเผ่าในประเทศจีน ประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ ผู้คนในพื้นที่แห่งนี้ล้วนมีอายุยืนกันทั้งอำเภอ ติดอันดับหนึ่งในห้าของพื้นที่ที่มีผู้คนอายุยืนที่สุดในโลก แถมปริมาณผู้มีอายุยืนก็เพิ่มมากขึ้นทุกปีและอย่างต่อเนื่อง
ที่ว่าอายุยืนน่ะเอาอะไรมาวัด? คืออย่างนี้ครับ เขามีการกำหนดมาตรฐานเอาไว้ว่าถ้าจะยกให้พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ของผู้มีอายุ ยืนติดอันดับละก้อ พื้นที่นั้นจะต้องมีคนอายุมากกว่า 100 ปีเกิน 7 คนต่อพลเมือง 1 แสนคน แต่ปรากฏว่าในจำนวนพลเมืองทั้งหมดของอำเภอนี้ มีอยู่ราวๆ 2.5 แสนคน มีคนอายุเกิน 100 ปีอยู่ถึง 76 คน มากกว่ามาตรฐานถึง 5 เท่า แค่นั้นยังไม่พอ เพราะในประวัติศาสตร์ของจีนในยุคราชวงศ์ชิงยังบันทึกเอาไว้ว่ามีผู้เฒ่าแห่ง อำเภอปาหม่านามว่า หลันเสียง มีอายุยืนนานถึง 142 ปี
เรื่องนี้มีผู้คนสนใจกันมากก็เลยมีการเข้าไปศึกษาว่าอะไรคือปัจจัยที่ เป็นยาอายุวัฒนะกันแน่ ผลที่ออกมาพบว่าน่าจะมีหลายสาเหตุ เรื่องแรกเลยคืออากาศ พบว่าอากาศของพื้นที่บริเวณนี้มีออกซิเจนอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับการดำรง ชีวิตมาก ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของปาหม่าปกคลุมด้วยป่าไม้ที่หนาทึบ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลเกือบ 800 เมตร จึงมีอากาศบริสุทธิ์ ปลอดโปร่ง ผู้คนที่อาศัยก็กระปรี้กระเปร่า สดชื่น บรรดานักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปเยือนก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ทั้งที่ต้องเดินขึ้นเขาไปถึงสองร้อยเมตร นอกจากนั้น ยังพบว่าคนในอำเภอนี้แทบจะไม่มีใครเป็นโรคเบาหวาน โรคเกาต์ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน
ชนชาวปาหม่าส่วนใหญ่ดื่มน้ำแร่จากภูเขา ใสสะอาด ปราศจากมลพิษ และอุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิด มีกรดอะมิโนและกากใยอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายสูงมาก มีนักวิจัยรุ่นใหม่พยายามเข้าไปนำน้ำจากบริเวณนี้มาศึกษาก็พบว่าเหมาะแก่การ นำมาเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพอย่างมาก เพราะบริสุทธิ์ ไม่มีสารอินทรีย์ ไม่มีโลหะ ไม่มีจุลินทรีย์เจือปน แถมมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดเป็นด่างในโลหิตของ คน
ชาวปาหม่าทุกเพศทุกวัยนิยมแก้ผ้าลงไปอาบน้ำในแม่น้ำผานหยาง แม่น้ำสายหลักของอำเภอ ตามครรลองวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมาจากบรรพชนของพวกเขา ปรากฏว่าแม่น้ำสายนี้เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุนานาชนิด เพราะไหลผ่านธารหินงอกหินย้อยใต้พิภพถึง 4 ช่วง น้ำจึงใสสะอาดจนมองเห็นพื้นทรายใต้ท้องน้ำสีเขียวมรกต อุณหภูมิเฉลี่ยราวๆ 17-18 องศา การได้แก้ผ้าอาบน้ำในแม่น้ำที่มีคุณสมบัติที่ว่านี้เป็นเวลานานๆ ได้ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้ดี และแร่ธาตุต่างๆ ทำให้ผิวพรรณของชาวปาหม่าอ่อนละมุน เป็นมันสวย
อาหารที่กินก็มีส่วนอย่างมากเช่นกัน ชาวปาหม่านิยมกินอาหารจำพวกข้าวโพดและมันเทศที่อุดมไปด้วยจุลธาตุ งาดำซึ่งมีกรดไขมันต่ำแบบไม่อิ่มตัว ฟัก หน่อไม้ ชาน้ำมัน บ๊วย ฯลฯ
ประเด็นสุดท้ายที่ได้จากการศึกษา ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะมีผลต่อการมีอายุยืนด้อยไปกว่าปัจจัยอื่นๆ ก็คือ พบว่าชาวปาหม่าส่วนใหญ่เป็นคนมองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอารมณ์ขันเป็นนิสัย และไม่ปล่อยเวลาให้ว่างๆ โดยไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าจะอายุสักเท่าไหร่ก็ตาม
เห็นได้ว่า การมีอายุยืนนานได้ไม่ใช่เป็นเพราะโชคชะตา แต่ต้องได้มาด้วยการประพฤติปฏิบัติ การดำรงชีพ ถิ่นที่อยู่และสภาพแวดล้อม แม้โอกาสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่หลายอย่างเราสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเลย โดยเฉพาะประเด็นสุดท้ายคือการมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่วันๆ คิดแต่จะทะเลาะเบาะแว้ง จ้องแต่จะคดโกง มุ่งแต่จะรบทัพจับศึก ซึ่งล้วนเป็นหนทางไปสู่การมีอายุสั้นทั้งสิ้น
บัญญัติ คำนูณวัฒน์
ที่มา: ทำไมเขาถึงอายุยืนกันทั้งอำเภอ หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ออนไลน์ วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
Wednesday, February 2, 2011
เปิดบ้านอาชีวะเรียนฟรีมีเงินใช้ได้งานทำ
คมชัดลึก : การเรียนอาชีวศึกษาเป็นการเรียนการสอนวิชาชีพในกลุ่มธุรกิจบริการ ในประเภทวิชาคหกรรม พณิชยกรรมหรือบริหารธุรกิจ และศิลปกรรม ซึ่งขณะนี้มีความต้องการกำลังคน ในระหว่างปี 2553-2557 ถึง 1.7 ล้านคน หรือเฉลี่ย 3.4 แสนคนต่อปี และเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการสูงสุด จากกลุ่มอาชีพอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม ในขณะที่ปริมาณผู้เรียนในสายอาชีวศึกษามีแนวโน้มลดลงและยังไม่เพียงพอต่อ ความต้องการของสถานประกอบการทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรและบริการ
ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า เป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษา ในทศวรรษที่สองไว้ชัดเจนมุ่งเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษา : สายสามัญจาก 70 : 30 เป็น 60 : 40 ให้ได้ภายในปี 2561 โดยเน้นกิจกรรมเชิงรุก เปิดบ้านอาชีวะ “เรียนอาชีวะดี เรียนฟรี มีเงินใช้ ได้งานทำ” ในระหว่างวันที่ 26-29 มกราคม 2554 ณ เวทีกลางแจ้ง วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย การจัดกิจกรรมครั้งนี้เน้นการแสดงศักยภาพทางการเรียนการสอนในสาขาวิชาต่างๆ ในรูปแบบ "เปิดบ้านประกอบนิทรรศการมีชีวิต" (Open House and Life Exhibition) เพื่อสร้างแรงจูงใจและสร้างความรู้ความเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความรู้และแนะแนวการเรียนการสอนอาชีวศึกษาต่อนัก เรียนระดับ ม.3 ม.6 ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจเพื่อศึกษาต่อ และยังเป็นกิจกรรมเปิดที่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเข้ามาร่วมชมงาน ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างความเข้าใจต่อผู้ปกครองว่าการเรียนอาชีวศึกษา นั้น นอกจากบุตรหลานจะได้รับความรู้ มีทักษะวิชาชีพตามสาขาที่เลือกเรียนแล้ว จบแล้วมีงานทำแน่นอน
"นอกจาก “เรียนอาชีวะดี” แล้วยัง “เรียนฟรี” ตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาล ระหว่างเรียนก็ “มีเงินใช้” เพราะผู้เรียนสามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย และเมื่อเรียนจบแล้ว “ได้งานทำ” เพราะการเรียนสายวิชาชีพนั้นเป็นความต้องการของตลาดแรงงานจำนวนมาก เป็นกำลังคนที่มีทักษะต่อการพัฒนาประเทศ และผู้เรียนมีโอกาสพัฒนาตนเอง เพื่อความก้าวหน้าในสายงานอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสายงาน หรือสายการเรียนภายหลังจบการศึกษา"
เกษริน ปานกล่ำ หรือ น้องเกษ นักศึกษาสาขาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี เล่าว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่มองว่า การเรียนสายอาชีวศึกษา เมื่อจบออกไปแล้ว อาชีพการงานไม่มีความมั่นคง จึงเลือกให้บุตรหลานจบปริญญามากกว่า แท้จริงแล้วการเรียนอาชีวะก็ มีงานทำที่มั่นคงได้ อีกทั้งยังสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว และในขณะที่เรียนมีรายได้เสริมจากการขายงานฝีมือ อาทิ ชุดวิวาห์ กล่องใส่กระดาษชำระ กระเป๋าอเนกประสงค์ หมอน เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ล้วนเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวลงได้
"การเรียนการสอนของสายอาชีวะจะ เป็นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีและปฏิบัติเข้าด้วยกัน แต่จะเน้นทางปฏิบัติ เพื่อฝึกให้นักศึกษาได้คิดเป็น ทำเป็น และขายเป็น" น้องเกษ กล่าว
เช่นเดียวกับ ธวัชชัย ฟองเกตุ หรือ น้องวิว นักศึกษาสาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เล่าว่า ถึงแม้อาชีวะจะ ประสบปัญหาของกลุ่มนักเรียนทะเลาะวิวาท การใช้ความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสถาบัน อย่างไรก็ตามอาชีวศึกษาก็เป็นอีกสถาบันหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการ ช่วยขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าพัฒนา ทั้งด้านตลาดแรงงาน ด้านการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ
"ตอนนี้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการทำเบเกอรี่เป็นอย่างมาก เพราะที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง มีการจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพ คณาจารย์ให้การดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นกันเอง สอนจนกว่านักศึกษาจะทำได้และเข้าใจในบทเรียน และยังได้ลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน" น้องวิว กล่าว
จุฑามาศ กรีพจนีย์ ศิษย์เก่าวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ หนึ่งในผู้ประสบความสำเร็จด้านอาชีพ เล่าว่า ณ วันนี้ยังรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ว่า ที่ได้จบการศึกษาจากอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นสถาบันที่ทรงคุณค่าแห่งการผลิตบุคคลที่มีคุณภาพให้แก่สังคม จะเห็นได้จากนักศึกษาที่จบจากอาชีวศึกษาประสบผลสำเร็จในชีวิตมากมาย เช่นเดียวกับตนได้ประกอบธุรกิจส่วนตัว เปิดร้านจุฑามาศผ้าไทย ซึ่งได้นำความรู้ที่ได้จากการเรียนที่อาชีวศึกษา จากอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ จากความตั้งใจทำสิ่งที่ตนเองรัก ทำให้ก้าวเข้าสู่เส้นชัยมาถึงทุกวันนี้ได้ จึงอยากให้น้องๆ ที่กำลังมองหาสถานที่ศึกษาต่อ ลองมองอาชีวศึกษา รับรองว่าน้องๆจะพบกับความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน สนใจร่วมชมกิจกรรม และสมัครเรียนต่ออาชีวศึกษาได้ที่ 0-2281-5555, 0-2510-1823 หรือ www.vec.go.th
0 ขวัญเรียม แก้วสุวรรณ 0 รายงาน
ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า เป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษา ในทศวรรษที่สองไว้ชัดเจนมุ่งเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษา : สายสามัญจาก 70 : 30 เป็น 60 : 40 ให้ได้ภายในปี 2561 โดยเน้นกิจกรรมเชิงรุก เปิดบ้านอาชีวะ “เรียนอาชีวะดี เรียนฟรี มีเงินใช้ ได้งานทำ” ในระหว่างวันที่ 26-29 มกราคม 2554 ณ เวทีกลางแจ้ง วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย การจัดกิจกรรมครั้งนี้เน้นการแสดงศักยภาพทางการเรียนการสอนในสาขาวิชาต่างๆ ในรูปแบบ "เปิดบ้านประกอบนิทรรศการมีชีวิต" (Open House and Life Exhibition) เพื่อสร้างแรงจูงใจและสร้างความรู้ความเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความรู้และแนะแนวการเรียนการสอนอาชีวศึกษาต่อนัก เรียนระดับ ม.3 ม.6 ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจเพื่อศึกษาต่อ และยังเป็นกิจกรรมเปิดที่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเข้ามาร่วมชมงาน ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างความเข้าใจต่อผู้ปกครองว่าการเรียนอาชีวศึกษา นั้น นอกจากบุตรหลานจะได้รับความรู้ มีทักษะวิชาชีพตามสาขาที่เลือกเรียนแล้ว จบแล้วมีงานทำแน่นอน
"นอกจาก “เรียนอาชีวะดี” แล้วยัง “เรียนฟรี” ตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาล ระหว่างเรียนก็ “มีเงินใช้” เพราะผู้เรียนสามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย และเมื่อเรียนจบแล้ว “ได้งานทำ” เพราะการเรียนสายวิชาชีพนั้นเป็นความต้องการของตลาดแรงงานจำนวนมาก เป็นกำลังคนที่มีทักษะต่อการพัฒนาประเทศ และผู้เรียนมีโอกาสพัฒนาตนเอง เพื่อความก้าวหน้าในสายงานอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสายงาน หรือสายการเรียนภายหลังจบการศึกษา"
เกษริน ปานกล่ำ หรือ น้องเกษ นักศึกษาสาขาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี เล่าว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่มองว่า การเรียนสายอาชีวศึกษา เมื่อจบออกไปแล้ว อาชีพการงานไม่มีความมั่นคง จึงเลือกให้บุตรหลานจบปริญญามากกว่า แท้จริงแล้วการเรียนอาชีวะก็ มีงานทำที่มั่นคงได้ อีกทั้งยังสามารถประกอบธุรกิจส่วนตัว และในขณะที่เรียนมีรายได้เสริมจากการขายงานฝีมือ อาทิ ชุดวิวาห์ กล่องใส่กระดาษชำระ กระเป๋าอเนกประสงค์ หมอน เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ล้วนเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวลงได้
"การเรียนการสอนของสายอาชีวะจะ เป็นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีและปฏิบัติเข้าด้วยกัน แต่จะเน้นทางปฏิบัติ เพื่อฝึกให้นักศึกษาได้คิดเป็น ทำเป็น และขายเป็น" น้องเกษ กล่าว
เช่นเดียวกับ ธวัชชัย ฟองเกตุ หรือ น้องวิว นักศึกษาสาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เล่าว่า ถึงแม้อาชีวะจะ ประสบปัญหาของกลุ่มนักเรียนทะเลาะวิวาท การใช้ความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสถาบัน อย่างไรก็ตามอาชีวศึกษาก็เป็นอีกสถาบันหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการ ช่วยขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าพัฒนา ทั้งด้านตลาดแรงงาน ด้านการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ
"ตอนนี้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการทำเบเกอรี่เป็นอย่างมาก เพราะที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง มีการจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพ คณาจารย์ให้การดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นกันเอง สอนจนกว่านักศึกษาจะทำได้และเข้าใจในบทเรียน และยังได้ลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน" น้องวิว กล่าว
จุฑามาศ กรีพจนีย์ ศิษย์เก่าวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ หนึ่งในผู้ประสบความสำเร็จด้านอาชีพ เล่าว่า ณ วันนี้ยังรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ว่า ที่ได้จบการศึกษาจากอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นสถาบันที่ทรงคุณค่าแห่งการผลิตบุคคลที่มีคุณภาพให้แก่สังคม จะเห็นได้จากนักศึกษาที่จบจากอาชีวศึกษาประสบผลสำเร็จในชีวิตมากมาย เช่นเดียวกับตนได้ประกอบธุรกิจส่วนตัว เปิดร้านจุฑามาศผ้าไทย ซึ่งได้นำความรู้ที่ได้จากการเรียนที่อาชีวศึกษา จากอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ จากความตั้งใจทำสิ่งที่ตนเองรัก ทำให้ก้าวเข้าสู่เส้นชัยมาถึงทุกวันนี้ได้ จึงอยากให้น้องๆ ที่กำลังมองหาสถานที่ศึกษาต่อ ลองมองอาชีวศึกษา รับรองว่าน้องๆจะพบกับความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน สนใจร่วมชมกิจกรรม และสมัครเรียนต่ออาชีวศึกษาได้ที่ 0-2281-5555, 0-2510-1823 หรือ www.vec.go.th
0 ขวัญเรียม แก้วสุวรรณ 0 รายงาน
การแข่งขันร่มพยุงไข่
คมชัดลึก : วช.เชิญชวนผู้สนใจร่วมให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขัน "ร่มพยุงไข่" จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทยในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2554 หวังจุดความคิดสร้างสรรค์ไปยังการออกแบบอุปกรณ์กู้ภัยในพื้นที่เข้าถึงลำบาก
นายกฤษณ์ธวัช นพนาคีพงษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ทาง วช. ได้ริเริ่มให้มี "การแข่งขันประดิษฐ์ร่มพยุงไข่" ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2554 เป็นการแข่งขันที่แสดงออกถึงความคิดในการประดิษฐ์ ที่ต้องอาศัยความรู้ด้านวิชาการประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ ในการประดิษฐ์ร่มพยุงไข่
กิจกรรมนี้จะเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนไทยได้แสดงออกในทางที่ดี และยังเป็นประโยชน์ต่อการนำเอาผลงานที่ผ่านการคิดสร้างสรรค์ไปพัฒนาต่อยอด เป็นอุปกรณ์ช่วยแก้ปัญหาสำคัญของชาติในยามเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่การช่วยเหลือทางภาคพื้นดินเข้าถึงได้ลำบาก เช่น น้ำท่วม ถนนถูกตัดขาด แผ่นดินไหว ฯลฯ
การแข่งขันกำหนดจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ บริเวณลานจอดรถ (ด้านซ้ายมือ) ฮอลล์ 9 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี ชนะเลิศเป็นเงินรางวัล 3 หมื่นบาทพร้อมถ้วยรางวัล แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ เยาวชนระดับมัธยมศึกษา และบุคคลทั่วไป
สำหรับลักษณะของสิ่งประดิษฐ์คล้าย กับร่มชูชีพ ใช้วัสดุผ้า ไม่จำกัดขนาดตัวร่มและเป็นร่มที่ไม่มีโครง ตัวร่มผูกติดกับเชือกโดยที่ปลายเชือกมีถุงพลาสติกใสบรรจุไข่ไก่เบอร์ 1 กติกาการแข่งขัน กำหนดเป็นทีมมีสมาชิกไม่เกิน 3 คน ซึ่งจะเป็นผู้ปล่อยร่มด้วยตัวเอง แต่ละทีมสามารถโยนไข่ได้ไม่เกิน 3 ครั้ง โดยคณะกรรมการจะนับครั้งที่ได้คะแนนสูงที่สุด กำหนดระดับความสูงในการปล่อยร่มประมาณ 15 เมตร
ส่วนเกณฑ์ในการตัดสิน เป็นดังนี้ สภาพของไข่ (50 คะแนน) โดยไข่หลังจากตกลงสู่พื้น ต้องได้รับความเสียหายน้อยที่สุดหรือไม่ได้รับความเสียหาย, ความแม่นยำ (30 คะแนน) จะมีเป้าขนาด 3 x 3 เมตร แบ่งคะแนนตามระยะห่างจากจุดกึ่งกลาง, เวลาที่ใช้ในการปล่อย ( 20 คะแนน) เริ่มนับจากเวลาที่ปล่อยจนกระทั่งตกลงถึงพื้น และใช้เวลาน้อยที่สุด
=========
ข่าวนี้มาจาก คมชัดลึก วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
ความตลกของข่าวนี้ คือ เชิญชวนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 แล้วให้ไปแข่งกันใันวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ความไม่ได้ความของหน่วยงานราชการไทยเห็น ๆ กันตรงนี้
.
นายกฤษณ์ธวัช นพนาคีพงษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ทาง วช. ได้ริเริ่มให้มี "การแข่งขันประดิษฐ์ร่มพยุงไข่" ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2554 เป็นการแข่งขันที่แสดงออกถึงความคิดในการประดิษฐ์ ที่ต้องอาศัยความรู้ด้านวิชาการประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ ในการประดิษฐ์ร่มพยุงไข่
กิจกรรมนี้จะเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนไทยได้แสดงออกในทางที่ดี และยังเป็นประโยชน์ต่อการนำเอาผลงานที่ผ่านการคิดสร้างสรรค์ไปพัฒนาต่อยอด เป็นอุปกรณ์ช่วยแก้ปัญหาสำคัญของชาติในยามเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่การช่วยเหลือทางภาคพื้นดินเข้าถึงได้ลำบาก เช่น น้ำท่วม ถนนถูกตัดขาด แผ่นดินไหว ฯลฯ
การแข่งขันกำหนดจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ บริเวณลานจอดรถ (ด้านซ้ายมือ) ฮอลล์ 9 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี ชนะเลิศเป็นเงินรางวัล 3 หมื่นบาทพร้อมถ้วยรางวัล แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ เยาวชนระดับมัธยมศึกษา และบุคคลทั่วไป
สำหรับลักษณะของสิ่งประดิษฐ์คล้าย กับร่มชูชีพ ใช้วัสดุผ้า ไม่จำกัดขนาดตัวร่มและเป็นร่มที่ไม่มีโครง ตัวร่มผูกติดกับเชือกโดยที่ปลายเชือกมีถุงพลาสติกใสบรรจุไข่ไก่เบอร์ 1 กติกาการแข่งขัน กำหนดเป็นทีมมีสมาชิกไม่เกิน 3 คน ซึ่งจะเป็นผู้ปล่อยร่มด้วยตัวเอง แต่ละทีมสามารถโยนไข่ได้ไม่เกิน 3 ครั้ง โดยคณะกรรมการจะนับครั้งที่ได้คะแนนสูงที่สุด กำหนดระดับความสูงในการปล่อยร่มประมาณ 15 เมตร
ส่วนเกณฑ์ในการตัดสิน เป็นดังนี้ สภาพของไข่ (50 คะแนน) โดยไข่หลังจากตกลงสู่พื้น ต้องได้รับความเสียหายน้อยที่สุดหรือไม่ได้รับความเสียหาย, ความแม่นยำ (30 คะแนน) จะมีเป้าขนาด 3 x 3 เมตร แบ่งคะแนนตามระยะห่างจากจุดกึ่งกลาง, เวลาที่ใช้ในการปล่อย ( 20 คะแนน) เริ่มนับจากเวลาที่ปล่อยจนกระทั่งตกลงถึงพื้น และใช้เวลาน้อยที่สุด
=========
ข่าวนี้มาจาก คมชัดลึก วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
ความตลกของข่าวนี้ คือ เชิญชวนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 แล้วให้ไปแข่งกันใันวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ความไม่ได้ความของหน่วยงานราชการไทยเห็น ๆ กันตรงนี้
.
พนักงานสอบสวนกับการอำนวยความยุติธรรมในคดีจราจร
คมชัดลึก :ฆ่า กันตายบนถนน (kill on the road) ในรูปแบบของการขับรถชนกันก็ดี การขับรถชนคนก็ดี หรืออยู่ๆ ก็ขับรถชนอาคาร ชนต้นไม้ข้างทางอันเนื่องมาจากการเมา การง่วง หรือการเป็นนักขับขี่มือใหม่ หรือผู้นิยมใช้ความเร็วสูงก็ดี ทำให้ประเทศไทยมีสถิติการตายจากการเกิดอุบัติเหตุจราจรติดอันดับโลก คิดเฉลี่ยวันละ 25-30 คน
ตำรวจ คือ กลุ่มบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะของผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย นักวิชาการและนักบริหารต่างๆ มองว่า กฎหมายจราจรเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ของประชาชน ดังนั้นการที่สถิติการตายยังไม่ลดลงเท่าที่ควรเช่นนี้จึงถูกสรุป (อย่างเร็วๆ และไม่ลึกซึ้ง) ว่าเกิดขึ้นจาก “ตำรวจไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเข้มแข็ง” สำหรับดิฉันนั้นกลับตั้งคำถามว่า คนไทยและระบบสังคมวัฒนธรรมไทยรวมถึงระบบการเมือง การปกครอง และสถาบันการศึกษาต่างๆ นั้นได้สร้างความพร้อมสำหรับให้ประชาชนยอมรับการบังคับใช้กฎหมายจราจรที่เข้มงวด เข้มแข็งแล้วหรือยัง? นอกเหนือจากการ “ขอด้วยตนเอง” ยามเมื่อถูกตำรวจจับเมื่อฝ่าฝืนกฎจราจรแล้ว นั้น ประชาชนคนไทยยัง “นิยมใช้พรรคพวกเครือข่ายเข้ามาร่วมขอ” ให้ตำรวจลดหย่อนค่าปรับบ้างหรือ แม้แต่ดำเนินการบางประการเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปคดีผ่านการประนีประนอมยอมความ จะโดยยินยอมพร้อมใจหรือหยวนๆ ก็แล้วแต่อำนาจของแต่ละฝ่ายของคู่คดี “ในบางครั้งเขาขอให้เราเว้นค่าปรับนะ แต่เขาพาเราไปกินข้าวแพงกว่าค่าปรับที่เขาขอเราอีก การขอใบสั่งได้มันทำให้เขาดูมีบารมี ทำให้เขาได้คะแนนเสียงจากชาวบ้านมากขึ้น” คำบอกเล่าของนายตำรวจแสดงให้เห็นตัวอย่างของวัฒนธรรมชาวบ้านที่ยังไม่พร้อม ที่จะปฏิบัติตามกฎ กติกา เมื่อถูกตั้งคำถามว่าทำไมตำรวจต้องยอมละเว้นด้วย คำตอบที่มักจะได้รับคือ “คนที่ขอเขาก็ช่วยงานตำรวจเสมอมา บริจาคทรัพย์บ้าง ช่วยแรงบ้าง เขาก็เป็นภาคีเครือข่ายที่ดี เป็นผู้สนับสนุนงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของโรงพักที่เข้มแข็ง เขาบอกว่าเขาก็ไม่ได้ขออะไรมากก็แค่คดีจราจร ก็เท่านั้น”???
หากสังคมไทยต้องการเห็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลดน้อยลง เราต้องร่วมมือกันสร้างระบบของการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใสและเป็นธรรม ดิฉันคิดว่า ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันวางระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการ บังคับใช้กฎหมายให้ตำรวจได้ใช้เป็นเกราะในการป้องกันตัวเมื่อต้องปฏิบัติ หน้าที่อยู่ในบริบทวัฒนธรรมอุปถัมภ์และบริบทที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองและ อำนาจการปกครองในส่วนต่างๆ ยังเห็นว่าคดีจราจรเป็น เพียงแค่เรื่องเล็กๆ ที่น่าจะอุปถัมภ์กันได้ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศไทยที่ใช้ในการป้องกันและ แก้ไขอุบัติเหตุทางถนนคือ ยุทธศาสตร์ 5E ประกอบด้วย การศึกษาและการประชาสัมพันธ์ (education) วิศวกรรมจราจร (engineering) การบังคับใช้กฎหมาย (law enforcement) ข้อมูลและการประเมินผล (evaluation) และการแพทย์ฉุกเฉิน (emergency medical service) โดยจะมีภาคีเครือข่ายของแต่ละยุทธศาสตร์เข้ามาทำงานร่วมกัน สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตและทบทวนทำความเข้าใจคือ ในส่วนของของการบังคับใช้กฎหมายนั้นภาคีเครือข่ายทุกคนให้ความสำคัญและคิด ถึงเพียงบทบาทของตำรวจสายงานจราจรเท่านั้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ตำรวจสายงานจราจรจะ มีกำลังปฏิบัติกันมากเฉพาะในสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่เขตเมืองหรือเขตเทศบาล เมืองเท่านั้น และเมื่อวิเคราะห์ภารกิจที่แท้จริงของงานจร.แล้วจะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับการ อำนวยความสะดวกด้านการจราจรเป็นหลัก กับการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ขับขี่ที่ละเมิดกฎหมายจราจร และบ่อยครั้งที่พบว่าตำรวจจราจรมักจะสุ่มจับอยู่ในจุดเสี่ยงต่อการละเมิดป้ายจราจรที่เป็นมุมอับและเอื้อต่อการกระทำผิดของผู้ขับขี่มากกว่าที่จะตั้งด่านอยู่ในจุดที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง
กลุ่มตำรวจที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุโดยตรงแทบทุกกรณีโดยเฉพาะ กรณีที่เป็นอุบัติเหตุรุนแรงคือ ตำรวจสายสอบสวนหรือที่ในวงการตำรวจเรียกว่า “พนักงานสอบสวน” แต่ตำรวจกลุ่มนี้กลับไม่เคยมีพื้นที่ในการเข้ามามีส่วนร่วมในวงการปฏิบัติ การและวงการวิชาการด้านความปลอดภัยทางถนน “ชนกันกลางดึก ฝ่ายคนชนจ่าย ฝ่ายคนตายรับเงิน เอาศพกลับต่างจังหวัดไปทำพิธีเรียบร้อย ผู้กำกับยังไม่รู้เรื่องเลยว่าเมื่อคืนมีรถชนคนตายมีบ่อยไป หยั่งงี้จะไปเอาข้อมูลว่าทำไมถึงตายมีสาเหตุมาจากอะไรได้ยังไง” นายตำรวจใหญ่เล่าประสบการณ์และความสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน สอบสวนให้เห็นความสำคัญในการทำคดีอุบัติเหตุจราจร นายตำรวจใหญ่เล่าต่อว่า “บางทีชนกันแขนหัก พนักงานสอบสวนทำสำนวนว่าขับรถประมาทปรับ 400 ก็ทั้งคู่พอใจตามนิยามไงความยุติธรรมอยู่ที่ความพอใจเพราะฉะนั้นเรื่องนี้ กลายเป็นไม่มีผู้บาดเจ็บแต่จริงๆ มันมี นี่ไงข้อมูลเกี่ยวกับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ขาดหายไป” “หรือหากรุนแรงกว่านั้นเช่นไอ้คนผิดไม่มีประกันแต่คนถูกมีประกันก็สลับกันซะ คนถูกมากลายเป็นคนผิดทุกอย่างก็เรียบร้อยคู่กรณีพอใจทุกคนทุกฝ่ายได้เงิน เรียบร้อย” เรื่องราวมากมายสะท้อนให้เห็นความจำเป็นในการพัฒนาระบบและให้ความสำคัญกับ พนักงานสอบสวนเพื่อสร้างความยุติธรรมในคดีจราจร
“กลัวเสียรูปคดี” เหตุผลที่อาจารย์สาขาวิศวกรรมผู้ทำโครงการวิเคราะห์หาสาเหตุที่เกี่ยวข้อง กับการเกิดอุบัติเหตุได้รับจากตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน “เขาไม่ให้ข้อมูลอะไรเราเพิ่มเติมเลย เขาพูดอยู่ประเด็นเดียวกลัวเสียรูปคดี” คำพูดดังกล่าวทำให้ภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านอุบัติเหตุใช้ประสบการณ์เดิมๆ ที่ผ่านมา ด่วนสรุปอย่างเร็วๆ และผิวๆ ว่า ตำรวจไม่ให้ความร่วมมือ โดยไม่พยายามที่จะหาสาเหตุรากเหง้าที่แท้จริงว่ามีเหตุผลใดที่ซ่อนอยู่ เบื้องหลังการไม่ให้ความร่วมมือนั้น? ถึงเวลาหรือยังที่จะให้ความสำคัญกับพนักงานสอบสวนและดึงเอาพนักงานสอบสวน เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขอุบัติภัยจากถนน
ปนัดดา ชำนาญสุข
ที่มา: Kom Chad Luek คม ชัด ลึก ออนไลน์ วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
.
ตำรวจ คือ กลุ่มบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะของผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย นักวิชาการและนักบริหารต่างๆ มองว่า กฎหมายจราจรเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ของประชาชน ดังนั้นการที่สถิติการตายยังไม่ลดลงเท่าที่ควรเช่นนี้จึงถูกสรุป (อย่างเร็วๆ และไม่ลึกซึ้ง) ว่าเกิดขึ้นจาก “ตำรวจไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเข้มแข็ง” สำหรับดิฉันนั้นกลับตั้งคำถามว่า คนไทยและระบบสังคมวัฒนธรรมไทยรวมถึงระบบการเมือง การปกครอง และสถาบันการศึกษาต่างๆ นั้นได้สร้างความพร้อมสำหรับให้ประชาชนยอมรับการบังคับใช้กฎหมายจราจรที่เข้มงวด เข้มแข็งแล้วหรือยัง? นอกเหนือจากการ “ขอด้วยตนเอง” ยามเมื่อถูกตำรวจจับเมื่อฝ่าฝืนกฎจราจรแล้ว นั้น ประชาชนคนไทยยัง “นิยมใช้พรรคพวกเครือข่ายเข้ามาร่วมขอ” ให้ตำรวจลดหย่อนค่าปรับบ้างหรือ แม้แต่ดำเนินการบางประการเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปคดีผ่านการประนีประนอมยอมความ จะโดยยินยอมพร้อมใจหรือหยวนๆ ก็แล้วแต่อำนาจของแต่ละฝ่ายของคู่คดี “ในบางครั้งเขาขอให้เราเว้นค่าปรับนะ แต่เขาพาเราไปกินข้าวแพงกว่าค่าปรับที่เขาขอเราอีก การขอใบสั่งได้มันทำให้เขาดูมีบารมี ทำให้เขาได้คะแนนเสียงจากชาวบ้านมากขึ้น” คำบอกเล่าของนายตำรวจแสดงให้เห็นตัวอย่างของวัฒนธรรมชาวบ้านที่ยังไม่พร้อม ที่จะปฏิบัติตามกฎ กติกา เมื่อถูกตั้งคำถามว่าทำไมตำรวจต้องยอมละเว้นด้วย คำตอบที่มักจะได้รับคือ “คนที่ขอเขาก็ช่วยงานตำรวจเสมอมา บริจาคทรัพย์บ้าง ช่วยแรงบ้าง เขาก็เป็นภาคีเครือข่ายที่ดี เป็นผู้สนับสนุนงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของโรงพักที่เข้มแข็ง เขาบอกว่าเขาก็ไม่ได้ขออะไรมากก็แค่คดีจราจร ก็เท่านั้น”???
หากสังคมไทยต้องการเห็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลดน้อยลง เราต้องร่วมมือกันสร้างระบบของการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใสและเป็นธรรม ดิฉันคิดว่า ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันวางระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการ บังคับใช้กฎหมายให้ตำรวจได้ใช้เป็นเกราะในการป้องกันตัวเมื่อต้องปฏิบัติ หน้าที่อยู่ในบริบทวัฒนธรรมอุปถัมภ์และบริบทที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองและ อำนาจการปกครองในส่วนต่างๆ ยังเห็นว่าคดีจราจรเป็น เพียงแค่เรื่องเล็กๆ ที่น่าจะอุปถัมภ์กันได้ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศไทยที่ใช้ในการป้องกันและ แก้ไขอุบัติเหตุทางถนนคือ ยุทธศาสตร์ 5E ประกอบด้วย การศึกษาและการประชาสัมพันธ์ (education) วิศวกรรมจราจร (engineering) การบังคับใช้กฎหมาย (law enforcement) ข้อมูลและการประเมินผล (evaluation) และการแพทย์ฉุกเฉิน (emergency medical service) โดยจะมีภาคีเครือข่ายของแต่ละยุทธศาสตร์เข้ามาทำงานร่วมกัน สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตและทบทวนทำความเข้าใจคือ ในส่วนของของการบังคับใช้กฎหมายนั้นภาคีเครือข่ายทุกคนให้ความสำคัญและคิด ถึงเพียงบทบาทของตำรวจสายงานจราจรเท่านั้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ตำรวจสายงานจราจรจะ มีกำลังปฏิบัติกันมากเฉพาะในสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่เขตเมืองหรือเขตเทศบาล เมืองเท่านั้น และเมื่อวิเคราะห์ภารกิจที่แท้จริงของงานจร.แล้วจะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับการ อำนวยความสะดวกด้านการจราจรเป็นหลัก กับการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ขับขี่ที่ละเมิดกฎหมายจราจร และบ่อยครั้งที่พบว่าตำรวจจราจรมักจะสุ่มจับอยู่ในจุดเสี่ยงต่อการละเมิดป้ายจราจรที่เป็นมุมอับและเอื้อต่อการกระทำผิดของผู้ขับขี่มากกว่าที่จะตั้งด่านอยู่ในจุดที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง
กลุ่มตำรวจที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุโดยตรงแทบทุกกรณีโดยเฉพาะ กรณีที่เป็นอุบัติเหตุรุนแรงคือ ตำรวจสายสอบสวนหรือที่ในวงการตำรวจเรียกว่า “พนักงานสอบสวน” แต่ตำรวจกลุ่มนี้กลับไม่เคยมีพื้นที่ในการเข้ามามีส่วนร่วมในวงการปฏิบัติ การและวงการวิชาการด้านความปลอดภัยทางถนน “ชนกันกลางดึก ฝ่ายคนชนจ่าย ฝ่ายคนตายรับเงิน เอาศพกลับต่างจังหวัดไปทำพิธีเรียบร้อย ผู้กำกับยังไม่รู้เรื่องเลยว่าเมื่อคืนมีรถชนคนตายมีบ่อยไป หยั่งงี้จะไปเอาข้อมูลว่าทำไมถึงตายมีสาเหตุมาจากอะไรได้ยังไง” นายตำรวจใหญ่เล่าประสบการณ์และความสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน สอบสวนให้เห็นความสำคัญในการทำคดีอุบัติเหตุจราจร นายตำรวจใหญ่เล่าต่อว่า “บางทีชนกันแขนหัก พนักงานสอบสวนทำสำนวนว่าขับรถประมาทปรับ 400 ก็ทั้งคู่พอใจตามนิยามไงความยุติธรรมอยู่ที่ความพอใจเพราะฉะนั้นเรื่องนี้ กลายเป็นไม่มีผู้บาดเจ็บแต่จริงๆ มันมี นี่ไงข้อมูลเกี่ยวกับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ขาดหายไป” “หรือหากรุนแรงกว่านั้นเช่นไอ้คนผิดไม่มีประกันแต่คนถูกมีประกันก็สลับกันซะ คนถูกมากลายเป็นคนผิดทุกอย่างก็เรียบร้อยคู่กรณีพอใจทุกคนทุกฝ่ายได้เงิน เรียบร้อย” เรื่องราวมากมายสะท้อนให้เห็นความจำเป็นในการพัฒนาระบบและให้ความสำคัญกับ พนักงานสอบสวนเพื่อสร้างความยุติธรรมในคดีจราจร
“กลัวเสียรูปคดี” เหตุผลที่อาจารย์สาขาวิศวกรรมผู้ทำโครงการวิเคราะห์หาสาเหตุที่เกี่ยวข้อง กับการเกิดอุบัติเหตุได้รับจากตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน “เขาไม่ให้ข้อมูลอะไรเราเพิ่มเติมเลย เขาพูดอยู่ประเด็นเดียวกลัวเสียรูปคดี” คำพูดดังกล่าวทำให้ภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านอุบัติเหตุใช้ประสบการณ์เดิมๆ ที่ผ่านมา ด่วนสรุปอย่างเร็วๆ และผิวๆ ว่า ตำรวจไม่ให้ความร่วมมือ โดยไม่พยายามที่จะหาสาเหตุรากเหง้าที่แท้จริงว่ามีเหตุผลใดที่ซ่อนอยู่ เบื้องหลังการไม่ให้ความร่วมมือนั้น? ถึงเวลาหรือยังที่จะให้ความสำคัญกับพนักงานสอบสวนและดึงเอาพนักงานสอบสวน เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขอุบัติภัยจากถนน
ปนัดดา ชำนาญสุข
ที่มา: Kom Chad Luek คม ชัด ลึก ออนไลน์ วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
.
Subscribe to:
Posts (Atom)