Sunday, April 29, 2012

ฝันร้ายวิกฤติต้มยำกุ้ง หลอนแบงก์ไทยสยายปีก

40-41 องศาเซลเซียสใจกลางกรุงเทพฯ แถวๆ ย่านถนนสีลมในสัปดาห์ที่ผ่านไป ผมเลยไม่เห็นพนักงานของบริษัท ห้างร้าน หรือพนักงานธนาคารในย่านสีลมออกมาเดินกินข้าวเที่ยงอย่างหนาตาเหมือนที่เคย เห็น เพราะร้อนขนาดกว่า 40 องศาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในย่านศูนย์กลางการเงินของเมืองไทย เลยทำให้หลายคนขอหาที่นั่งกินข้าวในออฟฟิศตัวเองดีกว่า เชื่อมั้ยครับ คลื่นมนุษย์ทำงานสีลมไม่ออกมากินข้าวเที่ยงเพราะร้อนจัด พลอยทำให้บรรยากาศตามถนนสีลมลึกเข้าไปตามตรอกซอกซอยที่เตรียมละลายทรัพย์ ซบเซาไปมาก

ผมเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า บรรยากาศไร้คนเดินหนาตาย่านสีลมในวันทำการนั้นเคยเกิดขึ้นเมื่อเกือบ 15 ปีผ่านมาแต่ไม่ใช่เพราะอากาศร้อนจัด(ทะลุเกิน 40 องศาเหมือนปีนี้แน่) แต่เกิดจากผลกระทบของวิกฤติสถาบันการเงินล้มละลาย ถูกปิดกิจการ ต้องเร่ขายกิจการครั้งใหญ่ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 คนในวัยกว่า 40 ปีขึ้นไปเก็บไปนึกถึงเป็นฝันร้าย พลิกหาตำราทำธุรกิจกันใหม่ กลับวิธีคิดวิธีทำจากหางมาเป็นหัว ถอดความเสี่ยงมาใส่ความกล้าๆกลัวๆอย่างชัดเจน ซึ่งที่น่าแปลกใจ และรู้สึกห่วงแทน คือ ถึงวันนี้และอีก 3 ปีข้างหน้าที่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จะสมบูรณ์แบบนั้น ความกล้าๆกลัวๆของเจ้าของกิจการ นักธุรกิจ นักบริหาร และองค์กรสถาบันการเงินไทยยังมีอยู่ ทั้งๆที่เพื่อนบ้านแห่เข้ามาเจาะฐานที่มั่นมากขึ้น

วันนี้ใครผ่านไป แถวถนนรัชดาภิเษก ก็ได้เห็นธนาคารไอซีบีซีจากเมืองจีน วันนี้นักลงทุนไปซื้อขายหุ้นที่ตึกเซ็นทรัลเวิลด์ ก็ได้เห็นเครือข่ายธนาคาร เมย์แบงก์จากมาเลเซีย(ที่มีมูลค่าธุรกิจใหญ่กว่ากลุ่มบริษัท ปตท.ด้วยซ้ำไป) วันนี้ใครดูหน้าจอทีวีในรายงานข่าวพิเศษเกี่ยวกับเรื่องพลังเศรษฐกิจเออีซี ช่วงเที่ยง และช่วงเย็นทางช่อง 3 ก็ได้เห็นยี่ห้อธนาคารซีไอเอ็มบีไทยซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายธนาคารชั้นนำ จากมาเลเซียโผล่ตรงมุมด้านล่างของจอเป็นระยะๆ วันนี้ใครผ่านไปแถวถนนเยาวราชก็ได้เห็นโฉมหน้าสาขาใหม่ๆ ที่กล้าลงทุนยกเครื่องออกแบบใหม่ของธนาคารยูโอบีซึ่งเป็นธนาคารจากสิงคโปร์

ผม ไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่บรรยายให้เห็นสถานที่จริงของธนาคารต่างชาติที่เข้ามาเจาะและเร่งขยายฐาน ในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อตลาดเมืองไทยเป็นที่หอมหวนในการเข้ามาลงทุนของธนาคารต่างชาติ ซึ่งวันนี้มีความแข็งแกร่งกว่าธนาคารบ้านเรามาก ที่สำคัญมีความเข้าใจผู้ประกอบการคนไทยรุ่นใหม่มากขึ้นอย่างน่าใจหาย ในเมื่อวิธีคิดของธนาคารข้ามชาติเหล่านี้ถอดความกล้าๆกลัวๆออกไปแต่ใส่ความ กล้าเสี่ยงบนระบบบริหารจัดการที่เน้นกระจายความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจใน เครือ โดยอาศัยการสร้างเครือข่ายให้กว้างและลึกมากกว่าเน้นการสร้างมูลค่า ทรัพย์สินให้ใหญ่โตแบบกระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในเมื่อวิธีคิดกลับทางอย่างสิ้นเชิงกับธนาคารในบ้านเราด้วยการเข้าไปหา ลูกค้าใหม่ๆในต่างประเทศมากกว่าที่จะตามลูกค้าของธนาคารตัวเองเข้าไปตั้ง สาขาในต่างประเทศนั้นๆ ในเมื่อธนาคารต่างชาติใช้การพัฒนาคนและรู้จักใช้คนในท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ เป็นคนบริหารสาขาและเชื่อมธุรกิจธนาคารให้ใหญ่โตมากกว่าที่จะส่งคนของตัวเอง ไปนั่งบริหารในต่างแดน ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแค่ผมเท่านั้นแต่คนไทยอีกจำนวนมากที่เป็นนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ ไปถึงนักท่องเที่ยวล้วนเห็นความแตกต่างชัดเจนเมื่อเดินทางไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียน และนึกย้อนมองกลับมาที่ประเทศไทย

ทุกเสี้ยว วินาทีของเศรษฐกิจจากวันนี้ไปในอนาคต ล้วนต้องอาศัยจินตนาการมากกว่าการเก็บฝันร้ายและภาพหลอนของวิกฤติการเงินใน อดีต ที่มักถูกใช้เป็นเครื่องเตือนใจ แต่อย่าใช้บ่อยเกินไปจนกลบต่อมจุดจินตนาการทางเศรษฐกิจและการลงทุน เหมือนเมื่อกาลครั้งหนึ่งนาน นาน นานมาแล้ว ธนาคารสัญชาติไทยแห่งหนึ่งเคยมีขนาดใหญ่อันดับ 1 ในกลุ่มอาเซียน !!!

บัญชา ชุมชัยเวทย์

:: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2555

No comments:

Post a Comment