เรากำลังคุยกันถึงเรื่องปัสสาวะหรือ "ฉี่" กันอยู่นะครับ
เมื่อ อาทิตย์ที่แล้วได้ขึ้นต้นข้อที่ 1 ไว้ว่าให้ลองสังเกตดูว่า "ปริมาณของฉี่มีมากน้อยเพียงไร" และในข้อที่ 1 อาทิตย์ที่แล้ว ผมลืมอธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อเรากินน้ำ-กระหายน้ำ กินน้ำมากเกินไป ก็จะเกิดอาการฉี่มากเกินปกติด้วย
การฉี่มากเกินปกตินั้นให้สังเกตว่า เกินประมาณ วันละ 2 ลิตร ก็เรียกว่าปริมาณของฉี่เริ่มผิดปกติแล้ว
และอาการฉี่เกินจะเกี่ยวกับการป่วยเป็นเบาหวานด้วย
ไม่ใช่เกี่ยวกับเบาหวานอย่างเดียว แต่ให้สังเกตด้วยว่า อาจจะเกี่ยวไปถึงเรื่องของไตวาย ตัวบวม ขาบวม และเกี่ยวไปถึงโรคหัวใจด้วยก็ได้
เมื่อพูดถึงฉี่เกินก็ต้องคุยต่อถึงเรื่องตรงกันข้าม คือ ฉี่น้อยด้วย
อาการ ของฉี่น้อยเรียกกัน 2 อย่าง อย่างหนึ่ง คือ OLIGURIA (อ่านว่าโอลิกูเรีย) หมายความ ว่าวันหนึ่งๆฉี่ของคุณน้อยกว่า 500 มล. หรือน้อยกว่าครึ่งลิตร
อีก อย่างหนึ่งจะเรียกว่า ฉี่น้อยมาก ก็พอจะได้ นั่นก็คือ ANURIA (อ่านว่าเอินยูเรีย) ฉี่น้อยมากแบบนี้อันตรายมากๆเลยนะครับ นั่นก็คือ วันหนึ่งอย่างเก่งก็ฉี่ได้ไม่เกิน 125 มล.
125 มล. นี่ก็เห็นจะประมาณ 8-1/2 ช้อนโต๊ะ ขนาดนี้ต้องถือว่าอันตรายมากนะครับ ถ้าเป็นอย่างนี้คือฉี่น้อยหรือฉี่ไม่ออกติดต่อกันถึงสัก 2 อาทิตย์มีหวังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เรื่องอันตรายของการฉี่น้อยหรือฉี่มากเกินเหตุนี้จะได้อธิบายให้ละเอียดกว่านี้เป็นเรื่องๆไป
ตอนนี้ขอคุยกันแต่เพียงว่าให้สังเกตดูเป็นข้อๆก่อนว่าปัสสาวะหรือฉี่ผิดปกติจะมีลักษณะอย่างไรบ้างเสียก่อน
ข้อสังเกตข้อต่อไปเกี่ยวกับฉี่ก็คือ ข้อ 2 ให้สังเกตว่าสีของฉี่นั้นเป็นอย่างไร
ปกตินั้นสีของปัสสาวะน่าจะเป็นสีใสอมเหลืองนิดๆ
ถ้าใสจนเกือบเหมือนน้ำบริสุทธิ์ก็ลองดูตัวเองว่า ตอนนั้นคุณดื่มเบียร์หรือเหล้าเติมโซดามากไปหรือเปล่า
แต่ถ้าเป็นสีแดงหรือสีแดงอ่อนๆ ก็คงจะเป็นเพราะ ฉี่ของคุณมีเลือดออกมาปน อันนี้ไม่ค่อยดีนะครับ
หรือถ้าเหลืองน้อยๆจนกระทั่งเหลืองจัด ก็ให้ สังเกตว่าคุณกินวิตามินอย่างเป็นเม็ดเข้าไปมากหรือเปล่า โดยเฉพาะวิตามินกลุ่ม B
เหลืองแบบวิตามินออกมาปนอย่างนี้ไม่มีอันตรายครับ แต่ก็ควรตรวจตราดูให้ดีว่าคุณกินมากเกินอัตราที่แพทย์เขาแนะนำไว้หรือเปล่า
กินวิตามินมากเกินไป นอกจากจะฉี่สีไม่สวยแล้ว ยังเปลืองสตางค์ค่าวิตามินแพงๆอีกด้วย
เรื่องสีของฉี่นี้ความจริงมีเรื่องยาวๆจะต้องคุยกันเยอะเลยนะครับ โดยเฉพาะคุณบางคนที่ชอบกินยาหรือแพทย์สั่งยาประจำตัวให้คุณ
คุณ ต้องสังเกตเอาเองว่ายาประจำตัวของคุณนั้นจะมีสีแปลกๆหรือบางทีไม่ต้องสังเกต ก็ได้ เพราะแพทย์ ของคุณเขาน่าจะบอกคุณว่า เมื่อกินยานั้นๆเข้าไปแล้ว ฉี่ของคุณอาจจะมีสีผิดปกติอย่างไรบ้างเป็นต้นว่า
ยากลุ่มโคลโปรมาซีน ปัสสาวะจะมีสีคล้ำ
กลุ่มโคลโซมาโซน จะมีสีส้มหรือม่วงแดง
ฟลูโอเรสซิน (ฉีดเข้าทางเส้นเลือด) ฉี่จะมีสีเหลืองหรือส้ม
เมทไทลีน บลู จะมีสีน้ำเงินเขียว ฯลฯ
ฉะนั้น ถ้าปัสสาวะของคุณมีสีแปลกๆอย่าเพิ่งตกใจ ให้นึกย้อนไปว่าคุณกินยาอะไรหรือฉีดยาอะไรเข้าไปบ้าง
นอกไปจากนั้น คุณหมอประจำตัวของคุณท่านก็คงจะบอกล่วงหน้านะครับ ฉะนั้นไม่ควรตกใจจนเกินเหตุ
เมื่อพูดถึงปริมาณ พูดถึงสีของปัสสาวะแล้ว ก็ต้องพูดถึงกลิ่นด้วย อันนี้อยู่ในข้อ 3 นะครับ
กลิ่นของปัสสาวะในข้อ 3 นี้ก็ยังเกี่ยวกับยาเสียเป็นส่วนมากอีกนั่นแหละ
กลิ่นของยาในปัสสาวะนั้นตัวซึ่งมักจะได้กลิ่นกันแทบทุกคน ที่นำหน้ามาก่อนก็คือ ยาประเภทปฏิชีวนะหรือ ANTIBIOTICS
ยาประเภทปฏิชีวนะนี้ในปัจจุบันมีหลายร้อยตัว บริษัทยาท่านคิดยาตัวใหม่ๆในกลุ่มนี้ออกมาเรื่อยๆ ยายิ่งแรง กลิ่นฉี่ก็แรงตามไปด้วยครับ
ที่ มีกลิ่นแรงอีกอย่างหนึ่งก็คือยา ประเภทที่เรียกว่า PARALDEHYDE (อ่านว่าพาราดิไฮด์) ซึ่งเป็นยาประเภทกล่อมประสาทและช่วยให้นอนหลับด้วย
นอก ไปจากนั้น ก็คือพวกวิตามิน โดยเฉพาะกลุ่ม วิตามิน B ในข้อสองที่กล่าวมาแล้ว วิตามินกลุ่มนี้นอกจากจะทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองแล้ว บางครั้งยังทำให้มีกลิ่นแรงด้วย
นี่คือพวกยาซึ่งจะทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นแปลกๆ แต่มีอีกกลิ่นหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ กลิ่นยา ซึ่งผมอยากจะขอเตือนเพื่อนๆชาวชีวจิตเป็นพิเศษ
กลิ่น นั้นก็คือ กลิ่น ฉี่ซึ่งออกมาเป็นกลิ่นหวานๆ เหมือนกลิ่นละมุด สุก และโดยเฉพาะที่กลิ่น จะเหมือนมากที่สุด ก็คือ เหมือนกลิ่นน้ำยาล้างเล็บ
กลิ่น นี้คุณผู้หญิงคงจะรู้จักดีนะครับ (เอ หรือคุณผู้ชายบางคนก็อาจจะรู้จักดีบ้างก็ได้ เห็นว่าคุณผู้ชายหลายคนก็ทาเล็บเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ?)
กลิ่นเหมือน ละมุดสุกหรือกลิ่นน้ำยาล้างเล็บอย่างนี้ไม่ค่อยดีครับ เพราะคงหมายความว่าโรคเบาหวานอาจจะหนักแล้ว หรือบางทีอาจจะเกี่ยวกับโรคไตหลายอย่างก็เป็นได้ รายละเอียดจะว่ากันต่อทีหลังครับ
นอกไปจากนั้นก็ยังมีลักษณะอาการผิดปกติของตัวปัสสาวะอีกหลายอย่าง ถือว่าเป็นข้อ 4 ซึ่งอยู่ในข้อเบ็ดเตล็ดก็แล้วกันนะครับ
ข้อ 4 เบ็ดเตล็ดนี้ ต้องอาศัยการตรวจปัสสาวะจากห้องแล็บ จะเป็นห้องแล็บโดยตรงหรือห้องแล็บของโรงพยาบาลก็ได้
การตรวจแบบนี้เขาจะตรวจในหลักใหญ่ๆ คือ
- ยาซึ่งเปลี่ยนความถ่วงจำเพาะ (SPACIFIC GRAVITY)
- ยาซึ่งลด PH (ความเป็นกรดและด่าง)
- ยาซึ่งเพิ่ม PH (ความเป็นกรดและด่าง)
- ยาซึ่งทำให้โปรตีนออกมาในปัสสาวะ
- ยาซึ่งทำให้น้ำตาลในปัสสาวะเปลี่ยน
- ยาซึ่งทำให้ปริมาณเลือดขาวเพิ่ม
- ยาซึ่งทำให้ระบบเลือดผิดปกติ
- ยาซึ่งทำให้ปัสสาวะเกิดเป็นพิษ
- ยาซึ่งทำให้ปัสสาวะมีเกล็ดเล็กๆ
ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ผมรวบรวมเรื่องย่อยๆเกี่ยวกับปัสสาวะมาแบ่งเป็นข้อๆเพื่อให้เพื่อนๆชาวชีวจิตพอเข้าใจ
สิ่งสำคัญก็คืออยากให้คุณๆสนใจของในกายตัวคุณเอง (ซึ่งก็คือตัวคุณเองนั่นแหละ) ให้มากขึ้น
ถ้าคุณเห็นว่าอะไรผิดสังเกต คุณก็จะได้ ระวังตัว และง่ายๆก็คือ คอยสืบหาให้ได้ว่าต้นเหตุคืออะไร และน่าจะมาจากอะไร
อย่างนี้ก็จะทำให้คุณดูแลสุขภาพของคุณได้ดียิ่งขึ้น
ลองตรวจดูตัวเองตามข้อ 1-3 นะครับ ส่วนข้อ 4 นั้นคงจะต้องให้แพทย์ท่านสั่งให้ตรวจ
ต่อไปก็จะค่อยเข้าเรื่องและโรคต่างๆเกี่ยวกับฉี่แล้วนะครับ.
*******
สาทิส อินทรกำแหง
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 11 เมษายน 2553
No comments:
Post a Comment