Monday, April 2, 2012

การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม กับความคาดหวังของสังคมไทย

จากกระแสโลกาภิวัตน์ที่ผลักดันให้สังคมไทยมุ่งความสำเร็จทางวัตถุ คนในสังคมแสวงหาความสำเร็จในชีวิตทางด้านเศรษฐกิจ บ้างก็แสวงหาอำนาจ บ้างก็แสวงหาผลประโยชน์ จนหลายคนมองเห็นตรงกันว่าปัจจุบันสังคมไทยเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติหลายด้าน ทั้งด้านการเมือง การศึกษา ศาสนา เศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่พึงวิตกกังวลยิ่งนั่นคือ คุณธรรม จริยธรรมของคนไทยเริ่มถดถอยอันเป็นต้นเหตุที่จะนำไปสู่วิกฤติให้แก่สังคมไทยในอนาคต

ถ้าพิจารณาพื้นฐานปัญหาคุณธรรมจริยธรรมของเด็กและเยาวชนไทย ส่วนหนึ่งและอาจจะเป็นส่วนใหญ่ปัญหานั้นเริ่มจาก “ปัญหาด้านครอบครัว” ซึ่งเกิดจากการที่ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน พ่อแม่ไม่มีเวลาให้บุตรหลาน การใช้ความรุนแรงในครอบครัว และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งประเด็นปัญหาของสังคมที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนไทยลำดับต้น ๆ เช่น ขาดความอบอุ่นจากครอบครัว ซึ่งจะนำไปสู่การมีความรัก การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร รวมถึงภัยจากสื่อเทคโนโลยี โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต และการเข้าถึงอบายมุขทั้งเหล้า บุหรี่ ยาเสพติดได้ง่ายดาย และที่สำคัญคือ “การขาดแบบอย่างที่ดี” นั่นเอง

ทุกครั้งที่กล่าวถึงปัญหาคุณธรรมจริยธรรมในสังคมไทย หลายคนมักจะมองไปที่กระบวนการจัดการศึกษา และตอกย้ำเสมอว่าเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษา แต่อยากให้ทุกฝ่ายเปิดใจยอมรับว่าปัญหาเรื่องคุณธรรมจริยธรรมนั้นเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหานั้นจะต้องเริ่มต้นจากครอบครัว สถานศึกษา และที่สำคัญที่สุดคือผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน เนื่องจากการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้ประสบผลสำเร็จสูงสุดนั้นต้องปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่าง สังคมอยากเห็นภาพเด็กและเยาวชนเป็นเช่นไร ทุกคนในสังคมทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูผู้สอน ผู้บริหาร นักการเมือง ผู้นำสังคม ผู้นำประเทศต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี เพราะการเป็นแบบอย่างที่ดีนั้นถือเป็นวิธีการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่ดีที่สุด

จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และด้วยสถาบันครอบครัวที่อ่อนแอลง สังคมไทยจึงคาดหวังและมอบภาระอันหนักอึ้งนี้ให้กับโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่จะช่วยกันขัดเกลาปลูกฝังและพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข ดังที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

แม้กระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรมจริยธรรมมาโดยตลอด บ้างก็มุ่งเน้น “คุณ ธรรมนำความรู้” บ้างก็มุ่งเน้น “ความรู้คู่คุณธรรม” สำหรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้สถานศึกษาพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์สำคัญในเบื้องต้น คือ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย และมีจิตสาธารณะ

“ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมสำหรับคนไทย” ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดของนักการศึกษาไทย ศ.ดร.ดวงเดือน พันธุมนาวิน เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจมีจุดเด่น คือ ลักษณะพื้นฐานและองค์ประกอบทางจิตใจซึ่งจะนำไปสู่พฤติกรรมที่พึงปรารถนาเพื่อส่งเสริมให้บุคคลเป็นคนดีและคนเก่ง โดยแบ่งต้นไม้จริยธรรม ออกเป็น 3 ส่วน คือ

ส่วนที่หนึ่ง ได้แก่ ดอกและผลไม้บนต้น แสดงถึงพฤติกรรมการทำดีละเว้นชั่ว และพฤติกรรมการทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อส่วนรวม ซึ่งเป็นพฤติกรรมของพลเมืองดี พฤติกรรมที่เอื้อเฟื้อต่อการพัฒนาประเทศ

ส่วนที่สอง ได้แก่ ส่วนลำต้นของต้นไม้ แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 5 ด้าน คือ เหตุผลเชิงจริยธรรม มุ่งอนาคตและการควบคุมตนเอง ความเชื่ออำนาจในตน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทัศนคติ คุณธรรม และค่านิยม

ส่วนที่สาม ได้แก่ รากของต้นไม้ แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 3 ด้าน คือ สติปัญญา ประสบการณ์ทางสังคม และสุขภาพจิต

สำหรับแนวทางในการปลูกฝังเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ครูผู้สอนทุกคนต้องร่วมกันวางแผนและสอดแทรกไว้ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างให้เกิดได้อย่างยั่งยืนโดยผ่านกระบวนการปฏิบัติงานทั้งงานส่วนบุคคล และจากการร่วมกันทำงาน เป็นทีม

สุดท้ายขอฝากคุณครูทุกท่านพึงตระหนักไว้เสมอว่าท่านเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่ง นอกจากท่านมีหน้าที่ในการสอนหนังสือแล้ว ยังต้องคำนึงถึงภาระหน้าที่ที่สังคมคาดหวัง อีกอย่าง นั่นก็คือ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่เหมาะสมให้กับผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย เพื่อร่วมกันสรรค์สร้างผู้เรียนซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติให้เป็นคนที่มีความรู้คู่คุณธรรมนำชีวิตไปสู่ความสุขและจะนำสันติสุขมาสู่สังคมไทยต่อไป

ฟาฎินา วงศ์เลขา ::การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม กับความคาดหวังของสังคมไทย (c) เดลินิวส์ เว็บ วันอังคารที่ 3 เมษายน 2555

No comments:

Post a Comment