Sunday, July 3, 2011

นักธุรกิจฝากการบ้านรัฐบาลใหม่เร่งแก้ปมเศรษฐกิจ...หยุดแจกเงิน

ถึงท่านนายกรัฐมนตรีใหม่ 2554 หลังการเลือกตั้ง (วันอาทิตย์ ที่ 03 กรกฎาคม 2554) นักธุรกิจฝากการบ้านรัฐบาลใหม่เร่งแก้ปมเศรษฐกิจ...หยุดแจกเงิน

ชัดเจนกันไปแล้วสำหรับพรรคการเมืองที่จะเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ชุดใหม่ 2554 หลังจากประชาชนคนไทยได้ร่วมใจกันออกมาใช้สิทธิใช้เสียง เพื่อให้ได้นักการเมือง พรรคการเมือง ที่ชื่นชอบ ด้วยความหวังว่า คนเหล่านี้จะเข้ามาดำเนินนโยบายให้คนไทยทั้งประเทศให้หลุดพ้นจากความยากจน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดั่งคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้

ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศถึง 4 ชุด แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยกลับไม่ได้ดีขึ้น หลายคนยังต้องเผชิญความยากลำบาก หลายคนยังต้องตกงาน หลายคนยังไม่มีอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เพราะปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ที่สำคัญยังต้องเผชิญกับปัญหาแรงกระแทกที่เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกซบเซาเข้า ให้อีก

จนมาถึงวันนี้…วันที่คนไทยทั้งประเทศได้มอบความไว้วางใจให้กับกลุ่มคนเหล่า นี้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศให้เดินหน้าต่อไปให้ได้อย่างมั่นคง โดยไม่หลุดไปจากแผนที่โลกท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงสารพัด ’เดลินิวส์“ จึงขอประมวลความเห็นจากบรรดานักธุรกิจ ที่แม้ว่าไม่มีใครคาดหวังไว้สูงกับรัฐบาลชุดใหม่ แต่ก็เรียกร้องให้ผลักดันเศรษฐกิจในภาพรวมมากขึ้น

เร่งวางยุทธศาสตร์พัฒนาชาติ


’ดุสิต นนทะนาคร“ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า รัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งสร้างบรรยากาศการค้าการลงทุนให้เกิดขึ้น เพราะ 3-4 ปีที่ผ่านมา การทะเลาะเบาะแว้ง ทำให้เอกชนทำงานได้ลำบาก โดยในช่วงสั้นรัฐบาลก็ไม่ต้องทำอะไรเพื่อเอกชนมาก ขอแค่อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องสร้างปัญหาก็พอแล้วเพราะภาคเอกชนต่างปรับตัวแข่งขันกับต่างชาติได้ อยู่แล้ว แต่ทางที่ดีรัฐบาลใหม่ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาว เพื่อพัฒนาประเทศให้ชัดเจน ทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เพื่อกำหนดทิศทางให้ภาคเอกชนรู้ว่า ในอีก 10 ปี 20 ปี ประเทศไทยจะเดินต่อไปอย่างไร อุตสาหกรรมไหนจะก้าวไปบ้าง เพราะขณะนี้นโยบายของแต่ละพรรค เน้นแต่แผนระยะสั้นทำให้เอกชนมองลำบาก โดยเฉพาะการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในอีก 4 ปีข้างหน้า รัฐต้องเตรียมตัวให้มาก และทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้นจะสู้ชาติอื่นไม่ได้ ที่สำคัญยังต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น และการลดความเหลื่อมล้ำรายได้ให้แก่ชาวนา ภาคแรงงาน เพราะหากไม่รีบทำเชื่อว่าใน 10-20 ปี ประเทศไทยต้องมลายสูญสิ้นจากการคอร์รัปชั่นแน่

เตือนเศรษฐกิจจะพัง

เช่นเดียวกับ ’พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล“ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เพราะถ้าเศรษฐกิจดีภาคอุตสาหกรรมมีการขยายการลงทุนไปยังภูมิภาค ประชาชนก็มีงานทำเพิ่มขึ้น หากไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นก็จะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพราะที่ผ่านมาเอกชน เป็นฝ่ายขับเคลื่อนอยู่แล้ว ที่สำคัญหากรัฐบาลทำนโยบายประชานิยมมากเกินไป เศรษฐกิจไทยจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หากรัฐบาลไม่สามารถบริหารเงินที่จะได้มากเพิ่มขึ้น ดังนั้นรัฐบาลใหม่จึงต้องเก่ง ขณะเดียวกันต้องมียุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในระยะกลางและยาว เพราะที่ผ่านมารัฐบาลมักจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า

เดินหน้าเมกะโปรเจคท์

ขณะที่ ’ไพบูลย์ นลินทรางกูร“ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย มองว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจคท์) เป็นอันดับแรก เพื่อช่วยเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมทั้งระบบโลจิสติกส์ เพราะหากไม่ดำเนินการไทยจะแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้ นอกจากนี้ ต้องดูแลวินัยการคลัง หลังพรรคการเมืองใช้โครงการประชานิยม ซึ่งอาจกระทบกับการก่อหนี้ของรัฐบาล ในส่วนของตลาดทุนนั้น ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ผลักดันแผนพัฒนาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ ควรจะมีการดูแลภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน เพื่อให้ตลาดทุนไทยเข้มแข็ง ขณะเดียวกันต้องสร้างบุคลากรตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนสร้างแบรนด์ของตลาดทุนไทย

ยึดเศรษฐกิจพอเพียงแก้ปัญหา

ด้าน ’โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์“ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ ที่ต้องการให้รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งต้อง เข้มงวดมากขึ้น ต้องทำให้เป็นรูปธรรมให้ชัดเจน เพราะที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญน้อยมากโดยไม่มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาให้ ความสำคัญใด ๆ หากเดินหน้าตรงจุดนี้ เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ ขณะเดียวกันยังเป็นห่วงการใช้นโยบายประชานิยมเพราะหากมีมากเกินไปก็ต้องใช้ งบประมาณมาก จนอาจส่งผลต่อการออมของประเทศ และทำให้การลงทุนของภาครัฐลดลง ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลใหม่ต้องมีเสถียรภาพและทำให้การเมืองมีเสถียรภาพคือ ไม่มีการตีกัน หรือทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ แต่ก็เชื่อว่าภาคเอกชนเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการเมืองก็ตาม

สร้างความสงบพัฒนาประเทศ

แม้แต่ ’บัณฑูร ล่ำซำ“ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ที่เห็นว่า โจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องเข้ามาแก้ไข คือ การสร้างความสงบในการอยู่ร่วมกันของคนในประเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้ง ด้านการศึกษา ด้านคมนาคม-โทรคมนาคม รวมไปถึงระบบกฎหมาย เพราะหากกฎหมายไม่ชัดเจน จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาชีวิตประชาชน ซึ่งทั้ง 3 ส่วนเป็นสิ่งที่รัฐบาลใดก็ตามที่จะมาบริหารประเทศ ควรพัฒนาให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด แต่ที่ผ่านมามีเรื่องวุ่นวายเป็นรายวัน รัฐบาลไม่มีเวลามาแก้ปัญหาระยะยาวได้ แต่ถ้าทำให้ทั้ง 3 ส่วนนี้ได้รับการดูแล จะทำให้การลงทุนของภาคเอกชนต่อเนื่อง และเศรษฐกิจดีตามไปด้วย

แก้ปัญหาปากท้องชาวบ้าน

เหมือน ๆ กับ ’กงกฤช หิรัญกิจ“ ประธานกรรมการโรงแรมสีมาธานี จังหวัดนครราชสีมา และประธานฝ่ายนโยบาย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ สทท. ที่ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาความยากจน ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เพราะที่ผ่านมารัฐบาลเน้นแต่เรื่องการทำให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ แต่ไม่ได้ลงไปแก้ปัญหาความยากจน ทั้งที่นับวันปัญหานี้จะรุนแรงขึ้นทุกที และในฐานะภาคเอกชนก็อยากให้ภาครัฐสร้างโอกาสด้านการลงทุนทั้งในและต่าง ประเทศให้กับเอกชนไทย เพราะบางครั้งมีคนอยากลงทุนมาก แต่กฎหมายบางข้อยังไม่เอื้ออำนวย อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ หรืออาจเพิ่มสิ่งจูงใจ เพื่อกระตุ้นการลงทุนด้วย รวมทั้งต้องการให้รัฐบาลสร้างโอกาสให้คนไทยใช้ประโยชน์จากการเข้าเป็น ประชาคมอาเซียนหรือเออีซี ให้มากขึ้น โดยรัฐบาลต้องคิดให้มาก ๆ ที่สำคัญอยากให้พรรคที่เป็นแกนนำหลักในการจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาดูแลภาคท่อง เที่ยวด้วยตัวเอง หากเห็นว่าภาคท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างที่เคยพูดกัน

ดูแลเศรษฐกิจระยะสั้น-ยาว

ด้าน ’เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์“ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริษัท อาร์เอส  เจ้าของค่ายเพลง อาร์เอส ฝากการบ้านถึงรัฐบาลชุดใหม่ว่า อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและวางแผนสร้างความแข็งแกร่งให้กับ เศรษฐกิจไทยเป็นสิ่งแรก โดยต้องวางแผนแก้ปัญหาเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่วนข้อต่อมา ต้องสร้างความปรองดองและความสามัคคีให้เกิดขึ้นแก่คนทั้งประเทศ รวมทั้งต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาสังคมโดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด เพราะในปัจจุบันสถานการณ์ยาเสพติดในประเทศกลับมาทวีความรุนแรงมากขึ้น และส่งผลกระทบโดยตรงกับเยาวชนของชาติ และการพัฒนาประเทศในอนาคต จึงอยากให้รัฐบาลดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

เดินหน้านโยบายปรองดอง

ไม่แตกต่างกันกับความคิดของ ’วุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ“ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิตี้วอร์ค ผู้บริหารสวนสนุกและสวนน้ำ สวนสยาม ที่สะท้อนถึงรัฐบาลชุดใหม่ ให้เร่งเดินหน้านโยบายสร้างความปรองดอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เอกชนต้องการที่สุด เพราะที่ผ่านมาธุรกิจไทยมีปัญหามากจนไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้ ได้แต่หาวิธีบริหารจัดการระยะสั้น และตั้งรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น รวมทั้งต้องให้รัฐบาลสนับสนุนการทำธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาด ย่อมมากขึ้น โดยเฉพาะด้านแหล่งเงินทุน เพราะเวลาที่เหตุการณ์บ้านเมืองมีปัญหา ผู้ประกอบการกลุ่มนี้อาจมีสายป่านทางธุรกิจไม่ยาวพอ ทำให้ธุรกิจมีปัญหาได้ ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใหญ่ไม่น่าเป็นห่วงอยู่แล้ว ขอเพียงเหตุการณ์บ้านเมืองสงบ ก็ดำเนินธุรกิจได้ดี

แม้ว่าเสียงสะท้อนจากนักธุรกิจเหล่านี้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคนในชาติ แต่ก็เป็นเสียงเตือนถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผลประโยชน์ของคนส่วนรวมในชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง!!!

ที่มา: ทีมเศรษฐกิจ เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ ที่ 04 กรกฎาคม 2554

No comments:

Post a Comment