เรื่องปัสสาวะ–ขอโทษนะครับ ขอพูดแบบชาวบ้านว่าเรื่องฉี่นี้สำคัญมากสำหรับชีวิตของมนุษย์และสัตว์
สำคัญมากสำหรับสุขภาพ ถ้าฉี่ไม่ได้ หรือฉี่ไม่ออก เราก็ต้องตาย
แม้ แต่เรื่องการเมือง เข้าใจว่าคนไทยเกือบทั้งชาติคงได้ทั้งดูและฟังข่าวเมื่อเย็นวันที่ 28 มีนาคมนะครับ กำลังเจรจาเรื่องสำคัญระดับประวัติศาสตร์ของชาติทีเดียวละ บรรยากาศกำลังดี พูดจารู้สึกเข้าใจกันได้ ดูแล้วก็น่ารักทั้งคู่
อยู่ๆเกิดปวดฉี่ขึ้นมา ต้องหยุดพักการเจรจาเพื่อไปฉี่ พอทำธุระเสร็จแล้วก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสพูดจากันต่อไปได้
เห็นไหมครับว่าเรื่องฉี่สำคัญอย่างไร ผมเฝ้าดูเหตุการณ์วันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
เลยตัดสินใจว่าจะเขียนเรื่องสำคัญ คือ เรื่องฉี่อาทิตย์นี้
จะ ขอพูดแต่ถึงเรื่องฉี่ในด้านสุขภาพเท่านั้น เรื่องฉี่การเมืองผมจะไม่พูดถึง เพราะยังไม่รู้ผลว่าจะเป็นอย่างไร เห็นว่าจะเจรจากันต่อวันรุ่งขึ้น (วันที่ 29)
ขอให้ลงเอยกันด้วยดีเถิด ในฐานะประชาชนคนเดินถนนคนหนึ่ง ผมทุกข์กายทุกข์ใจแสนสาหัสกับเหตุการณ์ของบ้านเมืองแบบนี้
ขอพูดถึงเรื่องฉี่กับสุขภาพต่อไป
ที่ว่าฉี่ไม่ออกแล้วจะต้องตายนั้น ความจริงเราจะไม่ตายทันทีหรอกครับ
แต่เราจะเริ่มอ่อนแอและเจ็บปวดไปทีละน้อยๆ ในขณะเดียวกัน แต่ละส่วนหรือแต่ละระบบของร่างกายก็จะค่อยๆเริ่มตายไป
- จากฉี่ไม่ออก จะมีอาการพิการไปถึงไต
- จากไตก็จะติดต่อไปถึงระบบหายใจ (ปอด หลอดลม หัวใจ)
- จากระบบหายใจก็เข้าถึงหัวใจเลย
- จากหัวใจก็ถึงสมอง
ถึงตอนนี้ก็แปลว่าจบแล้ว จบจริงๆครับ ทั้งกายทั้งใจไปพร้อมกันหมดแล้วจะเหลืออะไร
มาลองพิจารณาดูกันก่อนไหมครับ ว่าการฉี่ ตามปกตินั้นคืออย่างไร
น้ำและของเหลวทุกอย่างนั้นเมื่อเรากลืนเข้าไปแล้ว จะต้องผ่านไต
ไต จะต้องทำหน้าที่กลั่นกรองของสกปรก ไตจะขับออกมาเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ ของดีๆที่ยังเป็นประโยชน์สำหรับร่างกายก็จะเก็บกลับย้อนไปไว้เลี้ยงร่างกาย ต่อไป
ต่อไปนี้เป็นวิธีสังเกตว่าฉี่ของเราเป็นปกติหรือไม่
อัตราปกติของปริมาณปัสสาวะนั้น เราคิดเป็นปริมาณต่อวัน
วันหนึ่งๆเราฉี่อย่างต่ำ 800 มิลลิลิตรหรือ ML ต่อวัน และอย่างมากที่สุด 2,000 มล.หรือ ML
ถ้า 2,000 มล. ก็เท่ากับน้ำ 2 ลิตร
ถ้า 800 มล. ก็เกือบจะเท่ากับน้ำหนึ่งลิตร (คิดง่ายๆ 500 มล.ก็เท่ากับครึ่งลิตร + ด้วย 300 มล. ก็เกือบเท่าหนึ่งลิตรนั่นแหละครับ)
เคยคุยกันอย่างนี้ก็มีเพื่อนๆถามว่าปริมาณที่ว่ามานี้ เกี่ยวข้องกับคนตัวใหญ่หรือตัวเล็กหรือเปล่า?
ขอ ตอบว่าเรื่องขนาดของคนคงไม่เกี่ยวมากนัก เว้นแต่ว่าบางคนมีขนาดผิดปกติ เช่น เตี้ยเป็นคนแคระ สูงไม่ถึงหนึ่งเมตร หรือสูงผิดปกติตั้งสองเมตรครึ่งขึ้นไป อย่างนี้ปริมาณปัสสาวะก็คงมากน้อยต่างกว่าคนปกติมาก
แต่จริงๆแล้วปริมาณของปัสสาวะจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
1. สำคัญที่สุดก็คือ คุณเป็นคนกินน้ำตามปกติธรรมดาหรือเปล่า ถ้าคุณกินน้ำแบบชีวจิต คือ วันละประมาณ 4-6 แก้ว ปัสสาวะของคุณก็จะออกมาประมาณ 800 มล. หรือเกือบหนึ่งลิตรต่อวัน หรือถ้าคุณเป็นคนเล่นกีฬาหนักๆ อย่างผมที่เวลาผมออกกำลังรำตะบองหรือเล่นเทนนิส เหงื่อผมจะออกขนาดบิดเสื้อ เหงื่อจะออกมาเป็นน้ำไหลโจ๊กทีเดียว
ถ้าอย่างนั้นผมก็จะดื่มน้ำเยอะๆ บางครั้งทั้งร้อนและเหงื่อออกมาก จะดื่มรวดเดียว ประมาณหนึ่งลิตร แล้วจึงต่อด้วยทยอยดื่ม ห่างกันประมาณ 10 นาที 20 นาที เรื่อยๆจนดื่มได้ประมาณลิตรครึ่งถึง 2 ลิตร
โปรดสังเกตนะครับว่า ผมใช้คำว่า ทยอยดื่ม นั่นก็คือเมื่อร้อนมากและเหงื่อออกมาก เราก็จะกระหายน้ำมาก บางครั้งกระหายน้ำจนรู้สึกตาลายเหมือนจะเป็นลม
เมื่อ เป็นอย่างนี้เราก็มักจะดื่มน้ำมาก ดื่มเอาๆเหมือนคนที่หลงไปอยู่กลางทะเลทราย และความที่คุณเชื่อว่าเหงื่อออกมากหมดแรง คุณก็เลยคิดว่าต้องดื่มน้ำทดแทนให้มันท่วมตัวคุณไปหมด
ถ้าเป็นอย่างนั้น ร่างกายคุณรับไม่ได้ กระเพาะของคุณก็รับไม่ไหว เมื่อรับไม่ไหว คุณก็จะอาเจียนออกมา แล้วคุณก็จะเป็นลม
เพราะ ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนชอบออกกำลังหรือเล่นกีฬาหนักๆบ่อยๆ ก็ให้รู้จักวิธีดื่มน้ำทดแทนให้ถูกต้อง วิธีดีที่สุด ก่อนออกกำลังกายหนัก ดื่มน้ำเสียก่อนสัก 2-3 อึก
ต่อจากนั้น เมื่อหลังออกกำลังกายสักครึ่งชั่วโมง เหงื่อออกมากแล้ว ดื่มน้ำครั้งละครึ่งแก้ว จนรู้สึกว่าร่างกายได้น้ำพอเพียงแล้ว ก็ไปอาบน้ำอาบท่า อาบน้ำเย็นแล้วถูเนื้อถูตัวให้สะอาด จะสบายเหมือนขึ้นสวรรค์
อยากจะให้ระวังอะไรอีกอย่างหนึ่งครับ เรื่องข่าวลือ พักหนึ่งเมื่อหลายปีที่ผ่านมา อยู่ๆก็มีตำรามาจากไหนก็ไม่ทราบ ให้ดื่มน้ำรักษาโรค
เขา จะบอกว่าตื่นเช้าขึ้นมาให้ดื่มน้ำก่อน 5 แก้ว และต่อจากนั้นให้ดื่มน้ำให้ได้ตลอดวันต้องให้ได้น้ำถึง 3 ลิตร บางคนเขาบอกว่าป่วยมาก ต้องรักษาอาการป่วยด้วยการดื่มน้ำถึงวันละ 5 ลิตร
ผมสนใจจึงพยายามค้นคว้าตำราต่างๆถึงเรื่องการกินน้ำแบบนี้ ไม่เคยเห็นมีในตำราการแพทย์แบบไหนเลยครับ
และของจริงที่ได้พบมาก็คือ มีผู้เชื่อเรื่องนี้ และปฏิบัติแบบนี้ ป่วยหนักและถึงแก่ชีวิตมาแล้วก็มี
อาการ ป่วยที่ผู้ปฏิบัติตามสูตรกินน้ำมากเกินปกตินี้ เรียกว่า POLYURIA เป็นอาการป่วยจากการที่กินน้ำมากเกินวันละ 2,000 ML หรือ 2 ลิตร (กินเป็นประจำ)
อาการของ POLYURIA จะเกี่ยวข้องมากสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือกำลังมีอาการเกือบจะเป็นเบาหวานอยู่แล้ว อาการหนักซึ่งจะเป็นต่อไปก็คือ ไตวาย ตัวบวม หายใจไม่ออก ระบบไตและหัวใจล้มเหลว
นอกจากนั้น อาการของ POLYURIA ยังเกี่ยวข้องไปถึงผู้ป่วยไทรอยด์ และผู้ที่ป่วยด้วยการขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติ เนื่องมาจากระบบฮอร์โมนโดยเฉพาะฮอร์โมน ALDOSTERONE ผิดปกติร่วมกัน
แถม ยังมีอาการผิดปกติที่ระบบเลือด พลาสมาในเลือดจะมีปริมาณสูงอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้โรคไตและโรคหัวใจมีอาการหนักจนบางครั้งแก้ไขไม่ทัน
เพราะ ฉะนั้น ข่าวลือเกี่ยวกับยาวิเศษและการรักษาตัวแบบแปลกๆนั้น ฟังหูไว้หูและกรุณาพิจารณาดูให้ดีถึงเหตุผลด้วยนะครับว่าควรเชื่อได้หรือไม่
ยังไม่จบครับ ยังมีอีกหลายตอนสำคัญๆทั้งนั้น อย่าลืมตัดเก็บไว้ด้วย
*****
สาทิส อินทรกำแหง
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 4 เมษายน 2553
Sunday, May 9, 2010
ฉี่–ใครว่าไม่สำคัญ (2)
เรากำลังคุยกันถึงเรื่องปัสสาวะหรือ "ฉี่" กันอยู่นะครับ
เมื่อ อาทิตย์ที่แล้วได้ขึ้นต้นข้อที่ 1 ไว้ว่าให้ลองสังเกตดูว่า "ปริมาณของฉี่มีมากน้อยเพียงไร" และในข้อที่ 1 อาทิตย์ที่แล้ว ผมลืมอธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อเรากินน้ำ-กระหายน้ำ กินน้ำมากเกินไป ก็จะเกิดอาการฉี่มากเกินปกติด้วย
การฉี่มากเกินปกตินั้นให้สังเกตว่า เกินประมาณ วันละ 2 ลิตร ก็เรียกว่าปริมาณของฉี่เริ่มผิดปกติแล้ว
และอาการฉี่เกินจะเกี่ยวกับการป่วยเป็นเบาหวานด้วย
ไม่ใช่เกี่ยวกับเบาหวานอย่างเดียว แต่ให้สังเกตด้วยว่า อาจจะเกี่ยวไปถึงเรื่องของไตวาย ตัวบวม ขาบวม และเกี่ยวไปถึงโรคหัวใจด้วยก็ได้
เมื่อพูดถึงฉี่เกินก็ต้องคุยต่อถึงเรื่องตรงกันข้าม คือ ฉี่น้อยด้วย
อาการ ของฉี่น้อยเรียกกัน 2 อย่าง อย่างหนึ่ง คือ OLIGURIA (อ่านว่าโอลิกูเรีย) หมายความ ว่าวันหนึ่งๆฉี่ของคุณน้อยกว่า 500 มล. หรือน้อยกว่าครึ่งลิตร
อีก อย่างหนึ่งจะเรียกว่า ฉี่น้อยมาก ก็พอจะได้ นั่นก็คือ ANURIA (อ่านว่าเอินยูเรีย) ฉี่น้อยมากแบบนี้อันตรายมากๆเลยนะครับ นั่นก็คือ วันหนึ่งอย่างเก่งก็ฉี่ได้ไม่เกิน 125 มล.
125 มล. นี่ก็เห็นจะประมาณ 8-1/2 ช้อนโต๊ะ ขนาดนี้ต้องถือว่าอันตรายมากนะครับ ถ้าเป็นอย่างนี้คือฉี่น้อยหรือฉี่ไม่ออกติดต่อกันถึงสัก 2 อาทิตย์มีหวังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เรื่องอันตรายของการฉี่น้อยหรือฉี่มากเกินเหตุนี้จะได้อธิบายให้ละเอียดกว่านี้เป็นเรื่องๆไป
ตอนนี้ขอคุยกันแต่เพียงว่าให้สังเกตดูเป็นข้อๆก่อนว่าปัสสาวะหรือฉี่ผิดปกติจะมีลักษณะอย่างไรบ้างเสียก่อน
ข้อสังเกตข้อต่อไปเกี่ยวกับฉี่ก็คือ ข้อ 2 ให้สังเกตว่าสีของฉี่นั้นเป็นอย่างไร
ปกตินั้นสีของปัสสาวะน่าจะเป็นสีใสอมเหลืองนิดๆ
ถ้าใสจนเกือบเหมือนน้ำบริสุทธิ์ก็ลองดูตัวเองว่า ตอนนั้นคุณดื่มเบียร์หรือเหล้าเติมโซดามากไปหรือเปล่า
แต่ถ้าเป็นสีแดงหรือสีแดงอ่อนๆ ก็คงจะเป็นเพราะ ฉี่ของคุณมีเลือดออกมาปน อันนี้ไม่ค่อยดีนะครับ
หรือถ้าเหลืองน้อยๆจนกระทั่งเหลืองจัด ก็ให้ สังเกตว่าคุณกินวิตามินอย่างเป็นเม็ดเข้าไปมากหรือเปล่า โดยเฉพาะวิตามินกลุ่ม B
เหลืองแบบวิตามินออกมาปนอย่างนี้ไม่มีอันตรายครับ แต่ก็ควรตรวจตราดูให้ดีว่าคุณกินมากเกินอัตราที่แพทย์เขาแนะนำไว้หรือเปล่า
กินวิตามินมากเกินไป นอกจากจะฉี่สีไม่สวยแล้ว ยังเปลืองสตางค์ค่าวิตามินแพงๆอีกด้วย
เรื่องสีของฉี่นี้ความจริงมีเรื่องยาวๆจะต้องคุยกันเยอะเลยนะครับ โดยเฉพาะคุณบางคนที่ชอบกินยาหรือแพทย์สั่งยาประจำตัวให้คุณ
คุณ ต้องสังเกตเอาเองว่ายาประจำตัวของคุณนั้นจะมีสีแปลกๆหรือบางทีไม่ต้องสังเกต ก็ได้ เพราะแพทย์ ของคุณเขาน่าจะบอกคุณว่า เมื่อกินยานั้นๆเข้าไปแล้ว ฉี่ของคุณอาจจะมีสีผิดปกติอย่างไรบ้างเป็นต้นว่า
ยากลุ่มโคลโปรมาซีน ปัสสาวะจะมีสีคล้ำ
กลุ่มโคลโซมาโซน จะมีสีส้มหรือม่วงแดง
ฟลูโอเรสซิน (ฉีดเข้าทางเส้นเลือด) ฉี่จะมีสีเหลืองหรือส้ม
เมทไทลีน บลู จะมีสีน้ำเงินเขียว ฯลฯ
ฉะนั้น ถ้าปัสสาวะของคุณมีสีแปลกๆอย่าเพิ่งตกใจ ให้นึกย้อนไปว่าคุณกินยาอะไรหรือฉีดยาอะไรเข้าไปบ้าง
นอกไปจากนั้น คุณหมอประจำตัวของคุณท่านก็คงจะบอกล่วงหน้านะครับ ฉะนั้นไม่ควรตกใจจนเกินเหตุ
เมื่อพูดถึงปริมาณ พูดถึงสีของปัสสาวะแล้ว ก็ต้องพูดถึงกลิ่นด้วย อันนี้อยู่ในข้อ 3 นะครับ
กลิ่นของปัสสาวะในข้อ 3 นี้ก็ยังเกี่ยวกับยาเสียเป็นส่วนมากอีกนั่นแหละ
กลิ่นของยาในปัสสาวะนั้นตัวซึ่งมักจะได้กลิ่นกันแทบทุกคน ที่นำหน้ามาก่อนก็คือ ยาประเภทปฏิชีวนะหรือ ANTIBIOTICS
ยาประเภทปฏิชีวนะนี้ในปัจจุบันมีหลายร้อยตัว บริษัทยาท่านคิดยาตัวใหม่ๆในกลุ่มนี้ออกมาเรื่อยๆ ยายิ่งแรง กลิ่นฉี่ก็แรงตามไปด้วยครับ
ที่ มีกลิ่นแรงอีกอย่างหนึ่งก็คือยา ประเภทที่เรียกว่า PARALDEHYDE (อ่านว่าพาราดิไฮด์) ซึ่งเป็นยาประเภทกล่อมประสาทและช่วยให้นอนหลับด้วย
นอก ไปจากนั้น ก็คือพวกวิตามิน โดยเฉพาะกลุ่ม วิตามิน B ในข้อสองที่กล่าวมาแล้ว วิตามินกลุ่มนี้นอกจากจะทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองแล้ว บางครั้งยังทำให้มีกลิ่นแรงด้วย
นี่คือพวกยาซึ่งจะทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นแปลกๆ แต่มีอีกกลิ่นหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ กลิ่นยา ซึ่งผมอยากจะขอเตือนเพื่อนๆชาวชีวจิตเป็นพิเศษ
กลิ่น นั้นก็คือ กลิ่น ฉี่ซึ่งออกมาเป็นกลิ่นหวานๆ เหมือนกลิ่นละมุด สุก และโดยเฉพาะที่กลิ่น จะเหมือนมากที่สุด ก็คือ เหมือนกลิ่นน้ำยาล้างเล็บ
กลิ่น นี้คุณผู้หญิงคงจะรู้จักดีนะครับ (เอ หรือคุณผู้ชายบางคนก็อาจจะรู้จักดีบ้างก็ได้ เห็นว่าคุณผู้ชายหลายคนก็ทาเล็บเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ?)
กลิ่นเหมือน ละมุดสุกหรือกลิ่นน้ำยาล้างเล็บอย่างนี้ไม่ค่อยดีครับ เพราะคงหมายความว่าโรคเบาหวานอาจจะหนักแล้ว หรือบางทีอาจจะเกี่ยวกับโรคไตหลายอย่างก็เป็นได้ รายละเอียดจะว่ากันต่อทีหลังครับ
นอกไปจากนั้นก็ยังมีลักษณะอาการผิดปกติของตัวปัสสาวะอีกหลายอย่าง ถือว่าเป็นข้อ 4 ซึ่งอยู่ในข้อเบ็ดเตล็ดก็แล้วกันนะครับ
ข้อ 4 เบ็ดเตล็ดนี้ ต้องอาศัยการตรวจปัสสาวะจากห้องแล็บ จะเป็นห้องแล็บโดยตรงหรือห้องแล็บของโรงพยาบาลก็ได้
การตรวจแบบนี้เขาจะตรวจในหลักใหญ่ๆ คือ
- ยาซึ่งเปลี่ยนความถ่วงจำเพาะ (SPACIFIC GRAVITY)
- ยาซึ่งลด PH (ความเป็นกรดและด่าง)
- ยาซึ่งเพิ่ม PH (ความเป็นกรดและด่าง)
- ยาซึ่งทำให้โปรตีนออกมาในปัสสาวะ
- ยาซึ่งทำให้น้ำตาลในปัสสาวะเปลี่ยน
- ยาซึ่งทำให้ปริมาณเลือดขาวเพิ่ม
- ยาซึ่งทำให้ระบบเลือดผิดปกติ
- ยาซึ่งทำให้ปัสสาวะเกิดเป็นพิษ
- ยาซึ่งทำให้ปัสสาวะมีเกล็ดเล็กๆ
ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ผมรวบรวมเรื่องย่อยๆเกี่ยวกับปัสสาวะมาแบ่งเป็นข้อๆเพื่อให้เพื่อนๆชาวชีวจิตพอเข้าใจ
สิ่งสำคัญก็คืออยากให้คุณๆสนใจของในกายตัวคุณเอง (ซึ่งก็คือตัวคุณเองนั่นแหละ) ให้มากขึ้น
ถ้าคุณเห็นว่าอะไรผิดสังเกต คุณก็จะได้ ระวังตัว และง่ายๆก็คือ คอยสืบหาให้ได้ว่าต้นเหตุคืออะไร และน่าจะมาจากอะไร
อย่างนี้ก็จะทำให้คุณดูแลสุขภาพของคุณได้ดียิ่งขึ้น
ลองตรวจดูตัวเองตามข้อ 1-3 นะครับ ส่วนข้อ 4 นั้นคงจะต้องให้แพทย์ท่านสั่งให้ตรวจ
ต่อไปก็จะค่อยเข้าเรื่องและโรคต่างๆเกี่ยวกับฉี่แล้วนะครับ.
*******
สาทิส อินทรกำแหง
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 11 เมษายน 2553
เมื่อ อาทิตย์ที่แล้วได้ขึ้นต้นข้อที่ 1 ไว้ว่าให้ลองสังเกตดูว่า "ปริมาณของฉี่มีมากน้อยเพียงไร" และในข้อที่ 1 อาทิตย์ที่แล้ว ผมลืมอธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อเรากินน้ำ-กระหายน้ำ กินน้ำมากเกินไป ก็จะเกิดอาการฉี่มากเกินปกติด้วย
การฉี่มากเกินปกตินั้นให้สังเกตว่า เกินประมาณ วันละ 2 ลิตร ก็เรียกว่าปริมาณของฉี่เริ่มผิดปกติแล้ว
และอาการฉี่เกินจะเกี่ยวกับการป่วยเป็นเบาหวานด้วย
ไม่ใช่เกี่ยวกับเบาหวานอย่างเดียว แต่ให้สังเกตด้วยว่า อาจจะเกี่ยวไปถึงเรื่องของไตวาย ตัวบวม ขาบวม และเกี่ยวไปถึงโรคหัวใจด้วยก็ได้
เมื่อพูดถึงฉี่เกินก็ต้องคุยต่อถึงเรื่องตรงกันข้าม คือ ฉี่น้อยด้วย
อาการ ของฉี่น้อยเรียกกัน 2 อย่าง อย่างหนึ่ง คือ OLIGURIA (อ่านว่าโอลิกูเรีย) หมายความ ว่าวันหนึ่งๆฉี่ของคุณน้อยกว่า 500 มล. หรือน้อยกว่าครึ่งลิตร
อีก อย่างหนึ่งจะเรียกว่า ฉี่น้อยมาก ก็พอจะได้ นั่นก็คือ ANURIA (อ่านว่าเอินยูเรีย) ฉี่น้อยมากแบบนี้อันตรายมากๆเลยนะครับ นั่นก็คือ วันหนึ่งอย่างเก่งก็ฉี่ได้ไม่เกิน 125 มล.
125 มล. นี่ก็เห็นจะประมาณ 8-1/2 ช้อนโต๊ะ ขนาดนี้ต้องถือว่าอันตรายมากนะครับ ถ้าเป็นอย่างนี้คือฉี่น้อยหรือฉี่ไม่ออกติดต่อกันถึงสัก 2 อาทิตย์มีหวังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เรื่องอันตรายของการฉี่น้อยหรือฉี่มากเกินเหตุนี้จะได้อธิบายให้ละเอียดกว่านี้เป็นเรื่องๆไป
ตอนนี้ขอคุยกันแต่เพียงว่าให้สังเกตดูเป็นข้อๆก่อนว่าปัสสาวะหรือฉี่ผิดปกติจะมีลักษณะอย่างไรบ้างเสียก่อน
ข้อสังเกตข้อต่อไปเกี่ยวกับฉี่ก็คือ ข้อ 2 ให้สังเกตว่าสีของฉี่นั้นเป็นอย่างไร
ปกตินั้นสีของปัสสาวะน่าจะเป็นสีใสอมเหลืองนิดๆ
ถ้าใสจนเกือบเหมือนน้ำบริสุทธิ์ก็ลองดูตัวเองว่า ตอนนั้นคุณดื่มเบียร์หรือเหล้าเติมโซดามากไปหรือเปล่า
แต่ถ้าเป็นสีแดงหรือสีแดงอ่อนๆ ก็คงจะเป็นเพราะ ฉี่ของคุณมีเลือดออกมาปน อันนี้ไม่ค่อยดีนะครับ
หรือถ้าเหลืองน้อยๆจนกระทั่งเหลืองจัด ก็ให้ สังเกตว่าคุณกินวิตามินอย่างเป็นเม็ดเข้าไปมากหรือเปล่า โดยเฉพาะวิตามินกลุ่ม B
เหลืองแบบวิตามินออกมาปนอย่างนี้ไม่มีอันตรายครับ แต่ก็ควรตรวจตราดูให้ดีว่าคุณกินมากเกินอัตราที่แพทย์เขาแนะนำไว้หรือเปล่า
กินวิตามินมากเกินไป นอกจากจะฉี่สีไม่สวยแล้ว ยังเปลืองสตางค์ค่าวิตามินแพงๆอีกด้วย
เรื่องสีของฉี่นี้ความจริงมีเรื่องยาวๆจะต้องคุยกันเยอะเลยนะครับ โดยเฉพาะคุณบางคนที่ชอบกินยาหรือแพทย์สั่งยาประจำตัวให้คุณ
คุณ ต้องสังเกตเอาเองว่ายาประจำตัวของคุณนั้นจะมีสีแปลกๆหรือบางทีไม่ต้องสังเกต ก็ได้ เพราะแพทย์ ของคุณเขาน่าจะบอกคุณว่า เมื่อกินยานั้นๆเข้าไปแล้ว ฉี่ของคุณอาจจะมีสีผิดปกติอย่างไรบ้างเป็นต้นว่า
ยากลุ่มโคลโปรมาซีน ปัสสาวะจะมีสีคล้ำ
กลุ่มโคลโซมาโซน จะมีสีส้มหรือม่วงแดง
ฟลูโอเรสซิน (ฉีดเข้าทางเส้นเลือด) ฉี่จะมีสีเหลืองหรือส้ม
เมทไทลีน บลู จะมีสีน้ำเงินเขียว ฯลฯ
ฉะนั้น ถ้าปัสสาวะของคุณมีสีแปลกๆอย่าเพิ่งตกใจ ให้นึกย้อนไปว่าคุณกินยาอะไรหรือฉีดยาอะไรเข้าไปบ้าง
นอกไปจากนั้น คุณหมอประจำตัวของคุณท่านก็คงจะบอกล่วงหน้านะครับ ฉะนั้นไม่ควรตกใจจนเกินเหตุ
เมื่อพูดถึงปริมาณ พูดถึงสีของปัสสาวะแล้ว ก็ต้องพูดถึงกลิ่นด้วย อันนี้อยู่ในข้อ 3 นะครับ
กลิ่นของปัสสาวะในข้อ 3 นี้ก็ยังเกี่ยวกับยาเสียเป็นส่วนมากอีกนั่นแหละ
กลิ่นของยาในปัสสาวะนั้นตัวซึ่งมักจะได้กลิ่นกันแทบทุกคน ที่นำหน้ามาก่อนก็คือ ยาประเภทปฏิชีวนะหรือ ANTIBIOTICS
ยาประเภทปฏิชีวนะนี้ในปัจจุบันมีหลายร้อยตัว บริษัทยาท่านคิดยาตัวใหม่ๆในกลุ่มนี้ออกมาเรื่อยๆ ยายิ่งแรง กลิ่นฉี่ก็แรงตามไปด้วยครับ
ที่ มีกลิ่นแรงอีกอย่างหนึ่งก็คือยา ประเภทที่เรียกว่า PARALDEHYDE (อ่านว่าพาราดิไฮด์) ซึ่งเป็นยาประเภทกล่อมประสาทและช่วยให้นอนหลับด้วย
นอก ไปจากนั้น ก็คือพวกวิตามิน โดยเฉพาะกลุ่ม วิตามิน B ในข้อสองที่กล่าวมาแล้ว วิตามินกลุ่มนี้นอกจากจะทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองแล้ว บางครั้งยังทำให้มีกลิ่นแรงด้วย
นี่คือพวกยาซึ่งจะทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นแปลกๆ แต่มีอีกกลิ่นหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ กลิ่นยา ซึ่งผมอยากจะขอเตือนเพื่อนๆชาวชีวจิตเป็นพิเศษ
กลิ่น นั้นก็คือ กลิ่น ฉี่ซึ่งออกมาเป็นกลิ่นหวานๆ เหมือนกลิ่นละมุด สุก และโดยเฉพาะที่กลิ่น จะเหมือนมากที่สุด ก็คือ เหมือนกลิ่นน้ำยาล้างเล็บ
กลิ่น นี้คุณผู้หญิงคงจะรู้จักดีนะครับ (เอ หรือคุณผู้ชายบางคนก็อาจจะรู้จักดีบ้างก็ได้ เห็นว่าคุณผู้ชายหลายคนก็ทาเล็บเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ?)
กลิ่นเหมือน ละมุดสุกหรือกลิ่นน้ำยาล้างเล็บอย่างนี้ไม่ค่อยดีครับ เพราะคงหมายความว่าโรคเบาหวานอาจจะหนักแล้ว หรือบางทีอาจจะเกี่ยวกับโรคไตหลายอย่างก็เป็นได้ รายละเอียดจะว่ากันต่อทีหลังครับ
นอกไปจากนั้นก็ยังมีลักษณะอาการผิดปกติของตัวปัสสาวะอีกหลายอย่าง ถือว่าเป็นข้อ 4 ซึ่งอยู่ในข้อเบ็ดเตล็ดก็แล้วกันนะครับ
ข้อ 4 เบ็ดเตล็ดนี้ ต้องอาศัยการตรวจปัสสาวะจากห้องแล็บ จะเป็นห้องแล็บโดยตรงหรือห้องแล็บของโรงพยาบาลก็ได้
การตรวจแบบนี้เขาจะตรวจในหลักใหญ่ๆ คือ
- ยาซึ่งเปลี่ยนความถ่วงจำเพาะ (SPACIFIC GRAVITY)
- ยาซึ่งลด PH (ความเป็นกรดและด่าง)
- ยาซึ่งเพิ่ม PH (ความเป็นกรดและด่าง)
- ยาซึ่งทำให้โปรตีนออกมาในปัสสาวะ
- ยาซึ่งทำให้น้ำตาลในปัสสาวะเปลี่ยน
- ยาซึ่งทำให้ปริมาณเลือดขาวเพิ่ม
- ยาซึ่งทำให้ระบบเลือดผิดปกติ
- ยาซึ่งทำให้ปัสสาวะเกิดเป็นพิษ
- ยาซึ่งทำให้ปัสสาวะมีเกล็ดเล็กๆ
ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ผมรวบรวมเรื่องย่อยๆเกี่ยวกับปัสสาวะมาแบ่งเป็นข้อๆเพื่อให้เพื่อนๆชาวชีวจิตพอเข้าใจ
สิ่งสำคัญก็คืออยากให้คุณๆสนใจของในกายตัวคุณเอง (ซึ่งก็คือตัวคุณเองนั่นแหละ) ให้มากขึ้น
ถ้าคุณเห็นว่าอะไรผิดสังเกต คุณก็จะได้ ระวังตัว และง่ายๆก็คือ คอยสืบหาให้ได้ว่าต้นเหตุคืออะไร และน่าจะมาจากอะไร
อย่างนี้ก็จะทำให้คุณดูแลสุขภาพของคุณได้ดียิ่งขึ้น
ลองตรวจดูตัวเองตามข้อ 1-3 นะครับ ส่วนข้อ 4 นั้นคงจะต้องให้แพทย์ท่านสั่งให้ตรวจ
ต่อไปก็จะค่อยเข้าเรื่องและโรคต่างๆเกี่ยวกับฉี่แล้วนะครับ.
*******
สาทิส อินทรกำแหง
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 11 เมษายน 2553
ฉี่–ใครว่าไม่สำคัญ (3)
เรื่อง "ฉี่" เข้าตอนที่ 3 แล้วนะครับ อย่าลืมตัดเก็บรวมไว้
ขอย้ำ อีกครั้งหนึ่งครับ ว่าเรากำลังคุยกันแบบชาวบ้าน คือ พูดกันภาษาง่ายๆ และเป้าหมายสำคัญของบทความตอนนี้ อยู่ที่ว่า "อย่า เห็นว่าเรื่องฉี่เป็นเรื่องเล็ก ความจริงนั้นเราฉี่กันอยู่ทุกวันเป็นเรื่องธรรมดามาหลายสิบปีแล้ว" และถ้านับจำนวนครั้ง ลองคิดดูเล่นๆ นะครับ อย่างผมอายุ 85 นี่ฉี่มาแล้ว 196,150 เชียวนะครับ ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
เพราะเราฉี่กันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ธรรมดาๆนี่แหละ ถ้ามีอะไรผิดปกตินิดๆหน่อยๆ เราก็มักจะไม่ได้สังเกต
แต่ เรื่องฉี่ผิดปกตินิดหน่อยนี่แหละเป็นเรื่องสำคัญ สำคัญถึงขนาดว่าอาจจะเป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยเรื่องใหญ่ๆ ใหญ่ถึงขนาดต้องเสียชีวิตเลยก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นผมจึงได้พยายามเอา เรื่องฉี่ แบบต่างๆ (ไม่ใช่นั่งฉี่, นอนฉี่, ยืนฉี่, หรือนั่งยองๆฉี่นะครับ แต่เป็นแบบชนิดของฉี่) มารวบรวมไว้ และพูดคุยกันภาษาชาวบ้านแบบง่ายๆ เราก็จะได้ทั้งความรู้และคลายเครียดจากเรื่องซึ่งกำลังแสนเครียดขณะนี้ลง บ้าง ดีไหมครับ
วิธีดูความผิดปกติของฉี่ได้พูดมาแล้ว 2 ครั้งนะครับ คือให้ดูว่า
1. ปัสสาวะฉี่มากน้อยอย่างไร
2. ฉี่มีสีอะไร
3. ฉี่มีกลิ่นอย่างไร (ดมห่างๆก็ได้หรอก ครับ คงไม่ถึงกับต้องเอาปัสสาวะมาป้ายจมูก หรอก)
4. เบ็ดเตล็ด ซึ่งในข้อนี้มีข้อปลีกย่อยหลาย อย่าง และท่านที่ป่วยเกี่ยวกับเบาหวาน หรือเกี่ยวกับไตและระบบปัสสาวะ แพทย์ประจำตัวของท่านต้องเตือนอยู่แล้วว่า ยาที่รับประทานอยู่นั้น จะให้ผลเกี่ยวกับปริมาณ-กลิ่น-และสีอย่างไร
และวิธีที่ดีที่สุด คุณหมอท่านก็จะสั่งให้ตรวจทางห้องแล็บอยู่แล้วว่า ปัสสาวะของคุณจะเป็นกรดเป็นด่าง จะมีโปรตีนหรือสารอื่นๆอย่างไรติดออกมาด้วย
มี อีกอย่างหนึ่งครับ ซึ่งควรจะอยู่ในข้อ สังเกตข้อเบ็ดเตล็ด หรือข้อ 4 แต่ครั้งที่แล้วไม่มี โอกาสจะรวมไว้ เพราะ หน้ากระดาษหมดเสียก่อน
ข้อปลีกย่อยอีก อย่างหนึ่งซึ่งเคยถูกถามบ่อยๆก็คือ ปัสสาวะมี ฟองมาก
ฟอง ในที่นี้เป็นฟองเกือบจะเหมือนโซดาเวลาเปิดขวด พอเราฉี่ออกมาปัสสาวะที่อยู่ในโถจะเป็นฟองมากผิดปกติ และถ้าเราสังเกต โดยละเอียดผสมกับเรื่อง ปริมาณปัสสาวะ รวมทั้ง เรื่องสีและกลิ่นด้วยแล้วก็จะรู้สึกว่า เอ เราน่าจะมีอะไรผิดปกติเกี่ยวแก่ระบบขับถ่ายปัสสาวะของ เราเสียแล้ว
ฉะนั้นให้ลองสังเกตด้วยนะครับว่า ฉี่ ของเรามีฟองมากผิดปกติหรือเปล่า
เรื่อง ฉี่มีฟองนี้เป็นเรื่องต้องพูดกันยาว และถ้าจะเอาเหตุผลกันให้ได้ว่าเป็นเพราะอะไรและเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆอย่าง ไรบ้างแล้ว ต้องพูดกันยาว และต้องสาวกันไปถึง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวแก่ ความผิดปกติของอวัยวะต่างๆของระบบขับถ่าย (ปัสสาวะ ไต กระเพาะปัสสาวะ และแม้แต่อวัยวะ อื่นๆใกล้เคียงกัน เช่น ต่อมลูกหมากก็อาจจะเกี่ยวด้วย)
ยกตัวอย่างอาการ ป่วยอย่างหนึ่งเกี่ยวกับระบบปัสสาวะที่เรียกว่า ฟันโคนี่’ส ซินโดรม (FANCONI’s SYNDROME)
คำ ว่า SYNDROME นี้ผมเคยอธิบายให้แฟนๆฟังดูแล้วว่าอธิบายยาก เพราะมันจะเป็นอาการหลายอาการของโรคหลายโรค มารวมกันอยู่ในโรคเดียว ภาวะเดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรแน่ เขาก็เลยเรียกว่า SYNDROME
เฉพาะ ฟันโคนี่’ส ซินโดรมนี้ อาการของเขาก็คือ ในปัสสาวะมีน้ำตาลกลูโคส ไบคาร์บอเนต ฟอสเฟต ยูริค แอซิด โปแตสเซียม โซเดียม และกรดแอมมิโน (โปรตีน) ออกมาพร้อมกับปัสสาวะ
อาการของฟันโคนี่’ส นี้ เกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ เป็นจากกรรมพันธุ์ และเป็นอาการซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมกับโรคไตและปัสสาวะก็ได้
ถ้าหากเป็นเพราะกรรมพันธุ์ ก็จะเป็นตั้งแต่ เด็กๆ อาการของผู้ป่วยจะมีปัสสาวะออกมากผิดปกติและฉี่บ่อยแต่อายุยังน้อย
ส่วน ผู้ที่ไม่เป็นเพราะกรรมพันธุ์นั้น จะมี อาการป่วยเมื่อมีอายุมากขึ้น บางคนป่วยเพราะทำงานคลุกคลีกับสถานที่มีโลหะหนักอยู่มาก เช่น ทำงานอยู่ในโรงงานแบตเตอรี่ เป็นต้น นอกไปจากนั้นก็อาจจะเป็นเพราะร่างกายขาดวิตามิน D มาเป็นเวลานาน หรือเพราะผ่าตัดเปลี่ยนไต หรือเป็นมะเร็งที่ไต หรือเพราะกินสารอาหารที่ทำให้เกิดแอมเมิลลอยด์เข้าไปเยอะ
อาการอีก อย่างของผู้ป่วยเป็นฟันโคนี่’ส ซินโดรม ก็คือ จะมีอาการปวดกระดูก ร่วมด้วย แต่อาการทั้ง หมดนั้นเพียงแต่สังเกตอาการอย่างเดียวคงไม่ พอ คงจะต้องให้แพทย์สั่งตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจจากพิธีการทางห้องทดลองอีกหลายอย่าง
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่าง ซึ่งอยากจะให้เพื่อนๆ ชาวชีวจิตได้รู้ล่วงหน้าว่า เมื่อสังเกตเห็นมีอาการ ผิดปกติเรื่องปริมาณปัสสาวะ สีปัสสาวะ กลิ่นปัสสาวะ และเมื่อกินยาบางอย่างเป็นประจำเป็นเวลานาน เกิดอาการผิดปกติทางระบบปัสสาวะขึ้นมา
ก็ขอให้สำเหนียกไว้ แล้วสังเกตต่อไป ถ้ายังมีอาการระยะยาว และอาจจะมีอาการอย่างอื่นเพิ่มขึ้นก็ต้องตรวจกันอย่างละเอียดแล้ว
ก่อนจะถึงโรคสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับฉี่หรือปัสสาวะ มีข้อสังเกตเพิ่มขึ้นก็คือ อาจจะมี อาการ เกี่ยวกับระบบอื่นๆอีก ดังนี้
1. ฉี่บ่อยเกินไป และฉี่ออกช้า หรือฉี่ๆ หยุดๆ ฉี่ไม่สุด ตื่นกลางคืนบ่อย อาจจะเกี่ยวกับโรคของต่อมลูกหมากด้วย (แฮะๆ คุณผู้หญิงไม่เกี่ยวนะครับ)
2. ฉี่บ่อย แถมยังมีอาการหิวง่าย พร้อมกับกระหายน้ำมากๆด้วย (ไม่เกี่ยวกับอากาศร้อน) ให้สงสัยว่าอาจจะเกี่ยวกับเบาหวานให้เช็กเลือด เช็กปัสสาวะ และเช็กน้ำตาลด่วน
3. รู้สึกปวดฉี่บ่อย พยายามกลั้นไว้ได้ บางครั้ง แต่ต่อมากลั้นปัสสาวะไม่ได้เลย เฉพาะ คุณผู้หญิง ให้สังเกตว่า คุณเครียดมากหรือเปล่า
4. ฉี่กลางคืนบ่อยยิ่งหน้าร้อนๆอย่าง นี้ ตื่นบ่อยมาก คุณชอบดื่มกาแฟหรือชามาก เกินไปหรือเปล่า ทุเลากาแฟ-ชาลงเสียบ้าง
5. ฉี่บ่อยอีกเหมือนกัน แต่ก่อนไม่เคยเป็น ให้ทบทวนดูว่า คุณกินยาลดความอ้วน ยาขับปัสสาวะ ยาลดไขมันมากเกินไปหรือเปล่า
6. กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ให้ดูว่ามีอะไรผิดปกติเรื่องระบบย่อย (ท้องเดิน ท้องเสีย ปวด ท้อง ท้องผูก) หรือคุณ มีอาการอัมพาต เส้น โลหิตในสมองแตก หรือเส้นเลือดอุดตัน
7. โรคเกี่ยวกับสมอง จะเกี่ยวกับการฉี่ผิดปกติทั้งสิ้น โรคนี้คู่กันกับเรื่องสมอง คงจะต้องพูดกันโดยละเอียดละครับ ทั้งการปฏิบัติตัว การป้องกันและการแก้ไข
คราวหน้าจะต้องขึ้นเรื่องโรคเกี่ยวกับฉี่แล้วนะครับ.
*******
สาทิส อินทรกำแหง
ขอย้ำ อีกครั้งหนึ่งครับ ว่าเรากำลังคุยกันแบบชาวบ้าน คือ พูดกันภาษาง่ายๆ และเป้าหมายสำคัญของบทความตอนนี้ อยู่ที่ว่า "อย่า เห็นว่าเรื่องฉี่เป็นเรื่องเล็ก ความจริงนั้นเราฉี่กันอยู่ทุกวันเป็นเรื่องธรรมดามาหลายสิบปีแล้ว" และถ้านับจำนวนครั้ง ลองคิดดูเล่นๆ นะครับ อย่างผมอายุ 85 นี่ฉี่มาแล้ว 196,150 เชียวนะครับ ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
เพราะเราฉี่กันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ธรรมดาๆนี่แหละ ถ้ามีอะไรผิดปกตินิดๆหน่อยๆ เราก็มักจะไม่ได้สังเกต
แต่ เรื่องฉี่ผิดปกตินิดหน่อยนี่แหละเป็นเรื่องสำคัญ สำคัญถึงขนาดว่าอาจจะเป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยเรื่องใหญ่ๆ ใหญ่ถึงขนาดต้องเสียชีวิตเลยก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นผมจึงได้พยายามเอา เรื่องฉี่ แบบต่างๆ (ไม่ใช่นั่งฉี่, นอนฉี่, ยืนฉี่, หรือนั่งยองๆฉี่นะครับ แต่เป็นแบบชนิดของฉี่) มารวบรวมไว้ และพูดคุยกันภาษาชาวบ้านแบบง่ายๆ เราก็จะได้ทั้งความรู้และคลายเครียดจากเรื่องซึ่งกำลังแสนเครียดขณะนี้ลง บ้าง ดีไหมครับ
วิธีดูความผิดปกติของฉี่ได้พูดมาแล้ว 2 ครั้งนะครับ คือให้ดูว่า
1. ปัสสาวะฉี่มากน้อยอย่างไร
2. ฉี่มีสีอะไร
3. ฉี่มีกลิ่นอย่างไร (ดมห่างๆก็ได้หรอก ครับ คงไม่ถึงกับต้องเอาปัสสาวะมาป้ายจมูก หรอก)
4. เบ็ดเตล็ด ซึ่งในข้อนี้มีข้อปลีกย่อยหลาย อย่าง และท่านที่ป่วยเกี่ยวกับเบาหวาน หรือเกี่ยวกับไตและระบบปัสสาวะ แพทย์ประจำตัวของท่านต้องเตือนอยู่แล้วว่า ยาที่รับประทานอยู่นั้น จะให้ผลเกี่ยวกับปริมาณ-กลิ่น-และสีอย่างไร
และวิธีที่ดีที่สุด คุณหมอท่านก็จะสั่งให้ตรวจทางห้องแล็บอยู่แล้วว่า ปัสสาวะของคุณจะเป็นกรดเป็นด่าง จะมีโปรตีนหรือสารอื่นๆอย่างไรติดออกมาด้วย
มี อีกอย่างหนึ่งครับ ซึ่งควรจะอยู่ในข้อ สังเกตข้อเบ็ดเตล็ด หรือข้อ 4 แต่ครั้งที่แล้วไม่มี โอกาสจะรวมไว้ เพราะ หน้ากระดาษหมดเสียก่อน
ข้อปลีกย่อยอีก อย่างหนึ่งซึ่งเคยถูกถามบ่อยๆก็คือ ปัสสาวะมี ฟองมาก
ฟอง ในที่นี้เป็นฟองเกือบจะเหมือนโซดาเวลาเปิดขวด พอเราฉี่ออกมาปัสสาวะที่อยู่ในโถจะเป็นฟองมากผิดปกติ และถ้าเราสังเกต โดยละเอียดผสมกับเรื่อง ปริมาณปัสสาวะ รวมทั้ง เรื่องสีและกลิ่นด้วยแล้วก็จะรู้สึกว่า เอ เราน่าจะมีอะไรผิดปกติเกี่ยวแก่ระบบขับถ่ายปัสสาวะของ เราเสียแล้ว
ฉะนั้นให้ลองสังเกตด้วยนะครับว่า ฉี่ ของเรามีฟองมากผิดปกติหรือเปล่า
เรื่อง ฉี่มีฟองนี้เป็นเรื่องต้องพูดกันยาว และถ้าจะเอาเหตุผลกันให้ได้ว่าเป็นเพราะอะไรและเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆอย่าง ไรบ้างแล้ว ต้องพูดกันยาว และต้องสาวกันไปถึง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวแก่ ความผิดปกติของอวัยวะต่างๆของระบบขับถ่าย (ปัสสาวะ ไต กระเพาะปัสสาวะ และแม้แต่อวัยวะ อื่นๆใกล้เคียงกัน เช่น ต่อมลูกหมากก็อาจจะเกี่ยวด้วย)
ยกตัวอย่างอาการ ป่วยอย่างหนึ่งเกี่ยวกับระบบปัสสาวะที่เรียกว่า ฟันโคนี่’ส ซินโดรม (FANCONI’s SYNDROME)
คำ ว่า SYNDROME นี้ผมเคยอธิบายให้แฟนๆฟังดูแล้วว่าอธิบายยาก เพราะมันจะเป็นอาการหลายอาการของโรคหลายโรค มารวมกันอยู่ในโรคเดียว ภาวะเดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรแน่ เขาก็เลยเรียกว่า SYNDROME
เฉพาะ ฟันโคนี่’ส ซินโดรมนี้ อาการของเขาก็คือ ในปัสสาวะมีน้ำตาลกลูโคส ไบคาร์บอเนต ฟอสเฟต ยูริค แอซิด โปแตสเซียม โซเดียม และกรดแอมมิโน (โปรตีน) ออกมาพร้อมกับปัสสาวะ
อาการของฟันโคนี่’ส นี้ เกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ เป็นจากกรรมพันธุ์ และเป็นอาการซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมกับโรคไตและปัสสาวะก็ได้
ถ้าหากเป็นเพราะกรรมพันธุ์ ก็จะเป็นตั้งแต่ เด็กๆ อาการของผู้ป่วยจะมีปัสสาวะออกมากผิดปกติและฉี่บ่อยแต่อายุยังน้อย
ส่วน ผู้ที่ไม่เป็นเพราะกรรมพันธุ์นั้น จะมี อาการป่วยเมื่อมีอายุมากขึ้น บางคนป่วยเพราะทำงานคลุกคลีกับสถานที่มีโลหะหนักอยู่มาก เช่น ทำงานอยู่ในโรงงานแบตเตอรี่ เป็นต้น นอกไปจากนั้นก็อาจจะเป็นเพราะร่างกายขาดวิตามิน D มาเป็นเวลานาน หรือเพราะผ่าตัดเปลี่ยนไต หรือเป็นมะเร็งที่ไต หรือเพราะกินสารอาหารที่ทำให้เกิดแอมเมิลลอยด์เข้าไปเยอะ
อาการอีก อย่างของผู้ป่วยเป็นฟันโคนี่’ส ซินโดรม ก็คือ จะมีอาการปวดกระดูก ร่วมด้วย แต่อาการทั้ง หมดนั้นเพียงแต่สังเกตอาการอย่างเดียวคงไม่ พอ คงจะต้องให้แพทย์สั่งตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจจากพิธีการทางห้องทดลองอีกหลายอย่าง
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่าง ซึ่งอยากจะให้เพื่อนๆ ชาวชีวจิตได้รู้ล่วงหน้าว่า เมื่อสังเกตเห็นมีอาการ ผิดปกติเรื่องปริมาณปัสสาวะ สีปัสสาวะ กลิ่นปัสสาวะ และเมื่อกินยาบางอย่างเป็นประจำเป็นเวลานาน เกิดอาการผิดปกติทางระบบปัสสาวะขึ้นมา
ก็ขอให้สำเหนียกไว้ แล้วสังเกตต่อไป ถ้ายังมีอาการระยะยาว และอาจจะมีอาการอย่างอื่นเพิ่มขึ้นก็ต้องตรวจกันอย่างละเอียดแล้ว
ก่อนจะถึงโรคสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับฉี่หรือปัสสาวะ มีข้อสังเกตเพิ่มขึ้นก็คือ อาจจะมี อาการ เกี่ยวกับระบบอื่นๆอีก ดังนี้
1. ฉี่บ่อยเกินไป และฉี่ออกช้า หรือฉี่ๆ หยุดๆ ฉี่ไม่สุด ตื่นกลางคืนบ่อย อาจจะเกี่ยวกับโรคของต่อมลูกหมากด้วย (แฮะๆ คุณผู้หญิงไม่เกี่ยวนะครับ)
2. ฉี่บ่อย แถมยังมีอาการหิวง่าย พร้อมกับกระหายน้ำมากๆด้วย (ไม่เกี่ยวกับอากาศร้อน) ให้สงสัยว่าอาจจะเกี่ยวกับเบาหวานให้เช็กเลือด เช็กปัสสาวะ และเช็กน้ำตาลด่วน
3. รู้สึกปวดฉี่บ่อย พยายามกลั้นไว้ได้ บางครั้ง แต่ต่อมากลั้นปัสสาวะไม่ได้เลย เฉพาะ คุณผู้หญิง ให้สังเกตว่า คุณเครียดมากหรือเปล่า
4. ฉี่กลางคืนบ่อยยิ่งหน้าร้อนๆอย่าง นี้ ตื่นบ่อยมาก คุณชอบดื่มกาแฟหรือชามาก เกินไปหรือเปล่า ทุเลากาแฟ-ชาลงเสียบ้าง
5. ฉี่บ่อยอีกเหมือนกัน แต่ก่อนไม่เคยเป็น ให้ทบทวนดูว่า คุณกินยาลดความอ้วน ยาขับปัสสาวะ ยาลดไขมันมากเกินไปหรือเปล่า
6. กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ให้ดูว่ามีอะไรผิดปกติเรื่องระบบย่อย (ท้องเดิน ท้องเสีย ปวด ท้อง ท้องผูก) หรือคุณ มีอาการอัมพาต เส้น โลหิตในสมองแตก หรือเส้นเลือดอุดตัน
7. โรคเกี่ยวกับสมอง จะเกี่ยวกับการฉี่ผิดปกติทั้งสิ้น โรคนี้คู่กันกับเรื่องสมอง คงจะต้องพูดกันโดยละเอียดละครับ ทั้งการปฏิบัติตัว การป้องกันและการแก้ไข
คราวหน้าจะต้องขึ้นเรื่องโรคเกี่ยวกับฉี่แล้วนะครับ.
*******
สาทิส อินทรกำแหง
ฉี่–ใครว่าไม่สำคัญ (4)ฉี่–กับโรคสมอง
ฉี่มากฉี่น้อย หรือฉี่ไม่ออก เป็น "อาการ" ซึ่งเกี่ยวกับโรคต่างๆหลายโรค
วันนี้ขอพูดถึงโรคต่างๆซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องฉี่
เริ่มด้วยโรคซึ่งใครๆรู้จักกันดี มาคุยกันก่อน โรคนั้นก็คือ "เบาหวาน"
"เบา หวาน" นั้น โดยทั่วไปมักจะเอาเรื่องน้ำตาลในเลือดเป็นเกณฑ์ ถ้าไปหาคุณหมอลองให้ตรวจเลือดให้ ถ้าน้ำตาลในเลือดของคุณอยู่ในเกณฑ์ตั้งแต่ 110-125 mg/dl ท่านก็จะบอกว่าคุณมีโอกาสเริ่มจะเป็นเบาหวาน ต้องระวังตัว
ถ้าเกิน 125 mg ขึ้นไป และบางครั้งก็เลย 125 จนจะถึง 150 mg ท่านก็คงต้องให้ยาเบาหวานซึ่งเป็นยากดน้ำตาลในเลือดของคุณให้ลดลง
นั่นเป็นคำนำย่อๆของการเป็นเบาหวาน ซึ่งก็คือยึดเอาเรื่องน้ำตาลในเลือดซึ่งสูงผิดปกติเป็นเกณฑ์
แต่ เบาหวานไม่ใช่เรื่องของน้ำตาลในเลือดอย่างเดียว แต่ยังมีอาการอื่นๆนอกจากน้ำตาลมาผสมด้วยหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดเมื่อยตามตัวตามัว อ่อนเพลีย แถมยังมีอาการคล้ายๆคนเป็นโรคหัวใจรวมอยู่ด้วย
และในอาการนอกเหนือไปหลายๆอย่างนี้ ก็แถมด้วยอาการของการกระหายน้ำและปัสสาวะบ่อยเป็นประจำรวมด้วยเช่นกัน
หลายคนที่เป็นเบาหวานหรือมีอาการแบบจะเริ่มเบาหวานอย่างอ่อนๆ อาจจะยังไม่เคยคิดมาเลยว่าตัวเองจะเป็นเบาหวาน
พอ มีอาการกระหายน้ำมากๆ และปัสสาวะบ่อยๆรวมทั้งอ่อนเพลียมากโดยหาสาเหตุไม่พบก็มักจะคิดว่าตนเองมี ปัญหาเกี่ยวกับไตหรือบางทีคงดื่มน้ำไม่พอในวันหนึ่งๆ
พอคิดว่าดื่ม น้ำไม่พอ ก็เลยดื่มน้ำเพิ่มเป็นการใหญ่ บางท่านเชื่อคำร่ำลือที่ว่าดื่มน้ำมากๆรักษาโรคได้ ก็เลยดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร จนกระทั่งเกิดอาการตัวบวมและไตวายดังที่เล่าให้ฟังเมื่อตอนต้นๆของบทความ เรื่องฉี่นี้
เพราะฉะนั้น เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะไม่รู้ว่าตนเองเป็นเบาหวาน แต่กลับไปแก้ด้วยการกินน้ำมากๆ ก็เลยทำให้ฉี่มากๆ และทำให้เกิดอาการไตวายได้อย่างนี้แหละครับ
ถ้าอย่างนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นเบาหวาน และยังฉี่มากอย่างนี้ จะแก้ไขอย่างไรดี
เมื่อเบาหวานทำให้ฉี่บ่อยก็แสดงว่าเบาหวานเป็นต้นเหตุ
ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุก่อนซีครับ
แล้วจะแก้หรือรักษาเบาหวานซึ่งเป็นต้นเหตุได้อย่างไรเล่า
ตรงนี้แหละครับที่ต้องขอจับเข่าคุยกันสักนิด
เราจะต้องไม่ออกนอกเส้นทางไประหว่างนี้นะครับ เพราะขณะนี้เรากำลังพูดกันถึงอาการฉี่ผิดปกติอยู่
เมื่ออาการฉี่ผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องเบาหวานด้วย
เราก็ต้องพูดถึงเรื่องเบาหวานกันบ้าง แต่จะไม่พูดกันโดยละเอียด เพราะ
1. เรื่องเบาหวานมีการพูดถึงเรื่องนี้มากมายแล้ว มีตำราหลายเล่มทั้งเรื่องของการแพทย์ปัจจุบัน และเรื่องของการแพทย์แขนงอื่นๆเกี่ยวกับเบาหวาน แม้แต่กระทั่งเรื่องยากลางบ้าน หรือยาผีบอกเกี่ยวกับเบาหวานก็มีมากมายด้วยเช่นกัน
2. เราจึงจะพูดถึงเบาหวานกรณีที่เกี่ยวกับเรื่องฉี่โดยตรงก่อน และจะแนะนำเรื่องแก้การฉี่ผิดปกติเพราะเบาหวานก่อน แต่ถ้ามีเรื่องที่จะต้องโยงไปถึงเบาหวานก็จะพูดในวงจำกัดเพื่อให้รู้ว่าจะ บรรเทาเรื่องเบาหวานและเรื่องฉี่ผิดปกติร่วมกันได้อย่างไรเท่านั้น
(แต่ ถ้ามีผู้สนใจเรื่องเบาหวานล้วนๆ ว่าจะแก้ไขหรือรักษาเบาหวานด้วยวิธีชีวจิตอย่างไรได้นั้น ก็คงจะพูดถึงเรื่องเบาหวานโดยเฉพาะอีกตอนหนึ่ง แฟนๆกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยครับ)
ขออธิบายย่อๆก่อนว่า ทำไมจึงปัสสาวะบ่อยเมื่อเป็นเบาหวาน
หน้าที่ของไตโดยตรงคือ
1. ระบายของสกปรกหรือสิ่งที่มีเกินความต้องการของร่างกายออกไป
2. รักษาสิ่งที่มีประโยชน์ไว้ไม่ให้ออกไปกับสิ่งสกปรกอื่นๆ
3. เมื่อรักษาสิ่งมีประโยชน์ไว้แล้ว ก็ต้องเก็บรักษาสิ่งที่มีประโยชน์ไว้ตามอวัยวะต่างๆให้ถูกต้องตามที่ของมันด้วย
ฉะนั้น เมื่อมีน้ำตาลในเลือดเกินขีดปกติ ไตก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกับตับอ่อน เมื่อน้ำตาลสูง ตับอ่อนต้องสร้างฮอร์โมนอินซูลินเพิ่มขึ้นเพื่อลดน้ำตาล และไตก็ต้องทำหน้าที่ระบายน้ำตาลซึ่งสูงเกินควรออกทางปัสสาวะด้วย
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมองและระบบประสาทโดยตรง นั่นก็คือเรื่องของการกระหายน้ำ
สมอง มีต่อมหรือปุ่มที่ควบคุมความรู้สึกกระหายน้ำของคนเรา หลักง่ายๆของร่างกายก็คือ ถ้าเราถ่ายน้ำออกจากร่างกายมาก จะเป็นการปัสสาวะหรือเหงื่อออกก็ดี น้ำออกไปมาก ร่างกายก็แห้ง
ร่าง กายต้องการความสมดุลระหว่างน้ำกับเนื้อในร่างกายเรา เมื่อน้ำออกจากร่างกายมากเกินไป (ปัสสาวะ/เหงื่อ) เกลือในตัวเราก็จะเข้มข้นขึ้น ตัวอวัยวะบางตัวซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องวัดความเข้มข้นของเกลือ ก็จะเตือนไปที่ระบบเส้นเลือดและหัวใจ (CARDIOVASCULAR SYSTEM) ระบบนี้จะเตือนไปที่เซลล์ส่วนหนึ่งของไฮโปทาลามัส (HYPOTHALAMUS) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนกลาง
ไฮโปทาลามัสก็จะเตือนไปที่ต่อมพิทูอิทารี (ต่อมใต้สมอง)
ต่อมนี้ก็จะหลั่งฮอร์โมน ANTIDIURETIC HORMONE หรือเรียกสั้นๆว่า ADH ออกมา
เจ้า ADH นี้ก็จะไปออกฤทธิ์กับไต ซึ่งจะหลั่งเอ็นไซม์ชื่อเรนินเข้าไปในระบบเลือดและก็จะเข้าไปสร้างฮอร์โมน อีกตัวหนึ่ง คือ แองจิโอเทนซิน ซึ่งก็จะย้อนไปเร่งให้ไฮโปทาลามัสสร้าง ADH เพิ่มขึ้นอีก
ผลก็คือเราก็จะคอแห้ง กระหายน้ำ ผมเคยเห็นบางคนเป็นเอามาก ตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็จะคอแห้งดื่มน้ำอั๊กๆ เหมือนกับตายอดตายอยากอยู่กลางทะเลทรายมาเป็นเดือน
เป็นอย่างไรบ้าง ครับ อ่านแล้วปวดหัวมากไหม ขอโทษคุณผู้อ่านด้วยครับ ผมเองก็ปวดหัวแทบตายเหมือนกัน เพราะกว่าที่ผมจะเอาเรื่องยากๆมาย่อยให้เป็นเรื่องง่าย แล้วอธิบายเป็นภาษา (ค่อนข้างจะเป็น) ชาวบ้านได้นี้ ต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันเชียวนะครับ
เอา ละขอสรุปสั้นๆว่า ที่อธิบายมาค่อนข้างจะยืดยาวนี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การปัสสาวะบ่อยๆและการที่รู้สึกกระหายน้ำมากๆนี้ เป็นเรื่องคู่กัน
และเป็นเรื่องสำคัญก็คือ เนื่องมาจากเบาหวานและเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบเลือด/หัวใจ ไตและระบบสมอง ทั้งหมดต้องทำงานพร้อมๆกัน ไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องเบาหวานแต่เพียงเรื่องเดียว
ต่อไปนี้ขอแนะนำสั้นๆและตรงไปตรงมาเลยนะครับ ว่าจะให้ปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อบรรเทาการฉี่มาก และบรรเทาการกระหายน้ำมากๆ
1. โดยเหตุที่ถ้าฉี่บ่อยๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืน คุณก็ต้องไปห้องน้ำบ่อยๆ เมื่อกลับจากห้องน้ำคุณจะนอนไม่หลับ ทำให้ภูมิชีวิตหรือ IMMUNE SYSTEM เกี่ยวกับการนอนตกต่ำมาก
วิธีแก้ คุณผู้ชายให้หากระบอกปัสสาวะไว้ข้างเตียง คุณผู้หญิงก็เหมือนกัน หาโถฉี่ไว้ข้างเตียง ฉี่แล้วทำความสะอาดดีๆ จะนอนต่อได้สบาย
2. เวลาดื่มน้ำ อย่าดื่มอั๊กๆเพื่อให้หายอยาก แต่ดื่มทีละอึก สองอึก กลั้วคอ ดื่มบ่อยๆได้
3. ท่ารำตะบอง ทำท่าแถมสองแขนรัดตะบองไว้บั้นเอวด้านหลัง เขย่งเท้า แล้วย่อตัวนั่งบนส้นเท้า 3 ครั้ง แล้วลดตัวนั่งยองๆ ลุกขึ้นยืนเขย่งย่อตัว นับเป็น 1 เซต ให้ทำอย่างน้อย 30 เซตทุกวัน (สงสัยให้ไปถามเพื่อนๆที่ศูนย์รำตะบองชีวจิตทุกแห่ง เขาจะสอนให้เราฟรีๆพร้อมคำแนะนำ)
4. ใช้เถาวัลย์เปรียงตากแห้ง หั่นเป็นแว่น ต้มน้ำร้อนดื่ม 5 แว่น เช้า-เย็นทุกวัน
5. วิตามินและอาหารเสริม
วิตามิน B1 1 เม็ดเช้า (250 มก.) B6 1 เม็ดเช้า (50 มก.)
น้ำมันเมล็ดฟักทอง 1 แคปซูล (1,000 มก.) ถ้าหาไม่ได้ กินเมล็ดฟักทองกะเทาะเปลือก วันละ 5 ช้อนโต๊ะอีฟเวนนิง พริมโรส 1 แคปซูล
วิตามิน D 1 แคปซูล (1,000 I.U.) หรือใช้น้ำมันปลา 1 แคปซูลแทนก็ได้
*****
สาทิส อินทรกำแหง
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 25 เมษายน 2553
วันนี้ขอพูดถึงโรคต่างๆซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องฉี่
เริ่มด้วยโรคซึ่งใครๆรู้จักกันดี มาคุยกันก่อน โรคนั้นก็คือ "เบาหวาน"
"เบา หวาน" นั้น โดยทั่วไปมักจะเอาเรื่องน้ำตาลในเลือดเป็นเกณฑ์ ถ้าไปหาคุณหมอลองให้ตรวจเลือดให้ ถ้าน้ำตาลในเลือดของคุณอยู่ในเกณฑ์ตั้งแต่ 110-125 mg/dl ท่านก็จะบอกว่าคุณมีโอกาสเริ่มจะเป็นเบาหวาน ต้องระวังตัว
ถ้าเกิน 125 mg ขึ้นไป และบางครั้งก็เลย 125 จนจะถึง 150 mg ท่านก็คงต้องให้ยาเบาหวานซึ่งเป็นยากดน้ำตาลในเลือดของคุณให้ลดลง
นั่นเป็นคำนำย่อๆของการเป็นเบาหวาน ซึ่งก็คือยึดเอาเรื่องน้ำตาลในเลือดซึ่งสูงผิดปกติเป็นเกณฑ์
แต่ เบาหวานไม่ใช่เรื่องของน้ำตาลในเลือดอย่างเดียว แต่ยังมีอาการอื่นๆนอกจากน้ำตาลมาผสมด้วยหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดเมื่อยตามตัวตามัว อ่อนเพลีย แถมยังมีอาการคล้ายๆคนเป็นโรคหัวใจรวมอยู่ด้วย
และในอาการนอกเหนือไปหลายๆอย่างนี้ ก็แถมด้วยอาการของการกระหายน้ำและปัสสาวะบ่อยเป็นประจำรวมด้วยเช่นกัน
หลายคนที่เป็นเบาหวานหรือมีอาการแบบจะเริ่มเบาหวานอย่างอ่อนๆ อาจจะยังไม่เคยคิดมาเลยว่าตัวเองจะเป็นเบาหวาน
พอ มีอาการกระหายน้ำมากๆ และปัสสาวะบ่อยๆรวมทั้งอ่อนเพลียมากโดยหาสาเหตุไม่พบก็มักจะคิดว่าตนเองมี ปัญหาเกี่ยวกับไตหรือบางทีคงดื่มน้ำไม่พอในวันหนึ่งๆ
พอคิดว่าดื่ม น้ำไม่พอ ก็เลยดื่มน้ำเพิ่มเป็นการใหญ่ บางท่านเชื่อคำร่ำลือที่ว่าดื่มน้ำมากๆรักษาโรคได้ ก็เลยดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร จนกระทั่งเกิดอาการตัวบวมและไตวายดังที่เล่าให้ฟังเมื่อตอนต้นๆของบทความ เรื่องฉี่นี้
เพราะฉะนั้น เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะไม่รู้ว่าตนเองเป็นเบาหวาน แต่กลับไปแก้ด้วยการกินน้ำมากๆ ก็เลยทำให้ฉี่มากๆ และทำให้เกิดอาการไตวายได้อย่างนี้แหละครับ
ถ้าอย่างนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นเบาหวาน และยังฉี่มากอย่างนี้ จะแก้ไขอย่างไรดี
เมื่อเบาหวานทำให้ฉี่บ่อยก็แสดงว่าเบาหวานเป็นต้นเหตุ
ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุก่อนซีครับ
แล้วจะแก้หรือรักษาเบาหวานซึ่งเป็นต้นเหตุได้อย่างไรเล่า
ตรงนี้แหละครับที่ต้องขอจับเข่าคุยกันสักนิด
เราจะต้องไม่ออกนอกเส้นทางไประหว่างนี้นะครับ เพราะขณะนี้เรากำลังพูดกันถึงอาการฉี่ผิดปกติอยู่
เมื่ออาการฉี่ผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องเบาหวานด้วย
เราก็ต้องพูดถึงเรื่องเบาหวานกันบ้าง แต่จะไม่พูดกันโดยละเอียด เพราะ
1. เรื่องเบาหวานมีการพูดถึงเรื่องนี้มากมายแล้ว มีตำราหลายเล่มทั้งเรื่องของการแพทย์ปัจจุบัน และเรื่องของการแพทย์แขนงอื่นๆเกี่ยวกับเบาหวาน แม้แต่กระทั่งเรื่องยากลางบ้าน หรือยาผีบอกเกี่ยวกับเบาหวานก็มีมากมายด้วยเช่นกัน
2. เราจึงจะพูดถึงเบาหวานกรณีที่เกี่ยวกับเรื่องฉี่โดยตรงก่อน และจะแนะนำเรื่องแก้การฉี่ผิดปกติเพราะเบาหวานก่อน แต่ถ้ามีเรื่องที่จะต้องโยงไปถึงเบาหวานก็จะพูดในวงจำกัดเพื่อให้รู้ว่าจะ บรรเทาเรื่องเบาหวานและเรื่องฉี่ผิดปกติร่วมกันได้อย่างไรเท่านั้น
(แต่ ถ้ามีผู้สนใจเรื่องเบาหวานล้วนๆ ว่าจะแก้ไขหรือรักษาเบาหวานด้วยวิธีชีวจิตอย่างไรได้นั้น ก็คงจะพูดถึงเรื่องเบาหวานโดยเฉพาะอีกตอนหนึ่ง แฟนๆกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยครับ)
ขออธิบายย่อๆก่อนว่า ทำไมจึงปัสสาวะบ่อยเมื่อเป็นเบาหวาน
หน้าที่ของไตโดยตรงคือ
1. ระบายของสกปรกหรือสิ่งที่มีเกินความต้องการของร่างกายออกไป
2. รักษาสิ่งที่มีประโยชน์ไว้ไม่ให้ออกไปกับสิ่งสกปรกอื่นๆ
3. เมื่อรักษาสิ่งมีประโยชน์ไว้แล้ว ก็ต้องเก็บรักษาสิ่งที่มีประโยชน์ไว้ตามอวัยวะต่างๆให้ถูกต้องตามที่ของมันด้วย
ฉะนั้น เมื่อมีน้ำตาลในเลือดเกินขีดปกติ ไตก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกับตับอ่อน เมื่อน้ำตาลสูง ตับอ่อนต้องสร้างฮอร์โมนอินซูลินเพิ่มขึ้นเพื่อลดน้ำตาล และไตก็ต้องทำหน้าที่ระบายน้ำตาลซึ่งสูงเกินควรออกทางปัสสาวะด้วย
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมองและระบบประสาทโดยตรง นั่นก็คือเรื่องของการกระหายน้ำ
สมอง มีต่อมหรือปุ่มที่ควบคุมความรู้สึกกระหายน้ำของคนเรา หลักง่ายๆของร่างกายก็คือ ถ้าเราถ่ายน้ำออกจากร่างกายมาก จะเป็นการปัสสาวะหรือเหงื่อออกก็ดี น้ำออกไปมาก ร่างกายก็แห้ง
ร่าง กายต้องการความสมดุลระหว่างน้ำกับเนื้อในร่างกายเรา เมื่อน้ำออกจากร่างกายมากเกินไป (ปัสสาวะ/เหงื่อ) เกลือในตัวเราก็จะเข้มข้นขึ้น ตัวอวัยวะบางตัวซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องวัดความเข้มข้นของเกลือ ก็จะเตือนไปที่ระบบเส้นเลือดและหัวใจ (CARDIOVASCULAR SYSTEM) ระบบนี้จะเตือนไปที่เซลล์ส่วนหนึ่งของไฮโปทาลามัส (HYPOTHALAMUS) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนกลาง
ไฮโปทาลามัสก็จะเตือนไปที่ต่อมพิทูอิทารี (ต่อมใต้สมอง)
ต่อมนี้ก็จะหลั่งฮอร์โมน ANTIDIURETIC HORMONE หรือเรียกสั้นๆว่า ADH ออกมา
เจ้า ADH นี้ก็จะไปออกฤทธิ์กับไต ซึ่งจะหลั่งเอ็นไซม์ชื่อเรนินเข้าไปในระบบเลือดและก็จะเข้าไปสร้างฮอร์โมน อีกตัวหนึ่ง คือ แองจิโอเทนซิน ซึ่งก็จะย้อนไปเร่งให้ไฮโปทาลามัสสร้าง ADH เพิ่มขึ้นอีก
ผลก็คือเราก็จะคอแห้ง กระหายน้ำ ผมเคยเห็นบางคนเป็นเอามาก ตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็จะคอแห้งดื่มน้ำอั๊กๆ เหมือนกับตายอดตายอยากอยู่กลางทะเลทรายมาเป็นเดือน
เป็นอย่างไรบ้าง ครับ อ่านแล้วปวดหัวมากไหม ขอโทษคุณผู้อ่านด้วยครับ ผมเองก็ปวดหัวแทบตายเหมือนกัน เพราะกว่าที่ผมจะเอาเรื่องยากๆมาย่อยให้เป็นเรื่องง่าย แล้วอธิบายเป็นภาษา (ค่อนข้างจะเป็น) ชาวบ้านได้นี้ ต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันเชียวนะครับ
เอา ละขอสรุปสั้นๆว่า ที่อธิบายมาค่อนข้างจะยืดยาวนี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การปัสสาวะบ่อยๆและการที่รู้สึกกระหายน้ำมากๆนี้ เป็นเรื่องคู่กัน
และเป็นเรื่องสำคัญก็คือ เนื่องมาจากเบาหวานและเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบเลือด/หัวใจ ไตและระบบสมอง ทั้งหมดต้องทำงานพร้อมๆกัน ไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องเบาหวานแต่เพียงเรื่องเดียว
ต่อไปนี้ขอแนะนำสั้นๆและตรงไปตรงมาเลยนะครับ ว่าจะให้ปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อบรรเทาการฉี่มาก และบรรเทาการกระหายน้ำมากๆ
1. โดยเหตุที่ถ้าฉี่บ่อยๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืน คุณก็ต้องไปห้องน้ำบ่อยๆ เมื่อกลับจากห้องน้ำคุณจะนอนไม่หลับ ทำให้ภูมิชีวิตหรือ IMMUNE SYSTEM เกี่ยวกับการนอนตกต่ำมาก
วิธีแก้ คุณผู้ชายให้หากระบอกปัสสาวะไว้ข้างเตียง คุณผู้หญิงก็เหมือนกัน หาโถฉี่ไว้ข้างเตียง ฉี่แล้วทำความสะอาดดีๆ จะนอนต่อได้สบาย
2. เวลาดื่มน้ำ อย่าดื่มอั๊กๆเพื่อให้หายอยาก แต่ดื่มทีละอึก สองอึก กลั้วคอ ดื่มบ่อยๆได้
3. ท่ารำตะบอง ทำท่าแถมสองแขนรัดตะบองไว้บั้นเอวด้านหลัง เขย่งเท้า แล้วย่อตัวนั่งบนส้นเท้า 3 ครั้ง แล้วลดตัวนั่งยองๆ ลุกขึ้นยืนเขย่งย่อตัว นับเป็น 1 เซต ให้ทำอย่างน้อย 30 เซตทุกวัน (สงสัยให้ไปถามเพื่อนๆที่ศูนย์รำตะบองชีวจิตทุกแห่ง เขาจะสอนให้เราฟรีๆพร้อมคำแนะนำ)
4. ใช้เถาวัลย์เปรียงตากแห้ง หั่นเป็นแว่น ต้มน้ำร้อนดื่ม 5 แว่น เช้า-เย็นทุกวัน
5. วิตามินและอาหารเสริม
วิตามิน B1 1 เม็ดเช้า (250 มก.) B6 1 เม็ดเช้า (50 มก.)
น้ำมันเมล็ดฟักทอง 1 แคปซูล (1,000 มก.) ถ้าหาไม่ได้ กินเมล็ดฟักทองกะเทาะเปลือก วันละ 5 ช้อนโต๊ะอีฟเวนนิง พริมโรส 1 แคปซูล
วิตามิน D 1 แคปซูล (1,000 I.U.) หรือใช้น้ำมันปลา 1 แคปซูลแทนก็ได้
*****
สาทิส อินทรกำแหง
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 25 เมษายน 2553
ทำฝนเทียมด้วยเลเซอร์ ทดลองทำบนฟ้าเหนือกรุงเบอร์ลินได้สำเร็จ
ฝนเทียม ทำฝนเทียม โดยใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงขึ้นไปก่อเมฆย่อย ๆ ขึ้นบนฟ้าเหนือกรุงเบอร์ลิน หลังจากได้ทดลองทำ ขึ้นในห้องปฏิบัติการสำเร็จมาแล้ว...
นักวิทยาศาสตร์บรรยากาศชาวสวิส อ้างว่าพบวิธีทำฝนเทียมแบบใหม่ โดยใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงขึ้นไปก่อเมฆย่อยๆขึ้นบนฟ้าเหนือกรุงเบอร์ลิน หลังจากได้ทดลองทำ ขึ้นในห้องปฏิบัติการสำเร็จมาแล้ว
นักวิทยาศาสตร์ หลายชาติได้พยายามสร้างฝนเทียมขึ้นมานานแล้ว โดยการใช้ผลึกซิลเวอร์ ไอโอไดด์ หว่านในเมฆระดับสูงในชั้นบรรยากาศ ผลึกจะก่อให้เกิดหยดน้ำเม็ดโตขึ้นรอบ ๆ ตัวเอง และเมื่อมีขนาดโตขึ้นก็ตกลงมาเป็นฝน
นิตยสาร "เดอะ นิว ไซเอนติสท์" อันมีชื่อเสียง ได้แจ้งว่า บัดนี้นักวิทยาศาสตร์เจโรม คาสปาเรียน มหาวิทยาลัยเจนีวาได้คิดค้นวิธีทำฝนเทียม ด้วยแสงเลเซอร์ และได้ทดลองทำในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ และบนท้องฟ้าเหนือกรุงเบอร์ลินสำเร็จมาแล้ว
ในการทดลองในห้องปฏิบัติการ คณะนักวิจัยได้ยิงลำแสงเลเซอร์อินฟราเรดอันเข้มข้นเป็นจังหวะสั้นๆเข้าไปใน ห้องที่เต็มไปด้วยอากาศที่อิ่มน้ำ ภายใต้อุณหภูมิ -24 องศาเซลเซียส สามารถก่อเมฆสายขึ้นมาได้ มองเห็นเหมือนกับลำไอเสียของเครื่องบิน เมื่อวิเคราะห์ ปริมาตรของหยดน้ำที่กลั่นตัวขึ้นภายหลังพบว่าได้เพิ่มขึ้นอีกครึ่งเท่าตัว ซึ่งหากเป็นภายในก้อนเมฆตามธรรมชาติบนฟ้าปริมาณของหยดน้ำที่กลั่นตัว จะเพิ่มทวีขึ้นเป็น 100 เท่า
ที่มา: ไทยรัฐฉบับพิมพ์ วันจันทร์ 10 พฤษภาคม 2553
นักวิทยาศาสตร์บรรยากาศชาวสวิส อ้างว่าพบวิธีทำฝนเทียมแบบใหม่ โดยใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงขึ้นไปก่อเมฆย่อยๆขึ้นบนฟ้าเหนือกรุงเบอร์ลิน หลังจากได้ทดลองทำ ขึ้นในห้องปฏิบัติการสำเร็จมาแล้ว
นักวิทยาศาสตร์ หลายชาติได้พยายามสร้างฝนเทียมขึ้นมานานแล้ว โดยการใช้ผลึกซิลเวอร์ ไอโอไดด์ หว่านในเมฆระดับสูงในชั้นบรรยากาศ ผลึกจะก่อให้เกิดหยดน้ำเม็ดโตขึ้นรอบ ๆ ตัวเอง และเมื่อมีขนาดโตขึ้นก็ตกลงมาเป็นฝน
นิตยสาร "เดอะ นิว ไซเอนติสท์" อันมีชื่อเสียง ได้แจ้งว่า บัดนี้นักวิทยาศาสตร์เจโรม คาสปาเรียน มหาวิทยาลัยเจนีวาได้คิดค้นวิธีทำฝนเทียม ด้วยแสงเลเซอร์ และได้ทดลองทำในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ และบนท้องฟ้าเหนือกรุงเบอร์ลินสำเร็จมาแล้ว
ในการทดลองในห้องปฏิบัติการ คณะนักวิจัยได้ยิงลำแสงเลเซอร์อินฟราเรดอันเข้มข้นเป็นจังหวะสั้นๆเข้าไปใน ห้องที่เต็มไปด้วยอากาศที่อิ่มน้ำ ภายใต้อุณหภูมิ -24 องศาเซลเซียส สามารถก่อเมฆสายขึ้นมาได้ มองเห็นเหมือนกับลำไอเสียของเครื่องบิน เมื่อวิเคราะห์ ปริมาตรของหยดน้ำที่กลั่นตัวขึ้นภายหลังพบว่าได้เพิ่มขึ้นอีกครึ่งเท่าตัว ซึ่งหากเป็นภายในก้อนเมฆตามธรรมชาติบนฟ้าปริมาณของหยดน้ำที่กลั่นตัว จะเพิ่มทวีขึ้นเป็น 100 เท่า
ที่มา: ไทยรัฐฉบับพิมพ์ วันจันทร์ 10 พฤษภาคม 2553
ฉี่–ใครว่าไม่สำคัญ (5)ฉี่–กับโรคสมอง
"ฉี่" มาถึงตอนนี้ต้องหยุดเบรกอธิบายกันสักนิดหนึ่งนะครับ คือ คำว่า "โรค" กับ "อาการ"
"โรค" คือ ชนิดของความเจ็บป่วย เช่น โรคบิด (DYSENTERY) โรคท้องร่วง (DIARRHEA)
เมื่อป่วยเป็นโรคหนึ่งโรคใด ก็จะมี "อาการ" แสดงออกมา อาจจะเป็นอาการเดียวหรือหลายๆอาการก็ได้
อย่าง ที่ยกตัวอย่าง โรคบิดก็จะมีอาการปวดท้อง มวนท้องอย่างรุนแรง แถมด้วยถ่ายออกมาเหลวๆ เวลาถ่ายก็จะถ่ายไม่หมด ถ่ายออกมาได้นิดหนึ่งก็ถ่ายไม่ออก แต่ยังปวดถ่ายอยู่ เมื่อเบ่งออกมาก็มีมูกเลือด เหล่านี้คืออาการ นั่นคือ โรคบิดโรคเดียว จะมีหลายอาการแสดงออกมา
แต่อย่างโรคท้องร่วง อาการขั้นแรกก็คือ ถ่ายออกมาเหลวๆ ถ่ายหลายหนและเป็นมากๆอาจจะถ่ายออกมาเป็นน้ำตลอดเวลา ฉะนั้นท้องร่วง อาการอาจจะขอใช้คำว่าอาจจะ นะครับ อาจจะมีแต่อาการอย่างเดียวก็ได้
ที่ยกตัวอย่างมานี้เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า โรคหนึ่งๆอาจจะมีหลายอาการหรืออีกโรคหนึ่งอาจจะมีแต่อาการเดียวก็ได้
ขอเน้นตรงนี้ก่อนนะครับ แต่ในทางกลับกันอาการอย่างเดียวกัน กลับไปปรากฏอยู่ในหลายๆโรคก็ได้
ฉะนั้น เรื่อง "ฉี่" ที่พูดมาแล้ว 4 ตอนนั่นน่ะ จะมาจากโรคตั้งหลายโรค แต่อาการจะมีเหมือนๆกัน อย่างเช่น ต่อมลูกหมากอักเสบ ก็จะมีอาการเกี่ยวกับฉี่ผิดปกติ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคหัวใจ โรคไตพิการ โรคเกี่ยวกับต่อมใต้สมอง โรคเกี่ยวกับวัยทอง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแต่มีอาการของ "ฉี่ผิดปกติ" เกี่ยวข้องอยู่ด้วยทั้งสิ้น
แม้แต่โรคเบาหวานที่พูดถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็มีอาการของฉี่ผิดปกติร่วมอยู่ด้วย
และที่สำคัญที่บอกวิธีแก้รำคาญจากการผิดปกตินั้นเป็นการบรรเทาหรือบำบัดอาการ แต่ไม่ใช่เป็นการรักษาโรค
การ บรรเทาหรือบำบัดอาการเรียกเป็นภาษาแพทย์คงจะเทียบได้กับ THERAPY ไม่ใช่การรักษา (CURE หรือ TREATMENT) เมื่อเราบรรเทาอาการบางอย่างได้ก็จะสบายขึ้น แต่โรคก็ยังไม่หาย
ฉะนั้น พูดกันอย่างฟันธงอีกที ถ้าจะให้อาการต่างๆหายไปให้หมด ก็ต้องรักษาโรคนั้นๆให้หายเสียก่อน
อย่าง เช่นเรื่องเบาหวานที่พูดถึงครั้งที่แล้ว จะมีอาการของฉี่ผิดปกติประกอบด้วย ถ้ารักษาเบาหวานให้หายเป็นปกติได้ อาการฉี่ผิดปกติก็น่าจะหายไปด้วยเช่นกัน
ฉะนั้น ตอนนี้สรุปได้ว่า ถ้ามีหลายอาการในโรคๆเดียว รักษาโรคคือต้นเหตุได้ อาการต่างๆของโรคก็จะหายไปด้วย
แต่ทำไมเรื่อง "ฉี่" จึงพูดกันยาวตั้งหลายตอน ก็เพราะอาการของ "ฉี่ผิดปกติ" นั้น จะเป็นอาการอย่างเดียวแต่แทรกอยู่ในหลายๆโรค
เรื่องฉี่ผิดปกตินี้จึงดูเหมือนเป็นโรคอย่างหนึ่ง แต่มันไม่ใช่โรค มันเป็นอาการจึงต้องอธิบายกันยืดยาวอย่างนี้
ฉะนั้น ก่อนจะสรุปเรื่องฉี่ ผมจึงต้องแจงเสียก่อนว่า "ฉี่ผิดปกติ" เป็นอาการของโรคหลายโรค วิธีแก้ฉี่ผิดปกติ จึงต้องแก้ที่ต้นเหตุเสียก่อน อาการก็จะหายไป
แต่ก็มีกรณีการป่วยบางโรค ป่วยมานาน แต่ไม่ร้ายแรง ค่อยๆเป็นทีละน้อยๆแล้วก็มากขึ้นๆจนเป็นอาการสาหัส
ระหว่างที่เป็นแต่น้อยนั้น เราก็ไม่ได้สนใจจะแก้ไขหรือรักษาอย่างจริงจัง คล้ายๆกับว่าเราอยู่กับโรคนั้นได้
และ โรคซึ่งเราไม่ค่อยระวังตัวนี้ ก็มักจะมีอาการฉี่ผิดปกติร่วมอยู่ด้วย เราก็ปล่อยให้โรคนั้นเป็นอยู่ต่อไป และอาการฉี่ผิดปกติ เราก็ปล่อยมันไปเรื่อยๆเช่นกัน
อย่างตัวอย่างโรคเบาหวาน ซึ่งกล่าวถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นต้น เมื่อมีอาการเบาหวานอย่างเบาๆ เราก็ไม่สนใจ และในระยะนั้นก็จะมีอาการฉี่ผิดปกติบ้าง เราก็ไม่สนใจ
ตอน ต้นก็คงเป็นอาการฉี่บ่อยครั้งหน่อย ต่อไปก็ชักฉี่กะปริบกะปรอย ต่อไปอีกก็ฉี่ค้างคือ ฉี่ไม่สะเด็ด หยดติ๋งๆ จนกระทั่งตอนสุดท้ายฉี่ไม่ออก ขาบวม ตัวบวม นั่นก็คือถึงขั้นที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ขั้นสุดท้ายขาบวม ตัวบวมนี่น่าสนใจมากนะครับ เพราะแสดงให้เห็นว่าได้เกิดอาการไตวายขึ้นแล้ว และถ้าถึงขั้นไตวาย ก็ไม่มีทางรักษา ทางออกบั้นปลายก็คงต้องใช้วิธีล้างไต (HEMODIALYSIS) โดยใช้เครื่องล้างไตอาทิตย์ละครั้งสองครั้งไปจนตลอดชีวิต
ขอพูดถึง เรื่องล้างไตเป็นการเพิ่มความรู้เล็กๆน้อยๆอีกนิดครับ ก่อนที่จะล้างไตด้วยเครื่องล้างไตได้ จำเป็นที่จะต้องมีการผ่าตัดเล็กน้อยเสียก่อน การผ่าตัดนั้นก็คือต่อเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนมากมักจะทำที่บริเวณข้อมือ และเมื่อต่อเส้นเลือดเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ก็ต้องรอไว้ระยะหนึ่งให้แผลหายดี แล้วจึงจะเริ่มใช้เครื่องล้างไต และก็คงต้องปล่อยสภาพการต่อเส้นเลือดไว้อย่างนั้นตลอดไปหรือตราบเท่าที่เรา ยังต้องการล้างไตอยู่
การผ่าตัดเพื่อต่อเส้นเลือดเข้าไว้ด้วยกันนั้น เรียกว่าวิธี ARTERIOVENOUS SHUNT หรือเรียกสั้นๆว่า A.V.SHUNT ซึ่งเมื่อสมัยแรกๆที่คิดวิธีล้างไตขึ้นมานั้น ใช้วิธีแทงเส้นเลือดแดงและเลือดดำเข้าล้างเครื่องกันสดๆเลย แต่ปรากฏว่าเมื่อล้างไตทุกครั้ง ใช้แทงกันสดๆกันอย่างนี้ เส้นเลือดก็จะเป็นแผลเป็น และในบริเวณที่ถูกแทงก็จะเกิดอาการคล้อท (CLOT) ทำให้เส้นเลือดแข็ง แทงเส้นครั้งต่อๆไปไม่ได้
เขาก็เลยต้อง คิดวิธีต่อเส้นเลือดเข้าด้วยกันอย่างถาวร ซึ่งก็แก้ปัญหาเรื่องเส้นเลือดแข็ง (ARTERIOVENOUS FISTULA) ในกรณีที่ต้องล้างไตเป็นประจำได้ แต่การล้างไตก็ยังคงต้องทำต่อไปตลอดเวลา เพราะยังหาวิธีรักษาอาการไตวายไม่ได้ คงใช้การล้างไตเป็นการบรรเทาอาการไตวายเท่านั้น
ที่ครั้งนี้ต้อง เขียนอธิบายเรื่องโรคและอาการค่อนข้างยืดยาวนั้น ก็เพราะหลายท่านเข้าใจผิดว่าโรคกับอาการเป็นเรื่องเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มเขียนเรื่อง "ฉี่" มาได้สองตอนก็ถูกถามหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ถามท่านไม่เข้าใจเรื่องโรคกับอาการ ก็เลยต้องอธิบายให้เห็นความแตกต่างและความสำคัญของการรู้จักแยกโรคและอาการ ว่ามันต่างกันอย่างไร ยืดยาวหน่อย ขอโทษด้วยครับ
ขอสรุปเฉพาะตอนนี้ว่าอย่างเรื่อง เบา-หวานกับฉี่ผิดปกติ นั้น ต้องแก้ทั้งสองอย่างเสียแต่เนิ่นๆ และต้องทำทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน
อย่าง เช่น เริ่มรู้สึกเพลียโดยไม่มีเหตุผล มีอาการความดันโลหิตสูง ก็รีบไปตรวจเบาหวาน และเมื่อแม้แต่ตรวจแล้ว น้ำตาลในเลือดยังต่ำอยู่ แต่อาการผิดปกตินั้นยังคงอยู่ ก็แก้เรื่องอาหารและควบคุมเรื่องน้ำตาลในเลือดไว้ก่อน
ขณะเดียวกันก็สังเกตดูว่ามีอาการผิดปกติเรื่องฉี่หรือเปล่า ถ้ามีก็คงแก้ไปพร้อมๆกับการคุมอาหารและคุมน้ำตาล
ที่ แน่นอนและอยากย้ำแล้วย้ำอีกตอนนี้ก็คือ ตรวจแล้วจะเป็นหรือไม่เป็นก็ตาม ขอให้ปลีกเวลาออกกำลังกายอย่างหนักเป็นประจำไว้ก่อน ได้แนะนำไว้หลายครั้งแล้วนะครับว่า ถ้าไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายด้วยวิธีใดดี ก็ขอให้ยึดวิธีรำตะบองของชีวจิตนั่นแหละครับ ทำเป็นประจำ ทำให้ได้พีก ผมขอเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่า จะได้ผลดี ช่วยรักษาได้ทั้งโรคและอาการทั้งหมด
ยังไม่จบนะครับเรื่อง "ฉี่" คราวหน้าขอต่ออีกนิด เรื่องฉี่ผิดปกติเพราะอัมพาตและฉี่ผิดปกติ เพราะเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะและไตโดยตรง
"โรค" คือ ชนิดของความเจ็บป่วย เช่น โรคบิด (DYSENTERY) โรคท้องร่วง (DIARRHEA)
เมื่อป่วยเป็นโรคหนึ่งโรคใด ก็จะมี "อาการ" แสดงออกมา อาจจะเป็นอาการเดียวหรือหลายๆอาการก็ได้
อย่าง ที่ยกตัวอย่าง โรคบิดก็จะมีอาการปวดท้อง มวนท้องอย่างรุนแรง แถมด้วยถ่ายออกมาเหลวๆ เวลาถ่ายก็จะถ่ายไม่หมด ถ่ายออกมาได้นิดหนึ่งก็ถ่ายไม่ออก แต่ยังปวดถ่ายอยู่ เมื่อเบ่งออกมาก็มีมูกเลือด เหล่านี้คืออาการ นั่นคือ โรคบิดโรคเดียว จะมีหลายอาการแสดงออกมา
แต่อย่างโรคท้องร่วง อาการขั้นแรกก็คือ ถ่ายออกมาเหลวๆ ถ่ายหลายหนและเป็นมากๆอาจจะถ่ายออกมาเป็นน้ำตลอดเวลา ฉะนั้นท้องร่วง อาการอาจจะขอใช้คำว่าอาจจะ นะครับ อาจจะมีแต่อาการอย่างเดียวก็ได้
ที่ยกตัวอย่างมานี้เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า โรคหนึ่งๆอาจจะมีหลายอาการหรืออีกโรคหนึ่งอาจจะมีแต่อาการเดียวก็ได้
ขอเน้นตรงนี้ก่อนนะครับ แต่ในทางกลับกันอาการอย่างเดียวกัน กลับไปปรากฏอยู่ในหลายๆโรคก็ได้
ฉะนั้น เรื่อง "ฉี่" ที่พูดมาแล้ว 4 ตอนนั่นน่ะ จะมาจากโรคตั้งหลายโรค แต่อาการจะมีเหมือนๆกัน อย่างเช่น ต่อมลูกหมากอักเสบ ก็จะมีอาการเกี่ยวกับฉี่ผิดปกติ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคหัวใจ โรคไตพิการ โรคเกี่ยวกับต่อมใต้สมอง โรคเกี่ยวกับวัยทอง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแต่มีอาการของ "ฉี่ผิดปกติ" เกี่ยวข้องอยู่ด้วยทั้งสิ้น
แม้แต่โรคเบาหวานที่พูดถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็มีอาการของฉี่ผิดปกติร่วมอยู่ด้วย
และที่สำคัญที่บอกวิธีแก้รำคาญจากการผิดปกตินั้นเป็นการบรรเทาหรือบำบัดอาการ แต่ไม่ใช่เป็นการรักษาโรค
การ บรรเทาหรือบำบัดอาการเรียกเป็นภาษาแพทย์คงจะเทียบได้กับ THERAPY ไม่ใช่การรักษา (CURE หรือ TREATMENT) เมื่อเราบรรเทาอาการบางอย่างได้ก็จะสบายขึ้น แต่โรคก็ยังไม่หาย
ฉะนั้น พูดกันอย่างฟันธงอีกที ถ้าจะให้อาการต่างๆหายไปให้หมด ก็ต้องรักษาโรคนั้นๆให้หายเสียก่อน
อย่าง เช่นเรื่องเบาหวานที่พูดถึงครั้งที่แล้ว จะมีอาการของฉี่ผิดปกติประกอบด้วย ถ้ารักษาเบาหวานให้หายเป็นปกติได้ อาการฉี่ผิดปกติก็น่าจะหายไปด้วยเช่นกัน
ฉะนั้น ตอนนี้สรุปได้ว่า ถ้ามีหลายอาการในโรคๆเดียว รักษาโรคคือต้นเหตุได้ อาการต่างๆของโรคก็จะหายไปด้วย
แต่ทำไมเรื่อง "ฉี่" จึงพูดกันยาวตั้งหลายตอน ก็เพราะอาการของ "ฉี่ผิดปกติ" นั้น จะเป็นอาการอย่างเดียวแต่แทรกอยู่ในหลายๆโรค
เรื่องฉี่ผิดปกตินี้จึงดูเหมือนเป็นโรคอย่างหนึ่ง แต่มันไม่ใช่โรค มันเป็นอาการจึงต้องอธิบายกันยืดยาวอย่างนี้
ฉะนั้น ก่อนจะสรุปเรื่องฉี่ ผมจึงต้องแจงเสียก่อนว่า "ฉี่ผิดปกติ" เป็นอาการของโรคหลายโรค วิธีแก้ฉี่ผิดปกติ จึงต้องแก้ที่ต้นเหตุเสียก่อน อาการก็จะหายไป
แต่ก็มีกรณีการป่วยบางโรค ป่วยมานาน แต่ไม่ร้ายแรง ค่อยๆเป็นทีละน้อยๆแล้วก็มากขึ้นๆจนเป็นอาการสาหัส
ระหว่างที่เป็นแต่น้อยนั้น เราก็ไม่ได้สนใจจะแก้ไขหรือรักษาอย่างจริงจัง คล้ายๆกับว่าเราอยู่กับโรคนั้นได้
และ โรคซึ่งเราไม่ค่อยระวังตัวนี้ ก็มักจะมีอาการฉี่ผิดปกติร่วมอยู่ด้วย เราก็ปล่อยให้โรคนั้นเป็นอยู่ต่อไป และอาการฉี่ผิดปกติ เราก็ปล่อยมันไปเรื่อยๆเช่นกัน
อย่างตัวอย่างโรคเบาหวาน ซึ่งกล่าวถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นต้น เมื่อมีอาการเบาหวานอย่างเบาๆ เราก็ไม่สนใจ และในระยะนั้นก็จะมีอาการฉี่ผิดปกติบ้าง เราก็ไม่สนใจ
ตอน ต้นก็คงเป็นอาการฉี่บ่อยครั้งหน่อย ต่อไปก็ชักฉี่กะปริบกะปรอย ต่อไปอีกก็ฉี่ค้างคือ ฉี่ไม่สะเด็ด หยดติ๋งๆ จนกระทั่งตอนสุดท้ายฉี่ไม่ออก ขาบวม ตัวบวม นั่นก็คือถึงขั้นที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ขั้นสุดท้ายขาบวม ตัวบวมนี่น่าสนใจมากนะครับ เพราะแสดงให้เห็นว่าได้เกิดอาการไตวายขึ้นแล้ว และถ้าถึงขั้นไตวาย ก็ไม่มีทางรักษา ทางออกบั้นปลายก็คงต้องใช้วิธีล้างไต (HEMODIALYSIS) โดยใช้เครื่องล้างไตอาทิตย์ละครั้งสองครั้งไปจนตลอดชีวิต
ขอพูดถึง เรื่องล้างไตเป็นการเพิ่มความรู้เล็กๆน้อยๆอีกนิดครับ ก่อนที่จะล้างไตด้วยเครื่องล้างไตได้ จำเป็นที่จะต้องมีการผ่าตัดเล็กน้อยเสียก่อน การผ่าตัดนั้นก็คือต่อเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนมากมักจะทำที่บริเวณข้อมือ และเมื่อต่อเส้นเลือดเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ก็ต้องรอไว้ระยะหนึ่งให้แผลหายดี แล้วจึงจะเริ่มใช้เครื่องล้างไต และก็คงต้องปล่อยสภาพการต่อเส้นเลือดไว้อย่างนั้นตลอดไปหรือตราบเท่าที่เรา ยังต้องการล้างไตอยู่
การผ่าตัดเพื่อต่อเส้นเลือดเข้าไว้ด้วยกันนั้น เรียกว่าวิธี ARTERIOVENOUS SHUNT หรือเรียกสั้นๆว่า A.V.SHUNT ซึ่งเมื่อสมัยแรกๆที่คิดวิธีล้างไตขึ้นมานั้น ใช้วิธีแทงเส้นเลือดแดงและเลือดดำเข้าล้างเครื่องกันสดๆเลย แต่ปรากฏว่าเมื่อล้างไตทุกครั้ง ใช้แทงกันสดๆกันอย่างนี้ เส้นเลือดก็จะเป็นแผลเป็น และในบริเวณที่ถูกแทงก็จะเกิดอาการคล้อท (CLOT) ทำให้เส้นเลือดแข็ง แทงเส้นครั้งต่อๆไปไม่ได้
เขาก็เลยต้อง คิดวิธีต่อเส้นเลือดเข้าด้วยกันอย่างถาวร ซึ่งก็แก้ปัญหาเรื่องเส้นเลือดแข็ง (ARTERIOVENOUS FISTULA) ในกรณีที่ต้องล้างไตเป็นประจำได้ แต่การล้างไตก็ยังคงต้องทำต่อไปตลอดเวลา เพราะยังหาวิธีรักษาอาการไตวายไม่ได้ คงใช้การล้างไตเป็นการบรรเทาอาการไตวายเท่านั้น
ที่ครั้งนี้ต้อง เขียนอธิบายเรื่องโรคและอาการค่อนข้างยืดยาวนั้น ก็เพราะหลายท่านเข้าใจผิดว่าโรคกับอาการเป็นเรื่องเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มเขียนเรื่อง "ฉี่" มาได้สองตอนก็ถูกถามหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ถามท่านไม่เข้าใจเรื่องโรคกับอาการ ก็เลยต้องอธิบายให้เห็นความแตกต่างและความสำคัญของการรู้จักแยกโรคและอาการ ว่ามันต่างกันอย่างไร ยืดยาวหน่อย ขอโทษด้วยครับ
ขอสรุปเฉพาะตอนนี้ว่าอย่างเรื่อง เบา-หวานกับฉี่ผิดปกติ นั้น ต้องแก้ทั้งสองอย่างเสียแต่เนิ่นๆ และต้องทำทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน
อย่าง เช่น เริ่มรู้สึกเพลียโดยไม่มีเหตุผล มีอาการความดันโลหิตสูง ก็รีบไปตรวจเบาหวาน และเมื่อแม้แต่ตรวจแล้ว น้ำตาลในเลือดยังต่ำอยู่ แต่อาการผิดปกตินั้นยังคงอยู่ ก็แก้เรื่องอาหารและควบคุมเรื่องน้ำตาลในเลือดไว้ก่อน
ขณะเดียวกันก็สังเกตดูว่ามีอาการผิดปกติเรื่องฉี่หรือเปล่า ถ้ามีก็คงแก้ไปพร้อมๆกับการคุมอาหารและคุมน้ำตาล
ที่ แน่นอนและอยากย้ำแล้วย้ำอีกตอนนี้ก็คือ ตรวจแล้วจะเป็นหรือไม่เป็นก็ตาม ขอให้ปลีกเวลาออกกำลังกายอย่างหนักเป็นประจำไว้ก่อน ได้แนะนำไว้หลายครั้งแล้วนะครับว่า ถ้าไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายด้วยวิธีใดดี ก็ขอให้ยึดวิธีรำตะบองของชีวจิตนั่นแหละครับ ทำเป็นประจำ ทำให้ได้พีก ผมขอเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่า จะได้ผลดี ช่วยรักษาได้ทั้งโรคและอาการทั้งหมด
ยังไม่จบนะครับเรื่อง "ฉี่" คราวหน้าขอต่ออีกนิด เรื่องฉี่ผิดปกติเพราะอัมพาตและฉี่ผิดปกติ เพราะเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะและไตโดยตรง
ฉี่–ใครว่าไม่สำคัญ (6)ฉี่–กับโรคสมอง
"ฉี่ กับ โรคสมอง" ไม่ใช่ฉี่ใส่สมองนะครับ
"โรคสมอง" หมายความว่าโรคต่างๆเกี่ยวกับสมอง ซึ่งมีหลายโรคเหลือเกิน
และโรคซึ่งเกี่ยวกับสมองเหล่านี้ จะมีอาการเกี่ยวกับ "ฉี่ผิดปกติ" เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ
ขอ ยกตัวอย่างโรคเกี่ยวกับสมองซึ่งเราค่อนข้างจะได้ยินบ่อยและรู้จักกันดี อย่างเช่น เส้นโลหิตในสมองแตกหรืออุดตัน ซึ่งจะเรียกกันเป็นภาษาสามัญทางการแพทย์ว่า STROKES
ถ้าของไทยเราก็ คงจะเรียกกันว่า อัมพาตหรืออย่างเบาๆก็คงว่าอัมพฤกษ์ โรคนี้เริ่มขึ้นที่สมองก่อน คือ เส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองใหญ่ (CEREBRUM) อุดตันหรือแตก หรืออาจจะเป็นสมองส่วนอื่นๆก็ได้ อย่างเช่น สมองส่วนกลาง
เมื่อ เส้นเลือดแตก เลือดที่ไหลออกมาก็จะไปคั่งอยู่ในสมอง สมองส่วนอื่นๆก็ทำงานไม่ได้หรือถ้าเส้นเลือดอุดตัน เซลล์ของสมองส่วนที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากโลหิตก็จะตาย
เมื่อสมอง ส่วนหนึ่งส่วนใดทำงานไม่ได้ ร่างกายที่เกี่ยวข้องกับสมองส่วนนั้นก็จะชาหรือพิการ เกิดอาการพิการไปครึ่งซีกหรือทั้งหมดของร่างกายได้
ที่น่าสังเกตก็ คือสมองใหญ่ 2 ซีกนั้นแยกกันทำหน้าที่ควบคุมร่างกายเป็นซีกตรงกันข้าม คือ ซีกซ้ายจะคุมร่างกายทางขวา และซีกขวาจะควบคุมร่างกายทางซ้าย
ฉะนั้น ถ้าใครเกิดเส้นโลหิตแตกหรืออุดตันทางสมองซีกซ้าย ด้านขวาของร่างกายก็จะเป็นอัมพาต หรือเป็นสมองด้านขวา ด้านซ้ายของร่างกายก็จะเป็นอัมพาตกลับกันอย่างนี้
แล้วก็ยังมีโรคของสมองอีกหลายโรคจะมีส่วนกระทบต่อร่างกายบางซีกบางส่วน หรือบางทีก็ร่างกายทั้งตัวก็ได้เช่นกัน
อย่าง โรคพาร์กินสันที่ทำให้มีอาการสั่นบางส่วนของร่างกายหรือทั้งตัว ลมชักหรือลมบ้าหมูที่ทำให้มีอาการชัก เกร็งและกระตุก อัลไซเมอร์และความจำเสื่อมเพราะความชรา (ALZHEIMER’S DISEASE และ SENILE DEMENTIA) และ ยังมีโรคเกี่ยวกับสมองอื่นๆอีกหลายอย่าง
ที่อยากจะสรุปลงตอนนี้เสียก่อนก็คือว่าโรคเกี่ยวกับสมองต่างๆเหล่านี้ จะมี อาการของปัสสาวะผิดปกติร่วมอยู่ด้วยเสมอ
สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าอาการฉี่ผิดปกติของโรคสมองนี้ ผิดกับอาการฉี่ผิดปกติของโรคที่ไม่เกี่ยว กับสมอง
ผิด กันก็อยู่ตรงที่ว่าการฉี่ผิดปกติของโรคที่ไม่เกี่ยวกับสมองนี้ ส่วนมากเราพอจะบังคับไม่ให้ฉี่ราดได้ อย่างเช่น เบาหวานหรือต่อมลูกหมากอักเสบนั้น ต้องฉี่บ่อยๆก็จริง และบางครั้ง ปวดฉี่จนหน้าเขียวก็จริง ก็ยังพอบังคับหรือกลั้นไว้หน่อยหนึ่ง ถ่วงเวลาพอจนกระทั่งวิ่งไปถึงห้องน้ำได้ (แม้กระทั่งถึงห้องน้ำแล้วมีคนยืนฉี่อยู่ก่อน ก็พอมีโอกาสทำหน้ากระมิดกระเมี้ยนกลั้นยืนรออยู่ได้อีกสักครู่)
แต่ การฉี่ผิดปกติเพราะโรคเกี่ยวกับสมองนั้นจะกลั้นไม่อยู่ ส่วนมากมักจะฉี่ราด หรือบางทีไม่รู้ตัวว่าจะปวดฉี่ด้วยซ้ำ อยู่เฉยๆปัสสาวะก็ราดออกมาเฉยๆ
ฉี่ ราดเฉยๆโดยไม่รู้ตัวเช่นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแลหรือครอบ ครัวใกล้ชิดที่จะต้องดูแลผู้ป่วย ใครที่ไม่เคยต้องดูแลผู้ป่วยเพราะโรคสมองเหล่านี้ คงจะไม่เข้าใจหรอกว่าการดูแลการขับถ่ายของผู้ป่วยซึ่งรวมทั้งการปัสสาวะผิด ปกติอยู่ด้วยนี้ เป็นเรื่องน่าสงสารและเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับผู้ป่วยผู้ดูแลหรือผู้ พยาบาลเพียงใด
เพราะฉะนั้น บทความตอนนี้จึงมุ่งที่จะ ช่วยบรรเทาความทรมานของผู้ป่วยและบรรเทาความอดทนอย่างหนักหนาสาหัสสำหรับผู้ พยาบาลและผู้ดูแลเสียก่อน
แต่อย่าลืมนะครับว่าการบรรเทาหรือการบำบัด นี้ไม่ใช่การรักษา ผมได้อธิบายไว้แล้วในบทความตอนก่อนๆว่า ถ้าจะแก้อาการต่างๆให้หายโดยเด็ดขาด ก็ต้องแก้ตัวโรคซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการให้ได้เสียก่อน แล้วอาการต่างๆก็จะหายไปเอง
ขอให้เข้าใจเรื่องกายวิภาคของสมองสักนิด หนึ่ง สมอง คือกองบัญชาการใหญ่ของร่างกาย การจะเคลื่อนไหวส่วนใดของร่างกายต้องเริ่มที่สมองก่อน แล้วสมองจะสั่งมาที่กระดูก สันหลัง กระดูกสันหลังก็จะสั่งประสาท และกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายให้ เคลื่อนไหวได้
ในขณะ เดียวกันเรื่องของการฉี่นั้น ความ รู้สึกและการสั่งการให้ อวัยวะแก่การฉี่เริ่มที่สมอง อยู่ในบริเวณสมองส่วนกลาง ซึ่งส่วนหนึ่งของสมองส่วนกลางเรียกว่า HYPOTHALAMIC REGION นี้เป็นจุดเริ่มต้น
ถ้าสมองส่วนนี้ถูกกดหรือทำงานไม่ได้ ขั้นตอนของการฉี่ก็เสียไปหมด ขอยกตัวอย่างของผู้ป่วย เป็นอัมพาต ถ้าเป็นอัมพาตขนาดหนักจะเคลื่อนไหว ตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ ระบบต่างๆของร่างกายรวนเร หมดอย่างนี้ อาการหนักมาก เรื่องการฉี่คงจัดการอะไรไม่ได้ ในกรณีต้องใช้วิธีใส่ท่อสวนกระเพาะปัสสาวะและปล่อยให้ปัสสาวะลงถุงตลอดเวลา
แต่ถ้าคนไข้ยังรู้ตัว แม้แต่พูดไม่ได้ แต่ก็พอกระดุกกระดิกตัวได้
1. ให้สังเกตว่าคนไข้เครียดมากหรือเปล่า ถ้าคนไข้เครียด ลองจับเนื้อตัว แขนขาดู จะเห็นว่า เกร็งและกล้ามเนื้อแข็งไปหมด ในกรณีนี้แทนที่จะฉี่ราดก็กลับฉี่ไม่ค่อยออก
วิธีแก้คือ เช็ดเนื้อเช็ดตัวคนไข้ให้สะอาดและให้สบายตัว แล้วนวดแบบสบายๆ (ไม่ใช่นวดเส้น) คือ นวดใช้ฝ่ามือกดผสมกับใช้หัวแม่มือกดผ่อนคลาย
ถ้าคนไข้นอนคว่ำได้ ให้กด-นวดบริเวณก้นกบเบาๆ พอคนไข้สบาย ก็จะหายเกร็งและเริ่มปัสสาวะได้
2. ถ้าฉี่ออกและฉี่ราดบ่อยๆ หากระบอกฉี่ (ผู้ชาย) ไว้ข้างตัว ถ้าเป็นผู้หญิงใช้โถฉี่ชนิดบนเตียง พยายามหัดให้ฉี่เป็นเวลา ประมาณทุกชั่วโมง จะฉี่ออกหรือไม่ออกก็ให้หัดฉี่ไว้ก่อน ข้อสำคัญอย่าให้คนไข้เครียด ให้ฟังเพลงหรือดูทีวี หรือซีดีเรื่องตลกๆ เบาสมองให้มากๆ
3. ถ้าคนไข้เคลื่อนไหวได้หรือเดินได้ ให้ออก กำลังกายท่ารำตะบอง คือ ท่าแถม (ถือตะบองสองมือตรงเอวด้านหลัง นั่งยองๆลงบนส้นเท้า ย่อ 3 ครั้ง แล้วปล่อยตัวนั่งบนส้นเท้า จากนั้นยกตัวช้าๆ ขึ้นยืน (นับเป็น 1 ชุด) ให้ทำอย่างน้อย 5-10 ชุดต่อครั้ง)
4. ถ้าคนไข้เคลื่อนไหวได้ดี และสามารถพูดจาเข้าใจกันเหมือนคนปกติ ให้ลองหัดวิธีบริหาร แบบขมิบ ที่เรียกกันว่า KEGEL EXERCISE
วิธี ฝึกที่ดีก็คือ ขณะกำลัง "ฉี่" อยู่ อย่าปล่อยให้ฉี่จนสุด แต่ให้กลั้นหยุดฉี่ไว้แล้วนับหนึ่งถึงสิบ แล้วจึงฉี่ต่อ ทำหลายๆครั้ง ต่อไปจะกลั้นฉี่ และบังคับฉี่ได้
5. สมุนไพรบางตัว เอามาทำเป็นชาชงน้ำดื่มดี เช่น ต้นขัดมอญ ใบทองพันชั่ง ใบเหงือกปลาหมอ อย่าปนกัน ใช้ทีละอย่าง
เอาสมุนไพรเหล่านี้ ตากให้แห้ง แล้วคั่วพอหอม ชงน้ำดื่มครั้งละประมาณ 3 หยิบมือ (แยกกัน-อย่าต้มรวมกัน ดื่มทีละอย่างสลับกัน).
สาทิส อินทรกำแหง
********
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2553
"โรคสมอง" หมายความว่าโรคต่างๆเกี่ยวกับสมอง ซึ่งมีหลายโรคเหลือเกิน
และโรคซึ่งเกี่ยวกับสมองเหล่านี้ จะมีอาการเกี่ยวกับ "ฉี่ผิดปกติ" เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ
ขอ ยกตัวอย่างโรคเกี่ยวกับสมองซึ่งเราค่อนข้างจะได้ยินบ่อยและรู้จักกันดี อย่างเช่น เส้นโลหิตในสมองแตกหรืออุดตัน ซึ่งจะเรียกกันเป็นภาษาสามัญทางการแพทย์ว่า STROKES
ถ้าของไทยเราก็ คงจะเรียกกันว่า อัมพาตหรืออย่างเบาๆก็คงว่าอัมพฤกษ์ โรคนี้เริ่มขึ้นที่สมองก่อน คือ เส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองใหญ่ (CEREBRUM) อุดตันหรือแตก หรืออาจจะเป็นสมองส่วนอื่นๆก็ได้ อย่างเช่น สมองส่วนกลาง
เมื่อ เส้นเลือดแตก เลือดที่ไหลออกมาก็จะไปคั่งอยู่ในสมอง สมองส่วนอื่นๆก็ทำงานไม่ได้หรือถ้าเส้นเลือดอุดตัน เซลล์ของสมองส่วนที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากโลหิตก็จะตาย
เมื่อสมอง ส่วนหนึ่งส่วนใดทำงานไม่ได้ ร่างกายที่เกี่ยวข้องกับสมองส่วนนั้นก็จะชาหรือพิการ เกิดอาการพิการไปครึ่งซีกหรือทั้งหมดของร่างกายได้
ที่น่าสังเกตก็ คือสมองใหญ่ 2 ซีกนั้นแยกกันทำหน้าที่ควบคุมร่างกายเป็นซีกตรงกันข้าม คือ ซีกซ้ายจะคุมร่างกายทางขวา และซีกขวาจะควบคุมร่างกายทางซ้าย
ฉะนั้น ถ้าใครเกิดเส้นโลหิตแตกหรืออุดตันทางสมองซีกซ้าย ด้านขวาของร่างกายก็จะเป็นอัมพาต หรือเป็นสมองด้านขวา ด้านซ้ายของร่างกายก็จะเป็นอัมพาตกลับกันอย่างนี้
แล้วก็ยังมีโรคของสมองอีกหลายโรคจะมีส่วนกระทบต่อร่างกายบางซีกบางส่วน หรือบางทีก็ร่างกายทั้งตัวก็ได้เช่นกัน
อย่าง โรคพาร์กินสันที่ทำให้มีอาการสั่นบางส่วนของร่างกายหรือทั้งตัว ลมชักหรือลมบ้าหมูที่ทำให้มีอาการชัก เกร็งและกระตุก อัลไซเมอร์และความจำเสื่อมเพราะความชรา (ALZHEIMER’S DISEASE และ SENILE DEMENTIA) และ ยังมีโรคเกี่ยวกับสมองอื่นๆอีกหลายอย่าง
ที่อยากจะสรุปลงตอนนี้เสียก่อนก็คือว่าโรคเกี่ยวกับสมองต่างๆเหล่านี้ จะมี อาการของปัสสาวะผิดปกติร่วมอยู่ด้วยเสมอ
สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าอาการฉี่ผิดปกติของโรคสมองนี้ ผิดกับอาการฉี่ผิดปกติของโรคที่ไม่เกี่ยว กับสมอง
ผิด กันก็อยู่ตรงที่ว่าการฉี่ผิดปกติของโรคที่ไม่เกี่ยวกับสมองนี้ ส่วนมากเราพอจะบังคับไม่ให้ฉี่ราดได้ อย่างเช่น เบาหวานหรือต่อมลูกหมากอักเสบนั้น ต้องฉี่บ่อยๆก็จริง และบางครั้ง ปวดฉี่จนหน้าเขียวก็จริง ก็ยังพอบังคับหรือกลั้นไว้หน่อยหนึ่ง ถ่วงเวลาพอจนกระทั่งวิ่งไปถึงห้องน้ำได้ (แม้กระทั่งถึงห้องน้ำแล้วมีคนยืนฉี่อยู่ก่อน ก็พอมีโอกาสทำหน้ากระมิดกระเมี้ยนกลั้นยืนรออยู่ได้อีกสักครู่)
แต่ การฉี่ผิดปกติเพราะโรคเกี่ยวกับสมองนั้นจะกลั้นไม่อยู่ ส่วนมากมักจะฉี่ราด หรือบางทีไม่รู้ตัวว่าจะปวดฉี่ด้วยซ้ำ อยู่เฉยๆปัสสาวะก็ราดออกมาเฉยๆ
ฉี่ ราดเฉยๆโดยไม่รู้ตัวเช่นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแลหรือครอบ ครัวใกล้ชิดที่จะต้องดูแลผู้ป่วย ใครที่ไม่เคยต้องดูแลผู้ป่วยเพราะโรคสมองเหล่านี้ คงจะไม่เข้าใจหรอกว่าการดูแลการขับถ่ายของผู้ป่วยซึ่งรวมทั้งการปัสสาวะผิด ปกติอยู่ด้วยนี้ เป็นเรื่องน่าสงสารและเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับผู้ป่วยผู้ดูแลหรือผู้ พยาบาลเพียงใด
เพราะฉะนั้น บทความตอนนี้จึงมุ่งที่จะ ช่วยบรรเทาความทรมานของผู้ป่วยและบรรเทาความอดทนอย่างหนักหนาสาหัสสำหรับผู้ พยาบาลและผู้ดูแลเสียก่อน
แต่อย่าลืมนะครับว่าการบรรเทาหรือการบำบัด นี้ไม่ใช่การรักษา ผมได้อธิบายไว้แล้วในบทความตอนก่อนๆว่า ถ้าจะแก้อาการต่างๆให้หายโดยเด็ดขาด ก็ต้องแก้ตัวโรคซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการให้ได้เสียก่อน แล้วอาการต่างๆก็จะหายไปเอง
ขอให้เข้าใจเรื่องกายวิภาคของสมองสักนิด หนึ่ง สมอง คือกองบัญชาการใหญ่ของร่างกาย การจะเคลื่อนไหวส่วนใดของร่างกายต้องเริ่มที่สมองก่อน แล้วสมองจะสั่งมาที่กระดูก สันหลัง กระดูกสันหลังก็จะสั่งประสาท และกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายให้ เคลื่อนไหวได้
ในขณะ เดียวกันเรื่องของการฉี่นั้น ความ รู้สึกและการสั่งการให้ อวัยวะแก่การฉี่เริ่มที่สมอง อยู่ในบริเวณสมองส่วนกลาง ซึ่งส่วนหนึ่งของสมองส่วนกลางเรียกว่า HYPOTHALAMIC REGION นี้เป็นจุดเริ่มต้น
ถ้าสมองส่วนนี้ถูกกดหรือทำงานไม่ได้ ขั้นตอนของการฉี่ก็เสียไปหมด ขอยกตัวอย่างของผู้ป่วย เป็นอัมพาต ถ้าเป็นอัมพาตขนาดหนักจะเคลื่อนไหว ตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ ระบบต่างๆของร่างกายรวนเร หมดอย่างนี้ อาการหนักมาก เรื่องการฉี่คงจัดการอะไรไม่ได้ ในกรณีต้องใช้วิธีใส่ท่อสวนกระเพาะปัสสาวะและปล่อยให้ปัสสาวะลงถุงตลอดเวลา
แต่ถ้าคนไข้ยังรู้ตัว แม้แต่พูดไม่ได้ แต่ก็พอกระดุกกระดิกตัวได้
1. ให้สังเกตว่าคนไข้เครียดมากหรือเปล่า ถ้าคนไข้เครียด ลองจับเนื้อตัว แขนขาดู จะเห็นว่า เกร็งและกล้ามเนื้อแข็งไปหมด ในกรณีนี้แทนที่จะฉี่ราดก็กลับฉี่ไม่ค่อยออก
วิธีแก้คือ เช็ดเนื้อเช็ดตัวคนไข้ให้สะอาดและให้สบายตัว แล้วนวดแบบสบายๆ (ไม่ใช่นวดเส้น) คือ นวดใช้ฝ่ามือกดผสมกับใช้หัวแม่มือกดผ่อนคลาย
ถ้าคนไข้นอนคว่ำได้ ให้กด-นวดบริเวณก้นกบเบาๆ พอคนไข้สบาย ก็จะหายเกร็งและเริ่มปัสสาวะได้
2. ถ้าฉี่ออกและฉี่ราดบ่อยๆ หากระบอกฉี่ (ผู้ชาย) ไว้ข้างตัว ถ้าเป็นผู้หญิงใช้โถฉี่ชนิดบนเตียง พยายามหัดให้ฉี่เป็นเวลา ประมาณทุกชั่วโมง จะฉี่ออกหรือไม่ออกก็ให้หัดฉี่ไว้ก่อน ข้อสำคัญอย่าให้คนไข้เครียด ให้ฟังเพลงหรือดูทีวี หรือซีดีเรื่องตลกๆ เบาสมองให้มากๆ
3. ถ้าคนไข้เคลื่อนไหวได้หรือเดินได้ ให้ออก กำลังกายท่ารำตะบอง คือ ท่าแถม (ถือตะบองสองมือตรงเอวด้านหลัง นั่งยองๆลงบนส้นเท้า ย่อ 3 ครั้ง แล้วปล่อยตัวนั่งบนส้นเท้า จากนั้นยกตัวช้าๆ ขึ้นยืน (นับเป็น 1 ชุด) ให้ทำอย่างน้อย 5-10 ชุดต่อครั้ง)
4. ถ้าคนไข้เคลื่อนไหวได้ดี และสามารถพูดจาเข้าใจกันเหมือนคนปกติ ให้ลองหัดวิธีบริหาร แบบขมิบ ที่เรียกกันว่า KEGEL EXERCISE
วิธี ฝึกที่ดีก็คือ ขณะกำลัง "ฉี่" อยู่ อย่าปล่อยให้ฉี่จนสุด แต่ให้กลั้นหยุดฉี่ไว้แล้วนับหนึ่งถึงสิบ แล้วจึงฉี่ต่อ ทำหลายๆครั้ง ต่อไปจะกลั้นฉี่ และบังคับฉี่ได้
5. สมุนไพรบางตัว เอามาทำเป็นชาชงน้ำดื่มดี เช่น ต้นขัดมอญ ใบทองพันชั่ง ใบเหงือกปลาหมอ อย่าปนกัน ใช้ทีละอย่าง
เอาสมุนไพรเหล่านี้ ตากให้แห้ง แล้วคั่วพอหอม ชงน้ำดื่มครั้งละประมาณ 3 หยิบมือ (แยกกัน-อย่าต้มรวมกัน ดื่มทีละอย่างสลับกัน).
สาทิส อินทรกำแหง
********
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2553
อยู่ก่อนแต่ง
ในเมื่อสภาพการเมืองและสภาพเศรษฐกิจไม่เป็นใจให้คู่รักคู่เลิฟบางรายจัด งานฉลองมงคลสมรสกันในเวลานี้ เหตุนี้คู่รักบางคู่ที่ยังไม่พร้อมจึงต้องร้องเพลง "รอ" กันต่อไป แต่ถึงเป็นงี้ ก็รู้น่าว่า คู่รักที่มั่นใจต่อกันอย่างสุดๆ ย่อมไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆที่ขัดขวางพวกเค้าเอาไว้อย่างแน่นอน ก็ถ้ารักจริงหวังแต่งซะอย่าง ไม่ว่าจะเลื่อนไปวันใดย่อมไม่เปลี่ยนใจหรอกน่า
พูด ถึงเรื่องคู่รักหรือคู่ที่เป็นแฟนกันนี่ก็มีประเด็น ให้ฝอยกันเยอะ เพราะบางคู่นี่รักกันม้าก มาก แถมรักกันจริง รักกันจังซะด้วย ดังนั้น เมื่อทั้งคู่มีอายุพอสมควรแล้วจึงเลือกที่จะแต่งงานกันอย่างเป็นทางการไปซะ เพื่อแสดงให้รู้ไงว่าฝ่ายชายนั้นให้เกียรติกับฝ่ายหญิงและครอบครัวของฝ่าย หญิงนะเฟ้ย...ซึ่งกรณีนี้น่าสนับสนุน เพราะแสดงว่ามีความจริงใจ ต่อกันน่าสรรเสริญ
แต่หนุ่มสาววัยรุ่นสมัยนี้ไม่รู้เป็นไง ไฟราคะมันชอบสปาร์ก (ไฟลุกพึ่บ) กันเร็วมาก จึงชอบหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ด้วยกันก่อนแต่งจนเห็นกันชินตาไปซะแล้ว สงสัยเพราะฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านคล้ายขีปนาวุธอยากพุ่งออกจากฐานละมั้งก็เลย ห้ามจิตห้ามใจกันไว้ไม่ไหว พอได้จับไม้จับมือกันเข้าหน่อย ก็เขยิบไปจับโน่นจับนี่ เช่น จับแขน แตะไหล่ เอามือของอีกฝ่ายลูบผมของอีกคน ไม่งั้นบางทีฝ่ายนึงก็ไปนั่งตักของอีกฝ่าย ซึ่งดูๆไปถ้าทำกันแค่นี้ในที่สาธารณะก็ไม่น่าเกลียดแถมน่ารักด้วยซ้ำ
แต่ ขอแนะว่า ถ้าอยากทำอะไรมากกว่านั้น ก็เชิญระเห็จไปลูบไล้กันในห้องสองต่อสองเถอะนะ เพราะยังไงๆ ธรรมเนียมไทยก็ยังอยากให้หนุ่มสาวรักนวลสงวนตัวอยู่ดีละว้า
ซึ่งน่า ชื่นใจที่หนุ่มสาวบางคนยินดีที่จะเป็นแฟนกันไปก่อนสักระยะนึงแล้วค่อย "มีอะไรกัน" เพราะไม่อยากรีบที่จะมีเซ็กซ์ให้ยุ่งยากใจไงล่ะ เอ้าอย่าลืมนะจ๊ะ ถ้าคุณพร้อมที่จะมีเซ็กซ์กัน ละก็ ทั้งคู่ควรพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อกันและกันด้วย ไม่ใช่จับมือกันโดดขึ้นเตียงเพราะความไวไฟ, อยากรู้อยากเห็น, อยากลอง และรักสนุกเท่านั้น...ไม่ได้นะเฟ้ย
เมื่อไปถาม คุณเอ๋ สาวพนักงานบริษัท วัย24 ปี ว่า กล้าที่จะอยู่กับแฟนก่อนแต่งไหม? น้องหนูบอกกล้านะ เพราะพ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดไง จึงปล่อยให้เธอทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ โอ้โหยิ่งไกลหูไกลตาบุพการี...เอ้า หยั่งงี้ถ้าจะอยู่กะแฟนมันก็ง่ายนิดเดียว แต่ๆเอ๋บอกว่าอย่าเพิ่งเสี่ยงดีกว่า เพราะถ้าทำงี้ เราควรมั่นใจว่า คนที่เราจะอยู่ด้วยเป็นคนดี เพียงพอ แบบว่าเป็นคนสม่ำเสมอและไม่ใช่คนตอแหลหรือรักง่ายหน่ายเร็วจริงปะ เพราะเดี๋ยวเกิดอยู่กันไปแล้ว เค้าดันถีบเราทิ้ง เนื่องจากไม่ได้รักจริง...ก็แย่ดิ
แต่หากเปลี่ยนข้างไปถามฝ่ายชายใน คำถามเดียวกันนี้บ้าง คุณเจ วัย 25 ปี เปิดเผยด้วยความหื่น...เอ๊ย...ด้วยความปากไว แถมใจตรงกันทันทีว่า ทำไมจะไม่กล้าอยู่กะแฟนก่อนแต่งล่ะ ผมว่าดีออก ผมจะได้มีคนช่วยทำความสะอาด, ช่วยเอาผ้าไปซัก, ช่วยดูแลอาหารการกิน....เอ๊ะไอ้ที่พูดมาเนี่ย ท่าทางเริงร่าเพราะอยากมีแฟนมาเป็น "คน (รับ) ใช้" มากกว่านะมึง...เอ๊ย...นะเฟ้ย! เออหยั่งงี้ก็มี
ดังนั้น สัปดาห์นี้ไม่อยากมัวถามเรื่องกล้าหรือ ไม่กล้าอยู่กะแฟนก่อนแต่งแล้ว เพราะส่วนใหญ่กล้ากันทั้งนั้น แต่ก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป โดยเฉพาะฝ่ายชายนี่ดี๊ด๊า "อยาก" กันเป็นพิเศษ
เหตุนี้จึงฝอยเรื่อง อยู่ก่อนแต่งแล้วทำให้รักมั่นคงจริงรึ? กันดีก่า เพราะกระแสอยู่ก่อนแต่ง มันกลายเป็นไฟลามทุ่งไปแล้วนี่หว่า ซึ่งก็มีข้อสังเกตไว้เตือนใจ ดังนี้ เช่น...
1. อยู่ก่อนแต่ง จะทำให้รักมั่นคงได้ไง ในเมื่อส่วนใหญ่เห็นเบื่อกันง่ายเหลือเกิน เอ้า พูดก็พูดเถอะ แม้แต่คนที่แต่งงานแต่งการกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว คู่รักคู่นั้นยังเบื่อกันได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับพวกที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่งโดยไม่ผ่านพิธีวิวาห์จะไม่ เบื่อกันฮึ!...เป็นไปไม่ได้หรอก
มีแต่จะเบื่อกันง่ายซะยิ่งกว่า ปอกกล้วยเข้าปากสิไม่ว่า เพราะคู่ที่อยู่ก่อนแต่ง ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกผูกพันกันมากกว่าคู่ที่แต่งงานกันไง (ยกเว้นคู่ที่อยู่ ก่อนแต่งนั้น เลิฟกันสุดใจจริงๆ และรู้สึกว่าพวกเค้าเกิดมาเพื่อกันและกันเท่านั้น...จึงอาจเบื่อกันน้อยมาก ก็ได้ ว่าแต่คู่ที่เป็นแบบนี้จะมีสักเท่าไหร่เชียว)
2. อยู่ก่อนแต่ง ไม่ได้รับประกันเสมอไปว่าจะพัฒนาไปสู่การแต่งงานจริงๆเพราะบางคู่คบกันอย่าง ฉาบฉวยมากๆ บางทีอยู่ด้วยกันเพราะอยากแค่แชร์ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าห้อง, หารกันจ่ายค่าน้ำค่าไฟ, ช่วยกันออกค่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หากเดือนไหนมีรายได้น้อยแล้วต้องเจี๊ยะอย่างประหยัด ก็ต้องพึ่งมาม่า, ยำยำ, ไวไวไปตามเรื่อง ดังนั้น เมื่ออยู่กันด้วยเหตุผลนี้ แล้วคิดว่านั่นคือความรักเรอะ เป็นงี้แล้วจะนำไปสู่การแต่งงานได้ไง ในเมื่อมาอยู่กันเสมือนเป็นหน่วยเฉพาะกิจซะมากกว่า
3. อยู่ก่อนแต่ง ยิ่งทำให้เสียโอกาสที่ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะได้พบกับคนที่ดีกว่าที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ คิดดูละกันว่า หากคุณอยู่กะใครสักคนแล้ว พอเกิดไป เจ๊อะกับคนที่คุณมั่นใจมากกว่าว่า ใครคนนี้คือคนที่ "ใช่" เพราะปรารถนาอยากมีแฟนแบบนี้มานานแล้ว ก็โห เค้าทั้งเป็นห่วงเป็นใย, เอาอกเอาใจ และมองคุณว่าน่ารักน่าคบมากกว่าไอ้คนที่อยู่ด้วย เนื่องจากมีความละเอียดอ่อนและเข้าใจผู้หญิง ซึ่งตรงข้ามกับหนุ่มที่อยู่ด้วย ปัจจุบันเพราะมันชอบแซวคุณว่าเป็นแม่มันไปซะแล้ว
โถ...ถ้าเป็นงี้ แล้วคุณจะรู้สึกเสียดายไหมล่ะ ว่าถ้าไม่รีบร้อนด่วนได้ คุณอาจจะเจอใครอีกมากมายหลายคนที่ดีกว่าคนที่คุณตัดสินใจอยู่ด้วยไปแล้วก็ ได้ รู้งี้ไม่รีบดีกว่าเนอะ
4. อยู่ก่อนแต่ง ก็แค่ทำให้สนุกกับการมี เซ็กซ์ประเดี๋ยวประด๋าว....เอ๊ะรึว่า เล่นกายกรรมกัน อยู่หลายวันฮ้า! ซึ่งแม้จะชอบ แต่ฝ่ายหญิงเสียเปรียบฝ่ายชายอยู่ดีล่ะน่า อ่ะอย่าลืมนะฮ้าว่า ถึงแม้เค้าจะใส่ถุงยางอนามัย แต่ถึงใส่ก็มีสิทธิ์ทำให้สาวท้องได้ อีกอย่างบางทีชายลืมใส่ถุงก็มี ดังนั้น ขืนสาวเกิดท้องขึ้นมา แล้วฝ่ายชายไร้ความรับผิดชอบ ไอ้ที่เคยสนุกจะกลายเป็นทุกข์ถนัดไปน่ะเซ่.
เมอร์ลิน
ที่มา: คอลัมน์ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ วันอาทิตย์ 9 พฤษภาคม 2553
พูด ถึงเรื่องคู่รักหรือคู่ที่เป็นแฟนกันนี่ก็มีประเด็น ให้ฝอยกันเยอะ เพราะบางคู่นี่รักกันม้าก มาก แถมรักกันจริง รักกันจังซะด้วย ดังนั้น เมื่อทั้งคู่มีอายุพอสมควรแล้วจึงเลือกที่จะแต่งงานกันอย่างเป็นทางการไปซะ เพื่อแสดงให้รู้ไงว่าฝ่ายชายนั้นให้เกียรติกับฝ่ายหญิงและครอบครัวของฝ่าย หญิงนะเฟ้ย...ซึ่งกรณีนี้น่าสนับสนุน เพราะแสดงว่ามีความจริงใจ ต่อกันน่าสรรเสริญ
แต่หนุ่มสาววัยรุ่นสมัยนี้ไม่รู้เป็นไง ไฟราคะมันชอบสปาร์ก (ไฟลุกพึ่บ) กันเร็วมาก จึงชอบหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ด้วยกันก่อนแต่งจนเห็นกันชินตาไปซะแล้ว สงสัยเพราะฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านคล้ายขีปนาวุธอยากพุ่งออกจากฐานละมั้งก็เลย ห้ามจิตห้ามใจกันไว้ไม่ไหว พอได้จับไม้จับมือกันเข้าหน่อย ก็เขยิบไปจับโน่นจับนี่ เช่น จับแขน แตะไหล่ เอามือของอีกฝ่ายลูบผมของอีกคน ไม่งั้นบางทีฝ่ายนึงก็ไปนั่งตักของอีกฝ่าย ซึ่งดูๆไปถ้าทำกันแค่นี้ในที่สาธารณะก็ไม่น่าเกลียดแถมน่ารักด้วยซ้ำ
แต่ ขอแนะว่า ถ้าอยากทำอะไรมากกว่านั้น ก็เชิญระเห็จไปลูบไล้กันในห้องสองต่อสองเถอะนะ เพราะยังไงๆ ธรรมเนียมไทยก็ยังอยากให้หนุ่มสาวรักนวลสงวนตัวอยู่ดีละว้า
ซึ่งน่า ชื่นใจที่หนุ่มสาวบางคนยินดีที่จะเป็นแฟนกันไปก่อนสักระยะนึงแล้วค่อย "มีอะไรกัน" เพราะไม่อยากรีบที่จะมีเซ็กซ์ให้ยุ่งยากใจไงล่ะ เอ้าอย่าลืมนะจ๊ะ ถ้าคุณพร้อมที่จะมีเซ็กซ์กัน ละก็ ทั้งคู่ควรพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อกันและกันด้วย ไม่ใช่จับมือกันโดดขึ้นเตียงเพราะความไวไฟ, อยากรู้อยากเห็น, อยากลอง และรักสนุกเท่านั้น...ไม่ได้นะเฟ้ย
เมื่อไปถาม คุณเอ๋ สาวพนักงานบริษัท วัย24 ปี ว่า กล้าที่จะอยู่กับแฟนก่อนแต่งไหม? น้องหนูบอกกล้านะ เพราะพ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดไง จึงปล่อยให้เธอทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ โอ้โหยิ่งไกลหูไกลตาบุพการี...เอ้า หยั่งงี้ถ้าจะอยู่กะแฟนมันก็ง่ายนิดเดียว แต่ๆเอ๋บอกว่าอย่าเพิ่งเสี่ยงดีกว่า เพราะถ้าทำงี้ เราควรมั่นใจว่า คนที่เราจะอยู่ด้วยเป็นคนดี เพียงพอ แบบว่าเป็นคนสม่ำเสมอและไม่ใช่คนตอแหลหรือรักง่ายหน่ายเร็วจริงปะ เพราะเดี๋ยวเกิดอยู่กันไปแล้ว เค้าดันถีบเราทิ้ง เนื่องจากไม่ได้รักจริง...ก็แย่ดิ
แต่หากเปลี่ยนข้างไปถามฝ่ายชายใน คำถามเดียวกันนี้บ้าง คุณเจ วัย 25 ปี เปิดเผยด้วยความหื่น...เอ๊ย...ด้วยความปากไว แถมใจตรงกันทันทีว่า ทำไมจะไม่กล้าอยู่กะแฟนก่อนแต่งล่ะ ผมว่าดีออก ผมจะได้มีคนช่วยทำความสะอาด, ช่วยเอาผ้าไปซัก, ช่วยดูแลอาหารการกิน....เอ๊ะไอ้ที่พูดมาเนี่ย ท่าทางเริงร่าเพราะอยากมีแฟนมาเป็น "คน (รับ) ใช้" มากกว่านะมึง...เอ๊ย...นะเฟ้ย! เออหยั่งงี้ก็มี
ดังนั้น สัปดาห์นี้ไม่อยากมัวถามเรื่องกล้าหรือ ไม่กล้าอยู่กะแฟนก่อนแต่งแล้ว เพราะส่วนใหญ่กล้ากันทั้งนั้น แต่ก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป โดยเฉพาะฝ่ายชายนี่ดี๊ด๊า "อยาก" กันเป็นพิเศษ
เหตุนี้จึงฝอยเรื่อง อยู่ก่อนแต่งแล้วทำให้รักมั่นคงจริงรึ? กันดีก่า เพราะกระแสอยู่ก่อนแต่ง มันกลายเป็นไฟลามทุ่งไปแล้วนี่หว่า ซึ่งก็มีข้อสังเกตไว้เตือนใจ ดังนี้ เช่น...
1. อยู่ก่อนแต่ง จะทำให้รักมั่นคงได้ไง ในเมื่อส่วนใหญ่เห็นเบื่อกันง่ายเหลือเกิน เอ้า พูดก็พูดเถอะ แม้แต่คนที่แต่งงานแต่งการกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว คู่รักคู่นั้นยังเบื่อกันได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับพวกที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่งโดยไม่ผ่านพิธีวิวาห์จะไม่ เบื่อกันฮึ!...เป็นไปไม่ได้หรอก
มีแต่จะเบื่อกันง่ายซะยิ่งกว่า ปอกกล้วยเข้าปากสิไม่ว่า เพราะคู่ที่อยู่ก่อนแต่ง ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกผูกพันกันมากกว่าคู่ที่แต่งงานกันไง (ยกเว้นคู่ที่อยู่ ก่อนแต่งนั้น เลิฟกันสุดใจจริงๆ และรู้สึกว่าพวกเค้าเกิดมาเพื่อกันและกันเท่านั้น...จึงอาจเบื่อกันน้อยมาก ก็ได้ ว่าแต่คู่ที่เป็นแบบนี้จะมีสักเท่าไหร่เชียว)
2. อยู่ก่อนแต่ง ไม่ได้รับประกันเสมอไปว่าจะพัฒนาไปสู่การแต่งงานจริงๆเพราะบางคู่คบกันอย่าง ฉาบฉวยมากๆ บางทีอยู่ด้วยกันเพราะอยากแค่แชร์ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าห้อง, หารกันจ่ายค่าน้ำค่าไฟ, ช่วยกันออกค่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หากเดือนไหนมีรายได้น้อยแล้วต้องเจี๊ยะอย่างประหยัด ก็ต้องพึ่งมาม่า, ยำยำ, ไวไวไปตามเรื่อง ดังนั้น เมื่ออยู่กันด้วยเหตุผลนี้ แล้วคิดว่านั่นคือความรักเรอะ เป็นงี้แล้วจะนำไปสู่การแต่งงานได้ไง ในเมื่อมาอยู่กันเสมือนเป็นหน่วยเฉพาะกิจซะมากกว่า
3. อยู่ก่อนแต่ง ยิ่งทำให้เสียโอกาสที่ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะได้พบกับคนที่ดีกว่าที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ คิดดูละกันว่า หากคุณอยู่กะใครสักคนแล้ว พอเกิดไป เจ๊อะกับคนที่คุณมั่นใจมากกว่าว่า ใครคนนี้คือคนที่ "ใช่" เพราะปรารถนาอยากมีแฟนแบบนี้มานานแล้ว ก็โห เค้าทั้งเป็นห่วงเป็นใย, เอาอกเอาใจ และมองคุณว่าน่ารักน่าคบมากกว่าไอ้คนที่อยู่ด้วย เนื่องจากมีความละเอียดอ่อนและเข้าใจผู้หญิง ซึ่งตรงข้ามกับหนุ่มที่อยู่ด้วย ปัจจุบันเพราะมันชอบแซวคุณว่าเป็นแม่มันไปซะแล้ว
โถ...ถ้าเป็นงี้ แล้วคุณจะรู้สึกเสียดายไหมล่ะ ว่าถ้าไม่รีบร้อนด่วนได้ คุณอาจจะเจอใครอีกมากมายหลายคนที่ดีกว่าคนที่คุณตัดสินใจอยู่ด้วยไปแล้วก็ ได้ รู้งี้ไม่รีบดีกว่าเนอะ
4. อยู่ก่อนแต่ง ก็แค่ทำให้สนุกกับการมี เซ็กซ์ประเดี๋ยวประด๋าว....เอ๊ะรึว่า เล่นกายกรรมกัน อยู่หลายวันฮ้า! ซึ่งแม้จะชอบ แต่ฝ่ายหญิงเสียเปรียบฝ่ายชายอยู่ดีล่ะน่า อ่ะอย่าลืมนะฮ้าว่า ถึงแม้เค้าจะใส่ถุงยางอนามัย แต่ถึงใส่ก็มีสิทธิ์ทำให้สาวท้องได้ อีกอย่างบางทีชายลืมใส่ถุงก็มี ดังนั้น ขืนสาวเกิดท้องขึ้นมา แล้วฝ่ายชายไร้ความรับผิดชอบ ไอ้ที่เคยสนุกจะกลายเป็นทุกข์ถนัดไปน่ะเซ่.
เมอร์ลิน
ที่มา: คอลัมน์ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ วันอาทิตย์ 9 พฤษภาคม 2553
รักแท้ ตามสัญญา: แต่งเจ้าชายนิทรา รพ.ตำรวจเป็นเรือนหอ
รักแท้! เจ้าสาวใส่ชุดแต่งงาน ไปประกอบพิธีสู่ขอ และ มงคลสมรสกับเจ้าบ่าวที่นอนเป็นเจ้าชายนิทรา ที่รพ.ตำรวจ เพราะลื่นล้มทำให้สมองตาย หมอระบุหากถอดเครื่องช่วยหายใจจะเสียชีวิตทันที...
ที่ รพ.ตำรวจ เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 9 พ.ค. 2553 น.ส.วิภาวรรณ ทองชูแสง อายุ 35 ปี พนักงานข้าราชการโรงเรียนนายเรือ แต่งชุดเจ้าสาวพร้อมญาติได้เดินทางไปประกอบพิธีสู่ขอ และมงคลสมรสกับ นายอดิศักดิ์ ไค่นุ่นกา อายุ 35 ปี เจ้าบ่าว ลูกจ้างประจำกรมสวัสดิการทหารเรือ ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ในห้องศัลยกรรมประสาทชายชั้น 4 ตึกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องจากฝ่ายชายลื่นล้มในแฟลตพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ศีรษะกระแทกพื้นสมองตายร่างกายไม่ตอบสนองมาตั้งแต่คืนวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยแพทย์ระบุว่า โอกาสรอดน้อยมาก ต้องให้ออกซิเจน และยาช่วยกระตุ้นหัวใจ หากถอดเครื่องช่วยหายใจจะเสียชีวิตทันที
เจ้าสาวเปิดเผยว่า ตามกำหนดได้แจกการ์ดแต่งงานกันในวันนี้ ที่สโมสรนายทหารสัญญาบัตร โรงเรียนนายเรือ สมุทรปราการ แต่ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน ส่วนสาเหตุเนื่องจากว่าที่เจ้าบ่าวอ่อนเพลียจากการไปซื้อสิ่งของเครื่องใช้ มาทำพิธีในช่วงเช้าไม่มีเวลาพักผ่อน ตอนนี้ถือว่าได้ทำพิธีให้ดีที่สุดตามที่ได้ตั้งใจไว้แล้ว ส่วนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็จะทำใจยอมรับ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2553
=========
ขอให้มีปาฏิหาริย์ พระพุทธคุณช่วยบันดาลให้เจ้าบ่าวฟื้น ให้ทั้งคู่มีความสุขสมดังใจหวังด้วยเถิด รักแท้ ๆ
ที่ รพ.ตำรวจ เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 9 พ.ค. 2553 น.ส.วิภาวรรณ ทองชูแสง อายุ 35 ปี พนักงานข้าราชการโรงเรียนนายเรือ แต่งชุดเจ้าสาวพร้อมญาติได้เดินทางไปประกอบพิธีสู่ขอ และมงคลสมรสกับ นายอดิศักดิ์ ไค่นุ่นกา อายุ 35 ปี เจ้าบ่าว ลูกจ้างประจำกรมสวัสดิการทหารเรือ ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ในห้องศัลยกรรมประสาทชายชั้น 4 ตึกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องจากฝ่ายชายลื่นล้มในแฟลตพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ศีรษะกระแทกพื้นสมองตายร่างกายไม่ตอบสนองมาตั้งแต่คืนวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยแพทย์ระบุว่า โอกาสรอดน้อยมาก ต้องให้ออกซิเจน และยาช่วยกระตุ้นหัวใจ หากถอดเครื่องช่วยหายใจจะเสียชีวิตทันที
เจ้าสาวเปิดเผยว่า ตามกำหนดได้แจกการ์ดแต่งงานกันในวันนี้ ที่สโมสรนายทหารสัญญาบัตร โรงเรียนนายเรือ สมุทรปราการ แต่ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน ส่วนสาเหตุเนื่องจากว่าที่เจ้าบ่าวอ่อนเพลียจากการไปซื้อสิ่งของเครื่องใช้ มาทำพิธีในช่วงเช้าไม่มีเวลาพักผ่อน ตอนนี้ถือว่าได้ทำพิธีให้ดีที่สุดตามที่ได้ตั้งใจไว้แล้ว ส่วนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็จะทำใจยอมรับ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2553
=========
ขอให้มีปาฏิหาริย์ พระพุทธคุณช่วยบันดาลให้เจ้าบ่าวฟื้น ให้ทั้งคู่มีความสุขสมดังใจหวังด้วยเถิด รักแท้ ๆ
Saturday, May 8, 2010
ประโยคซึ้ง ๆ จากภาพยนตร์
ต.ย. ประโยคซึ้ง ๆ จากภาพยนตร์ต่างประเทศ
ผมเป็นคนชอบดูภาพยนตร์ โดยเฉพาะภาพยนตร์ฝรั่งและอินเดีย เช่าภาพยนตร์แผ่นมาดูที่บ้าน ดูตอนก่อนนอน บางทีมีประโยคที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ผมก็จะจดไว้ หลายครั้งเป็นคำพูดหวานๆ แฮ่ ๆ ผมก็จะจดไว้เหมือนกัน ฮ่า ๆ ชาตินี้ไม่ได้ใช้แล้วครับ เตรียมเอาไว้ใช้ชาติหน้า
ตัวอย่างจาก ภาพยนตร์พวกนี้ หนุ่มสาวเอาไว้ใช้อีเมล์ถึงคนรักของท่านได้ เช่นจากภาพยนตร์เรื่อง Romeo and Juliet ตอนหนึ่งนางเอกซึ่งคือ Claire Danes พูดถึง Leonardo Dicaprio ซึ่งเธอใช้ภาษาโบราณว่า "So dear I love him that with him, all deaths I could endure. Without him, live no life." ข้าพเจ้ารักเขา หากมีเขา ข้าพเจ้าสามารถเผชิญได้แม้ความตาย หากไม่มีเขา มีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่มี
ลองมาอ่านคำพูดของ Julia Roberts ในภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill บ้างครับ เธอพูดว่า "Don't forget. I'm just a girl standing in front of a boy...asking him to love her." อย่าลืมว่าดิฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชาย และกำลังขอให้เขารักเธอ
จากภาพยนตร์เรื่อง Lord of the Rings ก็มีคำซึ้งๆ ครับ "I'd rather spend a lifetime with you than to live all the ages of this world alone." ข้าพเจ้าขอใช้ทั้งชีวิตอยู่กับคุณ มากกว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวตราบสิ้นชีวา
เยาวชนคนไหนอยากเก่งภาษาอังกฤษ ลองลอกคำพวกนี้ไว้อ่านเล่นเหมือนผมบ้างซีครับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 17 เมษายน 2553
===================
จากภาพยนต์เรื่อง ไททานิค Titanic(1997)
Molly Brown: You shine up like a new penny.
คุณดูสดใสราวกับเหรียญใหม่(ที่เพิ่งออกจากโรงกษาปณ์)
++++
Rose: I am not a foreman in one of your mills that you can command. I am your fiancée. ฉันไม่ใช่พนักงานในโรงงานของคุณที่คุณจะชี้นิ้วสั่งได้นะ แต่ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ
Cal Hockley: My fian... my fiancée! Yes, you are, and my wife. My wife in practice if not yet by law, so you will honor me. You will honor me the way a wife is required to honor a husband. Because I will not be made a fool, Rose. Is this in any way unclear? คู่หมั้น ใช่ คุณเป็น(คู่หมั้น) และภรรยา ถือเป็นภรรยาในทางปฏิบัติ แต่ถ้ายังไม่ใ่ช่ตามกฎหมาย ฉะนั้นเธอต้องให้เกียรติฉัน เธอจะให้เกียรติฉันในแบบที่ภรรยาควรให้เกียรติสามี เพราะฉันจะไม่กลายเป็นเจ้างั่ง โรส อย่างนี้เธอมีอะไรที่ยังไม่เข้าใจมั๊ย
Rose: No. ไม่มี
++++
Rose: I don't know the steps! ฉันไม่รู้จังหวะ(เต้นรำ)
Jack: Neither do I! Just go with it! ผมก็ไม่รู้ แค่เต้นไปตามจังหวะ
++++
Rose: It's so unfair. มันช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
Ruth: Of course it's unfair. We're women. Our choices are never easy. แน่นอน มันไม่ยุติธรรม พวกเราเป็นผู้หญิง ทางเลือกของพวกเราไม่เคยง่ายเลย
++++
[climbing an on-deck staircase to the stern as the ship is about to sink]
Male Passenger: Yea, though I walk through the valley of the shadow of death... ใช่ กระนั้นผมเดินผ่านหุบเขามืดแห่งความตาย
Jack: You want to walk a little faster through that valley there? หรือว่าคุณต้องการเดินให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อยเพื่อผ่านไปยังหุบเขาันั้นอย่างนั้นหรือ
++++
Jack: Well, yes, ma'am, I do... I mean, I got everything I need right here with me. I got air in my lungs, a few blank sheets of paper. I mean, I love waking up in the morning not knowing what's gonna happen or, who I'm gonna meet, where I'm gonna wind up. Just the other night I was sleeping under a bridge and now here I am on the grandest ship in the world having champagne with you fine people. I figure life's a gift and I don't intend on wasting it. You don't know what hand you're gonna get dealt next. You learn to take life as it comes at you... to make each day count. อ๋อ ใช่ครับ คุณนาย ผมเป็นอย่างนั้น ผมหมายความว่า ผมมีทุกอย่างที่ผมต้องการอยู่ตรงนี้ที่นี่กับผมแล้ว ผมมีอากาศในปอด มีแผ่นกระดาษเปล่า ๆ ไม่กี่แผ่น ผมหมายถึง ผมชอบที่จะตื่นนอนในตอนเช้าที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะได้พบใคร หรือ ว่าผมจะได้ไปที่ไหนบ้าง มีอยู่คืนหนึ่ง(คืนก่อน)ผมกำลังนอนเอกเขนกอยู่ที่ใต้สะพาน และตอนนี้ที่นี่ ผมอยู่บนเรือขนาดยักษ์ที่สุดของโลก กำลังจิบแชมเปญกับคนมีเกีียรติอย่างพวกท่าน ผมพบว่า ชีวิตเป็นของขวัญ และผมไม่อย่างจะเสียเวลาของมันไปเปล่า ๆ คุณไม่มีทางรู้ว่า มือข้่างไหนของคุณจะประสบพบสิ่งใด แต่คุณเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างที่มันวิ่งเข้ามาหาคุณ เพื่อที่จะทำให้แต่ละวันเวลามีความหมาย
++++
Jack: Rose, you're no picnic, all right? You're a spoiled little brat, even, but under that, you're the most amazingly, astounding, wonderful girl, woman that I've ever known...
Rose: Jack, I...
Jack: No, let me try and get this out. You're ama- I'm not an idiot, I know how the world works. I've got ten bucks in my pocket, I have no-nothing to offer you and I know that. I understand. But I'm too involved now. You jump, I jump remember? I can't turn away without knowing you'll be all right... That's all I want.
Rose: Well, I'm fine... I'll be fine... really.
Jack: Really? I don't think so. They've got you trapped, Rose. And you're gonna die if you don't break free. Maybe not right away because you're strong but... sooner or later that fire that I love about you, Rose... that fire's gonna burn out...
Rose: It's not up to you to save me, Jack.
Jack: You're right... only you can do that.
++++
Old Rose: Fifteen-hundred people went into the sea, when Titanic sank from under us. There were twenty boats floating nearby... and only one came back. One. Six were saved from the water, myself included. Six... out of fifteen-hundred. Afterward, the seven-hundred people in the boats had nothing to do but wait... wait to die... wait to live... wait for an absolution... that would never come.
++++
Lewis Bodine: We never found anything on Jack... there's no record of him at all.
Old Rose: No, there wouldn't be, would there? And I've never spoken of him until now... Not to anyone... Not even your grandfather... A woman's heart is a deep ocean of secrets. But now you know there was a man named Jack Dawson and that he saved me... in every way that a person can be saved. I don't even have a picture of him. He exists now... only in my memory.
++++
Jack: I'm the king of the world!
++++
Rose: Teach me to ride like a man. สอนฉันขี่อย่างที่ผู้คน(ทำกัน)
Jack: And chew tobacco like a man. และเคี้ยว(ดูด)บุหรี่ยาเส้นอย่างผู้คน(ทำกัน)
Rose: And spit like a man! และถ่มถุยอย่างผู้คน
Jack: What, they didn't teach you that in finishing school? อะไรน่ะ เขาไม่ได้สอนคุณก่อนที่จะเรียนจบอย่างนั้นหรือ
++++
Cal Hockley: Where are you going? To him? To be a whore to a gutter rat? คุณจะไปไหน หาเขา ไปเป็นหญิงโสเภณีของหนูท่อน้ำอย่างเขาอย่างนั้นหรือ
Rose: I'd rather be his whore than your wife. ฉันไปเป็นโสเภณีของเขายังดีซะกว่าเป็นภรรยาของคุณ
++++
Thomas Andrews: The pumps will buy you time, but minutes only. From this moment on, no matter what we do, Titanic will founder.
Ismay: But this ship can't sink!
Thomas Andrews: She is made of iron, sir. I assure you, she can. And she *will*. It is a mathematical certainty.
++++
Cal Hockley: You're a good liar.
Jack: Almost as good as you.
++++
Rose: I know what you must be thinking. "Poor little rich girl, what does she know about misery?"
Jack: No, no, that's not what I was thinking. What I was thinking was, what could've happened to this girl to make her feel she had no way out?
++++
Rose: I love you, Jack.
Jack: Don't you do that, don't say your good-byes.
Rose: I'm so cold.
Jack: Listen, Rose. You're gonna get out of here, you're gonna go on and make lots of babies, and you're gonna watch them grow. You're gonna die an old... an old lady warm in her bed, but not here, not this night. Not like this, do you understand me?
Rose: I can't feel my body.
Jack: Winning that ticket, Rose, was the best thing that ever happened to me... it brought me to you. And I'm thankful for that, Rose. I'm thankful. You must do me this honor, Rose. Promise me you'll survive. That you won't give up, no matter what happens, no matter how hopeless. Promise me now, Rose, and never let go of that promise.
Rose: I promise.
Jack: Never let go.
Rose: I'll never let go. I'll never let go, Jack.
++++
Rose: You have a gift Jack, you do. You see people.
Jack: I see you.
Rose: And?
Jack: You wouldn't have jumped.
++++
ผมเป็นคนชอบดูภาพยนตร์ โดยเฉพาะภาพยนตร์ฝรั่งและอินเดีย เช่าภาพยนตร์แผ่นมาดูที่บ้าน ดูตอนก่อนนอน บางทีมีประโยคที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ผมก็จะจดไว้ หลายครั้งเป็นคำพูดหวานๆ แฮ่ ๆ ผมก็จะจดไว้เหมือนกัน ฮ่า ๆ ชาตินี้ไม่ได้ใช้แล้วครับ เตรียมเอาไว้ใช้ชาติหน้า
ตัวอย่างจาก ภาพยนตร์พวกนี้ หนุ่มสาวเอาไว้ใช้อีเมล์ถึงคนรักของท่านได้ เช่นจากภาพยนตร์เรื่อง Romeo and Juliet ตอนหนึ่งนางเอกซึ่งคือ Claire Danes พูดถึง Leonardo Dicaprio ซึ่งเธอใช้ภาษาโบราณว่า "So dear I love him that with him, all deaths I could endure. Without him, live no life." ข้าพเจ้ารักเขา หากมีเขา ข้าพเจ้าสามารถเผชิญได้แม้ความตาย หากไม่มีเขา มีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่มี
ลองมาอ่านคำพูดของ Julia Roberts ในภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill บ้างครับ เธอพูดว่า "Don't forget. I'm just a girl standing in front of a boy...asking him to love her." อย่าลืมว่าดิฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชาย และกำลังขอให้เขารักเธอ
จากภาพยนตร์เรื่อง Lord of the Rings ก็มีคำซึ้งๆ ครับ "I'd rather spend a lifetime with you than to live all the ages of this world alone." ข้าพเจ้าขอใช้ทั้งชีวิตอยู่กับคุณ มากกว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวตราบสิ้นชีวา
เยาวชนคนไหนอยากเก่งภาษาอังกฤษ ลองลอกคำพวกนี้ไว้อ่านเล่นเหมือนผมบ้างซีครับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 17 เมษายน 2553
===================
จากภาพยนต์เรื่อง ไททานิค Titanic(1997)
Molly Brown: You shine up like a new penny.
คุณดูสดใสราวกับเหรียญใหม่(ที่เพิ่งออกจากโรงกษาปณ์)
++++
Rose: I am not a foreman in one of your mills that you can command. I am your fiancée. ฉันไม่ใช่พนักงานในโรงงานของคุณที่คุณจะชี้นิ้วสั่งได้นะ แต่ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ
Cal Hockley: My fian... my fiancée! Yes, you are, and my wife. My wife in practice if not yet by law, so you will honor me. You will honor me the way a wife is required to honor a husband. Because I will not be made a fool, Rose. Is this in any way unclear? คู่หมั้น ใช่ คุณเป็น(คู่หมั้น) และภรรยา ถือเป็นภรรยาในทางปฏิบัติ แต่ถ้ายังไม่ใ่ช่ตามกฎหมาย ฉะนั้นเธอต้องให้เกียรติฉัน เธอจะให้เกียรติฉันในแบบที่ภรรยาควรให้เกียรติสามี เพราะฉันจะไม่กลายเป็นเจ้างั่ง โรส อย่างนี้เธอมีอะไรที่ยังไม่เข้าใจมั๊ย
Rose: No. ไม่มี
++++
Rose: I don't know the steps! ฉันไม่รู้จังหวะ(เต้นรำ)
Jack: Neither do I! Just go with it! ผมก็ไม่รู้ แค่เต้นไปตามจังหวะ
++++
Rose: It's so unfair. มันช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
Ruth: Of course it's unfair. We're women. Our choices are never easy. แน่นอน มันไม่ยุติธรรม พวกเราเป็นผู้หญิง ทางเลือกของพวกเราไม่เคยง่ายเลย
++++
[climbing an on-deck staircase to the stern as the ship is about to sink]
Male Passenger: Yea, though I walk through the valley of the shadow of death... ใช่ กระนั้นผมเดินผ่านหุบเขามืดแห่งความตาย
Jack: You want to walk a little faster through that valley there? หรือว่าคุณต้องการเดินให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อยเพื่อผ่านไปยังหุบเขาันั้นอย่างนั้นหรือ
++++
Jack: Well, yes, ma'am, I do... I mean, I got everything I need right here with me. I got air in my lungs, a few blank sheets of paper. I mean, I love waking up in the morning not knowing what's gonna happen or, who I'm gonna meet, where I'm gonna wind up. Just the other night I was sleeping under a bridge and now here I am on the grandest ship in the world having champagne with you fine people. I figure life's a gift and I don't intend on wasting it. You don't know what hand you're gonna get dealt next. You learn to take life as it comes at you... to make each day count. อ๋อ ใช่ครับ คุณนาย ผมเป็นอย่างนั้น ผมหมายความว่า ผมมีทุกอย่างที่ผมต้องการอยู่ตรงนี้ที่นี่กับผมแล้ว ผมมีอากาศในปอด มีแผ่นกระดาษเปล่า ๆ ไม่กี่แผ่น ผมหมายถึง ผมชอบที่จะตื่นนอนในตอนเช้าที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะได้พบใคร หรือ ว่าผมจะได้ไปที่ไหนบ้าง มีอยู่คืนหนึ่ง(คืนก่อน)ผมกำลังนอนเอกเขนกอยู่ที่ใต้สะพาน และตอนนี้ที่นี่ ผมอยู่บนเรือขนาดยักษ์ที่สุดของโลก กำลังจิบแชมเปญกับคนมีเกีียรติอย่างพวกท่าน ผมพบว่า ชีวิตเป็นของขวัญ และผมไม่อย่างจะเสียเวลาของมันไปเปล่า ๆ คุณไม่มีทางรู้ว่า มือข้่างไหนของคุณจะประสบพบสิ่งใด แต่คุณเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างที่มันวิ่งเข้ามาหาคุณ เพื่อที่จะทำให้แต่ละวันเวลามีความหมาย
++++
Jack: Rose, you're no picnic, all right? You're a spoiled little brat, even, but under that, you're the most amazingly, astounding, wonderful girl, woman that I've ever known...
Rose: Jack, I...
Jack: No, let me try and get this out. You're ama- I'm not an idiot, I know how the world works. I've got ten bucks in my pocket, I have no-nothing to offer you and I know that. I understand. But I'm too involved now. You jump, I jump remember? I can't turn away without knowing you'll be all right... That's all I want.
Rose: Well, I'm fine... I'll be fine... really.
Jack: Really? I don't think so. They've got you trapped, Rose. And you're gonna die if you don't break free. Maybe not right away because you're strong but... sooner or later that fire that I love about you, Rose... that fire's gonna burn out...
Rose: It's not up to you to save me, Jack.
Jack: You're right... only you can do that.
++++
Old Rose: Fifteen-hundred people went into the sea, when Titanic sank from under us. There were twenty boats floating nearby... and only one came back. One. Six were saved from the water, myself included. Six... out of fifteen-hundred. Afterward, the seven-hundred people in the boats had nothing to do but wait... wait to die... wait to live... wait for an absolution... that would never come.
++++
Lewis Bodine: We never found anything on Jack... there's no record of him at all.
Old Rose: No, there wouldn't be, would there? And I've never spoken of him until now... Not to anyone... Not even your grandfather... A woman's heart is a deep ocean of secrets. But now you know there was a man named Jack Dawson and that he saved me... in every way that a person can be saved. I don't even have a picture of him. He exists now... only in my memory.
++++
Jack: I'm the king of the world!
++++
Rose: Teach me to ride like a man. สอนฉันขี่อย่างที่ผู้คน(ทำกัน)
Jack: And chew tobacco like a man. และเคี้ยว(ดูด)บุหรี่ยาเส้นอย่างผู้คน(ทำกัน)
Rose: And spit like a man! และถ่มถุยอย่างผู้คน
Jack: What, they didn't teach you that in finishing school? อะไรน่ะ เขาไม่ได้สอนคุณก่อนที่จะเรียนจบอย่างนั้นหรือ
++++
Cal Hockley: Where are you going? To him? To be a whore to a gutter rat? คุณจะไปไหน หาเขา ไปเป็นหญิงโสเภณีของหนูท่อน้ำอย่างเขาอย่างนั้นหรือ
Rose: I'd rather be his whore than your wife. ฉันไปเป็นโสเภณีของเขายังดีซะกว่าเป็นภรรยาของคุณ
++++
Thomas Andrews: The pumps will buy you time, but minutes only. From this moment on, no matter what we do, Titanic will founder.
Ismay: But this ship can't sink!
Thomas Andrews: She is made of iron, sir. I assure you, she can. And she *will*. It is a mathematical certainty.
++++
Cal Hockley: You're a good liar.
Jack: Almost as good as you.
++++
Rose: I know what you must be thinking. "Poor little rich girl, what does she know about misery?"
Jack: No, no, that's not what I was thinking. What I was thinking was, what could've happened to this girl to make her feel she had no way out?
++++
Rose: I love you, Jack.
Jack: Don't you do that, don't say your good-byes.
Rose: I'm so cold.
Jack: Listen, Rose. You're gonna get out of here, you're gonna go on and make lots of babies, and you're gonna watch them grow. You're gonna die an old... an old lady warm in her bed, but not here, not this night. Not like this, do you understand me?
Rose: I can't feel my body.
Jack: Winning that ticket, Rose, was the best thing that ever happened to me... it brought me to you. And I'm thankful for that, Rose. I'm thankful. You must do me this honor, Rose. Promise me you'll survive. That you won't give up, no matter what happens, no matter how hopeless. Promise me now, Rose, and never let go of that promise.
Rose: I promise.
Jack: Never let go.
Rose: I'll never let go. I'll never let go, Jack.
++++
Rose: You have a gift Jack, you do. You see people.
Jack: I see you.
Rose: And?
Jack: You wouldn't have jumped.
++++
Gray/ grey: สีเทา สีเลาดำ greyhound หมาพันธ์ตัวใหญ๋ ขายาว
Gray/ grey/ greyhound
ผู้ อ่านท่านเคยสังเกตไหมครับ? บางครั้งท่านเจอคำที่หมายถึงสีเทา ที่สะกดต่างกัน บางท่านสะกด gray บางท่านสะกด grey ไม่ว่าจะสะกดแบบไหนก็ออกเสียงเหมือนกันคือ กเร เป็น คำนาม หรือเป็น adjective ก็ได้
พออายุเข้าห้าสิบ นิติภูมิเริ่มรู้สึกว่าเฒ่าชะแรแก่ชรา ส่องกระจกครั้งใด ก็ได้สังเกตสีผมของตัวเอง My hair is turning gray. ผมของผมเริ่มเป็นสีเทา
Turn + adjective เช่น turn poor หมายถึง กลายเป็นจน
Gray ในประโยคบนจึงมีธรรมชาติของคำเป็น adjective
เพื่อน ผมไปสร้างบ้านใหม่ในสวน วันก่อนพาพวกเราไปดูบ้าน บอกว่า อ้า กันกำลังจะทาสี เพื่อนฝรั่งที่ไปด้วยถามว่า Do you like your house painted in gray or in black?ยูอยากจะให้บ้านของยูทาสีเทา หรือสีดำ?
Preposition จะต้องตามด้วย V + ing หรือ คำนาม, in ก็เป็น preposition ตัวหนึ่ง, ดังนั้น gray หรือ black ในที่นี้จึงมีธรรมชาติของคำเป็นคำนาม
ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน สีเทา คือ gray แบบอังกฤษคือ grey
ผู้ อ่านท่านเคยเห็นสุนัขพันธุ์ 'กเรเฮานด์ ไหมครับ? โอย ตัวมันใหญ่ แต่ผอม ขายาว วิ่งได้ไวมาก ไม่ว่าจะเป็นคนอังกฤษ หรือคนอเมริกัน ต่างสะกดชื่อพันธุ์สุนัขนี้เหมือนกันคือ greyhound
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 19 เมษายน 2553
ผู้ อ่านท่านเคยสังเกตไหมครับ? บางครั้งท่านเจอคำที่หมายถึงสีเทา ที่สะกดต่างกัน บางท่านสะกด gray บางท่านสะกด grey ไม่ว่าจะสะกดแบบไหนก็ออกเสียงเหมือนกันคือ กเร เป็น คำนาม หรือเป็น adjective ก็ได้
พออายุเข้าห้าสิบ นิติภูมิเริ่มรู้สึกว่าเฒ่าชะแรแก่ชรา ส่องกระจกครั้งใด ก็ได้สังเกตสีผมของตัวเอง My hair is turning gray. ผมของผมเริ่มเป็นสีเทา
Turn + adjective เช่น turn poor หมายถึง กลายเป็นจน
Gray ในประโยคบนจึงมีธรรมชาติของคำเป็น adjective
เพื่อน ผมไปสร้างบ้านใหม่ในสวน วันก่อนพาพวกเราไปดูบ้าน บอกว่า อ้า กันกำลังจะทาสี เพื่อนฝรั่งที่ไปด้วยถามว่า Do you like your house painted in gray or in black?ยูอยากจะให้บ้านของยูทาสีเทา หรือสีดำ?
Preposition จะต้องตามด้วย V + ing หรือ คำนาม, in ก็เป็น preposition ตัวหนึ่ง, ดังนั้น gray หรือ black ในที่นี้จึงมีธรรมชาติของคำเป็นคำนาม
ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน สีเทา คือ gray แบบอังกฤษคือ grey
ผู้ อ่านท่านเคยเห็นสุนัขพันธุ์ 'กเรเฮานด์ ไหมครับ? โอย ตัวมันใหญ่ แต่ผอม ขายาว วิ่งได้ไวมาก ไม่ว่าจะเป็นคนอังกฤษ หรือคนอเมริกัน ต่างสะกดชื่อพันธุ์สุนัขนี้เหมือนกันคือ greyhound
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 19 เมษายน 2553
เนื่องเพราะว่า: Owing to/due to/ because of
Owing to/due to/ because of
ถามมาสั้นๆ ถามว่า owing to หมายถึงอะไร? ใช้ยังไง?
ถามสั้นๆ ก็ตอบสั้นๆ ครับว่า หมายถึง เนื่องจาก เป็น preposition หรือคำบุพบท จึงต้องตามด้วยคำนาม หรือกริยาเติม -ing
Owing to ออกเสียงว่า 'โอวอิง ทู
มีความหมายคล้ายกัน และใช้เหมือนกันกับ because of
The flight was delayed owing to the bad weather. เที่ยวบินถูกเลื่อนออกไป เนื่องจาก สภาพอากาศไม่ดี = The flight was delayed because of the bad weather. เที่ยวบินถูกเลื่อนออกไป เพราะ สภาพอากาศไม่ดี
Owing to high winds at Suvarnabhumi Airport, our plane had to land at Don Muang. เนื่องจาก ลมแรงมากที่สนามบินสุวรรณภูมิ เครื่องบินของเราก็จึงต้องไปลงที่ดอนเมือง
อีกคำหนึ่งซึ่งคล้ายกันก็คือ due to แต่ due to เป็นคำเชื่อม หรือ conjunction หมายถึง มีสาเหตุเนื่องมาจาก
Due to + คำนาม หรือ กริยาเติม ing เหมือนกัน Due to the demonstration, our matches had to be cancelled. เนื่องมาจาก การประท้วง การแข่งขันของเราจึงต้องเลื่อนออกไป.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 20 เมษายน 2553
ถามมาสั้นๆ ถามว่า owing to หมายถึงอะไร? ใช้ยังไง?
ถามสั้นๆ ก็ตอบสั้นๆ ครับว่า หมายถึง เนื่องจาก เป็น preposition หรือคำบุพบท จึงต้องตามด้วยคำนาม หรือกริยาเติม -ing
Owing to ออกเสียงว่า 'โอวอิง ทู
มีความหมายคล้ายกัน และใช้เหมือนกันกับ because of
The flight was delayed owing to the bad weather. เที่ยวบินถูกเลื่อนออกไป เนื่องจาก สภาพอากาศไม่ดี = The flight was delayed because of the bad weather. เที่ยวบินถูกเลื่อนออกไป เพราะ สภาพอากาศไม่ดี
Owing to high winds at Suvarnabhumi Airport, our plane had to land at Don Muang. เนื่องจาก ลมแรงมากที่สนามบินสุวรรณภูมิ เครื่องบินของเราก็จึงต้องไปลงที่ดอนเมือง
อีกคำหนึ่งซึ่งคล้ายกันก็คือ due to แต่ due to เป็นคำเชื่อม หรือ conjunction หมายถึง มีสาเหตุเนื่องมาจาก
Due to + คำนาม หรือ กริยาเติม ing เหมือนกัน Due to the demonstration, our matches had to be cancelled. เนื่องมาจาก การประท้วง การแข่งขันของเราจึงต้องเลื่อนออกไป.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 20 เมษายน 2553
ภาษาอังกฤษ Vs ภาษาอเมริกัน
ภาษาอังกฤษสไตล์อังกฤษ และ ภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกัน: ภาษาอเมริกัน
มี คนถามเรื่องความแตกต่างของภาษาอังกฤษแบบอังกฤษและแบบอเมริกันมาอีกเยอะครับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงนะครับ ขอยกตัวอย่างเลยดีกว่า อย่างคำว่า railway ที่หมายถึง ‘ทางรถไฟ’ นั้น ในภาษาอเมริกัน กลับใช้คำว่า railroad
ในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษในสมัยก่อน สถานีรถไฟมักจะใช้คำว่า a railway station ส่วนในภาษาอเมริกันนิยมใช้คำว่า a train station
ในสมัยนี้นะครับ เมื่อคนอังกฤษเองพูดถึงสถานีรถไฟก็มักจะใช้คำว่า a train station เหมือนคนอเมริกันกันแล้ว
ผู้ อ่านท่านที่เคยไปเยือนทั้งสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรคงเคยสังเกตนะครับ ว่าผู้คนชนทั้งสองประเทศเรียกของหวาน ไม่ว่าจะเป็นพวกไอศกรีม หรือขนมเค้กว่า dessert ดิ ‘เสิท แปลตรงตัวก็คือ ขนมหวาน
แต่ในสหราช อาณาจักร หรือประเทศอังกฤษ บางครั้งผู้คนที่นั่นเรียก dessert ว่า pudding ‘พุดดิง หรือบางครั้งเรียกว่า sweets ซวีทส ที่หมายถึง ขนม หรือขนมหวาน (ปัจจุบัน ผมก็เห็นมีหลายครั้งที่เดี๋ยวนี้ใช้แค่ sweet เฉยๆ ไม่ต้องเติม s ก็มี เช่น Are you having a sweet? มีขนมหวานไหมคะ?)
แต่ในภาษาอเมริกัน pudding เป็นขนมคนละอย่างกับ dessert ในอเมริกา pudding ก็คือ ขนมพุดดิง
ใช้อังกฤษเป็นภาษาแม่เหมือนกันครับ แต่คนอังกฤษและคนอเมริกันพยายามทำภาษาที่ตัวเองใช้พูดให้แตกต่างจากกัน เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตน.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 21 เมษายน 2553
มี คนถามเรื่องความแตกต่างของภาษาอังกฤษแบบอังกฤษและแบบอเมริกันมาอีกเยอะครับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงนะครับ ขอยกตัวอย่างเลยดีกว่า อย่างคำว่า railway ที่หมายถึง ‘ทางรถไฟ’ นั้น ในภาษาอเมริกัน กลับใช้คำว่า railroad
ในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษในสมัยก่อน สถานีรถไฟมักจะใช้คำว่า a railway station ส่วนในภาษาอเมริกันนิยมใช้คำว่า a train station
ในสมัยนี้นะครับ เมื่อคนอังกฤษเองพูดถึงสถานีรถไฟก็มักจะใช้คำว่า a train station เหมือนคนอเมริกันกันแล้ว
ผู้ อ่านท่านที่เคยไปเยือนทั้งสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรคงเคยสังเกตนะครับ ว่าผู้คนชนทั้งสองประเทศเรียกของหวาน ไม่ว่าจะเป็นพวกไอศกรีม หรือขนมเค้กว่า dessert ดิ ‘เสิท แปลตรงตัวก็คือ ขนมหวาน
แต่ในสหราช อาณาจักร หรือประเทศอังกฤษ บางครั้งผู้คนที่นั่นเรียก dessert ว่า pudding ‘พุดดิง หรือบางครั้งเรียกว่า sweets ซวีทส ที่หมายถึง ขนม หรือขนมหวาน (ปัจจุบัน ผมก็เห็นมีหลายครั้งที่เดี๋ยวนี้ใช้แค่ sweet เฉยๆ ไม่ต้องเติม s ก็มี เช่น Are you having a sweet? มีขนมหวานไหมคะ?)
แต่ในภาษาอเมริกัน pudding เป็นขนมคนละอย่างกับ dessert ในอเมริกา pudding ก็คือ ขนมพุดดิง
ใช้อังกฤษเป็นภาษาแม่เหมือนกันครับ แต่คนอังกฤษและคนอเมริกันพยายามทำภาษาที่ตัวเองใช้พูดให้แตกต่างจากกัน เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตน.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 21 เมษายน 2553
Be your age = มีเหตุผลสมกับอายุ
When I was in Mattayom 3 I had a puppy love crush on a girl in my class. เมื่อสมัยอยู่ชั้นมัธยม 3 ผมมีรักแบบเด็กๆ กับดรุณีสาวร่วมชั้นคนหนึ่ง
Yesterday she came to Bangkok and confessed that she had loved me for 35 years and wanted to ignite the relationship again. วานนี้เธอขึ้นมากรุงเทพฯ มาสารภาพว่ารักผมมานานกว่า 35 ปี และปรารถนาจะให้ถ่านไฟเก่าคุระอุความสัมพันธ์กันใหม่อีกครั้ง
Ignite อิก' ไนท = ทำให้เกิดประกายลุกไหม้ หรือจุดระเบิด
ผมเลยเตือนเธอว่า 'Be your age!'. บียัวร์เอจ!
"I' m not interested in old fat ladies and I now have a family to look after." เราไม่สนใจในผู้หญิงแก่อ้วนดอกนะ แถมตอนนี้เรามีครอบครัวต้องดูแล
ได้ยินผมพูดอย่างนั้น เธอทำตาโปนถลนออกมานอกเบ้าและพูดว่า"What do you mean by 'Be your age!'?" เธอหมายความว่าไงที่ว่าบียัวร์เอจ?
"Do you want me to show you my egg?" เธออยากให้เราโชว์ไข่ของเราให้เธอดูงั้นเรอะ? โอย ผู้อ่านท่านครับ นิติภูมิอยากจะเป็นลม ผมพูด age ที่หมายถึง อายุ ไม่ได้พูด egg ที่หมายถึง ไข่ 'Be your age' isn't 'Show your egg!'.
It means behave sensibly, reasonably. You must act like a 50 year old woman. หมายถึง 'มีเหตุผล' เธอต้องทำตัวให้เหมือนคนอายุห้าสิบหน่อย
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 22 เมษายน 2553
Yesterday she came to Bangkok and confessed that she had loved me for 35 years and wanted to ignite the relationship again. วานนี้เธอขึ้นมากรุงเทพฯ มาสารภาพว่ารักผมมานานกว่า 35 ปี และปรารถนาจะให้ถ่านไฟเก่าคุระอุความสัมพันธ์กันใหม่อีกครั้ง
Ignite อิก' ไนท = ทำให้เกิดประกายลุกไหม้ หรือจุดระเบิด
ผมเลยเตือนเธอว่า 'Be your age!'. บียัวร์เอจ!
"I' m not interested in old fat ladies and I now have a family to look after." เราไม่สนใจในผู้หญิงแก่อ้วนดอกนะ แถมตอนนี้เรามีครอบครัวต้องดูแล
ได้ยินผมพูดอย่างนั้น เธอทำตาโปนถลนออกมานอกเบ้าและพูดว่า"What do you mean by 'Be your age!'?" เธอหมายความว่าไงที่ว่าบียัวร์เอจ?
"Do you want me to show you my egg?" เธออยากให้เราโชว์ไข่ของเราให้เธอดูงั้นเรอะ? โอย ผู้อ่านท่านครับ นิติภูมิอยากจะเป็นลม ผมพูด age ที่หมายถึง อายุ ไม่ได้พูด egg ที่หมายถึง ไข่ 'Be your age' isn't 'Show your egg!'.
It means behave sensibly, reasonably. You must act like a 50 year old woman. หมายถึง 'มีเหตุผล' เธอต้องทำตัวให้เหมือนคนอายุห้าสิบหน่อย
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 22 เมษายน 2553
Umpteen million times: เป็นล้าน ๆ ครั้ง จนนับครั้งไม่ได้
"ข้าบอกกะเอ็งเป็น ครั้งที่ล้าน แล้วว่า อย่าไปเชื่ออีปื๊ดนี่ นางคนนี้แกร้ายนัก เห็นคบหาสมาคมทำธุรกิจด้วยกัน ข้าก็รีบเตือนเอ็งเลย เตือนอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ เอาละ แล้วเป็นไง? ตอนนี้ต้องมานั่งช้ำใจละซี เสียทั้งเงิน เสียทั้งชื่อเสียง"
ผู้อ่านท่านครับ ไม่ได้หมายความว่าผมเตือนเพื่อนถึงล้านครั้งจริงๆ เพียงแต่เปรียบเทียบให้ฟัง ว่าผมเตือนเพื่อนบ่อยๆ เตือนเป็นระยะๆ เตือนอยู่เรื่อยๆ ในภาษาอังกฤษก็มีวลีอะไรอย่างนี้เหมือนกัน sixteen, seventeen, eighteen times สิบหกครั้ง สิบเจ็ดครั้ง สิบแปดครั้ง เรื่อยไปจนถึง 'Umpteen million times' เป็นล้านๆครั้ง จนนับครั้งไม่ได้ หรือ Uncountable times
ผมเคยฝันเรื่องคุณแม่คน หนึ่งด่าลูกสาวว่า "I have told you umpteen million times not to let that Thai, Nitipoom, come to your room at night or any other time." แม่บอกแกเป็นล้านครั้งจนนับไม่ถ้วน ว่าอย่าให้ไอ้คนไทยที่ชื่อนิติภูมิเข้ามาในห้องของแกตอนกลางคืน หรือตอนไหนๆ ก็ไม่ต้องให้เข้ามาทั้งนั้น
"How many more times do I have to tell you?" แม่ต้องเตือนแกอีกซักกี่ครั้งนี่? "He's a real dangerous shark!" ไอ้นี่น่ะฉลามร้ายของแท้นะลูก!
คนแก่อย่างเรานะ ครับ พูดอะไรก็ไม่พ้นความหลัง นิติภูมิเองก็ชอบงัดความหลังเมื่อครั้งเป็นเด็กวัดมาเล่าให้ลูกฟัง และทุกครั้งก็จะได้รับการต่อต้านด้วยประโยค "Dad, we've heard umpteen million times from you about your 'temple boy' experiences." พ่อคะ เราได้ยินพ่อเล่าเรื่องเด็กวัดมาเป็นล้านครั้งแล้ว
"Can you tell us something else?" เล่าเรื่องอื่นได้ไหมคะ?
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 26 เมษายน 2553
ผู้อ่านท่านครับ ไม่ได้หมายความว่าผมเตือนเพื่อนถึงล้านครั้งจริงๆ เพียงแต่เปรียบเทียบให้ฟัง ว่าผมเตือนเพื่อนบ่อยๆ เตือนเป็นระยะๆ เตือนอยู่เรื่อยๆ ในภาษาอังกฤษก็มีวลีอะไรอย่างนี้เหมือนกัน sixteen, seventeen, eighteen times สิบหกครั้ง สิบเจ็ดครั้ง สิบแปดครั้ง เรื่อยไปจนถึง 'Umpteen million times' เป็นล้านๆครั้ง จนนับครั้งไม่ได้ หรือ Uncountable times
ผมเคยฝันเรื่องคุณแม่คน หนึ่งด่าลูกสาวว่า "I have told you umpteen million times not to let that Thai, Nitipoom, come to your room at night or any other time." แม่บอกแกเป็นล้านครั้งจนนับไม่ถ้วน ว่าอย่าให้ไอ้คนไทยที่ชื่อนิติภูมิเข้ามาในห้องของแกตอนกลางคืน หรือตอนไหนๆ ก็ไม่ต้องให้เข้ามาทั้งนั้น
"How many more times do I have to tell you?" แม่ต้องเตือนแกอีกซักกี่ครั้งนี่? "He's a real dangerous shark!" ไอ้นี่น่ะฉลามร้ายของแท้นะลูก!
คนแก่อย่างเรานะ ครับ พูดอะไรก็ไม่พ้นความหลัง นิติภูมิเองก็ชอบงัดความหลังเมื่อครั้งเป็นเด็กวัดมาเล่าให้ลูกฟัง และทุกครั้งก็จะได้รับการต่อต้านด้วยประโยค "Dad, we've heard umpteen million times from you about your 'temple boy' experiences." พ่อคะ เราได้ยินพ่อเล่าเรื่องเด็กวัดมาเป็นล้านครั้งแล้ว
"Can you tell us something else?" เล่าเรื่องอื่นได้ไหมคะ?
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 26 เมษายน 2553
Upper: ยาเร่ง Downer: ยาถอน
"Is this an 'upper' or a 'downer'?" คนไปเรียนเมืองนอก ถ้าขยันเรียนอย่างเดียว ไม่เที่ยวกับเพื่อนฝูง หรือไม่คบผู้คนมากหน้าหลายตา ก็คงจะไม่เข้าใจประโยคอย่างนี้ละครับ แต่คนที่ชอบหาประสบการณ์ (ในทางไม่ดี) มีเพื่อนเยอะ พวกที่ชั่วเคยมี ดีเคยผ่าน จะเข้าใจประโยคนี้ดี ซึ่งก็คือ "นี่เป็น ยาเร่ง หรือ ยาถอน?"
Upper 'อัพเพอะ ถ้าเป็น adjective หมายถึง ที่อยู่ชั้นบน ที่อยู่ชั้นสูงขึ้นไป My room is on the upper floor. ห้องดิฉันอยู่ชั้นบนค่ะ แต่ถ้าใช้ในเรื่องของยาเสพติด ก็เป็นคำนาม หมายถึง a drug which causes a person taking it to feel very active and excited เป็นยากระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่า ช่วยให้รู้สึกมีอารมณ์
Downer ในความหมายทั่วไปซึ่งเป็นคำนาม หมายถึง an event or experience which makes you very unhappy เหตุการณ์ หรือประสบการณ์ที่ทำให้ไม่มีความสุขอย่างมาก คือเป็นทุกข์มากนั่นเอง You lost your job? ถูกให้ออกจากงานเหรอ? That's a real downer! นั่นน่ะทุกข์ของแท้เลยนะเพื่อน!
ถ้าใช้ในเรื่องของยาเสพติด downer 'ดาวเนอะ หมายถึง a drug that makes you feel calmer ยาถอน ยาที่ทำให้สงบ หรือหลับ ผมเคยมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเป็นคนขับรถส่งของ They take uppers to keep awake and downers so they can go to sleep. พวกนี้กินอัพเพอะเพื่อให้ตื่นตลอด ขับรถได้ และกินดาวเนอะ เพื่อให้หลับ
นิติภูมิ นวรัตน์
Upper 'อัพเพอะ ถ้าเป็น adjective หมายถึง ที่อยู่ชั้นบน ที่อยู่ชั้นสูงขึ้นไป My room is on the upper floor. ห้องดิฉันอยู่ชั้นบนค่ะ แต่ถ้าใช้ในเรื่องของยาเสพติด ก็เป็นคำนาม หมายถึง a drug which causes a person taking it to feel very active and excited เป็นยากระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่า ช่วยให้รู้สึกมีอารมณ์
Downer ในความหมายทั่วไปซึ่งเป็นคำนาม หมายถึง an event or experience which makes you very unhappy เหตุการณ์ หรือประสบการณ์ที่ทำให้ไม่มีความสุขอย่างมาก คือเป็นทุกข์มากนั่นเอง You lost your job? ถูกให้ออกจากงานเหรอ? That's a real downer! นั่นน่ะทุกข์ของแท้เลยนะเพื่อน!
ถ้าใช้ในเรื่องของยาเสพติด downer 'ดาวเนอะ หมายถึง a drug that makes you feel calmer ยาถอน ยาที่ทำให้สงบ หรือหลับ ผมเคยมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเป็นคนขับรถส่งของ They take uppers to keep awake and downers so they can go to sleep. พวกนี้กินอัพเพอะเพื่อให้ตื่นตลอด ขับรถได้ และกินดาวเนอะ เพื่อให้หลับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 26 เมษายน 2553
Friday, May 7, 2010
เกิดปะการังฟอกขาว
เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุด ครอบคลุมทะเลอันดามันเกือบทั้งหมด สาเหตุมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น...
ดร.นิพนธ์ พงษ์สุวรรณ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุด ครอบคลุมทะเลอันดามันเกือบทั้งหมด ตั้งแต่หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน และบริเวณตามชายฝั่งของหมู่เกาะตราชัย จ.พังงา และบริเวณเกาะใกล้ชายฝั่ง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา มีเกาะผ้า แหลมกลางใหญ่ แหลมกลางน้อยและคาดว่าใน จ.ภูเก็ต ก็เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวเช่นกัน สาเหตุมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น อย่างไร ก็ตาม หากช่วงนี้เกิดมรสุม มีฝนตกก็จะช่วยชีวิตปะการังได้ เพราะจะทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลลดลง สำหรับบริเวณทะเลอันดามัน จะมีพื้นที่ปะการัง ประมาณ 80 ตารางกิโลเมตร
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
===================
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย & กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ควรร่วมมือกันจัดสรรงบประมาณซื้อน้ำแข็ง มาช่วยลดอุณหภูมิของน้ำทะเล ท่านอธิบดี และผู้ว่าฯ มัวแต่นั่งเทียนอยู่กระมัง ถึงไม่รู้จักรีบแก้ไขปัญหา อย่างนี้ใครจะไปเที่ยว
ดร.นิพนธ์ พงษ์สุวรรณ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุด ครอบคลุมทะเลอันดามันเกือบทั้งหมด ตั้งแต่หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน และบริเวณตามชายฝั่งของหมู่เกาะตราชัย จ.พังงา และบริเวณเกาะใกล้ชายฝั่ง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา มีเกาะผ้า แหลมกลางใหญ่ แหลมกลางน้อยและคาดว่าใน จ.ภูเก็ต ก็เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวเช่นกัน สาเหตุมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น อย่างไร ก็ตาม หากช่วงนี้เกิดมรสุม มีฝนตกก็จะช่วยชีวิตปะการังได้ เพราะจะทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลลดลง สำหรับบริเวณทะเลอันดามัน จะมีพื้นที่ปะการัง ประมาณ 80 ตารางกิโลเมตร
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
===================
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย & กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ควรร่วมมือกันจัดสรรงบประมาณซื้อน้ำแข็ง มาช่วยลดอุณหภูมิของน้ำทะเล ท่านอธิบดี และผู้ว่าฯ มัวแต่นั่งเทียนอยู่กระมัง ถึงไม่รู้จักรีบแก้ไขปัญหา อย่างนี้ใครจะไปเที่ยว
ได้รับความสำคัญมาก = Red carpet/ อับอาย = humiliation
ผู้อ่านท่านครับ คำว่า พรมแดง เป็นคำสูง ใช้ปูสำหรับผู้นำระดับประมุขของประเทศเดินขณะไปเยือน ดังนั้น red carpet treatment จึงเป็นคำที่ให้ความหมายไปในทางได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่ง ได้รับความสำคัญมาก "I know a woman who gets the ‘red carpet’ treatment everywhere she goes." ผมรู้จักสุภาพสตรีคนหนึ่งซึ่งเธอได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งในทุกหนแห่งที่ เธอเดินทางไปเยือน
ผมถามนักการเมืองในซีกรัฐบาลท่านหนึ่ง ว่าในสถานการณ์บ้านเมืองที่แตกแยกกันอย่างนี้ ท่านได้รับการตอบรับอย่างไรบ้างจากประชาชน ท่านตอบว่า ในฐานะเป็นนักการเมือง บางครั้ง ผมก็ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่ง และบางครั้ง ก็ตรงกันข้าม ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ผมจะไม่ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น "As a politician I sometimes get ‘red carpet’ treatment and every so often it’s the opposite. In Northern Thailand I’m not welcome."
ผู้อ่านท่านครับ ผมขอตอบคำถามที่ผู้อ่านท่านถามมาถึงศัพท์ humiliation หน่อยครับ คำนี้ออกเสียงว่า ฮิวมิลิ ‘เอฌัน เป็นคำนามหมายถึง ความรู้สึกเสียหน้า ความรู้สึกอับอายเสียศักดิ์ศรี "She was filled with humiliation after being raped." เธอเต็มไปด้วยความรู้สึกอับอายจากการถูกข่มขืน
นอกจาก นั้น ยังหมายถึง การทำให้เสียหน้า การสบประมาท "Som never accepted any humiliations from his wife." สมไม่เคยยอมรับการสบประมาทใดๆ จากภรรยาของตัวเองเลย
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 27 เมษายน 2553
ผมถามนักการเมืองในซีกรัฐบาลท่านหนึ่ง ว่าในสถานการณ์บ้านเมืองที่แตกแยกกันอย่างนี้ ท่านได้รับการตอบรับอย่างไรบ้างจากประชาชน ท่านตอบว่า ในฐานะเป็นนักการเมือง บางครั้ง ผมก็ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่ง และบางครั้ง ก็ตรงกันข้าม ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ผมจะไม่ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น "As a politician I sometimes get ‘red carpet’ treatment and every so often it’s the opposite. In Northern Thailand I’m not welcome."
ผู้อ่านท่านครับ ผมขอตอบคำถามที่ผู้อ่านท่านถามมาถึงศัพท์ humiliation หน่อยครับ คำนี้ออกเสียงว่า ฮิวมิลิ ‘เอฌัน เป็นคำนามหมายถึง ความรู้สึกเสียหน้า ความรู้สึกอับอายเสียศักดิ์ศรี "She was filled with humiliation after being raped." เธอเต็มไปด้วยความรู้สึกอับอายจากการถูกข่มขืน
นอกจาก นั้น ยังหมายถึง การทำให้เสียหน้า การสบประมาท "Som never accepted any humiliations from his wife." สมไม่เคยยอมรับการสบประมาทใดๆ จากภรรยาของตัวเองเลย
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 27 เมษายน 2553
ประสบความสำเร็จอย่างมาก = Pass with flying colors
อิหร่านก็คือเปอร์เซีย ผู้อ่านท่านเคยเจอแมวเปอร์เซีย หรือ Persian cats ไหมครับ? ลักษณะของแมวพันธุ์นี้จะมีขนยาวมาก ขาหนาและสั้น แต่หน้ากลม เวลาฝรั่งจะว่าใครไว้ผมยาว มักจะเอาไปเปรียบกับขนของแมวเปอร์เซีย อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผมต้องไปอิหร่าน นายสม ผู้ช่วยของผมอยากไปด้วย แต่ผมไม่อนุญาต "I will never allow Som to follow me to Iran because he has hair like a Persian cat." ผมไม่ให้นายสมไปอิหร่าน เพราะแกไว้ผมยาวยังกะแมวเปอร์เซีย "Most of Iranian men wear short hair." ผู้ชายอิหร่านส่วนใหญ่ไว้ผมสั้น การไว้ผมทรงอะไร ยาว สั้นแบบไหน ฝรั่งใช้กริยา wear แว ที่หมายถึง สวมใส่ ก็ได้
"I went to Botswana early this month to develop investment opportunities for the Thai investors. We passed with flying colors. We were extremely successful." ต้นเดือนนี้ที่ผ่านมา ผมไปบอตสวานาเพื่อสร้างโอกาสการลงทุนให้นักธุรกิจไทย การเดินทางของเราประสบความสำเร็จอย่างดีมาก
ที่ผมใช้ตัวดำหมายถึง "We were extremely successful."
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 2553
"I went to Botswana early this month to develop investment opportunities for the Thai investors. We passed with flying colors. We were extremely successful." ต้นเดือนนี้ที่ผ่านมา ผมไปบอตสวานาเพื่อสร้างโอกาสการลงทุนให้นักธุรกิจไทย การเดินทางของเราประสบความสำเร็จอย่างดีมาก
ที่ผมใช้ตัวดำหมายถึง "We were extremely successful."
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 2553
บุคคลอันเป็นที่รัก: The apple of one’s eye//ตั้งครรภ์ ท้อง a bun
The apple of one’s eye/ a bun
My dear readers, I am now a grandfather and I often think of my grandson as the apple of my eye. I love him very much. He’s so cute. ผู้อ่านท่านที่รักครับ ปัจจุบันทุกวันนี้ นิติภูมิของท่านเป็นปู่แล้วนะครับ ผมมักจะคิดถึงหลานอันเป็นบุคคลสุดที่รักอยู่เสมอ ผมรักแกมากจริงๆ เพราะแกน่ารักมาก
วลี apple of one’s eye หมายถึง บุคคลอันเป็นที่รัก a person that is adored by someone อย่างเช่น Suda is the apple of her boyfriend’s eye, she can do no wrong. สุดาเป็นสุดที่รักของเพื่อนของเธอ เธอทำอะไรก็ไม่ผิด
วลีนี้ผู้อ่านท่านอย่าใช้ article ตัวอื่นนอกจาก the
..........an apple of one’s eye.
และกรุณาอย่าใช้ eyes เป็นพหูพจน์
..........the apple of one’s eyes.
ผู้ อ่านท่านครับ bun บัน คือขนมปังที่ทำเป็นแผ่นกลม เมื่อท่านเอาขนมปังที่ว่านี่ไปใส่ในเตาอบ ขนมปังก็จะพองขึ้น อันนี้นี่แหละครับ ที่ฝรั่งใช้ทำวลีเกี่ยวกับท้อง อ้า ก็ตั้งครรภ์นั่นแหละ "Darling, I’ve got a bun in the oven." ที่รักคะ หนูป่องค่ะ ประโยคนี้ก็หมายถึง หนูท้อง หนูมีน้องค่ะ เป็นคำพูดที่ใช้กันธรรมดาๆ ไม่เป็นทางการ ผู้ชายส่วนใหญ่ได้ยินคำนี้ He fell off his chair in shock and then climbed up slowly and said ‘you’re joking, aren’t you?’ ก็มักจะตกใจร่วงลงไปจากเก้าอี้ แล้วจะก็ค่อยๆ คลานกลับขึ้นมาช้าๆ ถามว่า ‘หนูพูดเล่นใช่ไหมจ๊ะ?’
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 2553
My dear readers, I am now a grandfather and I often think of my grandson as the apple of my eye. I love him very much. He’s so cute. ผู้อ่านท่านที่รักครับ ปัจจุบันทุกวันนี้ นิติภูมิของท่านเป็นปู่แล้วนะครับ ผมมักจะคิดถึงหลานอันเป็นบุคคลสุดที่รักอยู่เสมอ ผมรักแกมากจริงๆ เพราะแกน่ารักมาก
วลี apple of one’s eye หมายถึง บุคคลอันเป็นที่รัก a person that is adored by someone อย่างเช่น Suda is the apple of her boyfriend’s eye, she can do no wrong. สุดาเป็นสุดที่รักของเพื่อนของเธอ เธอทำอะไรก็ไม่ผิด
วลีนี้ผู้อ่านท่านอย่าใช้ article ตัวอื่นนอกจาก the
..........an apple of one’s eye.
และกรุณาอย่าใช้ eyes เป็นพหูพจน์
..........the apple of one’s eyes.
ผู้ อ่านท่านครับ bun บัน คือขนมปังที่ทำเป็นแผ่นกลม เมื่อท่านเอาขนมปังที่ว่านี่ไปใส่ในเตาอบ ขนมปังก็จะพองขึ้น อันนี้นี่แหละครับ ที่ฝรั่งใช้ทำวลีเกี่ยวกับท้อง อ้า ก็ตั้งครรภ์นั่นแหละ "Darling, I’ve got a bun in the oven." ที่รักคะ หนูป่องค่ะ ประโยคนี้ก็หมายถึง หนูท้อง หนูมีน้องค่ะ เป็นคำพูดที่ใช้กันธรรมดาๆ ไม่เป็นทางการ ผู้ชายส่วนใหญ่ได้ยินคำนี้ He fell off his chair in shock and then climbed up slowly and said ‘you’re joking, aren’t you?’ ก็มักจะตกใจร่วงลงไปจากเก้าอี้ แล้วจะก็ค่อยๆ คลานกลับขึ้นมาช้าๆ ถามว่า ‘หนูพูดเล่นใช่ไหมจ๊ะ?’
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ 2553
ไฟฉาย หิ่งห้อย Flashlight/torch ความเชี่ยวชาญ ชำนาญ speciality/specialty
ราตรีหนึ่ง มีคนขอให้ช่วยพาฝรั่งไปดูหิ่งห้อยในสวนของผม ฝรั่งถามว่า "Don't you bring a flashlight?" ไม่เอาไฟฉายไปด้วยหรือ? อาจารย์มัธยมจากสมุทรปราการ ท่านซึ่งเป็นผู้พาฝรั่งมาดูหิ่งห้อยที่สวนของผม กระซิบถามว่า อ้า อะไรคือ a flashlight ครับ อาจารย์นิติภูมิ?
ผมถามอาจารย์กลับว่า "ฝรั่งที่อาจารย์พามาดูหิ่งห้อยนี่เป็นชาวอเมริกันใช่ไหม?" อาจารย์ตอบว่า "ใช่ครับ" ผมจึงอธิบายว่า "คนอเมริกันจะเรียกไฟฉายว่า a flashlight ส่วนคนอังกฤษจะเรียกแตกต่างไป คือเรียกว่า a torch"
"...then I took out my torch and pushed the button." ...ไอเอาไฟฉายออกมาและกดปุ่ม ท่านเดาได้เลยว่า ไอ้ขี้เล่านี่เป็นชาวอังกฤษ
ผม เคยแนะนำงานของผมให้ฝรั่งฟังว่า " 'Traveling in Eastern Thailand' is my speciality." 'การเทียวเที่ยวไปในไทยตะวันออก' คือความชำนาญของผม "และ 'African colour stones' is Balance's speciality." 'อัญมณีหินสีจากทวีปแอฟริกา' คือความชำนาญของบาลานซ์นี่คือการใช้ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษพูดกับฝรั่ง ซึ่งความเชี่ยวชาญหรือความชำนาญ ฝรั่งอังกฤษใช้ speciality
แต่ฝรั่งอเมริกันกลับใช้ specialty อย่างเช่น " 'Documentary films' is our specialty." 'ภาพยนต์สารคดี' คือความชำนาญของเรา
ยกเว้น 'ความเชี่ยวชาญของแพทย์' ไม่ว่าคนอังกฤษ หรือคนอเมริกัน ท่านจะใช้ศัพท์เหมือนกันว่า 'specialty.'
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ พ.ศ.2553
ผมถามอาจารย์กลับว่า "ฝรั่งที่อาจารย์พามาดูหิ่งห้อยนี่เป็นชาวอเมริกันใช่ไหม?" อาจารย์ตอบว่า "ใช่ครับ" ผมจึงอธิบายว่า "คนอเมริกันจะเรียกไฟฉายว่า a flashlight ส่วนคนอังกฤษจะเรียกแตกต่างไป คือเรียกว่า a torch"
"...then I took out my torch and pushed the button." ...ไอเอาไฟฉายออกมาและกดปุ่ม ท่านเดาได้เลยว่า ไอ้ขี้เล่านี่เป็นชาวอังกฤษ
ผม เคยแนะนำงานของผมให้ฝรั่งฟังว่า " 'Traveling in Eastern Thailand' is my speciality." 'การเทียวเที่ยวไปในไทยตะวันออก' คือความชำนาญของผม "และ 'African colour stones' is Balance's speciality." 'อัญมณีหินสีจากทวีปแอฟริกา' คือความชำนาญของบาลานซ์นี่คือการใช้ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษพูดกับฝรั่ง ซึ่งความเชี่ยวชาญหรือความชำนาญ ฝรั่งอังกฤษใช้ speciality
แต่ฝรั่งอเมริกันกลับใช้ specialty อย่างเช่น " 'Documentary films' is our specialty." 'ภาพยนต์สารคดี' คือความชำนาญของเรา
ยกเว้น 'ความเชี่ยวชาญของแพทย์' ไม่ว่าคนอังกฤษ หรือคนอเมริกัน ท่านจะใช้ศัพท์เหมือนกันว่า 'specialty.'
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ พ.ศ.2553
การยิงจากพวกเดียวกันเอง: Friendly Fire
พุธที่ผ่านมา ผมไปร่วมสัมมนาเรื่องอิหร่านที่โรงแรมถนนวิภาวดีรังสิต กทม. ตอนออกจากโรงแรมรถติดมาก ฝนก็ตกหนัก ฟังข่าวจากวิทยุพบว่ากลุ่มเสื้อแดงปะทะกับทหารตรงบริเวณหน้าอนุสรณ์สถาน ดอนเมือง ซึ่งอยู่ข้างหน้ารถยนต์ของผม เมื่อกลับถึงบ้าน ขณะกำลังเขียนคอลัมน์ฉบับวันนี้ พบว่ามีทหารเสียชีวิต 1 คน คือ พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาระ และบาดเจ็บอีก 19 คน
ดูข่าวจากสถานีโทรทัศน์ ต่างประเทศไปด้วย ซึ่งจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่? ไม่ทราบ ข่าวว่า "That army private, Narongrid Sara, was shot dead by ‘friendly fire’. The investigation is still going on but it was either a policeman or another army member, not someone from the red shirts." พลทหารผู้นั้น, ณรงค์ฤทธิ์ สาระ, ถูกยิงเสียชีวิตโดย ‘การยิงจากพวกเดียวกันเอง’ การสอบสวนกำลังดำเนินอยู่ ซึ่งอาจจะ (ยิง) มาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือจากทหารก็ได้ แต่ไม่ใช่จากพวกเสื้อแดง
สำนักข่าวฝรั่งใช้คำว่า friendly fire ก็หมายความว่า shooting from the same side การยิงจากพวกเดียวกันเอง เคยเป็น ตชด.อยู่ในชายแดน นิติภูมิก็เข้าใจดีนะครับ ว่าการสู้รบนั้น There are mistakes sometimes. บางครั้งก็มีความผิดพลาด Somebody moves into the line of fire at the same moment someone behind fires his weapon and the person is accidently killed. บางคนเข้ามาในวิถีกระสุนในจังหวะเดียวกันกับที่คนข้างหลังยิง อย่างนี้ก็ถูกยิงตายอย่างไม่ตั้งใจได้นะครับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ดูข่าวจากสถานีโทรทัศน์ ต่างประเทศไปด้วย ซึ่งจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่? ไม่ทราบ ข่าวว่า "That army private, Narongrid Sara, was shot dead by ‘friendly fire’. The investigation is still going on but it was either a policeman or another army member, not someone from the red shirts." พลทหารผู้นั้น, ณรงค์ฤทธิ์ สาระ, ถูกยิงเสียชีวิตโดย ‘การยิงจากพวกเดียวกันเอง’ การสอบสวนกำลังดำเนินอยู่ ซึ่งอาจจะ (ยิง) มาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือจากทหารก็ได้ แต่ไม่ใช่จากพวกเสื้อแดง
สำนักข่าวฝรั่งใช้คำว่า friendly fire ก็หมายความว่า shooting from the same side การยิงจากพวกเดียวกันเอง เคยเป็น ตชด.อยู่ในชายแดน นิติภูมิก็เข้าใจดีนะครับ ว่าการสู้รบนั้น There are mistakes sometimes. บางครั้งก็มีความผิดพลาด Somebody moves into the line of fire at the same moment someone behind fires his weapon and the person is accidently killed. บางคนเข้ามาในวิถีกระสุนในจังหวะเดียวกันกับที่คนข้างหลังยิง อย่างนี้ก็ถูกยิงตายอย่างไม่ตั้งใจได้นะครับ
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ พฤษภาคม พ.ศ.2553
ชนิดของกระสุนปืน: Types of bullets
"One soldier died and 18 other people injured as troops fired rubber bullets at a red-shirt convoy, and live shots into the air, on Wednesday-and the mob replied with stones and giant home-made fireworks."
"ข่าวของไทยแพร่ไปทั่วโลก ข้อความข้างบนคือ ทหารคนหนึ่งเสียชีวิต และอีก 18 คนบาดเจ็บ ขณะที่เจ้าหน้าที่ยิงกระสุนยางไปที่ขบวนเสื้อแดง และยิงกระสุนจริงขึ้นไปในอากาศเมื่อวันพุธ ม็อบ (เสื้อแดง) ตอบโต้ด้วยก้อนหินและบั้งไฟ"
ผู้อ่านท่านที่เคารพ กระสุนมีทั้งกระสุนจริง หรือ a live bullet กระสุนยาง a rubber bullet นอกจากนั้น ยังมี a blank bullet หรือกระสุนเปล่า
A live bullet can kill you. กระสุนจริงสามารถฆ่าท่านได้
A rubber bullet can hurt you but rarely kill. กระสุนยางสามารถทำให้ท่านเจ็บได้ แต่ไม่ค่อยมีใครตาย Only if it hits a vital organ, ah you're dead! แต่ถ้าโดนอวัยวะสำคัญ อา ท่านตาย!
A blank bullet makes a noise but there is no projectile. กระสุนเปล่ามีแต่เสียงดังปัง ไม่มีหัวกระสุน We use them at the sporting events or to scare the birds away from rice paddies. เราใช้กระสุนเปล่าให้สัญญาณเริ่มกีฬา หรือให้นกตกใจบินหนีออกไปจากนาข้าว
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ เมษายน พ.ศ.2553
"ข่าวของไทยแพร่ไปทั่วโลก ข้อความข้างบนคือ ทหารคนหนึ่งเสียชีวิต และอีก 18 คนบาดเจ็บ ขณะที่เจ้าหน้าที่ยิงกระสุนยางไปที่ขบวนเสื้อแดง และยิงกระสุนจริงขึ้นไปในอากาศเมื่อวันพุธ ม็อบ (เสื้อแดง) ตอบโต้ด้วยก้อนหินและบั้งไฟ"
ผู้อ่านท่านที่เคารพ กระสุนมีทั้งกระสุนจริง หรือ a live bullet กระสุนยาง a rubber bullet นอกจากนั้น ยังมี a blank bullet หรือกระสุนเปล่า
A live bullet can kill you. กระสุนจริงสามารถฆ่าท่านได้
A rubber bullet can hurt you but rarely kill. กระสุนยางสามารถทำให้ท่านเจ็บได้ แต่ไม่ค่อยมีใครตาย Only if it hits a vital organ, ah you're dead! แต่ถ้าโดนอวัยวะสำคัญ อา ท่านตาย!
A blank bullet makes a noise but there is no projectile. กระสุนเปล่ามีแต่เสียงดังปัง ไม่มีหัวกระสุน We use them at the sporting events or to scare the birds away from rice paddies. เราใช้กระสุนเปล่าให้สัญญาณเริ่มกีฬา หรือให้นกตกใจบินหนีออกไปจากนาข้าว
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ เมษายน พ.ศ.2553
พวกที่เป็นสุดยอด: The cream of the crop
ผอ.สร้างภาพยนตร์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า "There are many who applied to be my secretary but Im only interested in those who are the cream of the crop." มีคนมาสมัครเป็นเลขานุการของไอบานเบอะเยอะแยะ แต่ไอสนใจเฉพาะพวกที่เป็นสุดยอดเท่านั้น
มนุษย์เรานะครับ เกิดมาแล้วก็ต้องทำงานให้หนักที่สุด ไปทำอาชีพอะไร ก็ต้องตั้งใจให้เป็น the best of the best หรือ the top of the top
To get into the Olympic team you have to be the cream of the crop for whatever sport you are a contestant. จะเข้าไปอยู่ในทีมของกีฬาโอลิมปิก ท่านจะต้องเป็นสุดยอดมนุษย์ในกีฬาที่ท่านจะเป็นผู้ประชันขันแข่ง
My Lord, please listen to me, I'd rather be in the cream of the crop than be second best. พระองค์โปรดฟังข้า ข้าต้องเป็นที่หนึ่ง และจะไม่ขอเป็นสองรองใคร
I used to dream of Thailand being the cream of the crop in our region but the double standard that some leaders have has robbed me of my dream. ผมเคยฝันว่าประเทศไทยจะต้องเป็นชาติแถวหน้าในภูมิภาค ทว่าการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานของผู้นำบางคน ทำให้ความฝันนั้นพังสลาย
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ เมษายน พ.ศ.2553
มนุษย์เรานะครับ เกิดมาแล้วก็ต้องทำงานให้หนักที่สุด ไปทำอาชีพอะไร ก็ต้องตั้งใจให้เป็น the best of the best หรือ the top of the top
To get into the Olympic team you have to be the cream of the crop for whatever sport you are a contestant. จะเข้าไปอยู่ในทีมของกีฬาโอลิมปิก ท่านจะต้องเป็นสุดยอดมนุษย์ในกีฬาที่ท่านจะเป็นผู้ประชันขันแข่ง
My Lord, please listen to me, I'd rather be in the cream of the crop than be second best. พระองค์โปรดฟังข้า ข้าต้องเป็นที่หนึ่ง และจะไม่ขอเป็นสองรองใคร
I used to dream of Thailand being the cream of the crop in our region but the double standard that some leaders have has robbed me of my dream. ผมเคยฝันว่าประเทศไทยจะต้องเป็นชาติแถวหน้าในภูมิภาค ทว่าการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานของผู้นำบางคน ทำให้ความฝันนั้นพังสลาย
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ เมษายน พ.ศ.2553
เรื่องของหอย (1) + (2)
เรื่องของหอย (1)
=============
ผมพาคุณเจมส์ไปเที่ยวทะเลหลังบ้านผมที่หมู่บ้านซึ้งล่าง ต.วันยาว อ.ขลุง จ.จันทบุรี คุณเจมส์เห็นหอยขลุงก็ร้องลั่น "Mr Nitipoom, look at those 'hoi kraangs' ! They are lovely." คุณนิติภูมิครับ ดูหอยครางพวกนี้ซี น่ารักเหลือเกิน
Mr James, we don't have 'hoi kraang' we have only 'hoi krang'. คุณเจมส์ เราไม่มีคำว่าหอยคราง ภาษาไทยมีแต่คำว่าหอยแครงนะยู
หอยแครงก็คือ 'คอคเกิ้ล' "A 'hoi krang' is a cockle."
ส่วน หอยครางอะไรของยูน่ะ น่าจะหมายถึงหอยอ้าเปลือกด้วยความตกใจและร้องครวญคราง "Your 'hoi kraang' means a shellfish is gasping and crying." ซึ่งในความจริงมันไม่มี หอยที่ไหนในโลกจะร้องเย้ายวนครวญครางได้
นิติ ภูมิเอากริยา Gasp กาซพ ที่หมายถึง อ้าปากด้วยความตกใจ มาใช้อธิบายความหมายของหอยคราง จากนั้น ผมก็วกไปอธิบายเรื่องของหอยแครงอีก "Hoi krang is a shellfish that you can eat." หอยแครงเป็นหอยที่กินได้ "I love to eat them with beer and somtam." ผมชอบกินหอยแครงกับเบียร์และส้มตำ
ขณะที่กำลังอธิบายเรื่องหอยแครงหอยครางอยู่นั้น ไอ้ปี๊ดลูกเจ้น้องก้นซอยสองกับเหียหลองก็เอา 'หอยนางรม' มาโชว์
คุณ เจมส์อยากอวดว่าตนรู้ภาษาไทย ก็พูดว่า Oh I remember now 'oyster' is a 'hoi naang' อา ตอนนี้ ไอจำได้แล้ว ออย 'ซเตอ ก็คือ 'หอยนาง'
ความไม่รู้ของคุณเจมส์ทำเรื่องลามกอีกแล้ว นิติภูมิละเบื่อจริงๆ!
นิติภูมิ นวรัตน์
==============
เรื่องของหอย (2)
==============
Oyster ออย' ซเตอ ก็คือ หอยนางรม
เมื่อวาน นิติภูมิรับใช้ถึงตอนที่คุณเจมส์อวดรู้ภาษาไทย "Oh I remember now 'oyster' is a 'hoi naang' ไอจำได้แล้ว ออย- ซเตอก็คือ 'หอยนาง'
ผม ทนไม่ได้ หากได้ยินใครพูดจากำกวม ฝรั่งเจมส์จำคำเต็มของหอยนางรมไม่ได้ พูดได้แต่หอยนาง ผมจึงเตือนว่า"It' s rude. You must use the full world 'hoi naang rom'." พูดแค่นั้นน่ะ หยาบนะ ยูต้องพูดคำเต็มว่า หอยนางรม
นิติ ภูมิพูดต่อว่า อ้า เอ้อ พูดถึงออยซเตอ "If I were as rich as Thaksin Shinawatra, I wouldn't involve myself in politics." ถ้ารวยอย่างคุณทักษิณ ชินวัตร ไอจะไม่เล่นการเมืองเด็ดขาด เพราะถึงแม้ไม่ทำงานการเมือง "The world would be my oyster." โลกทั้งใบก็กลายเป็นหอยนางรมของไอแล้ว
ผมอธิบายให้คุณเจมส์ฟังว่า "when an oyster opens up, เมื่อหอยนางรมอ้าออก then you can have whatever is inside. จะเห็นว่ามีอะไรอยู่ในนั้นทุกอย่าง When a person is so rich, เหมือนคนรวย they can have whatever they like in this world ก็สามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกอย่าง-Rolls Royce รถยนต์โรลส์ รอยซ์, private jets เครื่องบินส่วนตัว, or eat in the most expensive restaurant in the world หรือทานอาหารในภัตตาคารที่แพงที่สุดในโลกก็ได้.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ เมษายน พ.ศ.2553
=============
ผมพาคุณเจมส์ไปเที่ยวทะเลหลังบ้านผมที่หมู่บ้านซึ้งล่าง ต.วันยาว อ.ขลุง จ.จันทบุรี คุณเจมส์เห็นหอยขลุงก็ร้องลั่น "Mr Nitipoom, look at those 'hoi kraangs' ! They are lovely." คุณนิติภูมิครับ ดูหอยครางพวกนี้ซี น่ารักเหลือเกิน
Mr James, we don't have 'hoi kraang' we have only 'hoi krang'. คุณเจมส์ เราไม่มีคำว่าหอยคราง ภาษาไทยมีแต่คำว่าหอยแครงนะยู
หอยแครงก็คือ 'คอคเกิ้ล' "A 'hoi krang' is a cockle."
ส่วน หอยครางอะไรของยูน่ะ น่าจะหมายถึงหอยอ้าเปลือกด้วยความตกใจและร้องครวญคราง "Your 'hoi kraang' means a shellfish is gasping and crying." ซึ่งในความจริงมันไม่มี หอยที่ไหนในโลกจะร้องเย้ายวนครวญครางได้
นิติ ภูมิเอากริยา Gasp กาซพ ที่หมายถึง อ้าปากด้วยความตกใจ มาใช้อธิบายความหมายของหอยคราง จากนั้น ผมก็วกไปอธิบายเรื่องของหอยแครงอีก "Hoi krang is a shellfish that you can eat." หอยแครงเป็นหอยที่กินได้ "I love to eat them with beer and somtam." ผมชอบกินหอยแครงกับเบียร์และส้มตำ
ขณะที่กำลังอธิบายเรื่องหอยแครงหอยครางอยู่นั้น ไอ้ปี๊ดลูกเจ้น้องก้นซอยสองกับเหียหลองก็เอา 'หอยนางรม' มาโชว์
คุณ เจมส์อยากอวดว่าตนรู้ภาษาไทย ก็พูดว่า Oh I remember now 'oyster' is a 'hoi naang' อา ตอนนี้ ไอจำได้แล้ว ออย 'ซเตอ ก็คือ 'หอยนาง'
ความไม่รู้ของคุณเจมส์ทำเรื่องลามกอีกแล้ว นิติภูมิละเบื่อจริงๆ!
นิติภูมิ นวรัตน์
==============
เรื่องของหอย (2)
==============
Oyster ออย' ซเตอ ก็คือ หอยนางรม
เมื่อวาน นิติภูมิรับใช้ถึงตอนที่คุณเจมส์อวดรู้ภาษาไทย "Oh I remember now 'oyster' is a 'hoi naang' ไอจำได้แล้ว ออย- ซเตอก็คือ 'หอยนาง'
ผม ทนไม่ได้ หากได้ยินใครพูดจากำกวม ฝรั่งเจมส์จำคำเต็มของหอยนางรมไม่ได้ พูดได้แต่หอยนาง ผมจึงเตือนว่า"It' s rude. You must use the full world 'hoi naang rom'." พูดแค่นั้นน่ะ หยาบนะ ยูต้องพูดคำเต็มว่า หอยนางรม
นิติ ภูมิพูดต่อว่า อ้า เอ้อ พูดถึงออยซเตอ "If I were as rich as Thaksin Shinawatra, I wouldn't involve myself in politics." ถ้ารวยอย่างคุณทักษิณ ชินวัตร ไอจะไม่เล่นการเมืองเด็ดขาด เพราะถึงแม้ไม่ทำงานการเมือง "The world would be my oyster." โลกทั้งใบก็กลายเป็นหอยนางรมของไอแล้ว
ผมอธิบายให้คุณเจมส์ฟังว่า "when an oyster opens up, เมื่อหอยนางรมอ้าออก then you can have whatever is inside. จะเห็นว่ามีอะไรอยู่ในนั้นทุกอย่าง When a person is so rich, เหมือนคนรวย they can have whatever they like in this world ก็สามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกอย่าง-Rolls Royce รถยนต์โรลส์ รอยซ์, private jets เครื่องบินส่วนตัว, or eat in the most expensive restaurant in the world หรือทานอาหารในภัตตาคารที่แพงที่สุดในโลกก็ได้.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ เมษายน พ.ศ.2553
Overdo ทำมากไปทำเกินธรรมดา /over the top สนใจมากจนเกินไป
เพื่อนนายร้อยตำรวจ น.บ.,ร.บ. รุ่น 15 ผู้มีชื่อว่า พันตำรวจโท วัลลภ ตอนนี้อายุ 52 ปีแล้ว ไม่รู้อะไรทำให้แกแต่งงานกับสาว 18 พบหน้ากันวันก่อน วัลลภหน้าตาเซียว ผมคิดว่า อ้า เพื่อนคง ทำอะไรเกินกำลัง ของตนเองซักอย่าง One of my Police batch 15, Police Lieutenant Colonel Wallop, who is now 52 married a younger woman, 18. I saw him the other day and he was looking pale and worn out. I think he' s been overdoing something.
ศัพท์ ที่น่าสนใจในประโยคข้างบนก็คือ overdo ผู้อ่านท่านครับ If you overdo something, it means you go beyond the normal. ถ้าท่าน overdo อะไรซักอย่าง ก็หมายความว่า ท่านทำมากไปทำเกินธรรมดา
My son usually overdoes things, for example, when I ask him to read a book about Russian history, he' ll read three or four books. ลูกชายผมก็เหมือนกัน มักจะ overdo อยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมขอให้แกอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ รัสเซียเพียงเล่มเดียว แกจะเล่นไปอ่านซะสามสี่เล่มเลยทีเดียว
ยุง ชุม จัง สาวเกาหลีใต้ แต่งงานกับหนุ่มไทย แล้วก็หลงใหลในความเป็นไทยมากเกินไป เธอต้องนุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อคอกระเช้าทุกวัน ไปงานใหญ่ก็ใส่โจงกระเบนและทานหมากปากแดง "She is over the top about Thai culture since she married a Thai." ตั้งแต่แต่งงานกับหนุ่มไทย เธอสนใจวัฒนธรรมไทยจนเกินเลยไป
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
ศัพท์ ที่น่าสนใจในประโยคข้างบนก็คือ overdo ผู้อ่านท่านครับ If you overdo something, it means you go beyond the normal. ถ้าท่าน overdo อะไรซักอย่าง ก็หมายความว่า ท่านทำมากไปทำเกินธรรมดา
My son usually overdoes things, for example, when I ask him to read a book about Russian history, he' ll read three or four books. ลูกชายผมก็เหมือนกัน มักจะ overdo อยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมขอให้แกอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ รัสเซียเพียงเล่มเดียว แกจะเล่นไปอ่านซะสามสี่เล่มเลยทีเดียว
ยุง ชุม จัง สาวเกาหลีใต้ แต่งงานกับหนุ่มไทย แล้วก็หลงใหลในความเป็นไทยมากเกินไป เธอต้องนุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อคอกระเช้าทุกวัน ไปงานใหญ่ก็ใส่โจงกระเบนและทานหมากปากแดง "She is over the top about Thai culture since she married a Thai." ตั้งแต่แต่งงานกับหนุ่มไทย เธอสนใจวัฒนธรรมไทยจนเกินเลยไป
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
ภาษา HIV
บริษัท บาลานซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเน็คชั่นส์ จำกัด ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการให้เป็น ค็อน'ทแรคเทอ หรือผู้เซ็นสัญญารับว่าจ้างให้ถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย ขณะนี้ กำลังถ่ายหนังโทรทัศน์รัสเซียเรื่อง 'เกาะที่เต็มไปด้วยผู้ไม่พึงปรารถนา' นางเอกเรื่องนี้สวยมาก ทว่าน่าเสียดาย ที่พระเอกมี HIV
Balance International Connections Company Limited is licensed to be a contractor for filming foreign films in Thailand. We are now filming a Russian T.V. series named 'The Island of the Unwanted' The heroine is very beautiful but the hero, it's a pity, has HIV.
ผู้ฟังท่าน หนึ่งยกมือถามว่า อ้า "If he has AIDS, how did he get a visa to Thailand?" ถ้าพระเอกเป็นเอดส์ ทำไมถึงยังได้วีซ่าเข้าประเทศไทยล่ะ?
ผมสวนกลับไปว่า พระเอกไม่ได้เป็นเอดส์ แต่มี HIV
HIV stands for 'Hair Is Vanishing'.
HIV มาจาก ผมบนศีรษะกำลังอันตรธานหายไป
กริยา vanish 'แฝนอิฌ หมายถึง หายตัวไป อันตรธาน
ผม อธิบายเรื่องพระเอกคนนี้ให้ผู้ฟังฟังใหม่ว่า He's thin up top. ผมข้างบนศีรษะของเขามีน้อยมาก He's going bald. กำลังจะหัวล้าน He's not bald yet but just thin. หัวยังไม่โล้นเลี่ยนเตียนโล่ง เพียงแต่เริ่มมีผมบาง There are a few hairs on the top of his head. มีผมน้อยที่ด้านบนสุดของศีรษะ.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
Balance International Connections Company Limited is licensed to be a contractor for filming foreign films in Thailand. We are now filming a Russian T.V. series named 'The Island of the Unwanted' The heroine is very beautiful but the hero, it's a pity, has HIV.
ผู้ฟังท่าน หนึ่งยกมือถามว่า อ้า "If he has AIDS, how did he get a visa to Thailand?" ถ้าพระเอกเป็นเอดส์ ทำไมถึงยังได้วีซ่าเข้าประเทศไทยล่ะ?
ผมสวนกลับไปว่า พระเอกไม่ได้เป็นเอดส์ แต่มี HIV
HIV stands for 'Hair Is Vanishing'.
HIV มาจาก ผมบนศีรษะกำลังอันตรธานหายไป
กริยา vanish 'แฝนอิฌ หมายถึง หายตัวไป อันตรธาน
ผม อธิบายเรื่องพระเอกคนนี้ให้ผู้ฟังฟังใหม่ว่า He's thin up top. ผมข้างบนศีรษะของเขามีน้อยมาก He's going bald. กำลังจะหัวล้าน He's not bald yet but just thin. หัวยังไม่โล้นเลี่ยนเตียนโล่ง เพียงแต่เริ่มมีผมบาง There are a few hairs on the top of his head. มีผมน้อยที่ด้านบนสุดของศีรษะ.
นิติภูมิ นวรัตน์
ที่มา: คอลัมน์ เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
โมโหร้าย
เคยอาละวาดฟาดหัวฟาดหางไว้ทั่ว จนถูกฟ้องร้องดำเนินคดีนับไม่ถ้วน สำหรับซุปเปอร์โมเดลผิวสีชาวอังกฤษ ที่โด่งดังและร่ำรวยที่สุดในโลก
นา โอมิ แคมป์เบลล์ วัย 39 ปี ล่าสุด นางแบบสาวขี้เม้งปล่อยโฮกลางอากาศ ระหว่างเปิดใจให้สัมภาษณ์ในรายการทอล์กโชว์โอปราห์ วินฟรีย์ว่า อยากกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ ถ้าสังคมยอมให้อภัย
ซุปเปอร์โมเดล เจ้าอารมณ์ยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้ชมหลายล้านคนทั้งน้ำตานองหน้าว่า ฉันเป็นคนโมโหร้าย ชนิดที่ว่าถ้าถูกขัดใจเมื่อไหร่เป็นต้องปรี๊ดและกรี๊ดจนบ้านแตก มันเป็นด้านมืดของอารมณ์ที่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจ เป็นความผิดปกติแบบหนึ่งของสภาพจิตใจ ฉันรู้สึกเสียใจ ละอายใจ ทุกครั้งที่ระเบิดอารมณ์ออกมา ทุกครั้งที่ไม่สามารถควบคุมปีศาจในตัวได้ ฉันกำลังพยายามอย่างหนักที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น
กระนั้น เธอพยายามแก้ต่างให้ตัวเองว่า อารมณ์กราดเกรี้ยวและโมโหร้ายอย่างขาดสติไม่ได้เกิดจากความเอาแต่ใจตัวเอง เพราะถูกสปอยล์ด้วยเงินทองและชื่อเสียง แต่ลึกๆแล้วมาจากปมในวัยเด็กที่ถูกพ่อทอดทิ้งตั้งแต่อายุแค่ 2 เดือน และยังถูกแม่ทิ้งให้อยู่กับพี่เลี้ยงตามลำพัง เพราะคุณแม่ของเธอต้องตระเวนแสดงบัลเลต์ไปทั่วยุโรป ทำให้เธอกลายเป็นคนขาดรัก และเมื่อไหร่ที่ถูกทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจ ปีศาจร้ายในตัวก็พร้อมออกมาอาละวาดทันที
ประวัติเรื่องความโมโหร้าย ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ของซุปเปอร์โมเดลผิวสีเป็นที่เลื่องลืออย่างต่อเนื่อง โดยพฤติกรรมสุดถ่อยของนางแบบคนดังถูกเปิดโปงเป็นครั้งแรกราวปี 1999 เมื่ออดีตผู้ช่วยส่วนตัว "จิออร์จินา กาลานิส" ออกโรงแฉว่าโดนนายหญิงจอมโหดทำร้ายร่างกาย ด้วยการกระชากคอเสื้อ และขว้างโทรศัพท์มือถือใส่หน้า แถมยังถูกขู่ว่าจะโยนออกนอกรถ การฟ้องร้องคดีนี้ดำเนินไปเป็นปี จนในที่สุด "แคมป์เบลล์" ต้องจ่ายเงินปิดปากก้อนใหญ่เพื่อให้เรื่องยุติ และรับปากศาลว่าจะเข้าคอร์สบำบัดอาการโกรธ
วีรกรรมถ่อยๆของซุป เปอร์โมเดลผิวสีกลายเป็นพาดหัวข่าวแท็บลอยด์ อีกหลายครั้ง รวมถึงข้อกล่าวหาจากอดีตผู้ช่วยอีกคน "อาแมนดา แบร็ค" ที่ออกมาแฉแหลก เมื่อปี 2005 ว่า หลังทำงานรับใช้นายหญิงขี้วีนได้เดือนเศษ ก็โดนตบหน้าสั่งสอน และขว้างแบล็กเบอร์รี่ใส่หน้า เพราะไม่สบอารมณ์ งานนี้ "แคมป์เบลล์" ต้องเซ็นเช็คจ่ายเป็นค่าเสียหาย ขณะที่เรื่องเก่ายังไม่ทันเงียบ ซุปเปอร์โมเดลอารมณ์ร้ายก็ก่อเรื่องใหม่อีกจนได้ เมื่อสะกดอารมณ์ไม่อยู่ ลุกขึ้นชี้หน้าด่ากราดนางเอกสาวชาวอิตาเลียนกลางโรงแรมหรู ฐานบังอาจมาใส่ชุดซ้ำ โดยฝ่ายเจ้าทุกข์ยืนยันว่าถูกนางแบบผิวสีชกเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้า และหมัดหนักอย่างกับ "ไมค์ ไทสัน" นักมวยจอมซาดิสต์ ที่เคยเป็นคู่ควงของซุปเปอร์โมเดลคนดังพักใหญ่
พอเข้าปี 2006 ได้ไม่กี่เดือน ซุปเปอร์โมเดลเลือดร้อนก็ถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกายคนรับใช้ที่บ้าน โดยใช้อาวุธถนัดคือโทรศัพท์มือถือ ฟาดเข้าเต็มศีรษะ แม่บ้านผู้โชคร้ายเลือดอาบไปทั้งหัว ต้องเย็บหลายสิบเข็ม คราวนี้ตำรวจตั้งข้อหาหนัก มีโทษจำคุกอย่างน้อย 1 ปี และสูงสุดไม่เกิน 7 ปี กระบวนการแฉพฤติกรรมโฉดของนายหญิงซุปเปอร์โมเดลยังคงดำเนินไปอีกหลายระลอก โดยมีการระบุว่า "แคมป์เบลล์" เป็นตัวอันตรายสำหรับทุกคนที่เข้าใกล้
พฤติกรรม พ่อแม่ไม่สั่งสอนของนางแบบดังไม่มีท่าทีจะยุติลงง่ายๆ เธอถูกจับกุมตัวอีกครั้ง เมื่อต้นปี 2008 กลางสนามบินฮีทโธรว์ โทษฐานทำร้ายร่างกายตำรวจ เพราะไม่พอใจที่กระเป๋าเดินทางหายไปหนึ่งใบ แถมยังขู่กรรโชกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน จนสายการบินบริติช แอร์เวย์ส ทนไม่ไหว ประกาศสั่งแบนซุปเปอร์โมเดลผิวสีห้ามขึ้นเครื่องบินสายการบินแห่งชาติตลอด ชีพ
ชื่อเสียงของนางแบบผิวสีต้องพังป่นปี้อีกครั้ง เมื่อคนขับรถส่วนตัว เข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจนิวยอร์ก ช่วงต้นปี 2010 ว่าถูกนายหญิงตบหน้าและต่อยดั้งยุบ ตามมาติดๆด้วยข้อกล่าวหาระดับชาติ ที่หลุดปากโดยนักแสดงสาวรุ่นใหญ่ "มีอา ฟาร์โรว์" ซึ่งให้การว่า ซุปเปอร์โมเดลคนดังเคยโม้ให้ฟังว่า หล่อนได้ "บลัดไดมอนด์" ก้อนโตที่เป็นเพชรผิดกฎหมายมาครอบครอง โดยเป็นของกำนัลจากแฟนเก่าจอมเผด็จการ คือ ประธานาธิบดีไลบีเรีย ระหว่างงานเลี้ยงการกุศล จัดโดย "เนลสัน แมนเดลา" ที่แอฟริกาใต้ เมื่อปี 1997 เรื่องนี้ถือเป็นอะไรที่ซีเรียสคอขาดบาดตายมาก เมื่อถูกผู้สื่อข่าวเอบีซี นิวส์ ตามจิกสัมภาษณ์ เธอจึงระเบิดโทสะออกมาชุดเบ้อเริ่ม...กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าทำตัวต่ำไม่สมกับ เป็นซุปเปอร์โมเดล ก็สายเกินแก้ซะแล้ว!!
มิสแซฟไฟร์
ที่มา: คอลัมน์ต่างประเทศ ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
นา โอมิ แคมป์เบลล์ วัย 39 ปี ล่าสุด นางแบบสาวขี้เม้งปล่อยโฮกลางอากาศ ระหว่างเปิดใจให้สัมภาษณ์ในรายการทอล์กโชว์โอปราห์ วินฟรีย์ว่า อยากกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ ถ้าสังคมยอมให้อภัย
ซุปเปอร์โมเดล เจ้าอารมณ์ยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้ชมหลายล้านคนทั้งน้ำตานองหน้าว่า ฉันเป็นคนโมโหร้าย ชนิดที่ว่าถ้าถูกขัดใจเมื่อไหร่เป็นต้องปรี๊ดและกรี๊ดจนบ้านแตก มันเป็นด้านมืดของอารมณ์ที่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจ เป็นความผิดปกติแบบหนึ่งของสภาพจิตใจ ฉันรู้สึกเสียใจ ละอายใจ ทุกครั้งที่ระเบิดอารมณ์ออกมา ทุกครั้งที่ไม่สามารถควบคุมปีศาจในตัวได้ ฉันกำลังพยายามอย่างหนักที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น
กระนั้น เธอพยายามแก้ต่างให้ตัวเองว่า อารมณ์กราดเกรี้ยวและโมโหร้ายอย่างขาดสติไม่ได้เกิดจากความเอาแต่ใจตัวเอง เพราะถูกสปอยล์ด้วยเงินทองและชื่อเสียง แต่ลึกๆแล้วมาจากปมในวัยเด็กที่ถูกพ่อทอดทิ้งตั้งแต่อายุแค่ 2 เดือน และยังถูกแม่ทิ้งให้อยู่กับพี่เลี้ยงตามลำพัง เพราะคุณแม่ของเธอต้องตระเวนแสดงบัลเลต์ไปทั่วยุโรป ทำให้เธอกลายเป็นคนขาดรัก และเมื่อไหร่ที่ถูกทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจ ปีศาจร้ายในตัวก็พร้อมออกมาอาละวาดทันที
ประวัติเรื่องความโมโหร้าย ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ของซุปเปอร์โมเดลผิวสีเป็นที่เลื่องลืออย่างต่อเนื่อง โดยพฤติกรรมสุดถ่อยของนางแบบคนดังถูกเปิดโปงเป็นครั้งแรกราวปี 1999 เมื่ออดีตผู้ช่วยส่วนตัว "จิออร์จินา กาลานิส" ออกโรงแฉว่าโดนนายหญิงจอมโหดทำร้ายร่างกาย ด้วยการกระชากคอเสื้อ และขว้างโทรศัพท์มือถือใส่หน้า แถมยังถูกขู่ว่าจะโยนออกนอกรถ การฟ้องร้องคดีนี้ดำเนินไปเป็นปี จนในที่สุด "แคมป์เบลล์" ต้องจ่ายเงินปิดปากก้อนใหญ่เพื่อให้เรื่องยุติ และรับปากศาลว่าจะเข้าคอร์สบำบัดอาการโกรธ
วีรกรรมถ่อยๆของซุป เปอร์โมเดลผิวสีกลายเป็นพาดหัวข่าวแท็บลอยด์ อีกหลายครั้ง รวมถึงข้อกล่าวหาจากอดีตผู้ช่วยอีกคน "อาแมนดา แบร็ค" ที่ออกมาแฉแหลก เมื่อปี 2005 ว่า หลังทำงานรับใช้นายหญิงขี้วีนได้เดือนเศษ ก็โดนตบหน้าสั่งสอน และขว้างแบล็กเบอร์รี่ใส่หน้า เพราะไม่สบอารมณ์ งานนี้ "แคมป์เบลล์" ต้องเซ็นเช็คจ่ายเป็นค่าเสียหาย ขณะที่เรื่องเก่ายังไม่ทันเงียบ ซุปเปอร์โมเดลอารมณ์ร้ายก็ก่อเรื่องใหม่อีกจนได้ เมื่อสะกดอารมณ์ไม่อยู่ ลุกขึ้นชี้หน้าด่ากราดนางเอกสาวชาวอิตาเลียนกลางโรงแรมหรู ฐานบังอาจมาใส่ชุดซ้ำ โดยฝ่ายเจ้าทุกข์ยืนยันว่าถูกนางแบบผิวสีชกเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้า และหมัดหนักอย่างกับ "ไมค์ ไทสัน" นักมวยจอมซาดิสต์ ที่เคยเป็นคู่ควงของซุปเปอร์โมเดลคนดังพักใหญ่
พอเข้าปี 2006 ได้ไม่กี่เดือน ซุปเปอร์โมเดลเลือดร้อนก็ถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกายคนรับใช้ที่บ้าน โดยใช้อาวุธถนัดคือโทรศัพท์มือถือ ฟาดเข้าเต็มศีรษะ แม่บ้านผู้โชคร้ายเลือดอาบไปทั้งหัว ต้องเย็บหลายสิบเข็ม คราวนี้ตำรวจตั้งข้อหาหนัก มีโทษจำคุกอย่างน้อย 1 ปี และสูงสุดไม่เกิน 7 ปี กระบวนการแฉพฤติกรรมโฉดของนายหญิงซุปเปอร์โมเดลยังคงดำเนินไปอีกหลายระลอก โดยมีการระบุว่า "แคมป์เบลล์" เป็นตัวอันตรายสำหรับทุกคนที่เข้าใกล้
พฤติกรรม พ่อแม่ไม่สั่งสอนของนางแบบดังไม่มีท่าทีจะยุติลงง่ายๆ เธอถูกจับกุมตัวอีกครั้ง เมื่อต้นปี 2008 กลางสนามบินฮีทโธรว์ โทษฐานทำร้ายร่างกายตำรวจ เพราะไม่พอใจที่กระเป๋าเดินทางหายไปหนึ่งใบ แถมยังขู่กรรโชกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน จนสายการบินบริติช แอร์เวย์ส ทนไม่ไหว ประกาศสั่งแบนซุปเปอร์โมเดลผิวสีห้ามขึ้นเครื่องบินสายการบินแห่งชาติตลอด ชีพ
ชื่อเสียงของนางแบบผิวสีต้องพังป่นปี้อีกครั้ง เมื่อคนขับรถส่วนตัว เข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจนิวยอร์ก ช่วงต้นปี 2010 ว่าถูกนายหญิงตบหน้าและต่อยดั้งยุบ ตามมาติดๆด้วยข้อกล่าวหาระดับชาติ ที่หลุดปากโดยนักแสดงสาวรุ่นใหญ่ "มีอา ฟาร์โรว์" ซึ่งให้การว่า ซุปเปอร์โมเดลคนดังเคยโม้ให้ฟังว่า หล่อนได้ "บลัดไดมอนด์" ก้อนโตที่เป็นเพชรผิดกฎหมายมาครอบครอง โดยเป็นของกำนัลจากแฟนเก่าจอมเผด็จการ คือ ประธานาธิบดีไลบีเรีย ระหว่างงานเลี้ยงการกุศล จัดโดย "เนลสัน แมนเดลา" ที่แอฟริกาใต้ เมื่อปี 1997 เรื่องนี้ถือเป็นอะไรที่ซีเรียสคอขาดบาดตายมาก เมื่อถูกผู้สื่อข่าวเอบีซี นิวส์ ตามจิกสัมภาษณ์ เธอจึงระเบิดโทสะออกมาชุดเบ้อเริ่ม...กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าทำตัวต่ำไม่สมกับ เป็นซุปเปอร์โมเดล ก็สายเกินแก้ซะแล้ว!!
มิสแซฟไฟร์
ที่มา: คอลัมน์ต่างประเทศ ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
วิธีทรมานตัวเองให้แก่ชราลง อย่างรวดเร็ว แก่ฮวบเดียว 1 รอบ
พบวิธีทรมานสังขารให้เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่อยากแก่ โดยประพฤติสิ่งที่เป็นภัยแก่สุขภาพ 4 อย่างด้วยกันครบถ้วน ตั้งแต่กินเหล้าสูบบุหรี่ กินข้าวปลาตามใจชอบและไม่ยอมออกกำลังจะทำให้ร่างกายแก่ลงได้ทันตา ฮวบเดียว 1 รอบ
ทั้งนี้ วารสารวิชาการ "อายุรแพทย์" ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลรายงานการศึกษาด้านสุขภาพ ทำกับชาวอังกฤษที่เป็นผู้ใหญ่ 314 คน ที่มีความประพฤติปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามใจตนเอง ด้วยการประพฤติที่เป็นโทษแก่ สุขภาพตนเอง ตั้งแต่กินเหล้าสูบบุหรี่จัด กินอยู่ตามใจชอบ และไม่เคยออกกำลัง
ปรากฏว่าพวกเหล่านี้พากันตายลง ในระหว่างช่วงเวลาของการศึกษาไป 91 คน หรือร้อยละ 29 เทียบกับกลุ่มพวกที่แข็งแรงที่สุด คอยรักษาเนื้อรักษาตัวอยู่เป็นประจำ ตายเพียง 32 คน หรือร้อยละ 8 เท่านั้น นอกนั้น กลุ่มที่ไม่รักษาสุขภาพ จะมีรูปร่างหน้าตาชราลงยิ่งกว่ากลุ่มที่สุขภาพดีกว่ากัน มากถึง 12 ปี
นัก วิจัยอลิซาเบธ กวาวิก มหาวิทยาลัยออสโลหัวหน้านักวิจัย ได้บอกแนะนำว่า ความจริงแล้วการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงนั้น ไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตัวอย่างเข้มงวดเกินไปนักก็ได้
ทั้งนี้ วารสารวิชาการ "อายุรแพทย์" ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลรายงานการศึกษาด้านสุขภาพ ทำกับชาวอังกฤษที่เป็นผู้ใหญ่ 314 คน ที่มีความประพฤติปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามใจตนเอง ด้วยการประพฤติที่เป็นโทษแก่ สุขภาพตนเอง ตั้งแต่กินเหล้าสูบบุหรี่จัด กินอยู่ตามใจชอบ และไม่เคยออกกำลัง
ปรากฏว่าพวกเหล่านี้พากันตายลง ในระหว่างช่วงเวลาของการศึกษาไป 91 คน หรือร้อยละ 29 เทียบกับกลุ่มพวกที่แข็งแรงที่สุด คอยรักษาเนื้อรักษาตัวอยู่เป็นประจำ ตายเพียง 32 คน หรือร้อยละ 8 เท่านั้น นอกนั้น กลุ่มที่ไม่รักษาสุขภาพ จะมีรูปร่างหน้าตาชราลงยิ่งกว่ากลุ่มที่สุขภาพดีกว่ากัน มากถึง 12 ปี
นัก วิจัยอลิซาเบธ กวาวิก มหาวิทยาลัยออสโลหัวหน้านักวิจัย ได้บอกแนะนำว่า ความจริงแล้วการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงนั้น ไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตัวอย่างเข้มงวดเกินไปนักก็ได้
ที่มา: คอลัมน์ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
ง่ายนิดเดียว...เดินวันละ 10,000 ก้าว เพื่อชีวิตยืนยาว
อเมริกันชนกำลังเห่อเทรนด์สุขภาพใหม่ คือการเดินให้ได้วันละ 10,000 ก้าว โดยมีเครื่องเพโดมิเตอร์ ช่วยนับก้าวในการเดิน แต่ที่ จริงแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 4 ทศวรรษก่อน ไอเดียนี้ผุดขึ้นมาจากมันสมองของคุณหมอชาวญี่ปุ่น "โยชิโร ฮาตาโน" ซึ่งประ-ดิษฐ์อุปกรณ์ออกกำลังกายแสนชาญ ฉลาด ตั้งชื่อว่า Manpo-kei แปลว่าเครื่องวัด 10,000 ก้าว และได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พอแนวคิดดังกล่าวแพร่หลายไปถึงฝั่งอเมริกาและยุโรป ได้เปลี่ยนชื่ออุปกรณ์นี้ใหม่ให้ดูอินเตอร์ว่า เพโดมิเตอร์
แม้หลายตำราจะยืนยันว่าการเดินวันละ 10,000 ก้าว สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 500 แคลอรี แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าจะทำได้จริง ในหนังสือ "ออกกำลังกาย ง่ายที่สุดในโลก" แนะนำทางลัดเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย "เดินวันละ 10,000 ก้าว" ง่ายกว่าที่คิด!!
เริ่มจาก เพิ่มระยะทางให้ทุกจุดหมาย เช่น ถ้าคุณขับรถ ก็ให้จอดรถก่อนถึงจุดหมายสัก 500 เมตร ลงจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ก่อนกำหนด 1-2 สถานี หรือเดินไปธนาคารสาขาที่ไกลขึ้น จำไว้ว่า แค่ 5 นาที ก็สะสมได้เพิ่ม 500 ก้าว โอกาสทองก่อนช็อปปิ้ง เพิ่มก้าวเดินด้วยการเดินเร็วๆรอบห้างฯโปรดสัก 20 นาที ก่อนเริ่มช็อปปิ้งทุกครั้ง ได้เพิ่ม 2,000 ก้าว เที่ยวงานแฟร์ใหญ่ๆคือกิจวัตรของเรา งานมหกรรมหนังสือ มอเตอร์โชว์ งานเทรดโชว์ คือลู่เดินอันแสนวิเศษ เปลี่ยนตัวเองให้กระฉับกระเฉง ด้วยการเดินเที่ยวงานแฟร์อย่างน้อย 30 นาที ได้คะแนนเพิ่ม 3,000 ก้าว พึ่งสองเท้าของเราเอง แทนพาหนะโดยสาร งดเดินทางโดยรถยนต์ รถไฟฟ้า รถเมล์ ในวันที่ไม่เร่งรีบ เช่น เช้าวันเสาร์ แล้วค่อยๆเดินไปยังจุดหมายไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป เดินแค่ 30 นาที ได้เพิ่ม 3,000 ก้าว ไปเที่ยวเพื่อเปลี่ยนที่นอน เลิกซะทีนิสัยเก่าๆที่ไปเที่ยวที่ไหนแล้วเอาแต่กินกับนอน ลองออกเดินสำรวจสถานที่ใหม่ๆ เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจ แค่ 1 ชั่วโมง ก็เดินได้ 6,000 ก้าวแล้ว
แม้หลายตำราจะยืนยันว่าการเดินวันละ 10,000 ก้าว สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 500 แคลอรี แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าจะทำได้จริง ในหนังสือ "ออกกำลังกาย ง่ายที่สุดในโลก" แนะนำทางลัดเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย "เดินวันละ 10,000 ก้าว" ง่ายกว่าที่คิด!!
เริ่มจาก เพิ่มระยะทางให้ทุกจุดหมาย เช่น ถ้าคุณขับรถ ก็ให้จอดรถก่อนถึงจุดหมายสัก 500 เมตร ลงจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ก่อนกำหนด 1-2 สถานี หรือเดินไปธนาคารสาขาที่ไกลขึ้น จำไว้ว่า แค่ 5 นาที ก็สะสมได้เพิ่ม 500 ก้าว โอกาสทองก่อนช็อปปิ้ง เพิ่มก้าวเดินด้วยการเดินเร็วๆรอบห้างฯโปรดสัก 20 นาที ก่อนเริ่มช็อปปิ้งทุกครั้ง ได้เพิ่ม 2,000 ก้าว เที่ยวงานแฟร์ใหญ่ๆคือกิจวัตรของเรา งานมหกรรมหนังสือ มอเตอร์โชว์ งานเทรดโชว์ คือลู่เดินอันแสนวิเศษ เปลี่ยนตัวเองให้กระฉับกระเฉง ด้วยการเดินเที่ยวงานแฟร์อย่างน้อย 30 นาที ได้คะแนนเพิ่ม 3,000 ก้าว พึ่งสองเท้าของเราเอง แทนพาหนะโดยสาร งดเดินทางโดยรถยนต์ รถไฟฟ้า รถเมล์ ในวันที่ไม่เร่งรีบ เช่น เช้าวันเสาร์ แล้วค่อยๆเดินไปยังจุดหมายไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป เดินแค่ 30 นาที ได้เพิ่ม 3,000 ก้าว ไปเที่ยวเพื่อเปลี่ยนที่นอน เลิกซะทีนิสัยเก่าๆที่ไปเที่ยวที่ไหนแล้วเอาแต่กินกับนอน ลองออกเดินสำรวจสถานที่ใหม่ๆ เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจ แค่ 1 ชั่วโมง ก็เดินได้ 6,000 ก้าวแล้ว
ที่มา: คอลัมน์ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2553
Thursday, May 6, 2010
ความลับก็ถูกเปิดเผย: ทันตแพทย์สม สุจีรา
ทันตแพทย์สม สุจีรา แล้วความลับก็ถูกเปิดเผย...
คุณ หมอหนุ่มผู้นี้ คือนักเขียนมือทองเจ้าของผลงานเบสต์เซลเลอร์ยอดฮิต ”ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” และ “เดอะท็อปซีเคร็ต” หนังสือธรรมะแนวใหม่ที่นำเอาธรรมะจิตวิทยา และวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวที่สุดจนทำให้ยอดขายทะลุหลักแสน กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของคนทั้งประเทศในเวลาอันรวดเร็ว ในวันนี้เจ้าของผลงาน เดอะท็อปซีเคร็ต พร้อมเปิดเผยความลับที่หลายคนอยากรู้ แต่ยังไม่มีใครรู้...
เริ่มเห็นแววนักเขียนตั้งแต่เมื่อไรคะ
จุดเริ่มต้นของการเขียนหนังสือของผมมาจากการเขียนไดอะรี่ผมเริ่มเขียนตอน เรียนอยู่ ม.ต้น บางทีตอนพักเที่ยงผมก็หลบเพื่อนๆมานั่งเขียน เขียนเสร็จแล้วทิ้งไปเลยก็มี เพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นเดี๋ยวเขาล้อ ผมจะบันทึกความรู้สึกดีใจหรือเสียใจลงในไดอะรี่ โดยไม่ต้องมานั่งสมาธิ ภาวนาโกรธหนอๆ เสียใจหนอๆ ผมแนะนำว่าคนที่คิดอยากจะปฏิบัติธรรมโดยการจับความรู้สึกตัวเอง ให้หัดเขียนไดอะรี่ จะช่วยได้มาก
ส่วนที่มาเป็นนักเขียน ผมคิดว่ามาจากนิสัยที่ชอบอ่านและชอบจับความรู้สึกของคนเขียน คือคนที่เป็นนักอ่านไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียน แต่คนที่เป็นนักเขียนต้องพยายามอ่านและจับความรู้สึกให้ได้ ตอนเด็กๆ ผมชอบอ่านนิทาน ตอน ป.5 ป.6 อ่านเรื่องลึกลับเรื่องผี เรื่องจานบิน เรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เพราะผมชอบวิทยาศาสตร์เลยชอบอ่านเรื่องแนวนี้ โตขึ้นมาหน่อยก็ชอบอ่านเรื่องสั้น อย่างเรื่อง “มอม” เรื่องสั้นของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นี่เป็นเรื่องสั้นในดวงใจผมเลยทีเดียว ท่านบอกว่าขณะเขียนต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นสุนัข ภายหลังมาเป็นนักเขียนเอง ผมจึงเข้าใจว่า งานเขียนที่ดีต้องออกมาจากจิตวิญญาณ
หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ คือเรื่องอะไรคะ
หนังสือ “พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์” ของท่านอาจารย์ประยุทธ์ ปยุตฺโต เมื่อก่อนคนที่จะเชื่อมสองศาสตร์นี้เข้าด้วยกันไม่ค่อยมีแต่ท่านปยุตฺโต เชื่อมวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา
ได้ ชัดมาก ท่านปูพื้นไว้แล้วผมมาเชื่อมต่อได้เลย เพราะผมมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว หนังสือที่ผมเขียนตั้งแต่เล่มแรกๆคือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น, ทวาร 6 และ เกิดเพราะกรรมหรือความซวย มีต้นกำเนิดมาจากหนังสือเล่มนี้
ในบรรดางานทั้งหมด คุณหมอชอบทำอะไรมากที่สุด
ที่ทำตอนนี้มีเขียนหนังสือ สอนพิเศษวิชาฟิสิกส์ เคมี และมีงานบรรยายตามที่ต่างๆ ค่อนข้างหนักทีเดียวแต่ผมก็สนุก เพราะได้ทำอะไรที่แตกต่างจากงานประจำที่คลินิก จริงๆ ผมชอบทุกอย่างเท่าๆ กัน แต่ถึงจุดหนึ่งก็คงต้องเลือก เพราะจะทำให้ดีเท่ากันทุกอย่างคงไม่ได้ ตอนแรกๆ ที่ผมยังไม่เขียนหนังสือ ผมตั้งใจจะตั้งศูนย์ทันตกรรมขนาดใหญ่ ตอนนี้ผมมีคนไข้จากทั่วโลกเลย อย่างเช่น อะแลสกา นอร์เวย์ สวีเดน อิตาลี สวิส เขาบินมาเที่ยวแล้วก็เลยมาทำฟันด้วย
ผมมองว่าถ้าผมจะเอาดีทางนี้ ผมสามารถทำให้เจริญรุ่งเรืองถึงระดับนั้นได้ แต่ตอนนี้ผมเริ่มลังเลแล้ว เพราะว่างานเผยแผ่ธรรมะก็ดีนะ ช่วยคนได้เยอะ เทียบกับอาชีพหมอฟันแล้ว หมอฟันทำประโยชน์ได้น้อยกว่า วันหนึ่งทำฟันได้ไม่กี่คน ผมยังคิดว่าถ้าผมสอนพิเศษถึงจุดหนึ่ง ผมจะไปสอนที่โรงเรียนสัตยาไสของ ดร.อาจอง (ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกท่านเลยนะว่าผมจะไปช่วยท่านสอน ผมอยากให้เด็กที่ดีๆ เรียนเก่งด้วย หรือไม่ก็ไปสอนเด็กที่เรียนเก่ง แต่ไม่มีทุน จะได้ไม่ต้องไปเรียนกวดวิชา เป็นการปูพื้นให้เด็กๆ ที่ไม่มีโอกาส อีกหน่อยผมคงจะปิดคลินิก ถึงจะเสียดาย
แต่คงต้องเลือกผมเลือกที่จะเป็นนักเขียน เพราะการเป็นนักเขียนเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมพบอะไรดีๆ มากมาย ได้เจอคนดีๆ ได้เจออะไรที่ไม่เหมือนชีวิตเก่าของผมเลย ตอนแรกผมคิดว่าแค่เขียนแล้วส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์แค่นั้น เราไม่ต้องไปทำอะไร แต่หนังสือที่ผมเขียนมันลึก คนที่อ่านหนังสือเขาสงสัย เลยทำให้มีงานบรรยายเข้ามาด้วย
ถ้าให้นิยามตัวเอง คิดว่าเป็นคนแบบไหนคะ
ผมเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจสูง ผมว่าสำคัญนะ เพราะชีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จได้มันขึ้นอยู่กับสามแรง คือ แรงจูงใจแรงขับ และก็แรงบันดาลใจ แต่แรงขับมันจะเป็นทุกข์ คนที่พยายามจะไปข้างหน้าด้วยแรงขับจะเกิดทุกขเวทนาสูง ส่วนแรงจูงใจจะทำให้เกิดความโลภ อย่างนักกีฬาที่ตั้งใจซ้อมเพื่อเงินรางวัลจะต่างกับนักกีฬาที่ซ้อมด้วยแรง บันดาลใจ เขาจะมีแรงจากภายในขึ้นมาช่วยมหาศาลมากเลย เพราะฉะนั้นแรงบันดาลใจจึงสำคัญมากๆ
ผมอธิบายไว้ในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต 2 ถึงการสร้างแรงบันดาลใจว่าต้องมาจากความรู้สึก เราสามารถเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นแรงบันดาลใจได้ โดยต้องเชื่อมกับสมองด้วย และสมองต้องมีการเหนี่ยวนำมาจากสติ เรื่องที่ผมพูดดูเหมือนจะยาก แต่พอไปอ่านแล้วมันง่าย
เวลามีความทุกข์ มีวิธีคิดอย่างไรคะ
ไม่ว่ามีคนชมหรือมีคนว่า ผมจะรู้สึกเฉยๆ คือถ้าเวลาสุข เรามีสติเฝ้าดู จะเห็นว่าความสุขมันก็แค่นี้ เวลาทุกข์ก็เหมือนกัน ถ้าเราฝึกดึงสุขออกจากใจเราได้ ความทุกข์ก็ดึงได้เหมือนกัน ฝึกไปเถอะ ตอนสุขดึงง่ายกว่าตอนทุกข์ ดีใจมากๆ ปุ๊บ ตั้งสติ เราจะดีใจไปทำไม นั่งดูไปเลยว่า ความดีใจเป็นอย่างนี้นะ พอฝึกได้ถึงจุดหนึ่ง วันที่เราเสียใจ เราก็นั่งดูได้เหมือนกัน ผมก็เลยรู้สึกเฉยๆ
เขียนหนังสือตอบปัญหาต่างๆมาแล้วหลายเล่มแล้วเวลาที่ตัวเองมีปัญหาจะปรึกษาใครคะ
ผมแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะ ผมเปรียบตัวเองเป็นเหมือนโค้ช คือเราบอกนักกีฬาได้ว่า วิ่งไปตรงนี้หรือตรงนั้นเป็นจุดอ่อน ไปแก้ตรงนั้นนะ แต่โค้ชลงไปเล่นเอง โค้ชแพ้ เหมือนกับผมยังเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ยังมีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลงบางทีผมก็โมโหเบรกแตกเยอะแยะ
แต่พอมีสติมากขึ้นก็ช่วยให้เรารู้ทัน ที่ผ่านมามีอะไรเข้ามาในชีวิตผมเยอะมาก ที่ยังอยู่ในความทรงจำ ผมเขียนไว้ในหนังสือว่าอย่าคิดย้อนเอาอดีตกลับมาบาดใจ แต่บางทีก็ห้ามตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเอาชนะใจตัวเองนี่ยากที่สุดแล้ว ถ้าเอาชนะได้ก็ชนะทุกอย่าง มีคนบอกว่าผมเขียนหนังสือเหมือนกับนิพพานแล้ว เขียนอย่างกับรู้จริง ผมบอกว่าผมยังเข้าไม่ถึงหรอก แต่ผมเข้าใจว่าจะอธิบายอย่างไร เพราะก่อนที่ผมจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ผมต้องอ่านหนังสือมาก่อนเป็นร้อยเล่ม เช่น ผมจะเขียน ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ผมต้องไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับไอน์สไตน์ที่หาได้ทั้งหมด และหนังสือธรรมะด้วย อ่านแล้วตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ถามพระอาจารย์ได้ เพราะท่านเข้าถึงแล้ว
เคล็ดลับในการเขียนหนังสือของคุณหมอคืออะไรคะ
ผมอธิบายสิ่งที่ยากให้เข้าใจง่ายๆ และก่อนที่ผมจะเขียนอะไร ผมวิเคราะห์ก่อนว่าแนวไหนที่ตลาดต้องการ ไม่ใช่นึกจะเขียนก็เขียนเลย ช่วงนั้นแนวเป็นธรรมะ ผมก็วิเคราะห์ต่อว่า ถ้าเป็นแนวธรรมะผมจะเขียนอย่างไร เพราะหนังสือแนวนี้ในตลาดมีเยอะมากๆ ดังนั้นของผมต้องมีจุดต่างที่ไม่เหมือนใคร ผมก็มานึกว่าผมเรียนจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์มา เพราะฉะนั้นถ้าผมสามารถเชื่อมโยงธรรมะและจิตวิทยา หรือธรรมะและวิทยาศาสตร์ได้ ก็จะเป็นจุดที่ไม่เหมือนใครผมอธิบายไว้ในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต 2 ว่า การวิเคราะห์สำคัญมากๆ พอเราวิเคราะห์ถึงจุดหนึ่งแล้วเรารู้สึกว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้จริงๆ เพราะเราสร้างภาพแห่งความสำเร็จชัด บางคนวิเคราะห์อย่างเดียว แต่ไม่รู้จักสร้างให้เกิดความรู้สึก การวิเคราะห์ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ความสำเร็จเกิดจากวิธีคิด ซึ่งทุกคนสามารถทำได้
รู้สึกอย่างไรกับชื่อเสียงที่ได้มาอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่บ้านเขารู้สึกเฉยๆ นะ เหมือนกับผมเรียนหนังสือแล้วสอบได้ที่ 1 ที่บ้านก็รู้สึกเฉยๆ เพราะเขาเห็นแนวโน้มอยู่แล้วว่าผมทำได้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ ผมก็อยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว คือเรียนจบทันตแพทย์ มีงานทำ และมีความสุขพอสมควร ที่ผมทำงานต่างๆ เป็นนักเขียน สอนพิเศษ ไปบรรยาย เพราะอยากทำเท่านั้นเอง ผมคิดว่าความรู้ที่ผมมีน่าจะได้เผยแพร่ให้คนอื่นได้อ่านด้วย ผมเขียนหนังสือด้วยแรงบันดาลใจ ไม่ใช่แรงจูงใจ ผมจึงมีความสุขขณะที่เขียน แล้วหลังจากนั้นจะมีอะไรตามมา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขียนด้วยแรงจูงใจ จะเกิดความอยาก จะเกิดกิเลส
ถ้าถามว่า ผมประสบความสำเร็จแล้วรู้สึกยังไง ผมรู้สึกเฉยๆผมคิดว่าเราต้องระวังไม่หลงและยึดติดกับความสำเร็จและชื่อเสียง ถ้าหลงก็เสร็จเลย เพราะมันเป็นมายา สักวันหนึ่งในอนาคตถ้าหากไม่ประสบความสำเร็จหรือว่าชื่อเสียงหายไป ผมก็รู้สึกเฉยๆ อยู่ดีแต่ผมกลับกังวลว่าความมีชื่อเสียงจะทำให้ผมทำงานคลินิกไม่ได้ เพราะบางคนมาที่คลินิกเพื่อต้องการคุย ต้องการปรึกษา ต้องการให้ไปบรรยาย บางคนก็ต้องการมาดูว่าหมอสมเป็นใคร หน้าตายังไงเวลาไปบรรยาย ผมก็จะไม่มีเวลาทำคลินิก ผมเลยมาคิดว่าปีหน้าผมคงจะหยุดทำคลินิกแล้ว
ณ วันนี้ คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วหรือยังคะ
ยังครับ เรื่องนี้ผมอธิบายไว้ในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต 2 แล้วว่า การประสบความสำเร็จที่แท้จริงคืออะไร ผมเขียนไว้ครบ บทที่หนึ่ง พูดถึงเคล็ดลับความสำเร็จด้านการเรียน ผมบอกเคล็ดลับที่ทำให้เรียนเก่ง ใครอ่านและทำตามนั้นได้จะเรียนเก่งทันที เป็นเคล็ดลับที่ยังไม่มีใครรู้ หรืออาจจะรู้ แต่ไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่นฟังอย่างไร บทที่สอง เคล็ดลับความสำเร็จด้านการงาน บทที่สาม เคล็ดลับความสำเร็จด้านธุรกิจ บทที่สี่ เคล็ดลับความสำเร็จด้านชีวิต และ บทสุดท้าย คือความสำเร็จที่แท้จริง
ผมอาจประสบความสำเร็จทางด้านการเรียน การงาน ซึ่งเป็นความสำเร็จทางโลก แต่นั่นเป็นมายาซึ่งอยู่ได้ไม่นาน เราไม่ควรไปยึดติดสิ่งที่ไม่ใช่ของจริง อีกหน่อยมันก็หายไป ความสุขที่แท้จริงต่างหากเป็นจุดที่ผมต้องการ แต่ผมยังไปไม่ถึง ต้องอ่านดูแล้วจะรู้
เคล็ดลับสร้างสุขของ ทันตแพทย์สม สุจีรา
* แรงขับทำให้เกิดทุกข์ แรงจูงใจทำให้เกิดความโลภ แต่แรงบันดาลใจจะทำให้มีความสุข และจะนำมาซึ่งความสำเร็จ
* ความสำเร็จเกิดจากวิธีคิดและการสร้างภาพแห่งความรู้สึกซึ่งเราทุกคนทำได้
* อย่าหลงและยึดติดกับชื่อเสียงและความสำเร็จ เพราะสิ่งนี้คือมายา
* ชนะใจตัวเองยากที่สุด แต่ถ้าชนะได้ก็ชนะทุกอย่าง
ที่มา: Health & Wellness บมจ.ธนาคารกสิกรไทย kbeautifullife.com 15 พฤษภาคม 2552
คุณ หมอหนุ่มผู้นี้ คือนักเขียนมือทองเจ้าของผลงานเบสต์เซลเลอร์ยอดฮิต ”ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” และ “เดอะท็อปซีเคร็ต” หนังสือธรรมะแนวใหม่ที่นำเอาธรรมะจิตวิทยา และวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวที่สุดจนทำให้ยอดขายทะลุหลักแสน กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของคนทั้งประเทศในเวลาอันรวดเร็ว ในวันนี้เจ้าของผลงาน เดอะท็อปซีเคร็ต พร้อมเปิดเผยความลับที่หลายคนอยากรู้ แต่ยังไม่มีใครรู้...
เริ่มเห็นแววนักเขียนตั้งแต่เมื่อไรคะ
จุดเริ่มต้นของการเขียนหนังสือของผมมาจากการเขียนไดอะรี่ผมเริ่มเขียนตอน เรียนอยู่ ม.ต้น บางทีตอนพักเที่ยงผมก็หลบเพื่อนๆมานั่งเขียน เขียนเสร็จแล้วทิ้งไปเลยก็มี เพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นเดี๋ยวเขาล้อ ผมจะบันทึกความรู้สึกดีใจหรือเสียใจลงในไดอะรี่ โดยไม่ต้องมานั่งสมาธิ ภาวนาโกรธหนอๆ เสียใจหนอๆ ผมแนะนำว่าคนที่คิดอยากจะปฏิบัติธรรมโดยการจับความรู้สึกตัวเอง ให้หัดเขียนไดอะรี่ จะช่วยได้มาก
ส่วนที่มาเป็นนักเขียน ผมคิดว่ามาจากนิสัยที่ชอบอ่านและชอบจับความรู้สึกของคนเขียน คือคนที่เป็นนักอ่านไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียน แต่คนที่เป็นนักเขียนต้องพยายามอ่านและจับความรู้สึกให้ได้ ตอนเด็กๆ ผมชอบอ่านนิทาน ตอน ป.5 ป.6 อ่านเรื่องลึกลับเรื่องผี เรื่องจานบิน เรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เพราะผมชอบวิทยาศาสตร์เลยชอบอ่านเรื่องแนวนี้ โตขึ้นมาหน่อยก็ชอบอ่านเรื่องสั้น อย่างเรื่อง “มอม” เรื่องสั้นของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นี่เป็นเรื่องสั้นในดวงใจผมเลยทีเดียว ท่านบอกว่าขณะเขียนต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นสุนัข ภายหลังมาเป็นนักเขียนเอง ผมจึงเข้าใจว่า งานเขียนที่ดีต้องออกมาจากจิตวิญญาณ
หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ คือเรื่องอะไรคะ
หนังสือ “พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์” ของท่านอาจารย์ประยุทธ์ ปยุตฺโต เมื่อก่อนคนที่จะเชื่อมสองศาสตร์นี้เข้าด้วยกันไม่ค่อยมีแต่ท่านปยุตฺโต เชื่อมวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา
ได้ ชัดมาก ท่านปูพื้นไว้แล้วผมมาเชื่อมต่อได้เลย เพราะผมมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว หนังสือที่ผมเขียนตั้งแต่เล่มแรกๆคือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น, ทวาร 6 และ เกิดเพราะกรรมหรือความซวย มีต้นกำเนิดมาจากหนังสือเล่มนี้
ในบรรดางานทั้งหมด คุณหมอชอบทำอะไรมากที่สุด
ที่ทำตอนนี้มีเขียนหนังสือ สอนพิเศษวิชาฟิสิกส์ เคมี และมีงานบรรยายตามที่ต่างๆ ค่อนข้างหนักทีเดียวแต่ผมก็สนุก เพราะได้ทำอะไรที่แตกต่างจากงานประจำที่คลินิก จริงๆ ผมชอบทุกอย่างเท่าๆ กัน แต่ถึงจุดหนึ่งก็คงต้องเลือก เพราะจะทำให้ดีเท่ากันทุกอย่างคงไม่ได้ ตอนแรกๆ ที่ผมยังไม่เขียนหนังสือ ผมตั้งใจจะตั้งศูนย์ทันตกรรมขนาดใหญ่ ตอนนี้ผมมีคนไข้จากทั่วโลกเลย อย่างเช่น อะแลสกา นอร์เวย์ สวีเดน อิตาลี สวิส เขาบินมาเที่ยวแล้วก็เลยมาทำฟันด้วย
ผมมองว่าถ้าผมจะเอาดีทางนี้ ผมสามารถทำให้เจริญรุ่งเรืองถึงระดับนั้นได้ แต่ตอนนี้ผมเริ่มลังเลแล้ว เพราะว่างานเผยแผ่ธรรมะก็ดีนะ ช่วยคนได้เยอะ เทียบกับอาชีพหมอฟันแล้ว หมอฟันทำประโยชน์ได้น้อยกว่า วันหนึ่งทำฟันได้ไม่กี่คน ผมยังคิดว่าถ้าผมสอนพิเศษถึงจุดหนึ่ง ผมจะไปสอนที่โรงเรียนสัตยาไสของ ดร.อาจอง (ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกท่านเลยนะว่าผมจะไปช่วยท่านสอน ผมอยากให้เด็กที่ดีๆ เรียนเก่งด้วย หรือไม่ก็ไปสอนเด็กที่เรียนเก่ง แต่ไม่มีทุน จะได้ไม่ต้องไปเรียนกวดวิชา เป็นการปูพื้นให้เด็กๆ ที่ไม่มีโอกาส อีกหน่อยผมคงจะปิดคลินิก ถึงจะเสียดาย
แต่คงต้องเลือกผมเลือกที่จะเป็นนักเขียน เพราะการเป็นนักเขียนเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมพบอะไรดีๆ มากมาย ได้เจอคนดีๆ ได้เจออะไรที่ไม่เหมือนชีวิตเก่าของผมเลย ตอนแรกผมคิดว่าแค่เขียนแล้วส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์แค่นั้น เราไม่ต้องไปทำอะไร แต่หนังสือที่ผมเขียนมันลึก คนที่อ่านหนังสือเขาสงสัย เลยทำให้มีงานบรรยายเข้ามาด้วย
ถ้าให้นิยามตัวเอง คิดว่าเป็นคนแบบไหนคะ
ผมเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจสูง ผมว่าสำคัญนะ เพราะชีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จได้มันขึ้นอยู่กับสามแรง คือ แรงจูงใจแรงขับ และก็แรงบันดาลใจ แต่แรงขับมันจะเป็นทุกข์ คนที่พยายามจะไปข้างหน้าด้วยแรงขับจะเกิดทุกขเวทนาสูง ส่วนแรงจูงใจจะทำให้เกิดความโลภ อย่างนักกีฬาที่ตั้งใจซ้อมเพื่อเงินรางวัลจะต่างกับนักกีฬาที่ซ้อมด้วยแรง บันดาลใจ เขาจะมีแรงจากภายในขึ้นมาช่วยมหาศาลมากเลย เพราะฉะนั้นแรงบันดาลใจจึงสำคัญมากๆ
ผมอธิบายไว้ในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต 2 ถึงการสร้างแรงบันดาลใจว่าต้องมาจากความรู้สึก เราสามารถเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นแรงบันดาลใจได้ โดยต้องเชื่อมกับสมองด้วย และสมองต้องมีการเหนี่ยวนำมาจากสติ เรื่องที่ผมพูดดูเหมือนจะยาก แต่พอไปอ่านแล้วมันง่าย
เวลามีความทุกข์ มีวิธีคิดอย่างไรคะ
ไม่ว่ามีคนชมหรือมีคนว่า ผมจะรู้สึกเฉยๆ คือถ้าเวลาสุข เรามีสติเฝ้าดู จะเห็นว่าความสุขมันก็แค่นี้ เวลาทุกข์ก็เหมือนกัน ถ้าเราฝึกดึงสุขออกจากใจเราได้ ความทุกข์ก็ดึงได้เหมือนกัน ฝึกไปเถอะ ตอนสุขดึงง่ายกว่าตอนทุกข์ ดีใจมากๆ ปุ๊บ ตั้งสติ เราจะดีใจไปทำไม นั่งดูไปเลยว่า ความดีใจเป็นอย่างนี้นะ พอฝึกได้ถึงจุดหนึ่ง วันที่เราเสียใจ เราก็นั่งดูได้เหมือนกัน ผมก็เลยรู้สึกเฉยๆ
เขียนหนังสือตอบปัญหาต่างๆมาแล้วหลายเล่มแล้วเวลาที่ตัวเองมีปัญหาจะปรึกษาใครคะ
ผมแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะ ผมเปรียบตัวเองเป็นเหมือนโค้ช คือเราบอกนักกีฬาได้ว่า วิ่งไปตรงนี้หรือตรงนั้นเป็นจุดอ่อน ไปแก้ตรงนั้นนะ แต่โค้ชลงไปเล่นเอง โค้ชแพ้ เหมือนกับผมยังเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ยังมีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลงบางทีผมก็โมโหเบรกแตกเยอะแยะ
แต่พอมีสติมากขึ้นก็ช่วยให้เรารู้ทัน ที่ผ่านมามีอะไรเข้ามาในชีวิตผมเยอะมาก ที่ยังอยู่ในความทรงจำ ผมเขียนไว้ในหนังสือว่าอย่าคิดย้อนเอาอดีตกลับมาบาดใจ แต่บางทีก็ห้ามตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเอาชนะใจตัวเองนี่ยากที่สุดแล้ว ถ้าเอาชนะได้ก็ชนะทุกอย่าง มีคนบอกว่าผมเขียนหนังสือเหมือนกับนิพพานแล้ว เขียนอย่างกับรู้จริง ผมบอกว่าผมยังเข้าไม่ถึงหรอก แต่ผมเข้าใจว่าจะอธิบายอย่างไร เพราะก่อนที่ผมจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ผมต้องอ่านหนังสือมาก่อนเป็นร้อยเล่ม เช่น ผมจะเขียน ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ผมต้องไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับไอน์สไตน์ที่หาได้ทั้งหมด และหนังสือธรรมะด้วย อ่านแล้วตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ถามพระอาจารย์ได้ เพราะท่านเข้าถึงแล้ว
เคล็ดลับในการเขียนหนังสือของคุณหมอคืออะไรคะ
ผมอธิบายสิ่งที่ยากให้เข้าใจง่ายๆ และก่อนที่ผมจะเขียนอะไร ผมวิเคราะห์ก่อนว่าแนวไหนที่ตลาดต้องการ ไม่ใช่นึกจะเขียนก็เขียนเลย ช่วงนั้นแนวเป็นธรรมะ ผมก็วิเคราะห์ต่อว่า ถ้าเป็นแนวธรรมะผมจะเขียนอย่างไร เพราะหนังสือแนวนี้ในตลาดมีเยอะมากๆ ดังนั้นของผมต้องมีจุดต่างที่ไม่เหมือนใคร ผมก็มานึกว่าผมเรียนจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์มา เพราะฉะนั้นถ้าผมสามารถเชื่อมโยงธรรมะและจิตวิทยา หรือธรรมะและวิทยาศาสตร์ได้ ก็จะเป็นจุดที่ไม่เหมือนใครผมอธิบายไว้ในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต 2 ว่า การวิเคราะห์สำคัญมากๆ พอเราวิเคราะห์ถึงจุดหนึ่งแล้วเรารู้สึกว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้จริงๆ เพราะเราสร้างภาพแห่งความสำเร็จชัด บางคนวิเคราะห์อย่างเดียว แต่ไม่รู้จักสร้างให้เกิดความรู้สึก การวิเคราะห์ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ความสำเร็จเกิดจากวิธีคิด ซึ่งทุกคนสามารถทำได้
รู้สึกอย่างไรกับชื่อเสียงที่ได้มาอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่บ้านเขารู้สึกเฉยๆ นะ เหมือนกับผมเรียนหนังสือแล้วสอบได้ที่ 1 ที่บ้านก็รู้สึกเฉยๆ เพราะเขาเห็นแนวโน้มอยู่แล้วว่าผมทำได้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ ผมก็อยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว คือเรียนจบทันตแพทย์ มีงานทำ และมีความสุขพอสมควร ที่ผมทำงานต่างๆ เป็นนักเขียน สอนพิเศษ ไปบรรยาย เพราะอยากทำเท่านั้นเอง ผมคิดว่าความรู้ที่ผมมีน่าจะได้เผยแพร่ให้คนอื่นได้อ่านด้วย ผมเขียนหนังสือด้วยแรงบันดาลใจ ไม่ใช่แรงจูงใจ ผมจึงมีความสุขขณะที่เขียน แล้วหลังจากนั้นจะมีอะไรตามมา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขียนด้วยแรงจูงใจ จะเกิดความอยาก จะเกิดกิเลส
ถ้าถามว่า ผมประสบความสำเร็จแล้วรู้สึกยังไง ผมรู้สึกเฉยๆผมคิดว่าเราต้องระวังไม่หลงและยึดติดกับความสำเร็จและชื่อเสียง ถ้าหลงก็เสร็จเลย เพราะมันเป็นมายา สักวันหนึ่งในอนาคตถ้าหากไม่ประสบความสำเร็จหรือว่าชื่อเสียงหายไป ผมก็รู้สึกเฉยๆ อยู่ดีแต่ผมกลับกังวลว่าความมีชื่อเสียงจะทำให้ผมทำงานคลินิกไม่ได้ เพราะบางคนมาที่คลินิกเพื่อต้องการคุย ต้องการปรึกษา ต้องการให้ไปบรรยาย บางคนก็ต้องการมาดูว่าหมอสมเป็นใคร หน้าตายังไงเวลาไปบรรยาย ผมก็จะไม่มีเวลาทำคลินิก ผมเลยมาคิดว่าปีหน้าผมคงจะหยุดทำคลินิกแล้ว
ณ วันนี้ คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วหรือยังคะ
ยังครับ เรื่องนี้ผมอธิบายไว้ในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต 2 แล้วว่า การประสบความสำเร็จที่แท้จริงคืออะไร ผมเขียนไว้ครบ บทที่หนึ่ง พูดถึงเคล็ดลับความสำเร็จด้านการเรียน ผมบอกเคล็ดลับที่ทำให้เรียนเก่ง ใครอ่านและทำตามนั้นได้จะเรียนเก่งทันที เป็นเคล็ดลับที่ยังไม่มีใครรู้ หรืออาจจะรู้ แต่ไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่นฟังอย่างไร บทที่สอง เคล็ดลับความสำเร็จด้านการงาน บทที่สาม เคล็ดลับความสำเร็จด้านธุรกิจ บทที่สี่ เคล็ดลับความสำเร็จด้านชีวิต และ บทสุดท้าย คือความสำเร็จที่แท้จริง
ผมอาจประสบความสำเร็จทางด้านการเรียน การงาน ซึ่งเป็นความสำเร็จทางโลก แต่นั่นเป็นมายาซึ่งอยู่ได้ไม่นาน เราไม่ควรไปยึดติดสิ่งที่ไม่ใช่ของจริง อีกหน่อยมันก็หายไป ความสุขที่แท้จริงต่างหากเป็นจุดที่ผมต้องการ แต่ผมยังไปไม่ถึง ต้องอ่านดูแล้วจะรู้
เคล็ดลับสร้างสุขของ ทันตแพทย์สม สุจีรา
* แรงขับทำให้เกิดทุกข์ แรงจูงใจทำให้เกิดความโลภ แต่แรงบันดาลใจจะทำให้มีความสุข และจะนำมาซึ่งความสำเร็จ
* ความสำเร็จเกิดจากวิธีคิดและการสร้างภาพแห่งความรู้สึกซึ่งเราทุกคนทำได้
* อย่าหลงและยึดติดกับชื่อเสียงและความสำเร็จ เพราะสิ่งนี้คือมายา
* ชนะใจตัวเองยากที่สุด แต่ถ้าชนะได้ก็ชนะทุกอย่าง
ที่มา: Health & Wellness บมจ.ธนาคารกสิกรไทย kbeautifullife.com 15 พฤษภาคม 2552
จุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ คือ ความคิดว่าต้องทำได้: บัณฑิต อึ้งรังษี
บัณฑิต อึ้งรังษี: "You are what you think"
จุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ คือ ความคิดว่าต้องทำได้
บัณฑิต อึ้งรังษี วาทยกรชาวไทยเพียงคนเดียวที่ได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลก แต่กว่าจะก้าวมายืน ณ จุดนี้ได้อย่างภาคภูมินั้น คุณบัณฑิตต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ กว่าจะสามารถพิสูจน์ให้นักดนตรีและวาทยกรต่างชาติยอมรับในความสามารถของวาทยกรชาวไทยได้ ทั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่งที่คุณบัณฑิต อึ้งรังษี ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ และเผยถึงมุมมองความคิดที่นำพาให้เขาผ่านบททดสอบที่ยากยิ่งมาได้อย่างงดงาม ดังนี้
ผมคิดว่าความคิดนั้นสำคัญที่สุด ผมมักจะพูดเสมอว่า
"You are what you think"
คือ คุณเป็นได้เท่าที่คุณคิด
ถ้าคุณคิดได้แค่นี้ คุณก็เป็นได้แค่นี้ แต่ถ้าคุณคิดเหนือ หรือสามารถคิดได้มากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า คุณก็จะได้เป็นอย่างที่คิด ดังนั้นความคิดจะเป็นตัวนำไปก่อนความสามารถ และการกระทำจะเป็นตัวตาม
นี่แหละคือ Key Success ของผม
"ผมว่าคนไทยก็สามารถทำอะไรที่โดดเด่นได้ไม่แพ้ต่างชาติ"
เพียงแต่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคทางความคิดของตัวเองไปให้ได้ หากคิดว่าทำไม่ได้ก็ไม่ได้ทำ และกลายเป็นทำไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจึงต้องมีความกล้า กล้าคิดว่าเราสามารถทำได้ เหมือนที่ผมพิสูจน์ว่าผมทำความฝันให้เป็นจริงได้ เมื่อผมทำได้ คุณก็ต้องทำฝันให้เป็นจริงได้เช่นกัน
ผมอยากให้ทุกคอนเสิร์ตที่ผมแสดงในต่างประเทศพิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นว่า คนไทยก็สามารถเป็นวาทยกรระดับโลกได้ ดังนั้นผมจึงทุ่มเท เพราะการแสดงแต่ละครั้งก็คือการเผยแพร่ชื่อเสียงให้แก่ประเทศ
เวลาผมมีอุปสรรคหรือปัญหา ผมเชื่อว่าผมทำได้ ผมต้องทำสำเร็จให้ได้ โดยไม่เปลี่ยนความเชื่อนั้นเลย
ความสุขของการเป็นวาทยกร คือ การควบคุมเสียงดนตรีให้เป็นไปตามจินตนาการ วาทยกรสามารถเปลี่ยนเสียงของดนตรีเป็นร้อยชิ้นได้ ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลต่อวงดนตรีมาก เป็นศิลปะที่ลึกซึ้ง จนทำให้ผมรู้สึกทึ่งและอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้
อุปสรรคที่แท้จริงคือความคิด ความกลัวว่าจะทำไม่ได้ หลายคนจึงต้องล้มเลิกความฝัน แต่คุณบัณฑิตมีความคิด ความเชื่อมั่น...และความคิดว่าต้องทำได้นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความ สำเร็จของวาทยกรระดับโลกคนนี้
ที่มา: Health & Wellness บมจ.ธนาคารกสิกรไทย kbeautifullife.com 10 พฤศจิกายน 2551
จุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ คือ ความคิดว่าต้องทำได้
บัณฑิต อึ้งรังษี วาทยกรชาวไทยเพียงคนเดียวที่ได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลก แต่กว่าจะก้าวมายืน ณ จุดนี้ได้อย่างภาคภูมินั้น คุณบัณฑิตต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ กว่าจะสามารถพิสูจน์ให้นักดนตรีและวาทยกรต่างชาติยอมรับในความสามารถของวาทยกรชาวไทยได้ ทั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่งที่คุณบัณฑิต อึ้งรังษี ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ และเผยถึงมุมมองความคิดที่นำพาให้เขาผ่านบททดสอบที่ยากยิ่งมาได้อย่างงดงาม ดังนี้
ผมคิดว่าความคิดนั้นสำคัญที่สุด ผมมักจะพูดเสมอว่า
"You are what you think"
คือ คุณเป็นได้เท่าที่คุณคิด
ถ้าคุณคิดได้แค่นี้ คุณก็เป็นได้แค่นี้ แต่ถ้าคุณคิดเหนือ หรือสามารถคิดได้มากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า คุณก็จะได้เป็นอย่างที่คิด ดังนั้นความคิดจะเป็นตัวนำไปก่อนความสามารถ และการกระทำจะเป็นตัวตาม
นี่แหละคือ Key Success ของผม
"ผมว่าคนไทยก็สามารถทำอะไรที่โดดเด่นได้ไม่แพ้ต่างชาติ"
เพียงแต่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคทางความคิดของตัวเองไปให้ได้ หากคิดว่าทำไม่ได้ก็ไม่ได้ทำ และกลายเป็นทำไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจึงต้องมีความกล้า กล้าคิดว่าเราสามารถทำได้ เหมือนที่ผมพิสูจน์ว่าผมทำความฝันให้เป็นจริงได้ เมื่อผมทำได้ คุณก็ต้องทำฝันให้เป็นจริงได้เช่นกัน
ผมอยากให้ทุกคอนเสิร์ตที่ผมแสดงในต่างประเทศพิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นว่า คนไทยก็สามารถเป็นวาทยกรระดับโลกได้ ดังนั้นผมจึงทุ่มเท เพราะการแสดงแต่ละครั้งก็คือการเผยแพร่ชื่อเสียงให้แก่ประเทศ
เวลาผมมีอุปสรรคหรือปัญหา ผมเชื่อว่าผมทำได้ ผมต้องทำสำเร็จให้ได้ โดยไม่เปลี่ยนความเชื่อนั้นเลย
ความสุขของการเป็นวาทยกร คือ การควบคุมเสียงดนตรีให้เป็นไปตามจินตนาการ วาทยกรสามารถเปลี่ยนเสียงของดนตรีเป็นร้อยชิ้นได้ ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลต่อวงดนตรีมาก เป็นศิลปะที่ลึกซึ้ง จนทำให้ผมรู้สึกทึ่งและอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้
อุปสรรคที่แท้จริงคือความคิด ความกลัวว่าจะทำไม่ได้ หลายคนจึงต้องล้มเลิกความฝัน แต่คุณบัณฑิตมีความคิด ความเชื่อมั่น...และความคิดว่าต้องทำได้นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความ สำเร็จของวาทยกรระดับโลกคนนี้
ที่มา: Health & Wellness บมจ.ธนาคารกสิกรไทย kbeautifullife.com 10 พฤศจิกายน 2551
มากกว่าความสวย คือความฉลาด
พอลล่า เทเลอร์: มากกว่าความสวย คือความฉลาด
สิ่งแรกที่นึกถึงเมื่อพูดถึง พอลล่า เทเลอร์ คือรอยยิ้มหวานๆที่แสนสดใส และจากบทสนทนานี้ การันตีว่ารอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้สดใสและไร้มลพิษจริงๆ ในความสวยที่ถือเป็นสังขารอันไม่เที่ยงนี้ เธอซ่อนสิ่งที่เที่ยงกว่าไว้ภายใน คือความฉลาดและมุมมองชีวิตแบบบวกๆ วิธีคิดในการมองโลกของเธอ เป็นอย่างไร มาติดตามกัน
“จริงๆ แล้วพอลล่าเหมือนไม่มีศาสนา เพราะ นับถือหมดทั้งพุทธและคริสต์ ทางแม่เป็นพุทธ ส่วนพ่อเป็นคริสต์ ตอนเด็กอยู่ออสเตรเลียมีโอกาสได้ไปวัดแค่ปีละครั้งสองครั้ง ตอนคนไทยจัดงานแล้วรวมตัวกันไปทำบุญที่วัด นี่คือส่วนที่เป็นพุทธ แต่พอโตขึ้น ตั้งแต่ประถมจนจบไฮสกูลเรียนโรงเรียนคริสต์มาตลอด เลยทำกิจที่เกี่ยวกับคริสต์ ทั้งนี้ทั้งนั้นพอลล่าจะนำสิ่งที่ดีๆ ของแต่ละศาสนามาใช้ เพราะลึกๆ แล้วคิดว่าทุกศาสนาต่างก็อยากให้เราเป็นคนดี จะแตกต่างกันก็แค่วิธีสอนก็เท่านั้น”
บางคนมีศาสนาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าถึงวันที่ชีวิตมีปัญหา ไม่สบายใจเมื่อไม่มีศาสนาจะแก้อย่างไร
ถ้ามีอะไรที่เครียดมากๆ แล้วการไปวัดช่วยได้ พอลล่าก็มาทางพุทธ เช่น ไปทำบุญทำทาน ปล่อยนกปล่อยปลา ทำหมด (ยิ้ม) แต่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีระบายทุกข์ออกจากตัวด้วยการคุยกับเพื่อน การได้พูดคุยกับคนอื่น ทำให้เราได้รับแง่มุมที่อยู่นอกเหนือจากกรอบที่สมองเราจะคิดได้
ถ้าคิดเองก็อาจจะวนอยู่กับที่ ทำไมเป็นแบบนี้ ใครผิดใครถูก แต่พอเราคุยกับคนอื่น ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วยังมีอีกมุมหนึ่ง
ปัญหาที่คนในวัยพอลล่าประสบพบเจอบ่อยๆ คือเรื่องความรัก บางคนหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย พอลล่าเองแก้ปัญหานี้อย่างไร
ทุกครั้งที่มีปัญหา เช่น เลิกกับใครไป ทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ หรือ งานที่อยากได้มากแต่สุดท้ายกลับไม่ได้ เมื่อพบกับความผิดหวังไม่ว่าเรื่องไหน พอลล่าเชื่อในคำพูดที่ว่า…Blessing in Disguise เหมือนกับว่า วันนี้เราไม่รู้หรอกว่าทำไมเราถึงไม่ได้งานนี้ ทำไมถึงเลิกกับแฟนที่รักมาก แต่ในอนาคต มันจะมีเรื่องที่ทำให้เราพูดว่า “อ๋อ...ถ้าเราได้งานนั้นไป เราก็จะไม่ได้งานนี้” หรือ “ถ้าเราไม่เลิกกับผู้ชายคนนั้น เราก็จะไม่เจอผู้ชายคนนี้” พอลล่าเชื่อว่าในอนาคตจะมีสิ่งอื่นมาทดแทนสิ่งที่เราเสียไปวันนี้ ตอนมีปัญหาเราอาจจะยังนึกไม่ออก แต่ถ้าสามารถผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ วันหนึ่งเราจะเข้าใจ
สำหรับคนที่ฆ่าตัวตายเพราะความรัก พอลล่าว่าเขาคิดสั้นและมุมมองแคบ อยาก บอกว่า ถ้าเสียใจมากๆ อย่าเพิ่งทำอะไรตัวเอง วันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจะมีคนมาทดแทนคนที่เขาจากไป แล้วคนนี้แหละที่จะทำให้เรารู้สึกว่า ในวันนั้นเราสูญเสียคนนั้นไปเพื่อจะได้มาเจอกับคนนี้นี่เอง
ตอนนี้การพูดถึงเรื่องศาสนาเป็นเหมือนแฟชั่น พอลล่าคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องทำให้ใครเห็นหรือทำเพื่อให้มีเรื่องพูดกับคนอื่น โดย ส่วนตัวถ้าจะทำบุญก็ทำ ไม่ได้อยากให้ใครรู้ จริงๆ การทำบุญเป็นการทำเพื่อตัวเอง แต่ถ้าทำโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนอื่นเห็น ต้องถามว่าเราทำเพื่อใครกันแน่ เพื่อเขาหรือเพื่อเรา
จริงๆ พอลล่าชอบการบริจาคมากกว่าที่จะไปทำบุญที่วัด บางครั้งรู้สึกว่าการไปวัด เราทำเพื่อตัวเอง สร้างกุศลให้ตัวเอง แต่ถ้าทำทานหรือบริจาคเหมือนเราไปช่วยคนอื่น เช่น ช่วยเด็กตามมูลนิธิ พอลล่าชอบทำบุญกับเด็ก เพราะมองว่าเขาไม่มีทางเลือกในชีวิตเท่าผู้ใหญ่ ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเอง กว่าเขาจะเลือกอะไรได้ก็เมื่อตอนที่โตแล้วหรือรู้แล้วว่าอะไรผิดหรือถูก การไปช่วยเขาเหมือนให้โอกาสแก่เขา
ถ้ามีเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งให้ไปทำอะไรก็ได้แก่สังคม อยากนำไปทำอะไรครับ
อยากทำเรื่อง Education System ให้ดีขึ้นค่ะ ให้ สิทธิ์แก่เด็กทุกคนที่อยากเรียนหนังสือให้ได้เรียน ส่งให้เขาเรียนจนถึงระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเขาจะเรียนต่อหรือไม่เรียนก็เป็นสิทธิ์ที่เขาจะเลือกเอง แต่อย่างน้อยขอให้เขาได้รับโอกาสก่อน ตอนนี้พอลล่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ในโครงการ
One Million Pixels of Love (ล้านพิกเซลแห่งรัก) ตอนที่ผู้จัดการบอกว่าเป็นโครงการของมูลนิธิศุภนิมิตฯ
ยอมรับว่าตอนแรกไม่รู้จัก แต่ผู้จัดการบอกว่าเกี่ยวกับการกุศลเลยทำ ตอนหลังพอได้รู้ว่ามูลนิธิศุภนิมิตฯ ก็คือWorld Vision ก็ร้องอ๋อ เพราะรู้จักที่ออสเตรเลีย ตอนเรียนจบพอลล่าและเพื่อนๆ ในห้องเคยช่วยกันเรี่ยไรเงินคนละเหรียญสองเหรียญ รวบรวมแล้วนำไปให้เด็กในโครงการนี้เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน
หน้าที่ของพรีเซ็นเตอร์คือช่วยหาเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือเด็กยากไร้ และ ช่วยส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็กในโครงการ อมก๋อย เป็นโครงการเกี่ยวกับเรื่องโภชนาการ ไม่ว่าใครก็ทำได้ แค่ส่งเงินให้เดือนละ 540 บาท เงินจำนวนนี้แค่ยอมที่จะไม่ซื้อเสื้อตัวหนึ่งก็ช่วยพวกเขาได้แล้ว ตอนนี้พอลล่าพกใบสมัครเพื่ออุปการะเด็กของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ประมาณ 8 ใบติดตัว จะเอาไปให้เพื่อนบังคับเลยว่าต้องช่วย (หัวเราะ) เงินแค่นี้แต่ช่วยชีวิตคนอื่นได้มากมาย ทำเถอะ ไม่ยากเลยด้วย เพราะตอนนี้เขามีวิธีใหม่ คือส่ง sms พิมพ์คำว่า Love ส่งไปที่
หมายเลข 4520020 (ค่าส่งครั้งละ 6 บาท เฉพาะผู้ใช้ทรูมูฟและดีแทคเท่านั้น) ไม่ต้องกรอกใบสมัคร หมด
ข้ออ้างว่าไม่สะดวก แค่นั่งอยู่กับที่แล้วกระดิกนิ้วก็ได้ทำบุญ เป็นอะไรที่ง่ายที่สุดแล้วที่จะทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม
มีความรู้สึกผิดในใจครั้งไหนที่หากกลับไปแก้ได้ก็อยากกลับไปแก้
วันหนึ่งพอลล่าไปเดินสยามตอนค่ำๆ ระหว่าง กำลังเปิดประตูรถมีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหา บอกว่าทำกระเป๋าเงินหาย ไม่มีเงินกลับบ้าน ขอตังค์หน่อย พอลล่านึกถึงเรื่องที่พี่คนหนึ่งที่กองถ่ายเคยเล่าให้ฟังว่าเดี๋ยวนี้มีการ โกงแบบนี้ เลยร้องอ๋อทันที แล้วบอกไปว่า “นี่โกงใช่ไหม” เขายังไม่ทันอธิบาย เพื่อนพอลล่าที่ตามมาถามว่ามีอะไร แล้วบอกให้น้องคนนี้ไปซะ
ทั้งที่ใจเรารู้ว่าเขาโกง แต่อีกความรู้สึกคือ ถ้า เขาไม่ได้โกงล่ะถ้าเขาไม่มีเงินกลับบ้านจริงๆ เงินร้อยสองร้อยที่เสียไปจะมีผลอะไรกับชีวิตเราไหม ก็ไม่มี พอคิดได้ก็อยากกลับไปเอาเงินให้เขา แต่เขาหายไปแล้ว ช่วงแรกรู้สึกว่าดีใจ ไม่โดนหลอก แต่อีกใจก็รู้สึกผิดว่าถ้าเขาไม่ได้หลอก ถ้าเขาลำบากจริงๆ แต่เราไม่ช่วยเขา คิดแต่เรื่องนี้อยู่สองสามวัน โทร.ไปหาพี่ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังตอนแรกว่า “ฮือ...สตอรี่ของพี่ทำให้หนูเสียใจ”
อะไรในชีวิตตอนนี้ที่จะทำให้พอลล่าทุกข์ได้มากที่สุด
ความรักค่ะ พอลล่าเป็นคนที่แคร์เรื่องความรักมาก ไม่ ใช่แค่ความรักแบบแฟนอย่างเดียวนะ แต่เป็นความรักที่มีต่อเพื่อนด้วย ถ้าทะเลาะกับเพื่อนเมื่อไร จะรู้สึกแย่ทันที มองว่ารีเลชั่นชิปเป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิต ลองสังเกตสิ ถ้ารีเลชั่นชิปในชีวิตเต็ม ไม่ว่าทำงานอะไรที่ไหน ก็มีแรงทำอย่างเต็มที่ แต่ถ้ามีปัญหา เช่น ทะเลาะกับแฟน กับเพื่อน หรือพ่อแม่ งานจะตก ไม่ค่อยอยากไปทำงาน ต่อให้ทำงานมีเงินเยอะแยะ แต่ไม่มีคนแชร์ด้วย ชีวิตก็ไม่มีความสุขหรอกค่ะ
ขอถามถึง Secret ที่ทำให้เป็นคนยิ้มแย้มสดใสได้ตลอดเวลา
พยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองมีความสุขตลอด พอลล่าใช้ชีวิตค่อนข้างดี และเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองในการทำงาน จะทำงานที่อยากทำเท่านั้น เพื่อที่จะได้มีแรงลุกขึ้นไปทำทุกวัน ไม่มีอะไรกดดัน พอเป็นอย่างนี้ไม่ว่าเราจะไปไหนก็แฮ็ปปี้ มีรอยยิ้ม แต่บางครั้งก็มีนะที่ยิ้มไม่ออก เพราะในการรับงานก็มีพลาด เช่น ตกลงไว้อย่างหนึ่ง แต่พอไปถึงกลับเป็นอีกอย่าง เจอทีมงานไม่น่ารักก็ทำให้เครียดได้ แต่แม้จะไม่ชอบ ก็จะพยายามหาจุดดีของงานนั้นออกมาให้ได้ก่อน เพื่อจะได้มีแรงทำในตอนนั้น หลังจากนั้นก็จะระวังตัวขึ้น ไม่ต้องไปเจอเขาอีก รูปที่ถ่ายไปก็ไม่ต้องดูให้เครียด
พอลล่ามีโอกาสได้ไปแข่ง The Amazing Race Asia มาด้วย ได้ประสบการณ์หรือแง่คิดที่ดี ติดไม้ติดมือกลับมาบ้างไหม
หลายคนบอกที่พอลล่าสมัครไปก็เพื่อจะได้มีงานตามมา หรือ บอกว่าพอลล่าคงมองในแง่ธุรกิจแน่ๆ แต่ขอบอกว่าไม่ได้คิดตรงนั้นเลย บางคนก็ถามว่า ภาพจะออกมาดีหรือ มันเป็นเรียลิตี้นะ คนอาจจะเกลียดพอลล่าไปเลย หาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่า แต่พอลล่าไม่คิดตรงนั้น คิดแค่ว่าเกมมันสนุก อยากไปเล่น ก็เท่านั้น
พอแข่งจบก็รู้สึกว่าเลือกไม่ผิด ชอบทุกอย่างในรายการ ทั้งเพื่อนใหม่ที่ได้เจอ กิจกรรม ที่ได้ทำ บางวันต้องเดินทางไกลไม่ได้หยุดจากฟิลิปปินส์ ไปฮ่องกง ไปนิวซีแลนด์ เหนื่อยมาก แต่ได้เห็นอะไรเจ๋งๆ ตลอดทาง ความที่ทุกภารกิจล้วนสร้างความตื่นเต้น เลยรู้สึกว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ถ่ายทำนั้นเหมือนไม่ได้หายใจ อะดรีนาลินหลั่งตลอด ชีวิตทั้งชีวิตอยู่กับซองสีเหลืองที่เขาให้มา แม้แต่ตอนนอนยังฝันถึงเกมการแข่งขัน ตื่นขึ้นมาก็ต้องแข่งต่อ
ที่หนักสุดคือการท้าทายความกลัวในใจตัวเอง อย่าง ช็อตแรกต้องปีนจากตึกที่มีความสูงประมาณ 60 ชั้นไปยังอีกตึกหนึ่ง มันสูงมากและพอลล่าก็กลัวมาก ตามกติกา ถ้ามีอะไรน่ากลัว เขาจะมีตัวเลือกให้ จะไม่ปีนข้ามตึกก็ได้ จะวิ่งขึ้นบันไดก็ได้ แต่ความที่เป็นเกมแข่งกับเวลาการปีนข้ามตึกใช้เวลา10 นาทีแต่ถ้าวิ่งขึ้นบันไดใช้เวลาถึง 40 นาที เลยเลือกปีนข้ามตึก ตอนปีนขาสั่นและกลัวสุดๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือทุกอย่างในชีวิตคน ขึ้นอยู่กับความกลัวหรือไม่กลัวนี่แหละ
ถ้าเราเอาความกลัวออกไปจากชีวิต เราจะสามารถทำอะไรได้อีกเยอะมาก หลาย สิ่งที่เราเลือกที่จะไม่ทำก็เพราะความกลัวที่มีในใจ ในครั้งนั้นพอลล่าปีนตึกได้สำเร็จ พอข้ามไปได้รู้สึกว่า “เอ๊ะ เราก็ไม่ตายนี่” นี่เป็น Secret อย่างหนึ่งก็ว่าได้ จำไว้ “อย่าให้ความกลัว หยุดเราจากความสำเร็จ”
วางเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างไรบ้าง
ยังไม่รู้ว่าทำอะไรแน่นอน แต่ไม่ว่าจะทำอะไร อยากให้ชีวิตมีความสุข อาจจะยังทำงานตรงนี้ มีครอบครัว แต่ยังไงขอให้มีความสุข จะแต่งงาน จะมีลูกกี่คน จะรวย จะจน ไม่รู้ แต่ขอให้แฮ็ปปี้ก็พอ
เคล็บลับการสร้างสุขของพอลล่า
* เมื่อมีความทุกข์ จงระบายทุกข์ออกจากตัวด้วยการพูดคุยกับเพื่อน เพราะการได้พูดคุยกับคนอื่นจะทำให้ได้แง่คิดที่เราเองอาจนึกไม่ถึงl
* เมื่อ มีปัญหาหรือพลาดจากสิ่งที่หวัง ให้เชื่อในคำพูดที่ว่า Blessing in Disguise แม้วันนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงพลาดหวัง แต่วันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราจะรู้ได้เอง
* วิธีสร้างความสุขให้ตัวเอง คือ พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข เช่น ทำงานที่อยากทำ ฯลฯ
* จงอย่าปล่อยให้ความกลัวหยุดเราจากความสำเร็จ
ที่มา: Health & Wellness บมจ.ธนาคารกสิกรไทย kbeautifullife.com 06 พฤศจิกายน 2552
สิ่งแรกที่นึกถึงเมื่อพูดถึง พอลล่า เทเลอร์ คือรอยยิ้มหวานๆที่แสนสดใส และจากบทสนทนานี้ การันตีว่ารอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้สดใสและไร้มลพิษจริงๆ ในความสวยที่ถือเป็นสังขารอันไม่เที่ยงนี้ เธอซ่อนสิ่งที่เที่ยงกว่าไว้ภายใน คือความฉลาดและมุมมองชีวิตแบบบวกๆ วิธีคิดในการมองโลกของเธอ เป็นอย่างไร มาติดตามกัน
“จริงๆ แล้วพอลล่าเหมือนไม่มีศาสนา เพราะ นับถือหมดทั้งพุทธและคริสต์ ทางแม่เป็นพุทธ ส่วนพ่อเป็นคริสต์ ตอนเด็กอยู่ออสเตรเลียมีโอกาสได้ไปวัดแค่ปีละครั้งสองครั้ง ตอนคนไทยจัดงานแล้วรวมตัวกันไปทำบุญที่วัด นี่คือส่วนที่เป็นพุทธ แต่พอโตขึ้น ตั้งแต่ประถมจนจบไฮสกูลเรียนโรงเรียนคริสต์มาตลอด เลยทำกิจที่เกี่ยวกับคริสต์ ทั้งนี้ทั้งนั้นพอลล่าจะนำสิ่งที่ดีๆ ของแต่ละศาสนามาใช้ เพราะลึกๆ แล้วคิดว่าทุกศาสนาต่างก็อยากให้เราเป็นคนดี จะแตกต่างกันก็แค่วิธีสอนก็เท่านั้น”
บางคนมีศาสนาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าถึงวันที่ชีวิตมีปัญหา ไม่สบายใจเมื่อไม่มีศาสนาจะแก้อย่างไร
ถ้ามีอะไรที่เครียดมากๆ แล้วการไปวัดช่วยได้ พอลล่าก็มาทางพุทธ เช่น ไปทำบุญทำทาน ปล่อยนกปล่อยปลา ทำหมด (ยิ้ม) แต่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีระบายทุกข์ออกจากตัวด้วยการคุยกับเพื่อน การได้พูดคุยกับคนอื่น ทำให้เราได้รับแง่มุมที่อยู่นอกเหนือจากกรอบที่สมองเราจะคิดได้
ถ้าคิดเองก็อาจจะวนอยู่กับที่ ทำไมเป็นแบบนี้ ใครผิดใครถูก แต่พอเราคุยกับคนอื่น ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วยังมีอีกมุมหนึ่ง
ปัญหาที่คนในวัยพอลล่าประสบพบเจอบ่อยๆ คือเรื่องความรัก บางคนหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย พอลล่าเองแก้ปัญหานี้อย่างไร
ทุกครั้งที่มีปัญหา เช่น เลิกกับใครไป ทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ หรือ งานที่อยากได้มากแต่สุดท้ายกลับไม่ได้ เมื่อพบกับความผิดหวังไม่ว่าเรื่องไหน พอลล่าเชื่อในคำพูดที่ว่า…Blessing in Disguise เหมือนกับว่า วันนี้เราไม่รู้หรอกว่าทำไมเราถึงไม่ได้งานนี้ ทำไมถึงเลิกกับแฟนที่รักมาก แต่ในอนาคต มันจะมีเรื่องที่ทำให้เราพูดว่า “อ๋อ...ถ้าเราได้งานนั้นไป เราก็จะไม่ได้งานนี้” หรือ “ถ้าเราไม่เลิกกับผู้ชายคนนั้น เราก็จะไม่เจอผู้ชายคนนี้” พอลล่าเชื่อว่าในอนาคตจะมีสิ่งอื่นมาทดแทนสิ่งที่เราเสียไปวันนี้ ตอนมีปัญหาเราอาจจะยังนึกไม่ออก แต่ถ้าสามารถผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ วันหนึ่งเราจะเข้าใจ
สำหรับคนที่ฆ่าตัวตายเพราะความรัก พอลล่าว่าเขาคิดสั้นและมุมมองแคบ อยาก บอกว่า ถ้าเสียใจมากๆ อย่าเพิ่งทำอะไรตัวเอง วันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจะมีคนมาทดแทนคนที่เขาจากไป แล้วคนนี้แหละที่จะทำให้เรารู้สึกว่า ในวันนั้นเราสูญเสียคนนั้นไปเพื่อจะได้มาเจอกับคนนี้นี่เอง
ตอนนี้การพูดถึงเรื่องศาสนาเป็นเหมือนแฟชั่น พอลล่าคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องทำให้ใครเห็นหรือทำเพื่อให้มีเรื่องพูดกับคนอื่น โดย ส่วนตัวถ้าจะทำบุญก็ทำ ไม่ได้อยากให้ใครรู้ จริงๆ การทำบุญเป็นการทำเพื่อตัวเอง แต่ถ้าทำโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนอื่นเห็น ต้องถามว่าเราทำเพื่อใครกันแน่ เพื่อเขาหรือเพื่อเรา
จริงๆ พอลล่าชอบการบริจาคมากกว่าที่จะไปทำบุญที่วัด บางครั้งรู้สึกว่าการไปวัด เราทำเพื่อตัวเอง สร้างกุศลให้ตัวเอง แต่ถ้าทำทานหรือบริจาคเหมือนเราไปช่วยคนอื่น เช่น ช่วยเด็กตามมูลนิธิ พอลล่าชอบทำบุญกับเด็ก เพราะมองว่าเขาไม่มีทางเลือกในชีวิตเท่าผู้ใหญ่ ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเอง กว่าเขาจะเลือกอะไรได้ก็เมื่อตอนที่โตแล้วหรือรู้แล้วว่าอะไรผิดหรือถูก การไปช่วยเขาเหมือนให้โอกาสแก่เขา
ถ้ามีเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งให้ไปทำอะไรก็ได้แก่สังคม อยากนำไปทำอะไรครับ
อยากทำเรื่อง Education System ให้ดีขึ้นค่ะ ให้ สิทธิ์แก่เด็กทุกคนที่อยากเรียนหนังสือให้ได้เรียน ส่งให้เขาเรียนจนถึงระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเขาจะเรียนต่อหรือไม่เรียนก็เป็นสิทธิ์ที่เขาจะเลือกเอง แต่อย่างน้อยขอให้เขาได้รับโอกาสก่อน ตอนนี้พอลล่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ในโครงการ
One Million Pixels of Love (ล้านพิกเซลแห่งรัก) ตอนที่ผู้จัดการบอกว่าเป็นโครงการของมูลนิธิศุภนิมิตฯ
ยอมรับว่าตอนแรกไม่รู้จัก แต่ผู้จัดการบอกว่าเกี่ยวกับการกุศลเลยทำ ตอนหลังพอได้รู้ว่ามูลนิธิศุภนิมิตฯ ก็คือWorld Vision ก็ร้องอ๋อ เพราะรู้จักที่ออสเตรเลีย ตอนเรียนจบพอลล่าและเพื่อนๆ ในห้องเคยช่วยกันเรี่ยไรเงินคนละเหรียญสองเหรียญ รวบรวมแล้วนำไปให้เด็กในโครงการนี้เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน
หน้าที่ของพรีเซ็นเตอร์คือช่วยหาเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือเด็กยากไร้ และ ช่วยส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็กในโครงการ อมก๋อย เป็นโครงการเกี่ยวกับเรื่องโภชนาการ ไม่ว่าใครก็ทำได้ แค่ส่งเงินให้เดือนละ 540 บาท เงินจำนวนนี้แค่ยอมที่จะไม่ซื้อเสื้อตัวหนึ่งก็ช่วยพวกเขาได้แล้ว ตอนนี้พอลล่าพกใบสมัครเพื่ออุปการะเด็กของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ประมาณ 8 ใบติดตัว จะเอาไปให้เพื่อนบังคับเลยว่าต้องช่วย (หัวเราะ) เงินแค่นี้แต่ช่วยชีวิตคนอื่นได้มากมาย ทำเถอะ ไม่ยากเลยด้วย เพราะตอนนี้เขามีวิธีใหม่ คือส่ง sms พิมพ์คำว่า Love ส่งไปที่
หมายเลข 4520020 (ค่าส่งครั้งละ 6 บาท เฉพาะผู้ใช้ทรูมูฟและดีแทคเท่านั้น) ไม่ต้องกรอกใบสมัคร หมด
ข้ออ้างว่าไม่สะดวก แค่นั่งอยู่กับที่แล้วกระดิกนิ้วก็ได้ทำบุญ เป็นอะไรที่ง่ายที่สุดแล้วที่จะทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม
มีความรู้สึกผิดในใจครั้งไหนที่หากกลับไปแก้ได้ก็อยากกลับไปแก้
วันหนึ่งพอลล่าไปเดินสยามตอนค่ำๆ ระหว่าง กำลังเปิดประตูรถมีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหา บอกว่าทำกระเป๋าเงินหาย ไม่มีเงินกลับบ้าน ขอตังค์หน่อย พอลล่านึกถึงเรื่องที่พี่คนหนึ่งที่กองถ่ายเคยเล่าให้ฟังว่าเดี๋ยวนี้มีการ โกงแบบนี้ เลยร้องอ๋อทันที แล้วบอกไปว่า “นี่โกงใช่ไหม” เขายังไม่ทันอธิบาย เพื่อนพอลล่าที่ตามมาถามว่ามีอะไร แล้วบอกให้น้องคนนี้ไปซะ
ทั้งที่ใจเรารู้ว่าเขาโกง แต่อีกความรู้สึกคือ ถ้า เขาไม่ได้โกงล่ะถ้าเขาไม่มีเงินกลับบ้านจริงๆ เงินร้อยสองร้อยที่เสียไปจะมีผลอะไรกับชีวิตเราไหม ก็ไม่มี พอคิดได้ก็อยากกลับไปเอาเงินให้เขา แต่เขาหายไปแล้ว ช่วงแรกรู้สึกว่าดีใจ ไม่โดนหลอก แต่อีกใจก็รู้สึกผิดว่าถ้าเขาไม่ได้หลอก ถ้าเขาลำบากจริงๆ แต่เราไม่ช่วยเขา คิดแต่เรื่องนี้อยู่สองสามวัน โทร.ไปหาพี่ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังตอนแรกว่า “ฮือ...สตอรี่ของพี่ทำให้หนูเสียใจ”
อะไรในชีวิตตอนนี้ที่จะทำให้พอลล่าทุกข์ได้มากที่สุด
ความรักค่ะ พอลล่าเป็นคนที่แคร์เรื่องความรักมาก ไม่ ใช่แค่ความรักแบบแฟนอย่างเดียวนะ แต่เป็นความรักที่มีต่อเพื่อนด้วย ถ้าทะเลาะกับเพื่อนเมื่อไร จะรู้สึกแย่ทันที มองว่ารีเลชั่นชิปเป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิต ลองสังเกตสิ ถ้ารีเลชั่นชิปในชีวิตเต็ม ไม่ว่าทำงานอะไรที่ไหน ก็มีแรงทำอย่างเต็มที่ แต่ถ้ามีปัญหา เช่น ทะเลาะกับแฟน กับเพื่อน หรือพ่อแม่ งานจะตก ไม่ค่อยอยากไปทำงาน ต่อให้ทำงานมีเงินเยอะแยะ แต่ไม่มีคนแชร์ด้วย ชีวิตก็ไม่มีความสุขหรอกค่ะ
ขอถามถึง Secret ที่ทำให้เป็นคนยิ้มแย้มสดใสได้ตลอดเวลา
พยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองมีความสุขตลอด พอลล่าใช้ชีวิตค่อนข้างดี และเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองในการทำงาน จะทำงานที่อยากทำเท่านั้น เพื่อที่จะได้มีแรงลุกขึ้นไปทำทุกวัน ไม่มีอะไรกดดัน พอเป็นอย่างนี้ไม่ว่าเราจะไปไหนก็แฮ็ปปี้ มีรอยยิ้ม แต่บางครั้งก็มีนะที่ยิ้มไม่ออก เพราะในการรับงานก็มีพลาด เช่น ตกลงไว้อย่างหนึ่ง แต่พอไปถึงกลับเป็นอีกอย่าง เจอทีมงานไม่น่ารักก็ทำให้เครียดได้ แต่แม้จะไม่ชอบ ก็จะพยายามหาจุดดีของงานนั้นออกมาให้ได้ก่อน เพื่อจะได้มีแรงทำในตอนนั้น หลังจากนั้นก็จะระวังตัวขึ้น ไม่ต้องไปเจอเขาอีก รูปที่ถ่ายไปก็ไม่ต้องดูให้เครียด
พอลล่ามีโอกาสได้ไปแข่ง The Amazing Race Asia มาด้วย ได้ประสบการณ์หรือแง่คิดที่ดี ติดไม้ติดมือกลับมาบ้างไหม
หลายคนบอกที่พอลล่าสมัครไปก็เพื่อจะได้มีงานตามมา หรือ บอกว่าพอลล่าคงมองในแง่ธุรกิจแน่ๆ แต่ขอบอกว่าไม่ได้คิดตรงนั้นเลย บางคนก็ถามว่า ภาพจะออกมาดีหรือ มันเป็นเรียลิตี้นะ คนอาจจะเกลียดพอลล่าไปเลย หาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่า แต่พอลล่าไม่คิดตรงนั้น คิดแค่ว่าเกมมันสนุก อยากไปเล่น ก็เท่านั้น
พอแข่งจบก็รู้สึกว่าเลือกไม่ผิด ชอบทุกอย่างในรายการ ทั้งเพื่อนใหม่ที่ได้เจอ กิจกรรม ที่ได้ทำ บางวันต้องเดินทางไกลไม่ได้หยุดจากฟิลิปปินส์ ไปฮ่องกง ไปนิวซีแลนด์ เหนื่อยมาก แต่ได้เห็นอะไรเจ๋งๆ ตลอดทาง ความที่ทุกภารกิจล้วนสร้างความตื่นเต้น เลยรู้สึกว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ถ่ายทำนั้นเหมือนไม่ได้หายใจ อะดรีนาลินหลั่งตลอด ชีวิตทั้งชีวิตอยู่กับซองสีเหลืองที่เขาให้มา แม้แต่ตอนนอนยังฝันถึงเกมการแข่งขัน ตื่นขึ้นมาก็ต้องแข่งต่อ
ที่หนักสุดคือการท้าทายความกลัวในใจตัวเอง อย่าง ช็อตแรกต้องปีนจากตึกที่มีความสูงประมาณ 60 ชั้นไปยังอีกตึกหนึ่ง มันสูงมากและพอลล่าก็กลัวมาก ตามกติกา ถ้ามีอะไรน่ากลัว เขาจะมีตัวเลือกให้ จะไม่ปีนข้ามตึกก็ได้ จะวิ่งขึ้นบันไดก็ได้ แต่ความที่เป็นเกมแข่งกับเวลาการปีนข้ามตึกใช้เวลา10 นาทีแต่ถ้าวิ่งขึ้นบันไดใช้เวลาถึง 40 นาที เลยเลือกปีนข้ามตึก ตอนปีนขาสั่นและกลัวสุดๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือทุกอย่างในชีวิตคน ขึ้นอยู่กับความกลัวหรือไม่กลัวนี่แหละ
ถ้าเราเอาความกลัวออกไปจากชีวิต เราจะสามารถทำอะไรได้อีกเยอะมาก หลาย สิ่งที่เราเลือกที่จะไม่ทำก็เพราะความกลัวที่มีในใจ ในครั้งนั้นพอลล่าปีนตึกได้สำเร็จ พอข้ามไปได้รู้สึกว่า “เอ๊ะ เราก็ไม่ตายนี่” นี่เป็น Secret อย่างหนึ่งก็ว่าได้ จำไว้ “อย่าให้ความกลัว หยุดเราจากความสำเร็จ”
วางเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างไรบ้าง
ยังไม่รู้ว่าทำอะไรแน่นอน แต่ไม่ว่าจะทำอะไร อยากให้ชีวิตมีความสุข อาจจะยังทำงานตรงนี้ มีครอบครัว แต่ยังไงขอให้มีความสุข จะแต่งงาน จะมีลูกกี่คน จะรวย จะจน ไม่รู้ แต่ขอให้แฮ็ปปี้ก็พอ
เคล็บลับการสร้างสุขของพอลล่า
* เมื่อมีความทุกข์ จงระบายทุกข์ออกจากตัวด้วยการพูดคุยกับเพื่อน เพราะการได้พูดคุยกับคนอื่นจะทำให้ได้แง่คิดที่เราเองอาจนึกไม่ถึงl
* เมื่อ มีปัญหาหรือพลาดจากสิ่งที่หวัง ให้เชื่อในคำพูดที่ว่า Blessing in Disguise แม้วันนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงพลาดหวัง แต่วันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราจะรู้ได้เอง
* วิธีสร้างความสุขให้ตัวเอง คือ พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข เช่น ทำงานที่อยากทำ ฯลฯ
* จงอย่าปล่อยให้ความกลัวหยุดเราจากความสำเร็จ
ที่มา: Health & Wellness บมจ.ธนาคารกสิกรไทย kbeautifullife.com 06 พฤศจิกายน 2552
Subscribe to:
Posts (Atom)