Wednesday, May 5, 2010

โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร กับพรสวรรค์ที่ได้มาจาก พรแสวง

โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร กับพรสวรรค์ที่ได้มาจากพรแสวง

บ่อย ครั้งที่เรามักจะเอ่ยชมใครคนหนึ่ง เมื่อได้เห็นถึงความสามารถอันโดดเด่นกว่าคนอื่น ว่านั่นเป็นพรที่ได้รับมาจากสวรรค์ ที่คิดอย่างนั้นอาจเป็นเพราะเรามัวแต่มองเพียงความสำเร็จที่อยู่ตรงหน้า จนลืมย้อนกลับไปดูเส้นทางที่คนคนนั้นได้ฝ่าฟันมา...
ความ สามารถทางดนตรี ที่อยู่ในตัวของหนุ่มวัยเบญจเพสชื่อ โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร คงเข้าข่ายนี้ แต่ถ้าได้รู้เรื่องราวของเส้นทางชีวิตกว่าจะมีวันนี้ของเขา คุณจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วความสำเร็จเหล่านั้น ล้วนมาจากความพยายามอย่างแสนสาหัสทั้งสิ้น กระนั้นตัวเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธว่านอกจากสองมือของตัวเองแล้ว ยังมีอีกสองมือที่มองไม่เห็นคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังอีกด้วย

สมัยเด็กเวลามีคนถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร จะตอบว่า
"อยากเล่นดนตรีครับ" ไม่เคยตอบว่าเป็นหมอ ครู หรืออะไรทั้งนั้น ผมโชคดีและนับว่าได้รับพระพรจากพระเจ้ามากๆ ที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ และได้ทำเป็นอาชีพด้วย งานอดิเรกของผมคือเล่นดนตรีงานหลักก็คือเล่นดนตรี ผมไม่เคยเบื่อ ดนตรีเป็นเหมือนชีวิตมีเสน่ห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยสื่ออารมณ์ในตัวเราออกมาได้ สิ่งหนึ่งที่ผมชอบทำตอนเด็กคือ เข้าไปนั่งแจมในวงสนทนาของผู้ใหญ่ เพราะการได้นั่งฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่คุยกันทำให้ได้รู้อะไรหลายอย่าง และมักจะมีคำคมกลับมาคิดเสมอ ผมว่าผู้ใหญ่แต่ละคนมีมุมมองต่างกันไป เวลามีเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านเข้ามาไม่ว่าเกี่ยวกับชีวิตหรือการทำธุรกิจ
เวลามีเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านเข้ามา ไม่ว่าเกี่ยวกับชีวิตหรือการทำธุรกิจ บางคนสามารถหาแง่บวกจนเจอ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะแย่แค่ไหน ขณะที่บางคนจะมองในแง่ลบ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าศึกษาเพราะได้รู้ทั้งมุมที่เป็นความผิดพลาด และมุมที่สร้างความสำเร็จให้เขา

ยกตัวอย่างแง่คิดที่ได้จากวงสนทนาให้ฟังหน่อยสิครับ

คำสอนหนึ่งของคุณพ่อที่ผมจำได้แม่นคือ "ไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จ" ท่านบอกว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ
อย่างการเล่นกีตาร์ สมัยนี้มีโรงเรียนเปิดสอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่สมัยนั้นโรงเรียนมีน้อยมากและราคาก็แพงจนไม่มีใครกล้าเรียน คุณพ่อผมเรียนกีตาร์แบบมวยวัด ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ซ้อมวันละแปดเก้าชั่วโมงจนนิ้วเป็นแผล ท่านบอกว่า สมัยนี้ความรู้หาได้ง่าย แต่เด็กๆ กลับไม่สนใจ เมื่อเปรียบเทียบกัน คนสมัยก่อนจึงรู้คุณค่าของความรู้มากกว่า อีกคำสอนหนึ่งที่จำได้คือ ท่านบอกว่า "คนเราเก่งไม่เก่งไม่สำคัญ ขอให้เป็นคนดีและอย่าทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ"

ขอถามถึงเส้นทางก่อนที่จะมีวันนี้ครับ

หลายคนบอกว่าพื้นฐานของผมดีอยู่แล้วเพราะมีพ่อเป็นนักดนตรี แต่สิ่งที่ใครๆ มองว่าเป็นโชค ผมกลับ
มองว่านี่คือพรที่พระเจ้าประทานให้ โชคหรือพรเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถช่วยอะไรได้ถ้าไม่พยายาม ผมจึงพยายามฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่สามขวบ ช่วงเก้าขวบจนถึงเรียนมหาวิทยาลัยวันเสาร์ตอนเก้าโมงต้องไปเรียนเปียโนที่ สีลม พอบ่ายโมงก็ต้องไปซ้อมดนตรีต่อที่โบสถ์แถวมีนบุรีจนถึงห้าโมงเย็น วันอาทิตย์ไปเล่นเปียโนที่โบสถ์ ชีวิตเป็นอย่างนี้ตลอด ผมไม่เคยเดินสยาม ไม่รู้จักว่าเซ็นเตอร์พ้อยท์เป็นอย่างไรเชื่อไหม ผมไปสยามครั้งแรกตอนอายุ 19 ที่ไปเพราะต้องไปเล่นดนตรี และหลังจากนั้นไม่กี่ปี เซ็นเตอร์พ้อยท์ก็ปิด (หัวเราะ)

จริงๆ แล้วคุณพ่อไม่ได้อยากให้ผมเข้าวงการ แต่ที่ให้เล่นดนตรีเพราะอยากให้มีดนตรีในชีวิต เนื่องจาก
ดนตรีทำให้มีความสุข แต่เพราะผมเป็นฝ่ายขอว่าอยากลองทำดู ท่านจึงอนุญาต ก่อนมาถึงจุดนี้ผมต้องพบกับคำปฏิเสธหลายครั้ง ตอนอายุ14 - 15 เคยไปที่ค่ายค่ายหนึ่ง ผมเอากีตาร์ไปด้วยเพราะอยากเล่นเพลงที่ตัวเองแต่งให้เขาฟัง แต่ปรากฏว่าวันนั้นทั้งวันไม่ได้เปิดกล่องกีตาร์เลย เพราะเขามัวแต่ถ่ายรูปผมมุมนั้นมุมนี้ วันนั้นผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกงงๆ และถามพ่อว่าเขาจะทำอะไรกันแน่

หลังจากนั้นผมลองไปอีกค่ายหนึ่ง ผมบอกเขาว่า ผมร้องและเล่นเปียโนได้ แต่เขาตอบมาว่า "พี่คิดว่า
เปียโนกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ไม่แข็งแรงพอที่จะออกอัลบั้มได้" ตอนนั้นผมอายุแค่ 15 เจอคำตอบนี้เข้าไปแล้วหมดกำลังใจเลย แล้วเขายังพูดต่ออีกว่า "เอางี้แล้วกันพี่อยากทำบอยแบนด์ แต่ถ้าไม่ชอบ ทำเป็นวงก็ได้นะ ให้โต๋เป็นมือคีย์บอร์ด ผู้ใหญ่โอเคแล้วด้วย" ผมก็ได้แต่บอกเขาว่า ขอกลับไปคิดดูก่อน

หลังจากวันนั้นหนึ่งวัน ผมโทรศัพท์ไปบอกว่า ไม่ทำครับเพราะนั่นไม่ใช่ตัวผม ผมรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร
ถ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่คิดก็ไม่ทำ การถูกปฏิเสธจากผู้ใหญ่ในสิ่งที่เราฝันทำให้ผมผิดหวังมาก แต่ก็นึกถึงคำที่พ่อเคยสอนว่า "การลงทุนอะไรก็ตาม ถ้าได้ตอนนี้แต่เสียกำไรในอนาคต อย่าทำดีกว่า"

จนอายุประมาณ 19 พี่บอย โกสิยพงษ์ มาเจอผมที่โบสถ์แล้วชวนไปทำงานเบื้องหลัง ผมจึงได้ทำเพลง
โฆษณา เล่นดนตรี อัดเปียโน และมีโอกาสขึ้นคอนเสิร์ตครั้งหนึ่ง ทำให้ผมเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้ทำอัลบั้มเต็มในที่สุด

มีคำอธิษฐานไหนที่มักจะพูดหรือขอต่อพระเจ้าเสมอ
ทุกวันนี้ก่อนขึ้นเวทีทุกครั้ง ผมจะอธิษฐานเหมือนเดิมคือ"ลูกทำดีที่สุดแล้ว แต่อะไรที่ลูกจัดการเองไม่ได้ ลูกขอฝากไว้ที่พระองค์" ผมว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการอธิษฐานคือ การเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระองค์ในทุกกรณี คนเราเวลาได้อะไรดี ๆ หรือได้รางวัลมักเอ่ยว่า "ขอบคุณพระเจ้า" แต่จริงๆ แล้วเวลายิ้มไม่ออกหัวเราะ ไม่ออกผิดหวัง คุณก็ควรเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้าเช่นกัน เพราะพระเจ้าสอนว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นผลดีต่อผู้ที่รักพระองค์เสมอ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความผิดพลาดก็ตาม ในมุมลบย่อมต้องมีมุมบวกอยู่บ้าง เหมือนคำกล่าวที่ว่า "จงหามุมบวกในความผิดพลาดให้เจอ" เพราะอย่างน้อยๆ การได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดนั้นก็จะทำให้คุณเติบโตขึ้น

ทราบ ว่าเรียนดี ถึงขั้นได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง (โต๋สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ)

จริงๆผมเป็นคนที่ใช้เวลาอ่านหนังสือก่อนสอบน้อยมาก แต่จะตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์สอนเวลาอยู่ใน
ห้องเรียน แล้วนำกลับมาประยุกต์และเชื่อมโยงเข้ากับตัวเอง ยกตัวอย่าง วิชามาร์เก็ตติ้งอาจารย์สอนว่า อายุของสินค้านั้นเทรนด์ของมันจะมีคำว่า Fads ซึ่งย่อมาจาก Fashion กับคำว่า Style อาจารย์บอกว่า อะไรที่เป็นFads หรือแฟชั่น อายุการใช้งานหรือ Product Life Cycle จะสั้น มันจะพีคมากในช่วงเริ่ม คือกราฟจะขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว แต่ก็จะหล่นลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ต่างจาก Style ที่ไม่ขึ้นพีคมาก แต่อยู่ได้นานกว่า

วิธีจำของผมในเรื่องนี้ ผมจะนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องใกล้ตัวเช่น ดนตรีนั้นมีหลายแนว บอยแบนด์ถือเป็น
แฟชั่นเพราะมาไวไปไว ในทางกลับกันถ้าคุณมีสไตล์ มีความเป็นตัวของตัวเอง มันอาจจะไม่เปรี้ยงปร้างในทันทีแต่อยู่ได้นานกว่า นักดนตรีต่างประเทศที่ร้องเอง แต่งเพลงเอง อย่างเอลตัน จอห์น แม้เวลาจะผ่านไปสามสี่สิบปีแต่เขาก็ยังอยู่ การทำความเข้าใจกับเนื้อหาในลักษณะนี้จะทำให้จำได้นานกว่าการท่องจำ

กดดันไหมที่ต้องดูแลตัวเองให้ดีอย่างนี้ จะเกเรหรือไปเที่ยวกลางคืนก็ไม่ได้

บุหรี่ เหล้า ไวน์ หรือเบียร์ ผมไม่แตะอยู่แล้วครับ เที่ยวกลางคืนก็ไม่ชอบ ไม่ชอบไปในที่ที่คนเยอะๆ
เสียงดังๆ การเข้ามาทำงานตรงนี้ต้องยอมรับตั้งแต่เข้ามาทำแล้ว พ่อผมเคยบอกว่าตอนนี้ผมไม่ใช่แค่นักดนตรีคนหนึ่งที่มาถึงก็เล่นแล้วกลับบ้าน แต่ผมมีทั้งแฟนเพลงและพ่อแม่แฟนเพลงที่มองเราเป็นแบบอย่างให้ลูกเขา รวมทั้งสื่อมวลชนก็จับตาดู ฉะนั้นจะทำอะไรก็ต้องคิด ถามว่ากดดันไหม ไม่กดดัน แต่ทำให้ผมรอบคอบขึ้นมากกว่า เพราะเวลาจะทำอะไรไม่ได้มีผลต่อตัวผมแค่คนเดียว แต่ยังส่งผลไปถึงทีมงานด้วย แต่ถ้าถามว่าวันหนึ่งจะพลาดได้ไหมก็เป็นไปได้ เพราะผมก็ยังเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าทำผิดผมก็คงต้องขอโทษตามตรงและสัญญาว่าผมจะทำตัวให้ดีที่สุด แต่ผมไม่ได้สัญญาว่าจะเป็นคนเพอร์เฟ็คท์

ทราบว่าไม่รับงานที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ครับ ผมไม่เล่นในผับ ในลานเบียร์ และงานเปิดตัวสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ เพราะแฟนเพลงของผมมี
ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ผมไม่อยากให้เด็กอายุ 12 ขวบต้องขอแม่ไปดูผมในผับ อีกอย่างเปียโนก็ไม่ได้เหมาะจะเล่นในนั้น แม้การปฏิเสธจะทำให้เสียรายได้ก็จริง แต่ผมได้ในสิ่งที่มองไม่เห็นกลับมา นั่นคือความไว้วางใจ ความศรัทธาของแฟนเพลงและพ่อแม่แฟนเพลงที่ดูอยู่ ผมว่าบางคนต่อให้เล่นดนตรีเป็นสิบๆ ปี ก็ยังไม่สามารถซื้อศรัทธาเหล่านี้ได้ ผมจึงมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน ทุกอย่างไม่สามารถตีค่าเป็นเงินได้ทั้งหมด

ขอถามเรื่องสาวๆ และความรักหน่อย

ชีวิตผมไม่เหมือนชาวบ้าน ทำงานแทบทุกวัน สำหรับผม Love is you and me. คือเป็นเธอคนเดียวไม่ได้
เป็นฉันคนเดียวไม่ได้แต่เป็นเรา ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเห็นแก่ตัว เด็กสมัยนี้ถึงเวลาเรียนไม่เรียนกลับไปเที่ยวกับแฟน เทคแคร์เขาสุดๆ แต่ชีวิตคุณเองคุณไม่ดูแล คุณจะต้องรักตัวเองดูแลตัวเอง เป็นลูกที่ดีเป็นนักเรียนที่ดีก่อน จึงจะไปดูแลคนอื่นได้ ผมอยากฝากเรื่องนี้ไปถึงวัยรุ่นว่า ความรักเป็นสิ่งสวยงามก็จริง แต่ก็ควรมีรักให้ถูกต้องด้วย

ถามผมว่ามองหาใครอยู่ไหม ก็มอง แต่ก็รู้ว่ายาก เพราะเราไม่มีเวลาเผื่อใครเลย ตื่นขึ้นมาก็ทำงาน ทำงาน
เสร็จก็กลับไปนอน ตื่นมาก็ทำงานต่อ ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากได้จากคนที่จะมารักกันในตอนนี้คือความเข้าใจ แต่เชื่อเถอะว่า ตอนนี้ชีวิตผมมีอะไรที่จะต้องขอให้คนที่มาเป็นแฟนเข้าใจเยอะมาก เลยยังไม่อยากคิดเรื่องนี้ครับ

ถ้าการทำดีในชาตินี้เพียงพอที่จะขอพรวิเศษ อยากขออะไรสำหรับชาติหน้า

มีสองอย่างที่จะขอ หนึ่งคือ ขอให้ได้กลับมาใช้ชีวิตแบบนี้อีก เพื่อที่ผมจะได้กลับไปแก้ไขความผิดพลาด
ในอดีต เช่น กลับไปซ้อมดนตรีให้หนักกว่าเดิม เพราะแต่ก่อนบางทีผมก็เบื่อการซ้อม หนีไปเล่นบาส ไปเตะบอลบ้าง และผมอยากกลับไปทำอะไรดีๆ ให้คุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างให้มากขึ้นด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน

สองก็คล้ายเดิม คือ ขอให้ได้กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม เพราะรู้สึกว่าตอนนี้มีความสุขมากแล้ว เราไม่รู้ว่า
ชาติหน้าจะเป็นอย่างไรถ้าขอเป็นอย่างอื่น จะรู้ได้ไงว่าพอเปลี่ยนไปแล้วจะมีความสุขกว่า เราอาจจะไม่เจอผู้คนหรือส่วนประกอบในชีวิตที่ดีแบบนี้ หรืออาจจะไม่ได้พระพรที่ดีเท่าชาตินี้

ผมเชื่อว่าคนเรามีความสุขได้ถ้ารู้จักพอ ผมจึงพอใจกับสิ่งที่มีในวันนี้มาก แต่คำว่าพออย่างเดียวก็ยังไม่พอ
ต้องมีความฝันในชีวิตด้วย เพราะถ้าไม่รู้จักฝัน ก็เท่ากับว่าใช้ชีวิตโดยไม่มีจุดหมาย

“โต๋” ทิ้งท้าย...

* จำให้ขึ้นใจว่า "ไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จ"
* การลงทุนอะไรก็ตาม ถ้าได้ตอนนี้ แต่จะเสียกำไรในอนาคต...อย่าทำ
* เคล็ดลับเรียนดีคือ ตั้งใจเรียนในห้อง พยายามฟังสิ่งที่อาจารย์สอน
แล้วนำมาประยุกต์และเชื่อมโยงเข้ากับตัวเอง
* ชีวิตมีหลายปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ จงคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว

ที่มา: Health & Wellness บมจ.ธนาคารกสิกรไทย kbeautifullife.com 02 กรกฏาคม 2552

No comments:

Post a Comment