Tuesday, July 5, 2011

จงใจแสดงทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ

คำกล่าวที่ชาวบ้านพูดกันว่า เลือกตั้งทีต้องสะสมกระสุนไว้ยิงนั้น...เป็นความจริง ตราบใดที่การเมืองต้องแข่งขันกันจัดตั้งรัฐบาลเมื่อเลือกตั้งจบก็เหมือนเสร็จสงคราม เมื่อรบชนะก็แบ่งสมบัติ เลือกตั้งเสร็จก็ปูนบำเหน็จด้วยตำแหน่งในรัฐบาล ดังนั้นก่อนการเลือกตั้งก็
ต้องเตรียมตัว พรรคการเมืองจะออกรบก็ต้องเตรียมกระสุนดินดำคือเตรียมเงิน เตรียมทุนให้ลูกพรรคไปใช้หาเสียง เพื่อให้ชนะเลือกตั้งพรรคที่มีความพร้อมก็จะได้ ส.ส.จำนวนมาก พรรคที่ไม่พร้อม ส.ส.ที่ได้ก็น้อย ดังนั้นการแต่งตั้งรัฐมนตรีของพรรคที่ได้เป็นรัฐบาลจึงคำนวณจาก ส.ส.ที่ได้รับเลือกเข้ามา พรรคการเมืองจึงต้องหาเงินทุนให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้งในแต่ละครั้ง.....

จาก “ถ้ารู้ธรรมะพระพุทธเจ้าอาตมาคงไม่ติดคุก” หนังสือเบสท์เซลเลอร์โดยพระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม (สุขธนะ) อดีตรัฐมนตรีที่ขอแนะนำให้อ่านครับ ชาวบ้านผู้เสียภาษีอย่างเราจะได้ทราบว่าวงจรอุบาทว์ทางการเมืองยังดำรงอยู่ในวงการเมืองแบบไทย ๆ และสามารถอนุรักษ์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นตลอดมา

ต้องเตรียมกระสุนดินดำแล้วเป็นยังไง

จากหนังสือฉบับเดียวกันพระรักเกียรติท่านเล่าว่า แล้วอยู่ ๆ วันหนึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.)ก็ส่งบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาอาตมาถึง ๓ คดี คือ

๑. แจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินเป็นเท็จ

๒. ชี้มูลกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ เรียกรับทรัพย์สินจากบริษัทยา

๓. ชี้มูลฐานร่ำรวยผิดปกติ มีมติให้ส่งสำนักงานอัยการเพื่อฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขอให้ยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ๒๓๓,๘๘๐,๐๐๐ บาท

ในที่สุดก็อย่างที่เป็นข่าวท่านถูกศาลพิพากษาลงโทษและรับโทษเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ท่านพบความสุขอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา ถึงมีหนังสือดี ๆ มาให้อ่านกัน

จากกรณีของพระรักเกียรติดังกล่าว ท่านเขียนไว้ในหน้า ๔๙ ว่านักการเมืองที่ขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วรอดยาก

ที่รอดยากพระท่านว่าเป็นเพราะระบบกฎหมายซึ่งใช้สำนวนคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นหลักในการพิจารณาคดี สำนวนการไต่สวนเหมือนกับตั้งธงว่าผู้ถูกกล่าวหาผิดหรือเชื่อว่ามีความผิดแล้ว แต่ก็ให้โอกาสจำเลยมาแก้ต่าง

แต่บางทีที่รอดยากเพราะฟังคำชี้แจงแล้วปล่อยให้รอด มันทำใจลำบาก

ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งในฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งต้องยื่นเมื่อเข้ารับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี

ปรากฏว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าท่านผู้อำนวยการไม่แสดงรายการเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากของตนและของภรรยารวม ๑๕ บัญชีกับรายการที่ดินที่ภรรยาเป็นเจ้าของร่วมอีกหนึ่งแปลง คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่าเป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ

ท่านผู้อำนวยการในฐานะผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเป็นประเด็นให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ วินิจฉัยดังนี้

หนึ่ง ผู้ร้อง (คณะกรรมการ ป.ป.ช.)ไม่อาจนำประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๒มาอ้างเพื่อให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังแก่ผู้คัดค้าน

ประเด็นนี้ ท่านว่าประกาศดังกล่าวก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งนั้น ๆ ได้ทราบถึงสิทธิหน้าที่นี้โดยทั่วกันเสียก่อน เมื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงจึงเป็นตำแหน่งที่ต้องเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย และการดำเนินการดังกล่าวก็เป็นการกำหนดศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การกำหนดให้การกระทำใดเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด แม้จะได้ความว่าเพิ่งมีการดำเนินการหลังจากที่ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งแล้ว ก็ ไม่มีข้อพิจารณาว่าเป็นการดำเนินการที่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

สอง ผู้คัดค้านอ้างว่ามีความสับสนในการยื่นบัญชีเนื่องจากเป็นบุตรชายคนโตต้องดูแลธุรกิจและรายรับรายจ่ายของมารดาและส่งเงินให้แก่น้อง ๆ ที่ศึกษาต่างประเทศและมีงานที่ต้องเปิดบัญชีหลายบัญชีมีเงินเดินเข้าออกเป็นจำนวนมากเพราะขายที่ดินมรดกเป็นเงินร้อยกว่าล้านบาท

ท่านว่า ผู้คัดค้านสำเร็จการศึกษาระดับนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต เคยเป็นทนายความ และยังเคยเป็นอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมทราบเรื่องการยื่นบัญชีดังกล่าวเป็นอย่างดี แต่กลับไม่แจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารถึง ๑๕ บัญชี ข้ออ้างว่าสับสนและไม่จงใจจึงไม่สมเหตุผล

ส่วนที่ดินซึ่งอ้างว่ามารดาของภรรยาใส่ชื่อภรรยาโดยไม่ทราบเรื่อง เห็นว่า การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มี กระบวนการขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดและผ่านการตรวจสอบหลักฐานของเจ้าพนักงาน เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้นำเจ้าพนักงานที่ดำเนินการมาเบิกความสนับสนุนจึงเป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย

จึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า ผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ผู้ร้องทราบ

คดีนี้ศาลวินิจฉัยว่าขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๕ (๔) แต่ พิพากษาห้ามมิให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลาห้าปี (คำพิพากษาที่ อม. ๒ / ๒๕๕๓)


พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์

www.naipisit.com praepim @ yahoo.com

: กฎหมายข้างตัว จงใจแสดงทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 04 มิถุนายน 2554

No comments:

Post a Comment