การทำงานสไตล์คนไทยแบบขอไปที เช้าชามเย็นครึ่งชาม ต่างชาติเขาไปดวงจันทร์เป็นร้อยๆครั้ง มีดาวเทียมหมุนรอบโลกจนเวียนหัวไปหมด แต่ราชการไทยยังเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการ ไปจนถึงรองผู้ว่า ผู้ว่า รองปลัด ปลัด และพวกรัฐมนตรีตัวดี รวมถึงนายกฯ ด้วย ชอบนัก บอกว่า "ยังไม่ได้รับรายงาน" "ยังไม่มีใครร้องเรียน" ต้องให้คนมันตายมันเดือดร้อนกันไปทั่วถ้วนหน้าก่อนหรือไง "ทำงานเชิงรุก" เป็นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็น ก็รีบๆลาออกไปซะ อย่าอยู่เกะกะ ให้คนที่ทำเป็น อยากบริการประชาชนด้วยความเต็มใจ ไม่อยากมีผลประโยชน์ทับซ้อน เข้ามาทำงานแทนท่าน อย่าคิดว่าท่านเก่งคนเดียว คนอื่น ๆ ก็เก่งเหมือนกัน หรืิออาจจะเก่งกว่าท่านซะอีก
หรือ ถ้าอยากได้รายงานเร่งด่วน เปิดราชการ facebook ซะสิิ เดี๋ยวก็มีคนรายงาน ทำงานให้คุ้มภาษีชาวบ้านบ้าง
ทำงานเชิงรุกเป็นไหม
คิดนอกกรอบเป็นมั๊ย
แหม..ตอนเงินก็อยากให้ขึ้นมากๆ แต่ตอนทำงานห่วยแตกซะไม่มีดี
ไม่อยากเทียบกับหมา เพราะมันขยันกว่าเยอะ ไม่อู้ ไม่บ่น
ที่มา: forwarded mail
Friday, July 29, 2011
Thursday, July 28, 2011
สารหนูในกุ้งแห้ง
คนไทย ถ้าอยากมีสุขภาพดี ต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่ทานอาหารที่เป็นโทษต่อร่างกาย เท่านี้ก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง และสามารถยืดอายุไปได้อีก 5–10 ปี
สำหรับคนไทยแล้ว อาหาร 5 หมู่นั้น ต้องมีไอโอดีนด้วย
ซึ่งไอโอดีนที่มีประโยชน์มักพบอยู่ในเนื้อสัตว์ทะเลตามธรรมชาติ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา
ทว่า ในอาหารทะเลนอกจากมีประโยชน์แล้ว ควรระวังอันตราย ที่อาจเกิดจากสารปนเปื้อนที่อาจพบได้ในอาหารทะเลด้วย เช่น สารหนู
ซึ่งเป็นสารที่พบได้จากพื้นดิน รวมถึงแหล่งต่างๆ สารหนูในธรรมชาติเหล่านี้มักพบได้จากการระเบิดของภูเขาไฟ การเผาถ่านหิน การใช้สารกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น
เมื่อสิ่งเหล่านี้ปะปนลงสู่แม่น้ำ หรือทะเล โอกาสที่สัตว์น้ำต่างๆจะได้รับสารหนูปนเปื้อนจึงเป็นไปได้สูง เมื่อร่างกายสัตว์น้ำกำจัดสารหนูออกไปไม่หมดก็จะสะสมเก็บไว้ เมื่อคนนำสัตว์น้ำมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน ก็จะได้สารหนูต่อเป็นทอดๆ
ซึ่งหากร่างกายได้รับสารหนูติดต่อเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดเป็นแผลหรือเป็นรูที่ช่องจมูก ผิวหนังหนาขึ้น มีรอยด่างดำที่ผิวหนัง อาจมีเส้นสีขาวบนเล็บ ชาตามปลายมือปลายเท้า อ่อนเพลียที่แขนและขา
กุ้งแห้ง นับเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่คอลัมน์มันมากับอาหาร ทำการสุ่มตัวอย่างเพื่อนำมาวิเคราะห์ ก็จะตรวจพบว่ามีสารหนูปนเปื้อนแทบทุกครั้ง
วันนี้ สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างกุ้งแห้งอีกครั้ง เพื่อนำมาวิเคราะห์การปนเปื้อนของสารหนู ซึ่งผลก็เหมือนเดิมคือ พบสารหนูปนเปื้อนทั้ง 5 ตัวอย่าง
แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะยังไม่เกินมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขไทย ที่กำหนดให้มีสารหนูปนเปื้อนได้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม
วันนี้ กินกุ้งแห้งยังปลอดภัยอยู่ ถ้ากินแต่พอดี
ที่มา: ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 22 กรกฎาคม 2554
สำหรับคนไทยแล้ว อาหาร 5 หมู่นั้น ต้องมีไอโอดีนด้วย
ซึ่งไอโอดีนที่มีประโยชน์มักพบอยู่ในเนื้อสัตว์ทะเลตามธรรมชาติ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา
ทว่า ในอาหารทะเลนอกจากมีประโยชน์แล้ว ควรระวังอันตราย ที่อาจเกิดจากสารปนเปื้อนที่อาจพบได้ในอาหารทะเลด้วย เช่น สารหนู
ซึ่งเป็นสารที่พบได้จากพื้นดิน รวมถึงแหล่งต่างๆ สารหนูในธรรมชาติเหล่านี้มักพบได้จากการระเบิดของภูเขาไฟ การเผาถ่านหิน การใช้สารกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น
เมื่อสิ่งเหล่านี้ปะปนลงสู่แม่น้ำ หรือทะเล โอกาสที่สัตว์น้ำต่างๆจะได้รับสารหนูปนเปื้อนจึงเป็นไปได้สูง เมื่อร่างกายสัตว์น้ำกำจัดสารหนูออกไปไม่หมดก็จะสะสมเก็บไว้ เมื่อคนนำสัตว์น้ำมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน ก็จะได้สารหนูต่อเป็นทอดๆ
ซึ่งหากร่างกายได้รับสารหนูติดต่อเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดเป็นแผลหรือเป็นรูที่ช่องจมูก ผิวหนังหนาขึ้น มีรอยด่างดำที่ผิวหนัง อาจมีเส้นสีขาวบนเล็บ ชาตามปลายมือปลายเท้า อ่อนเพลียที่แขนและขา
กุ้งแห้ง นับเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่คอลัมน์มันมากับอาหาร ทำการสุ่มตัวอย่างเพื่อนำมาวิเคราะห์ ก็จะตรวจพบว่ามีสารหนูปนเปื้อนแทบทุกครั้ง
วันนี้ สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างกุ้งแห้งอีกครั้ง เพื่อนำมาวิเคราะห์การปนเปื้อนของสารหนู ซึ่งผลก็เหมือนเดิมคือ พบสารหนูปนเปื้อนทั้ง 5 ตัวอย่าง
แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะยังไม่เกินมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขไทย ที่กำหนดให้มีสารหนูปนเปื้อนได้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม
วันนี้ กินกุ้งแห้งยังปลอดภัยอยู่ ถ้ากินแต่พอดี
ที่มา: ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 22 กรกฎาคม 2554
ไส้กรอกไก่ ใส่ดินประสิว
รู้มั้ยว่า ในอาหารสำเร็จรูปที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มีส่วนผสมที่ไม่ใช่อาหารปะปนอยู่ด้วย เช่น สารกันเสีย สารกันบูด สารกันรา สีผสมอาหาร
สารที่ใช้ในอาหารส่วนใหญ่นี้ ผู้ประกอบการมักจะเลือกใช้ด้วยความเคยชิน ใส่ในปริมาณที่เคยใส่ กะเอา ไม่มีการคำนวณ ชั่งตวงวัด ที่รู้ปริมาณที่แน่นอน หยิบได้เท่าไร ใส่เท่านั้น จนลืมคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค
ดินประสิว เป็นสารกันเสียที่นิยมใช้ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม กุนเชียง แหนม หมูยอ ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อยืดอายุ และทำให้มีสีสันออกแดงหรือชมพู ชวนให้น่ารับประทาน
กฎหมายบ้านเราอนุญาตให้ใช้ดินประสิวผสมในอาหารได้ แต่ต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนด
ทว่า ผู้ผลิตบางรายนำดินประสิวมาใช้เพื่อปิดสภาพที่แท้จริง หรือปกปิดสีที่เกิดจากการเน่าเสียของเนื้อสัตว์ให้ดูมีสีแดง ชมพูเหมือนธรรมชาติของเนื้อสัตว์ เพื่อผู้บริโภคอย่างเราๆ คิดว่าเป็นของสดใหม่น่าซื้อ อันตรายของดินประสิวคือ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำปฏิกิริยากับเอมีน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากในเนื้อสัตว์แล้วทำให้เกิดสาร ไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
แน่นอนว่า ผู้บริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำ โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งจึงมีสูง
ยังไม่นับอาการอื่นๆที่เกิดจากการได้รับดินประสิวมากเกินไป เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
วันนี้ สถาบันอาหารจึงสุ่มตัวอย่างไส้กรอกไก่ ที่จำหน่ายในตลาดจำนวน 5 ตัวอย่าง วิเคราะห์หาการตกค้างของดินประสิว
ปรากฏว่า พบตกค้างทุกตัวอย่าง
แต่ยังไม่เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนดจึงยังปลอดภัยอยู่ แต่ถ้าใน 1 วัน กินหลายๆครั้ง หรือกินมากกว่า 1 กิโลกรัม ก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย
อย่าซื้ออาหารที่มีสีแดงผิดธรรมชาติ ไม่กินอาหารซ้ำชนิดกันบ่อยครั้ง ปลอดภัยแน่นอน
ที่มา: ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 29 กรกฎาคม 2554
สารที่ใช้ในอาหารส่วนใหญ่นี้ ผู้ประกอบการมักจะเลือกใช้ด้วยความเคยชิน ใส่ในปริมาณที่เคยใส่ กะเอา ไม่มีการคำนวณ ชั่งตวงวัด ที่รู้ปริมาณที่แน่นอน หยิบได้เท่าไร ใส่เท่านั้น จนลืมคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค
ดินประสิว เป็นสารกันเสียที่นิยมใช้ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม กุนเชียง แหนม หมูยอ ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อยืดอายุ และทำให้มีสีสันออกแดงหรือชมพู ชวนให้น่ารับประทาน
กฎหมายบ้านเราอนุญาตให้ใช้ดินประสิวผสมในอาหารได้ แต่ต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนด
ทว่า ผู้ผลิตบางรายนำดินประสิวมาใช้เพื่อปิดสภาพที่แท้จริง หรือปกปิดสีที่เกิดจากการเน่าเสียของเนื้อสัตว์ให้ดูมีสีแดง ชมพูเหมือนธรรมชาติของเนื้อสัตว์ เพื่อผู้บริโภคอย่างเราๆ คิดว่าเป็นของสดใหม่น่าซื้อ อันตรายของดินประสิวคือ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำปฏิกิริยากับเอมีน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากในเนื้อสัตว์แล้วทำให้เกิดสาร ไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
แน่นอนว่า ผู้บริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำ โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งจึงมีสูง
ยังไม่นับอาการอื่นๆที่เกิดจากการได้รับดินประสิวมากเกินไป เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
วันนี้ สถาบันอาหารจึงสุ่มตัวอย่างไส้กรอกไก่ ที่จำหน่ายในตลาดจำนวน 5 ตัวอย่าง วิเคราะห์หาการตกค้างของดินประสิว
ปรากฏว่า พบตกค้างทุกตัวอย่าง
แต่ยังไม่เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนดจึงยังปลอดภัยอยู่ แต่ถ้าใน 1 วัน กินหลายๆครั้ง หรือกินมากกว่า 1 กิโลกรัม ก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย
อย่าซื้ออาหารที่มีสีแดงผิดธรรมชาติ ไม่กินอาหารซ้ำชนิดกันบ่อยครั้ง ปลอดภัยแน่นอน
ที่มา: ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 29 กรกฎาคม 2554
บ.เหล้ายักษ์ใหญ่จ่ายค่าระงับคดี ติดสินบนเจ้าหน้าที่ 'ไทย-อินเดีย-เกาหลีใต้'
“ดิอาจิโอ พีแอลซี” บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของโลก อย่างสก็อตช์วิสกี้ “จอห์นนี่ วอล์คเกอร์” และ “วินเซอร์” ตกลงจ่ายเงิน 492 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าข้อตกลงระงับคดี หลังถูกตั้งข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย เกาหลีใต้ และไทย มานาน 6 ปี...
สำนักข่าวเอพีและเอเอฟพี รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) เมื่อวันพุธที่ 27 ก.ค.ว่า “ดิอาจิโอ พีแอลซี” (Diageo PLC) บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของโลก รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดัง ๆ อย่างสก็อตช์วิสกี้ “จอห์นนี่ วอล์คเกอร์” และ “วินเซอร์” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตกลงจ่ายเงินถึง 16.4 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 492 ล้านบาท) ให้ทางการสหรัฐฯ เพื่อเป็นค่าข้อตกลงระงับคดี หลังถูกตั้งข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย เกาหลีใต้ และไทย
นาย สก็อตต์ ฟรายสตัด รองผู้อำนวยการแผนกบังคับคดีของเอสอีซีแถลงที่กรุงวอชิงตันว่า ดิอาจิโอ พีแอลซี และบริษัทลูก จ่ายสินบนกว่า 2.7 ล้านดอลลาร์ (กว่า 81 ล้านบาท) ให้เจ้าหน้าท่ีรัฐบาลต่างชาติ เป็นเวลา 6 ปี ในช่วงปี 2546-2552 โดยในช่วงปี 2549-2552 จ่ายเงินกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์ (กว่า 51 ล้านบาท) ให้กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดียซึ่งรับผิดชอบด้านการจัดซื้อหรืออนุมัติ การจัดจำหน่ายเครื่องดื่มของดิอาจิโอในอินเดีย
กรณีเกาหลีใต้ ดิอาจิโอฯ จ่ายเงิน 100 ล้านวอนหรือ 86,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,580,000 บาท) ให้เจ้าหน้าที่ด้านภาษีศุลกากรของเกาหลีใต้คนหนึ่ง เพื่อให้ช่วยเรื่องการคืนเงินภาษี อีกทั้งจ่ายค่าเดินทางและค่าเลี้ยงดูปูเสื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลคนอื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจรจาด้านภาษีกับดิอาจิโอ นอกจากนี้ ยังจ่ายเงินค่าของขวัญเป็นประจำหลายร้อยครั้งให้เจ้าหน้าท่ีกองทัพเกาหลีใต้ เพื่อให้ได้รับและคงไว้ซึ่งธุรกิจของตนในเกาหลีใต้
ขณะที่ในประเทศ ไทย ดิอาจิโอฯ จ่ายเงินประมาณ 600,000 ดอลลาร์ ( ประมาณ 18,000,000 บาท) ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยระดับสูงคนหนึ่ง ในช่วงปี 2547-2551 เพื่อให้ช่วยวิ่งเต้นในการสู้คดีด้านภาษีและศุลกากรหลายคดี แต่นายฟรายสตัดไม่เปิดเผยช่ือเจ้าหน้าที่ผู้รับสินบนเหล่านี้
ดิอาจิ โจฯ เปิดเผยเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2552 ว่าบริษัทของตนถูกเอสอีซีสอบสวนในข้อหาละเมิดกฎหมายป้องกันการคอรัปชั่นใน ต่างประเทศของสหรัฐฯ (เอฟซีพีเอ) และการตกลงจ่ายเงิน 16.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครั้งนี้ก็เพื่อเป็นค่าข้อตกลงให้ทางการสหรัฐฯ ระงับคดีติดสินบนดังกล่าว โดยเงินที่ดิอาจิโอยอมจ่าย แบ่งเป็นเงินชดใช้ความผิดและดอกเบี้ย 13.3 ล้านดอลลาร์ และเป็นค่าปรับอีก 3 ล้านดอลลาร์ โดยดิอาจิโอฯ แถลงว่า ตนถือว่าผลการสอบสวนของเอสอีซีเป็นเรื่องร้ายแรงและเสียใจในเรื่องนี้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ ดิอาจิโอฯ ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธว่ากระทำความผิดจริง แต่ตกลงที่จะไม่กระทำความผิดเช่นนี้อีกในอนาคต
บทบัญญัติในกฎหมายเอฟซีพีเอ สั่งห้ามบริษัทต่าง ๆ ที่มีฐานอยู่อยู่ในสหรัฐฯ หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติ ถึงแม้ว่าการติดสินบนจะเกิดขึ้นนอกดินแดนสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าท่ีสหรัฐฯ บังคับใช้กฎหมายเอฟซีพีเอเข้มข้นขึ้น โดยบังคับให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซีเมนส์ และเดมเลอร์ของเยอรมนี และบีเออี ซิสเทมส์ ซึ่งทำธุรกิจด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน จ่ายค่าระงับคดีเป็นจำนวนเงินมหาศาลนอกจากสก็อตช์วิสกี้ยี่ห้อดังอย่างจอห์น นี่ วอล์คเกอร์ ทั้งแบล็ค และเรดเลเบิล แล้ว ดิอาจิโอฯ ยังเป็นเจ้าของเครื่องดื่มอื่น ๆ อีกหลายยี่ห้อ รวมทั้งเหล้าว็อดก้าสเมอร์นอฟฟ์ , กินเนสส์ สเตาท์ ไปจนถึงเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์อย่าง ไบเลย์ ด้วย
อนึ่ง สื่อมวลชนไทยรายงานด้วยว่า เมื่อปลายเดือนมิ.ย. 2554 ที่ผ่านมา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงว่า หลังจากท่ีดีเอสไอมีหนังสือแจ้งไปยังกรมศุลกากรในช่วงปลายเดือนธ.ค. 2553 กรณีบริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) หรือช่ือเดิมว่า ริชมอนเด้ (บางกอก) บริษัทลูกของดิอาจิโอ พีแอลซี ในประเทศไทย ผู้ต้องหาในคดีพิเศษที่ 72/2550 ได้มีหนังสือขอทำความตกลงระงับคดีเลี่ยงภาษี ในจำนวนเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท นั้น ล่าสุดเมื่อเดือนมิ.ย. 2554 กรมศุลกากรมีหนังสือแจ้งกลับมาว่า คณะกรรมการพิจารณาเปรียบเทียบปรับ กรมศุลกากร มีมติให้บริษัทดิอาจิโอฯ ต้องจ่ายค่าปรับให้กรมศุลกากร 2 เท่าของภาษีที่จ่ายไม่ครบ คาดว่าจะเป็นวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโทษสูงสุด และขั้นตอนต่อไป ดีเอสไอต้องทำหนังสือไปแจ้งให้ดิอาจิโอฯ เข้ามาเสียค่าปรับ เพื่อขอระงับคดี ถือว่าเป็นสิทธิตามกฎหมาย
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2546 โดยกองปราบปรามได้เข้าตรวจค้นและอายัดเหล้านอกยี่ห้อแบล็ค เลเบิล และเรด เลเบิล ขนาด 1 ลิตรของบริษัทริชมอนเด้ ประมาณ 45,000 ลัง การสอบสวนขณะนั้นพบว่า อาจมีการทำความผิดในช่วงปี 2545-2548 และเดือนต.ค. 2550 คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) จึงมีมติให้ดีเอสไอรับทำเป็นคดีพิเศษ และตั้งข้อกล่าวหาบริษัทริชมอนเด้ หรือช่ือใหม่ว่า ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) แสดงรายการเท็จเพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าสุราจากต่างประเทศ
Graft = ติดสินบน
NEW YORK, July 27 (Reuters) - Diageo Plc, the world's biggest spirits group, agreed on Wednesday to pay more than $16 million to settle U.S. civil regulatory charges that it made improper payments to foreign officials.
Regulators accused the British company of violating the U.S. Foreign Corrupt Practices Act through its subsidiaries to obtain lucrative sales and tax benefits for its Johnnie Walker and Windsor Scotch whiskeys and other brands.
Diageo did not admit any wrongdoing in agreeing to the settlement with the U.S. Securities and Exchange Commission.
The SEC said that from 2003 to 2009, Diageo paid $2.7 million to foreign officials in India, Thailand, and South Korea through its subsidiaries.
The settlement includes $11.3 million in disgorgement of profits, plus $2.1 million in interest and a $3 million penalty.
"For years, Diageo's subsidiaries made hundreds of illicit payments to foreign government officials," SEC Associate Director of Enforcement Scott Friestad said in a statement. "As a result of Diageo's lax oversight and deficient controls, the subsidiaries routinely used third parties, inflated invoices, and other deceptive devices to disguise the true nature of the payments."
In a statement, the company said it "takes the SEC's findings seriously and regrets this matter." It also said that its systems and controls had been enhanced to prevent "the future occurrence of such issues."
Source: reuters // Reuters 27 Jul 2011
--------------
Liquor giant Diageo will pay US authorities more than $16 million to settle charges that it bribed officials in India, Thailand and South Korea, US officials and the company said Wednesday.
London-based Diageo and its subsidiaries paid over $2.7 million in bribes for more than six years to obtain tax and sales benefits for Johnnie Walker whiskey and other brands, the US Securities and Exchange Commission said.
"For years, Diageo's subsidiaries made hundreds of illicit payments to foreign government officials," Scott Friestad, associate director of the SEC's enforcement division, said in a statement.
From 2003 to 2009, the company paid more than $1.7 million to hundreds of Indian government officials responsible for either purchasing or authorizing the sale of its beverages in India, the SEC said.
In Thailand, Diageo paid approximately $600,000 to a high-ranking government official from 2004 to 2008 so he would lobby on the company's behalf in various tax and customs disputes, the SEC said.
* In Thailand, from 2004 through mid-2008, Diageo paid approximately $12,000 per month – totaling nearly $600,000 – to retain the consulting services of a Thai government and political party official. This official lobbied extensively on Diageo’s behalf in connection with multi-million dollar pending tax and customs disputes, contributing to Diageo’s receipt of certain favorable dispositions by the Thai government. - From the SEC report
* Click to get: full text of the SEC report (PDF format).
And in South Korea, Diageo paid a customs official 100 million won ($86,000) for helping the company get a tax rebate, while paying travel and entertainment expenses to officials involved in tax negotiations with Diageo.
"Separately, Diageo routinely made hundreds of gift payments to South Korean military officials in order to obtain and retain liquor business," the SEC said in its statement.
Diageo, which first disclosed the SEC's investigation in 2009, agreed to pay more than $16 million to settle charges that it violated the US Foreign Corrupt Practices Act (FCPA), although it did not admit wrongdoing.
"Diageo takes the SEC's findings seriously and regrets this matter," the company said in a statement.
The FCPA bars companies based in the United States or listed on US exchanges from bribing foreign government officials, even if the bribery took place outside the United States.
In recent years US authorities have stepped up their enforcement of the law, forcing companies such as Siemens, Daimler and London-based defense firm BAE Systems to pay costly settlements.
Diageo, which owns a range of alcohol brands including Baileys, Smirnoff and Guinness, reported 1.63 billion pounds ($2.54 billion) in annual profits last year, with its strongest growth in Asia and other emerging markets.
EARLIER AND DETAILED REPORT
Diageo Plc, which also makes Smirnoff vodka and Guinness, is to pay over US$16 million (475.5 million baht) to resolve US Securities and Exchange Commission (SEC) claims it bribed officials in Thailand, South Korea and India to win sales and tax benefits.
Between April 2004 and July 2008, Diageo, through Diageo Moet Hennessy Thailand (DT), retained the services of a government and political party official to lobby other officials to adopt Diageo's position in several multi-million-dollar tax and customs disputes.
"DT compensated the Thai official through 49 direct payments to a political consulting firm for which the Thai official acted as a principal. Most, if not all, of the $599,322 paid to the consulting firm was for the Thai official's services and accrued to his benefit," the SEC said.
The official was not named but the SEC said that at various times he served as deputy secretary to the prime minister, an adviser to the deputy prime minister, and adviser to the Agriculture Ministry.
He also served on a Thai Rak Thai committee, and as a member and/or adviser to several state-owned or state-controlled industrial and utility boards.
"The Thai official was the brother of one of DT's senior officers at that time," the SEC added.
The official coordinated and attended numerous meetings between senior government officials and senior Diageo and DT managers, including two meetings in April and May 2005 with then prime minister Thaksin Shinawatra.
"In May 2005, shortly following the meetings arranged by the Thai official, [Thaksin] made a radio address publicly endorsing Diageo's position in favour of a specific approach [based on quantity] rather than an approach [based on price] to calculating excise taxes," the SEC said.
"Based in part on the official's lobbying efforts, the Thai government accepted important aspects of DT's transfer pricing method and released over $7 million in bank guarantees DT was required to post while the tax dispute was pending."
Units of London-based Diageo paid more than $2.7 million in bribes across Asia from 2003 to 2009, recording them as business expenses for vendors and private customers, or omitting them altogether, the SEC said.
The company made about $11 million in profits as a result of the payments.
"For years, Diageo's subsidiaries made hundreds of illicit payments to foreign government officials," Scott Friestad, associate director in the SEC's enforcement division, said.
"As a result of Diageo's lax oversight and deficient controls, the subsidiaries routinely used third parties, inflated invoices, and other deceptive devices to disguise the true nature of the payments."
Diageo resolved the claims under the US Foreign Corrupt Practices Act without admitting or denying wrongdoing.
Source: top-stories BangkokPost.com 29/07/2011
----------
Settlement of SEC investigation – Diageo StatementDownload file
Press release by Diageo.com
Diageo has today agreed settlement of the previously disclosed US Securities and Exchange Commission (SEC) investigation into potential violations of the US Foreign Corrupt Practices Act.
The investigation related to payments involving Diageo’s subsidiaries in India, South Korea and Thailand. Under the settlement Diageo has agreed to pay $13,373,820 to the SEC in disgorgement of profits and pre-judgment interest, to pay a $3 million penalty to the SEC, and to cease and desist from committing any further violations of the books and records and internal controls provisions of the FCPA.
Diageo takes the SEC’s findings seriously and regrets this matter. Systems and controls have been enhanced in an effort to prevent the future occurrence of such issues and to reinforce, everywhere the Company operates, a culture of compliance and commitment to the principles embodied in Diageo’s Code of Business Conduct.
-ENDS
desist = เลิก
สำนักข่าวเอพีและเอเอฟพี รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) เมื่อวันพุธที่ 27 ก.ค.ว่า “ดิอาจิโอ พีแอลซี” (Diageo PLC) บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของโลก รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดัง ๆ อย่างสก็อตช์วิสกี้ “จอห์นนี่ วอล์คเกอร์” และ “วินเซอร์” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตกลงจ่ายเงินถึง 16.4 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 492 ล้านบาท) ให้ทางการสหรัฐฯ เพื่อเป็นค่าข้อตกลงระงับคดี หลังถูกตั้งข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย เกาหลีใต้ และไทย
นาย สก็อตต์ ฟรายสตัด รองผู้อำนวยการแผนกบังคับคดีของเอสอีซีแถลงที่กรุงวอชิงตันว่า ดิอาจิโอ พีแอลซี และบริษัทลูก จ่ายสินบนกว่า 2.7 ล้านดอลลาร์ (กว่า 81 ล้านบาท) ให้เจ้าหน้าท่ีรัฐบาลต่างชาติ เป็นเวลา 6 ปี ในช่วงปี 2546-2552 โดยในช่วงปี 2549-2552 จ่ายเงินกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์ (กว่า 51 ล้านบาท) ให้กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดียซึ่งรับผิดชอบด้านการจัดซื้อหรืออนุมัติ การจัดจำหน่ายเครื่องดื่มของดิอาจิโอในอินเดีย
กรณีเกาหลีใต้ ดิอาจิโอฯ จ่ายเงิน 100 ล้านวอนหรือ 86,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,580,000 บาท) ให้เจ้าหน้าที่ด้านภาษีศุลกากรของเกาหลีใต้คนหนึ่ง เพื่อให้ช่วยเรื่องการคืนเงินภาษี อีกทั้งจ่ายค่าเดินทางและค่าเลี้ยงดูปูเสื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลคนอื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจรจาด้านภาษีกับดิอาจิโอ นอกจากนี้ ยังจ่ายเงินค่าของขวัญเป็นประจำหลายร้อยครั้งให้เจ้าหน้าท่ีกองทัพเกาหลีใต้ เพื่อให้ได้รับและคงไว้ซึ่งธุรกิจของตนในเกาหลีใต้
ขณะที่ในประเทศ ไทย ดิอาจิโอฯ จ่ายเงินประมาณ 600,000 ดอลลาร์ ( ประมาณ 18,000,000 บาท) ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยระดับสูงคนหนึ่ง ในช่วงปี 2547-2551 เพื่อให้ช่วยวิ่งเต้นในการสู้คดีด้านภาษีและศุลกากรหลายคดี แต่นายฟรายสตัดไม่เปิดเผยช่ือเจ้าหน้าที่ผู้รับสินบนเหล่านี้
ดิอาจิ โจฯ เปิดเผยเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2552 ว่าบริษัทของตนถูกเอสอีซีสอบสวนในข้อหาละเมิดกฎหมายป้องกันการคอรัปชั่นใน ต่างประเทศของสหรัฐฯ (เอฟซีพีเอ) และการตกลงจ่ายเงิน 16.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครั้งนี้ก็เพื่อเป็นค่าข้อตกลงให้ทางการสหรัฐฯ ระงับคดีติดสินบนดังกล่าว โดยเงินที่ดิอาจิโอยอมจ่าย แบ่งเป็นเงินชดใช้ความผิดและดอกเบี้ย 13.3 ล้านดอลลาร์ และเป็นค่าปรับอีก 3 ล้านดอลลาร์ โดยดิอาจิโอฯ แถลงว่า ตนถือว่าผลการสอบสวนของเอสอีซีเป็นเรื่องร้ายแรงและเสียใจในเรื่องนี้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ ดิอาจิโอฯ ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธว่ากระทำความผิดจริง แต่ตกลงที่จะไม่กระทำความผิดเช่นนี้อีกในอนาคต
บทบัญญัติในกฎหมายเอฟซีพีเอ สั่งห้ามบริษัทต่าง ๆ ที่มีฐานอยู่อยู่ในสหรัฐฯ หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติ ถึงแม้ว่าการติดสินบนจะเกิดขึ้นนอกดินแดนสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าท่ีสหรัฐฯ บังคับใช้กฎหมายเอฟซีพีเอเข้มข้นขึ้น โดยบังคับให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซีเมนส์ และเดมเลอร์ของเยอรมนี และบีเออี ซิสเทมส์ ซึ่งทำธุรกิจด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน จ่ายค่าระงับคดีเป็นจำนวนเงินมหาศาลนอกจากสก็อตช์วิสกี้ยี่ห้อดังอย่างจอห์น นี่ วอล์คเกอร์ ทั้งแบล็ค และเรดเลเบิล แล้ว ดิอาจิโอฯ ยังเป็นเจ้าของเครื่องดื่มอื่น ๆ อีกหลายยี่ห้อ รวมทั้งเหล้าว็อดก้าสเมอร์นอฟฟ์ , กินเนสส์ สเตาท์ ไปจนถึงเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์อย่าง ไบเลย์ ด้วย
อนึ่ง สื่อมวลชนไทยรายงานด้วยว่า เมื่อปลายเดือนมิ.ย. 2554 ที่ผ่านมา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงว่า หลังจากท่ีดีเอสไอมีหนังสือแจ้งไปยังกรมศุลกากรในช่วงปลายเดือนธ.ค. 2553 กรณีบริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) หรือช่ือเดิมว่า ริชมอนเด้ (บางกอก) บริษัทลูกของดิอาจิโอ พีแอลซี ในประเทศไทย ผู้ต้องหาในคดีพิเศษที่ 72/2550 ได้มีหนังสือขอทำความตกลงระงับคดีเลี่ยงภาษี ในจำนวนเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท นั้น ล่าสุดเมื่อเดือนมิ.ย. 2554 กรมศุลกากรมีหนังสือแจ้งกลับมาว่า คณะกรรมการพิจารณาเปรียบเทียบปรับ กรมศุลกากร มีมติให้บริษัทดิอาจิโอฯ ต้องจ่ายค่าปรับให้กรมศุลกากร 2 เท่าของภาษีที่จ่ายไม่ครบ คาดว่าจะเป็นวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโทษสูงสุด และขั้นตอนต่อไป ดีเอสไอต้องทำหนังสือไปแจ้งให้ดิอาจิโอฯ เข้ามาเสียค่าปรับ เพื่อขอระงับคดี ถือว่าเป็นสิทธิตามกฎหมาย
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2546 โดยกองปราบปรามได้เข้าตรวจค้นและอายัดเหล้านอกยี่ห้อแบล็ค เลเบิล และเรด เลเบิล ขนาด 1 ลิตรของบริษัทริชมอนเด้ ประมาณ 45,000 ลัง การสอบสวนขณะนั้นพบว่า อาจมีการทำความผิดในช่วงปี 2545-2548 และเดือนต.ค. 2550 คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) จึงมีมติให้ดีเอสไอรับทำเป็นคดีพิเศษ และตั้งข้อกล่าวหาบริษัทริชมอนเด้ หรือช่ือใหม่ว่า ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) แสดงรายการเท็จเพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าสุราจากต่างประเทศ
Graft = ติดสินบน
Diageo settles U.S. civil bribery charges
NEW YORK, July 27 (Reuters) - Diageo Plc
Regulators accused the British company of violating the U.S. Foreign Corrupt Practices Act through its subsidiaries to obtain lucrative sales and tax benefits for its Johnnie Walker and Windsor Scotch whiskeys and other brands.
Diageo did not admit any wrongdoing in agreeing to the settlement with the U.S. Securities and Exchange Commission.
The SEC said that from 2003 to 2009, Diageo paid $2.7 million to foreign officials in India, Thailand, and South Korea through its subsidiaries.
The settlement includes $11.3 million in disgorgement of profits, plus $2.1 million in interest and a $3 million penalty.
"For years, Diageo's subsidiaries made hundreds of illicit payments to foreign government officials," SEC Associate Director of Enforcement Scott Friestad said in a statement. "As a result of Diageo's lax oversight and deficient controls, the subsidiaries routinely used third parties, inflated invoices, and other deceptive devices to disguise the true nature of the payments."
In a statement, the company said it "takes the SEC's findings seriously and regrets this matter." It also said that its systems and controls had been enhanced to prevent "the future occurrence of such issues."
Source: reuters // Reuters 27 Jul 2011
--------------
Aide to Thaksin accused of graft
A senior politician in the Thaksin Shinawatra administration has been implicated in a multi-million-dollar bribery case involving the makers of Johnnie Walker whisky.Liquor giant Diageo will pay US authorities more than $16 million to settle charges that it bribed officials in India, Thailand and South Korea, US officials and the company said Wednesday.
London-based Diageo and its subsidiaries paid over $2.7 million in bribes for more than six years to obtain tax and sales benefits for Johnnie Walker whiskey and other brands, the US Securities and Exchange Commission said.
"For years, Diageo's subsidiaries made hundreds of illicit payments to foreign government officials," Scott Friestad, associate director of the SEC's enforcement division, said in a statement.
From 2003 to 2009, the company paid more than $1.7 million to hundreds of Indian government officials responsible for either purchasing or authorizing the sale of its beverages in India, the SEC said.
In Thailand, Diageo paid approximately $600,000 to a high-ranking government official from 2004 to 2008 so he would lobby on the company's behalf in various tax and customs disputes, the SEC said.
* In Thailand, from 2004 through mid-2008, Diageo paid approximately $12,000 per month – totaling nearly $600,000 – to retain the consulting services of a Thai government and political party official. This official lobbied extensively on Diageo’s behalf in connection with multi-million dollar pending tax and customs disputes, contributing to Diageo’s receipt of certain favorable dispositions by the Thai government. - From the SEC report
* Click to get: full text of the SEC report (PDF format).
And in South Korea, Diageo paid a customs official 100 million won ($86,000) for helping the company get a tax rebate, while paying travel and entertainment expenses to officials involved in tax negotiations with Diageo.
"Separately, Diageo routinely made hundreds of gift payments to South Korean military officials in order to obtain and retain liquor business," the SEC said in its statement.
Diageo, which first disclosed the SEC's investigation in 2009, agreed to pay more than $16 million to settle charges that it violated the US Foreign Corrupt Practices Act (FCPA), although it did not admit wrongdoing.
"Diageo takes the SEC's findings seriously and regrets this matter," the company said in a statement.
The FCPA bars companies based in the United States or listed on US exchanges from bribing foreign government officials, even if the bribery took place outside the United States.
In recent years US authorities have stepped up their enforcement of the law, forcing companies such as Siemens, Daimler and London-based defense firm BAE Systems to pay costly settlements.
Diageo, which owns a range of alcohol brands including Baileys, Smirnoff and Guinness, reported 1.63 billion pounds ($2.54 billion) in annual profits last year, with its strongest growth in Asia and other emerging markets.
EARLIER AND DETAILED REPORT
Diageo Plc, which also makes Smirnoff vodka and Guinness, is to pay over US$16 million (475.5 million baht) to resolve US Securities and Exchange Commission (SEC) claims it bribed officials in Thailand, South Korea and India to win sales and tax benefits.
Between April 2004 and July 2008, Diageo, through Diageo Moet Hennessy Thailand (DT), retained the services of a government and political party official to lobby other officials to adopt Diageo's position in several multi-million-dollar tax and customs disputes.
"DT compensated the Thai official through 49 direct payments to a political consulting firm for which the Thai official acted as a principal. Most, if not all, of the $599,322 paid to the consulting firm was for the Thai official's services and accrued to his benefit," the SEC said.
The official was not named but the SEC said that at various times he served as deputy secretary to the prime minister, an adviser to the deputy prime minister, and adviser to the Agriculture Ministry.
He also served on a Thai Rak Thai committee, and as a member and/or adviser to several state-owned or state-controlled industrial and utility boards.
"The Thai official was the brother of one of DT's senior officers at that time," the SEC added.
The official coordinated and attended numerous meetings between senior government officials and senior Diageo and DT managers, including two meetings in April and May 2005 with then prime minister Thaksin Shinawatra.
"In May 2005, shortly following the meetings arranged by the Thai official, [Thaksin] made a radio address publicly endorsing Diageo's position in favour of a specific approach [based on quantity] rather than an approach [based on price] to calculating excise taxes," the SEC said.
"Based in part on the official's lobbying efforts, the Thai government accepted important aspects of DT's transfer pricing method and released over $7 million in bank guarantees DT was required to post while the tax dispute was pending."
Units of London-based Diageo paid more than $2.7 million in bribes across Asia from 2003 to 2009, recording them as business expenses for vendors and private customers, or omitting them altogether, the SEC said.
The company made about $11 million in profits as a result of the payments.
"For years, Diageo's subsidiaries made hundreds of illicit payments to foreign government officials," Scott Friestad, associate director in the SEC's enforcement division, said.
"As a result of Diageo's lax oversight and deficient controls, the subsidiaries routinely used third parties, inflated invoices, and other deceptive devices to disguise the true nature of the payments."
Diageo resolved the claims under the US Foreign Corrupt Practices Act without admitting or denying wrongdoing.
Source: top-stories BangkokPost.com 29/07/2011
----------
Settlement of SEC investigation – Diageo StatementDownload file
Press release by Diageo.com
Diageo has today agreed settlement of the previously disclosed US Securities and Exchange Commission (SEC) investigation into potential violations of the US Foreign Corrupt Practices Act.
The investigation related to payments involving Diageo’s subsidiaries in India, South Korea and Thailand. Under the settlement Diageo has agreed to pay $13,373,820 to the SEC in disgorgement of profits and pre-judgment interest, to pay a $3 million penalty to the SEC, and to cease and desist from committing any further violations of the books and records and internal controls provisions of the FCPA.
Diageo takes the SEC’s findings seriously and regrets this matter. Systems and controls have been enhanced in an effort to prevent the future occurrence of such issues and to reinforce, everywhere the Company operates, a culture of compliance and commitment to the principles embodied in Diageo’s Code of Business Conduct.
-ENDS
desist = เลิก
ฮือไล่"คณบดี"สะท้อนคุณภาพผู้บริหาร
ผ่าปมนักศึกษามช.ฮือไล่ 2 คณบดีคณะศึกษาศาสตร์-คณะสื่อสารมวลชนบทสะท้อนคุณภาพผู้บริหารมหาวิทยาลัย
ปรากฎการณ์การการเคลื่อนไหวของนักศึกษา คณาจารย์ และศิษย์เก่าในการขับไล่ผู้บริหารคณะ 2 คณะได้แก่ คณะศึกษาศาสตร์ และคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในเวลาที่ไล่เรี่ยกัน นับเป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
เพราะนอกจาก เหตุผลที่อ้างว่าผู้บริหารขาดธรรมาภิบาล และใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบแล้ว ยังผูกโยงไปถึง “ระบบประเมินคุณภาพการศึกษา” ของมหาวิทยาลัย
ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ได้รับการจัดอันดับให้จาก QS Asian University Rankings 2011 ให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 67 ของเอเชีย และมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศ ขณะที่คณะศึกษาศาสตร์ และคณะการสื่อสารมวลชนก็ได้ชื่อว่าเป็นคณะที่ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ โดยมีอายุยาวนานมาพร้อม ๆ กับการกำเนิดมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทั้งสองคณะอาจจะมีบ้างที่มีความขัดแย้งภายตามแบบฉบับของ “มหาวิทยาลัยนอกระบบ” ที่ต้องต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของโลก
ทว่า ก็ไม่เคยมีความขัดแย้งที่รุนแรงขนาดนี้
สิ่งที่สอดคล้องกันอย่างหนึ่งระหว่าง คณะศึกษาศาสตร์ และคณะการสื่อสารมวลชนก็คือ ปฏิกิริยาของ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ งามประภาสม คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ และรศ.ดร.กุลิสรา กฤตวรกาญจน์ คณบดีคณะการสื่อสารมวลชนก็คือ ทั้งสองคนต่างก็ออกมาตอบโต้ฝ่ายที่เคลื่อนไหวขับไล่ทันทีว่า “การทำงานที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียผลประโยชน์” และการเคลื่อนไหวทุกอย่าง “มีผู้อยู่เบื้องหลังอยากเป็นคณบดีแทน”
แต่ข้ออ้างเหล่านี้ก็ไม่ได้สั่นคลอนขบวนการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด คณะศึกษาศาสตร์นั้นเริ่มเคลื่อนไหวครั้งแรกตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว โดยคณาจารย์ที่ทำหน้าที่บริหารในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารหลักสูตรฯ หัวหน้าสายวิชาฯ ประธานสาขาวิชาระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 25 คน จากทั้งหมด 33 คนตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งด้วยความไม่พอใจประสิทธิภาพในการบริหารงานของคณะ และมีพฤติกรรมในลักษณะแสวงหาผลประโยชน์
พร้อมทั้งมีแผนจะยุบสาขาวิชาจาก 15 สาขาวิชา เหลือเพียง 4 สาขาวิชา ขณะเดียวกันตัวหลักสูตร และการประเมินคุณภาพคณะ และการประเมินคุณภาพหลักสูตรก็มีปัญหา ทำให้นักศึกษาเริ่มเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์อย่างใหญ่โต ด้วยการจำลอง“งานศพ”ให้กับคณบดีอย่างใหญ่โต พร้อมกับแห่โลงศพไปยังสำนักงานอธิการบดี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา
จนในที่สุดสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีน.พ.เกษม วัฒนชัย เป็นนายกสภาฯนั้นก็มีมติให้ถอดถอน รศ.ดร.นิ่มอนงค์ออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้ถอดถอนคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ออกจากตำแหน่ง หลังพิจารณาว่าบกพร่องต่อหน้าที่และหย่อนความสามารถ
ขณะที่คณะการสื่อสารมวลชนเอง ก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะคณาจารย์ภายในคณะจำนวน 8 คน จากทั้งหมด 16 คน ก็ทำหนังสือให้มหาวิทยาลัยดำเนินการสอบสวน รศ.ดร.กุลิสราเช่นเดียวกันในข้อหาร้ายแรง อาทิเช่น การใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม จนทำให้บุคลากรลาออกจำนวนถึง 16 คน และตามมาด้วยการลาออกของหัวหน้าแขนงวิชา 5 แขนงวิชา นอกจากนี้ยังมีประเด็นการบริหารงานโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้การร้องเรียนขยายวงกว้างขึ้น มีบุคลากร ศิษย์เก่า นักศึกษาปัจจุบัน และคณาจารย์คนอื่น ออกมาส่งเอกสารให้คณะกรรมการสอบสวนของมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม จนนำมาซึ่งการแต่งชุดดำประท้วงผู้บริหาร ตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
แต่จนแล้วจนรอดผ่านมา 7 เดือน ขั้นตอนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงก็ยังไปไม่ถึงไหน อีกทั้งยังมีผลการประเมินคุณภาพออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่า “ประเมินคุณภาพการศึกษาไม่ผ่าน” มาเป็นประเด็นเพิ่มเติม นำไปสู่การออกมาใส่ชุดดำออกแถลงการณ์เรียกร้องให้คณบดีลาออกเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ถึงขั้นที่ “ว่าที่บัณฑิต” นั้น ร่วมกันเข้าชื่อไม่รับปริญญาในเดือนมกราคมนี้ทั้งรุ่น หากว่ารศ.ดร.กุลิสรายังคงเป็นผู้ลงนามในใบปริญญาให้ และยังคงนั่งเก้าอี้เป็นคณบดีอยู่
เดือดร้อนถึง ศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องออกมาชี้แจงว่า ข้อเรียกร้องของทั้ง 2 คณะไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองภายใน เพราะทั้งรศ.ดร.นิ่มอนงค์ และรศ.ดร.กุลิสราเองถูกเรียกร้องหลังจากบริหารงานมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว จึงน่าจะมีปัญหาในแง่การบริหารงานจริง ส่วนกระบวนการสอบสวนรศ.ดร.กุลิสรานั้นจะเร่งให้แล้วเสร็จในอีกไม่กี่วันนี้ และจะถูกถอดถอนเหมือนคณบดีคณะศึกษาศาสตร์หรือไม่ ต้องรอให้สภามหาวิทยาลัยตัดสินในวันที่ 20 สิงหาคม รวมถึงขอให้ยุติการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ เพราะทำให้เสียภาพพจน์ของมหาวิทยาลัย รวมถึงจะยกเลิกกระบวนการสอบสวนทั้งหมด หากยังเคลื่อนไหว “ข้างถนน” ในลักษณะนี้อีก
ฉะนั้น คำถามที่ต้องสะท้อนกลับไปยังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็คือ เพราะเหตุใดกระบวนการตรวจสอบข้อร้องเรียนของมหาวิทยาลัยถึงได้ล่าช้าจนต้องออกมาเคลื่อนไหวกันนอกคณะ ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์
รวมไปถึงเพราะเหตุใดเมื่อมีหลักฐานเชิงประจักษ์ผ่านการชี้แจง “ผลการประเมินคุณภาพ” ที่ถูกชี้แจงออกจากปากคณะกรรมการประเมินคุณภาพ ออกมาแล้วว่า การทำงานของผู้บริหารของทั้ง 2 คณะ นั้นไม่มีจุดแข็งด้านการบริหาร และอาจทำให้ไม่ผ่านการประเมินคุณภาพ แต่มหาวิทยาลัยก็ยังคงปล่อยให้ทำงานต่อไป โดยไม่มีกระบวนการเข้าไปจัดการ มีแต่น้ำเสียงของผู้บริหารให้ “ประนีประนอม” เพื่อไม่ให้เสียชื่อมหาวิทยาลัยเท่านั้น อีกทั้งยังสำทับด้วยว่าหากออกมาเคลื่อนไหวอีก จะยุติกระบวนการสอบสวนทั้งหมด
ล่าสุด ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว จะลุกลามเป็นโดมิโน่ไปยังคณะและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ หลังจากที่คณะศึกษาศาสตร์เคลื่อนไหวเพียง 3 วัน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกัน ในการถอดถอนคณบดีคณะครุศาสตร์ และคณะวิทยาการจัดการ
เชื่อว่าคงมีอีกหลายสถาบันการศึกษาที่มีปัญหาในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งแม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยในการสอบสวน
และสกอ.เองก็ต้องยอมรับด้วยว่าระบบการร้องเรียน ตรวจสอบ และการประเมินคุณภาพผู้บริหารคณะนั้นมีปัญหาจริง ทำให้ปัญหาทั้งหลายถูกซุกอยู่ใต้พรมมานาน
หากไม่มีใครเคลื่อนไหว แวดวงอุดมศึกษาก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเจอเรื่องพวกนี้แดงขึ้นมาอีกต่อไปเรื่อย ๆ
คงถึงเวลาต้องนำบทเรียนเพื่อปรับกระบวนการใหม่ เพราะคงไม่มีผู้ปกครองที่ไหน อยากให้บุตรหลานเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาที่มีปัญหาเรื่องการประเมินคุณภาพ หากยังคง “กลัวเสียหน้า” กันเหมือนวันนี้ ก็คงมีการเดินขบวนให้เห็นอีกเรื่อย ๆ
สำคัญแต่ว่าสกอ.จะเริ่มรู้สึกตัวหรือยัง ?
ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา โพสต์ทูเดย์ดิจิตอล 27 กรกฎาคม 2554
------------------
“ศึกษาศาสตร์ มช.”ไล่คณบดี ม็อบอ้างไม่มีธรรมาภิบาล-บริหารงานล้มเหลว
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ศึกษาศาสตร์ มช.เดือด “คณาจารย์-บุคลากร-นศ.” จัดขบวนชุมนุม-ยื่นหนังสือ ร้องสภามหาวิทยาลัยปลดคณบดีพ้นตำแหน่ง อ้างบริงานล้มเหลว-ขาดธรรมาภิบาล-ส่อทุจริต ชี้เรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่สิงหาปีก่อนแต่กลับไม่มีความคืบหน้า หวั่นยิ่งนานคณะยิ่งตกต่ำ เผยคณะปัญหาเพียบทั้งหลักสูตรไม่ได้ปรับปรุง-ยุบรวมสาขาวิชา-ปัญหาบุคลากร แถมคณะผู้บริหารทยอยลาออก-อาจารย์งดสังฆกรรมคณบดี
วันนี้ (21 ก.ค.) ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักศึกษา คณาจารย์และบุคลากรของคณะศึกษาศาสตร์จำนวนประมาณ 300 คน ได้ร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ออกจากตำแหน่ง และยื่นหนังสือต่อสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอให้ปลดคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ออกจากตำแหน่ง
ขบวนของคณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษาซึ่งมีทั้งป้าย ปราสาทจำลอง และพวงหรีดไว้อาลัยได้ชุมนุม และอภิปรายอยู่บริเวณหน้าอาคาร 2 คณะศึกษาศาสตร์ โดยมีเนื้อหาเรียกร้องให้ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ งามประภาสม คณบดีคณะศึกษาศาสตร์คนปัจจุบันออกจากตำแหน่ง และหลังจากยื่นหนังสือต่อ ผศ.นพ.ศุภชัย เชื้อรัตนพงษ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไปและทรัพยากรบุคคล และงานสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นตัวแทนของทางมหาวิทยาลัยแล้ว ขบวนทั้งหมดได้เคลื่อนออกจากคณะศึกษาศาสตร์ไปสู่บริเวณหอนาฬิกา ก่อนจะเดินทางกลับคณะศึกษาศาสตร์เพื่อเนการแสดงพลังอีกด้วย
การชุมนุมและเคลื่อนขบวนในครั้งนี้นั้น เบื้องต้นมีรายงานว่า จะมีการเคลื่อนขบวนจากคณะศึกษาศาสตร์มาชุมนุมกันที่บริเวณสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ แต่ได้รับการขอร้องให้ละเว้นการเดินขบวนจากทางมหาวิทยาลัย จึงเปลี่ยนเป็นมาชุมนุมกันภายในบริเวณคณะแทน
สำหรับข้อเรียกร้องของคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ต่อสภามหาวิทยาลัย ระบุว่า ที่ผ่านมา คณาจารย์และบุคลากรในคณะศึกษาศาสตร์บางส่วนได้ร้องเรียนต่อสภามหาวิทยาลัย เกี่ยวกับการขาดภาวะผู้นำและการบริหารงานโดยปราศจากหลักธรรมาภิบาลของ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2553 และทางสภาได้ดำเนินการผ่านกระบวนการต่างๆ และมีมติให้ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ บริหารงานในตำแหน่งคณบดีต่อไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค.2554 เพื่อให้ครบวาระ 2 ปี และรอรับการประเมินกลางวาระต่อไป แต่ทางคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาเห็นว่า รศ.ดร.นิ่มอนงค์ ไม่ควรได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่บริหารงานคณะศึกษาศาสตร์ต่อไป เพราะจะยิ่งสร้างความเสียหายให้กับคณะ จึงขอให้ทางสภามหาวิทยาลัยทำการปลด รศ.ดร.นิ่มอนงค์ ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ปัญหาภายในคณะศึกษาศาสตร์ซึ่งนำมาสู่การออกมาเคลื่อนขบวนขับไล่ผู้บริหารของคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาในครั้งนี้นั้น สืบเนื่องจากการที่คณบดีได้รับการร้องเรียนจากคณาจารย์ว่าขาดประสิทธิภาพในการบริหารงานของคณะ และมีพฤติกรรมในลักษณะแสวงหาผลประโยชน์ จนทำให้คณาจารย์ที่ทำหน้าที่บริหารในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารหลักสูตรฯ หัวหน้าสายวิชาฯ ประธานสาขาวิชาระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 25 คน จากจำนวนทั้งสิ้น 33 คน ทำหนังสือถึงคณบดีเพื่อขอลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ รวมทั้งมีอาจารย์บางส่วนไม่ให้ความร่วมมือและเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดโดยคณบดี
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของการจัดทำแผนการรับนักศึกษาใหม่ในปีการศึกษา 2555 ซึ่งคณะศึกษาศาสตร์จะรับนักศึกษาในระดับปริญญาตรีเพียง 4 สาชาวิชา ได้แก่ พลศึกษา สุขศึกษาและการส่งเสริมสุขภาพ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมการศึกษา จากเดิมที่มีการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีทั้งสิ้น 15 สาขา หรือการที่สาขาวิชาต่างๆ ยังไม่ผ่านการปรับปรุงหลักสูตรตามกรอบมาตรฐาน TQF ของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และประเด็นในเรื่องของการแต่งตั้งบุคลากรในฝ่ายบริหาร การขาดแคลนบุคลากรที่รับผิดชอบงานในด้านต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งภายในคณะศึกษาศาสตร์มาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวแจ้งว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษาตัดสินใจออกมาชุมนุมในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่คณบดีไม่ดำเนินการชี้แจงถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมากลุ่มผู้คัดค้านจะได้เรียกร้องให้คณบดีได้ออกมาชี้แจงข้อมูลโดยตลอดก็ตาม
อนึ่ง มีรายงานข่าวแจ้งว่า คณะศึกษาศาสตร์เป็นหนึ่งใน 3 คณะ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับคณะการสื่อสารมวลชน และคณะนิติศาสตร์ที่ไม่ผ่านการประเมินระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้ดำเนินการไปในช่วงต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และยังมีรายงานข่าวด้วยว่า ภายในคณะการสื่อสารมวลชน ซึ่งมีปัญหาการร้องเรียนเรื่องการบริหางานของคณบดีเช่นเดียวกันนั้น อาจมีการเคลื่อนไหวทั้งจากคณาจารย์ บุคลากร นักศึกษาและศิษย์เก่าของคณะต่อกรณีดังกล่าวในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน
ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 21 กรกฎาคม 2554
ปรากฎการณ์การการเคลื่อนไหวของนักศึกษา คณาจารย์ และศิษย์เก่าในการขับไล่ผู้บริหารคณะ 2 คณะได้แก่ คณะศึกษาศาสตร์ และคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในเวลาที่ไล่เรี่ยกัน นับเป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
เพราะนอกจาก เหตุผลที่อ้างว่าผู้บริหารขาดธรรมาภิบาล และใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบแล้ว ยังผูกโยงไปถึง “ระบบประเมินคุณภาพการศึกษา” ของมหาวิทยาลัย
ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ได้รับการจัดอันดับให้จาก QS Asian University Rankings 2011 ให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 67 ของเอเชีย และมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศ ขณะที่คณะศึกษาศาสตร์ และคณะการสื่อสารมวลชนก็ได้ชื่อว่าเป็นคณะที่ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ โดยมีอายุยาวนานมาพร้อม ๆ กับการกำเนิดมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทั้งสองคณะอาจจะมีบ้างที่มีความขัดแย้งภายตามแบบฉบับของ “มหาวิทยาลัยนอกระบบ” ที่ต้องต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของโลก
ทว่า ก็ไม่เคยมีความขัดแย้งที่รุนแรงขนาดนี้
สิ่งที่สอดคล้องกันอย่างหนึ่งระหว่าง คณะศึกษาศาสตร์ และคณะการสื่อสารมวลชนก็คือ ปฏิกิริยาของ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ งามประภาสม คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ และรศ.ดร.กุลิสรา กฤตวรกาญจน์ คณบดีคณะการสื่อสารมวลชนก็คือ ทั้งสองคนต่างก็ออกมาตอบโต้ฝ่ายที่เคลื่อนไหวขับไล่ทันทีว่า “การทำงานที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียผลประโยชน์” และการเคลื่อนไหวทุกอย่าง “มีผู้อยู่เบื้องหลังอยากเป็นคณบดีแทน”
แต่ข้ออ้างเหล่านี้ก็ไม่ได้สั่นคลอนขบวนการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด คณะศึกษาศาสตร์นั้นเริ่มเคลื่อนไหวครั้งแรกตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว โดยคณาจารย์ที่ทำหน้าที่บริหารในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารหลักสูตรฯ หัวหน้าสายวิชาฯ ประธานสาขาวิชาระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 25 คน จากทั้งหมด 33 คนตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งด้วยความไม่พอใจประสิทธิภาพในการบริหารงานของคณะ และมีพฤติกรรมในลักษณะแสวงหาผลประโยชน์
พร้อมทั้งมีแผนจะยุบสาขาวิชาจาก 15 สาขาวิชา เหลือเพียง 4 สาขาวิชา ขณะเดียวกันตัวหลักสูตร และการประเมินคุณภาพคณะ และการประเมินคุณภาพหลักสูตรก็มีปัญหา ทำให้นักศึกษาเริ่มเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์อย่างใหญ่โต ด้วยการจำลอง“งานศพ”ให้กับคณบดีอย่างใหญ่โต พร้อมกับแห่โลงศพไปยังสำนักงานอธิการบดี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา
จนในที่สุดสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีน.พ.เกษม วัฒนชัย เป็นนายกสภาฯนั้นก็มีมติให้ถอดถอน รศ.ดร.นิ่มอนงค์ออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้ถอดถอนคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ออกจากตำแหน่ง หลังพิจารณาว่าบกพร่องต่อหน้าที่และหย่อนความสามารถ
ขณะที่คณะการสื่อสารมวลชนเอง ก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะคณาจารย์ภายในคณะจำนวน 8 คน จากทั้งหมด 16 คน ก็ทำหนังสือให้มหาวิทยาลัยดำเนินการสอบสวน รศ.ดร.กุลิสราเช่นเดียวกันในข้อหาร้ายแรง อาทิเช่น การใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม จนทำให้บุคลากรลาออกจำนวนถึง 16 คน และตามมาด้วยการลาออกของหัวหน้าแขนงวิชา 5 แขนงวิชา นอกจากนี้ยังมีประเด็นการบริหารงานโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้การร้องเรียนขยายวงกว้างขึ้น มีบุคลากร ศิษย์เก่า นักศึกษาปัจจุบัน และคณาจารย์คนอื่น ออกมาส่งเอกสารให้คณะกรรมการสอบสวนของมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม จนนำมาซึ่งการแต่งชุดดำประท้วงผู้บริหาร ตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
แต่จนแล้วจนรอดผ่านมา 7 เดือน ขั้นตอนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงก็ยังไปไม่ถึงไหน อีกทั้งยังมีผลการประเมินคุณภาพออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่า “ประเมินคุณภาพการศึกษาไม่ผ่าน” มาเป็นประเด็นเพิ่มเติม นำไปสู่การออกมาใส่ชุดดำออกแถลงการณ์เรียกร้องให้คณบดีลาออกเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ถึงขั้นที่ “ว่าที่บัณฑิต” นั้น ร่วมกันเข้าชื่อไม่รับปริญญาในเดือนมกราคมนี้ทั้งรุ่น หากว่ารศ.ดร.กุลิสรายังคงเป็นผู้ลงนามในใบปริญญาให้ และยังคงนั่งเก้าอี้เป็นคณบดีอยู่
เดือดร้อนถึง ศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องออกมาชี้แจงว่า ข้อเรียกร้องของทั้ง 2 คณะไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองภายใน เพราะทั้งรศ.ดร.นิ่มอนงค์ และรศ.ดร.กุลิสราเองถูกเรียกร้องหลังจากบริหารงานมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว จึงน่าจะมีปัญหาในแง่การบริหารงานจริง ส่วนกระบวนการสอบสวนรศ.ดร.กุลิสรานั้นจะเร่งให้แล้วเสร็จในอีกไม่กี่วันนี้ และจะถูกถอดถอนเหมือนคณบดีคณะศึกษาศาสตร์หรือไม่ ต้องรอให้สภามหาวิทยาลัยตัดสินในวันที่ 20 สิงหาคม รวมถึงขอให้ยุติการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ เพราะทำให้เสียภาพพจน์ของมหาวิทยาลัย รวมถึงจะยกเลิกกระบวนการสอบสวนทั้งหมด หากยังเคลื่อนไหว “ข้างถนน” ในลักษณะนี้อีก
ฉะนั้น คำถามที่ต้องสะท้อนกลับไปยังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็คือ เพราะเหตุใดกระบวนการตรวจสอบข้อร้องเรียนของมหาวิทยาลัยถึงได้ล่าช้าจนต้องออกมาเคลื่อนไหวกันนอกคณะ ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์
รวมไปถึงเพราะเหตุใดเมื่อมีหลักฐานเชิงประจักษ์ผ่านการชี้แจง “ผลการประเมินคุณภาพ” ที่ถูกชี้แจงออกจากปากคณะกรรมการประเมินคุณภาพ ออกมาแล้วว่า การทำงานของผู้บริหารของทั้ง 2 คณะ นั้นไม่มีจุดแข็งด้านการบริหาร และอาจทำให้ไม่ผ่านการประเมินคุณภาพ แต่มหาวิทยาลัยก็ยังคงปล่อยให้ทำงานต่อไป โดยไม่มีกระบวนการเข้าไปจัดการ มีแต่น้ำเสียงของผู้บริหารให้ “ประนีประนอม” เพื่อไม่ให้เสียชื่อมหาวิทยาลัยเท่านั้น อีกทั้งยังสำทับด้วยว่าหากออกมาเคลื่อนไหวอีก จะยุติกระบวนการสอบสวนทั้งหมด
ล่าสุด ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว จะลุกลามเป็นโดมิโน่ไปยังคณะและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ หลังจากที่คณะศึกษาศาสตร์เคลื่อนไหวเพียง 3 วัน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกัน ในการถอดถอนคณบดีคณะครุศาสตร์ และคณะวิทยาการจัดการ
เชื่อว่าคงมีอีกหลายสถาบันการศึกษาที่มีปัญหาในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งแม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยในการสอบสวน
และสกอ.เองก็ต้องยอมรับด้วยว่าระบบการร้องเรียน ตรวจสอบ และการประเมินคุณภาพผู้บริหารคณะนั้นมีปัญหาจริง ทำให้ปัญหาทั้งหลายถูกซุกอยู่ใต้พรมมานาน
หากไม่มีใครเคลื่อนไหว แวดวงอุดมศึกษาก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเจอเรื่องพวกนี้แดงขึ้นมาอีกต่อไปเรื่อย ๆ
คงถึงเวลาต้องนำบทเรียนเพื่อปรับกระบวนการใหม่ เพราะคงไม่มีผู้ปกครองที่ไหน อยากให้บุตรหลานเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาที่มีปัญหาเรื่องการประเมินคุณภาพ หากยังคง “กลัวเสียหน้า” กันเหมือนวันนี้ ก็คงมีการเดินขบวนให้เห็นอีกเรื่อย ๆ
สำคัญแต่ว่าสกอ.จะเริ่มรู้สึกตัวหรือยัง ?
ที่มา: ทีมข่าวการศึกษา โพสต์ทูเดย์ดิจิตอล 27 กรกฎาคม 2554
------------------
“ศึกษาศาสตร์ มช.”ไล่คณบดี ม็อบอ้างไม่มีธรรมาภิบาล-บริหารงานล้มเหลว
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ศึกษาศาสตร์ มช.เดือด “คณาจารย์-บุคลากร-นศ.” จัดขบวนชุมนุม-ยื่นหนังสือ ร้องสภามหาวิทยาลัยปลดคณบดีพ้นตำแหน่ง อ้างบริงานล้มเหลว-ขาดธรรมาภิบาล-ส่อทุจริต ชี้เรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่สิงหาปีก่อนแต่กลับไม่มีความคืบหน้า หวั่นยิ่งนานคณะยิ่งตกต่ำ เผยคณะปัญหาเพียบทั้งหลักสูตรไม่ได้ปรับปรุง-ยุบรวมสาขาวิชา-ปัญหาบุคลากร แถมคณะผู้บริหารทยอยลาออก-อาจารย์งดสังฆกรรมคณบดี
วันนี้ (21 ก.ค.) ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักศึกษา คณาจารย์และบุคลากรของคณะศึกษาศาสตร์จำนวนประมาณ 300 คน ได้ร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ออกจากตำแหน่ง และยื่นหนังสือต่อสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอให้ปลดคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ออกจากตำแหน่ง
ขบวนของคณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษาซึ่งมีทั้งป้าย ปราสาทจำลอง และพวงหรีดไว้อาลัยได้ชุมนุม และอภิปรายอยู่บริเวณหน้าอาคาร 2 คณะศึกษาศาสตร์ โดยมีเนื้อหาเรียกร้องให้ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ งามประภาสม คณบดีคณะศึกษาศาสตร์คนปัจจุบันออกจากตำแหน่ง และหลังจากยื่นหนังสือต่อ ผศ.นพ.ศุภชัย เชื้อรัตนพงษ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไปและทรัพยากรบุคคล และงานสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นตัวแทนของทางมหาวิทยาลัยแล้ว ขบวนทั้งหมดได้เคลื่อนออกจากคณะศึกษาศาสตร์ไปสู่บริเวณหอนาฬิกา ก่อนจะเดินทางกลับคณะศึกษาศาสตร์เพื่อเนการแสดงพลังอีกด้วย
การชุมนุมและเคลื่อนขบวนในครั้งนี้นั้น เบื้องต้นมีรายงานว่า จะมีการเคลื่อนขบวนจากคณะศึกษาศาสตร์มาชุมนุมกันที่บริเวณสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ แต่ได้รับการขอร้องให้ละเว้นการเดินขบวนจากทางมหาวิทยาลัย จึงเปลี่ยนเป็นมาชุมนุมกันภายในบริเวณคณะแทน
สำหรับข้อเรียกร้องของคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ต่อสภามหาวิทยาลัย ระบุว่า ที่ผ่านมา คณาจารย์และบุคลากรในคณะศึกษาศาสตร์บางส่วนได้ร้องเรียนต่อสภามหาวิทยาลัย เกี่ยวกับการขาดภาวะผู้นำและการบริหารงานโดยปราศจากหลักธรรมาภิบาลของ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2553 และทางสภาได้ดำเนินการผ่านกระบวนการต่างๆ และมีมติให้ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ บริหารงานในตำแหน่งคณบดีต่อไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค.2554 เพื่อให้ครบวาระ 2 ปี และรอรับการประเมินกลางวาระต่อไป แต่ทางคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาเห็นว่า รศ.ดร.นิ่มอนงค์ ไม่ควรได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่บริหารงานคณะศึกษาศาสตร์ต่อไป เพราะจะยิ่งสร้างความเสียหายให้กับคณะ จึงขอให้ทางสภามหาวิทยาลัยทำการปลด รศ.ดร.นิ่มอนงค์ ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ปัญหาภายในคณะศึกษาศาสตร์ซึ่งนำมาสู่การออกมาเคลื่อนขบวนขับไล่ผู้บริหารของคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาในครั้งนี้นั้น สืบเนื่องจากการที่คณบดีได้รับการร้องเรียนจากคณาจารย์ว่าขาดประสิทธิภาพในการบริหารงานของคณะ และมีพฤติกรรมในลักษณะแสวงหาผลประโยชน์ จนทำให้คณาจารย์ที่ทำหน้าที่บริหารในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารหลักสูตรฯ หัวหน้าสายวิชาฯ ประธานสาขาวิชาระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 25 คน จากจำนวนทั้งสิ้น 33 คน ทำหนังสือถึงคณบดีเพื่อขอลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ รวมทั้งมีอาจารย์บางส่วนไม่ให้ความร่วมมือและเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดโดยคณบดี
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของการจัดทำแผนการรับนักศึกษาใหม่ในปีการศึกษา 2555 ซึ่งคณะศึกษาศาสตร์จะรับนักศึกษาในระดับปริญญาตรีเพียง 4 สาชาวิชา ได้แก่ พลศึกษา สุขศึกษาและการส่งเสริมสุขภาพ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมการศึกษา จากเดิมที่มีการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีทั้งสิ้น 15 สาขา หรือการที่สาขาวิชาต่างๆ ยังไม่ผ่านการปรับปรุงหลักสูตรตามกรอบมาตรฐาน TQF ของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และประเด็นในเรื่องของการแต่งตั้งบุคลากรในฝ่ายบริหาร การขาดแคลนบุคลากรที่รับผิดชอบงานในด้านต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งภายในคณะศึกษาศาสตร์มาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวแจ้งว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษาตัดสินใจออกมาชุมนุมในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่คณบดีไม่ดำเนินการชี้แจงถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมากลุ่มผู้คัดค้านจะได้เรียกร้องให้คณบดีได้ออกมาชี้แจงข้อมูลโดยตลอดก็ตาม
อนึ่ง มีรายงานข่าวแจ้งว่า คณะศึกษาศาสตร์เป็นหนึ่งใน 3 คณะ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับคณะการสื่อสารมวลชน และคณะนิติศาสตร์ที่ไม่ผ่านการประเมินระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้ดำเนินการไปในช่วงต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และยังมีรายงานข่าวด้วยว่า ภายในคณะการสื่อสารมวลชน ซึ่งมีปัญหาการร้องเรียนเรื่องการบริหางานของคณบดีเช่นเดียวกันนั้น อาจมีการเคลื่อนไหวทั้งจากคณาจารย์ บุคลากร นักศึกษาและศิษย์เก่าของคณะต่อกรณีดังกล่าวในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน
ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 21 กรกฎาคม 2554
Impact factor: H-index
นอกจากจะมีคนสร้าง Impact factor แล้ว ยังมี H-index อีกด้วย
จากการวิเคราะห์ผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการของ SJR Scimago Lab ในช่วง 10 ปี 1996-2007 โดย
1. Citable Documents รวม article, reviews, และ conference papers
2. (10-year) Self-cite หมายถึง ประเทศนั้นอ้างอิงผลงานที่เกิดจากประเทศนั้นเอง country self citation to documents during the same (10-year) period
3.H-index หมายถึง country'S number of articles (h) that have received at least h citation.
4. Citations per document หมายถึง การอ้างอิงเฉลี่ยของบทความเอกสาร average citations per document (published during that period)
นักวิชาการมันก็บ้าตัวเลขของมันไป ..
Source ที่มา: www.scimagojr.com/countryrank.php
จากการวิเคราะห์ผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการของ SJR Scimago Lab ในช่วง 10 ปี 1996-2007 โดย
1. Citable Documents รวม article, reviews, และ conference papers
2. (10-year) Self-cite หมายถึง ประเทศนั้นอ้างอิงผลงานที่เกิดจากประเทศนั้นเอง country self citation to documents during the same (10-year) period
3.H-index หมายถึง country'S number of articles (h) that have received at least h citation.
4. Citations per document หมายถึง การอ้างอิงเฉลี่ยของบทความเอกสาร average citations per document (published during that period)
นักวิชาการมันก็บ้าตัวเลขของมันไป ..
Source ที่มา: www.scimagojr.com/countryrank.php
Monday, July 25, 2011
คุกตลอดชีวิต 3ช่างกล ฆ่านศ.อุเทนฯ
ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุกตลอดชีวิต 3 นศ.ช่างกลปทุมวัน รวมกับพวกฆ่า นศ.อุเทนฯ ปี 2 เสียชีวิตเมื่อปี 49 แล้วหลบหนีไม่มาศาล ดานแม่เหยื่อวอน ตร.ตามจับตัวฆาตกรมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เผยอโหสิกรรมให้หมดแล้ว อยากให้หมดเวรกรรมในชาตินี้...
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 707 ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย ในคดีหมายเลขดำ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนางเตือนจิตต์ วิริยารัมภา โจทก์ร่วม เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุทธินันท์ หรือตู๋ หวังหอมกลาง นายมงคล หรือเหยิน ศรีพูล และนายชาตรี หรือปิ๊ก จูวรรณะ อดีตนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
กรณีจำเลยทั้งสามร่วมกับพวกที่หลบหนี ฆ่านายเบญจพล หรือโต้ง วิริยารัมภา นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 49 ที่ซอยลาดพร้าว 124 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.ค.51 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 60 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 4,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด โดยศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสาม หลังจากทั้งสามหลบหนี
โดย วันนี้มีเพียงนางเตือนจิตต์ และนายคุณากร วิริยารัมภา มารดาและบิดาของนายเบญจพล ผู้ตายไปฟังคำพิพากษาเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นควรแก้คำพิพากษาในส่วนของความผิดฐาน พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ จากเดิมที่ให้ปรับคนละ 60 บาท เป็นปรับคนละ 120 บาท ส่วนความผิดฐานอื่นให้เป็นไปตามพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต และร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 4,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ริบปืนของกลางภายหลัง
นางเตือนจิตต์ กล่าวว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันติดตามจับกุมจำเลยทั้ง 3 คนและผู้ต้องหาอื่นที่ร่วมกันก่อเหตุ แต่ยังคงหลบหนีให้มารับโทษตามกฎหมาย ก่อนหน้านี้เคยสอบถามความคืบหน้าในการติดตามจับกุมตัวจำเลยหลังศาลออกหมาย จับที่ สน.วังทองหลาง ทางตำรวจรับปากว่าจะช่วยติดตามจับกุมให้ แต่คดียังไม่มีความคืบหน้า นับแต่วันที่ลูกจากไปจนถึงวันนี้ยังคงเสียใจอยู่ วันที่ลูกตัดสินใจเรียนที่นี่ยังทักท้วง แต่ลูกมีความตั้งใจ เพราะเชื่อว่าหากจบจากสถาบันดังกล่าวจะได้งานทำที่ดี มีเงินเดือนสูง และลูกเป็นเด็กตั้งใจเรียน เป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เด็กเกเร
"ทุก วันนี้ได้แต่สวดมนต์ภาวนาและอโหสิกรรมให้แก่คนที่มาทำร้ายลูก แม้ว่าจำเลยทั้งสามที่เคยพบเมื่อครั้งสืบพยานจะไม่เคยกล่าวแม้แต่คำขอโทษ และต่อสู้คดีมาโดยตลอดก็ตาม แต่ไม่เคยอาฆาตมาดร้าย เนื่องจากอยากให้หมดเวรหมดกรรมในชาตินี้" มารดาของ นศ.เหยื่อช่างกลกล่าว
ที่มา: ทีมข่าวอาชญากรรม ไทยรัฐออนไลน์ 25 กรกฎาคม 2554
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 707 ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย ในคดีหมายเลขดำ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนางเตือนจิตต์ วิริยารัมภา โจทก์ร่วม เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุทธินันท์ หรือตู๋ หวังหอมกลาง นายมงคล หรือเหยิน ศรีพูล และนายชาตรี หรือปิ๊ก จูวรรณะ อดีตนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
กรณีจำเลยทั้งสามร่วมกับพวกที่หลบหนี ฆ่านายเบญจพล หรือโต้ง วิริยารัมภา นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 49 ที่ซอยลาดพร้าว 124 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.ค.51 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 60 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 4,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด โดยศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสาม หลังจากทั้งสามหลบหนี
โดย วันนี้มีเพียงนางเตือนจิตต์ และนายคุณากร วิริยารัมภา มารดาและบิดาของนายเบญจพล ผู้ตายไปฟังคำพิพากษาเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นควรแก้คำพิพากษาในส่วนของความผิดฐาน พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ จากเดิมที่ให้ปรับคนละ 60 บาท เป็นปรับคนละ 120 บาท ส่วนความผิดฐานอื่นให้เป็นไปตามพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต และร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 4,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ริบปืนของกลางภายหลัง
นางเตือนจิตต์ กล่าวว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันติดตามจับกุมจำเลยทั้ง 3 คนและผู้ต้องหาอื่นที่ร่วมกันก่อเหตุ แต่ยังคงหลบหนีให้มารับโทษตามกฎหมาย ก่อนหน้านี้เคยสอบถามความคืบหน้าในการติดตามจับกุมตัวจำเลยหลังศาลออกหมาย จับที่ สน.วังทองหลาง ทางตำรวจรับปากว่าจะช่วยติดตามจับกุมให้ แต่คดียังไม่มีความคืบหน้า นับแต่วันที่ลูกจากไปจนถึงวันนี้ยังคงเสียใจอยู่ วันที่ลูกตัดสินใจเรียนที่นี่ยังทักท้วง แต่ลูกมีความตั้งใจ เพราะเชื่อว่าหากจบจากสถาบันดังกล่าวจะได้งานทำที่ดี มีเงินเดือนสูง และลูกเป็นเด็กตั้งใจเรียน เป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เด็กเกเร
"ทุก วันนี้ได้แต่สวดมนต์ภาวนาและอโหสิกรรมให้แก่คนที่มาทำร้ายลูก แม้ว่าจำเลยทั้งสามที่เคยพบเมื่อครั้งสืบพยานจะไม่เคยกล่าวแม้แต่คำขอโทษ และต่อสู้คดีมาโดยตลอดก็ตาม แต่ไม่เคยอาฆาตมาดร้าย เนื่องจากอยากให้หมดเวรหมดกรรมในชาตินี้" มารดาของ นศ.เหยื่อช่างกลกล่าว
ที่มา: ทีมข่าวอาชญากรรม ไทยรัฐออนไลน์ 25 กรกฎาคม 2554
Friday, July 22, 2011
อันตรายจาก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ใช้ มีประโยชน์ ก็มีโทษ ที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นอันตรายแบบผ่อนส่ง (long term dangers) หรือ อันตรายแบบทันทีทันใด (immediate dangers) อาจเป็นอันตรายถึงตาย จะว่าไป ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเป็นยาหัวกระโหลกแบบหนึ่ง (toxic) ก็ว่าได้
จากสถิติของศูนย์พิษวิทยาปี พ.ศ. 2540 พบว่า มีการปรึกษาจากแพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ เกี่ยวกับปัญหาของผู้ป่วยที่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ เป็นอันดับ 2 รองจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์
ส่วนประกอบสำคัญของ detergent คือสารที่เรียกว่า "surfactant" ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยให้น้ำสามารถแทรกซึมเพื่อชะล้างละลายสิ่งสกปรกต่างๆ ได้ดีขึ้น surfactant ที่มีใช้ใน detergent สามารถแบ่งออกเป็น (ตารางที่ 1)
Nonionic ได้แก่สารพวก alcohol ethoxylates
Anionic ได้แก่พวก linear alkyl sulfonates
Cationic ได้แก่สารประกอบของ quaternary ammonium
เพื่อให้ detergent ทำงานได้ดีขึ้น บางครั้งจึงมีการเติมสารพวก "builder" ช่วยปรับรักษา pH หรือลด ion ของ calcium เพื่อลดความกระด้างของน้ำลง detergent จึงทำงานได้ดีขึ้น สารพวกนี้ได้แก่ sodium carbonate, sodium metasilcate, sulfate, tripolyphosphate นอกจากนั้นยังมีการเติมสารอื่นๆอีก เพื่อให้มีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่แตกต่างจาก detergent ทั่วๆไปอีก ซึ่งเมื่อนำสารทั้ง 8 กลุ่มมาแยกตามส่วนประกอบแล้ว จะได้นี้คือ
สารเหล่านี้จัดเป็นสารอันตราย Hazardous Substance ที่มีระดับความเป็นพิษที่รุนแรงแตกต่างกันไป
ท่านสามารถทดลองความเป็นพิษของสารจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดไ้ด้ด้วยตัวเอง: เช่น
1. นำน้ำผงซักฟอกที่ซักผ้าแล้วนำไปรดต้นไม้ ต้นไม้ส่วนมากจะไม่ตาย ถึงแม้จะไม่เจือจาง เช่น รดต้นมะม่วง ต้นมะละกอ
2. นำน้ำที่ผสมน้ำยาล้างทำความสะอาดพื้นไป รดต้นไม้ ต้นไม้ส่วนมากจะเหี่ยวและตายไป เช่น รดต้นผักบุ้ง ต้นตำลึง
3.
การใช้พรํ่าเพรื่อโดยไม่จำเป็น อาจนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิตของท่านได้
ข้อมูลประกอบบางส่วนจาก ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี - ศูนย์พิษวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี: กรุงเทพมหานคร
จากสถิติของศูนย์พิษวิทยาปี พ.ศ. 2540 พบว่า มีการปรึกษาจากแพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ เกี่ยวกับปัญหาของผู้ป่วยที่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ เป็นอันดับ 2 รองจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์
ส่วนประกอบสำคัญของ detergent คือสารที่เรียกว่า "surfactant" ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยให้น้ำสามารถแทรกซึมเพื่อชะล้างละลายสิ่งสกปรกต่างๆ ได้ดีขึ้น surfactant ที่มีใช้ใน detergent สามารถแบ่งออกเป็น (ตารางที่ 1)
Nonionic ได้แก่สารพวก alcohol ethoxylates
Anionic ได้แก่พวก linear alkyl sulfonates
Cationic ได้แก่สารประกอบของ quaternary ammonium
สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือน | ||
Anionic | Nonionic | Cationic |
Alkyl sodium sulfates Alkyl sodium sulfanate Dioctyl sodium sulfosuccinate Linear alkyl benzene sulfonate (sodium) Sodium aryl sulfate Tetrapopylene benzene sulfanate (sodium) | Alkyl ethoxylate Alkyl phenoxy polyethoxy ethanols Polyethelene glycol stearate | Alkyl dimethyl 3,4-dichlorobenzene ammonium chloride Benzalkonium chloride Benzethonium chloride Cetylpyridenium chloride |
เพื่อให้ detergent ทำงานได้ดีขึ้น บางครั้งจึงมีการเติมสารพวก "builder" ช่วยปรับรักษา pH หรือลด ion ของ calcium เพื่อลดความกระด้างของน้ำลง detergent จึงทำงานได้ดีขึ้น สารพวกนี้ได้แก่ sodium carbonate, sodium metasilcate, sulfate, tripolyphosphate นอกจากนั้นยังมีการเติมสารอื่นๆอีก เพื่อให้มีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่แตกต่างจาก detergent ทั่วๆไปอีก ซึ่งเมื่อนำสารทั้ง 8 กลุ่มมาแยกตามส่วนประกอบแล้ว จะได้นี้คือ
- ผงซักฟอก : Anionic-nonionic detergent
- น้ำยาล้างจาน : Nonionic dertergent
- น้ำยาทำความสะอาดพื้น : Anionic-nonionic detergent
- น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ ์: Anionic-nonionic detergent (+) Acid หรือ hypochlorite
- น้ำยาเช็ดกระจก : Nonionic detergent + isopropanol หรือ ammonia
- น้ำยาปรับผ้านุ่ม : Cationic detergent
- น้ำยาฟอกผ้าขาว : hypochlorite หรือ hydrogen peroxide + surfactant
- สารแก้ไขท่อน้ำอุดตัน : sodium hydroxide (NaOH) หรือ enzymes + microorganism
สารเหล่านี้จัดเป็นสารอันตราย Hazardous Substance ที่มีระดับความเป็นพิษที่รุนแรงแตกต่างกันไป
ท่านสามารถทดลองความเป็นพิษของสารจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดไ้ด้ด้วยตัวเอง: เช่น
1. นำน้ำผงซักฟอกที่ซักผ้าแล้วนำไปรดต้นไม้ ต้นไม้ส่วนมากจะไม่ตาย ถึงแม้จะไม่เจือจาง เช่น รดต้นมะม่วง ต้นมะละกอ
2. นำน้ำที่ผสมน้ำยาล้างทำความสะอาดพื้นไป รดต้นไม้ ต้นไม้ส่วนมากจะเหี่ยวและตายไป เช่น รดต้นผักบุ้ง ต้นตำลึง
3.
การใช้พรํ่าเพรื่อโดยไม่จำเป็น อาจนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิตของท่านได้
ข้อมูลประกอบบางส่วนจาก ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี - ศูนย์พิษวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี: กรุงเทพมหานคร
Wednesday, July 20, 2011
จัดจร.ตั้งด่านตรวจฉี่กลางถนน กวดขันผู้ขับขี่เมายาก่ออุบัติเหตุ
พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจ นครบาล (บช.น.) รับผิดชอบงานจราจร เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน พบส่วนหนึ่งมาจากผู้ขับขี่เสพยาเสพติดเข้าไปแล้วมาขับขี่บนท้องถนน ทำให้เกิดอุบัติเหตุ การตั้งจุดตรวจสกัดอาจจะยังไม่ทั่วถึง เพราะกำลังไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงเสนอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ที่ตั้งจุดตรวจทำการตรวจปัสสาวะผู้ขับขี่ด้วย นอกเหนือจากการกวดขันวินัยจราจรตามปกติ โดยอาศัยอำนาจเจ้าพนักงานจราจรสามารถทำการเรียกตรวจในลักษณะเดียวกับการเรียกตรวจวัดแอลกอฮอล์ แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จะส่งนายตำรวจระดับ สว.จร. และรอง สว.จร. ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดตั้งจุดตรวจเข้ารับการอบรมเรื่องยาเสพติดจาก สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่อให้ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการตรวจสอบสีปัสสาวะ ซึ่งอาจจะต่างกันขึ้นอยู่กับยาเสพติดแต่ละชนิด รวมถึงลักษณะอาการของผู้ที่เสพยาเสพติด อย่างไรก็ตามแต่เดิมตำรวจจราจรทำหน้าที่ตรงนี้อยู่แล้ว แต่จะเน้นมากขึ้นโดยจัดอบรมให้ความรู้ เพื่อให้สามารถทำงานได้แม่นยำมากขึ้น ขณะนี้ สน.บางมด ได้ทดลองทำแล้ว พบว่า ปัญหาเด็กซิ่ง และ คดีลักขโมยในท้องที่บางมดลดลง
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการพัฒนาระบบงานสืบสวนอุบัติเหตุเพื่อการแก้ไขและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนอย่างบูรณาการ โดยทดลองนำร่อง 6 สน.ได้แก่ สน.บางเขน ลาดกระบัง วังทองหลาง ธรรมศาลา บางนาและบางขุนเทียน เป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 ก.ค.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินการทดลองเพื่อสรุปผลโครงการปลายเดือนนี้ เบื้องต้นพบว่าการวิเคราะห์หาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งมีขั้นตอนรายละเอียดมากขึ้น ทำให้ทราบถึงสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุที่แท้จริง พร้อมขยายโครงการให้ทุก สน. ดำเนินการ
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 21 กรกฎาคม 2554
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการพัฒนาระบบงานสืบสวนอุบัติเหตุเพื่อการแก้ไขและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนอย่างบูรณาการ โดยทดลองนำร่อง 6 สน.ได้แก่ สน.บางเขน ลาดกระบัง วังทองหลาง ธรรมศาลา บางนาและบางขุนเทียน เป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 ก.ค.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินการทดลองเพื่อสรุปผลโครงการปลายเดือนนี้ เบื้องต้นพบว่าการวิเคราะห์หาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งมีขั้นตอนรายละเอียดมากขึ้น ทำให้ทราบถึงสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุที่แท้จริง พร้อมขยายโครงการให้ทุก สน. ดำเนินการ
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 21 กรกฎาคม 2554
แบงก์อู้ฟู่กำไรครึ่งปี 42% วันพฤหัสบดี ที่ 21 กรกฎาคม 2554
โกยดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียมเละ
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการรายงานผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ทั้ง 9 แห่ง ที่แจ้งงบการเงินต่อตลท.แล้ว พบว่า มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/54 รวม 34,079.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,570.38 ล้านบาท หรือ 33.60% ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี มีกำไรสุทธิรวม 70,821.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21,036.38 ล้านบาท หรือ 42.25% ส่วนใหญ่กำไรที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากมีรายได้จากดอกเบี้ยรวมถึงค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ธนาคารกรุงไทยมีกำไรสุทธิเติบโตที่สุดในงวดไตรมาสสอง ปี 54 ที่ 5,241.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,867.68 ล้านบาท หรือ 55.36% ส่วนงวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 10,729.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,282.15 ล้านบาท หรือ 66.41% , ธนาคารไทยพาณิชย์ มีกำไรสุทธิ 8,132.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,816.78 ล้านบาท หรือ 52.99% ขณะที่ 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 21,183.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,493.36 ล้านบาท หรือ 81.21%, ธนาคารกสิกรไทย มีกำไรสุทธิ 7,318.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,175.20 ล้านบาท หรือ 42.29% งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 13,432.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,183.42 ล้านบาท หรือ 45.23% , ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีกำไรสุทธิที่ 2,971.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 840.59 ล้านบาท หรือ 39.99% งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 5,780.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,579.04 ล้านบาท หรือ 37.59%
ธนาคารทหารไทย มีกำไรสุทธิ 1,195.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 330.82 ล้านบาท หรือ 38.27% งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 2,291.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 637.10 ล้านบาท หรือ 38.52%, ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป มีกำไรสุทธิที่ 863.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.32 ล้านบาท หรือ 13.15% งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 1,691.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 216.64 ล้านบาท หรือ 14.69% และธนาคารกรุงเทพ มีกำไรสุทธิ 7,405.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 618.73 ล้านบาท หรือ 9.12% งวด 6 เดือน กำไร 13,874.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.65%
นอกจากนี้มีธนาคาร 2 แห่งที่มีกำไรลดลง คือธนาคารซีไอเอ็มบีไทย มีกำไรสุทธิ ในไตรมาสสอง 254.80 ล้านบาท ลดลง 111.04 ล้านบาท และธนาคารเกียรตินาคิน มีกำไรสุทธิ 696.59 ล้านบาท ลดลง 68.70 ล้านบาท หรือ 8.98%นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารในงวดนี้ถือว่ากำไรสูงสุดในรอบ 16 ปี โดยรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 30% และรายได้จากค่าธรรมเนียม 14%
นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ผลประกอบการที่ออกมาถือว่าทำสถิติใหม่โดยเติบโตสูงถึง 40%
เดลินิวส์ออนไลน์ แบงก์อู้ฟู่กำไรครึ่งปี 42% วันพฤหัสบดี ที่ 21 กรกฎาคม 2554
------------
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการรายงานผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ทั้ง 9 แห่ง ที่แจ้งงบการเงินต่อตลท.แล้ว พบว่า มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/54 รวม 34,079.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,570.38 ล้านบาท หรือ 33.60% ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี มีกำไรสุทธิรวม 70,821.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21,036.38 ล้านบาท หรือ 42.25% ส่วนใหญ่กำไรที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากมีรายได้จากดอกเบี้ยรวมถึงค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ธนาคารกรุงไทยมีกำไรสุทธิเติบโตที่สุดในงวดไตรมาสสอง ปี 54 ที่ 5,241.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,867.68 ล้านบาท หรือ 55.36% ส่วนงวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 10,729.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,282.15 ล้านบาท หรือ 66.41% , ธนาคารไทยพาณิชย์ มีกำไรสุทธิ 8,132.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,816.78 ล้านบาท หรือ 52.99% ขณะที่ 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 21,183.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,493.36 ล้านบาท หรือ 81.21%, ธนาคารกสิกรไทย มีกำไรสุทธิ 7,318.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,175.20 ล้านบาท หรือ 42.29% งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 13,432.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,183.42 ล้านบาท หรือ 45.23% , ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีกำไรสุทธิที่ 2,971.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 840.59 ล้านบาท หรือ 39.99% งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 5,780.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,579.04 ล้านบาท หรือ 37.59%
ธนาคารทหารไทย มีกำไรสุทธิ 1,195.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 330.82 ล้านบาท หรือ 38.27% งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 2,291.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 637.10 ล้านบาท หรือ 38.52%, ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป มีกำไรสุทธิที่ 863.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.32 ล้านบาท หรือ 13.15% งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 1,691.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 216.64 ล้านบาท หรือ 14.69% และธนาคารกรุงเทพ มีกำไรสุทธิ 7,405.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 618.73 ล้านบาท หรือ 9.12% งวด 6 เดือน กำไร 13,874.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.65%
นอกจากนี้มีธนาคาร 2 แห่งที่มีกำไรลดลง คือธนาคารซีไอเอ็มบีไทย มีกำไรสุทธิ ในไตรมาสสอง 254.80 ล้านบาท ลดลง 111.04 ล้านบาท และธนาคารเกียรตินาคิน มีกำไรสุทธิ 696.59 ล้านบาท ลดลง 68.70 ล้านบาท หรือ 8.98%นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารในงวดนี้ถือว่ากำไรสูงสุดในรอบ 16 ปี โดยรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 30% และรายได้จากค่าธรรมเนียม 14%
นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ผลประกอบการที่ออกมาถือว่าทำสถิติใหม่โดยเติบโตสูงถึง 40%
เดลินิวส์ออนไลน์ แบงก์อู้ฟู่กำไรครึ่งปี 42% วันพฤหัสบดี ที่ 21 กรกฎาคม 2554
------------
เหตุบ้านและคอนโดล้นตลาด กว่า 3.3 แสนหน่วย ถ้าเศรษฐกิจชะลอตัวประชาชนผ่อนชำระไม่ทันเกิดหนี้เสีย
เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2554 นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 54 ยังร้อนแรงอยู่มาก และคาดว่าจะต่อเนื่องถึงปี 55 โดยมองว่า ปีหน้า จะมีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ทั้งหมด 100,000 หน่วย ทำให้รอบ 3 ปี ตั้งแต่ปี 53-55 มีเปิดใหม่รวมกันถึง 330,000 หน่วย หรือ 7.2% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.56 ล้านหน่วยในเขตกทม.และปริมณฑล เมื่อโครงการต่าง ๆ ทยอยแล้วเสร็จ ขณะที่ยอดขายต่ออยู่ที่ปีละ 90,000 หน่วย ทำให้คาดว่าปี 56 ตลาดจะเกิดภาวะฟองสบู่แตก เพราะการสะสมของอุปาทานที่มากเกินพอดี โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่มีเหลือขายเป็นจำนวนมากและมีเวลาการขายออกนานถึง 30 เดือน แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ไม่ควรประมาท เนื่องจากมีโครงการใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจปี 56 เกิดชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระของประชาชนลดลง จนอาจเกิดหนี้เสีย
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า กลางปี 54 มีโครงการหยุดขายทั้งสิ้น 78 โครงการ 17,750 หน่วย รวมมูลค่า 42,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 จำนวน 12 โครงการ โดยมีหน่วยหยุดขาย 3,330 หน่วย เพิ่มขึ้น 23% และมีมูลค่าหยุดขายเพิ่ม 8,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เนื่องมาจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินชื่อ 23 โครงการ ขายไม่ออก ไม่มีคนซื้อ รูปแบบสินค้าไม่เหมาะ 21 โครงการ และไม่ผ่านกฎหมายสิ่งแวดล้อม 10 โครงการ เป็นต้น ส่วนยอดการซื้อของโครงการที่อยู่อาศัยครึ่งปีที่ผ่านมานี้ พบว่ามี 48,825 หน่วย เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 53 และหากประมาณการทั้งปีนี้จะมี 97,650 หน่วย เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับยอดขายปี 53 โดยสิ่งที่น่าวิตกคือ การซื้อขายในยุคหลัง ๆ เป็นการซื้อขายเก็งกำไรมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่บางโครงการซื้อเหมายกชั้น
ที่มา: หวั่นเกิดฟองสบู่ภาคอสังหาฯปี56 เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 19 กรกฎาคม 2554
-------------
นอกจากนั้น ตอนนี้ดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะกู้เงิน เพราะภาระดอกเบี้ยสูง
เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2554 นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 54 ยังร้อนแรงอยู่มาก และคาดว่าจะต่อเนื่องถึงปี 55 โดยมองว่า ปีหน้า จะมีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ทั้งหมด 100,000 หน่วย ทำให้รอบ 3 ปี ตั้งแต่ปี 53-55 มีเปิดใหม่รวมกันถึง 330,000 หน่วย หรือ 7.2% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.56 ล้านหน่วยในเขตกทม.และปริมณฑล เมื่อโครงการต่าง ๆ ทยอยแล้วเสร็จ ขณะที่ยอดขายต่ออยู่ที่ปีละ 90,000 หน่วย ทำให้คาดว่าปี 56 ตลาดจะเกิดภาวะฟองสบู่แตก เพราะการสะสมของอุปาทานที่มากเกินพอดี โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่มีเหลือขายเป็นจำนวนมากและมีเวลาการขายออกนานถึง 30 เดือน แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ไม่ควรประมาท เนื่องจากมีโครงการใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจปี 56 เกิดชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระของประชาชนลดลง จนอาจเกิดหนี้เสีย
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า กลางปี 54 มีโครงการหยุดขายทั้งสิ้น 78 โครงการ 17,750 หน่วย รวมมูลค่า 42,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 จำนวน 12 โครงการ โดยมีหน่วยหยุดขาย 3,330 หน่วย เพิ่มขึ้น 23% และมีมูลค่าหยุดขายเพิ่ม 8,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เนื่องมาจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินชื่อ 23 โครงการ ขายไม่ออก ไม่มีคนซื้อ รูปแบบสินค้าไม่เหมาะ 21 โครงการ และไม่ผ่านกฎหมายสิ่งแวดล้อม 10 โครงการ เป็นต้น ส่วนยอดการซื้อของโครงการที่อยู่อาศัยครึ่งปีที่ผ่านมานี้ พบว่ามี 48,825 หน่วย เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 53 และหากประมาณการทั้งปีนี้จะมี 97,650 หน่วย เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับยอดขายปี 53 โดยสิ่งที่น่าวิตกคือ การซื้อขายในยุคหลัง ๆ เป็นการซื้อขายเก็งกำไรมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่บางโครงการซื้อเหมายกชั้น
ที่มา: หวั่นเกิดฟองสบู่ภาคอสังหาฯปี56 เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 19 กรกฎาคม 2554
-------------
นอกจากนั้น ตอนนี้ดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะกู้เงิน เพราะภาระดอกเบี้ยสูง
เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษจากปกนิตยสาร Cosmopolitan
เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ Learning English Vocabulary จากปกนิตยสาร Cosmopolitan ปกนี้สวยมาก เป็นนิตยสาร (magazine) ฉบับของ South Africa ฉบับเดือน August 2011 ซึ่งมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่น่าสนใจหลายคำเลยทีเดียว
อันแรกกล่าวว่า "99 embarrassing sex questions answered"
คำ embarrass(v) หมายถึง ขวยเขิน ลำบากใจ (ในลักษณะซึ่งอับอาย เขิน กระดากอาย เก้อเขิน) มี คำคุณศัพท์ embarrassed(adj) ส่วนคำนามใช้ embarrassment (n)
ประโยค "99 embarrassing sex questions answered" จึงหมายถึง คำถาม 99 คำถามเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ที่น่าขวยเขินที่ถูกตอบ แน่นอนว่า เขาตอบตามสไตล์ของ Cosmopolitan (ที่เรียกว่า the cosmo way)
อันแรกกล่าวว่า "99 embarrassing sex questions answered"
คำ embarrass(v) หมายถึง ขวยเขิน ลำบากใจ (ในลักษณะซึ่งอับอาย เขิน กระดากอาย เก้อเขิน) มี คำคุณศัพท์ embarrassed(adj) ส่วนคำนามใช้ embarrassment (n)
ประโยค "99 embarrassing sex questions answered" จึงหมายถึง คำถาม 99 คำถามเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ที่น่าขวยเขินที่ถูกตอบ แน่นอนว่า เขาตอบตามสไตล์ของ Cosmopolitan (ที่เรียกว่า the cosmo way)
บทเรียนแห่งความพ่ายแพ้ (ของประชาธิปัตย์)
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากพ่ายศึกเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างยับเยิน
เหตุที่ต้องใช้คำว่ายับเยินนั้น ก็เพราะลองไปเทียบกับผลการเลือกตั้งปี 2550 ที่พรรคประชาธิปัตย์แข่งกับพรรคพลังประชาชน โดยใช้คะแนนนิยมของพรรคเป็นดัชนีชี้วัด
ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ได้ 12 ล้านคะแนน ไล่ตามติด ๆ พรรคพลังประชาชน
มาคราวนี้พรรคเพื่อไทยได้ 11 ล้านคะแนน แต่พรรคประชาธิปัตย์เหลือแค่ 9 ล้านคะแนน ถอยหลังไป 3 ล้านคะแนน ตรงนี้แหละที่ว่า ยับเยิน เพราะพ่ายแพ้ให้กับตัวเอง
หลังจากคุณอภิสิทธิ์ ลาออก ก็มีเสียงสะท้อนจากกลุ่ม ส.ส.สายสะตอ เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ปรับกระบวน ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะพรรคประชาธิปัตย์คล้ายกับต้องคำสาป เมื่อได้เป็นรัฐบาลครั้งใด พอจเอการเลือกตั้งรอบต่อไปมักกลับมาเป็นฝ่ายค้านอยู่เรื่อย
เช่น การเลือกตั้งปี 2535/2 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงมากที่สุด แต่เมื่อเข้าบริหารประเทศก็เกิดปัญหา สปก. 4-01 จนทำให้พ่ายการเลือกตั้งในปี 2538 และ 2539 ซ้อนกันถึง 2 ครั้ง
ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ฟลุ๊กกลับได้มาเป็นรัฐบาลอีกครั้งตอนที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากนายกรัฐมนตรีหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
พอบริหารไปถึงปี 2544 มีการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้ให้กับพรรคไทยรักไทย ต้องไปนั่งอยู่ซีกฝ่ายค้านจนถึงปี 2549 เกิดการรัฐประหาร ก่อนจะมาเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2550
การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้พรรคพลังประชาชนซึ่งกลายร่างมาจากพรรคไทยรักไทย จนกระทั่งพรรคพลังประชาชนถูกยุบนั่นแหละ พรรคประชาธิปัตย์จึงไปจับขั้วกับพรรคการเมืองที่แตกตัวออกมาจากพรรคพลังประชาชน จนมีเสียงข้างมากสามารถตั้งรัฐบาลที่มีคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
พรรคประชาธิปัตย์ได้รับบทเรียนความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งมาตลอด แต่ก็เหมือนไม่รู้จักจำ
ในครั้งนี้นอกจากคุณอภิสิทธิ์ไม่ค่อยออกไปสัมผัสผู้คนในพื้นที่ชนบทแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังถูกตำหนิเรื่องการบริหารบ้านเมืองที่ทำให้สินค้าแพง โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันปาล์ม เรื่อยมาจนถึงเรื่องนโยบายชั่งไข่ ซึ่งเป็นนโยบายที่ไร้สาระ ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ย่ำแย่ในสายตาชาวบ้าน
ตอกย้ำให้เห็นว่าบริหารไม่เก่ง แก้เศรษฐกิจไม่เป็น ทำให้คนหันไปฝากความหวังกับพรรคเพื่อไทยทันที
เมื่อมาเจอกับปัญหาการกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ผิดพลาด จึงทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปกันใหญ่
พรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า ไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยทางภาคอีสานได้ จึงมอบให้พรรคภูมิใจไทยไปสู้แทน แต่กลับไม่ยอมประสานฐานเสียง โดยเทคะแนนไปให้พรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดพรรคหนึ่งเพื่อให้มีคะแนนมากกว่าพรรคเพื่อไทยในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ
ส่วนทางภาคอื่น ๆ พรรคประชาธิปัตย์ก็วางท่าในทำนองเดียวกัน แถมยังส่งคนลงแข่งทำให้ตัดคะแนนกันเองอีกต่างหาก
ฉะนั้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ แพ้ในแต่ละเขตเลือกตั้ง จึงเท่ากับเสียเก้าอี้ ส.ส.ไปให้กับพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
ท้ายสุดพรรคเพื่อไทยจึงมี ส.ส.มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ร่วมร้อยที่นั่ง
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เป็นอีกบทเรียนที่พรรคประชาธิปัตย์จะเก็บไปวิเคราะห์ เพราะปัจจัยทางการเมืองเปลี่ยนไปเยอะ โดยเฉพาะการเติบโตของระบบทุนนิยม
จะมาตีฝีปากหาเสียงเหมือนเมื่อ 30-40 ปีก่อนคงลำบาก
ทุกครั้งที่สิ้นสุดการต่อสู้ไปแล้ว จะต้องรู้จักประเมินตัวเองนั่นคือ พึงแสวงหาความพ่ายแพ้ในชัยชนะ และพึงหาชัยชนะในความพ่ายแพ้ให้เจอ
หากแก้ปัญหาแค่เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค คงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก.
ดินสอโดม
ที่มา: บทเรียนแห่งความพ่ายแพ้ เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ ที่ 11 กรกฎาคม 2554
เหตุที่ต้องใช้คำว่ายับเยินนั้น ก็เพราะลองไปเทียบกับผลการเลือกตั้งปี 2550 ที่พรรคประชาธิปัตย์แข่งกับพรรคพลังประชาชน โดยใช้คะแนนนิยมของพรรคเป็นดัชนีชี้วัด
ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ได้ 12 ล้านคะแนน ไล่ตามติด ๆ พรรคพลังประชาชน
มาคราวนี้พรรคเพื่อไทยได้ 11 ล้านคะแนน แต่พรรคประชาธิปัตย์เหลือแค่ 9 ล้านคะแนน ถอยหลังไป 3 ล้านคะแนน ตรงนี้แหละที่ว่า ยับเยิน เพราะพ่ายแพ้ให้กับตัวเอง
หลังจากคุณอภิสิทธิ์ ลาออก ก็มีเสียงสะท้อนจากกลุ่ม ส.ส.สายสะตอ เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ปรับกระบวน ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะพรรคประชาธิปัตย์คล้ายกับต้องคำสาป เมื่อได้เป็นรัฐบาลครั้งใด พอจเอการเลือกตั้งรอบต่อไปมักกลับมาเป็นฝ่ายค้านอยู่เรื่อย
เช่น การเลือกตั้งปี 2535/2 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงมากที่สุด แต่เมื่อเข้าบริหารประเทศก็เกิดปัญหา สปก. 4-01 จนทำให้พ่ายการเลือกตั้งในปี 2538 และ 2539 ซ้อนกันถึง 2 ครั้ง
ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ฟลุ๊กกลับได้มาเป็นรัฐบาลอีกครั้งตอนที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากนายกรัฐมนตรีหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
พอบริหารไปถึงปี 2544 มีการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้ให้กับพรรคไทยรักไทย ต้องไปนั่งอยู่ซีกฝ่ายค้านจนถึงปี 2549 เกิดการรัฐประหาร ก่อนจะมาเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2550
การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้พรรคพลังประชาชนซึ่งกลายร่างมาจากพรรคไทยรักไทย จนกระทั่งพรรคพลังประชาชนถูกยุบนั่นแหละ พรรคประชาธิปัตย์จึงไปจับขั้วกับพรรคการเมืองที่แตกตัวออกมาจากพรรคพลังประชาชน จนมีเสียงข้างมากสามารถตั้งรัฐบาลที่มีคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
พรรคประชาธิปัตย์ได้รับบทเรียนความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งมาตลอด แต่ก็เหมือนไม่รู้จักจำ
ในครั้งนี้นอกจากคุณอภิสิทธิ์ไม่ค่อยออกไปสัมผัสผู้คนในพื้นที่ชนบทแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังถูกตำหนิเรื่องการบริหารบ้านเมืองที่ทำให้สินค้าแพง โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันปาล์ม เรื่อยมาจนถึงเรื่องนโยบายชั่งไข่ ซึ่งเป็นนโยบายที่ไร้สาระ ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ย่ำแย่ในสายตาชาวบ้าน
ตอกย้ำให้เห็นว่าบริหารไม่เก่ง แก้เศรษฐกิจไม่เป็น ทำให้คนหันไปฝากความหวังกับพรรคเพื่อไทยทันที
เมื่อมาเจอกับปัญหาการกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ผิดพลาด จึงทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปกันใหญ่
พรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า ไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยทางภาคอีสานได้ จึงมอบให้พรรคภูมิใจไทยไปสู้แทน แต่กลับไม่ยอมประสานฐานเสียง โดยเทคะแนนไปให้พรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดพรรคหนึ่งเพื่อให้มีคะแนนมากกว่าพรรคเพื่อไทยในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ
ส่วนทางภาคอื่น ๆ พรรคประชาธิปัตย์ก็วางท่าในทำนองเดียวกัน แถมยังส่งคนลงแข่งทำให้ตัดคะแนนกันเองอีกต่างหาก
ฉะนั้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ แพ้ในแต่ละเขตเลือกตั้ง จึงเท่ากับเสียเก้าอี้ ส.ส.ไปให้กับพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
ท้ายสุดพรรคเพื่อไทยจึงมี ส.ส.มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ร่วมร้อยที่นั่ง
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เป็นอีกบทเรียนที่พรรคประชาธิปัตย์จะเก็บไปวิเคราะห์ เพราะปัจจัยทางการเมืองเปลี่ยนไปเยอะ โดยเฉพาะการเติบโตของระบบทุนนิยม
จะมาตีฝีปากหาเสียงเหมือนเมื่อ 30-40 ปีก่อนคงลำบาก
ทุกครั้งที่สิ้นสุดการต่อสู้ไปแล้ว จะต้องรู้จักประเมินตัวเองนั่นคือ พึงแสวงหาความพ่ายแพ้ในชัยชนะ และพึงหาชัยชนะในความพ่ายแพ้ให้เจอ
หากแก้ปัญหาแค่เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค คงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก.
ดินสอโดม
ที่มา: บทเรียนแห่งความพ่ายแพ้ เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ ที่ 11 กรกฎาคม 2554
การใช้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่นในภูมิภาค กับ อนาคตของไทยในอาเซียน [1] + [2]
บันทึกอาเซียน | ASEAN DIARY : การใช้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่นในภูมิภาค กับ อนาคตของไทยในอาเซียน [1]
กฎบัตรอาเซียนข้อ 34 บัญญัติว่า “The working language of ASEAN shall be English” | “ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียน คือ ภาษาอังกฤษ” ความหมายที่เป็นที่เข้าใจในขั้นต้นก็เป็นเพียงเรื่องของทางราชการและภาคธุรกิจเอกชนเท่านั้น ซึ่งหากเป็นเพียงเท่านี้ก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของการทำงานในโลกปัจจุบันอยู่แล้ว แม้จะหมายความเพียงว่าเป็นการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารระหว่างกันในการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตลอดจนองค์กรและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทว่าความหมายของบทบัญญัติที่ให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาของอาเซียนสำหรับการทำงานร่วมกันนั้นมีความหมายกว้างไกลไปถึงทุกส่วนของประชาคมอาเซียนด้วย หมายความว่าประชาชนพลเมืองใน 10 ประเทศอาเซียนจะต้องใช้ภาษาอังกฤษกันมากขึ้น นอกเหนือจากภาษาประจำชาติหรือภาษาประจำถิ่นของแต่ละชาติแต่ละชุมชนเอง เพราะไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นที่จะต้องไปมาหาสู่ร่วมประชุมปรึกษาหารือและสื่อสารกัน และไม่เฉพาะนักธุรกิจและคนทำมาค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและการติดต่อธุรกิจระหว่างกัน แต่ในเมื่อทุกคนที่อยู่ในอาเซียนล้วนแล้วแต่เป็นพลเมืองของอาเซียนด้วยกันทุกคน และทุกคนจะต้องไปมาหาสู่ เดินทางท่องเที่ยว ทำความรู้จักคุ้นเคยต่อกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และที่สำคัญทุกคนจะต้องเดินทางข้ามพรมแดนเพื่อหางานทำและแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับชีวิต ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องมืออันดับหนึ่งสำหรับพลเมืองอาเซียน ในการสื่อสารสร้างสัมพันธ์สู่โลกกว้างของภูมิภาคอาเซียน โลกแห่งมิตรไมตรีที่ขยายกว้างไร้พรมแดน โลกแห่งการแข่งขันไร้ขอบเขตภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองของชาวอาเซียน เคียงคู่ภาษาที่หนึ่งอันเป็นภาษาประจำชาติของแต่ละคน
ส่วนภาษาที่สามของชาวอาเซียนนั้นก็คือภาษาอื่นในอาเซียนภาษาหนึ่งภาษาใดหรือมากว่าหนึ่งภาษา เช่นภาษามาเลย์ ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาจีน ภาษาลาว ภาษาขแมร์ ภาษาเวียดนาม ภาษาพม่า ภาษาฟิลิปปิโน ภาษาฮินดี และ ภาษาทมิฬ นอกจากนั้นยังมีภาษาของประเทศนอกภูมิภาคอาเซียนที่เป็นประเทศคู่เจรจาสำคัญของอาเซียนอีกแปดประเทศคือ: จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย สหรัฐอเมริกา และ รัสเซีย ซึ่งหมายความว่าจะต้องเรียนรู้ภาษาที่นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ คือ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ภาษารัสเซีย และภาษาที่ใช้ในอินเดียอีกหลายภาษา (ฮินดี, อูรดู, ทมิฬ, เบงกาลี ฯลฯ)
ภาษาอังกฤษ: ในฐานะภาษาสำคัญของโลก ภาษาอังกฤษปัจจุบันคือภาษานานาชาติ เป็นภาษากลางของโลก ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของมนุษยชาติ เป็นภาษาที่มนุษย์บนโลกใช้ติดต่อระหว่างกันเป็นหลัก ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมกันทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ทุกชาติทุกภาษาจึงบรรจุวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองรองลงมาจากภาษาประจำชาติ เป็นแกนหลักของหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวิต แต่เมื่ออาเซียนกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็น “working language” เราจึงต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ตามความหมายของถ้อยคำว่าเป็น “ภาษาทำงาน” ของทุกคนในอาเซียน ทุกคนที่ “ทำงานเกี่ยวกับอาเซียน”, “ทำงานในอาเซียน”, ทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน”, “มีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน”, “แสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน”, “มีเพื่อนในอาเซียน” และ “เดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน”
ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ชาวบ้านทั่วไป นักเรียน นักศึกษา เด็กและเยาวชน ฯลฯ
คนทำงานเกี่ยวกับอาเซียน :
คนที่ทำงานโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องของอาเซียน หมายถึงตั้งแต่พนักงาน เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน ไปจนถึงคนทำงานในสำนักเลขาธิการอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ทุกคนต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ข้าราชการไทยทุกกระทรวงทบวงกรม จะต้องมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ และใช้ได้ดีด้วย เพราะงานเกี่ยวกับอาเซียนนั้นเกี่ยวกับทุกกระทรวงทบวงกรม จากนี้ไปควรเป็นนโยบายของรัฐบาลในการบรรจุข้าราชการทุกระดับทุกหน่วยงานโดยคำนึงถึงความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสำคัญ ไม่ว่าตำแหน่งราชการนั้นๆจะเกี่ยวข้องกับงานอาเซียนโดยตรงหรือไม่ก็ตาม เพราะถึงอย่างไรงานทุกระดับในหน่วยราชการจะต้องเกี่ยวข้องกับอาเซียนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมทั้งสิ้น รัฐบาลควรมี นโยบายระยะสั้นเฉพาะหน้าในช่วงเวลาก่อนถึงปี 2558/2015 อันเป็นปีบรรลุเป้าหมายการสร้างประชาคมอาเซียน ว่าจะปรับขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของข้าราชทุกคนทุกระดับแล้วปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนข้าราชการที่พัฒนาขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้แล้วให้ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ให้ได้เงินเดือนสูงพอหรือสูงเหนือเงินเดือนปรกติในระบบราชการปัจจุบัน สูงจนเป็นที่ดึงดูดคนที่มีขีดความสามารถสูงหันมาสนใจรับราชการโดยไม่ลังเลว่าจะไปทำงานภาคเอกชนดีกว่าหรือไม่ สูงจนมาตรฐานการตอบแทนภาครัฐเทียบเท่าหรือดีกว่าภาคเอกชน
นโยบายระยะสั้นเฉพาะหน้าของระบบราชการก็คือพัฒนาบุคคลากรที่พัฒนาได้แล้วปรับเงินเดือนส่วนที่พัฒนาได้มาตรฐาน ที่เหลือก็ค่อยๆพัฒนาและปรับผลตอบแทนต่อไปในระยะยาว ข้าราชการที่ไม่ปรับตัวก็ให้อยู่อย่างปรกติธรรมดาเหมือนเดิมแบบชีวิตไม่เปลี่ยนแปลงต่อไป เนื่องจากการเรียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศอื่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะเรียนรู้ได้เสมอเหมือนกันทุกคน ทุกวัย ทุกวัฒนธรรม ไม่เกี่ยวกับภูมิปัญญาพิเศษใดๆ ใครๆก็เรียนภาษาใหม่ได้ ใครๆก็เรียนภาษาอังกฤษได้- ถ้าอยากจะเรียน -ไม่มีข้ออ้างว่ายากจน เรียนไม่ไหว หรืออายุมากแล้ว “ลิ้นแข็ง” เรียนไม่ได้แล้ว ภาษาเป็นทักษะ เรียนรู้ได้ด้วยการฝึกฝน ใช้มากๆ ใช้บ่อยๆ เท่านั้นเอง ถ้าขยันเรียนก็ใช้ภาษาอังกฤษได้ในเวลาไม่นาน วิธีสร้างแรงจูงใจโดยการปรับขึ้นเงินเดือนเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งในระบบราชการจึงเป็นแรงจูงใจอย่างมีเหตุผลดีในการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของข้าราชไทยยุคประชาคมอาเซียน
นโยบายระยะยาว ก็ควรเป็นการให้ขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นมาตรฐานกลางของระบบราชการโดยปรับเงินเดือนและผลตอบแทนอื่นๆให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ หากทำเช่นว่านี้ได้ก็เป็นเหตุผลที่ชอบธรรมในการปรับฐานเงินเดือนและผลตอบแทนให้ข้าราชการทุกคน
พนักงานประจำสำนักเลขาธิการอาเซียน สำหรับคนที่ต้องการจะไปทำงานเกี่ยวกับอาเซียนโดยตรงในสำนักเลขาธิการอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา หรือสำนักงานสาขาในประเทศอื่นที่จะมีในอนาคต ตลอดจนผู้ที่จะไปทำงานให้กับรัฐบาลประเทศสมาชิกอื่นของอาเซียน กล่าวโดยตรงก็คือคนที่จะไปรับราชการในประเทศอาเซียนอื่น ซึ่งในอนาคตจะเป็นเรื่องจริงที่เป็นไปได้ เพราะแต่ละรัฐสมาชิกจะมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ผู้รู้เกี่ยวกับอาเซียนและรัฐสมาชิกอื่นในระบบการทำงานของราชการ (หรือรัฐการ) ของตน ประเทศในอาเซียนจะมีความต้องการว่าจ้างคนไทยที่มีความรู้ความสามารถเรื่องไทยและเรื่องอาเซียนให้เข้ารับราชการในประเทศของตน ชาวไทยที่แสวงหาโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิตก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องภาษาอังกฤษก่อนเรื่องอื่นใด ในยุคอาณานิคม แม้ไทยจะมิได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่รัฐบาลสยามก็จ้างชาวอังกฤษมาเป็นอธิบดีกรมป่าไม้คนแรก และจ้างชาวดัทช์มารับราชการในกรมชลประทาน และ จ้างชาวอังกฤษมาเป็นครูในพระราชวังและในระบบการศึกษาพื้นฐาน ในปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศของไทยและของชาติสมาชิกอาเซียนอื่นก็ล้วนแล้วแต่มีกรมกิจการอาเซียนด้่วยกันทั้งนั้น และย่อมเป็นไปได้ที่แต่ละหน่วยงานจะมีความจำเป็นต้องจ้างชาวไทยเข้าสู่ระบบราชการของแต่ละประเทศด้วย ในทางกลับกันระบบราชการไทยก็จะมีความจำเป็นที่ต้องจ้างชาวลาว เขมร พม่า เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และ ฟิลิปปินส์ มาทำงานในกระทรวงต่างๆของไทย ทำนองเดียวกันกับที่สถาบันการศึกษาต่างๆจ้างครูชาวต่างชาติ
ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยจะต้องพัฒนาตนเองในการเรียนรู้ให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ในประชาคมอาเซียน ณ วันนี้เป็นต้นไป
สมเกียรติ อ่อนวิมล
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 13 กรกฎาคม 2554
---------------
ภาษาอังกฤษ สำหรับ : คนทำงานในอาเซียน คนทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน คนมีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน คนแสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน คนมีเพื่อนในอาเซียน คนเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน
คนทำงานในอาเซียน :
จากนี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2015 หรือ พ.ศ. 2558 แรงงานมีฝีมือหรือมีทักษะและนักวิชาชีพทั้งหลายจะสามารถเดินทางข้ามประเทศในภูมิภาคอาเซียนไปหางานทำได้สะดวกมากขึ้นและจะทำได้โดยเสรีในที่สุด ตามความตกลงว่าด้วยเรื่องมาตรฐานกลางของทักษะและคุณภาพงานของแต่ละอาชีพที่หน่วยงานตัวแทนรัฐบาลทั้งสิบประเทศในอาเซียนจะทยอยรับรองมาตรฐานวิชาชีพต่างๆไปเป็นระยะๆ มาถึงปี 2011/2554 นี้มีการเจรจาตกลงในมาตรฐานกลางของวิชาชีพที่สำคัญไปบ้างแล้วเช่นวิชาชีพ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล บัญชี ช่างสำรวจ และสถาปนิก บางวิชาชีพยังอยู่ระหว่างการประชุมเจรจาต่อรอง บางอาชีพก็จัดทำมาตรฐานเสร็จแล้ว และทุกๆสองปีอาเซียนก็จะประเมินว่าจะมีวิชาชีพใหม่ใดบ้างที่ผ่านการรับรองมาตรฐานกลาง แม้ถึงปี 2015 จะยังเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการรับรองมาตรฐานกลางของทุกอาชีพในอาเซียน แต่อาชีพที่สำคัญๆอาจจะตกลงกันได้มากขึ้น ซึ่งก็จะหมายความว่าการเรียนการสอน การฝึกอบรมเพื่อนำไปสู่การเดินทางข้ามประเทศไปหางานทำในประเทศอื่นในอาเซียนด้วยกันจะต้องทำโดยคำนึงถึงมาตรฐานกลางของอาเซียน เพื่อให้ผู้ที่เรียนจบวิชาแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล บัญชี ช่างสำรวจ สถาปนิก ฯลฯ จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยจะสามารถไปทำงานในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องไปสอบใหม่ตามมาตรฐานของแต่ละประเทศต่างหากอีก ทำนองเดียวกันคนจากประเทศอื่นในอาเซียนก็จะสามารถมา สมัครงาน หางานทำ หรือแย่งงานเราไปทำได้ เพราะมีคุณสมบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอาเซียน ในเรื่องนี้เองที่ภาษาอังกฤษจะเป็นมาตรฐานกลางที่สำคัญอันจะนำไปสู่การเรียน การฝึกฝนอบรมในทักษะวิชาชีพต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงจำจะต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้และให้ดีไม่แพ้ชาวสิงคโปร์ มาเลเซีย และชาวชาติอื่นๆในอาเซียน หากทำได้อย่างน้อยก็จะเป็นการปกป้องโอกาสในการทำงานในประเทศไทยของเรามิให้เพื่อนอาเซียนมาแย่งงานของเราไปได้ แต่หากเราไม่เก่งทั้งทักษะภาษาและทักษะวิชาชีพเราก็จะหางานทำในประเทศของเราเองสู้คนชาติอื่นไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เราจะเข้าไปแข่งขันหางานทำในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ การมีทักษะวิชาชีพเสมอกันในคุณภาพแต่กลับความอ่อนด้อยในเรื่องภาษาอังกฤษก็เป็นจุดอ่อนที่จะทำให้โอกาสการหางานทำในอาเซียนลดลง แม้จะหางานทำในประเทศไทยเองก็ตามก็จะยากมากขึ้น
คนทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน :
สำหรับบุคคล องค์กร หรือ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในประเทศไทย ต่อไปนี้จะมีการเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงาน การทำธุรกิจ และการแบ่งแยกย่อยส่วนการผลิตสินค้าและการบริการแบบข้ามพรมแดนกันมากขึ้น สินค้าชนิดหนึ่งอาจมีการลงทุนร่วมกันแต่แยกสถานที่ผลิตชิ้นส่วนต่างๆไปในแต่ละประเทศ จากนั้นจึงเอาชิ้นส่วนทั้งหลายมาประกอบเป็นสินค้าหนึ่งชนิดได้ ตามนิยามเขตการค้าเสรีอาเซียนที่ว่าให้อาเซียนเป็น “ตลาดเดียว” และ “ฐานการผลิตเดียว” บริษัทธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆอาจจะจดทะเบียนเป็นบริษััทเดียวกันแต่มีโรงงานผลิตช้ินส่วนแยกอยู่ในหลายประเทศ หรืออาจมีบริษัทต่างๆในหลายประเทศร่วมกันเป็นเครือข่ายการผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน ก็เป็นไปได้ทั้งสองแบบ ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความสามารถในการสื่อสารภาษากลางคือภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี หากทำได้ดังนี้กิจการงานร่วมลงทุกร่วมผลิตร่วมแข่งขันกันหาตลาดก็จะเป็นไปได้ด้วยดี หากเราทำไม่ได้ ย่อมมีคนอื่นบริษัทอื่นที่พร้อมกว่าสามารถทำได้และแย่งงานแย่งตลาดเราได้เสมอ เรื่องนี้เป็นการแข่งขันเสรีตามกฏกติกาที่อาเซียนกำหนดมาตรฐานร่วมกัน คนไทยและนักธุกิจไทยมีมารฐานการทำงาน การผลิตและการค้าบริการไม่เป็นรองใครในอาเซียน และขนาดเศรษฐกิจของไทยก็ใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน รองลงมาจากอินโดนีเซีย หมายความว่าไทยมีความมั่งคั่งให้ชาวไทยด้วยกันเองได้ฉกฉวยโอกาสได้ก่อน แต่เมื่ออาเซียนเป็นประชาคมเศรษฐกิจเดียวกันแล้วความอ่อนด้อยทางภาษาอังกฤษของเราจะผันแปรให้เรากลายเป็นเพียงลูกจ้างระดับล่างไปมากกว่าที่จะเป็นนายจ้าง หรือเป็นผู้บริหารกิจการแม้ในประเทศของเราเอง
คนมีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน :
ภาคประชาสังคม หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Civil Society เป็นกลุ่มเครือข่ายการทำงานเพื่อปกป้องหรือผลักดันผลประโยชน์สาธารณะ ประชาชนพลเมืองในอาเซียนทุกวันนี้รวมตัวกันในภาคประชาชนพลเมือง หรือ “ประชาสังคม” มากขึ้น การประชุมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกลุ่มพลเมืองในสิบประเทศอาเซีียนมีมากขึ้น การเดินทางไปมาหาสู่ ประชุมสัมมนา และชุมนุมเรียกร้องในประเด็นสาธารณะข้ามพรมแดนจะมีมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น องค์กรพัฒนาภาคเอกชน หรือกลุ่มประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม การเมืองและประชาธิปไตย ในอนาคตข้างหน้าอาจมีการรวมตัวกันชุมนุมเรียกร้องในประเทศอาเซียนประเทศใดประเทศหนึ่งโดยมีผู้ชุมนุมมาร่วมกันสนับสนุนจากประเทศอื่นๆในอาเซียนด้วย ดังนั้นภาคประชาสังคมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กัน หรือแม้กระทั่งในการชุมนุมประท้วงข้ามชาติร่วมกัน ในอดีตที่ผ่านมาและในปัจจุบันมักจะพบว่าการแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมร่วมขององค์กรพัฒนาเอกชนหรือภาคประชาสัมคมในอาเซียนนั้น ผู้ที่แสดงความคิดเห็นได้มากกว่าและควบคุมกำกับทิศทางของความเห็นในที่ประชุมได้ผลดีกว่า มักจะเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เช่นจากฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์และมาเลเซีย คนไทยมักจะแสดงความคิดเห็นได้น้อยและได้เพียงสั้นๆ แม้จะมีความคิดเห็นดีแต่พูดไม่ได้ พูดไม่เป็น ใช้ภาษาอังกฤษได้กระท่อนกระแท่น บทบาทของคนไทยในเวทีสาธารณะอาเซียนจึงอ่อนด้อยและอาจถึงเงียบงัน
คนแสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน :
ในอนาคตอันไม่ไกล โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และ บุคคลากรทางการศึกษาต่างๆจะมีมากขึ้น ทั้งแบบระยะสั้นเช่นการเดินทางศึกษาดูงานหรือร่วมประชุมทางวิชาการ และแบบระยะยาว เช่นการแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ในงานสอนและงานวิจัย การให้นักเรียนนักศึกษาโอนหน่วยกิตข้ามไปศึกษาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในประเทศอาเซียนอื่นได้เป็นภาคการศึกษาหรือเป็นปีการศึกษาจะเริ่มมีในไม่ช้า การที่จะเรียนจบได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยอื่นในประเทศไทย จะเปิดกว้างให้นิสิตนักศึกษาย้ายไปเรียนเพิ่มหน่วยกิตที่มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฯลฯ ด้วยก็เป็นไปได้ ในที่สุดแล้วการเรียนการสอน หรือการศึกษาในอาเซียนทั้งระบบจะเป็นมาตรฐานเดียวกันเป็นอย่างต่ำ และจะเป็นมาตรฐานสูงระดับนานาชาติเสมอเหมือนกันทุกสถาบัน ความสำเร็จของครู อาจารย์ และนักศึกษา ขึ้นอยู่กับความสารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการแสวงหาวิชาความรู้เป็นสำคัญด้วย นอกเหนือจากภาษาประจำชาติต่างๆในอาเซียนที่นับวันจะมีความสำคัญมากขึ้นเป็นเงาตามตัวกับความสำคัญของภาษาอังกฤษ
คนมีเพื่อนในอาเซียน :
สำหรับคนมีเพื่อนในอาเซียนก็คล้ายกันกับคนที่มีเพื่อชาติอื่นที่จะต้องสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐาน ก่อนที่จะสามารถสื่อสารกันด้วยภาษาประจำชาติของแต่ละคน การมีเพื่อต่างชาติ โดยเฉพาะเพื่อนชาวอาเซียนด้วยกัน ในอนาคตจะเป็นเรื่องปรกติธรรมดา อาจจะเป็นเพื่อนที่ได้จากการทำธุรกิจร่วมกัน หรือเป็นเพื่อนทางสังคมและวัฒนธรรมที่ได้จากการมีเครือข่ายประชาสังคม การเป็นเพื่อนกันในวัยเรียนที่เรียนข้ามชาติกัน หรือเป็นมิตรกันมาจากโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งหมดนี้จะเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตของพลเมืองอาเซียนในหนึ่งถึงสองทศวรรษหน้าอย่างแน่นอน ความสำคัญของภาษาอังกฤษในเรื่องการผูกมิตรสร้างเพื่อนข้ามพรมแดนรัฐ จะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องย้ำให้มากมายนักอีกต่อไปแล้ว ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้้าผู้รู้ภาษาอังกฤษจะมีเพื่อนในอาเซียนมากกว่าผู้ที่ด้อยทักษะภาษาอังกฤษ ผู้ทีด้อยทักษะภาษาอังกฤษก็จะมีวิถีการดำเนินชีวิตแบบเดิม ไม่โลดโผนตื่นเต้นหรืออุดมไปด้วยสีสันวัฒนธรรมข้ามชาติเท่ากับผู้ที่มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า
คนเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน :
ด้วยแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง การมีถนน ทางหลวง ทางรถไฟ และเส้นทางคมนาคมทางเรือและทางอากาศ ที่จะเชื่อมโยงสิบประเทศอาเซียนกันมากขึ้นดีขึ้น และสะดวกรวดเร็วปลอดภัยขึ้น นักเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียนในอนาคตอันใกล้จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น การเดินทางไปเที่ยวในประเทศอื่นๆในอาเซียนด้วยกันเองจะมีมากจนเป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่“ใครว่างสักวันสองวันก็อาจขับรถไปกินข้าวบ้านเพื่อนที่เวียงจันทน์แล้วชวนกันไปเที่ยวฮานอยกันสักสองวัน” ก็ได้โดยไม่ต้องวางแผนอะไรกันมากนัก การเชื่อมโยงอาเซียนจะง่าย สะดวก ประหยัด รวดเร็วปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้มาก่อน ความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียนจะทำให้ชีวิตสนุกสานได้เข้าใจรากฐานทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมอันเกิดจากการเดินทางท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็จะนำไปสู่การมีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนที่สมบูรณ์
ทักษะภาษาอังกฤษจึงเป็นประตูไปสู่อาชีพการงานที่ก้าวหน้ากว้างไกลในอาเซียน ความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษทำให้ชีวิตมีคุณค่าสนุกสนานมีสีสันวัฒนธรรมร่วมกันในภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ปี 2015/2558 เป็นที่ชาวไทยจะต้องเข้าร่วมประชาคมอาเซียนอย่างไม่มีข้อยกเว้น ภาษาอังกฤษเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะเปิดประตูแห่งประชาคมอาเซียนให้ชาวไทยไปมาหาสู่คบค้าสมาคมกับเพื่อนอาเซียนทั้งหลายได้อย่างสมภาคภูมิ
ภาษาอังกฤษเรียนไม่ยาก สำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย
ปีเดียวก็พัฒนาทักษะภาษาได้...ถ้าต้องการพัฒนา
สมเกียรติ อ่อนวิมล
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 20 กรกฎาคม 2554
กฎบัตรอาเซียนข้อ 34 บัญญัติว่า “The working language of ASEAN shall be English” | “ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียน คือ ภาษาอังกฤษ” ความหมายที่เป็นที่เข้าใจในขั้นต้นก็เป็นเพียงเรื่องของทางราชการและภาคธุรกิจเอกชนเท่านั้น ซึ่งหากเป็นเพียงเท่านี้ก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของการทำงานในโลกปัจจุบันอยู่แล้ว แม้จะหมายความเพียงว่าเป็นการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารระหว่างกันในการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตลอดจนองค์กรและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทว่าความหมายของบทบัญญัติที่ให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาของอาเซียนสำหรับการทำงานร่วมกันนั้นมีความหมายกว้างไกลไปถึงทุกส่วนของประชาคมอาเซียนด้วย หมายความว่าประชาชนพลเมืองใน 10 ประเทศอาเซียนจะต้องใช้ภาษาอังกฤษกันมากขึ้น นอกเหนือจากภาษาประจำชาติหรือภาษาประจำถิ่นของแต่ละชาติแต่ละชุมชนเอง เพราะไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นที่จะต้องไปมาหาสู่ร่วมประชุมปรึกษาหารือและสื่อสารกัน และไม่เฉพาะนักธุรกิจและคนทำมาค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและการติดต่อธุรกิจระหว่างกัน แต่ในเมื่อทุกคนที่อยู่ในอาเซียนล้วนแล้วแต่เป็นพลเมืองของอาเซียนด้วยกันทุกคน และทุกคนจะต้องไปมาหาสู่ เดินทางท่องเที่ยว ทำความรู้จักคุ้นเคยต่อกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และที่สำคัญทุกคนจะต้องเดินทางข้ามพรมแดนเพื่อหางานทำและแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับชีวิต ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องมืออันดับหนึ่งสำหรับพลเมืองอาเซียน ในการสื่อสารสร้างสัมพันธ์สู่โลกกว้างของภูมิภาคอาเซียน โลกแห่งมิตรไมตรีที่ขยายกว้างไร้พรมแดน โลกแห่งการแข่งขันไร้ขอบเขตภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองของชาวอาเซียน เคียงคู่ภาษาที่หนึ่งอันเป็นภาษาประจำชาติของแต่ละคน
ส่วนภาษาที่สามของชาวอาเซียนนั้นก็คือภาษาอื่นในอาเซียนภาษาหนึ่งภาษาใดหรือมากว่าหนึ่งภาษา เช่นภาษามาเลย์ ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาจีน ภาษาลาว ภาษาขแมร์ ภาษาเวียดนาม ภาษาพม่า ภาษาฟิลิปปิโน ภาษาฮินดี และ ภาษาทมิฬ นอกจากนั้นยังมีภาษาของประเทศนอกภูมิภาคอาเซียนที่เป็นประเทศคู่เจรจาสำคัญของอาเซียนอีกแปดประเทศคือ: จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย สหรัฐอเมริกา และ รัสเซีย ซึ่งหมายความว่าจะต้องเรียนรู้ภาษาที่นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ คือ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ภาษารัสเซีย และภาษาที่ใช้ในอินเดียอีกหลายภาษา (ฮินดี, อูรดู, ทมิฬ, เบงกาลี ฯลฯ)
ภาษาอังกฤษ: ในฐานะภาษาสำคัญของโลก ภาษาอังกฤษปัจจุบันคือภาษานานาชาติ เป็นภาษากลางของโลก ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของมนุษยชาติ เป็นภาษาที่มนุษย์บนโลกใช้ติดต่อระหว่างกันเป็นหลัก ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมกันทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ทุกชาติทุกภาษาจึงบรรจุวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองรองลงมาจากภาษาประจำชาติ เป็นแกนหลักของหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวิต แต่เมื่ออาเซียนกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็น “working language” เราจึงต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ตามความหมายของถ้อยคำว่าเป็น “ภาษาทำงาน” ของทุกคนในอาเซียน ทุกคนที่ “ทำงานเกี่ยวกับอาเซียน”, “ทำงานในอาเซียน”, ทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน”, “มีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน”, “แสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน”, “มีเพื่อนในอาเซียน” และ “เดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน”
ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ชาวบ้านทั่วไป นักเรียน นักศึกษา เด็กและเยาวชน ฯลฯ
คนทำงานเกี่ยวกับอาเซียน :
คนที่ทำงานโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องของอาเซียน หมายถึงตั้งแต่พนักงาน เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน ไปจนถึงคนทำงานในสำนักเลขาธิการอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ทุกคนต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ข้าราชการไทยทุกกระทรวงทบวงกรม จะต้องมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ และใช้ได้ดีด้วย เพราะงานเกี่ยวกับอาเซียนนั้นเกี่ยวกับทุกกระทรวงทบวงกรม จากนี้ไปควรเป็นนโยบายของรัฐบาลในการบรรจุข้าราชการทุกระดับทุกหน่วยงานโดยคำนึงถึงความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสำคัญ ไม่ว่าตำแหน่งราชการนั้นๆจะเกี่ยวข้องกับงานอาเซียนโดยตรงหรือไม่ก็ตาม เพราะถึงอย่างไรงานทุกระดับในหน่วยราชการจะต้องเกี่ยวข้องกับอาเซียนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมทั้งสิ้น รัฐบาลควรมี นโยบายระยะสั้นเฉพาะหน้าในช่วงเวลาก่อนถึงปี 2558/2015 อันเป็นปีบรรลุเป้าหมายการสร้างประชาคมอาเซียน ว่าจะปรับขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของข้าราชทุกคนทุกระดับแล้วปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนข้าราชการที่พัฒนาขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้แล้วให้ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ให้ได้เงินเดือนสูงพอหรือสูงเหนือเงินเดือนปรกติในระบบราชการปัจจุบัน สูงจนเป็นที่ดึงดูดคนที่มีขีดความสามารถสูงหันมาสนใจรับราชการโดยไม่ลังเลว่าจะไปทำงานภาคเอกชนดีกว่าหรือไม่ สูงจนมาตรฐานการตอบแทนภาครัฐเทียบเท่าหรือดีกว่าภาคเอกชน
นโยบายระยะสั้นเฉพาะหน้าของระบบราชการก็คือพัฒนาบุคคลากรที่พัฒนาได้แล้วปรับเงินเดือนส่วนที่พัฒนาได้มาตรฐาน ที่เหลือก็ค่อยๆพัฒนาและปรับผลตอบแทนต่อไปในระยะยาว ข้าราชการที่ไม่ปรับตัวก็ให้อยู่อย่างปรกติธรรมดาเหมือนเดิมแบบชีวิตไม่เปลี่ยนแปลงต่อไป เนื่องจากการเรียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศอื่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะเรียนรู้ได้เสมอเหมือนกันทุกคน ทุกวัย ทุกวัฒนธรรม ไม่เกี่ยวกับภูมิปัญญาพิเศษใดๆ ใครๆก็เรียนภาษาใหม่ได้ ใครๆก็เรียนภาษาอังกฤษได้- ถ้าอยากจะเรียน -ไม่มีข้ออ้างว่ายากจน เรียนไม่ไหว หรืออายุมากแล้ว “ลิ้นแข็ง” เรียนไม่ได้แล้ว ภาษาเป็นทักษะ เรียนรู้ได้ด้วยการฝึกฝน ใช้มากๆ ใช้บ่อยๆ เท่านั้นเอง ถ้าขยันเรียนก็ใช้ภาษาอังกฤษได้ในเวลาไม่นาน วิธีสร้างแรงจูงใจโดยการปรับขึ้นเงินเดือนเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งในระบบราชการจึงเป็นแรงจูงใจอย่างมีเหตุผลดีในการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของข้าราชไทยยุคประชาคมอาเซียน
นโยบายระยะยาว ก็ควรเป็นการให้ขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นมาตรฐานกลางของระบบราชการโดยปรับเงินเดือนและผลตอบแทนอื่นๆให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ หากทำเช่นว่านี้ได้ก็เป็นเหตุผลที่ชอบธรรมในการปรับฐานเงินเดือนและผลตอบแทนให้ข้าราชการทุกคน
พนักงานประจำสำนักเลขาธิการอาเซียน สำหรับคนที่ต้องการจะไปทำงานเกี่ยวกับอาเซียนโดยตรงในสำนักเลขาธิการอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา หรือสำนักงานสาขาในประเทศอื่นที่จะมีในอนาคต ตลอดจนผู้ที่จะไปทำงานให้กับรัฐบาลประเทศสมาชิกอื่นของอาเซียน กล่าวโดยตรงก็คือคนที่จะไปรับราชการในประเทศอาเซียนอื่น ซึ่งในอนาคตจะเป็นเรื่องจริงที่เป็นไปได้ เพราะแต่ละรัฐสมาชิกจะมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ผู้รู้เกี่ยวกับอาเซียนและรัฐสมาชิกอื่นในระบบการทำงานของราชการ (หรือรัฐการ) ของตน ประเทศในอาเซียนจะมีความต้องการว่าจ้างคนไทยที่มีความรู้ความสามารถเรื่องไทยและเรื่องอาเซียนให้เข้ารับราชการในประเทศของตน ชาวไทยที่แสวงหาโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิตก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องภาษาอังกฤษก่อนเรื่องอื่นใด ในยุคอาณานิคม แม้ไทยจะมิได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่รัฐบาลสยามก็จ้างชาวอังกฤษมาเป็นอธิบดีกรมป่าไม้คนแรก และจ้างชาวดัทช์มารับราชการในกรมชลประทาน และ จ้างชาวอังกฤษมาเป็นครูในพระราชวังและในระบบการศึกษาพื้นฐาน ในปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศของไทยและของชาติสมาชิกอาเซียนอื่นก็ล้วนแล้วแต่มีกรมกิจการอาเซียนด้่วยกันทั้งนั้น และย่อมเป็นไปได้ที่แต่ละหน่วยงานจะมีความจำเป็นต้องจ้างชาวไทยเข้าสู่ระบบราชการของแต่ละประเทศด้วย ในทางกลับกันระบบราชการไทยก็จะมีความจำเป็นที่ต้องจ้างชาวลาว เขมร พม่า เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และ ฟิลิปปินส์ มาทำงานในกระทรวงต่างๆของไทย ทำนองเดียวกันกับที่สถาบันการศึกษาต่างๆจ้างครูชาวต่างชาติ
ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยจะต้องพัฒนาตนเองในการเรียนรู้ให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ในประชาคมอาเซียน ณ วันนี้เป็นต้นไป
สมเกียรติ อ่อนวิมล
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 13 กรกฎาคม 2554
---------------
บันทึกอาเซียน | ASEAN DIARY : การใช้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่นในภูมิภาค กับ อนาคตของไทยในอาเซียน [2]
ภาษาอังกฤษ สำหรับ : คนทำงานในอาเซียน คนทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน คนมีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน คนแสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน คนมีเพื่อนในอาเซียน คนเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน
คนทำงานในอาเซียน :
จากนี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2015 หรือ พ.ศ. 2558 แรงงานมีฝีมือหรือมีทักษะและนักวิชาชีพทั้งหลายจะสามารถเดินทางข้ามประเทศในภูมิภาคอาเซียนไปหางานทำได้สะดวกมากขึ้นและจะทำได้โดยเสรีในที่สุด ตามความตกลงว่าด้วยเรื่องมาตรฐานกลางของทักษะและคุณภาพงานของแต่ละอาชีพที่หน่วยงานตัวแทนรัฐบาลทั้งสิบประเทศในอาเซียนจะทยอยรับรองมาตรฐานวิชาชีพต่างๆไปเป็นระยะๆ มาถึงปี 2011/2554 นี้มีการเจรจาตกลงในมาตรฐานกลางของวิชาชีพที่สำคัญไปบ้างแล้วเช่นวิชาชีพ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล บัญชี ช่างสำรวจ และสถาปนิก บางวิชาชีพยังอยู่ระหว่างการประชุมเจรจาต่อรอง บางอาชีพก็จัดทำมาตรฐานเสร็จแล้ว และทุกๆสองปีอาเซียนก็จะประเมินว่าจะมีวิชาชีพใหม่ใดบ้างที่ผ่านการรับรองมาตรฐานกลาง แม้ถึงปี 2015 จะยังเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการรับรองมาตรฐานกลางของทุกอาชีพในอาเซียน แต่อาชีพที่สำคัญๆอาจจะตกลงกันได้มากขึ้น ซึ่งก็จะหมายความว่าการเรียนการสอน การฝึกอบรมเพื่อนำไปสู่การเดินทางข้ามประเทศไปหางานทำในประเทศอื่นในอาเซียนด้วยกันจะต้องทำโดยคำนึงถึงมาตรฐานกลางของอาเซียน เพื่อให้ผู้ที่เรียนจบวิชาแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล บัญชี ช่างสำรวจ สถาปนิก ฯลฯ จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยจะสามารถไปทำงานในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องไปสอบใหม่ตามมาตรฐานของแต่ละประเทศต่างหากอีก ทำนองเดียวกันคนจากประเทศอื่นในอาเซียนก็จะสามารถมา สมัครงาน หางานทำ หรือแย่งงานเราไปทำได้ เพราะมีคุณสมบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอาเซียน ในเรื่องนี้เองที่ภาษาอังกฤษจะเป็นมาตรฐานกลางที่สำคัญอันจะนำไปสู่การเรียน การฝึกฝนอบรมในทักษะวิชาชีพต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงจำจะต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้และให้ดีไม่แพ้ชาวสิงคโปร์ มาเลเซีย และชาวชาติอื่นๆในอาเซียน หากทำได้อย่างน้อยก็จะเป็นการปกป้องโอกาสในการทำงานในประเทศไทยของเรามิให้เพื่อนอาเซียนมาแย่งงานของเราไปได้ แต่หากเราไม่เก่งทั้งทักษะภาษาและทักษะวิชาชีพเราก็จะหางานทำในประเทศของเราเองสู้คนชาติอื่นไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เราจะเข้าไปแข่งขันหางานทำในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ การมีทักษะวิชาชีพเสมอกันในคุณภาพแต่กลับความอ่อนด้อยในเรื่องภาษาอังกฤษก็เป็นจุดอ่อนที่จะทำให้โอกาสการหางานทำในอาเซียนลดลง แม้จะหางานทำในประเทศไทยเองก็ตามก็จะยากมากขึ้น
คนทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน :
สำหรับบุคคล องค์กร หรือ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในประเทศไทย ต่อไปนี้จะมีการเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงาน การทำธุรกิจ และการแบ่งแยกย่อยส่วนการผลิตสินค้าและการบริการแบบข้ามพรมแดนกันมากขึ้น สินค้าชนิดหนึ่งอาจมีการลงทุนร่วมกันแต่แยกสถานที่ผลิตชิ้นส่วนต่างๆไปในแต่ละประเทศ จากนั้นจึงเอาชิ้นส่วนทั้งหลายมาประกอบเป็นสินค้าหนึ่งชนิดได้ ตามนิยามเขตการค้าเสรีอาเซียนที่ว่าให้อาเซียนเป็น “ตลาดเดียว” และ “ฐานการผลิตเดียว” บริษัทธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆอาจจะจดทะเบียนเป็นบริษััทเดียวกันแต่มีโรงงานผลิตช้ินส่วนแยกอยู่ในหลายประเทศ หรืออาจมีบริษัทต่างๆในหลายประเทศร่วมกันเป็นเครือข่ายการผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน ก็เป็นไปได้ทั้งสองแบบ ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความสามารถในการสื่อสารภาษากลางคือภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี หากทำได้ดังนี้กิจการงานร่วมลงทุกร่วมผลิตร่วมแข่งขันกันหาตลาดก็จะเป็นไปได้ด้วยดี หากเราทำไม่ได้ ย่อมมีคนอื่นบริษัทอื่นที่พร้อมกว่าสามารถทำได้และแย่งงานแย่งตลาดเราได้เสมอ เรื่องนี้เป็นการแข่งขันเสรีตามกฏกติกาที่อาเซียนกำหนดมาตรฐานร่วมกัน คนไทยและนักธุกิจไทยมีมารฐานการทำงาน การผลิตและการค้าบริการไม่เป็นรองใครในอาเซียน และขนาดเศรษฐกิจของไทยก็ใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน รองลงมาจากอินโดนีเซีย หมายความว่าไทยมีความมั่งคั่งให้ชาวไทยด้วยกันเองได้ฉกฉวยโอกาสได้ก่อน แต่เมื่ออาเซียนเป็นประชาคมเศรษฐกิจเดียวกันแล้วความอ่อนด้อยทางภาษาอังกฤษของเราจะผันแปรให้เรากลายเป็นเพียงลูกจ้างระดับล่างไปมากกว่าที่จะเป็นนายจ้าง หรือเป็นผู้บริหารกิจการแม้ในประเทศของเราเอง
คนมีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน :
ภาคประชาสังคม หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Civil Society เป็นกลุ่มเครือข่ายการทำงานเพื่อปกป้องหรือผลักดันผลประโยชน์สาธารณะ ประชาชนพลเมืองในอาเซียนทุกวันนี้รวมตัวกันในภาคประชาชนพลเมือง หรือ “ประชาสังคม” มากขึ้น การประชุมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกลุ่มพลเมืองในสิบประเทศอาเซีียนมีมากขึ้น การเดินทางไปมาหาสู่ ประชุมสัมมนา และชุมนุมเรียกร้องในประเด็นสาธารณะข้ามพรมแดนจะมีมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น องค์กรพัฒนาภาคเอกชน หรือกลุ่มประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม การเมืองและประชาธิปไตย ในอนาคตข้างหน้าอาจมีการรวมตัวกันชุมนุมเรียกร้องในประเทศอาเซียนประเทศใดประเทศหนึ่งโดยมีผู้ชุมนุมมาร่วมกันสนับสนุนจากประเทศอื่นๆในอาเซียนด้วย ดังนั้นภาคประชาสังคมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กัน หรือแม้กระทั่งในการชุมนุมประท้วงข้ามชาติร่วมกัน ในอดีตที่ผ่านมาและในปัจจุบันมักจะพบว่าการแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมร่วมขององค์กรพัฒนาเอกชนหรือภาคประชาสัมคมในอาเซียนนั้น ผู้ที่แสดงความคิดเห็นได้มากกว่าและควบคุมกำกับทิศทางของความเห็นในที่ประชุมได้ผลดีกว่า มักจะเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เช่นจากฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์และมาเลเซีย คนไทยมักจะแสดงความคิดเห็นได้น้อยและได้เพียงสั้นๆ แม้จะมีความคิดเห็นดีแต่พูดไม่ได้ พูดไม่เป็น ใช้ภาษาอังกฤษได้กระท่อนกระแท่น บทบาทของคนไทยในเวทีสาธารณะอาเซียนจึงอ่อนด้อยและอาจถึงเงียบงัน
คนแสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน :
ในอนาคตอันไม่ไกล โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และ บุคคลากรทางการศึกษาต่างๆจะมีมากขึ้น ทั้งแบบระยะสั้นเช่นการเดินทางศึกษาดูงานหรือร่วมประชุมทางวิชาการ และแบบระยะยาว เช่นการแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ในงานสอนและงานวิจัย การให้นักเรียนนักศึกษาโอนหน่วยกิตข้ามไปศึกษาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในประเทศอาเซียนอื่นได้เป็นภาคการศึกษาหรือเป็นปีการศึกษาจะเริ่มมีในไม่ช้า การที่จะเรียนจบได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยอื่นในประเทศไทย จะเปิดกว้างให้นิสิตนักศึกษาย้ายไปเรียนเพิ่มหน่วยกิตที่มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฯลฯ ด้วยก็เป็นไปได้ ในที่สุดแล้วการเรียนการสอน หรือการศึกษาในอาเซียนทั้งระบบจะเป็นมาตรฐานเดียวกันเป็นอย่างต่ำ และจะเป็นมาตรฐานสูงระดับนานาชาติเสมอเหมือนกันทุกสถาบัน ความสำเร็จของครู อาจารย์ และนักศึกษา ขึ้นอยู่กับความสารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการแสวงหาวิชาความรู้เป็นสำคัญด้วย นอกเหนือจากภาษาประจำชาติต่างๆในอาเซียนที่นับวันจะมีความสำคัญมากขึ้นเป็นเงาตามตัวกับความสำคัญของภาษาอังกฤษ
คนมีเพื่อนในอาเซียน :
สำหรับคนมีเพื่อนในอาเซียนก็คล้ายกันกับคนที่มีเพื่อชาติอื่นที่จะต้องสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐาน ก่อนที่จะสามารถสื่อสารกันด้วยภาษาประจำชาติของแต่ละคน การมีเพื่อต่างชาติ โดยเฉพาะเพื่อนชาวอาเซียนด้วยกัน ในอนาคตจะเป็นเรื่องปรกติธรรมดา อาจจะเป็นเพื่อนที่ได้จากการทำธุรกิจร่วมกัน หรือเป็นเพื่อนทางสังคมและวัฒนธรรมที่ได้จากการมีเครือข่ายประชาสังคม การเป็นเพื่อนกันในวัยเรียนที่เรียนข้ามชาติกัน หรือเป็นมิตรกันมาจากโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งหมดนี้จะเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตของพลเมืองอาเซียนในหนึ่งถึงสองทศวรรษหน้าอย่างแน่นอน ความสำคัญของภาษาอังกฤษในเรื่องการผูกมิตรสร้างเพื่อนข้ามพรมแดนรัฐ จะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องย้ำให้มากมายนักอีกต่อไปแล้ว ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้้าผู้รู้ภาษาอังกฤษจะมีเพื่อนในอาเซียนมากกว่าผู้ที่ด้อยทักษะภาษาอังกฤษ ผู้ทีด้อยทักษะภาษาอังกฤษก็จะมีวิถีการดำเนินชีวิตแบบเดิม ไม่โลดโผนตื่นเต้นหรืออุดมไปด้วยสีสันวัฒนธรรมข้ามชาติเท่ากับผู้ที่มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า
คนเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน :
ด้วยแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง การมีถนน ทางหลวง ทางรถไฟ และเส้นทางคมนาคมทางเรือและทางอากาศ ที่จะเชื่อมโยงสิบประเทศอาเซียนกันมากขึ้นดีขึ้น และสะดวกรวดเร็วปลอดภัยขึ้น นักเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียนในอนาคตอันใกล้จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น การเดินทางไปเที่ยวในประเทศอื่นๆในอาเซียนด้วยกันเองจะมีมากจนเป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่“ใครว่างสักวันสองวันก็อาจขับรถไปกินข้าวบ้านเพื่อนที่เวียงจันทน์แล้วชวนกันไปเที่ยวฮานอยกันสักสองวัน” ก็ได้โดยไม่ต้องวางแผนอะไรกันมากนัก การเชื่อมโยงอาเซียนจะง่าย สะดวก ประหยัด รวดเร็วปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้มาก่อน ความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียนจะทำให้ชีวิตสนุกสานได้เข้าใจรากฐานทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมอันเกิดจากการเดินทางท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็จะนำไปสู่การมีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนที่สมบูรณ์
ทักษะภาษาอังกฤษจึงเป็นประตูไปสู่อาชีพการงานที่ก้าวหน้ากว้างไกลในอาเซียน ความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษทำให้ชีวิตมีคุณค่าสนุกสนานมีสีสันวัฒนธรรมร่วมกันในภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ปี 2015/2558 เป็นที่ชาวไทยจะต้องเข้าร่วมประชาคมอาเซียนอย่างไม่มีข้อยกเว้น ภาษาอังกฤษเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะเปิดประตูแห่งประชาคมอาเซียนให้ชาวไทยไปมาหาสู่คบค้าสมาคมกับเพื่อนอาเซียนทั้งหลายได้อย่างสมภาคภูมิ
ภาษาอังกฤษเรียนไม่ยาก สำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย
ปีเดียวก็พัฒนาทักษะภาษาได้...ถ้าต้องการพัฒนา
สมเกียรติ อ่อนวิมล
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 20 กรกฎาคม 2554
ไทยติดอันดับ 2 นักท่องเที่ยวต่างชาติตายจากอุบัติเหตุสูงสุด
ทุกรัฐบาลจะเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพราะเป็นแหล่งสำคัญของรายได้และการสร้างงาน ข้อมูลจากศูนย์ศึกษาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวทำให้เกิดรายได้ถึง 5.8 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลายลงระดับหนึ่ง แต่สถานการณ์ที่กำลังเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ คือ ความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
องค์กรด้านความปลอดภัย (Make Road Safe & FIA Foundation) ได้ทำบันทึกชื่อ “การเดินทางที่เลวร้าย Bad Trip: International tourism and road death in developing world” ส่งไปถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเนื้อหาในหนังสือได้ระบุถึงปัญหาความปลอดภัยในการเดินทาง เฉพาะข้อมูลการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกา พบว่า ร้อยละ 72.6 ตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน (73% รถยนต์, 12% รถจักรยานยนต์, 7% เดินเท้า และ 3% รถสาธารณะ)
ที่น่าตกใจ คือ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ประเทศไทยถูกจัดอันดับความเสี่ยงในลำดับที่ 2 รองจาก ฮอนดูรัส โดยพบว่านักท่องเที่ยวอเมริกามีอัตราการตายในประเทศไทย ถึง 50 ต่อ ประชากรนักท่องเที่ยว 1 แสนคน (สูงกว่าอัตราการตายของคนไทย 18.7 ต่อประชากร 1 แสนคน) โดยระบุสาเหตุสำคัญคือ ประเทศที่มีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่กลับไม่ให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายและมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการจัดการความปลอดภัยทางถนนให้กับนักท่องเที่ยว ปล่อยให้เป็นภาระของภาคเอกชนและธุรกิจท่องเที่ยวต้องลงทุนด้านความปลอดภัยเอง รวมทั้งขาดระบบติดตามกำกับในเรื่องนี้
ในช่วงเดียวกันนี้ ได้มีบันทึกเตือนความจำ (Memorandum: Reducing the incidence of motorcycle accidents in the tourism industry in Pai Thailand) เพื่อช่วยกันลดการตายจากอุบัติเหตุด้วยรถจักรยานยนต์ของนักท่องเที่ยว เขียนโดย Dr. Clive A Marks ส่งให้กระทรวงต่างๆ สำนักข่าวทั่วโลก และ ทุกสถานฑูตในประเทศไทย โดยมีแรงกระตุ้นในการเขียนจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ของเด็กหนุ่มชาวอเมริกัน วัย 19 ปี ที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน (เมื่อวันที่ 10 พค. 2554) และหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ณ จุดเดียวกัน ก็มีเด็กหนุ่มวัย 19 ปีชาวอังกฤษ เสียชีวิตด้วยรถจักรยานยนต์ในลักษณะเดียวกัน (7 พค. 2553) ที่น่าตกใจคือ ยอดผู้บาดเจ็บเฉพาะรถจักรยานยนต์ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่มารักษากับโรงพยาบาลปาย สูงถึง 250 คน/ปี (ร้อยละ 50 ไม่สวมหมวกนิรภัย) ในตอนท้ายของบันทึกระบุอีกว่า เมืองท่องเที่ยงอื่นๆ เช่น ภูเก็ต พัทยา ฯลฯ ก็มีสถานการณ์ด้านความปลอดภัยทางถนน ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน
ล่าสุดกรณีของ Bad Trip ที่สะเทือนขวัญและเป็นข่าวคึกโคมในอังกฤษ และถูกสื่อสารไปสู่นักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมาคือ การเสียชีวิตของนักเรียนหนุ่มชาวอังกฤษ วัย 19 ปีจำนวน 3 คน ที่เลือกจะใช้เวลาช่วงก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มาท่องเที่ยวในเมืองไทย โดยมีจุดเริ่มต้นจากถนนข้าวสารในกรุงเทพฯ จากนั้นนั่งรถทัศนาจร ต่อไปยังเชียงใหม่ แต่สุดท้ายกลับต้องมาจบชีวิตที่ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ร่วมกับนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษอีก 1 คน
ในข่าวนี้ มีหลายสิ่งที่ถูกเผยแพร่และตั้งคำถามกลับมายังหน่วยงานผู้รับผิดชอบ ที่มักจะละเลยต่อมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางถนน ตั้งแต่ มาตรฐานของคนขับรถ ซึ่งพบว่ามักจะขับเร็วเกินกำหนด การดื่มสุรา รวมทั้งความปลอดภัยของตัวรถ และสภาพของถนน ที่สำคัญคือการตั้งคำถามกับ ระบบการกำกับติดตามอย่างเอาจริงเอาจังจากตำรวจทางหลวง คมนาคม และความล้มเหลวของธุรกิจท่องเที่ยว ที่จะหาทางล๊อบบี้หรือผลักดันให้มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว
ดูเหมือนความเพิกเฉยของหน่วยงานรัฐตามที่ข่าวระบุไว้จะถูกยืนยันจาก ข่าวเมื่อวันที่ 7 กค.54 กรณีที่อุปนายกด้านการตลาดต่างประเทศ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต (คุณภูริต มาศวงศ์ศา) ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาลชุดใหม่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเมืองภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศปีละมหาศาล แต่สิ่งที่ทุกหน่วยงานของรัฐบาลจากส่วนกลางได้ปฏิเสธมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลในสมัยไหน คือ การพัฒนาและยกระดับความสามารถของจังหวัดภูเก็ตให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานอย่างแท้จริง ทั้งระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ การจราจรพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ที่ไม่สามารถจะหาบาทวิถีเดินชมเมืองหรือชายหาดได้ จนต้องลงมาเดินบนถนนและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ในฐานะที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ต้องไม่ละเลยและมองข้ามปัญหาของ “ความปลอดภัยทางถนนของนักท่องเที่ยว” โดยคิดว่าเป็นเรื่องของหน่วยงานหลักคือ กระทรวงคมนาคม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ในฐานะผู้รับผิดชอบและสามารถกำหนดแนวทางในเรื่องนี้ได้โดยตรง ควรจะใช้โอกาสนี้ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเดินทางบนท้องถนน
ข้อเสนอที่ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ สามารถดำเนินการได้ คือ สร้างความร่วมกับหน่วยงานหลัก เช่น กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ สถานทูต สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว และ สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ฯลฯ เพื่อเร่งดำเนินการ
(๑) วางแนวทางแก้ปัญหาในระยะยาว : โดยรวบรวมและศึกษาข้อมูลการเสียชีวิตของนักท่องชาวต่างชาติ ที่เกิดจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อทราบขนาดปัญหา และ สาเหตุที่แท้จริง พร้อมทั้งจัดทำแผนงาน/มาตรการป้องกันแก้ไขอย่างเป็นระบบ
(๒) วางแนวทางการแก้ปัญหาที่ดำเนินการได้เลย ได้แก่
- วางหลักเกณฑ์ และระบบติดตามกำกับ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับรถทัศนาจรนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ตั้งแต่ มาตรฐานด้านคนขับ โครงสร้างและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ระบบประกันภัย
- การจัดทำคู่มือด้านความปลอดภัยในการเดินทางบนท้องถนน เช่น เส้นทางที่ปลอดภัย (โดยเฉพาะการส่งเสริมการเดินทางด้วยรถไฟ รถโดยสารประจำทาง หรือรถทัศนาจร ที่ได้มาตรฐาน) การปฏิบัติตัวเมื่อต้องเดินบนถนน การใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน รวมทั้งข้อพึงระวังต่างๆ
- ส่งเสริมให้เมืองท่องเที่ยว ให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลและจัดระบบความปลอดภัยทางถนนของนักท่องเที่ยว เช่น การให้รางวัลเมืองท่องเที่ยวปลอดภัย การสนับสนุนให้มีศักยภาพในด้านการจัดการความปลอดภัย (การจัดฝึกอบรม และ มีระบบปรึกษาในเรื่องนี้)
ในทุกๆ ความสูญเสียที่เกิดกับที่ชีวิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แม้จะเป็นเพียงไม่กี่คน แต่เดิมพันด้วยผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็น ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว จำนวนเม็ดเงินกว่า 5.8 แสนล้านบาท รวมทั้ง ภาคธุรกิจและคนไทยที่ทำมาหากินอยู่กับการท่องเที่ยวอีกจำนวนมาก.. หวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเห็นนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ให้ความสำคัญและลุกขึ้นมาเป็นหลักในการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก่อนที่จะเป็น “วัวหายล้อมคอก”
นพ. ธนะพงศ์ จินวงษ์
ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ที่มา: ไทยติดอันดับ2 นักท่องเที่ยวต่างชาติตายจากอุบัติเหตุสูงสุด เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 13 กรกฎาคม 2554
--------------------
ใครจะมาเที่ยวเมืองไทยต้องระวังชีวิตให้ดี เพราะอาจไม่มีชีวิตกลับไป ใช่มั๊ย กทท.
องค์กรด้านความปลอดภัย (Make Road Safe & FIA Foundation) ได้ทำบันทึกชื่อ “การเดินทางที่เลวร้าย Bad Trip: International tourism and road death in developing world” ส่งไปถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเนื้อหาในหนังสือได้ระบุถึงปัญหาความปลอดภัยในการเดินทาง เฉพาะข้อมูลการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกา พบว่า ร้อยละ 72.6 ตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน (73% รถยนต์, 12% รถจักรยานยนต์, 7% เดินเท้า และ 3% รถสาธารณะ)
ที่น่าตกใจ คือ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ประเทศไทยถูกจัดอันดับความเสี่ยงในลำดับที่ 2 รองจาก ฮอนดูรัส โดยพบว่านักท่องเที่ยวอเมริกามีอัตราการตายในประเทศไทย ถึง 50 ต่อ ประชากรนักท่องเที่ยว 1 แสนคน (สูงกว่าอัตราการตายของคนไทย 18.7 ต่อประชากร 1 แสนคน) โดยระบุสาเหตุสำคัญคือ ประเทศที่มีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่กลับไม่ให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายและมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการจัดการความปลอดภัยทางถนนให้กับนักท่องเที่ยว ปล่อยให้เป็นภาระของภาคเอกชนและธุรกิจท่องเที่ยวต้องลงทุนด้านความปลอดภัยเอง รวมทั้งขาดระบบติดตามกำกับในเรื่องนี้
ในช่วงเดียวกันนี้ ได้มีบันทึกเตือนความจำ (Memorandum: Reducing the incidence of motorcycle accidents in the tourism industry in Pai Thailand) เพื่อช่วยกันลดการตายจากอุบัติเหตุด้วยรถจักรยานยนต์ของนักท่องเที่ยว เขียนโดย Dr. Clive A Marks ส่งให้กระทรวงต่างๆ สำนักข่าวทั่วโลก และ ทุกสถานฑูตในประเทศไทย โดยมีแรงกระตุ้นในการเขียนจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ของเด็กหนุ่มชาวอเมริกัน วัย 19 ปี ที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน (เมื่อวันที่ 10 พค. 2554) และหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ณ จุดเดียวกัน ก็มีเด็กหนุ่มวัย 19 ปีชาวอังกฤษ เสียชีวิตด้วยรถจักรยานยนต์ในลักษณะเดียวกัน (7 พค. 2553) ที่น่าตกใจคือ ยอดผู้บาดเจ็บเฉพาะรถจักรยานยนต์ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่มารักษากับโรงพยาบาลปาย สูงถึง 250 คน/ปี (ร้อยละ 50 ไม่สวมหมวกนิรภัย) ในตอนท้ายของบันทึกระบุอีกว่า เมืองท่องเที่ยงอื่นๆ เช่น ภูเก็ต พัทยา ฯลฯ ก็มีสถานการณ์ด้านความปลอดภัยทางถนน ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน
ล่าสุดกรณีของ Bad Trip ที่สะเทือนขวัญและเป็นข่าวคึกโคมในอังกฤษ และถูกสื่อสารไปสู่นักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมาคือ การเสียชีวิตของนักเรียนหนุ่มชาวอังกฤษ วัย 19 ปีจำนวน 3 คน ที่เลือกจะใช้เวลาช่วงก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มาท่องเที่ยวในเมืองไทย โดยมีจุดเริ่มต้นจากถนนข้าวสารในกรุงเทพฯ จากนั้นนั่งรถทัศนาจร ต่อไปยังเชียงใหม่ แต่สุดท้ายกลับต้องมาจบชีวิตที่ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ร่วมกับนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษอีก 1 คน
ในข่าวนี้ มีหลายสิ่งที่ถูกเผยแพร่และตั้งคำถามกลับมายังหน่วยงานผู้รับผิดชอบ ที่มักจะละเลยต่อมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางถนน ตั้งแต่ มาตรฐานของคนขับรถ ซึ่งพบว่ามักจะขับเร็วเกินกำหนด การดื่มสุรา รวมทั้งความปลอดภัยของตัวรถ และสภาพของถนน ที่สำคัญคือการตั้งคำถามกับ ระบบการกำกับติดตามอย่างเอาจริงเอาจังจากตำรวจทางหลวง คมนาคม และความล้มเหลวของธุรกิจท่องเที่ยว ที่จะหาทางล๊อบบี้หรือผลักดันให้มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว
ดูเหมือนความเพิกเฉยของหน่วยงานรัฐตามที่ข่าวระบุไว้จะถูกยืนยันจาก ข่าวเมื่อวันที่ 7 กค.54 กรณีที่อุปนายกด้านการตลาดต่างประเทศ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต (คุณภูริต มาศวงศ์ศา) ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาลชุดใหม่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเมืองภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศปีละมหาศาล แต่สิ่งที่ทุกหน่วยงานของรัฐบาลจากส่วนกลางได้ปฏิเสธมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลในสมัยไหน คือ การพัฒนาและยกระดับความสามารถของจังหวัดภูเก็ตให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานอย่างแท้จริง ทั้งระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ การจราจรพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ที่ไม่สามารถจะหาบาทวิถีเดินชมเมืองหรือชายหาดได้ จนต้องลงมาเดินบนถนนและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ในฐานะที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ต้องไม่ละเลยและมองข้ามปัญหาของ “ความปลอดภัยทางถนนของนักท่องเที่ยว” โดยคิดว่าเป็นเรื่องของหน่วยงานหลักคือ กระทรวงคมนาคม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ในฐานะผู้รับผิดชอบและสามารถกำหนดแนวทางในเรื่องนี้ได้โดยตรง ควรจะใช้โอกาสนี้ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเดินทางบนท้องถนน
ข้อเสนอที่ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ สามารถดำเนินการได้ คือ สร้างความร่วมกับหน่วยงานหลัก เช่น กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ สถานทูต สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว และ สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ฯลฯ เพื่อเร่งดำเนินการ
(๑) วางแนวทางแก้ปัญหาในระยะยาว : โดยรวบรวมและศึกษาข้อมูลการเสียชีวิตของนักท่องชาวต่างชาติ ที่เกิดจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อทราบขนาดปัญหา และ สาเหตุที่แท้จริง พร้อมทั้งจัดทำแผนงาน/มาตรการป้องกันแก้ไขอย่างเป็นระบบ
(๒) วางแนวทางการแก้ปัญหาที่ดำเนินการได้เลย ได้แก่
- วางหลักเกณฑ์ และระบบติดตามกำกับ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับรถทัศนาจรนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ตั้งแต่ มาตรฐานด้านคนขับ โครงสร้างและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ระบบประกันภัย
- การจัดทำคู่มือด้านความปลอดภัยในการเดินทางบนท้องถนน เช่น เส้นทางที่ปลอดภัย (โดยเฉพาะการส่งเสริมการเดินทางด้วยรถไฟ รถโดยสารประจำทาง หรือรถทัศนาจร ที่ได้มาตรฐาน) การปฏิบัติตัวเมื่อต้องเดินบนถนน การใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน รวมทั้งข้อพึงระวังต่างๆ
- ส่งเสริมให้เมืองท่องเที่ยว ให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลและจัดระบบความปลอดภัยทางถนนของนักท่องเที่ยว เช่น การให้รางวัลเมืองท่องเที่ยวปลอดภัย การสนับสนุนให้มีศักยภาพในด้านการจัดการความปลอดภัย (การจัดฝึกอบรม และ มีระบบปรึกษาในเรื่องนี้)
ในทุกๆ ความสูญเสียที่เกิดกับที่ชีวิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แม้จะเป็นเพียงไม่กี่คน แต่เดิมพันด้วยผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็น ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว จำนวนเม็ดเงินกว่า 5.8 แสนล้านบาท รวมทั้ง ภาคธุรกิจและคนไทยที่ทำมาหากินอยู่กับการท่องเที่ยวอีกจำนวนมาก.. หวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเห็นนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ให้ความสำคัญและลุกขึ้นมาเป็นหลักในการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก่อนที่จะเป็น “วัวหายล้อมคอก”
นพ. ธนะพงศ์ จินวงษ์
ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ที่มา: ไทยติดอันดับ2 นักท่องเที่ยวต่างชาติตายจากอุบัติเหตุสูงสุด เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 13 กรกฎาคม 2554
--------------------
ใครจะมาเที่ยวเมืองไทยต้องระวังชีวิตให้ดี เพราะอาจไม่มีชีวิตกลับไป ใช่มั๊ย กทท.
อึ้ง!คนไทยรับได้ รัฐบาลคอร์รัปชัน แต่ประชาชนได้ประโยชน์
อึ้ง!คนไทยรับได้ รัฐบาลคอร์รัปชัน แต่ประชาชนได้ประโยชน์ ขณะที่ “กลุ่มต่อต้านคอรัปชันในทุกกรณี” แนะเพิ่มโทษ ยึดทรัพย์นักการเมือง ข้าราชการ และของเครือญาติที่รู้เห็นเป็นใจทุจริตคอร์รัปชัน พบส่วนใหญ่อยากให้ "ยิ่งลักษณ์" เป็นประธานรณรงค์สร้างชาติโปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง...
20 ก.ค.2554 ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องความต้องการของประชาชนต่อรัฐบาลชุดใหม่ ในการสร้างชาติโปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของ จำนวนทั้งสิ้น 2,559 ตัวอย่าง ระหว่าง วันที่ 13-19 ก.ค.2554 พบประเด็นสำคัญที่ค้นพบครั้งนี้คือ ร้อยละ 74.4 จะแจ้งความเอาผิด ถ้าพบเห็นแกนนำชุมชนของตนทุจริตคอร์รัปชัน รองลงมาคือ ร้อยละ 72.9 จะแจ้งความเอาผิดข้าราชการที่ทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 72.2 ระบุ จะแจ้งความเอาผิดนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 71.7 จะแจ้งความเอาผิดรัฐมนตรีที่ทุจริตคอร์รัปชัน
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 64.5 คิดว่ายอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ตนเองได้รับประโยชน์ด้วย ในขณะที่ร้อยละ 35.5 ยอมรับไม่ได้
เมื่อจำแนกกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามออกตามลักษณะเฉพาะตัว พบว่า ส่วนใหญ่ของทุกเพศทุกวัย ทุกระดับรายได้ ทุกสาขาอาชีพ และการศึกษา ต่างก็ยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ตนเองได้รับประโยชน์ด้วย และที่น่าเป็นห่วงไปอีกคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.0 ของกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี และร้อยละ 70.5 ของผู้มีอายุ 20 – 29 ปี ต่างก็ยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน แล้วพวกเด็กและเยาวชนได้รับประโยชน์ด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์แนวคิดของ “กลุ่มต่อต้านคอรัปชันในทุกกรณี” คือ กลุ่มที่ยอมรับไม่ได้ ถึงแม้รัฐบาลจะทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ตนเองได้รับผลประโยชน์ด้วย แต่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน เสนอความต้องการต่อรัฐบาลชุดใหม่เพื่อสร้างชาติให้โปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง โดยพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.5 ของกลุ่มต่อต้านคอร์รัปชันในทุกกรณี ระบุให้เพิ่มโทษยึดทรัพย์นักการเมือง ข้าราชการ และของเครือญาติที่รู้เห็นเป็นใจทุจริตคอร์รัปชัน รองลงมาคือร้อยละ 87.0 ระบุให้ลงโทษทั้งผู้ให้และผู้รับ ร้อยละ 85.6 เสนอยกเลิกการ “อภัยโทษ” ต่อนักการเมืองและข้าราชการที่ต้องโทษทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 84.2 ระบุไม่ต้องให้โอกาสนักการเมือง และข้าราชการที่ถูกตัดสินลงโทษกลับเข้ามามีอำนาจอีก ร้อยละ 73.3 ให้ประกาศบัญชีการใช้จ่ายของหน่วยงานรัฐต่อสาธารณชนผ่านสื่อต่างๆ ร้อยละ 67.5 ตั้งคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์อิสระภายนอก กระทรวงหรือหน่วยงานของรัฐ (ไม่ให้ตรวจสอบกันเองภายในเท่านั้น) ร้อยละ 62.7 ระบุต้องปลูกจิตสำนึก สร้างความตระหนักให้ประชาชนเห็นผลร้ายของการทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 61.8 เปิดเผยที่มาที่ไปของการใช้เงินค่าปรับต่างๆ ให้สาธารณชนรับรู้รับทราบ และร้อยละ 45.3 ระบุอื่นๆ เช่น ให้สื่อมวลชน ภาคประชาชน ร่วมตรวจสอบ มีระบบฐานข้อมูลปัญหาคอร์รัปชัน เพิ่มงบประมาณปราบปรามคอร์รัปชัน เป็นต้น
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.8 เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหมาะสมที่จะเป็นประธานรณรงค์สร้างชาติโปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง อย่างจริงจังต่อเนื่อง ในขณะที่ร้อยละ 32.2 ระบุว่า ไม่เหมาะสม
ที่มา: อึ้ง!คนไทยรับได้ รัฐบาลคอร์รัปชัน แต่ประชาชนได้ประโยชน์ ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2554
----------------
ประเทศชาติที่ดีที่เจริญอย่างแท้จริงและยั่งยืน รัฐบาลต้องไม่คอร์รัปชั่น ดูตัวอย่างที่ดี คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่รัฐบาลคอร์รัปชั่นมีแต่จะเสื่อมทรามลง เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซีย ..
20 ก.ค.2554 ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องความต้องการของประชาชนต่อรัฐบาลชุดใหม่ ในการสร้างชาติโปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของ จำนวนทั้งสิ้น 2,559 ตัวอย่าง ระหว่าง วันที่ 13-19 ก.ค.2554 พบประเด็นสำคัญที่ค้นพบครั้งนี้คือ ร้อยละ 74.4 จะแจ้งความเอาผิด ถ้าพบเห็นแกนนำชุมชนของตนทุจริตคอร์รัปชัน รองลงมาคือ ร้อยละ 72.9 จะแจ้งความเอาผิดข้าราชการที่ทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 72.2 ระบุ จะแจ้งความเอาผิดนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 71.7 จะแจ้งความเอาผิดรัฐมนตรีที่ทุจริตคอร์รัปชัน
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 64.5 คิดว่ายอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ตนเองได้รับประโยชน์ด้วย ในขณะที่ร้อยละ 35.5 ยอมรับไม่ได้
เมื่อจำแนกกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามออกตามลักษณะเฉพาะตัว พบว่า ส่วนใหญ่ของทุกเพศทุกวัย ทุกระดับรายได้ ทุกสาขาอาชีพ และการศึกษา ต่างก็ยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ตนเองได้รับประโยชน์ด้วย และที่น่าเป็นห่วงไปอีกคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.0 ของกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี และร้อยละ 70.5 ของผู้มีอายุ 20 – 29 ปี ต่างก็ยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน แล้วพวกเด็กและเยาวชนได้รับประโยชน์ด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์แนวคิดของ “กลุ่มต่อต้านคอรัปชันในทุกกรณี” คือ กลุ่มที่ยอมรับไม่ได้ ถึงแม้รัฐบาลจะทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ตนเองได้รับผลประโยชน์ด้วย แต่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน เสนอความต้องการต่อรัฐบาลชุดใหม่เพื่อสร้างชาติให้โปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง โดยพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.5 ของกลุ่มต่อต้านคอร์รัปชันในทุกกรณี ระบุให้เพิ่มโทษยึดทรัพย์นักการเมือง ข้าราชการ และของเครือญาติที่รู้เห็นเป็นใจทุจริตคอร์รัปชัน รองลงมาคือร้อยละ 87.0 ระบุให้ลงโทษทั้งผู้ให้และผู้รับ ร้อยละ 85.6 เสนอยกเลิกการ “อภัยโทษ” ต่อนักการเมืองและข้าราชการที่ต้องโทษทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 84.2 ระบุไม่ต้องให้โอกาสนักการเมือง และข้าราชการที่ถูกตัดสินลงโทษกลับเข้ามามีอำนาจอีก ร้อยละ 73.3 ให้ประกาศบัญชีการใช้จ่ายของหน่วยงานรัฐต่อสาธารณชนผ่านสื่อต่างๆ ร้อยละ 67.5 ตั้งคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์อิสระภายนอก กระทรวงหรือหน่วยงานของรัฐ (ไม่ให้ตรวจสอบกันเองภายในเท่านั้น) ร้อยละ 62.7 ระบุต้องปลูกจิตสำนึก สร้างความตระหนักให้ประชาชนเห็นผลร้ายของการทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 61.8 เปิดเผยที่มาที่ไปของการใช้เงินค่าปรับต่างๆ ให้สาธารณชนรับรู้รับทราบ และร้อยละ 45.3 ระบุอื่นๆ เช่น ให้สื่อมวลชน ภาคประชาชน ร่วมตรวจสอบ มีระบบฐานข้อมูลปัญหาคอร์รัปชัน เพิ่มงบประมาณปราบปรามคอร์รัปชัน เป็นต้น
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.8 เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหมาะสมที่จะเป็นประธานรณรงค์สร้างชาติโปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง อย่างจริงจังต่อเนื่อง ในขณะที่ร้อยละ 32.2 ระบุว่า ไม่เหมาะสม
ที่มา: อึ้ง!คนไทยรับได้ รัฐบาลคอร์รัปชัน แต่ประชาชนได้ประโยชน์ ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2554
----------------
ประเทศชาติที่ดีที่เจริญอย่างแท้จริงและยั่งยืน รัฐบาลต้องไม่คอร์รัปชั่น ดูตัวอย่างที่ดี คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่รัฐบาลคอร์รัปชั่นมีแต่จะเสื่อมทรามลง เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซีย ..
Tuesday, July 19, 2011
อึ้ง หนุ่ม 'กิฟฟารีน' โชว์ 'มักกะลีผล' ชี้ให้มหาโชค 'ถูกหวย' หลายงวดติด!!!
ตะลึง-หนุ่มโชว์มักกะลีผลซื้อมาจากประเทศลาว ชี้ 2 ผลแค่ 70 บาท โวตั้งแต่ได้มา โชคดีมากมายเห็นผลเร็วกว่ายารักษาสิวได้การเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน แถมถูกหวยหลายงวดติดๆ...
ไทยรัฐออนไลน์ได้รับการเปิดเผยเรื่องแปลกแต่จริง ของ“มักกะลีผล” ผลไม้รูปร่างคล้ายมนุษย์ เพศชาย- เพศหญิง โดยผลที่คล้ายผู้หญิงนั้น มีหน้าอก ชูชันผงาดล้ำ เอว คอด สะโพกผาย อีกทั้งกลางลำตัวมีลักษณะคล้ายอวัยวะอูมอวบอิ่มของเพศหญิง ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ส่วนอีกผลหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายเพศชาย ผลนี้ดูบึกบึนมาดแมนกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยกลางผลมีรูปร่างคล้ายเครื่องบ่งเพศของผู้ชาย มีอัณฑะใหญ่ตระหง่านชัดเจน โดยทั้ง 2 ผลสูงกว่าฝ่ามือเล็กน้อย สีน้ำตาลเข้ม ส่งกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ตลอดเวลา
นายอภิวิชญ์ ปะนามะทัง หัวหน้าสาขาผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน สาขาป่ินเกล้า เจ้าของมักกะลีผลคู่นี้กล่าวถึงความมหัศจรรย์ผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า ตนซื้อมาจากประเทศลาวมาได้ไม่นานเพราะเห็นว่าแปลกดี แถมยังมีเรื่อง ซึ่งคนขายอ้างว่าเป็นมักกะลีผลที่ผ่านการปลุกเสกมาจากเกจิชื่อดังสนนราคา 2 ตัว 70 บาทเท่านั้น
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ เพราะว่าตั้งแต่ได้มาเขาให้โชคเรามากมายตั้งเรื่องการเสี่ยงโชค เข้าฝันให้หวยตรงๆ ทำให้ตนถูกหวยไปหลายงวดติดๆ งานการก็รุ่งเรืองได้เลื่อนขั้นหลังจากได้มักกะลีผลมาไม่กี่วัน เพื่อนฝูงโจษจันกันใหญ่ ล่าสุดมีคนมาขอซื้อผมด้วย แต่ผมไม่ขายเพราะคิดว่ามันเป็นของหายาก 5 แสนก็ไม่ขาย แต่ถ้าได้ 1 ล้านต้องคิดดูอีกที” เจ้าของมักกะลีผลกล่าวยั่ว
หนุ่มสะสมที่นิยมของแปลก ผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนตัวตนเป็นคนที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แม้เป็นสิ่งที่สัมผัสไม่ได้แต่มีหลายครั้งที่ทำให้รู้สึกว่ามีอยู่จริง เพราะนอกจากมักกะลีผลแล้วยังมีรกแมวไว้บูชาด้วย
“ตั้งแต่ผมสะสมของแบบนี้ก็จะถูกหวยบ่อยๆ ซึ่วการบูชารกแมวนั้นจะทำทุกวันพระโดยทำข้าวคลุกปลาทูแล้วเรียกให้เขากิน โดยรกแมวนั้นได้มาเพราะผู้ใหญ่บอกว่าบูชาแล้วจะได้โชค แล้วยังมีใบโพธิ์จากประเทศอินเดีย ซึ่งผู้ที่ให้มาบอกว่า ได้มาโดยการไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตัสรู้แล้วรอให้ใบโพธิ์หล่น และนำมาบูชาเป็นสิริมงคล"
เมื่อถามว่าหากจะมีคนขอพิสูจน์ผลมักกะลีผล หนุ่มผู้บริหารกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ยินดี เพราะเห็นๆกันอยู่ก็ไม่รู้ว่าจริงไม่จริง ตนก็ไม่ได้ออกมาเพื่อจะยืนยันอะไร เพียงอย่างแบ่งปันกันดูเฉยๆ และคิดว่าเรามีความเชื่อมันไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
วิธีบูชามักกะลีผล
เพียงสวดมนต์ หมั่นรักษาศีล โดยไม่ต้องถวายอาหารแต่อย่างใด ด้านวิธีการบูชามักกะลีผ(สำหรับทางด้านเส่นห์หา) ซึ่งเป็นคาถาของหลวงพ่อเสน่ห์ วัดเชียงขางนั้นมีดังนี้
การทำพิธี
1.ให้จัดหาดอกไม้ขาวหอมใส่พาน 29 ดอก,ผ้าขาวสะอาด 1 ผืนเล็ก, เทียนเล็ก 4 คู่, น้ำอบไทยขวดเล็ก 1 ขวด, หลังจากนั้นให้นำมักกะลีผลใส่พานที่ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาด นำรูปผู้ชายและผู้หญิงประกบหน้าเข้าหากัน (หมายถึงตัวเราและภรรยาของเราหรือคนที่เคยเป็นของเราเท่านั้น) พันด้วยสายสิญจน์ 9 รอบ (สายสิญจน์เอาที่ไหนก็ได้ขอให้ผ่านพิธี) ให้เอารูปที่เราพันด้วยสายสิญจน์ ใส่ไว้ตรงกลาง หลังจากนั้นให้เอาใบรักซ้อน หรือใบไม้ธรรมดาก็ได้ 3 ใบ ซ้อนกันพันรอบมักกะลีผลพันด้วยสายสิญจน์อีก 9 รอบ พร้อมด้วยโฉลมด้วยน้ำอบไทยหลังจากนั้นเริ่มทำพิธี
ตั้งนะโม 3 จบ ว่าคาถา อะเราขะยม โมปะเตี๊ยะ ออแอน น๊อบปอเตี๊ยะ กะไมแอนเตานา เดย ตึ๊ก ขย่อน พลึ้อ ปลุกเสก 9 จบ/วัน แล้วอธิฐานให้เขากลับมา
ทั้งนี้ "มักกะลีผล" หรือ "นารีผล" ซึ่งในตำนานกล่าวไว้ว่าเกิดขึ้นอยู่กลางป่าลึกหิมพานต์ โดยมักกะลีผลจะเป็นหญิงสาว รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงามปานเทพธิดา ว่ากันว่าบางครั้งฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า หรือเหล่าเทวดา นักสิทธิ์วิทยาธร หรือคนธรรพ์ทั้งหลาย ผู้ยังไม่หมดกามราคะมักจะเหาะไปเก็บมักกะลีผลมาเชยชม เพื่อทำการฝึกจิตของตนให้เข้มแข็ง หากสมาธิไม่แข็งพอตบะก็จะแตก จนต้องเริ่มบำเพ็ญเพียรฝึกจิตใหม่อีกครั้ง ว่ากันว่ามักกะลีผลนี้อยู่ได้เพียง 7 วัน จนในที่สุดจะแห้งเหี่ยวจนสลายไป
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 15 กรกฎาคม 2554
ไทยรัฐออนไลน์ได้รับการเปิดเผยเรื่องแปลกแต่จริง ของ“มักกะลีผล” ผลไม้รูปร่างคล้ายมนุษย์ เพศชาย- เพศหญิง โดยผลที่คล้ายผู้หญิงนั้น มีหน้าอก ชูชันผงาดล้ำ เอว คอด สะโพกผาย อีกทั้งกลางลำตัวมีลักษณะคล้ายอวัยวะอูมอวบอิ่มของเพศหญิง ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ส่วนอีกผลหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายเพศชาย ผลนี้ดูบึกบึนมาดแมนกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยกลางผลมีรูปร่างคล้ายเครื่องบ่งเพศของผู้ชาย มีอัณฑะใหญ่ตระหง่านชัดเจน โดยทั้ง 2 ผลสูงกว่าฝ่ามือเล็กน้อย สีน้ำตาลเข้ม ส่งกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ตลอดเวลา
นายอภิวิชญ์ ปะนามะทัง หัวหน้าสาขาผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน สาขาป่ินเกล้า เจ้าของมักกะลีผลคู่นี้กล่าวถึงความมหัศจรรย์ผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า ตนซื้อมาจากประเทศลาวมาได้ไม่นานเพราะเห็นว่าแปลกดี แถมยังมีเรื่อง ซึ่งคนขายอ้างว่าเป็นมักกะลีผลที่ผ่านการปลุกเสกมาจากเกจิชื่อดังสนนราคา 2 ตัว 70 บาทเท่านั้น
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ เพราะว่าตั้งแต่ได้มาเขาให้โชคเรามากมายตั้งเรื่องการเสี่ยงโชค เข้าฝันให้หวยตรงๆ ทำให้ตนถูกหวยไปหลายงวดติดๆ งานการก็รุ่งเรืองได้เลื่อนขั้นหลังจากได้มักกะลีผลมาไม่กี่วัน เพื่อนฝูงโจษจันกันใหญ่ ล่าสุดมีคนมาขอซื้อผมด้วย แต่ผมไม่ขายเพราะคิดว่ามันเป็นของหายาก 5 แสนก็ไม่ขาย แต่ถ้าได้ 1 ล้านต้องคิดดูอีกที” เจ้าของมักกะลีผลกล่าวยั่ว
หนุ่มสะสมที่นิยมของแปลก ผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนตัวตนเป็นคนที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แม้เป็นสิ่งที่สัมผัสไม่ได้แต่มีหลายครั้งที่ทำให้รู้สึกว่ามีอยู่จริง เพราะนอกจากมักกะลีผลแล้วยังมีรกแมวไว้บูชาด้วย
“ตั้งแต่ผมสะสมของแบบนี้ก็จะถูกหวยบ่อยๆ ซึ่วการบูชารกแมวนั้นจะทำทุกวันพระโดยทำข้าวคลุกปลาทูแล้วเรียกให้เขากิน โดยรกแมวนั้นได้มาเพราะผู้ใหญ่บอกว่าบูชาแล้วจะได้โชค แล้วยังมีใบโพธิ์จากประเทศอินเดีย ซึ่งผู้ที่ให้มาบอกว่า ได้มาโดยการไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตัสรู้แล้วรอให้ใบโพธิ์หล่น และนำมาบูชาเป็นสิริมงคล"
เมื่อถามว่าหากจะมีคนขอพิสูจน์ผลมักกะลีผล หนุ่มผู้บริหารกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ยินดี เพราะเห็นๆกันอยู่ก็ไม่รู้ว่าจริงไม่จริง ตนก็ไม่ได้ออกมาเพื่อจะยืนยันอะไร เพียงอย่างแบ่งปันกันดูเฉยๆ และคิดว่าเรามีความเชื่อมันไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
วิธีบูชามักกะลีผล
เพียงสวดมนต์ หมั่นรักษาศีล โดยไม่ต้องถวายอาหารแต่อย่างใด ด้านวิธีการบูชามักกะลีผ(สำหรับทางด้านเส่นห์หา) ซึ่งเป็นคาถาของหลวงพ่อเสน่ห์ วัดเชียงขางนั้นมีดังนี้
การทำพิธี
1.ให้จัดหาดอกไม้ขาวหอมใส่พาน 29 ดอก,ผ้าขาวสะอาด 1 ผืนเล็ก, เทียนเล็ก 4 คู่, น้ำอบไทยขวดเล็ก 1 ขวด, หลังจากนั้นให้นำมักกะลีผลใส่พานที่ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาด นำรูปผู้ชายและผู้หญิงประกบหน้าเข้าหากัน (หมายถึงตัวเราและภรรยาของเราหรือคนที่เคยเป็นของเราเท่านั้น) พันด้วยสายสิญจน์ 9 รอบ (สายสิญจน์เอาที่ไหนก็ได้ขอให้ผ่านพิธี) ให้เอารูปที่เราพันด้วยสายสิญจน์ ใส่ไว้ตรงกลาง หลังจากนั้นให้เอาใบรักซ้อน หรือใบไม้ธรรมดาก็ได้ 3 ใบ ซ้อนกันพันรอบมักกะลีผลพันด้วยสายสิญจน์อีก 9 รอบ พร้อมด้วยโฉลมด้วยน้ำอบไทยหลังจากนั้นเริ่มทำพิธี
ตั้งนะโม 3 จบ ว่าคาถา อะเราขะยม โมปะเตี๊ยะ ออแอน น๊อบปอเตี๊ยะ กะไมแอนเตานา เดย ตึ๊ก ขย่อน พลึ้อ ปลุกเสก 9 จบ/วัน แล้วอธิฐานให้เขากลับมา
ทั้งนี้ "มักกะลีผล" หรือ "นารีผล" ซึ่งในตำนานกล่าวไว้ว่าเกิดขึ้นอยู่กลางป่าลึกหิมพานต์ โดยมักกะลีผลจะเป็นหญิงสาว รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงามปานเทพธิดา ว่ากันว่าบางครั้งฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า หรือเหล่าเทวดา นักสิทธิ์วิทยาธร หรือคนธรรพ์ทั้งหลาย ผู้ยังไม่หมดกามราคะมักจะเหาะไปเก็บมักกะลีผลมาเชยชม เพื่อทำการฝึกจิตของตนให้เข้มแข็ง หากสมาธิไม่แข็งพอตบะก็จะแตก จนต้องเริ่มบำเพ็ญเพียรฝึกจิตใหม่อีกครั้ง ว่ากันว่ามักกะลีผลนี้อยู่ได้เพียง 7 วัน จนในที่สุดจะแห้งเหี่ยวจนสลายไป
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 15 กรกฎาคม 2554
ไทยถอยร่นรั้งอันดับ 6 หลังเปิดเสรีอาเซียน + 3
ไทยถอยร่นรั้งอันดับ 6 หลังเปิดเสรีอาเซียน+3
ม.หอการค้าไทย เผยเปิดเสรีอาเซียน+3 ช่วยจีนโกยส่งออกดันจีดีพีเพิ่มมากสุด ส่วนไทยถอยร่นอันดับ 6 แพ้อินโดนีเซีย-มาเลเซีย...
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษาศักยภาพการแข่งขันสินค้าไทยภายในใต้ข้อตกลงเขตการค้า เสรีอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ว่า หากข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้จีดีพีของกลุ่มอาเซียน+3 เพิ่มขึ้นอีก 174,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 9 ล้านล้านเหรียญฯ โดยจีนจะมีมูลค่าจีดีพีเพิ่มมากสุด หรือเพิ่มขึ้น 48,700 ล้านเหรียญฯ รองลงมาคือญี่ปุ่นเพิ่ม 38,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเกาหลีใต้ 20,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไทยมีมูลค่าจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็นอับดับ 6 หรือมีมูลค่า 14,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ในส่วนของมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากการลดภาษีสินค้าภายใต้กรอบเอฟทีเอนั้น พบว่าจะมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ 140,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของประเทศบวกสาม คือจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สัดส่วน 80% ส่วนอาเซียนสัดส่วน 20% โดยจีนมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มมากสุด 47,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไทยอยู่อับดับ 7 มีมูลค่า 4,212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ สำหรับสินค้าที่คาดว่าไทยจะแข่งขันได้ยากกว่าประเทศคู่แข่ง หรือมีส่วนแบ่งตลาดลดลงจากการเปิดเสรีคือ ข้าว สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เหล็ก และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 28 มิถุนายน 2554
ม.หอการค้าไทย เผยเปิดเสรีอาเซียน+3 ช่วยจีนโกยส่งออกดันจีดีพีเพิ่มมากสุด ส่วนไทยถอยร่นอันดับ 6 แพ้อินโดนีเซีย-มาเลเซีย...
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษาศักยภาพการแข่งขันสินค้าไทยภายในใต้ข้อตกลงเขตการค้า เสรีอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ว่า หากข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้จีดีพีของกลุ่มอาเซียน+3 เพิ่มขึ้นอีก 174,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 9 ล้านล้านเหรียญฯ โดยจีนจะมีมูลค่าจีดีพีเพิ่มมากสุด หรือเพิ่มขึ้น 48,700 ล้านเหรียญฯ รองลงมาคือญี่ปุ่นเพิ่ม 38,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเกาหลีใต้ 20,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไทยมีมูลค่าจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็นอับดับ 6 หรือมีมูลค่า 14,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ในส่วนของมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากการลดภาษีสินค้าภายใต้กรอบเอฟทีเอนั้น พบว่าจะมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ 140,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของประเทศบวกสาม คือจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สัดส่วน 80% ส่วนอาเซียนสัดส่วน 20% โดยจีนมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มมากสุด 47,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไทยอยู่อับดับ 7 มีมูลค่า 4,212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ สำหรับสินค้าที่คาดว่าไทยจะแข่งขันได้ยากกว่าประเทศคู่แข่ง หรือมีส่วนแบ่งตลาดลดลงจากการเปิดเสรีคือ ข้าว สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เหล็ก และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 28 มิถุนายน 2554
ยอดหนี้สาธารณะ เดือนพ.ค. 54 อยู่ที่ร้อยละ 41.08 ( 4.27 ล้านล้านบาท )
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (ผอ.สบน.) เผยยอดหนี้สาธารณะ เดือน พ.ค.54 อยู่ที่ร้อยละ 41.08 ของจีดีพี แบ่งเป็นหนี้รัฐบาลกู้โดยตรง 3.016 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.073 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 158,207 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 30,582 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2554 นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 พ.ค.54 มีจำนวน 4.27 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.08% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3.016 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.073 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 158,207 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 30,582 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 30,865 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เพิ่มขึ้น 21,668 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้น 9,653.12 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) เพิ่มขึ้น 17.20 ล้านบาท ในขณะที่หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 473.35 ล้านบาท ส่วนหน่วยงานอื่นของรัฐนั้นไม่มีหนี้คงค้าง
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2554
------------------
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เผยยอดหนี้สาธารณะคงค้างเดือน เม.ย. มี 4.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.03 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ...
วันที่ 20 มิ.ย. 2554 นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 เม.ย.54 มี 4.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.03 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2.9 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.06 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 158,190 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 31,055 ล้านบาท เมื่อเปรียบ เทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 2,284.86 ล้านบาท
โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เพิ่มขึ้น 6,225 ล้านบาท ในขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 1,789.35 ล้านบาท 2,149.89 ล้านบาท และ 1.09 ล้านบาท ตามลำดับ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 20 มิถุนายน 2554
เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2554 นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 พ.ค.54 มีจำนวน 4.27 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.08% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3.016 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.073 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 158,207 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 30,582 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 30,865 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เพิ่มขึ้น 21,668 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้น 9,653.12 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) เพิ่มขึ้น 17.20 ล้านบาท ในขณะที่หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 473.35 ล้านบาท ส่วนหน่วยงานอื่นของรัฐนั้นไม่มีหนี้คงค้าง
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2554
------------------
ยอดหนี้สาธารณะคงค้างเม.ย.พุ่ง4.24ล้านล้านบาท
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เผยยอดหนี้สาธารณะคงค้างเดือน เม.ย. มี 4.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.03 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ...
วันที่ 20 มิ.ย. 2554 นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 เม.ย.54 มี 4.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.03 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2.9 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.06 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 158,190 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 31,055 ล้านบาท เมื่อเปรียบ เทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 2,284.86 ล้านบาท
โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เพิ่มขึ้น 6,225 ล้านบาท ในขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 1,789.35 ล้านบาท 2,149.89 ล้านบาท และ 1.09 ล้านบาท ตามลำดับ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 20 มิถุนายน 2554
Monday, July 18, 2011
กินเต่าทะเล: ชาวภูเก็ตดับแล้ว 3 ราย
พบผู้บริโภคเต่าทะเลอันดามัน เสียชีวิตแล้ว 3 รายที่ภูเก็ต นักวิชาการเตือนสารพิษร้ายแรง ไม่สามารถทำลายด้วยความร้อน และผ่านทางน้ำนม ส่งผลต่อทารกที่ดูดนมแม่ได้ แนะควรติดป้ายเตือนสัตว์มีพิษ-ห้ามรับประทาน...
เมื่อเวลา 09.00 น. 19 ก.ค.2554 น.ส.กุสุมา สว่างพันธุ์ นักวิชาการชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต กล่าวภายหลังนำเสนอผลการศึกษา เรื่อง "การรับประทานเต่ากระ กับการป่วย-เสียชีวิตในชุมชนไทยใหม่ จ.ภูเก็ต ปี 53" ในการสัมมนาระบาดวิทยาแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ภายใต้เรื่อง "ระบาดวิทยากับความท้าทายจากภัยสุขภาพโลกที่อุบัติใหม่" ว่า งานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ ภายหลังมีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานเต่าทะเลแล้ว 3 ราย และมีผู้ป่วยอีกหลายรายในหมู่บ้านไทยใหม่ราไวย์ หรือชาวเล ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต จากนั้นได้สอบสวนโรค เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและศึกษาลักษณะการเกิดการกระจายของโรค โดยการรวบรวมข้อมูลประวัติการรักษาของผู้ป่วยจากโรงพยาบาลและสถานีอนามัย สัมภาษณ์ข้อมูลการรับประทานเต่ากระในชุมชนไทยใหม่ 861 ราย ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าข่ายเป็นผู้ป่วย จะต้องมีอย่างน้อย 2 อาการคือ แสบปาก ชาบริเวณปาก เจ็บคอ กลืนลำบาก คลื่นไส้อาเจียน แน่นหน้าอก ซึม หมดสติ ระหว่างวันที่ 4-25 มิ.ย.53 จนทราบผลที่แน่ชัดทั้งประวัติการกินและผลทางห้องปฏิบัติการ
"จากผลการศึกษาพบผู้ป่วยจำนวน 48 ราย เสียชีวิต 3 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 6.25 ผู้ป่วยอายุระหว่าง 12-80 ปี ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาที่สถานพยาบาลจำนวน 25 ราย อาการที่พบมากที่สุดคือ เจ็บคอ ร้อยละ 87.50 แสบปาก ร้อยละ 72.92 ปากชา ร้อยละ 33.33 และคลื่นไส้-อาเจียน ร้อยละ 31.25 ระยะฟักตัว 2 ชั่วโมงถึง 11 วัน ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดมีผู้ป่วย 46 ราย มีประวัติรับประทานอาหารที่ปรุงจากเต่ากระตัวเดียวกัน ระหว่างวันที่ 4-5 มิ.ย.อีก 2 ราย ดูดนมแม่ที่รับประทานเต่ากระ อัตราป่วยในกลุ่มผู้ที่รับประทานเต่ากระเท่ากับร้อยละ 48.48" น.ส.กุสุมา กล่าว
นอกจากนี้ น.ส.กุสุมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ เต่ากระเป็นสัตว์ทะเลที่มีสารพิษเรียกว่า Chelonitoxism ซึ่งไม่สามารถทำลายด้วยความร้อน สามารถผ่านทางน้ำนม ส่งผลต่อทารกที่ดูดนมแม่ได้ ดังนั้น หนทางที่สามารถเตือนภัยแก่ประชาชน ควรจะมีการประชาสัมพันธ์ห้ามจับสัตว์ทะเลอนุรักษ์ และติดป้ายแจ้งเตือนเต่าทะเลมีพิษ-ห้ามนำมารับประทาน อาจทำให้เสียชีวิตได้ เพื่อให้ประชาชนได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดจากสัตว์ทะเล
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2554
กินเต่า กินตะพาบ มันบาปมาก ต้องระวัง เพราะมันตายอย่างทรมาน ต้องเอามีดกรีดท้อง เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่แนะนำให้ลอง ..
เมื่อเวลา 09.00 น. 19 ก.ค.2554 น.ส.กุสุมา สว่างพันธุ์ นักวิชาการชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต กล่าวภายหลังนำเสนอผลการศึกษา เรื่อง "การรับประทานเต่ากระ กับการป่วย-เสียชีวิตในชุมชนไทยใหม่ จ.ภูเก็ต ปี 53" ในการสัมมนาระบาดวิทยาแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ภายใต้เรื่อง "ระบาดวิทยากับความท้าทายจากภัยสุขภาพโลกที่อุบัติใหม่" ว่า งานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ ภายหลังมีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานเต่าทะเลแล้ว 3 ราย และมีผู้ป่วยอีกหลายรายในหมู่บ้านไทยใหม่ราไวย์ หรือชาวเล ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต จากนั้นได้สอบสวนโรค เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและศึกษาลักษณะการเกิดการกระจายของโรค โดยการรวบรวมข้อมูลประวัติการรักษาของผู้ป่วยจากโรงพยาบาลและสถานีอนามัย สัมภาษณ์ข้อมูลการรับประทานเต่ากระในชุมชนไทยใหม่ 861 ราย ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าข่ายเป็นผู้ป่วย จะต้องมีอย่างน้อย 2 อาการคือ แสบปาก ชาบริเวณปาก เจ็บคอ กลืนลำบาก คลื่นไส้อาเจียน แน่นหน้าอก ซึม หมดสติ ระหว่างวันที่ 4-25 มิ.ย.53 จนทราบผลที่แน่ชัดทั้งประวัติการกินและผลทางห้องปฏิบัติการ
"จากผลการศึกษาพบผู้ป่วยจำนวน 48 ราย เสียชีวิต 3 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 6.25 ผู้ป่วยอายุระหว่าง 12-80 ปี ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาที่สถานพยาบาลจำนวน 25 ราย อาการที่พบมากที่สุดคือ เจ็บคอ ร้อยละ 87.50 แสบปาก ร้อยละ 72.92 ปากชา ร้อยละ 33.33 และคลื่นไส้-อาเจียน ร้อยละ 31.25 ระยะฟักตัว 2 ชั่วโมงถึง 11 วัน ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดมีผู้ป่วย 46 ราย มีประวัติรับประทานอาหารที่ปรุงจากเต่ากระตัวเดียวกัน ระหว่างวันที่ 4-5 มิ.ย.อีก 2 ราย ดูดนมแม่ที่รับประทานเต่ากระ อัตราป่วยในกลุ่มผู้ที่รับประทานเต่ากระเท่ากับร้อยละ 48.48" น.ส.กุสุมา กล่าว
นอกจากนี้ น.ส.กุสุมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ เต่ากระเป็นสัตว์ทะเลที่มีสารพิษเรียกว่า Chelonitoxism ซึ่งไม่สามารถทำลายด้วยความร้อน สามารถผ่านทางน้ำนม ส่งผลต่อทารกที่ดูดนมแม่ได้ ดังนั้น หนทางที่สามารถเตือนภัยแก่ประชาชน ควรจะมีการประชาสัมพันธ์ห้ามจับสัตว์ทะเลอนุรักษ์ และติดป้ายแจ้งเตือนเต่าทะเลมีพิษ-ห้ามนำมารับประทาน อาจทำให้เสียชีวิตได้ เพื่อให้ประชาชนได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดจากสัตว์ทะเล
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2554
กินเต่า กินตะพาบ มันบาปมาก ต้องระวัง เพราะมันตายอย่างทรมาน ต้องเอามีดกรีดท้อง เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่แนะนำให้ลอง ..
ห่วงเด็กไทยไอคิวต่ำ หนุนคลอดกม.คุมตลาด'นมผง'
อนุกรรมการมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ ระบุ เด็กไทยได้รับนมแม่น้อย ใช้นมผงก่อนวัยอันควร ทำให้เด็กมีระดับไอคิวน้อยขณะที่ผู้ผลิตบิดเบืองข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาร อาหาร เตรียมทำคู่มือให้ความรู้พ่อแม่ยุคใหม่ พร้อมหนุน ร่าง พ.ร.บ.การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กฯ...
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด ในฐานะอนุกรรมการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในงานประชุมวิชาการนมแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า นมแม่เป็นเรื่องสำคัญต่อสุขภาพของเด็กไทย บางคนเข้าใจผิดว่านมผงมีประโยชน์มากกว่านมแม่ ทำให้คุณแม่หลงเชื่อแล้วหยุดให้นมแม่ก่อนเวลาอันควร ทั้งที่จริงแล้วการให้นมแม่แก่ทารกทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เด็กจะแข็งแรงและลดการเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคท้องเสีย โรคทางเดินหายใจ และโรคภูมิแพ้ เป็นต้น
อนุกรรมการมูลนิธิศูนย์นม แม่แห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า ถ้าหากเด็กกินนมผงมากเกินไปจะส่งผลเสีย ทำให้เด็กมีระดับไอคิวน้อยกว่าเด็กที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 2-11 จุด มีสติปัญญาด้อยกว่าที่ควรจะเป็น ป่วยบ่อย เนื่องจากเด็กไม่ได้รับภูมิคุ้มกัน ดังนั้น เด็กควรได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนและต่อเนื่องด้วยนมแม่พร้อมอาหารตามวัยที่เหมาะสมจนอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก เพื่อช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่เต็มที่และสุขภาพแข็งแรง
"โลกการค้า เสรีทำให้คนมีความรู้เรื่องนมผงน้อย จึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตนมผงที่ให้ข้อมูลบิดเบือนความจริงแก่ผู้บริโภค และคุณแม่ก็เชื่อว่านมผงมีประโยชน์ มีสารอาหารมากกว่านมแม่จึงหยุดให้นมแม่หันมาให้ลูกกินนมผง ซึ่งแท้จริงแล้วนมผงไม่สามารถทดแทนนมแม่ได้ ขณะที่กลยุทธ์การตลาดที่เน้นโฆษณาเพิ่มสารอาหารในนมผงเพื่อจะสื่อสารให้ผู้ บริโภคเชื่อว่าสารอาหารนั้น เป็นชนิดเดียวกับที่มีในนมแม่และมีคุณสมบัติเทียบเท่านมแม่ ซึ่งในความเป็นจริงยังต้องศึกษาต่อไปว่ามีคุณสมบัติเทียบเคียงได้จริงหรือ ไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่รู้ และจะรู้สึกคล้อยตามการโฆษณา เพราะมั่นใจว่าลูกจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์" พญ.สุธีรา กล่าว
ด้าน พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช เลขาธิการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ กรมอนามัย มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาติ ประเทศไทย(UNICEF) และ แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. ... ให้เป็นกฎหมาย ในขั้นแรกจะจัดทำหนังสือคู่มือถามตอบประเด็นสำคัญที่ว่า ทำไมประเทศไทยจะต้องมีการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อสื่อสารให้คนไทยทราบถึงการพิทักษ์สิทธิเด็กที่ควรได้รับการคุ้มครองให้ ได้รับอาหารที่เหมาะสม นั่นคือ นมแม่
ที่มา: ห่วงเด็กไทยไอคิวต่ำ หนุนคลอดกม.คุมตลาด'นมผง' ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2554
บริษัทนมผงเด็กห่วงแต่ธุรกิจ ห่วงแต่รายได้ของตัวเอง เห็นแก่ตัวมาก ๆ สงสารประเทศไทยจริง ๆ
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด ในฐานะอนุกรรมการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในงานประชุมวิชาการนมแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า นมแม่เป็นเรื่องสำคัญต่อสุขภาพของเด็กไทย บางคนเข้าใจผิดว่านมผงมีประโยชน์มากกว่านมแม่ ทำให้คุณแม่หลงเชื่อแล้วหยุดให้นมแม่ก่อนเวลาอันควร ทั้งที่จริงแล้วการให้นมแม่แก่ทารกทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เด็กจะแข็งแรงและลดการเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคท้องเสีย โรคทางเดินหายใจ และโรคภูมิแพ้ เป็นต้น
อนุกรรมการมูลนิธิศูนย์นม แม่แห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า ถ้าหากเด็กกินนมผงมากเกินไปจะส่งผลเสีย ทำให้เด็กมีระดับไอคิวน้อยกว่าเด็กที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 2-11 จุด มีสติปัญญาด้อยกว่าที่ควรจะเป็น ป่วยบ่อย เนื่องจากเด็กไม่ได้รับภูมิคุ้มกัน ดังนั้น เด็กควรได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนและต่อเนื่องด้วยนมแม่พร้อมอาหารตามวัยที่เหมาะสมจนอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก เพื่อช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่เต็มที่และสุขภาพแข็งแรง
"โลกการค้า เสรีทำให้คนมีความรู้เรื่องนมผงน้อย จึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตนมผงที่ให้ข้อมูลบิดเบือนความจริงแก่ผู้บริโภค และคุณแม่ก็เชื่อว่านมผงมีประโยชน์ มีสารอาหารมากกว่านมแม่จึงหยุดให้นมแม่หันมาให้ลูกกินนมผง ซึ่งแท้จริงแล้วนมผงไม่สามารถทดแทนนมแม่ได้ ขณะที่กลยุทธ์การตลาดที่เน้นโฆษณาเพิ่มสารอาหารในนมผงเพื่อจะสื่อสารให้ผู้ บริโภคเชื่อว่าสารอาหารนั้น เป็นชนิดเดียวกับที่มีในนมแม่และมีคุณสมบัติเทียบเท่านมแม่ ซึ่งในความเป็นจริงยังต้องศึกษาต่อไปว่ามีคุณสมบัติเทียบเคียงได้จริงหรือ ไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่รู้ และจะรู้สึกคล้อยตามการโฆษณา เพราะมั่นใจว่าลูกจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์" พญ.สุธีรา กล่าว
ด้าน พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช เลขาธิการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ กรมอนามัย มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาติ ประเทศไทย(UNICEF) และ แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. ... ให้เป็นกฎหมาย ในขั้นแรกจะจัดทำหนังสือคู่มือถามตอบประเด็นสำคัญที่ว่า ทำไมประเทศไทยจะต้องมีการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อสื่อสารให้คนไทยทราบถึงการพิทักษ์สิทธิเด็กที่ควรได้รับการคุ้มครองให้ ได้รับอาหารที่เหมาะสม นั่นคือ นมแม่
ที่มา: ห่วงเด็กไทยไอคิวต่ำ หนุนคลอดกม.คุมตลาด'นมผง' ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2554
บริษัทนมผงเด็กห่วงแต่ธุรกิจ ห่วงแต่รายได้ของตัวเอง เห็นแก่ตัวมาก ๆ สงสารประเทศไทยจริง ๆ
Friday, July 15, 2011
โจร โจรผู้ร้าย: robber, bandit, pirate, thief, highwayman, burglar
โจร(บาลี/สันสกฤต) หมายถึง ผู้ร้ายที่ลักขโมย หรือปล้นสะดมทรัพย์สินผู้อื่น ผู้ที่จัดเป็น"โจรผู้ร้าย" จึงหมายถึง ผู้ที่ลักขโมย ปล้น หรือล่อลวงเอาทรัพย์สินของผู้อื่น คำอื่น ๆ ที่ให้ความหมายคล้ายคลึงแบบเดียวกัน เช่น โจร, ผู้ร้าย, ขโมย, มิจฉาชีพ
ในภาษาอังกฤษก็มีหลายคำที่ให้ความหมายในเชิงโจร หรือการขโมยปล้นชิง การจี้ การยักยอก เช่น robber, bandit, pirate, thief, highwayman, burglar, buccaneer, corsair, plunderer, safecracker, dacoit, brigand, hijack, pillager, {looter}, {spoiler}, {despoiler},{raider}, {freebooter
plunderer (n) คนปล้น คนขโมย คนยักยอก
pirate (n,v) โดยทั่้วไป และทางกฎหมายนิติศาสตร์ จะหมายถึง โจรสลัด หรือ การปล้นสะดม หรือ เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น มาทำให้(พวกเขา)เชื่อว่าพวกเราเป็นกลุ่มโจรสลัด Let's make (them) believe that we are pirates. เขาใช้ซอฟแวร์ละเมิดลิขสิืทธิ์ เพราะว่าเขาไม่มีปัญญาจ่ายเงินซื้อของแท้ ราคาของแท้มันแพงเกินไปสำหรับคนจน ๆ อย่างพวกเขา He uses the pirate software because he cannot afford the official copy, it's just too expensive for poor people like him.
Dr.SoS
ในภาษาอังกฤษก็มีหลายคำที่ให้ความหมายในเชิงโจร หรือการขโมยปล้นชิง การจี้ การยักยอก เช่น robber, bandit, pirate, thief, highwayman, burglar, buccaneer, corsair, plunderer, safecracker, dacoit, brigand, hijack, pillager, {looter}, {spoiler}, {despoiler},{raider}, {freebooter
plunderer (n) คนปล้น คนขโมย คนยักยอก
pirate (n,v) โดยทั่้วไป และทางกฎหมายนิติศาสตร์ จะหมายถึง โจรสลัด หรือ การปล้นสะดม หรือ เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น มาทำให้(พวกเขา)เชื่อว่าพวกเราเป็นกลุ่มโจรสลัด Let's make (them) believe that we are pirates. เขาใช้ซอฟแวร์ละเมิดลิขสิืทธิ์ เพราะว่าเขาไม่มีปัญญาจ่ายเงินซื้อของแท้ ราคาของแท้มันแพงเกินไปสำหรับคนจน ๆ อย่างพวกเขา He uses the pirate software because he cannot afford the official copy, it's just too expensive for poor people like him.
Dr.SoS
Wednesday, July 13, 2011
รายชื่อวารสารวิชาการไทยที่ สกว. ยอมรับ / เกณฑ์การเทียบผลงานทางวิชาการ สกอ.
รองศาสตราจารย์ ดร. จรัญ บุญกาญจน์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ สรุปเกณฑ์การเทียบผลงานทางวิชาการที่กำหนดโดย สกอ. และรายชื่อวารสารวิชาการที่ สกว.ยอมรับ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาส่งบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชการหรือ เพื่อเผยแพร่ผลงานในที่ประชุมวิชาการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ
2. รายชื่อวารสารวิชาการที่ สกว. ยอมรับ มี 3 ประเภท ดังนี้
2.1. วารสารวิชาการนานาชาติที่อยู่ในฐานข้อมูลของ
Institute for Scientific Information (ISI)
2.2. วาราสารวิชาการนานาชาติที่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลของ ISI แต่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการของ สกอ. มี 12 วารสาร ประกอบด้วย2.1 Science Asia: Journal of the Science Society of Thailand2.2 Songklanakarin Journal of Science and Technology2.3 ECTI Transactions on Electrical Eng, Electronics, and Communication
(ECTI-EEC)2.4 Thai Journal of Agricultural Science2.5 Asian Pacific Journal of Allergy and Immunology 2.6 The Southeast Asian Journal of Tropical Medicine and
Public Health
2.7 Journal of the Medical Association of Thailand
2.8 Thai Forest Bulletin
2.9 Siriraj Hopital Gazette
2.10 Chulalongkorn Medical Journal
2.11 Asian Journal of Energy and Environment
2.12 Journal of Environmental Research
1. เกณฑ์การเทียบผลงานทางวิชาการ โดย คณะอนุกรรมการส่งเสริม และพัฒนางานวิจัย ของ สกอ.
วารสาร | 1. วารสารวิชาการนานาชาติที่ไม่อยู่ในฐาน ISI แต่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการ กำหนด ( 12 วารสาร ตามที่ระบุในข้อ 2.2) 4/3 บทความ | = | วารสารวิชาการนานาชาติที่มีอยู่ในฐานข้อมูลของ Institute for Scientific Information (ISI) 1 บทความ |
2. วารสารวิชาการระดับชาติที่ผ่านเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการ (39 วารสาร ตามที่ระบุในข้อ 2.3) 2 บทความ | |||
3. วารสารวิชาการระดับชาติไม่อยู่ในเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการ แต่เป็นวารสารระดับสถาบันขึ้นไป 4 บทความ | |||
Proceeding | International conference ที่มี proceeding ตีพิมพ์ผลงานฉบับสมบูรณ์ (Full papers) 3 บทความ | = | วารสารวิชาการนานาชาติที่มีอยู่ในฐานข้อมูลของ Institute for Scientific Information (ISI) 1 บทความ |
National conference ที่ร่วมกันจัดโดยสมาคม/สถบันนิติบุคคลมากกว่า 1 แห่งขึ้นไป ที่มี proceeding ตีพิมพ์ผลงานฉบับสมบูรณ์ (Full papers) 6 บทความ |
2. รายชื่อวารสารวิชาการที่ สกว. ยอมรับ มี 3 ประเภท ดังนี้
2.1. วารสารวิชาการนานาชาติที่อยู่ในฐานข้อมูลของ
Institute for Scientific Information (ISI)
2.2. วาราสารวิชาการนานาชาติที่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลของ ISI แต่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการของ สกอ. มี 12 วารสาร ประกอบด้วย2.1 Science Asia: Journal of the Science Society of Thailand2.2 Songklanakarin Journal of Science and Technology2.3 ECTI Transactions on Electrical Eng, Electronics, and Communication
(ECTI-EEC)2.4 Thai Journal of Agricultural Science2.5 Asian Pacific Journal of Allergy and Immunology 2.6 The Southeast Asian Journal of Tropical Medicine and
Public Health
2.7 Journal of the Medical Association of Thailand
2.8 Thai Forest Bulletin
2.9 Siriraj Hopital Gazette
2.10 Chulalongkorn Medical Journal
2.11 Asian Journal of Energy and Environment
2.12 Journal of Environmental Research
2.3. วารสารระดับชาติที่ผ่านเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการของ สกอ.
มี 39 วารสาร ประกอบด้วย
3.1 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University
3.2 Chulalongkorn University Dental Journal3.3 Thai Journal of Veterinary Medicine3.4 Thai Journal of Nursing Research3.5 Ramathibodi Nursing Journal3.6 Vajira Medical Journal3.7 The Thai Journal of Nursing Council3.8 KKU Research Journal
3.9 Thai Journal of Hematology and Transfusion Medicine3.10 The Journal of the Royal Institute of Thailand3.11 Agricultural Science Journal3.12 Ladkrabang Engineering Journal3.13 Journal of the Nephrology Society of Thailand3.14 ASEAN Journal of Science and Technology for Development3.15 Journal of the National Research Council of Thailand3.16 Kasetsart Journal: Natural Science3.17 KMUTT Research and Development Journal3.18 International Journal of the Engineering Institute of Thailand
3.19 Suranaree Journal of Science & Technology
3.20 Thammasat International Journal of Science & Technology
3.21 R&D Journal of the Engineering Institute of Thailand
3.22 Internal Medicine Journal of Thailand
3.23 วารสารพบาบาลศาสตร์
3.24 วารสารธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.25 วารสารโลหะ วัสดุ และแร่
3.26 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย
3.27 วารสารสัตวแพทยศาสตร์ มข.
3.28 ศรีนครินทรวิโรฒเภสัชสาร
3.29 KMITL Science Journal
3.30 วารสารพยาบาล
3.31 Chiang Mai Journal of Science
3.32 วารสารเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
3.33 วารสารวิจัยวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.34 วารสารวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์
3.35 วารสารพยาบาลทหารบก
3.36 วารสารวิชาการเกษตร
3.37 ศรีนครินทร์เวชสาร
3.38 วารสารวิทยาศาสตร์ มข.
3.39 วารสารมหาวิทยาลัยนเรศวร
มี 39 วารสาร ประกอบด้วย
3.1 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University
3.2 Chulalongkorn University Dental Journal3.3 Thai Journal of Veterinary Medicine3.4 Thai Journal of Nursing Research3.5 Ramathibodi Nursing Journal3.6 Vajira Medical Journal3.7 The Thai Journal of Nursing Council3.8 KKU Research Journal
3.9 Thai Journal of Hematology and Transfusion Medicine3.10 The Journal of the Royal Institute of Thailand3.11 Agricultural Science Journal3.12 Ladkrabang Engineering Journal3.13 Journal of the Nephrology Society of Thailand3.14 ASEAN Journal of Science and Technology for Development3.15 Journal of the National Research Council of Thailand3.16 Kasetsart Journal: Natural Science3.17 KMUTT Research and Development Journal3.18 International Journal of the Engineering Institute of Thailand
3.19 Suranaree Journal of Science & Technology
3.20 Thammasat International Journal of Science & Technology
3.21 R&D Journal of the Engineering Institute of Thailand
3.22 Internal Medicine Journal of Thailand
3.23 วารสารพบาบาลศาสตร์
3.24 วารสารธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.25 วารสารโลหะ วัสดุ และแร่
3.26 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย
3.27 วารสารสัตวแพทยศาสตร์ มข.
3.28 ศรีนครินทรวิโรฒเภสัชสาร
3.29 KMITL Science Journal
3.30 วารสารพยาบาล
3.31 Chiang Mai Journal of Science
3.32 วารสารเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
3.33 วารสารวิจัยวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.34 วารสารวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์
3.35 วารสารพยาบาลทหารบก
3.36 วารสารวิชาการเกษตร
3.37 ศรีนครินทร์เวชสาร
3.38 วารสารวิทยาศาสตร์ มข.
3.39 วารสารมหาวิทยาลัยนเรศวร
เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์และนักวิจัยที่กำลังมองหาวารสารที่มีคุณภาพเพื่อตีพิมพ์บทความทางวิชาการนะครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)