Friday, December 31, 2010

สังคมอเมริกันกรณีโรคอ้วน

ฉลาดบริโภค: พลาดซ้ำของสังคมอเมริกันกรณีโรคอ้วน-ดร.วินัย ดะห์ลัน

เรื่องการก้าวพลาดกรณีส่งเสริมการบริโภคกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงยุคทศวรรษ 1970-1980 นำไปสู่ปัญหากรดไขมันโอเมก้าหกล้นและกรดไขมันทรานส์กันบ้าง น่าจะดีกว่า

เรื่องของเรื่องมาจากปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือดของคนอเมริกันหลังยุคสงคราม โลกครั้งที่สองที่พุ่งขึ้นเป็นติดจรวด สหรัฐอเมริกาเป็นสังคมของนักวิชาการต่างฝ่ายต่างก็หาสาเหตุและวิธีการแก้ไข สิ่งที่พบคือภาวะคอเลสเตอรอลสูงในเลือด มีผลทำให้หลอดเลือดตีบ นำไปสู่ปัญหาโรคหัวใจ ในที่สุดก็คร่าชีวิตคนอเมริกันล้มตายกันผล็อยๆ

เมื่อคอเลสเตอรอลสูงในเลือดเป็นสาเหตุ นักวิชาการทั้งแพทย์ ทั้งนักโภชนาการจึงแห่กันออกมาให้คำแนะนำเรื่องการลดการบริโภคคอเลสเตอรอล รวมทั้งการหาวิธีดูแลด้านโภชนาการเพื่อลดคอเลสเตอรอลในเลือดกันยกใหญ่ เป็นที่มาของกรณีการรณรงค์การบริโภคกรดไขมันโอเมก้า 6 ในยุคทศวรรษ 1970-1980 อย่างที่บอกโดยนักวิชาการพบว่า การบริโภคกรดไขมันโอเมก้า 6 ช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้

กรดไขมันโอเมก้า 6 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง กลุ่มโอเมก้า 6 มีกรดไลโนเลอิกซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างไม่ได้ต้องได้รับจาก อาหารเท่านั้นเป็นหลักนักวิชาการรู้จักกรดไขมันตัวนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1937 แล้วรู้ด้วยว่ากรดไขมันตัวนี้พบมากในน้ำมันพืชหลายชนิดแต่ขณะนั้นยังไม่รู้ ว่ามันช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ถึงรู้ก็ยังไม่ทราบว่าคอเลสเตอรอลในเลือด เป็นสาเหตุให้คนอเมริกันต้องเสียชีวิตมากมายในเวลาต่อมา

ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สาเหตุหลักที่ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตคือโรคหัวใจและหลอดเลือด นักวิชาการรู้ว่าเรื่องนี้เป็นผลมาจากการบริโภคไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอเมริกันนิยมอาหารประเภทไขมันสัตว์ ทั้งไขมันวัว ไขมันหมู เวลาทอดอาหารใช้ความร้อนสูงมากๆ ก็ต้องนำเอาไขมันสัตว์เป็นก้อนแข็งเหล่านี้มาใส่ในกระทะ ทอดด้วยความร้อนสูงๆใช้เวลานานๆ ทั้งไขมันอิ่มตัวและไขมันสัตว์เหล่านี้เองที่ก่อปัญหาทำให้ไขมันสูงในเลือด ทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ แต่ยุคแรกๆ นักวิชาการอเมริกันห่วงแต่เรื่องคอเลสเตอรอลเท่านั้น

เมื่อเปลี่ยนการบริโภคจากไขมันสัตว์มาเป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว สูงในปริมาณมากๆ อย่างเช่นน้ำมันเมล็ดทานตะวันที่มีกรดไลโนเลอิก 68% น้ำมันเมล็ดคำฝอยที่มีกรดไลโนเลอิก 78% หรือน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันข้าวโพด (59%)น้ำมันเมล็ดฝ้าย (54%) น้ำมันถั่วเหลือง(51%) น้ำมันงา (45%) เลี่ยงไขมันสัตว์อย่างไขมันวัว ไขมันหมู(10%) สิ่งที่พบคือคอเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้ ก็เท่านั้นแหละที่ทำให้สังคมอเมริกันตื่นตัวในเรื่องโภชนาการ ว่าด้วยเรื่องไขมันกันยกใหญ่

คนอเมริกันยุคทศวรรษที่ 1970 ได้รับคำแนะนำให้เพิ่มการบริโภคกรดไลโนเลอิกให้มากขึ้น เลี่ยงหรือลดไขมันอิ่มตัวอย่างเด็ดขาด สังคมอเมริกันเกิดการรณรงค์เรื่องการลดคอเลสเตอรอล ตอนนั้นนักวิชาการยังไม่เข้าใจกลไกของกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงมากนัก รู้แต่ว่าเมื่อเปลี่ยนจากการบริโภคไขมันสัตว์มาบริโภคน้ำมันพืชที่มีกรดไลโน เลอิกมากขึ้น อุบัติการณ์เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง โดยขณะนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นผลมาจากการลดไขมันสัตว์มากกว่าการเพิ่มการบริโภค น้ำมันพืช

นักวิชาการอเมริกันยุคแรกๆ แนะนำให้บริโภคน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6 ให้มากๆ ยิ่งมากก็ยิ่งดี น้ำมันพืชกลุ่มที่มีไลโนเลอิกสูงๆ ทั้งน้ำมันเมล็ดทานตะวันเมล็ดคำฝอย ข้าวโพด ถั่วเหลือง พาเหรดกันออกมายึดครองตลาดอเมริกัน และในที่สุดวิชาการแบบอเมริกันก็แพร่ออกไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ถั่วเหลืองและฝ้ายเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของสหรัฐอเมริกาโดยถั่วเหลืองมี อิทธิพลมากกว่าเนื่องจากเกษตรกรถั่วเหลืองอเมริกันรวมตัวได้เป็นกลุ่มเป็น ก้อนกว่า ให้ทุนสนับสนุนทางวิชาการได้มากกว่า ไม่นานนักอิทธิพลของถั่วเหลืองก็เพิ่มขึ้น ความรู้เรื่องข้อดีของน้ำมันถั่วเหลืองจึงมาแรงแซงน้ำมันพืชทุกชนิดไปได้หมด

คนอเมริกันได้รับการแนะนำให้บริโภคน้ำมันพืชประเภทที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก มากขึ้น ขณะที่ลดกรดไขมันอิ่มตัวไปพร้อมๆกัน ทั้งไขมันสัตว์ ทั้งน้ำมันพืชบางชนิด เช่นน้ำมันมะพร้าวและปาล์มถูกรังเกียจ สังคมอเมริกันเน้นการบริหารจัดการด้วยกฎหมายและกฎระเบียบ บรรดาสมาชิกสภาจึงมีบทบาทสูง สิ่งที่เรียกว่าการวิ่งเต้นหรือล็อบบี้เพื่อสนับสนุนกฎหมายฝ่ายที่ตนเองเห็น ด้วยกลายเป็นเรื่องปกติ คนอเมริกันรังเกียจการคอร์รัปชันในสังคมอื่น แต่กลับมองไม่เห็นว่าการล็อบบี้กับการคอร์รัปชันมันก็เรื่องเดียวกัน

ช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ต่อต้นทศวรรษ 1980 นี่เองที่เกิดสิ่งที่เรียกว่า 'สงครามน้ำมันพืช' ขึ้นระหว่างถั่วเหลืองกับปาล์มต่อเนื่องไปจนถึงยุค 1990 น้ำมันปาล์มที่มีกรดไขมันอิ่มตัวอยู่มากถึง50% มีกรดไลโนเลอิก 10%กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของนักวิชาการอเมริกัน

สิ่งที่หลายฝ่ายมองข้ามคือถั่วเหลืองเป็นพืชเศรษฐกิจของสังคมอเมริกัน ขณะที่น้ำมันปาล์มเป็นอาหารนำเข้าจากต่างประเทศ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องธุรกิจการค้ามากกว่าที่เป็นปัญหาทางวิชาการ

แต่ในที่สุดสังคมวิชาการในมหา-วิทยาลัยก็หนีอิทธิพลทางธุรกิจไปไม่พ้นจากผล ประโยชน์ทางธุรกิจแปรเปลี่ยนเป็นข้อมูลทางวิชาการเผยแพร่ออกไปทั่วโลก

ตัวผมเองเมื่อครั้งเริ่มต้นทำงานยังต้องช่วยทำโปสเตอร์ต่อต้านน้ำมันปาล์ม และมะพร้าว ส่งเสริมการบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองถึงขนาดทำแผ่นปลิวอธิบายวิธีการบริโภค น้ำมันถั่วเหลืองกันเป็นเรื่องเป็นราว ต้องใช้กี่ช้อนโต๊ะในอาหารหนึ่งมื้อ ข้อมูลวิชาการที่ระบาดมาจากสังคมอเมริกันถึงประเทศไทยโดยไม่ทันคิดว่าถั่ว เหลืองคือพืชนำเข้าขณะที่ปาล์มกับมะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจของสังคมไทยแท้ๆ ในที่สุดส่งผลให้อุตสาหกรรมปาล์มและมะพร้าวในบ้านเราแทบถึงการณ์ดับสลาย ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเข้าผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองมากที่สุดในโลก จนกระทั่งทุกวันนี้

อีกหลายปีต่อมา นักวิชาการอย่าง Laura Sims ที่ทำงานอยู่ในรัฐสภาสหรัฐนำเรื่องการล็อบบี้ในประเด็นน้ำมันถั่วเหลืองกับ น้ำมันปาล์มที่กลายเป็นสงครามน้ำมันพืชในสหรัฐอเมริกามาเปิดเผยในหนังสือของ เธอชื่อ 'การเมืองน้ำมันพืช'(Politics of Fat) กลายเป็นเรื่องฮือฮาที่ทำให้สังคมได้รับรู้ว่าการล็อบบี้ไม่ได้เกิดเฉพาะใน สภาเท่านั้น แต่เป็นล่ำเป็นสันอยู่ในแวดวงวิชาการอย่างมหาวิทยาลัยด้วย นักวิชาการรับทุนทำงานด้านวิชาการเผยแพร่ข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการ ของฝ่ายธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่ในที่สุดผลักดันสังคมให้ลื่นไถลกลายเป็นสังคมกรดไขมันโอเมก้า 6 ล้นไปในที่สุด

กว่าจะรู้ว่าก้าวพลาด เราก็เจอปัญหาโรคหัวใจไม่ลด โรคอ้วนเพิ่มขึ้นเป็นที่เรียบร้อย เรื่องอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปกล่าวโทษเอาผิดกับใครได้

ที่มา: คอลัมน์ ฉลาดบริโภค: พลาดซ้ำของสังคมอเมริกันกรณีโรคอ้วน โดย ดร.วินัย ดะห์ลัน เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 19 ฉบับที่ 962 วันที่ 5-11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 หน้า 70-71

สรุป น้ำมันถั่วเหลืองไม่ได้มีดีไปกว่าน้ำมันปาล์มเลย

Wednesday, December 29, 2010

ใช่เลย ถูกต้อง: Just about right

การจะบอกว่า ใช่ ถูกต้อง ตรงเผง นั้นสามารถพูดได้หลายวิธี ที่พูดง่าย ๆ เช่น Yes. หรือ Right นั่นถูกต้อง That's right ; That's correct ; all right ; it's correct ;

ใช่เลย หรือ ใช่อย่างตรงเผง Just right ถ้าพูดแบบเน้น ก็ Just about right.

ตรงเป๊ะ That's exactly สิ่งที่เขาทำใช่เลยตรงเป๊ะกับสิ่งที่เขาพูด He did exactly what he said.

ใช่แน่นอน แม่นยำ ไร้ข้อผิดพลาด correct หรือ precise ถูกเลยใช่เลย That's precisely

ใช้ได้หมดเลย That's all applied

ก็เป็นงั้นแหละ Just so!

ถูกเผง สามารถใช้ สำนวน สแลง hit the spot ได้ เช่น โฆษณานี้ใช่เลย(เป็นที่พึงพอใจ)ได้รับการยอมรับจากสาธารณะชน This advertisement hits the spot with great public acceptance.

สำนวนอื่น ๆ ที่แสดงว่า ใช่เลยแบบตรงจุดตรงประเด็นถูกเผง เช่น be just the ticket, go over big, make a hit, satisfy
ใช่เลย นั่นแหละที่ต้องการ That's the ticket

เห็นด้วยว่าถูกแล้ว(เชิงยอมรับ) ใช้ agree upon, accept ประธานเห็นด้วยก้ับความคิดที่ได้เสนอมา The chairman agrees upon with the presented idea.

ถูกขา เข้าคู่ ใช้ match well หรือ accompany well

ถูกคอ ถูกเส้น ถูกอัธยาศัย ชอบพอ ใช้ get along well with, have the same taste, hit it off,

ถูกใจ ถูกอกถูกใจ ใช้ like, be to one's liking, be pleased, be content, be satisfied

ถูกย้าย(อย่างไม่เต็มใจ) shunt คำนี้ผันมาจาก สับเปลี่ยนขบวนรถ/สับระบบไฟฟ้า(เช่น สับวงจร) คำนี้อาจเป็นลักษณะ"ถูกแขวน(ตำแหน่ง)ก็ได้" He was shunted aside. คำนี้ยังสามารถใช้ในการผ่าตัดได้อีกด้วย ในลักษณะการส่งต่อหรือผันเลือด ในอังกฤษแบบอังกฤษ คำ shunt นี้ใช้ในการแสดงอุบัติเหตุที่เกิดระหว่างการแข่งรถได้ดวย

ถูกโจมตี beaten[Adj]

ถูกสาปแช่ง, เคราะห์ร้าย, น่าชิงชัง, อัปรีย์ accursed (อะเคอร์' ซิค) Adj. accursedness (n) cursed, doomed, condemned

ถูกปรามาส ถูกเหยียดหยาม ถูกด่าว่า ดูหมิ่น abusive (Adj) affront (N, Vt)

สำนวน มาถูกทางแล้ว on the right track เช่น คุณมาถูกทางแล้ว You are on the right track.

ดร.SoS

Tuesday, December 28, 2010

เก๋งแข่งนรกเสยท้ายรถตู้ 8 ศพเละ ร่วงจากโทลล์เวย์

อัดโครมเต็มแรงทางลงม.เกษตรฯผู้โดยสารกระเด็นบาดเจ็บสาหัสอีก 7

อุบัติเหตุสยองโทลล์เวย์ส่งท้ายปีเสือ สาวนามสกุลเทพหัสดิน ณ อยุธยา ซิ่งเก๋งฮอนด้า ซีวิค พุ่งชนท้ายรถตู้โดยสารที่มีคนนั่งเต็มคัน ส่งผลรถตู้ประตูฉีกหลังคาเปิด ผู้โดยสารร่วงตกลงมาตายเกลื่อนถนนวิภาวดีฯ 8 ศพ เจ็บอีก 7 ตำรวจเร่งสอบสวนหาชื่อคนตายเป็นใครบ้าง

อุบัติเหตุสยอง ส่งท้ายปีเสือครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.45 น. วันที่ 27 ธ.ค. พ.ต.ท.ฉัตรไชย เอี่ยมอ่อง พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.วิภาวดี รับแจ้งเหตุรถชนบนทางด่วนยกระดับอุตราภิมุข หรือทางด่วนโทลล์เวย์ ฝั่งขาเข้า แขวงลาดยาว เขตจตุจักร มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก โดยผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งกระเด็นตกลงมาอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

พบศพผู้เสีย ชีวิตกระจายเกลื่อนอยู่บนถนนช่องทางคู่ขนาน ตั้งแต่หน้าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ถึงประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ฝั่งขาเข้า 4 ศพ สภาพศพผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ในสภาพสยดสยอง นอกจากนี้ยังพบศพชายค้างอยู่บนสะพานลอยคนข้าม สภาพกะโหลกศีรษะเปิด เศษสมองร่วงไหลหล่นลงมาบนพื้นถนน เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้เชือกผูกไว้กันร่างไร้วิญญาณร่วงหล่นลงมา บางศพอยู่บนฟุตปาท บางศพตกอยู่ในคลองระบายน้ำ นับได้ทั้งหมด 8 ศพ เป็นชาย 4 ศพ หญิง 4 ศพ ส่วนผู้บาดเจ็บอาสาสมัครกู้ภัยและพลเมืองดีช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลวิภาวดี 7 ราย เป็นชาย 4 คน หญิง 3 คน

ส่วนจุดเกิดเหตุอยู่บนทางด่วนโทลล์เวย์ ก่อนถึงช่วงทางลงบางเขน บริเวณช่องกลางถนนพบรถฮอนด้า รุ่นซีวิค สีขาว ทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร สภาพกระโปรงหน้ารถยุบเกือบถึงคอนโซล ห่างออกไปประมาณ 10 เมตรเลนเดียวกัน พบรถตู้โดยสารยี่ห้อโตโยต้า สีเทาฟ้า ทะเบียน 13-7795 กรุงเทพมหานคร เลขข้างรถ ต-11827 วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์-รังสิต ถึงบีทีเอสจตุจักร สภาพรถทั้งหน้าหลังยับเยินเป็นเศษเหล็ก ประตูหลังและหลังคาฉีกเปิดออกมา ภายหลัง พ.ต.ท.สนอง แสงมณี สว.จร. สน.วิภาวดี ขึ้นมาอำนวยความสะดวกในที่เกิดเหตุ และลากรถทั้ง 2 คันลงไปไว้ที่ สน.วิภาวดี เพื่อรอการสอบสวน

สอบสวนเบื้องต้น รถเก๋งฮอนด้าทราบชื่อคนขับว่า น.ส.อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา ยังไม่ทราบอายุ วิ่งมาด้วยความเร็วมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ เมื่อถึงที่เกิดเหตุ หักหลบรถตู้ที่วิ่งอยู่ในเลนกลางไม่พ้น พุ่งชนเต็มแรงเสียงดังสนั่น จนรถตู้กระเด็นชนผนังคอนกรีตข้างทาง ประตูรถฉีกขาด ทำให้ผู้โดยสารกระเด็นตกลงมาเสียชีวิตสยองถึง 8 ศพ ขณะที่ น.ส.อรชร เทพหัสดินฯ บาดเจ็บสาหัส ถูกนำส่งโรงพยาบาลวิภาวดี

ที่มา: เก๋งแข่งนรกเสยท้ายรถตู้ 8 ศพเละ ร่วงจากโทลล์เวย์ ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 28 ธันวาคม 2553
-------------------

'เร็วก็ตาย ไม่เร็วตายอยู่ดี' สุดอาลัย ..จากใจโชเฟอร์รถตู้


จากเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553 กับอุบัติเหตุบนทางด่วนรถเก๋งซีวิคชนท้ายรถตู้สาย 118 ธรรมศาสตร์-จตุจักร เชื่อว่าทั้งคนทำงาน และนักศึกษาที่ใช้บริการรถตู้สายนี้ รวมถึงคนอื่นๆที่ใช้บริการรถตู้อยู่ทั่วกรุงเทพฯ คงเกิดความวิตกกังวลอยู่พอสมควร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับอุบัติเหตุรถตู้ ที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต...

ความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากเรื่องชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ภาพลักษณ์ของรถตู้ก็คงดูแย่กว่าเก่า แม้ว่าครั้งนี้รถตู้จะเป็นฝ่ายถูกชนก็ตาม และหลายชีวิตที่สูญเสียในเหตุการณ์สุดสยองเมื่อคืน คนขับรถตู้เองก็ใช่ว่าจะนิ่งเฉย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งพวกเขาเองก็บอกว่าไม่เข้าข้างใคร เพราะคนขับรถตู้ที่แย่จริงๆ ก็มี แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างที่สังคมเข้าใจ

นายพิทยา ศรีจงใจ พนักงานขับรถตู้สาย 118 เพื่อนร่วมงานของผู้ตาย เล่าว่า ในคืนวันเกิดเหตุ รถตู้ของผู้ตายเป็นคันสุดท้ายที่วิ่งออกจากวิน ซึ่งในตอนนั้นก็ยังทักทายกันอยู่ แต่พอรู้ว่าเกิดอุบัติเหตุก็ตกใจมาก ส่วนเรื่องสังคมจะมองว่ารถตู้ผิดหรือถูก ก็อยากให้แยกแยะด้วย เพราะทุกๆ คนรักชีวิตตัวเองเหมือนกัน

"เมื่อคืนวันเกิดเหตุผมออกวินพอดี ก็ยังทักกับพี่เขาเป็นปกติ ยังเห็นพี่เขากวักมือเรียกผู้โดยสารให้ขึ้นรถอยู่เลย เขาก็รีบวิ่งขึ้นรถ เพราะก็อยากกลับบ้านกัน แต่พอมาเจออุบัติเหตุผมนึกแล้วสงสารมาก ทั้งพี่คนขับและผู้โดยสาร และรถคันนี้วิ่งเป็นคันสุดท้ายแล้วด้วย ผมว่าก็ไม่น่าจะขับเร็วอะไรมากนะ เพราะไม่ต้องเอารอบเพิ่มแล้ว แทนที่จะได้กลับบ้านกัน ก็ต้องมาทิ้งชีวิตไว้บนถนนแทน"

ส่วนเรื่องว่าใครจะมองว่าคนขับรถตู้ไม่ดี นายพิทยา กล่าวว่า ก็ไม่ถูกนะ บางคนก็ขับช้า บางคนก็เร็ว คนขับทุกคนกลัวเหมือนกันหมด ก็ระมัดระวังกันที่สุดแล้ว แต่บางทีก็ต้องเข้าใจเพราะรถตู้แต่ละวินไม่เหมือนกัน

"ที่คุณเห็น บางคันปาดซ้าย ปาดขวา แย่งคน ก็เพราะเขาต้องการได้รอบเร็วๆ จะได้ถอนทุนในแต่ละวันได้ อย่างวินนี้ค่าเช่ารถวันละ 2,000 บาท ค่าแก๊สอีก 300 วิ่งได้ประมาณ 3 รอบ ซึ่งถ้าจะให้ได้ทุนคืนทั้งหมดก็ต้องวิ่งให้ได้ 8 ขา (4 รอบ) แต่พอวิ่งๆ ได้น้อยกว่านั้นมันก็ต้องเร็ว ค่าเช่าแต่ละวินจะแพงมากหรือน้อยมันขึ้นอยู่กับเส้นทาง และจำนวนลูกค้า ถ้ามากก็ค่าเช่าแพง มันก็ถึงต้องรีบทำรอบให้ได้เยอะๆไงครับ แต่สำหรับผมก็ยอมรับนะว่าขับเร็ว แต่เราก็มีสมาธิตลอด เพราะมีผู้โดยสารอีกหลายชีวิตที่เขามั่นใจในตัวเรา แต่ถ้าเป็นตอนที่ผมรถเปล่าก็ยอมรับว่าเร็วกว่าปกติครับ ซึ่งก็ต้องดูแลรถดูแลตัวเองดีๆเหมือนกัน แต่กับครั้งนี้มันสุดวิสัย เขามาข้างหลัง รถตู้ก็ควบคุมอะไรไม่ได้แล้ว"

ทางด้านเพื่อนพนักงาน ของผู้ตายอีกคนของรถตู้สาย 118 นายไพรัตน์ สายรัตน์ บอกว่า รู้สึกเสียใจเช่นกัน วันนี้ทั้งวันตั้งแต่เกิดเรื่องบรรยากาศก็เงียบเหงาเป็น 2 เท่า จากที่เงียบอยู่แล้วเพราะเป็นช่วงสิ้นปี

"เห็นเหตุการณ์มันแรงมากนะ ชนจนรถพังขนาดนั้นได้ ประตูก็ล็อคไม่อยู่หรอกครับ รู้สึกเสียใจนะ เพราะทั้งคนขับที่ตาย และผู้โดยสารก็เหมือนญาติเราทั้งนั้น คุ้นหน้ากัน เจอทุกวันครับ ผมเองก็เป็นคนขับรถก็ระวังมาตลอด ไม่อยากเกิดอุบัติเหตุอะไรเลย จะให้เลี่ยงเส้นทางก็คงไม่ได้ เพราะทางด่วนเส้นนี้เราต้องใช้วิ่งตลอด ถนนข้างล่างถ้ารีบมากๆ ก็ไปไม่ได้แล้วครับ ผู้โดยสารที่เขาขึ้นก็เพราะเราขึ้นทางด่วนด้วย คนขับอย่างพวกผมก็ต้องระวังอยู่แล้ว แต่บนทางด่วนรถมันขับเร็วทุกคันครับ"

นอก จากนี้เพื่อนร่วมอาชีพอย่างวินอื่นๆ เมื่อได้ยินข่าวกับเหตุการณ์นี้ก็รู้สึกสลดใจอย่างมาก ต่างก็บอกว่า ถึงอย่างไรทุกคนก็ยังต้องทำมาหากิน ส่วนที่สังคมยังมองภาพของรถตู้ในแง่ลบก็รู้สึกกังวล นายอู๋ หัวหน้าวินรถตู้สายจตุจักร-บางบัวทอง ซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลรถตู้ และคนขับเล่ากับ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า ยินดีถ้าทางภาครัฐจะจัดระเบียบรถตู้ ถ้าจะช่วยให้อะไรดีขึ้นกว่านี้

"ทุกวันนี้ผู้โดยสารเขาก็กลัวอยู่แล้วนะ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่มีใครอยากขึ้นรถตู้หรอก ผมเองเป็นคนคุมวินก็เข้าใจนะ เพราะก็เคยมีผู้โดยสารร้องเรียนเหมือนกันเรื่องพนักงานขับรถไม่สุภาพ เราก็ต้องว่ากล่าวตักเตือนกัน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องให้พักงานครับ แต่ทุกคนต้องทำมาหากินน่ะ ทุกอย่างพออยู่บนท้องถนนแล้ว ผมควบคุมไม่ได้หรอก และรถตู้สมัยนี้แข่งขันกันสูงมาก และไม่มีอะไรที่มาจัดระเบียบให้ชัดเจนด้วย ก็เหมือนแท็กซี่ รถเมล์ครับ มีปาดเหมือนกัน ถ้ารัฐหรือ ขสมก.ทำอะไรบ้างก็ดี แต่เท่าที่ผ่านมา 10 ปี ผมไม่เห็นจะมีอะไรเลย"

อีกหนึ่งพนักงานขับรถสายมีนบุรี-จตุจักร นายสิงห์ ช่องรัมย์ วัย 57 ปี บอกว่าการที่สังคมจะรู้สึกแย่กับคนขับรถตู้ก็ไม่แปลก เพราะมันมีจริงๆ แต่คนดีๆ ก็ยังมี ขอให้ทุกคนที่ขับรถอย่าประมาท และอย่าเอาแต่ใจตัวเอง

"ถ้ามองรวมๆ คนขับรถตู้ไม่ค่อยประมาทนะ นอกจากพวกที่ไม่รับผิดชอบจริงๆ อย่างวินผมจะเข้มงวดมาก ทำไม่ดีมีสิทธิ์ถูกไล่ออกเลย ผู้โดยสารเองถ้ารู้สึกว่าพนักงานขับรถแย่จริงๆ ก็โทรไปร้องเรียนได้ เพราะเราก็แคร์ผู้โดยสารนะครับ กลัวเขาไม่กล้านั่งเหมือนกัน จะขับรถเร็วๆ เอารอบเยอะๆ อย่างเดียวคงไม่ได้ แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา โทษรถตู้กันตลอดผมก็ไม่ค้านนะ ไม่เข้าข้างใคร เพราะบางคนมันก็ประมาทจริงๆ กำลังห้าวเลยก็มี แซงกันไปมาและเร็วด้วย ผมก็อยากฝากให้คนขับรถทุกคนอย่าประมาท ที่สำคัญอย่าเอาแต่ใจตัวเอง ใจเย็นๆ กันหน่อย เห็นใจผู้โดยสารด้วย ทุกคนก็กลัวครับ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมันแก้ไม่ได้ แล้วมันแย่นะอย่างเหตุการณ์ครั้งนี้"

ความสลดหดหู่ที่เกิดขึ้น คงไม่มีใครคาดคิดอยากให้เกิด ขณะที่บรรดาผู้ใช้บริการรถตู้โดยสารเอง เมื่อเห็นข่าวจากเหตุการณ์ครั้งนี้ต่างก็บอกว่ากลัว แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะรถตู้สาธารณะยังไงก็เป็นทางเลือกในการเดินทางที่สะดวกที่สุดแล้ว

น.ส สิโนบล สายเพ็ชร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคณะของหนึ่งในผู้เสียชีวิตด้วย บอกว่า ตัวเองนั้นต้องใช้รถตู้เป็นประจำ ซึ่งพอเกิดเหตุการณ์นี้ก็กลัว และบรรยากาศของที่มหาวิทยาลัยวันนี้ก็ค่อนข้างเงียบเหงา ทั้งที่วันนี้เป็นวันสอบกลางภาค 2/2553

"หนูเรียนที่รังสิตยังไงก็ต้องนั่งรถตู้ไป เรียนอยู่แล้ว ก่อนหน้าที่เกิดเหตุการณ์นี้หนูก็กลัวนะ เพราะรถตู้ขับเร็วมาก หนูก็เห็นใจนะ เพราะบางคันก็ขับหลายรอบมากเกินไป แต่ที่หนูเคยเจอก็มีขับเร็วจนหัวทิ่มบ้าง ปาดหน้าบ้าง อยากให้ช่วยดูแลคนขับหน่อยค่ะ สภาพรถด้วย เพราะบางคันก็เก่า ยิ่งพอมีข่าวก็เสียวๆ เหมือนกัน เพราะมันรู้สึกใกล้ตัว เมื่อคืนพอทุกๆ คนรู้ข่าว ในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ก็โพสต์เรื่องนี้กันเยอะ เลิกอ่านหนังสือกันเลยค่ะ เพราะคนที่เสียชีวิตเป็นรุ่นพี่ที่คณะด้วยค่ะ ตอนนี้ที่มหา'ลัยเงียบมาก ทั้งที่เป็นวันสอบ"

อีกหนึ่งนักศึกษาร่วมคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นายอิทธิพล สนธิณรงค์ ชั้นปีที่ 3 บอกว่า หดหู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากฝากให้ทุกๆ คนมีจิตใจสาธารณะให้มากขึ้น

"สิ่งที่เกิดขึ้น หดหู่ครับ ถือเป็นอุทาหรณ์ของคนใช้รถใช้ถนน ถึงพี่เขาที่เสียชีวิตไปไม่ได้สนิท แต่ผมใช้รถสายนี้บ่อยทุกอาทิตย์ก็กลัวเหมือนกันครับ ปกติผมเองก็ระวัง แต่ในใจก็คิดนะเพราะรถตู้ขับเร็วมาก ส่วนมากชอบปาดบ่อย รถแก๊สก็กลัวเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้มีรถตู้ตกสะพาน แก๊สระเบิดด้วย น่ากลัวครับ หลังจากเหตุการณ์นี้ก็คิดเยอะครับ ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่มีทางเลือกครับ เพราะต้องไปเรียน ผมคิดว่าคนที่ขับรถทุกคนควรมีจิตใจสาธารณะนิดนึง ทั้งรถเมล์ด้วย ผมเห็นอยากเลี้ยวก็เลี้ยวอยากปาดก็ปาด ใส่ใจกันนิดนึงครับ"

กี่ครั้งกี่หนแล้วที่อุบัติเหตุลักษณะนี้เกิดขึ้น ถือเป็นอุบัติเหตุส่งท้ายปี 53 ที่นอกจากจะนำความเสียใจมาสู่ญาติผู้เสียชีวิต และความวิตกกังวลที่มากขึ้นสำหรับผู้ใช้รถตู้โดยสารแล้ว ยังเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลดีๆ ที่สามารถเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอีกด้วย

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 29 ธันวาคม 2553

วุฒิภาวะไม่มี มาขับรถแบบไม่รับผิดชอบเพราะบ้านรวย พ่อแม่ไม่สั่งสอน กลับสนับสนุนให้ทำ เป็นการฆ่าคนอื่นทางอ้อม จนกลายเป็นการฆ่าคนไปจริง ๆ


ส่วนความคืบ หน้าอุบัติรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีขาว ทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ชนท้ายรถตู้โดยสาร ยี่ห้อโตโยต้า สีเทาฟ้า ทะเบียน 13-7795 กรุงเทพมหานคร ของ น.ส.อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา น้องต่างมารดาณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา นักแสดงหนุ่มค่ายเอ็กซ์แซ็กท์ จนผู้โดยสารกระเด็นตกทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์

เสียชีวิต 8 ราย พ.ต.ท.ฉัตรชัย เอี่ยมอ่อง พนักงานสอบสวน (สบ 3) งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิต/ทางพิเศษ กก.2 บก.จร. กล่าวว่า ดูกล้องวงจรปิดของโทลล์เวย์แล้วสามารถจับภาพได้ในระยะแค่เพียง 70 เมตรเท่านั้น เป็นภาพรถเก๋งของ น.ส.อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา อายุ 16 ปี ขับประกบคู่กับรถตู้แล้วไปเบียดชนรถตู้ด้านฝั่งขวาจนรถตู้เสียหลักเบนออก ซ้าย จากนั้นไม่เห็นอะไรอีกเลย เพราะหลุดเฟรมกล้องแล้ว เบื้องต้นทราบว่า น.ส.อรชรได้รับ บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่ รพ.วิภาวดี ยังไม่ได้สอบปากคำเช่นเดียวกับผู้โดยสารที่รอดชีวิต ทำให้ไม่สามารถแจ้งข้อหาใครได้ ต้องรอตรวจสอบพยานแวดล้อม และสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องก่อน

ด้าน พล.ท.นพ.พร้อมพงษ์ พีระบูล ผอ.รพ.วิภาวดี แถลงข่าวถึงอาการผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สยองขวัญที่เกิดขึ้นว่า มีผู้รับการรักษาทั้งหมด 7 ราย คือ น.ส.กัญจน์นภัส ปัญญาประเสริฐ อายุ 23 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีบาดแผลทั้งตัว และมีอาการปวดหลัง แต่มีสติรู้เรื่องดี นายวรัญญู เกตุชู อายุ 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไหปลาร้าและหัวเข่าหัก ทั้งคู่เตรียมย้ายไปรักษาต่อที่ รพ.ธรรมศาสตร์ เนื่องจากเป็นนักศึกษาของที่นั่น นอกจากนี้ยังมี นายมูฮัมหมัด ชารีฟ อายุ 31 ปี มีบาดแผลที่เท้า เข่า และนิ้วก้อยเท้าแตก นายวิศรุต พลสิทธิ์ อายุ 35 ปี มีแผลถลอกและปวดตามตัว นายสุนทร ปิตตาทานัง อายุ 43 ปี มีบาดแผลที่ศีรษะ และหัวไหล่ด้านซ้ายเคลื่อน รอผ่าตัด และยังมีหญิงไทยไม่ทราบชื่อ อายุ 23 ปี อาการสาหัสอยู่ห้องไอซียู รอรับการผ่าตัด เนื่องจากศีรษะได้รับการกระแทกอย่างแรง กระดูกซี่โครงซ้ายหัก ไม่รู้สึกตัว หากรอดก็อาจพิการได้ ส่วนคนสุดท้าย คือ น.ส.อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา คนขับรถเก๋ง มีบาดแผลที่ปาก และข้อศอก อาการไม่สาหัส

นายวิศรุต พลสิทธิ์ ผู้โดยสารที่บาดเจ็บเผยว่า เป็นพนักงานไอเอ็มจีของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. วันเกิดเหตุเลิกงานได้เดินมาแล้วไปขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่ใกล้ที่ทำงานจะกลับ บ้านย่านแจ้งวัฒนะ พอขึ้นรถก็หลับทันทีเพราะเหนื่อยจากการทำงาน รู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงรถถูกชนดังสนั่น ก่อนที่รถตู้จะหมุนคว้างอย่างแรงไปกระแทกกับขอบกั้น เห็นคนในรถกระเด็นลอยตกไปด้านล่างหลายคน ส่วนในรถยังมีคนเจ็บร้องโอดครวญจำนวนไม่น้อย โชคดีที่ตนนั่งอยู่ตรงกลางรถเลยไม่กระเด็นออกนอกรถ แต่ก็บาดเจ็บที่ศีรษะและซี่โครง ต้องคลานออกมาจากซากรถ

ที่สถาบัน นิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ บ่ายวันเดียวกัน มีญาติของผู้เสียชีวิตทยอยเดินทางไปรับศพด้วยใบหน้าโศกเศร้า บางคนยังทำใจในการสูญเสียญาติพี่น้องไปอย่างกะทันหันไม่ได้ ถึงกับร้องไห้คร่ำครวญปล่อยโฮกอดโลงศพไม่อายใคร สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 8 ราย ประกอบด้วย นายปรัชญา คันธา อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.สุดาวดี นิลวรรณ อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเกียรติมันต์ รอดอารีย์ อายุ 23 ปี นายภิญโญ จินันทิยา อายุ 34 ปี ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหารจัดการงานเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ น.ส.ตรอง สุดธนกิจ อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายอุกฤษณ์ รัตนโฉมศรี อายุ 30 ปี นักวิจัยไบโอเทค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายศาสตรา เช้าเที่ยง อายุ 33 ปี นักวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกของ สวทช. และนางนฤมล ปิดตาทานัง อายุ 37 ปี คนขับรถตู้คันที่ประสบเหตุ

นางนฤมล นิลวรรณ อายุ 57 ปี นักแสดงรุ่นใหญ่ มีศักดิ์เป็นป้าของ น.ส.สุดาวดี หรือน้องนุ่น นิลวรรณ หนึ่งในผู้เสียชีวิต กล่าวว่า น้องนุ่นเป็นลูกสาวของน้องชาย คือ พ.ต.อ.ศรัญ นิลวรรณ ผกก.สภ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ช่วงเวลา 4 ทุ่ม ตนกำลังขับรถเข้าไปแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มบนถนนวิภาวดีรังสิต จู่ๆการจราจรเริ่มติดขัด เมื่อสอบถามเด็กปั๊มได้ความว่า มีอุบัติเหตุบนโทลล์เวย์ แต่ไม่ได้เอะใจกระทั่งน้องชายโทรศัพท์มาหาบอกให้ช่วยไปดูในที่เกิดเหตุ เพราะสงสัยว่าหลานสาวอาจอยู่ในรถด้วยถึงพบศพหลานถูกห่อวางอยู่ในรถปิกอัพ หน่วยกู้ภัยแล้ว

นักแสดงสาวใหญ่กล่าวทั้งน้ำตาว่า หลานนั่งรถตู้ออกจากสถาบันมุ่งหน้าไปที่ขนส่งหมอชิตเพื่อต่อรถทัวร์กลับบ้าน จ.อุบลราชธานี ฉลองเทศกาลปีใหม่กับพ่อ แต่กลับประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต หลานเป็นเด็กดี เรียนเก่งมากมีความใฝ่ฝันว่า หากเรียนจบแล้วจะเรียนต่อเนติบัณฑิตแล้วสอบเป็นอัยการ เป็นผู้พิพากษา ไม่คิดว่าหลานจะด่วนจากไปรวดเร็วอย่างนี้ ที่ผ่านมาเวลาดูข่าวอุบัติเหตุคนตายเยอะๆ คิดตลอดว่า เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดกับครอบครัวตัวเอง แต่ก็หนีไม่พ้น อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันป้องกัน ไม่อยากให้เกิดเหตุซ้ำซาก โดยเฉพาะบนทางด่วนซึ่งรถทุกคันต้องใช้ความเร็วสูง ที่สำคัญเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ประเทศต้องเสียบุคลากรมันสมองดีๆไปหลายคน

ส่วน นางพูลศิริ ทรงชมพันธุ์ อายุ 60 ปี ป้าของนายศาสตรา เช้าเที่ยง นักวิทยาศาสตร์ปริญญาเอก กล่าวว่า หลานชายได้ทุนจาก สวทช.ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจบกลับมาทำงานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังทำวิจัยเรื่องโรคมาลาเรีย ที่ผ่านมาญาติๆพยายามแนะนำให้ซื้อรถส่วนตัว แต่เจ้าตัวอ้างว่าทำงานเลิกไม่เป็นเวลา กลัวจะขับรถกลับไม่ไหว ขอเลือกใช้บริการรถตู้โดยสารดีกว่า

ที่กระทรวงคมนาคม นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยถึงมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุกับรถตู้โดยสารที่เกิดขึ้นบ่อย ครั้งว่า จากการตรวจสอบคนขับรถตู้คันเกิดเหตุ มีใบขับขี่รถโดยสารสาธารณะ และสภาพอายุรถตู้ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดซึ่งในช่วงเดือน ม.ค. 54 กรมการขนส่งทางบกจะเรียกเจ้าหน้าที่ในฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือเกี่ยวกับ มาตรการด้านความปลอดภัยของการโดยสารรถตู้ประจำทาง หลังจากนั้นจะเรียกให้ผู้ประกอบการรถตู้ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มาสัมมนาร่วมกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองและ ผู้โดยสาร รวมทั้งผู้ใช้รถใช้ถนน อย่างไรก็ตาม หากผู้โดยสารพบเห็นรถตู้โดยสารมีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการให้บริการ สามารถร้องเรียนได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ โทร. หมายเลข 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
นสพ.ไทยรัฐ

ที่มา: ไทยรัฐฉบับพิมพ์ วันพุธที่ 29 ธันวาคม 2553

Traffic safety the big New Year’s concern

The New Year holiday break is almost here and once again attention is focused on highway safety.

This year concern has been heightened by a horrendous fatal accident Monday night on the Don Muang elevated tollway.

Eight people died in the crash near the Bang Khen exit of the tollway. Seven others were seriously injured.

Pol Lt Col Chatchai Aiem-ong, superintendent at Vibhavadi police station, said footage from a camera on the tollway showed a car swerving just before it collided with a passenger van, which was travelling from Thammasat University Rangsit Campus. The impact pushed the van into the tollway barrier.

The van door was torn off and eight of the passengers were thrown out of the vehicle and over the barrier to the ground below.

Naruemon Nilawan, 57, aunt of Thammasat law student Sudawadee  Nilawan, 20, who died in the crash, said she wanted to see the strict enforcement of safety measures.

"Is it possible to make every passenger wear safety belts?" Ms Naruemon asked as she turned up at Police General Hospital to recover Sudawadee's body.
"Authorities should take it seriously now. Don't just talk about it when things like this happen."

Traffic safety was the top subject at yesterday’s cabinet meeting. Prime Minister Abhisit Vejjajiva said afterward that the government was considering enforcing additional legal measures in its efforts to improve road safety.

Authorities have been asked to study traffic-related laws which regulate the speed and condition of public transport vehicles and to see if more action could be taken to make the country's roads safer.

"The cabinet has also asked parties concerned to study the enforcement of using GPS technology in all public transport vehicles, and even in passenger vehicles, to help prevent accidents," he said.

Deputy government spokesman Marut Masayawanich said about 50,000 vocational students would be sent to checkpoints and car maintenance spots across the country to provide vehicle inspection services over the New Year break.

A total of 875 hospitals would deploy emergency response teams around the clock over the seven-day holiday, he said.

Adapted from a story in today's Bangkok Post

wreckage – the parts of a vehicle or building that remain after it has been severely damaged ซากตึกบ้านเรือนที่ถูกทำลาย
elevated – raised above the ground, or higher than the surrounding area ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าสิ่งอื่น
tollway – a long wide road that you have to pay to drive on โทลล์เวย์, ทางด่วน
collide – (especially of moving objects) to hit something violently ชน,กระแทก
sedan – a closed car with a front and back seat for  passengers รถยนต์ส่วนบุคคลสี่ประตู
barrier – an object like a fence or wall that prevents people from moving forward from one place to another สิ่งขัดขวาง, กำแพง
concern – a worry ความกังวล
attention – interest, especially interest that the public has in a person, event, situation etc ความสนใจ
focus – to give attention, effort, etc. to one particular subject, situation or person rather than another เพ่งความสนใจ
highway – a main road for travelling long distances, especially one connecting and going through cities and towns ทางหลวง, ทางสายใหญ่
heighten – (of emotions) to cause to become stronger เพิ่ม, ทำให้แข็งแรงขึ้น,ทำให้สำคัญขึ้น
horrendous – extremely shocking; extremely unpleasant and unacceptable น่ากลัว, น่าสยดสยอง
fatal – causing someone to die ถึงตาย
injured – hurt in an accident or attack ซึ่งได้รับบาดเจ็บ
superintendent – a senior police officer เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง
footage – film or video of a particular subject or event ฟิลม์หรือคลิปภาพยนตร์ หรือวิดีโอ
swerve – to change directions suddenly เปลี่ยนทิศทาง
impact – the force with which one object hits another แรงกระแทก
strict – very careful and exact เข้มงวด
enforcement – the process of making sure that something happens, especially that people obey a law or rule การบังคับใช้กฎหมาย
measure – a firm action taken to solve a problem or stop an a dangerous unpleasant situation มาตราการ
turn up – to come somewhere มาถึง
authorities – the police or people in official organisations who have the legal power to make people obey laws or rules เจ้าหน้าที่ (ตำรวจ หรือผู้มีอำนาจ)
cabinet – the group of government ministers who make and approve government policy คณะรัฐมนตรี
legal – relating to the law or lawyers เกี่ยวกับกฎหมาย
effort – an attempt to do something ความพยายาม
improve – to make better  ทำให้ดีขึ้น
regulate – to control an activity officially by using rules ควบคุม
condition – the physical state of something สภาพ
public – provided, especially by the government, for the use of people in general  ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม, ที่เป็นของสาธารณะ
party – one of the people or groups of people involved in an official argument, arrangement or similar situation คู่กรณี
concerned – involved in something, or affected by something ที่สัมพันธ์กับ
vocational students – students attending a school which provided the skills necessary for particular jobs นักเรียนอาชีวศึกษา
maintenance – the act of keeping something in good condition by checking or repairing it regularly การซ่อมบำรุง
spot – the particular place where someone or something is  ที่, สถานที่
inspection – the act of looking closely at something or someone and to check that everything is as it should be; examination การตรวจสอบอย่างละเอียด
deploy – to put in place ready for use นำมาใช้
emergency – an unexpected situation involving danger in which immediate action is necessary เหตุฉุกเฉิน
around the clock – throughout the whole day and night; 24 hours ทั้งวันทั้งคืน

.

Monday, December 27, 2010

คม ๆ (หล่อ ๆ สวย ๆ): attractive, bright-looking, pretty

คำว่า "คม" มีหลายแบบ

คม (คำนาม) จะหมายถึง ส่วนบางมากจนสามารถบาดได้ เช่น คมมีด คมดาบ คมหญ้า (grass with razor-sharp leaves)

(คำวิเศษ) ไม่ทื่อ เช่น มีดคม (a keen blade), บาดได้ เช่น ป่านคม (a keen tendon);

เฉียบแหลม เช่น ปัญญาคม คมทางความคิด ไหวพริบดี [Adj.] : keen ; clever ; bright ; intelligent ; witty ; sagacious ; acute; smart เช่น ลูกของคุณเป็นเด็กชายที่มีสติปัญญาดีไหวพริบดี Your son is a boy of keen understanding.

ชัดเจน เช่น ภาพคม เส้นคม, โดยปริยายใช้สําหรับตาและปากซึ่งมี ลักษณะอย่างของที่คมอาจบาดหรือแทงใจได้

คมกริบ (คำวิเศษ) คมมาก; ฉลาดทันคน, เฉียบแหลม, ไหวทัน

คมขำ (ก.) สวยอย่างซึ้งใจชวนพิศ มักหมายถึงหญิงผิว ๒ สี

คมคาย (คำวิเศษ) ฉลาด, ไหวพริบดี, ทันคน, เช่น วาจาคมคาย พูดจาคมคาย สำนวนภาษาคมคาย, มีแววฉลาด เช่น หน้าตาคมคาย keen [Adj] คม (ใช้ในทางวรรณกรรม) เช่น ทำไมผู้หญิงถึงดู กระตือรือร้น หลักแหลม ฉลาดคม กระตือรือร้น (keen) มากกว่าพวกผู้ชายในความสัมพันธ์ของการแต่งงาน Why are girls more keen than boys in marriage after their relationship?

เช่น เรากำัลังได้รับลมเหนือที่พัดมาอย่างคม(อย่างแรง)มาก We are having a keen north wind , Syn. sharp, vivid,

คม [adj.] (khom) EN: keen ; clever ; bright ; intelligent ; witty ; sagacious ; acute

คมสัน (ว.) มีหน้าตาท่าทางเข้าทีน่าดู

ตาคม [V] keen-eyed, sharp-eyed, sharp-sighted, be insight,

ลับคมมีด = Knife Sharpening หรือ กล่าวว่าจะลับมีดอย่างไรให้คม How to Sharpen a Knife?

ดร.SoS

Sunday, December 26, 2010

ศาลเทพ

สมัยเรียนหนังสือ อาจารย์ที่เป็นผู้พิพากษาเป็นตัวแบบการครองตนอยู่ในความสมถะ สำรวม เที่ยงตรงเป็นที่เคารพนับถือ ในข้าราชการด้วยกันผู้พิพากษาเป็นเหมือนพระธุดงค์ท่ามกลางพระทั้งหลาย

ด้วยคุณความดีที่บรรพตุลาการสะสมมาดังนี้ ผู้พิพากษาตุลาการจึงเป็นข้าราชการที่มีต้นทุนทางสังคมสูงมาก ประชาชนทุกวงการให้ความเคารพยกย่องเชื่อถือมาตราบจนทุกวันนี้

คิดถึงท่านผู้พิพากษาที่เคารพ ไม่อยากให้ใครไปเปลี่ยนวิถีทางแห่งการครองตนของท่านโดยเฉพาะท่านนักการเมือง ทั้งหลาย ระหว่างเซ็ง ๆ นึกถึงคดีสำคัญที่น่าจะชุ่มชื่นใจขึ้นมาบ้าง

คดีระดับเทพเชียวนา

จะกล่าวถึงท่านท้าวมาลีวราช ราษฎร เอ๊ย เทพอาวุโสซึ่งมีวาจาสิทธิ์และทรงความเที่ยงธรรม

เคสที่แสดงถึงความเที่ยงตรง จับต้องดมดูได้ ก็เมื่อทศกัณฐ์ซึ่งเป็นเหมือนหลานปู่สายตรงเล่นการศึกแผนใหม่กะให้พระรามพระ ลักษมณ์ต้องบรรลัยจากวาจาสิทธิ์ของท้าวมาลีวราช

พญายักษ์ยื่นคำฟ้องต่อท้าวมาลีวราช กล่าวโทษพระรามพระลักษมณ์ว่า ผู้ฟ้องคดี (ทศกัณฐ์) ได้ออกไปท่องเที่ยวในป่า พบนางสีดาก็เกิดความรักเข้าเต็มทรวง กินไม่ได้นอนไม่หลับ

จึงรับมาอยู่กินกันเสียที่ตำหนักสวนขวัญ

วันดีคืนดี ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (พระรามพระลักษมณ์) ได้กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายระดมกองทัพวานรจองถนนข้ามไปยังกรุงลงกามา รังแกข่มเหงผู้ฟ้องคดีโดยอ้างว่าเป็นสามีของนางสีดา

ถามหาทะเบียนสมรสก็หน้าซีด อึกอัก ๆ มั่วนิ่มครับปู่

ตามวิสัยอันรอบคอบของตุลาการระดับเทพ ท้าวมาลีวราชจึงไต่สวนมูลฟ้องว่า อันลักษมณ์รามพี่น้องเป็นไฉน เขาอยู่ถิ่นฐานเมืองใด สุริยวงศ์พงศ์ไหนจึงอาจนัก อันว่าทศเศียรอสุรี ฤทธีปราบได้ทั้งไตรจักร ถึงเทวินทร์อินพรหมยมยักษ์ ก็เกรงศักดาเดชกุมภัณฑ์

นนยวิกและวายุเวกสองยักษ์บริวารซึ่งได้รับมอบอำนาจให้ยื่นคำฟ้องคดีจึง จัดการถวายพระเพลิงผู้ถูกฟ้องคดีเต็มเหนี่ยวว่าถึงเป็นมนุษย์ก็มีฤทธิ์เดช ยิ่งนัก มีศรซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงกว่าอาร์พีจีที่เมืองบางกอกหลายเท่านัก

ยักษ์ตายไปหลายคนแล้วขอรับที่เหลือถูกจับขังคุกห้ามเยี่ยม ห้ามประกันโดยไม่มีการสอบสวน

คดีน่าจะมีมูล มันคลับคล้ายคลับคลาอะไรสักอย่างน้า

องค์เทพไท้ยกทัพมาพักบริเวณสมรภูมิเพื่อตัดสินความมีเทพยดามาประชุมกันเพื่อ เป็นสักขีพยาน ทศกัณฐ์ทราบความจึงเชิญเสด็จเข้าเมือง รับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีคลิปวิดีโอ

แม้นกูจะเข้าไปยังเมืองยักษ์ พระรามพระลักษมณ์จะกังขา ถ้าไปเข้าข้างทัพอยุธยา ทศพักตร์ยักษาจะน้อยใจ จำจะหยุดอยู่แต่ในที่รบ ตามขนบตัวกูเป็นผู้ใหญ่ จะไปหาที่สมรภูมิชัย อย่าให้นินทาเป็นราคี

นี่ไง ของจริง ท่านไม่ข้องแวะกับคู่กรณีให้ถูกนินทาสนั่นเว็บ

ท่านออกหมายเรียกพระรามพระลักษมณ์มาให้การฟังดูก็ไม่รู้ใครผิดใครถูก จึงเรียกคนกลางนางสีดามาเคลียร์ พอท่านเห็นนางสีดาเท่านั้นแหละ

งามดังดวงจันทร์ไม่ราคี ทั่วสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย ไกลกันกับโฉมนางสีดา กระนี้แหละหรือทศกัณฐ์ จะไม่ผูกพันเสน่หา พาทั้งโคตรวงศ์ลงกา แสนสุรีโยธาวายปราณ แต่กูผู้ทรงทศธรรม ยังหวาดหวั่นเคลิ้มไปด้วยสงสาร หากมีอุเบกขาญาณ จึงประหารเสียได้ไม่ไยดี

เกือบไปเหมือนกันนะท่านตุลาการ แฮะ แฮะ ดีนะที่มีอุเบกขาญาณมาช่วย

ฟังความรอบข้างทั้งพระรามทั้งนางสีดาและเทวดาทั้งหลายสอดคล้องต้องกันเป็น สัตย์ ถึงแม้ทศกัณฐ์จะนำสืบว่าเทวดาเกลียดชังตน และดลใจให้นางสีดาให้การเป็นประโยชน์กับพระรามก็ตาม

จึงตัดสินคดี ซึ่งเอ็งกล่าวหาทุกข้อ ล้วนแกล้งติดต่อให้เหมาะมั่น สืบสวนก็ไม่ได้เป็นสัตย์ธรรม สารพันทรลักษณ์อัปรีย์ เห็นจริงว่าตัวบังอาจ ไปลอบลักอัครราชมเหสี ขององค์พระรามจักรี

พิพากษายกฟ้อง ให้อสุรีเร่งส่งนางสีดา

ฮ่วย ปู่นะปู่ ทศกัณฐ์ยกทัพกลับกรุงลงกา โดยไม่กราบไหว้ร่ำลาท้าวมาลีวราชสักแอะ

ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ไม่กลัวคลิป ท่านใดที่อยากชมคดีนี้จริง ๆ โปรดอดใจรอชมโขนรามคำแหง เขาเล่นตอนนี้ได้ยอดเยี่ยม ดูแล้วจะอินจนอยากติดคุกแทนทศกัณฐ์ข้อหาฟ้องเท็จ

คดีเทพเรื่องนี้ต้องนำมาลงเพราะคุณ “คนมีเทพ” ท่านถามมาว่า จะก่อสร้างตำหนักเทพไว้ใบ้หวย เอ๊ย ไว้เคารพสักการะในที่ดินของตนต้องขออนุญาตเทศบาลไหม

เป็นอาคารหลังเล็ก ๆ ไว้กราบไหว้บูชาสำหรับชาวบ้านเป็นสาธารณะทั่วไป ไม่ใช่บ้านพักอาศัย

ถ้าจะไม่ขออนุญาตเทศบาลตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ เพราะเห็นว่าไม่เป็นอาคารที่พัก “คนมีเทพ” โปรดคุยกับองค์เทพเสียให้เรียบร้อย จะได้ไม่หมางใจกันภายหลัง

ว่าจะรื้อเองหรือจะจ้างช่างมารื้อ รื้อตำหนักเทพนั่นแหละ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ความหมายของอาคารตามมาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มิได้มีความหมายที่จำกัดเฉพาะ สิ่งก่อสร้างที่คนอาจเข้าอยู่อาศัยได้เท่านั้น

แต่ยังหมายความรวมไปถึง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อให้บุคคลได้ใช้ประโยชน์ด้วย เมื่อหอพระที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนทั่ว ไปได้เข้าใช้เพื่อสักการะต้นโพธิ์ โดยจัดสร้างในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีมีกรรมสิทธิ์และอาคารดังกล่าว มิได้มีลักษณะเป็นอาคารโบราณสถาน วัดวาอาราม หรือเป็นอาคารที่ใช้เพื่อการศาสนาซึ่งมีกฎหมายควบคุมการก่อสร้างไว้โดยเฉพาะ

อาคารพิพาท (หอพระ) จึงมีลักษณะเป็นอาคาร ตามมาตรา ๔ แห่งกฎหมายดังกล่าว ต้องขออนุญาต การก่อสร้าง (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๒๓๗/๒๕๔๙)

เทพก็เทพเหอะ เจอเทศบาลเข้า ไม่ใช่แค่ดิสเครดิต รื้อเลย

พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์

ที่มา: ศาลเทพ กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 06 พฤศจิกายน 2553

งานคือเงิน เงินคืองาน

ท่านเจ้าคุณ อำนาจอยู่ที่ความรัก ความศรัทธาของประชาชน หาได้อยู่ที่ตัวของท่านเจ้าคุณไม่

หลักการบริหารการปกครองที่เป็นจิตวิญญาณแห่งนักปกครองทุกคนจากพระผู้เป็นที่ รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราช

ในฐานะพลเมืองดีจึงขอให้ท่านผู้ใช้อำนาจทางการบริหารโดยเฉพาะท่านนักการ เมืองผู้มีอำนาจในวันนี้ทั้งหลายได้ระลึกถึงเนื่องในวันปิยมหาราช

ได้สติเอาไปทำมั่ง ไม่ทำมั่ง ยังได้ลดความเดือดร้อนของประชาชนและเหล่าข้าราชการประจำลงได้สักหน่อย

กลัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางหลักการบริหารงานบุคคล เรื่องการสละตำแหน่งอีกนะโยม

ชาวบ้านเขาเป็นงงมาก ๆ และยังงงไม่ฟื้นจนบัดนี้

ส่วนข้าราชการประจำที่เผลอไผลไปกระทำผิดวินัย อันนี้ถือว่าท่านเลือกทางเดือดร้อนของท่านด้วยตัวเอง โทษใครหาได้ไม่

ยกเว้นท่านที่ยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ ชีวิตก็ต้องสู้กันต่อไป

เช่นในขณะนี้ที่ต้องเอาใจช่วยทั้งนายอำเภอทั้งนายตำรวจ คู่ใหญ่ตัวจริงเสียงจริงประจำอำเภอ

รักกันจริง ขึ้นเขาลงห้วย ไม่ทิ้งซึ่งกันและกันแบบไม่ต้องพิสูจน์ดีเอ็นเอ

นายพลตำรวจใหญ่ขอสละตำแหน่งมาหมาด ๆ ว่าที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยเดินตามรอยกันเป๊ะ

คำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอซีเก้ายังลูกผีลูกคน โผแต่งตั้งนายตำรวจโดย ก.ตร.ก็ยังไม่ไปไหน

นักเรียนนายอำเภอกำลังถูก ป.ป.ช.กล่าวหาเรื่องทุจริต การสอบเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรกำลังถูกยกเลิกเพราะมีทุจริตในการสอบ

ตักบาตรร่วมขันกันมาจริง

เอาใจช่วยครับท่าน ทองแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ แต่โปรดระวังนักการเมืองแอบหยิบไปจำนำอีกก็แล้วกัน ราคากำลังดี

ท่านข้าราชการที่กำลังประสบวิบากกรรมถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย ท่านคงทราบดีว่าเงินเดือนสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ท่านยังได้รับอยู่จน กว่าจะถูกสั่งลงโทษ

เว้นจากการลงโทษระดับเบาประเภทว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ หรือตัดเงินเดือน แบบนี้หลวงท่านยังเลี้ยงดูอยู่แต่ถ้าเจอโทษเป็นให้ออก ปลดออกหรือไล่ออก ท่านต้องไปทำมาหากินใหม่

กระทั่งถูกลงโทษแรง ๆ ดังกล่าวไปแล้วต่อมาได้รับการพิจารณายกโทษก็ยังมีสิทธิได้รับเงินเดือนถ้า การลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก นั้นได้มีคำสั่งไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ตาม ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายเงินเดือนให้แก่ ข้าราชการ ซึ่งถูกสั่งให้ออก ปลดออกหรือไล่ออกจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้าราชการซึ่งถูกสั่งให้ ออก ปลดออกหรือไล่ออกจากราชการแล้วต่อมาได้รับการพิจารณายกโทษ พ.ศ. ๒๕๓๘

ท่านกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ ในระหว่างที่มิได้มาปฏิบัติราชการ เนื่องจากถูกลงโทษให้ออก ปลดออกหรือไล่ออกโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เป็นการยกเว้นหลักการรับเงินเดือนของข้าราชการประจำทั้งหลายว่า การจ่ายเงินเดือนให้ผู้ใด ผู้นั้นต้องมาทำงาน

แต่ตามธรรมเนียมพี่ไทย มีกฎหมายที่ไหน มีปัญหาที่นั่น ยิ่งชื่อ ยาว ๆ ยังงี้เดี๋ยวสวย

ข้าราชการท่านหนึ่งถูกไล่ออกเพราะกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงอุทธรณ์ต่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายจนได้ความกลับมาว่ากระบวนการสอบสวนไม่ถูก ต้อง มิได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าว หาทราบ

ให้ เพิกถอนคำสั่งไล่ออก แล้วให้บรรจุกลับเข้ารับราชการตามเดิมแล้ว สอบสวนใหม่ ให้ถูกต้อง

ทุกอย่างกลับมาดีเหมือนเดิมยกเว้นช่วงระยะเวลาที่ถูกไล่ออกนับแต่วันที่รับ คำสั่งไล่ออกจนถึงวันที่ได้รับคำสั่งเพิกถอนการไล่ออกและให้กลับ มารับราชการใหม่ได้

รวมสี่ปีกว่า ซึ่งเจ้านายท่านสั่งไม่ให้รับเงินเดือนในช่วงนี้ซึ่งนับดูแล้วแปดแสนกว่าบาท ท่านอ้างว่าเงินคืองาน งานคือเงิน จะจ่ายเงินเดือนให้ผู้ใด ผู้นั้นต้องมาทำงาน

สูนอนเอกเขนกสบายอยู่กับบ้าน ตูจึงไม่จ่าย

ตาม พระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จบำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕

นึกว่าตบจูบ นี่ ตบ เตะ แถมเข่าศอก เงินตั้งเกือบล้าน ถึงไม่มี คลิปวิดีโอ ก็ต้องฟ้อง ชิมิ

จึงยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองให้เจ้านายผู้ถูกฟ้องคดีจ่ายเงินเดือน ระหว่างถูกไล่ออกจนถึงวันที่ได้กลับเข้ารับราชการแปดแสนกว่ารวมถึงเวลา ราชการที่สะดุดหายไปให้บวกมาเหมือนเดิมด้วย

ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีจ่ายเงินเดือนให้ผู้ฟ้องคดีตาม ฟ้อง ท่านว่าการดำเนินการสอบสวนหลังการกลับเข้ารับราชการใหม่อีกเป็นการดำเนินการ ทางวินัยครั้งใหม่ ผู้ฟ้องคดียังไม่ใช่ผู้กระทำผิดวินัย

สะดุ้งกันทั้งกรม ต้องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ตามระเบียบดังกล่าวผู้ที่จะมีสิทธิรับเงินเดือนในช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็ต่อ เมื่อการดำเนินการทางวินัยถึงที่สุดแล้ว

ประเด็นปัญหาในคดีนี้ที่ผู้ฟ้องคดีได้กลับมารับราชการโดยเพิกถอนคำสั่งไล่ ออกแต่เดิมแต่ยังมีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยในข้อหาเดิมไม่ว่าจะ เป็นความผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่

ถามว่าเป็นการดำเนินการทางวินัยครั้งใหม่หรือไม่ ที่ผ่านมาไม่มีผลจึงรับเงินเดือนได้

ท่านว่า ถือได้ว่า กระบวนการดำเนินการทางวินัยยังไม่ถึงที่สุด เพราะยังมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยในข้อหาเดิม ถ้าไม่มีการดำเนินการทางวินัยต่อไปจึงจะถือว่ากรณีถึงที่สุดแล้ว จึงจะจ่ายเงินเดือนในระหว่างถูกไล่ออกได้ตามระเบียบกระทรวงการคลัง

ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีหน้าที่จ่ายเงินเดือนระหว่างที่ผู้ฟ้องคดีมิได้มาปฏิบัติราชการระหว่างถูกไล่ออก

พิพากษากลับเป็นให้ยกฟ้อง (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๑๕/๒๕๔๙)

งานไม่มา เงินไม่มี

พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์

ที่มา: งานคือเงิน เงินคืองาน กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2553

ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร

สมัยเป็นเด็กนักเรียนประถม คุณครูสอนว่าประเทศไทยเป็นประเทศในเขตมรสุม

ฝนตกน้ำท่วมจึงเป็นเรื่องธรรมดาตามธรรมชาติ ปู่ย่าตายายจึงสร้างบ้านเรือนยกสูง หน้าน้ำขึ้นไปอยู่บนเรือน หน้าแล้งลงมารับลมโกรกชั้นล่างเย็นสบายดี สมัยนี้ผู้คนมากขึ้น ตัดไม้ทำลายป่ารุนแรง พื้นที่รับน้ำหมดเกลี้ยง ถนนตัดผ่านทางน้ำเดิม ชุมชนมีหนาแน่นทุกแห่ง จากฝนตกน้ำท่วมจึงกลายเป็นอุทกภัยร้ายแรงที่พี่น้องประชาชน กำลังประสบกันในขณะนี้

ยังไม่เห็นทางแก้เลยขอรับ

เหมือนมรสุมในชีวิตการรับราชการในปัจจุบันที่มีมากกว่าแต่ก่อนเช่นกัน

โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นปัญหาใหญ่ท่ามกลางระบบคุณธรรมที่มีไว้ใช้เฉพาะในราชการ วงสัมมนาเท่านั้น

ส่วนของจริงท่านนักการเมืองผู้มีอำนาจท่านจัดระบบตามคุณธรรมของท่านเอง

ยังไม่เห็นทางแก้เหมือนกัน

แล้วมันก็มีผลกระทบลงไปทุกระดับ ทุกเรื่อง

โดยเฉพาะเรื่องการบำเหน็จความชอบเลื่อนขั้นเงินเดือนขวัญกำลังใจข้าราชการทั้งหลาย

บัดนี้กำลังอยู่ในระบบคุณธรรมตามหลักการเด็กใคร เด็กมันอีกจนได้

ท่านที่เจอมรสุมลูกนี้ โปรดตรวจดูเรื่องราวตามกฎหมายในเรื่องนี้ไว้ช่วยตนเองสักหน่อย

เดี๋ยวนี้มีทั้ง คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) มีศาลปกครองไว้เป็นที่พึ่ง ไม่ต้องเซ็งชีวิตเพียงโดดเดี่ยวเหมือนสมัยก่อน

คดีนี้เกิดขึ้น ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕

มาตรา ๗๒ ท่านว่าการเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญให้ผู้บังคับบัญชา พิจารณา โดยคำนึงถึง คุณภาพและปริมาณงาน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน ที่ได้ปฏิบัติมา ความสามารถและความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน ตลอดจนการรักษาวินัยและการปฏิบัติตนเหมาะสมกับการเป็นข้าราชการ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด

ท่านกำหนดไว้ตาม กฎ ก.พ. วรรคสอง ว่าการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้ข้าราชการพลเรือนสามัญที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตาม วรรคหนึ่งให้อยู่ใน ดุลพินิจ ของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณา

นี่แหละญาติโยมทั้งหลาย พอเป็นดุลพินิจของท่าน ท่านก็ใช้ดุลพินิจแบบไทย ๆ เป็นเรื่องทุกที

แบบนี้ต้องดูคดีที่ศาลปกครองท่านวินิจฉัยการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชากันหน่อย

ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการระดับ ๖ ประจำศูนย์ในต่างจังหวัดของกรมใหญ่กรมหนึ่ง

มีทั้งหมด ๓๑ ศูนย์ทั่วประเทศ ทำงานทำการตามความรับผิดชอบเดียวกัน แต่ปรากฏว่าศูนย์ที่ผู้ฟ้องคดีทำงานอยู่ได้รับการประเมินว่าทำงานได้มีผลดี เป็นลำดับที่ ๗ ใน ๑๕ อันดับแรกของศูนย์ทั้งหมด

เจ้านายที่ศูนย์รับรองตอกย้ำด้วยการประเมินผลงานในระดับดีเด่น แบบนี้ต้องได้รับบำเหน็จความดีความชอบแหง ๆ

แต่ก็เป็นอย่างที่คาดไว้นั่นแหละขอรับ สองขั้นดันไปสิงสู่อยู่ที่กรมเป็นส่วนใหญ่ ตนเองจึงแห้วได้ขั้นเดียวตามระบบคุณนะทำ

แล้วมีข้อสังเกตด้วยว่าเมื่อเทียบกับศูนย์ที่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้นในกลุ่มข้าราชการระดับ ๖ และระดับ ๗ ทั้ง ๓๑ ศูนย์

มีอยู่สามศูนย์ใน ๑๕ ศูนย์อันดับแรกดังกล่าวที่ข้าราชการระดับ ๖ ได้เลื่อนสองขั้น ผู้อำนวยการศูนย์ได้ขั้นครึ่ง

ไม่ได้อิจฉานะ แต่ทั้งสามศูนย์ดังกล่าวมีภาระงานน้อยกว่า ใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายมากกว่า

แล้วจะไม่คิดมากได้ไง อุทธรณ์ขอความเป็นธรรมไปสองครั้งก็เงียบสนิท

ก็ต้องเป็นคดีที่ศาลปกครอง เจ้านายใช้ดุลพินิจโดยมิชอบนี่หว่า

งานนี้ ท่านชี้แจงมาง่าย ๆ ตามสูตรว่า เป็นเรื่องของการคำนวณสัดส่วนของแต่ละกลุ่ม ไม่มีเงินเหลือตามสัดส่วนสองขั้นในกลุ่มระดับ ๖ ระดับ ๗

มีให้หนึ่งขั้นน่ะบุญแล้วน้องเอ๋ย

ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้กรมผู้ถูกฟ้องคดีเลื่อนขั้นเงินเดือนให้น้องเขา ซะดี ๆ ใหม่อีกครั้งหนึ่งภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา

ยัง ยังดื้อตาใส กรมผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเรื่องความจำเป็นของส่วนสัด เอ๊ย สัดส่วนเหมือนเดิม

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่กรมผู้ถูกฟ้องคดีเลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้นให้แก่ข้าราชการระดับ ๖ และหนึ่งขั้นครึ่งแก่ผู้อำนวยการศูนย์ทั้งสามศูนย์ดังกล่าว

ทั้งที่ศูนย์ของผู้ฟ้องคดีได้รับมอบหมายงานจากผู้ถูกฟ้องคดีมากกว่าทั้งสามศูนย์ดังกล่าวและมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานน้อยกว่ามาก

ท่านว่าเป็นการพิจารณาเลื่อนขั้นโดย ไม่คำนึงถึงปริมาณงาน ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการดำเนินงานแต่ละศูนย์

ผู้ฟ้องคดีสมควรได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้นก่อนสามศูนย์ดังกล่าว

เป็นการใช้ดุลพินิจ โดยมิชอบตามมาตรา ๗๒ แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๓๕ พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๓๑๔ / ๒๕๔๙)

ค่าของคนต้องไปคุยกันที่ศาลปกครองนะครับ

พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์

ที่มา: ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2553

ขึ้นเงินเดือนแต่เงินเดือนไม่ขึ้น

เรื่องขึ้นเงินเดือนเป็นเรื่องของรัฐบาล มีแต่ความเบิกบานใจสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คนพิจารณาทำเรื่องนี้ได้รับความชื่นชม คะแนนนิยมกระฉูด

ส่วนเรื่องเงินเดือนไม่ขึ้นเป็นเรื่องของข้าราชการ

ใครโดนเรื่องนี้เข้าย่อมหมองหม่นทุกข์ใจ มีแต่อารมณ์อยากเตะคนพิจารณา

สุดขั้วกันอย่างนี้แหละครับท่าน

การเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีเป็นสิทธิของข้าราชการทุกคนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่องค์กรกลางบริหารงานบุคคลกำหนด

แวดวงข้าราชการเรียกกันว่าขึ้นเงินเดือนเหมือนกัน ขึ้นหนึ่งขั้น ขั้นครึ่งหรือสุดยอดสองขั้น ถ้าสุดยอดระดับพรวดพราดเจ็ดขั้น เก้าขั้น

อันนี้ก็แรงไปไม่มีใครอยากได้ ผู้ได้รับการปูนบำเหน็จไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตกันทั้งนั้น

ส่วนใหญ่ต้องไปประกาศคุณงามความดีที่มีความชอบเก้าขั้นเจ็ดขั้นกันในวันฌาปนกิจที่วัด

การเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาการเลื่อนขั้นของผู้ใต้บังคับบัญชาตามกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ

เมื่อเป็นดุลพินิจของบุคคลที่เป็นเจ้านาย พระเดชพระคุณท่านที่เคารพจึงมีเรื่องราวอันหลากหลายว่าผู้บังคับบัญชาใช้ อำนาจไม่เป็นธรรม เลือกที่รักมักที่ชัง เด็กใครเด็กมัน (อีกแล้ว)

จึงขอนำแนวทางปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นเงินเดือนจากคำพิพากษาของ ศาลปกครองสูงสุดมานำเรียนทั้งท่านผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา

ในโอกาสอันเป็นมงคลที่ได้ขึ้นเงินเดือนจากรัฐบาลและดันอัปมงคลเจ้านายไม่ขึ้นเงินเดือน

คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการครู ถูกผู้บังคับบัญชาสั่งเลื่อนขั้นให้แค่ครึ่งขั้น โดยใช้อำนาจพิจารณาเพียงฝ่ายเดียว ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนตามวิธีประเมินความดีความชอบ

อย่างนี้ความอดทนเกินลิมิตแล้ว จึงฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งเลื่อนขั้นดังกล่าว

กฎหมายว่าด้วยการเลื่อนขั้นของข้าราชการครูคือกฎ ก.ค. ฉบับที่ ๒๐ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓

ข้อ ๙ กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายนำผลการประเมินการ ปฏิบัติงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค. กำหนด และข้อมูลเกี่ยวกับการลา พฤติกรรมการมาทำงาน การรักษา วินัย การปฏิบัติตนเหมาะสมกับการเป็นข้าราชการครูและข้อควรพิจารณาอื่น ๆ ของข้าราชการครูผู้นั้นมาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วรายงานผลการ พิจารณานั้นพร้อมด้วยข้อมูลดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปตาม ลำดับจนถึงผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน

กฎหมายว่าไว้อย่างนี้ ถามว่าในการพิจารณาเลื่อนขั้นของผู้บังคับบัญชาคุณครูผู้ฟ้องคดีท่านทำประการใดบ้าง

ไม่ได้ประมง ประเมินอะไรให้วุ่นวายกับเขาหรอกครับท่าน

ศาลปกครองสูงสุดท่านจึงวินิจฉัยแนวทางปฏิบัติในกรณีนี้ดังนี้ว่า กฎ ก.ค.ตามข้อ ๙ ดังกล่าวได้กำหนดกรอบการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาว่า ต้องนำผลการประเมินการปฏิบัติงานซึ่งผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้รับการ ประเมินเป็นผู้ประเมินเบื้องต้นตามหัวข้อที่กำหนด แล้วนำเสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามสายการบังคับบัญชา

ทั้งนี้ ให้จัดมีการประเมินอย่างน้อย ปีละสองครั้ง โดยระยะเวลาในการประเมินห่างกันพอสมควร และเมื่อเสร็จการประเมินผลแต่ละครั้ง ผู้ประเมินต้องแจ้งการประเมินและผลการประเมินให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูก ประเมินทราบเป็นรายบุคคล

เพื่อให้มีการแก้ไขปรับปรุงการปฏิบัติงานรวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับ บัญชาที่ถูกประเมินได้ชี้แจง ให้ความเห็นหรือขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการประเมินและผลการประเมินดังกล่าว

อันจะทำให้การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการครูมีความเป็นธรรม โปร่งใส สามารถตรวจสอบและอธิบายได้

อีกทั้ง ผู้ใต้บังคับบัญชามีโอกาสทราบผลการประเมินเพื่อการโต้แย้งหรือปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น

ผู้บังคับบัญชาไม่ได้ทำดังที่ว่ามานี้สักอย่าง

การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนในกรณีนี้จึง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๑/๒๕๔๘)

เมื่อไม่ชอบก็ต้องถูกเพิกถอนคำสั่ง ไปทำคำสั่งใหม่ให้ชอบ ห้ามมั่วมาเหมือนเดิม
(ท่าน ผอ.ใช้กฎ"ก.อ."(กูเอง)หน้าแหกมั๊ย หมออาจไม่รับเย็บเด้อค่ะเด้อ)


ประเด็นต่อมา กฎ ก.ค.ฉบับดังกล่าวตามข้อ ๖ กำหนดว่า ข้าราชการครูที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีหนึ่งขั้น ในรอบปีที่แล้วมาต้องไม่ขาดราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

จึงมีปัญหาว่าท่านผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขตออกคำสั่งเลื่อน ขั้นเงินเดือนให้ข้าราชการครูรายหนึ่ง หนึ่งขั้นเรียบร้อยแล้ว บัดนี้มีคำสั่งตามหลังจากหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอให้ลงโทษภาคทัณฑ์คุณครู รายนี้กรณีขาดราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรในรอบปีที่แล้วมา

คำสั่งลงโทษมาทีหลังคำสั่งเลื่อนขั้น และเข้ากรณีเลื่อนขั้นให้คุณครูรายนี้ไม่ได้จะเพิกถอนแก้ไขคำสั่งเดิมได้ไหม

ได้ไม่ได้ ท่านผอ.เขตออกคำสั่งแก้ไขคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนเดิมโดยถอนชื่อคุณครูผู้ ถูกลงโทษออกจากคำสั่งเดิมดังกล่าวเรียบร้อยแบบไม่ต้องมีคุณครูวิวัฒน์

จึงเป็นคดีที่ศาลปกครองตามธรรมเนียม ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่าคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนให้คุณครูผู้ฟ้องคดี หนึ่งขั้น ขัดต่อข้อ ๖ แห่งกฎ ก.ค.ดังกล่าว เป็นการออกคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนที่เกิดจากข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง

การออกคำสั่งเพิกถอน ชื่อคุณครูผู้ฟ้องคดีจึง ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาที่ อ.๙๗/๒๕๔๗)

เป็นการแก้ไขคำสั่งทางปกครองที่เกิดจาก"ข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง"โดยหน่วยงาน ทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ครับท่าน (สรุปกรณีนี้เงินเดือนไม่ขึ้น)

พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com

ที่มา: ขึ้นเงินเดือนแต่เงินเดือนไม่ขึ้น กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2553
ผลจากการประเมินคุณภาพของนักเรียนด้วยข้อสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) ของกลุ่มประเทศสมาชิก OECD(Organisation for Economic Co-operation and Development) ซึ่งเป็นการประเมินตรวจสอบโดยมองไปในอนาคตว่าระบบการศึกษาได้เตรียมความ พร้อมให้กับเยาวชนสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ และเพื่อการมีส่วนร่วมในสังคมในอนาคตเพียงพอหรือไม่ พบว่า นักเรียนไทยยังมีระดับ “ความรู้หนังสือ” (ผู้เขียนขอใช้คำว่า “ความรู้หนังสือ” แทนคำว่า “Literacy” ซึ่งน่าจะยังไม่มีคำไทยที่จะสื่อความหมายได้ตรงตัวที่สุด) อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์และอยู่ในลำดับท้ายๆ ซึ่ง “ความรู้หนังสือ” นี้มิได้มีความหมายเพียงแค่การอ่านออกเขียนได้ และคิดคำนวณเป็นเท่านั้น แต่มีความหมายรวมไปถึงความสามารถในการวิเคราะห์ ตีความสารสนเทศที่ได้จากการอ่าน การรู้เท่าทันข้อมูล สื่อ เหตุการณ์ หรือสภาวการณ์ต่างๆ ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่มีข้อมูลสารสนเทศท่วมหัวเช่นใน ปัจจุบัน

แนวโน้มการศึกษาของไทยเองก็ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง กระทรวงศึกษาธิการจึงได้พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบหลักสูตรให้เป็น “หลักสูตรอิงมาตรฐาน(Standard-Based Curriculum)” แทนหลักสูตรเดิมซึ่งเป็นหลักสูตรแบบอิงเนื้อหา(Content-Based Curriculum) เพราะการจำข้อมูลความรู้ไปแบบดิบๆ ของนักเรียนไม่สามารถจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการนำไปใช้พัฒนาประเทศชาติได้ ยิ่งสถานการณ์ของโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา องค์ความรู้ต่างๆ ก็มีการปรับเปลี่ยน/เพิ่มเติมอย่างรวดเร็วจนยากที่ครูจะบอกสอนผู้เรียนได้ ครบทุกเรื่อง โรงเรียนจึงควรสอนความรู้ที่เป็นรากฐานสำคัญและทักษะที่ผู้เรียนจะนำไปใช้ใน การแสวงหาความรู้หรือเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองได้ในภายภาคหน้า

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เองก็พยายามที่จะระบุสมรรถนะที่สำคัญสำหรับผู้เรียนไว้ 5 ประการคือ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ในกลุ่มสาระต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้น แต่ผู้เขียนเองก็ไม่มั่นใจนักว่ากิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียนทั่วไปจะ ส่งเสริมให้เกิดสมรรถนะดังกล่าวได้เป็นอย่างดีหรือไม่ หากทุกฝ่ายยังไม่เข้าใจเหตุผลความจำเป็นที่แท้จริง จึงอยากเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะที่มีความจำเป็นต่อผู้เรียนสำหรับ โลกในอนาคต ซึ่งครูควรหล่อหลอมและปลูกฝังให้เกิดกับผู้เรียน ดังนี้

1. นักอ่าน จากตัวเลขสถิติการอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยของคนไทยที่น้อยจนน่าวิตก รัฐบาลเองก็มีความพยายามที่จะผลักดันเรื่อง “รักการอ่าน” ให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ก็ยังดูเป็นเพียงลมปาก (Lip Services) เท่านั้น ผู้เขียนอยากเสริมในประเด็นนี้อีกว่า นอกจากในเรื่องของการอ่านภาษาไทยแล้ว โรงเรียนคงต้องช่วยส่งเสริมในเรื่องการอ่านและใช้ภาษาอังกฤษด้วย ทำอย่างไรจะทำให้สังคมไทยยอมรับภาษาอังกฤษได้อย่างไม่เคอะเขิน(แม้ว่าเราจะ ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครก็ตาม) อย่ามองการใช้ภาษาอังกฤษว่าเป็นเรื่องของคนหัวสูง แต่ควรฝึกฝนใช้ให้เป็นสิ่งคุ้นเคย ทั้งนี้เพราะภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เราคุยกับคนทั่วโลกได้ รู้เรื่อง เราจะสามารถเรียนรู้วิทยาการต่างๆ ได้อย่างไร้พรมแดน ลองนึกภาพดูว่าคนค่อนโลกเขาคุยกันรู้เรื่องหมดแต่เราคุยกับเขาไม่รู้ เรื่องอยู่คนเดียวแล้วจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นปมด้อยและอุปสรรคในการออกสู่โลกกว้าง สำหรับคนไทยส่วนใหญ่เช่นในอดีตและปัจจุบัน

2. นักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ เราจะพบว่านักเรียนไทยจำนวนไม่น้อยยังมองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือสื่อ สาร และใช้เพื่อการบันเทิงเท่านั้น แต่ยังไม่มองเทคโนโลยีในแง่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ไร้พรมแดน ซึ่งตรงนี้ครูคงต้องริเริ่มออกแบบการสอนที่จะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วน หนึ่งของการเรียนรู้ในห้องเรียน เพื่อพยายามชี้ให้นักเรียนได้เห็นว่าเราสามารถใช้ประโยชน์และหาคำตอบในสิ่ง ที่อยากรู้ทั้งหลายได้จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเสนอตัวอย่างมุมมองการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเป็นช่องทางเพื่อส่งเสริม การประกอบอาชีพ หรือที่เรียกว่า “มองให้เป็นเงินเป็นทอง” ขึ้นมาได้

3. นักวิเคราะห์สารสนเทศ เนื่องจากปัจจุบันในโลกไซเบอร์มีสารสนเทศอยู่มากมาย บ้างก็เป็นข้อเท็จจริง บ้างก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล และที่ร้ายกว่านั้นอาจเป็นข้อความที่มีเจตนาบิดเบือนหลอกลวงให้บุคคลอื่น เข้าใจผิดเพื่อหวังประโยชน์ส่วนตน นักเรียนจะต้องมีวิจารณญาณในการตีความและ วิเคราะห์ก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อ บ่อยครั้งที่ครูสั่งงานให้นักเรียนไปค้นคว้าหาความรู้จากอินเทอร์เน็ตแล้ว นักเรียนใช้การก๊อป&วาง(Copy and Paste) เพื่อทำรายงานมาส่งครูโดยที่ไม่ได้อ่านเนื้อหานั้นเลย ครูควรแนะนำให้นักเรียนรู้จักเลือกแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา รวมทั้งให้นักเรียนอ้างอิงที่มาของเนื้อหานั้นด้วย เพื่อครูจะได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลและการทำงานของนักเรียนว่า นักเรียนได้สังเคราะห์ข้อมูลเป็นหรือไม่อย่างไร

4. นักแก้ปัญหา สำนวน “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของการจัดการศึกษาที่ไม่บรรลุประสิทธิผล ผู้เรียนไม่สามารถนำความรู้ที่ร่ำเรียนไปใช้ได้จริง สังคมจะเต็มไปด้วยคนประเภทที่ “รู้ดี พูดดี แต่ทำไม่ได้” คงต้องยอมรับว่าปัจจุบันประเทศของเรามีปัญหาในสังคมหลายเรื่องที่ยังแก้ไม่ ได้ ผู้หลักผู้ใหญ่บางคนก็ยังหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับปัญหาโดยตรงหรือใช้วิธีการ แก้ปัญหาแบบโกยเอาปัญหาไปกองหลบไว้อีกมุมหนึ่ง(พอให้ลับตาคน) วันดีคืนดีปัญหาเหล่านั้นก็ปะทุขึ้นมาทีหนึ่ง วนเวียนอยู่เช่นนี้เป็นวัฏจักร และนับวันปัญหาทั้งหลายก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ โรงเรียนควรต้องจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกวางแผนแก้ปัญหา ได้เรียนรู้เทคนิคการแก้ปัญหาที่เป็นชีวิตจริงอยู่เสมอ เพื่อเป็นการเตรียมสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพในการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนให้กับ ประเทศชาติ อนาคตของชาติจะได้ไม่แย่ไปกว่าวันนี้

5. นักกระหายใคร่เรียนรู้(Active Learner) ผู้เขียนจะรู้สึกสลดใจมากหากได้ยินคำถามจากนักเรียนว่า “วันนี้ครูจะสอนอะไร” “ครูจะสั่งให้ทำอะไร” “อันนี้ต้องจดไหม” ฯลฯ เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่านักเรียนได้แต่รอให้คนอื่นมานำพาชีวิตเขาไป นักเรียนไม่ได้มีเป้าหมายแท้จริงอย่างที่ตัวเองต้องการ ได้แต่ทำตามที่คนอื่นบอกหรือทำอย่างที่เขาทำๆ กัน นักเรียนทุกคนควรมีความศรัทธาเชื่อมั่นในตนเองว่า “ฉันทำได้...ฉันเรียนรู้ได้” และ “ฉันจะต้องได้เรียนในสิ่งที่ฉันอยากรู้” เพราะแท้ที่จริงแล้วการศึกษาก็คือชีวิตของเรา ในปลายทางของชีวิตแล้วเราไม่ได้เรียนไปเพื่อสอบ ไม่ได้เรียนไปเพื่อเกรด4 ไม่ได้เรียนไปเพื่อพ่อเพื่อแม่ แต่เราเรียนเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขบนโลกใบนี้ และมีชีวิตเพื่อการเรียนรู้ (Lifelong Learning)

6. นักธรรม คุณสมบัติข้อนี้มิได้หมายถึงการสอบธรรมศึกษา(ที่เน้นแบบเชิงปริมาณ)แต่อย่าง ใด แต่หมายถึงการมีคุณธรรมจริยธรรม มีสำนึกรับผิดชอบต่อผู้อื่นและสังคม และรู้สึกละอายต่อการทำผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่จะกำกับความกระหายใคร่รู้ในข้อ 5 มิให้กลายเป็นความ “สอดรู้” เราคงรู้สึกกันได้ว่าสังคมไทยขณะนี้เริ่มมองการสอดรู้สอดเห็นเป็นเรื่อง ธรรมดาไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีคลิปลับส่วนบุคคลที่ต้องกลายเป็นคลิปสาธารณะ หนังสือประเภทซุบซิบนินทาที่วางขายกันเกลื่อนแผงหนังสือ หรือแม้แต่รายการประเภทแฉเรื่องราวส่วนบุคคลของคนที่มีชื่อเสียง อันแสดงให้เห็นว่าสังคมกำลังมัวเมากับการเสพความบันเทิงจากเรื่องเสียหายของ ผู้อื่น หากเราปล่อยให้เยาวชนเอาแต่ลุ่มหลงฝักใฝ่กับเรื่องเหล่านี้โดยไม่กระตุกความ คิดกันบ้าง ความเจริญงอกงามทางความคิดของเยาวชนไทยก็คงลอยไกลออกไปทุกที

ผู้เขียนเชื่อว่าหากการศึกษาขั้นพื้นฐานสามารถทำให้เยาวชนเกิดคุณลักษณ์ 6 ประการข้างต้นได้สำเร็จ นั่นถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาอันยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่า"การปฏิรูปเอกสารหลักสูตร ปฏิรูปข้อกฎหมาย หรือปฏิรูปโครงสร้างต่างๆ เช่นที่ผ่านมา" ประเทศไทยเราสาละวนอยู่แต่กับการสร้างกรอบสร้างเกณฑ์ต่างๆ มาตลอด สร้างเสร็จก็รื้อออกมาสร้างใหม่ หมดเงิน...หมดเวลา...และหมดแรงไปมิใช่น้อย คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องปรับกระบวนทัศน์ในการคิดและการทำงานกันใหม่เสียที มาช่วยกันนะครับ “เพื่อชาติ”

พงศธร มหาวิจิตร / ครูโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี
นิสิต ป.เอก สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2553

ซื้อขายปริญญา(ปลอม)

สวนดุสิตรับซื้อขายปริญญามีมานาน เชื่อปลอมใบปริญญาทำยาก ด้าน ม.กรุงเทพเตรียมเอาผิดเว็บไซต์

เมื่อ วันที่ 26 ธ.ค. ดร.มัทนา สานติวัตร อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในฐานะนายกสมาคมมหาวิทยาลัยเอกชน กล่าวถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้รับร้องเรียนว่ามีการซื้อขายใบปริญญาปลอมผ่านทางเว็บไซต์ ว่า เรื่องดังกล่าวตนขอหารือกับฝ่ายกฎหมายของมหาวิทยาลัยก่อนว่าจะมีการฟ้องร้อง เว็บไซต์หรือไม่ที่นำโลโก้ของมหาวิทยาลัยไปใช้ในการปลอมแปลงใบปริญญา ซึ่งที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยได้เฝ้าระวังเรื่องนี้อย่างเข้มงวด เพราะมีหลายหน่วยงานโดยเฉพาะหน่วยงานราชการได้ส่งวุฒิการศึกษามาให้ ทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบว่าเป็นวุฒิการศึกษาที่ถูกปลอมแปลงขึ้นหรือไม่ และได้ตรวจสอบแล้วพบเป็นวุฒิปลอมอยู่บ้างแต่ไม่บ่อย ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงได้แจ้งความเอาไว้

“ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยเฝ้าระวังเรื่องนี้มาโดยตลอด และเราไม่คิดว่าจะมีคนภายในมหาวิทยาลัยเป็นคนดำเนินการ เพราะเชื่อว่าระบบของมหาวิทยาลัยกรุงเทพมีระบบที่คัดกรองคนเข้ามาทำงานอย่าง เข้มข้น โดยเฉพาะบุคลากรชาวต่างชาติ จะมีการตรวจสอบประวัติย้อนหลังตั้งแต่อยู่ต่างประเทศและหากพบว่ามี ประวัติการทำงานหรือการศึกษาถูกปลอมแปลงเราจะยุติสัญญาการว่าจ้างทันที” ดร.มัทนา กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามอยากฝากถึงหน่วยงานและบริษัทต่างๆหากต้องการจะตรวจสอบวุฒิของ ผู้สมัครงานก็ให้ส่งเรื่องมาได้ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพทางมหาวิทยาลัย ยินดีจะตรวจสอบให้พร้อมที่จะช่วยคัดกรองให้อีกทางหนึ่ง

ด้านรศ.ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต(มสด.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎแห่งประเทศไทย (ทปอ.มรภ.) กล่าวว่า เรื่องการซื้อขายปริญญามีมานานแล้ว ตนเชื่อว่าทุกมหาวิทยาลัยดูแลเรื่องนี้มาตลอด เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการซื้อขายปริญญาปลอม และจากการตรวจสอบพบว่าคนที่พยายามทำเรื่องนี้จะเป็นคนนอกมหาวิทยาลัย เนื่องเห็นว่าเป็นช่องทางทำมาหากินได้ ส่วนคนในมหาวิทยาลัยไม่น่าจะทำ เพราะเรื่องการปลอมแปลงเอกสารต่าง ๆทำได้ยาก โดยเฉพาะใบปริญญาจริง ที่จะต้องมีตัวเลขต่าง ๆกำกับและลายเซ็นต์ที่ปลอมกันไม่ได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่จะเป็นทรานคลิป และจากที่ตรวจสอบพบว่ามีการปลอมทรานคลิปไม่มากนัก อย่างของมสด.ปีนี้มีเพียง 2-3 ราย ที่บางรายไปเอาทรานคริปของคนอื่นมาแล้วไปลบชื่อออกจากนั้นใส่ชื่อตัวเองลงไป แทน และนำไปถ่ายเอกสาร ดังนั้นถ้าหน่วยงานไหนไม่ได้ตรวจสอบอาจจะไม่รู้

ผศ.ดร.ปานเพชร ชินินทร รองอธิการบดีวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)ธัญบุรี กล่าวว่า การปลอมใบปริญญา เชื่อว่าได้ยาก เพราะใบปริญญาของแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีลักษณะเฉพาะ มีลายเซ็นต์ มีการกำหนดหลักฐานข้อมูล ที่สามารถบ่งบอก และตรวจสอบได้ ส่วนการจะแฮกข้อมูลของมหาวิทยาลัยจากฐานข้อมูลเพื่อมาทำใบปริญญา ไม่ได้ทำง่ายๆ เช่นกัน เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยน่าจะมีระบบป้องกันที่ดี

หากสงสัย ท่านสามารถส่งข้อมูลให้มหาวิทยาลัยนั้น ๆ ตรวจสอบได้

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2553

Saturday, December 25, 2010

พรปีใหม่จากสมเด็จพระสังฆราช 'ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ'

สมเด็จพระสังฆราช ทรงประทานพระพรปีใหม่ให้ประชาชน "ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ" ขอธรรมคือคุณงามความดีที่ทุกท่านประพฤติแล้วจงนำสุขมาให้แก่ท่าน ...

24 ธ.ค.2553 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานพระพรปีใหม่ พุทธศักราช 2554 ให้แก่ประชาชนชาวไทย มีใจความว่า ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้โดยทั่วไปย่อมถือกันว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อถึงคราวจำเป็นคนเราอาจสละทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิต หากพิจารณาตามแนวของพระพุทธศาสนาก็เป็นจริงเช่นนั้น พระพุทธศาสนาถือว่ารากฐานของชีวิตคือความดี หากมีความดีไม่ถึงขั้นจะไม่ได้ความเป็นมนุษย์ ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก เมื่อชีวิตมีค่า จึงควรที่เราจะต้องใช้ชีวิตให้สมค่าของชีวิต คือการที่ได้มาเป็นมนุษย์ โดยการทำความดี คือการไม่ทำบาปทั้งปวง การทำความดีให้ถึงพร้อม การทำใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์และการประกอบประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ปล่อยชีวิตให้เป็นไปอย่างเปล่าประโยชน์ ประพฤติปฏิบัติแต่คุณงามความดี ทั้งที่เป็นส่วนตนและผู้อื่น จึงได้ชื่อว่า สุชีวิต คือ ชีวิตที่ดีงาม ขออนุโมทนาสาธุการต่อคุณงามความดีที่ทุกท่านได้กระทำแล้วในปีเก่า และขออนุโมทนาสาธุการต่อคุณงามความดีที่ทุกท่านกำลังกระทำอยู่ในปัจจุบัน และในปีใหม่ พุทธศักราช 2554 ตลอดปี ขอธรรมคือคุณงามความดีที่ทุกท่านประพฤติแล้วจงนำสุขมาให้แก่ท่านเทอญ

'พรปีใหม่ 2554 สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานพระพรปีใหม่ 'ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ'

Thursday, December 23, 2010

หมอศิริราชสุดยอด ปลูกถ่ายตับอ่อนสำเร็จแห่งแรกในไทย

คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชสุดยอด ทำการปลูกถ่ายตับอ่อนสำเร็จแห่งแรกในไทย เผยค่าใช้จ่ายถูกเพียง 3 แสนบาท ชี้อนาคตจะทำให้ลดลงกว่านี้อีก...

“ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ตั้งแต่อายุ 20 ปี พอป่วยได้ 5 ปี ก็เกิดภาวะไตวายต้องฟอกไต 3 วันต่อ 1 สัปดาห์ ครั้งละ 4-5 ชั่วโมง คุณภาพชีวิตแย่มาก เพราะไหนจะต้องระวังเรื่องน้ำตาลที่สวิงตลอดเวลา ฉีดอินซูลินวันละ 4 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก บ่อยครั้งที่น้ำตาลต่ำจนช็อค และสูงขึ้นไปถึงหลักพัน แล้วยังต้องดูแลร่างกายตัวเองจากสภาวะไตวาย จนกระทั่งใน พ.ศ.2550 ก็ได้รับบริจาคไตจากผู้ป่วยสมองตาย และผ่าตัดเปลี่ยนไต” สมนึก หนึ่งในผู้ป่วยที่ผ่านการรักษา ที่เขาบอกว่าเหมือนได้ชีวิตใหม่ กล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์

ภายในงาน แถลงความสำเร็จของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ฝีมือชั้นครู ม.มหิดล เช่น ศ.คลินิกนพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศ.นพ.ศุภกร โรจนนินทร์ หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ อ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร หัวหน้าทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ อ.นพ.สมชัย ลิ้มศรีเจริญ ทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ ในการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับอ่อนในครั้งนี้ ณ โรงพยาบาลศิริราช

อ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร หัวหน้าทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ กล่าวว่า คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ทำการปลูกถ่ายตับอ่อนสำเร็จเป็นแห่งแรก ซึ่งการปลูกถ่ายตับอ่อนเป็นหนึ่งวิทยาการความก้าวหน้าทางการแพทย์ ที่ใช้กันแพร่หลายในต่างประเทศ แต่ไทยยังไม่เคยทำการปลูกถ่ายตับอ่อนมาก่อน เนื่องจากต้องอาศัยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยญชาญทำการผ่าตัดตับอ่อนของผู้บริจาค และความชำนาญในการต่อเส้นเลือดของผู้ป่วย ตลอดจนการดูแลอย่างถูกวิธีภายหลังการผ่าตัด

อ.นพ.สมชัย ลิ้มศรีเจริญ ทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ กล่าวว่า วิธีนี้เป็นการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลีน หรือเรียกว่า โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเป็นผลจากการทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินวันละหลายครั้งทุกวัน

อย่าง ไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้ เกรดภาวะช็อกจากน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปหรือสูงกินไป ผู้ป่วยบางรายต้องเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนั้นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ยังส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ จอประสาทจม และเส้นประสาทเสื่อม การรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับอ่อน จึงเป็นวิธีการรักษาหนึ่งในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่มาภาวะไตวายเรื้อรัง ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนไตร่วมด้วย

“โดย มากมักจะพบในเด็ก ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 นี้ ถือเป็นผู้ป่วยเบาหวานส่วนน้อยในประเทศไทย หากเทียบกับเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต การกิน ที่มักพบในวัยสูงอายุและคนอ้วน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ในประเทศไทย ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งหมด ในขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีถึง 90% เลยทีเดียว”

ด้าน ศ.นพ.ศุภกร กล่าวว่า ตับอ่อนอาจจะเป็นอวัยวะที่ไม่คุ้นหูนัก ตับอ่อนจะอยู่ด้านหลังกระเพาะอาหาร ลักษณะเป็นอวัยวะทรงรี ขวางกลางลำตัว ทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อยและผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ตับอ่อนจะสร้างอินซูลินได้น้อยหรือไม่สร้างเลย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่นิ่ง โดยจะสวิงต่ำเกินไปและสูงเกินไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตเป็นอย่างยิ่ง หากต่ำเกินไปอาจช็อคจนเสียชีวิตได้ หากสูงเกินไปจะส่งผลต่อไต ทำให้ไตวาย จอประสาทตาเสื่อม หลอดเลือดหัวใจตีบ

อย่างไรก็ดี การปลูกถ่ายเปลี่ยนตับอ่อนนี้ เป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย แต่ในประเทศอเมริกาเป็นเรื่องที่ทำมานานแล้ว โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2509 แต่จนถึงทุกวันนี้ทั่วโลกมีผู้ได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับอ่อนเพียง 23,000 คนเท่านั้น โดยราวๆ 17,000 คน อยู่ในอเมริกาและที่เหลือส่วนใหญ่จะอยู่ในยุโรป และมีประเทศอื่นๆ นอกภูมิภาคดังกล่าวเล็กน้อยไม่มากนัก สำหรับค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดอยู่ราว 200,000-300,000 บาท

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 23 ธันวาคม 2553

โรคเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ: Blood deficency in brain

พูดถึงหน้าที่และความต้องการเลือดในสมอง Function and blood requirement in brain. เขาว่า สมองมนุษย์ประกอบด้วยเซลประสาทมากกว่าแสนล้านเซล(หรือเรียกว่า นูร่อน) Human brain comprises more than 100 billion nerve cells (called "neurons"). นูร่อนเหล่านี้ควบคุมระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทโดยรอบ These neurons regulate central and peripheral nerve system. นูร่อนนี้กำกับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ These neurons control many organs' function, ranging from ตั้งแต่ cardiovascular (โรคหัวใจและหลอดเลือด), respiratory (ระบบทางเดินหายใจ), digestive (การย่อยอาหาร), eliminative function (ระบบขจัดของเสีย), hormone secret (การทำงานฮอร์โมนที่ยังเป็นความลับ), movement of limbs (การขยับเคลื่อนตัวของแขนขา), การพูดจา (language), ระบบความจำ (memories) ระบบการรับรู้ (recognition) ระบบความคิด (thinking) และอื่น ๆ (and others)

Wednesday, December 22, 2010

ขี้หงุดหงิด หงุดหงิดง่าย ขี้รำคาญ: Moody / Annoy / Bristle up / Irritable / Fretful

เดี๋ยวนี้ อากาศมันร้อนผิดปกติ เช่นเดียวกันกับผู้คนที่โมโหโกรธาง่าย Nowadays, weather seems to getting hotter than before, as well as people get into moody easily.

หงุดหงิด (ว.) เป็นภาวะการมีอารมณ์เสียอยู่เสมอ ๆ เช่น เธอเป็นคนหงุดหงิดง่าย, มีอารมณ์เสียเพราะ ไม่ได้ดังใจหรือไม่เป็นไปตามกำหนด เป็นต้น A moody person indicates state of being in a bad humor ; being in a bad tempered ; being in a bad mood ; being irritable ; getting angry easily.

ภาวะโกรธ(รำคาญ) bristle up เป็นการแสดงการโกรธ - show anger หรือ ความขุ่นเคือง ความเดือดดาล or indignation; เช่น เขาโกรธขุ่นเคืองต่อการพูดจา ยโสอวดดีของหล่อนเมื่อวันวาน He bristled at her yesterday insolent remarks. จะใช้คำ bridle at, bridle up, หรือ bristle at ก็ให้ความหมายทำนองเดียวกัน

การทำให้ใครบางคนรำคาญ บ้าคลั่ง คุมสติไม่อยู่ อารมณ์เสีย ใช้ drive someone crazy; drive someone insane; หรือ drive someone mad คือ พูดง่าย ๆ ว่า ทำให้มันเสียสมดุลย์แห่งสุนทรียภาพ

คำ drive you nuts ก็เหมือนกันกับ drive you crazy คือ ทำให้เกิดภาวะการโกรธ / โมโหโกรธา เช่น โปรแกรมใหม่ตัวนี้ทำให้เรารู้สึกโมโหโกรธา This new program drives me nuts.

ภาวะที่ประกอบด้วย งุ่นง่าน หงุดหงิด อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย กระวนกระวายใจ อารมณ์เสีย สามารถใช้คำ fidgety ได้ เช่น มีแนวโน้มที่จะเรียกเด็กที่หงุดหงิดง่าย อยู่ไม่เป็นสุข ว่าเป็นพวก ไฮเปอร์ There's a tendency to automatically label fidgety kids as “hyperactive."

ทำให้โกรธ หรือ รำคาญ madden(V) เช่น มันทำให้ฉันโกรธที่เห็นว่า ลินดาได้รับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม It maddens me to see how unfairly Linda has been treated. โดยมี maddened(Adj) เช่น พวกผู้ชายโต้เถียงกันและกันเมื่อเกิดการโกรธจากการดื่มมาก Men quarrel with each other when maddened by drink.

การโกรธแบบมีอารมณ์ upset อารมณ์เสีย ความทุกข์ร้อน ความหัวเสีย สิ่งที่ผิดคาด

หงุดหงิด กลุ้ม ในลักษณะหัวเสียไม่สบายใจ ใช้ fretful(Adj)

หงุดหงิด,เป็นประสาท,กังวลใจ,เกี่ยวกับประสาท nervous(เนิร์ฟ'เวิส) adj. shaky, timid [nervousness n.]

สแลง heebie-jeebies (Slang) เป็นความรู้สึก ไม่สบาย หรือ รู้สึกประหม่าหงุดหงิด A feeling of uneasiness or nervousness เช่น ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมช่่วงกลางคืนถึงได้รู้สึกหงิดหงิดยังไงบอกไม่ถูก I don't understand why i'd feel heebie-jeebies during the night.

คำอื่น ๆ ที่ให้ความหมายในเชิงหงุดหงิด ประหม่า เช่น jitters , anxiety, fidgets, butterflies, nervousness

คนขี้บ่น หรือ ขี้รำคาญ เรียก grouch [A habitually complaining or irritable person.]

คนขี้หงุดหงิดมักจะมี อารมณ์บูดบึ้ง sulky mood ไม่พอใจ grumpy อารมณ์ไม่ดี grouchy; ฉุนเฉียว peevish; ใจร้อน bad-tempered

"ขี้"ย่อมเป็นสิ่งไม่ดี มันเหม็น ทั้ง ขี้โกรธ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ ขี้บ่น ฝึกรู้จักปล่อยวางซะบ้าง Take it easy. แล้วชิวิตจะมีความสุขขึ้นอีกมาก

ดร.SoS

.

Tuesday, December 21, 2010

หลักสูตร'ซี้ดอุ๊ย'ทางเลือกพิฆาต'ท้อง แท้ง ทิ้ง' อ.นคร สันธิโยธิน ขบถเพศศึกษา

การได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิด กับครู  “โอนิซูกะ” จากหนังเรื่อง GTA ภาคผู้หญิง นคร สันธิโยธิน คุณครูหัวขบถที่เข้าไปนั่งในใจวัยรุ่นจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย แม่พิมพ์หัวก้าวหน้าที่ใช้หนังโป๊เป็นสื่อสอนเพศศึกษา...
แบบเรียนเพศ ศึกษาของกระทรวงฯ อันคร่ำครึ กระทั่งบุคลากรอันหมายถึงคุณครูสอนเพศศึกษาเฉพาะทางไร้ทักษะที่จะไม่เท่าทัน เด็กยุคใหม่-โลกฟรีเลิฟ - โลกเสรีที่ทันสมัย...?

เป็นอีกหนึ่ง “คำถาม” อาฟเตอร์ช็อกไล่หลังเหตุการณ์ “สึนามิ” วัดไผ่เงินฯ หรือ เหตุการณ์พบศพเด็กที่ถูกทำแท้งและทิ้งเอาไว้ 2,002 ศพ ฉาวโฉ่ขึ้นมา 

ข้อคิด จากครู “โอนิซูกะ” จากหนังเรื่อง GTA ภาคผู้หญิง นคร สันธิโยธิน คุณครูหัวขบถที่เข้าไปนั่งในใจวัยรุ่นจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย แม่พิมพ์หัวก้าวหน้าที่ใช้ "หนังโป๊" เป็นสื่อสอนเพศศึกษา

เพื่อหาทางออกให้กับ “มหาวิกฤต” ท้อง แท้ง ทิ้ง ของเด็กไทยว่าปลูกฝัง แก้อย่างไรให้ถูกจุดและยั่งยืน …!?!

Q : เห็นการพบศพเด็ก 2,002 ศพที่วัดไผ่เงินฯ ทำให้หลายนึกถึงคำพูดของ ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ที่ว่าว่า ณ วันนี้สังคมไทยอยู่ในยุค ฟรีเลิฟ ฟรีเซ็กส์ คุณเห็นด้วยไหม...?

A : ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าใช่ทั้งหมดค่ะ...สิ่งที่เราต้องตั้งคำถามก็คือวันนี้แต่ ว่าเราให้ความรู้ที่รอบด้าน ด้านดี-ไม่ดีและให้ข้อมูลครบถ้วนแล้วหรือยัง เรามองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันสะท้อนให้เห็นถึงว่า “ผู้ใหญ่” พ่อ แม่ พี่ น้อง ครูบาอาจารย์ดูแลเด็กๆ ดีพอหรือยัง ต้องกลับมาถามตัวเอาเอง แทนที่จะโทษและปล่อยให้เด็กไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่มีความรู้เท่าทันและอยู่ในโลกฟรีเซ็กซ์อย่างเดียวดาย

Q : ปัจจุบันครูอยู่ในวงการการศึกษามากว่า 30 ปีเป็นห่วงอะไรมากที่สุด...?

A : วันนี้เราก็ยังเป็นห่วงและรู้สึกว่า เด็กยังไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศที่รอบด้านเพียงพอ เพราะถ้าเขาได้รับครบถ้วนรอบด้านแล้ว เขาก็จะคิดและแก้ปัญหาได้ อย่างเรื่องกฎหมายทำแท้งเสรี ครูมองว่าเวลาที่ผู้ใหญ่จะคิดทำอะไรมันน่าจะทำ “ประชาพิจารณ์” เอาคนที่มีส่วนให้เขาเข้ามาแลกเปลี่ยนเลยว่ามันเพราะอะไร ที่ทำแท้งกันมากๆ เพราะเด็กขาดความรู้ไหม...? หรือมีปัญหาอะไรกับสังคมไหม...? เราจะได้พูดคุยทำความเข้าใจกับคนที่ถูกจุด อย่าให้ “ผู้ใหญ่ครอบงำ” คิดแทนเด็กๆ อย่างเดียว ปัญหาของเด็กก็ต้องถามเด็กโดยตรงถึงจะถูกต้อง ครูเสนอว่า ให้นำเด็ก-เยาวชนมาให้หลากหลายให้ทั่วถึงทุกกลุ่มสถานการณ์ต่างๆ มันดีขึ้นสักแต่ว่าคิดเอง-เออเองแบบนี้

Q : คุณกำลังจะบอกว่าพอเกิดเหตุการณ์ทำแท้งถูกตีแผ่ครั้งนี้ ผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษา-สาธารณสุขต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่านี้ ไม่ใช่พอข่าวลงแค่ไปจับสถานทำแท้งไปจับยาทำแท้ง ไปเยี่ยมวัดไผ่เงินฯ เอาหน้าไปถ่ายรูปลงข่าวแล้วก็กลับบ้านนอน

A : ก็นั่นน่ะสิ จริงๆแล้วมันเกิดวิกฤติอย่างนี้มันก็น่าจะเอามาเป็นประเด็นพอมันมีข่าวออกมา หน่วยงานต่างๆ ก็ต้องจัดการในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด อย่างคนทำอาชีพครูก็หยิบประเด็นขึ้นมาเลยว่าทำแท้งขนาดนี้ “พวกหนูดูแล้วรู้สึกยังไง มันมีประโยชน์ไหมแล้วโทษมันจะเป็นอย่างไรแล้วถ้าเป็นเธอๆ จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นไหม...?” แล้วก็ถามต่อว่าถ้าลักษณะแบบนี้ถ้าเธอเป็นผู้ใหญ่  หรือเป็นคนๆหนึ่งที่มีส่วนรับผิดชอบตรงนี้เธอจะรับผิดชอบยังไง มันก็มีวิธีที่จะพูดที่จะคุยได้หลายรูปแบบ 

วันนี้เรายืนยันได้เลย ว่า จากการที่เราสอนเด็กกว่า 600 คน วิธีการคิดมันก็ไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เด็กก็บอกว่าตระหนักมากขึ้น รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นสิ่งใกล้ตัว เป็นสิ่งที่จะต้องระมัดระวัง ฉะนั้นเราก็สอนเด็กๆ เลยว่าก่อนจะทำอะไรต้องคิดเธอต้องใช้สูตร“ค - ว –ย” และ “ห” คือ “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” อย่างมี ห. หรือ “เหตุผล” ด้วย

Q : มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าปัจจุบันหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการที่ว่าด้วยเรื่อง“เพศศึกษา” ไม่เท่าทันโลกสมัยใหม่


A : ถามเรา เราว่าหลักสูตรของกระทรวงฯ มันก็โอเคอยู่นะ แต่ปัญหาอย่างที่รู้ๆ กันว่าคนสอนจะกล้าสอนหรือเปล่า พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เพราะสังคมบ้านเรามันก็ลักษณะของ “มือถือสากปากถือศีล” อะไรที่กระทบกระเทือนกันหน่อย ก็ไม่กล้าพูด การที่เราทำแตกต่างจากคนอื่น กลายเป็นว่าต้องถูกซักฟอก ต้องถูกสังคมประณาม ประจาน ครูพูดมาตั้งแต่เมื่อ 8-9 ปีก่อนแล้วว่าปัญหา ท้อง- แท้ง - ทิ้ง นี่มันเกิดขึ้นแน่นอน เดี๋ยวคุณเจอวิกฤติกันแน่ถ้าคุณยังไม่ตระหนักในเรื่องนี้  แล้วทีนี้เป็นยังไง  โชว์ให้เห็นเลย 2,002 ศพเด็กที่โดนทำแท้งเหตุการณ์นี้เหมือน “ตบหน้าสังคม ตบหน้าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

Q : พอเกิดเหตุ ท้อง แท้ง ทิ้ง ทีไร เสียง “เรียกเพรียก” หลักสูตรการเรื่องเพศศึกษาทางเลือกก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง...?

A : ใช่ค่ะ จริงๆ ตอนนี้ก็มีคนมาทาบทามว่าครูให้ทำ “หลักสูตรเพศศึกษาทางเลือกขึ้นมา” ซึ่งครูอยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าจะยังไง แต่ว่าถ้าร่างทำแล้วมันเป็นประโยชน์ต่อสังคมมันก็ต้องลงมือลุยเพื่อส่วนรวม ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้หลักสูตรตามกระแสหลักจะโอเคแค่ไหน แต่ถ้าจะดีกว่าไหมถ้าเรามีหลักสูตรเพื่อเป็นทางเลือกขึ้นมา

Q : แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้หลักสูตรทางเลือกก็คือ วงการการศึกษาต้องผลิต ผู้สอนวิชาที่สำคัญแบบนี้ต้องมีกุศโลบายดีๆ ให้มีจำนวนมากขึ้นกว่านี้

A : ใช่ค่ะ และเหนืออื่นใดและคนในวงการศึกษาก็ต้องเข้าใจมากๆ อย่างกรณีการคิดนอกกรอบที่ครูเอาหนังโป๊มาเป็นสื่อการสอนอย่างหนึ่งบุคลากร เก่าๆ ของวงการนี้ไม่เข้าใจ จริงๆ เราปฏิเสธการดำรงอยู่อย่างมากมายของหนังแบบนี้ไม่ได้ แทนที่จะให้เขาดูคนเดียวเราก็เอามาเปิดและค่อยๆ สอนเขาให้เท่าทันในห้องเรียนดีกว่าไหม  แน่นอนว่าก่อนที่จะเอาอะไรไปนำเสนอเป็นสื่อการสอนเรื่องเพศทางเลือกอะไรที่ จะเกิดขึ้นมาในอนาคตให้กับเด็กๆ เราต้องรู้ว่าจุดหมายปลายทางของการสอนแต่ละเรื่องมันจะให้ทักษะอะไรบ้าง อย่างครูเปิด “หนังโป๊” ให้พวกเขาดูในห้องเรียน เราก็คิดมาแล้วว่าจะสอนสอดแทรกอะไรตอนไหน อย่างก่อนเปิดหนังโป๊เราก็จะถามเขาว่า “ถ้าเธอจะดูหนังแบบนี้ที่อื่นให้มันดูคนเดียวนะ...!” หลังจากดูเราก็กดหยุดแล้วก็ถามความรู้สึกตัวเองว่า 1.รู้สึกยังไง 2.ควบคุมอารมณ์ได้ไหม ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้และออกไปข่มขืนคนอื่นอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอ “ติดคุก ขึ้นศาล เข้าบ้านเมตตาใช่ไหม…?” ให้เขาได้คิด

ถามว่าถ้าไม่ให้มัน ดู  จงอย่าทำ  เด็กจะเชื่อไหม  ไม่เชื่อหรอก  ยิ่งห้ามมันเหมือนยิ่งยุ  ถ้าอยากดูก็ดูเลย  แต่ดูที่บ้าน  แล้วก็ดูคนเดียว  ดูเสร็จก็ “สไลด์หนอน” (หมายถึงสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง) ไปก็จบไม่ต้องไปดูหลายคนจะได้เรียนรู้และบอกคนอื่นเขาได้

“หม้อ ข้าวมันร้อนแล้วไม่เอามือไปจับมันจะรู้ไหมว่าร้อน” เราต้องเข้าใจความต้องการของเด็กวัยรุ่นว่ามันอยากรู้ “อยากโต อยากโชว์ อยากช่วย” ฉะนั้นกระทรวงศึกษาและโรงเรียนต่างๆต้องจัดกิจกรรมแล้วให้เด็กทำในสิ่งที่ สนใจและต้องการ ถึงจะได้พัฒนาศักยภาพไม่ใช่เช้าชามเย็นชามแบบนี้

Q : คนส่วนใหญ่มักเข้าใจ การเรียนเรื่องเพศศึกษาไม่ใช่แค่การมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น

A: หลายคนเข้าใจแบบนั้นจริง เพศศึกษาเป็นการเรียนรู้ทั้งหมดกระบวนการ 6 ด้าน พัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมสัมพันธภาพความเป็นพี่น้อง ทักษะการตัดสินใจกระบวนการคิด และในเรื่องของการแสดงความเหมาะสมในเรื่องของพฤติกรรมทางเพศมันเป็นยังไง ในเรื่องของสุขภาพทางเพศเป็นยังไง และรวมถึงสังคมและวัฒนธรรมด้วย

Q : ช่วงเวลาไหนที่เหมาะสมในการสอนเรื่องเซ็กซ์ให้แก่เด็ก...?

A : จริงๆ ก็ต้องเริ่มสอนกันมาตั้งแต่เริ่มแรก ๆ ตั้งแต่คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คนว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน ทุกวันนี้เกิดจากที่เด็กมันไม่มีความพร้อมพอขาดความพร้อมวุฒิภาวะมันก็ไม่มี พอไม่มีเวลามีอะไรเกิดขึ้นมันก็แก้ปัญหาไม่ได้  จริงๆ แล้วการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาเขามีหนังสือออกมาเยอะแยะ  ตั้งแต่พ่อแม่ให้มาว่าส่วนไหนเป็นสิ่งหวงห้าม ห้ามใครแตะต้องพอโตมาก็พูดถึงการดูแลเอาใจใส่  รักษาสุขภาพทำยังไง พอเข้าสู้วัยรุ่นอะไรมันจะเปลี่ยนแปลงอะไรมันจะเกิดขึ้น

การเท่า ทันอารมณ์ความรู้สึก การมีประจำเดือนของผู้หญิง  การฝันเปียกของเด็กผู้ชายเป็นยังไง เด็กต้องได้รับการเรียนรู้เขาจะได้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาพร้อม กับตัวตนของเรา ทีนี้ในโอกาสต่อไปเราจะต้องเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ที่มันจะเกิดขึ้น

Q : ถ้าเด็กเดินมาปรึกษาขอคำชี้แนะครูว่า “หนูท้อง และอยากจะแท้ง” เราจะสอนพวกเขาอย่างไร

A : ก็ต้องถามตัวเขา แล้วให้ทั้งคู่เขาคิดว่าจะเก็บไว้ หรือทำแท้ง หรือจะยังไงมันต้องถามความต้องการของเขา ไม่ใช่ถามความต้องการของเรา ถ้าจะทำแท้งมันก็สิทธิส่วนตัวของเขา เราก็ต้องให้เขาเห็นกระบวนการคิดรอบด้าน เช่น ทำผู้หญิงท้อง 4 เดือน ความต้องการที่แท้จริงของคุณคืออะไร...? แล้วนำมาคิดรวมกับ “จริยธรรม-คุณธรรม” ถามคุณพ่อคุณแม่ของทั้ง 2 ฝ่ายหรือยัง ถ้ามีปัญหาการทำแท้งแล้วแม่ตายลูกตายจะรับได้ไหม แล้วถ้าเก็บเด็กไว้ใครจะดูแล ใครจะออกค่าใช้จ่าย หรือมีทางเลือกอื่นอีกไหม เมื่อให้เขาบวก-ลบด้านดีและไม่ดีทั้งหมดแล้ว ท้ายที่สุดเราก็จะให้เขาเลือกว่าจะเอาอะไร เพราะเหตุผลมันก็จะบ่งบอกว่าคุณจะทำแท้งหรือไม่ทำแท้ง มันอยู่ที่ตัวคุณ 2 คนที่จะต้องคิดแค่นั้น

Q : อยากจะให้ช่วยแนะนำสำหรับเด็กที่มีแนวคิด หรือกลุ่มเสี่ยวที่มองว่าโลกนี้ ฟรีเลิฟ ฟรีเซ็กซ์


A :ครูมีวิธีสอนคือ ให้เด็กพกไข่มาคนละ 1 ฟอง  แล้วเอามาให้อาจารย์เซ็นชื่อ พอเซ็นชื่อเสร็จ หลังจากนั้นคุณต้องดูแลรักษาไข่เท่าชีวิตเป็นเวลา  8 วัน  8 คืน  ให้เลี้ยงติดตัวไว้ตลอดเวลา ห้ามไปวางที่อื่น ถ้าไปวางที่อื่นเอาไปฝากคนอื่นเลี้ยงจะ “แช่ง” ให้ “เอนท์ฯ” ไม่ติด แล้วความรับผิดชอบส่วนนี้ เด็กที่ถูกดูแลมาดีมันก็จะดูแลทะนุถนอม  เอาสำลีมาพันมาห่อ เก็บใส่กล่องอย่างดี แต่ถ้าเด็กที่ถูกเลี้ยงมาแบบปล่อยปละละเลยมันก็จะวางทิ้งโดนเพื่อนเหยียบ  พอหลังจากที่เลี้ยงเสร็จมันเน่าหรือไม่เน่าแล้วแต่  ตรงนั้นไม่ว่ากัน 

แต่ ท้ายสุดพวกเธอมาเล่าให้ฉันฟังสิว่า 1.ประสบการณ์ที่เลี้ยงไข่มันไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ร้องขอไม่ใช้เงินเปลืองมันให้ข้อคิดอะไรบ้าง 2.เปรียบเทียบสิว่าพ่อแม่เลี้ยงเธอมา 10 กว่าปีเนี่ย  แต่เธอเลี้ยงไข่ 8 วัน มันเปรียบเทียบกันได้ไหมมีอะไรอยากบอกพ่อแม่ไหม แล้วสุดท้ายถ้าเธอเกิดไปทำใครท้องขึ้นมา เธอพร้อมที่จะเป็นพ่อของลูกสาวลูกชายมากน้อยแค่ไหน พร้อมมากเพราะอะไร ไม่พร้อมเพราะอะไร ไม่พร้อมสุดๆ เพราะอะไร  สิ่งที่เราอยากจะรู้ก็คือ  8  วันที่คุณได้จากการเลี้ยงไข่  แล้วพบว่าจาก 600 คน มีคนที่พร้อมจะเป็นพ่อคนแค่เพียง 3 คนเท่านั้น  ส่วนนอกนั้นบอกว่าผมแค่อยากจะมีเซ็กซ์ แต่ไม่อยากเป็นพ่อคน  มันเบื่อ  มันรำคาญ เราต้องมีวิธีสอนให้เขาคิดวิเคราะห์มากว่าหยิมๆ ท่องจำ

Q : คุณเห็นด้วยกับ “กฎหมายทำแท้งเสรี” ไหม...?
A : ตรงนี้เราให้ความสำคัญในเรื่องของสาเหตุของแต่ละคนที่ท้องขึ้นมา สาเหตุมันเพราะอะไร มันเกิดเพราะว่ามันพลาด  หรือประมาท  หรือเพราะอะไร  บางคนอาจจะยังไม่รู้จักถุงยางก็ได้  แต่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกคือเด็กไม่รู้  พอเกิดขึ้นมามันก็จะมีทำแท้ง ไม่ทำแท้ง เราไม่ดู เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องเข้าใจว่าคนที่ทำต้องมีเหตุผล เราจะไปประเมินเราจะไปตัดสินเขาไม่ได้

เช่น วันลอยกระทง ลอยเสร็จก็ไปนินทาเขาอีกว่าต้องไป “ลอยดอก” ต่อ หรืออย่าง “วันวาเลนไทน์” คือวันเสียตัว จริงๆ เราอย่าไปมองว่าเด็กเป็นอย่างนั้นทั้งหมด “อย่ามารวมเด็ก 17 ล้านทั้งหมด เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกคน อย่าคิดแทนเด็ก...?” เราต้องให้ความรู้ที่รอบด้าน แต่การตัดสินใจให้เป็นเรื่องของเด็กเอง ไม่เกี่ยวกับเรา สิ่งสำคัญที่ความผิดมันจะอยู่ที่ผู้ใหญ่ก็คือ ผู้ใหญ่ไม่ให้ความรู้เด็ก ไม่ให้ประสบการณ์ ไม่ให้โอกาส 

สุดท้ายก็คือไปครอบงำว่าต้องเป็น แบบนี้ๆ  เด็กไม่ใช่วัตถุ  มีชีวิตมีจิตใจเหมือนกัน  มันไม่มีถูกไม่มีผิด  ตรงนี้มันต้องเกิดจากการเรียนรู้  ทำไมเราไม่เอาวิกฤติที่เกิดขึ้นตรงนี้มาทำให้เกิดการเรียนรู้เกิดขึ้น  พอมีการทำแท้งเกิดขึ้นแบบนี้คุณจัดเวทีสาธารณะขึ้นมาว่า เหตุมันเกิดขึ้นเพราะอะไร  สาเหตุมันมาจากไหน  ระดมพลออกมาให้หมดในทุกภาคส่วน เอาเข้ามาให้หมด  แล้วก็รับฟัง ว่าเขามีประเด็นอะไร อะไรที่มันสำคัญ  แล้วอะไรที่มันแก้ไขได้ คุณจับๆ ออกมา  แล้วเราก็จะรู้ว่า  ไม่ต้องไปทำวิจัยตรงไหนหรอก  เอาตรงนี้แหละ  อะไรก็ตามที่มันไม่เบียดเบียนคนอื่นเขา  คนเราต้องรู้จักแยกแยะได้  เราจะพูดกับเด็กเสมอ  คำว่า  ถูก  ดี  ควร มันต่างกันยังไง  หรือคำว่า  ผิด  พลาด  ชั่ว  มันต่างกันยังไง  ถูกก็ถูกต้อง  ถูกกฏหมาย  ดีไม่มีใครบังคับทำแล้วจะดีมาก ถ้าทำแล้วมันส่งผลต่อมวลมนุษยชาติ  ผิดก็ผิดกฎหมาย  ผิดระบบวิธีการ  แอบแฝงซ่อนเร้น พลาดอาจจะนอนไม่เต็มที่เขาให้นอน 8 ชม. แต่นอนแค่ 2 ชม.  ก็เบลอได้  ชั่ว  หมายถึงทั้งผิดและทั้งพลาด 

ฉะนั้นเราต้องให้เด็กวิเคราะห์ให้ได้ ว่าความถูกความดีมันคืออะไร  การที่คนที่ไม่รู้อิโน่อิเน่มาตายลงมันก็ไม่ใช่ทางออก  กฎหมายมันมีอยู่แล้ว  แต่ว่าใช้กันอย่างถูกต้อง  ถูกช่วงเวลาหรือเปล่า

Q : สุดท้ายถ้าหากจะต้องมีคนจะต้องรับผิดในเรื่อง “ทำแท้ง” เด็ก ผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ครอบครัว คนออกกฏหมาย กระทรวงศึกษาธิการ หรือ คุณครู

A : ต้องกลับมาย้อนดูตัวเอง  ไม่ต้องไปโทษใคร  ว่าแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ถูกต้องแค่ไหน คนเป็นครูสอนหรือยัง  คนเป็นตำรวจทำหน้าที่หรือยัง  คนเป็นหมอทำหน้าที่หรือยัง  คือทกคนต้องกลับมาดูตัวเอง  อย่าไปโทษสังคม  อย่าไปโทษใคร  เพราะเราเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมไม่ได้  แต่เราเปลี่ยนตัวเราได้  แต่เราจะตัดสินว่าใครชั่วหรือใครดีไม่ได้  คนทุกคนจะมีเหตุผลในการกระทำเสมอ  แต่การที่จะอยู่ในสังคมเดียวกันได้  มันจะต้องมีกติการ่วมกัน  อยู่ที่ว่าคุณทำหน้าที่ของคุณได้ถูกต้องไหมแค่นั้นเอง

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 22 ธันวาคม 2553

ประสบความสำเร็จ: Success, Achieve accomplish

การประสบความสำเร็จเป็นเป้าหมายของผู้คนทุกยุคทุกสมัย Success is the ultimate goal of people of all era. [era หมายถึง ยุค หรือ ช่วงเวลา]

สำเร็จ = ได้ผล = สัมฤทธิ์ผล

ภาวะตื่นเต้นดีใจที่สามารถทำอะไรได้สำเร็จ เรียกว่า "flushed with success" เช่น กล่า่วว่า โค้ชรู้สึำกตื่นเต้นถึงความสำเร็จ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากการแข่งขันฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ The coach will be flushed with success whatever happens at the World Cup in South Africa. ผู้ออกแบบรถรู้สึกตื่นเต้นถึงภาวะความสำเร็จ ที่สามารถสร้างเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานน้อย Car designers flushed with success with low-powered engine.

สำนวนที่กล่าวเน้นว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก คือ a roaring success เช่น โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง This project is a roaring success.

สำนวน be a howling success ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากเช่นกัน เช่น งานเลี้ยงประสบความสำเร็จอย่างมากมาย The party is a howling success.

นอกจากนั้้นยังสามารถใช้คำง่าย ๆ อย่าง great success, very successful ได้

การปีนบันไดของความสำเร็จ climb the ladder of success คุณจะวางบันไดแห่งความสำเร็จไว้ที่ไหน Where are you situated on the ladder of success?

เรื่องราวของความสำเร็จ สามารถใช้ success story ได้เช่น บริษัทของลุงของเขานับเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ ที่หาได้ยากในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ His uncle's company is a rare success story in these times of crisis.

คำกล่าว What price fame/victory/success, etc? เป็นการกล่าวเชิงความรู้สึกที่ว่า ชื่อเสียง (fame) ชัยชนะ (victory) ความสำเร็จ (success) ที่ได้มานั้น มันคุ้มมั๊ยกับความเสียหายหรือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เช่น กล่าวว่า มันคุ้มมั้ย กับความสำเร็จเมื่อทุกชีวิตที่สูญเสียที่คุณต้องรับผิดชอบ ผลักดันให้คุณไกลจากการมีสติมีความดี what price success, when every lost life you're responsible for pushes you further from sanity?

การมีปัญหาเพราะความสำเร็จของตัวเอง มีสำนวน be a victim of your own success เช่น แชมเปี้ยนสี่ปี เป็นเหยื่อของความสำเร็จของตัวเขาเองที่ปีนี้เขาไม่ได้รางวัลชนะเลิศ The four-time champion is a victim of his own success as he didn't win this year competition.

การมีแนวโน้มอย่า่่งมากที่จะประสบความสำเร็จ be a recipe for success เมื่อสังเกตมองดูผลิตภัณฑ์ของเธออย่างละเอียด บอกแนวโน้มอย่างมากที่จะประสบความสำเร็จ A closer look into her products reveals a recipe for success.

มีอีกหลายคำ ที่ให้ความหมายถึง ประสบความสำเร็จเช่นกัน achieve ; accomplish ; complete ; fulfill ; achieve ; finish ; be completed ; be accomplished ; be done, attain, manage

สำเร็จอย่างง่ายดาย สำเร็จได้ง่ายๆ coast [VI] [walk it(สำนวน)]

สำเร็จบางส่วน ใช้ go off

ไม่สำเร็จ, ไร้ผล, แท้ง, คลอดก่อนกำหนด, ซึ่งทำให้แท้ง ใช้คำ abortive(อะบอร์' ทิฟว) (Adj)

การมีแววรุ่ง มีท่าทางจะประสบความสำเร็จ ใช้ up-and-coming (Adj)
สำเร็จการศึกษา เรียนจบ graduate(V) graduation(N)

สำเร็จโทษ [V] execute, สำเร็จโทษด้วยการฆ่า ประหาร: put to death

สำเร็จรูป [ADJ] readymade, (ชิ้นส่วน)สำเร็จรูป: prefabricated (piece), (กาแฟ)สำเร็จรูป: instant(coffee)

สำเร็จความใคร่ [V] masturbate, wank, flog the bishop, jerk off(สำหรับผู้ชายสำเร็จความใคร่) play with, pull at, toss off

Give me your five! เป็นสำนวน เป็นการเอามือมาแปะกัน (โดยใช้ฝ่ามือ ใช้ในโอกาสที่ถูกใจหรือบางสิ่งประสบผลสำเร็จ)

ดร.SoS

.

นักดื่ม(เหล้า): drinker, barfly, soak

นักดื่มเหล้า พวกคอทองแดง จะเรียกว่า drinker แต่คำนี้ อาจหมายถึง การเป็นนักดื่มอย่างอื่นก็ได้ เช่น พวกนักดื่มกาแฟ He is a coffee drinker.

พวกคนคอแข็ง ก็เรียกว่า heavy drinker หรือ alcohol fancier หรือ habitual drinker

พวกนักดื่มยังสามารถเรียกว่า imbiber, หรือ toper หรือ juicerได้อีกด้วย
คุณกลับมาเป็นขี้เมาอีกครั้งงั้นเหรอ = Have you been imbibing again? สำหรับพวกดื่มแล้วขับถูกจับปรับ 50000 เหรียญแล้วยังต้องทำงานบริการสาธารณะอีกด้วย For drink and drive toper, it costs him $50000 with public service penalty.

พวกชอบดื่มเป็นประจำ สามารถเรียกว่า drunk, drunkard, inebriate, rummy, sot, wino ได้

drunk ยังบ่งบอก"ภาวะอาการเมา" อีกด้วยที่เรียกว่า intoxicated เช่น พอลดื่มมากจนเมาไปแล้ว Paul drinks a lot and gets drunk. หรือ Paul drinks a lot and gets intoxicated. ก็มีความหมายเช่นเดียวกัน

พวกดื่มหนัก เรียกว่า guzzler เช่น พอลเป็นพวกดื่มเบียร์หนักทุกค่ำคืน Paul is a beer guzzler every night.

พวกดื่มปานกลาง เรียก moderationist เช่น สมเป็นนักดื่มปานกลางเพราะดื่มได้แค่ไม่กี่แก้ว Som is a moderationist as he drinks just 2 glasses.

พวกที่ดื่มเพื่อเข้าสังคม เรียก social drinker หรือ tippler คือ จิบเล็กน้อย แต่อาจบ่อยครั้ง

ผู้ดื่มอวยพร เรียกว่า wassailer หรือ carouser แต่ทั้งสองคำ้ก็อาจเป็นผู้ดื่มหนักได้เช่นกัน

พวกที่เข้่าประชันการดื่ม เรียก bacchanal, bacchant, drunken reveler, drunken reveller คือกันแข่งดื่มดูว่าใครคอแข็งกว่ากัน (หรือจะได้ตายเร็วกว่ากัน)

ส่วนพวกที่ชอบใช้เวลาดื่มเหล้าอยู่แต่ในบาร์ หรือ ตามร้านเหล้า สามารถเรียกว่า barfly หรือ bar fly ก็ได้ A barfly is one who frequents drinking establishments or a person who frequents bars. คำ Barfly นี้ จัดเป็น คำสแลง

เช่น พอลเป็นนักดื่ม ทำให้เดี๋ยวนี้สุขภาพของเขาแย่ลงไปมาก Paul is a barfly, now his health is getting worse.

ดร.SoS

.

Monday, December 20, 2010

'ในหลวง'พระราชทานโอวาท ย้ำศาลยึดมั่นคำปฏิญาณ นำพาประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง

ประธานศาลปกครองสูงสุด นำ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด และตุลาการศาลปกครองชั้นต้น ตำแหน่งตุลาการศาลปกครองกลาง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่.....

เมื่อ เวลา 18.03 น.วันที่ 20 ธ.ค.2553 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด นำ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด และตุลาการศาลปกครองชั้นต้น ตำแหน่งตุลาการศาลปกครองกลาง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ นายสุชาติ เวโรจน์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทความว่า"ท่านปฏิญาณว่า จะปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาศาลปกครองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในความตั้งใจ และขอให้ท่านปฏิบัติตามปฏิญาณ ซึ่งอยู่ที่ท่านปฏิญาณว่า จะทำหน้าที่อย่างดีในฐานะผู้พิพากษา และขอให้ท่านได้ทำตรงตามหน้าที่ผู้พิพากษานั้น และให้มีความเรียบร้อยในการคดีทั้งหลายที่จะมีขึ้นได้ในอนาคต ขอให้ท่านได้เข้าใจว่า การปฏิญาณนั้น ไม่ใช่ของเล่น เป็นของจริง ถ้าท่านปฏิญาณ ท่านทำกฎหมาย และท่านจะได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติอย่างดี ขอให้ท่านได้สามารถปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณอย่างนี้แล้ว ท่านจะมีความเจริญรุ่งเรืองด้วย ถ้าปฏิบัติตามที่ท่านพูด แล้วเป็นการปฏิบัติตามคำปฏิญาณนั้น เป็นเรื่องของความดี และท่านจะสามารถปฏิบัติสำเร็จเรียบร้อย คนเราถ้าปฏิบัติตามที่ตั้งใจ ก็จะเจริญรุ่งเรือง ถ้าท่านไม่สามารถปฏิบัติตามที่ปฏิญาณไว้ ท่านก็ต้องระวังตัว ฉะนั้น ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ท่านได้ปฏิญาณ ท่านก็จะได้แสดงว่าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นของท่าน และความศักดิ์ ท่านได้ปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้เกี่ยวข้องกับท่าน ให้มีความดี ความศักดิ์สิทธิ์ และทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้ ก็ขอให้ท่านปฏิบัติถูกต้องตามคำปฏิญาณและสามารถที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ต้องพูดมากกว่านี้ ขอท่านมีความสำเร็จในหน้าที่ของท่าน"

การบังคับให้สมรส การผิดสัญญาหมั้น

ถ้าผมมีคู่หมั้น ต่อมาคู่หมั้นไม่ยอมแต่งงานด้วย ในทางกฎหมายจะทำอย่างไรให้เธอแต่งงานด้วย แต่ถ้าทำไม่ได้ผมจะได้ของหมั้นคืนหรือไม่

====

การหมั้นนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้เพียงว่า การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้ แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น และเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นนั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง ส่วนการบังคับตามสัญญาหมั้นนั้น ในทางกฎหมายการหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ หรือถ้าได้มีข้อตกลงกันว่าจะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ (1438)

อย่างไรก็ตามเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การสมรสในความหมายของกฎหมายไทยนั้นคือการสมรสที่มีการจดทะเบียนสมรสโดยชอบ ด้วยกฎหมาย การสมรส ไม่ได้หมายถึงการจัดพิธีแต่งงาน ดังนั้นการสมรสที่ชอบ ด้วยกฎหมายคือการจดทะเบียนสมรสส่วนจะมีพิธีแต่งงานหรือไม่ไม่สำคัญ และการหมั้นนั้นจะต้องมีของ หมั้นด้วย เพื่อมิให้ถกเถียงกันในภายหลังว่ามีการหมั้นกันหรือยัง

การที่ผู้หญิงและผู้ชายทำสัญญาหมั้นเป็นคู่หมั้นของกันและกันเพื่อเป็นหลัก ฐานว่าจะสมรสกับหญิง ดังนั้นถ้าสัญญาหมั้นนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วคู่สัญญาหมั้นต่างมี ความผูกพันตามสัญญาหมั้นที่จะต้องทำการสมรสตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ หรือแม้การหมั้นจะไม่ได้กำหนดเวลาการสมรสไว้ ในทางกฎหมายจะถือระยะเวลาอันควรที่จะได้ทำการสมรสกัน

โดยปกติทั่วไปถ้าเป็นเรื่องสัญญาชนิดอื่น ๆ หาก มีการผิดสัญญานั้น คู่สัญญาสามารถจะฟ้องบังคับเพื่อให้มีการปฏิบัติตามสัญญาได้ เช่น การผิดสัญญาซื้อขาย คู่สัญญาสามารถฟ้องบังคับฝ่ายผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขาย หรือฟ้องบังคับให้ผู้ซื้อจ่ายเงินค่าทรัพย์สินที่ซื้อขายได้ เป็นต้น ในขณะที่สัญญาหมั้นมีลักษณะแตกต่างจาก สัญญาอื่น เพราะการบังคับตามสัญญาหมั้นคือการจะบังคับให้ทำการสมรสนั้น ไม่อาจบังคับให้ทำได้ เนื่องจากการสมรสจะต้องเป็นเรื่องที่ผู้หญิงและผู้ชายยินยอมพร้อมใจกระทำ ด้วยความสมัครใจ ดังนั้นถึงแม้เป็นคู่หมั้นกันถ้าไม่เต็มใจจะทำการสมรส คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่อาจฟ้องให้ศาลบังคับให้มีการจดทะเบียนสมรสได้ รวมทั้งข้อตกลงที่ว่าจะให้มีการชดใช้เบี้ยปรับถ้ามีการหมั้นแล้วไม่ยอมสมรส ข้อตกลงเช่นนี้ตกเป็นโมฆะ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการจะบังคับให้ชายหญิงสมรสกันโดยไม่เต็มใจ

สรุป หากมีการหมั้นกันไว้ การหมั้นจะเป็นเรื่องที่จะบังคับให้ทำการสมรสไม่ได้ และถ้ามีข้อตกลงเกี่ยวกับเบี้ยปรับในกรณีที่มีการผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงเรื่องเบี้ยปรับนี้เป็นโมฆะ อย่างไรก็ตามถ้าการหมั้นกันไว้นั้น หากมีการผิดสัญญาหมั้น คู่หมั้นฝ่ายที่ได้รับความเสียหายยังมีบังคับตามสัญญาหมั้นได้ แต่เป็นการบังคับในเรื่องของสิทธิเรียกค่าทดแทนต่าง ๆ ตามกฎหมายได้ รวมทั้งการจะได้ของหมั้นคืน

การผิดสัญญาหมั้น

ในเรื่องของการหมั้นนั้น เงื่อนไขในทางกฎหมายมี 2 อย่าง คือ ชายหญิงมีอายุอย่างต่ำ 17 ปีบริบูรณ์ และต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองถ้าหากเป็นการหมั้นผู้ เยาว์ ดังนั้นผลในทางกฎหมายจึงทำให้การหมั้นที่ชายหญิงอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์จะตกเป็นโมฆะ

นอกจากนี้แบบของการหมั้นจะทำอย่างไรก็ได้ แต่การหมั้นจะเป็นสัญญาหมั้นได้กฎหมายบัญญัติไว้แต่เพียงว่าการหมั้นจะ สมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็น หลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น และเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง ความสำคัญเรื่องทรัพย์ใดว่าเป็นของหมั้นหรือไม่ เนื่องจากปัญหากรณีมีการผิดสัญญาหมั้นว่า ของหมั้นจะยังคงเป็นของหญิง หรือว่าหญิงจะต้องเอาของหมั้นคืนให้แก่ฝ่ายชาย

ดังนั้นการหมั้นใดจะเป็นสัญญาหมั้นได้ต่อเมื่อฝ่ายชายได้มีการมอบของหมั้น ให้แก่หญิงแล้วฉะนั้นการหมั้นที่มีข้อตกลงเพียงว่าจะเอาทรัพย์สินใดให้เป็น ของหมั้นแต่จะส่งมอบให้ในภายหลังและยังไม่ได้ส่งมอบ ทรัพย์ที่ยังไม่ได้ส่งมอบจะไม่ถือว่าเป็นของหมั้น เช่น ในวันหมั้นฝ่ายชายสวมแหวนหมั้นให้แก่หญิง และสัญญาว่าจะให้เงินสด 1 แสนบาทเป็นของหมั้นในภายหลัง เฉพาะแหวนหมั้นเท่านั้นที่เป็นของหมั้น ส่วนเงินสด 1 แสนบาทที่ยังไม่มีการส่งมอบให้ จะไม่ใช่ของหมั้น เป็นต้น

อย่างไรก็ตามทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นนั้นไม่ได้คำนึงถึงราคา ดังนั้นถ้าในวันหมั้นมีการยกพานหมากพลูใส่พานมาเป็นของหมั้นอันเป็นการ จัดการหมั้นตามพิธีหมั้น แม้จะตกลงให้ทรัพย์สินอื่นเป็นของหมั้นด้วยแต่ยังไม่มีการส่งมอบ ทรัพย์สินที่ยังไม่ส่งมอบไม่ถือว่าเป็นของหมั้น แต่ถือว่ามีสัญญาหมั้นแล้วเพราะมีการยกพานหมากพลูเป็นของหมั้นแล้ว ดังนั้นถ้ามีการผิดสัญญาหมั้นก็มีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ และการหมั้นใดที่ไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินใดเพื่อเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเลย จะไม่ถือว่ามีการทำสัญญาหมั้น

ดังนั้นถ้ามีการผิดข้อตกลงจะทำให้ไม่อาจเรียกค่าทดแทนจากการผิดสัญญาหมั้น ได้ เพราะกฎหมายได้บัญญัติเรื่องการหมั้นว่า เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้ คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย” ฉะนั้นหากไม่มีสัญญาหมั้นแล้วทำให้การผิดข้อตกลงเรื่องการหมั้นจะไม่อาจ เรียกค่าทดแทนฐานการผิดสัญญาหมั้นได้

ค่าทดแทนที่อาจเรียกได้จากการผิดสัญญาหมั้น ได้แก่ 1. ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น 2. ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่อง ในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร 3. ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สิน หรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพหรือทางทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาด หมายว่าจะได้มีการสมรส

ที่มา: คลินิกกฎหมาย เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 07/14 ธันวาคม 2553

เตือน!"ดมกางเกงใน" เสี่ยงติดเชื้อสูง

เตือน!"ดมกางเกงใน" เสี่ยงติดเชื้อสูง

พวกนักดมทั้งหลาย พึงระวัง เพราะ "กางเกงใน" เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ดังนั้นการ"ดมกางเกงใน" จีงเสี่ยงติดเชื้อสูง ทั้งระบบทางเดินหายใจ และติดมือ หากไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร

เตือน!"ดมกางเกงใน" เสี่ยงติดเชื้อสูง

หมดเวลา: (run) out of time / Time is up

บ่อยครั้่งที่ เวลา เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม Time is important not to overlook. การทำงานหลายอย่างต้องทำแข่งกับเวลา Many works must be executed against time.

(run) out of time หรือ out of time หมายถึง หมดเวลา ไม่เหลือเวลาอีกแล้ว

ถ้ากำลังจะหมดเวลาที่จะทำงาน สามารถพูดได้ว่า You are running our of time. ถ้าหมดเวลาแล้ว หรือ ไม่เหลือเวลาอีกแล้ว ก็พูดว่า You are out of time. จะพูด You run our of time. ก็ได้

Time is up = เวลาหมด
จะใช้ Time is up. หรือ เพิ่มคำขยาย Your time is up. ก็ได้ เวลาของคุณหมดแล้ว หรือ จะพูดว่า Your time is over ก็ได้เช่นกัน

อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป Don't let your time pass. จะพูด Don't let time pass you by. ก็ดูดี

loiter over = ใช้เวลาให้สูญเสียไปกับ = linger over = ปล่อยเวลาให้สูญเสียไปกับ

มีคนมาแย้งว่า เวลาไม่สำคัญ เพียงชีวิตที่สำคัญ Time is not important. Only life is important. ปรัชญาชีวิตคนย่อมแตกต่างกันไป Philosophy of live varies from people to people.

ดร.SoS

Sunday, December 19, 2010

ห้าม: ban, forbid, prohibit, disallow, embargo, restriction, interdiction, postscription

คำที่ให้ความหมายว่า "ห้าม" ในภาษาอังกฤษมีหลายคำ เช่น ban, forbid, embargo, prohibit, disallow, restriction, interdiction, postscription

การ"ห้าม" เป็น การให้เว้นกระทำ ไม่ให้ทำ Prohibition is to tell what should not or must not be done. โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่าง This may due to some reasons.

การห้าม สั่งห้าม ประกาศห้าม ในลักษณะ ban เช่น ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ประกาศห้ามเมื่อวานนี้ ไม่ขายพืชผักจากสวนที่ทดลองปรับปรุงพันธุกรรม A grocery store announced yesterday banning produces from genetic modifying sites. คำ produces หมายถึง พืชผักผลไม้

การ"ห้ามใจ" สามารถใช้ restrain oneself, suppress/control one's feeling, ในลักษณะการมีสติที่จะระงับใจ ข่มใจ ยับยั้งใจ

การห้ามติดต่อ ในลักษณะการคว่ำบาตรสามารถใช้ boycott(n) การ boycott เป็นรูปแบบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสมัครใจ ที่จะละเว้นจากการใช้ การซื้อ หรือ การติดต่อ กับ บุคคล องค์กร หรือ ประเทศ โดยเป็นการประท้วงอย่างเปิดเผย ปกติใช้ boycott เพื่อเหตุผลทางการเมือง A boycott is a form of consumer activism involving the act of voluntarily abstaining from using, buying, or dealing with a person, organization, or country as an expression of protest, usually for political reasons.

มันถึงเวลาแล้วยังที่เราจะประท้วงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสหรัฐฯ Is it time to boycott all products made in USA? สหรัฐฯได้ออกมาตรการหลายอย่างที่ประท้วงผลิตภัณฑ์จากประเทศต่าง ๆ ในลักษณะที่ไม่ยุติธรรม USA government issues various unfair measures in boycotting products from many countries. น่าละอายนัก Shame on you!!

"ห้ามปราม" สามารถใช้ dissuade, warn, discourage, deter
"ห้ามเข้า" สามารถใช้ no entry หรือ no admittance เช่น ป้ายห้ามเข้า ถูกนำมาติดไว้ที่ที่ดินส่วนบุคคลของเขา A no entry sign is put on his private property.
"ขัดขวาง, ห้ามเข้า" สามารถใช้ bar from หรือ debar from [การเพิกถอนสิทธิ์(จากการเป็นทนาย) disbar from]
"ห้ามเลือด" สามารถใช้ stop the bleeding, stanch/staunch the bleeding สามารถใช้ ยาห้ามเลือด ยาสมานแผล ที่เรียก astringent
"ห้ามล้อ" สามารถใช้ brake, stop, cease ระบบห้ามล้อโดยการอัดลม เรียก air brake (n) คันห้ามล้อ เรียก brake pedal (n)
"ห้ามประกันตัว" สามารถใช้ deny bail ศาลสามารถห้ามการประกันดัวหากบุคคลถูกพิจารณาว่าจะทำให้เสียรูปคดี A court can deny bail if an individual is thought to be a flight risk.
"ห้ามบุกรุก ห้ามล่วงล้ำ" ใช้ "no trespassing"
"ห้ามจับของ"
"ห้ามจอด(รถ)"
"ห้ามผ่าน"
"ห้ามปัสสาวะ" "ห้ามเยี่ยว"
"ห้ามทัพ"
"ห้ามมาสาย"
"ห้ามตื่นสาย"
"ห้ามส่งเสียงดัง"
"ห้ามจับปลา"
"ห้ามเดินลัดสนามหญ้า"
"ห้ามสูบบุหรี่"
"ห้ามขายเหล้า, ห้ามจำหน่ายสุรา"
"ห้ามบีบแตรรถ"
"ห้ามออกอากาศ" ในลักษณะการตัดออกด้วยอำนาจของผู้ตรวจสอบ เราใช้ censor
"ห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลง" No change/modification allow/permit เช่น จากการแก้ไขข้อสัญญา ไม่ได้มีการอนุญาตให้มีการเจรจาต่อรองราคา From a contract modification, it does not permit negotiation of a price. [negotiation = การเจรจาต่อรอง]
"ห้ามขโมย"
"ห้ามตี"
"ห้ามพูดคำหยาบ"
"ห้ามหล่อ ห้ามสวย" เอ๋.. มันห้ามกันได้ด้วยเหรอ

contraband หมายถึง ของต้องห้ามตามกฎหมาย ของเถื่อน การค้าเถื่อน การลักลอบขนสินค้า adj. เป็นสินค้าเถื่อน ซึ่งห้ามไม่ให้ส่งออกหรือสั่งเข้าประเทศ

"ห้ามญาติ" พระพุทธรูปปางหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระกาย พระหัตถ์ขวาแบตั้งขึ้นเสมอพระอุระ เป็นกิริยาห้าม ทำให้เรียกว่า "ปางห้ามญาติ" style of Buddha image
"ห้ามพระแก่นจันทน์" ชื่อพระพุทธรูปปางหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาห้อยลงข้างพระกาย พระหัตถ์ซ้ายแบตั้งขึ้นเสมอพระอุระ เป็นกิริยาห้าม

การห้าม ตักเตือน ว่ากล่าว ให้สติ สามารถใช้ admonish (vt) admonition (n)

ดร.SoS

Friday, December 17, 2010

ประสาท: ระบบความรู้สึก: nerve system

คำ"ประสาท"ในภาษาไทย มีการใช้มากจริง ๆ

จาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
ประสาท [ปฺระสาด, ปฺระสาทะ-] น. ส่วนของร่างกาย มีลักษณะคล้าย เส้นใย มีหน้าที่นําคําสั่งและความรู้สึกไปสู่หรือออกจากสมอง หรืออวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย, โดยปริยายหมายความว่า จิตใจ, ความรู้สึก. (ส. ปฺรสาท; ป. ปสาท).

ประสาทกระตุ้นการหลั่ง, ประสาทกระตุ้นการคัดหลั่ง จะใช้คำ secretory nerve โดยประสาทนี้จะส่งข้อมูลในลักษณะจังหวะกระตุ้นเชิงไฟฟ้า ที่ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของต่อมคัดหลั่ง Secretory nerve conveys impulses that excite functional activity in a gland.

ประสาทกล้ามเนื้อตา (ประสาทสมองเส้นที่ ๓) เรียก oculomotor nerve
ประสาทกล้ามเนื้อลิ้น (ประสาทสมองเส้นที่ ๑๒) เรียก hypoglossal nerve
ประสาทกะบังลม เรียก phrenic nerve
ประสาทกาย เรียก somatic nerve
ประสาทตา [N] optical nerve
ประสาทหู auditory nerve
ประสาทสมอง brain nerve
ประสาทกายวิภาคศาสตร์ neuroanatomy
ประสาทวิทยา neurology

แต่จริง ๆ เรามีประสาทมากมาย แล้วคุณมีบ้างหรือเปล่า
ประสาทเสีย be irritated, be nervous, feel uneasy, get fretful, be neurotic คนขี้หงุดหงิดจะประสาทเสียบ่อย Easily irritated people will always feel uneasy in everything. ถ้าหงุดหงิดใส่ตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใส่คนรอบข้าง ก็จะเป็นบาปที่ต้องชดใช้ Be in a bad tempered to itself is okay, but to others will be sin that have to be repay. [in a bad tempered คือ หงุดหงิด]

ถ้าประสาทเสียบ่อย ๆ ก็จะ ประสาทกิน ประสาทแดก Get easily fretful will cause himself become birdie. คือกลายเป็นคนเพี้ยน ๆ พิลึกพิลั่น



ดร.SoS