คุณแม่ยุคใหม่ต้องเปิดหูเปิดตาให้ พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อลูกน้อย เปิดโลกการศึกษาแนวทางใหม่ บรรยากาศสดใสและสนุกสนาน
***********
ดร.อัญญมณี บุญซื่อ
ผู้เชี่ยวชาญสายการศึกษาปฐมวัย และกุมารแพทย์ชื่อดัง มาร่วมพูดคุยถึงเคล็ดลับการเตรียมพัฒนาการให้ลูกน้อยก่อนเข้าสู่วัยเรียนรู้ นำโดย "ดร.อัญญมณี บุญซื่อ" อาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ เสนอแนะแนวทางการเลือกโรงเรียนของคุณแม่ยุคใหม่ว่า ควรเลือกโรงเรียนที่ตอบโจทย์การพัฒนาความรู้ได้ตามความคาดหวังของสังคม เน้นกิจกรรมบูรณาการที่เชื่อมโยงเด็กเข้ากับกิจกรรมต่างๆในวิถีชีวิตประจำ วัน ไม่ควรเน้นเรียนเพื่อรู้ แต่ควรเน้นให้เด็กๆเป็นผู้ปฏิบัติ มีทักษะ และทัศนคติทางบวกในการริเริ่มสร้างสรรค์
************
พญ.พิกุล อาศิรเวช
สำหรับ "พญ.พิกุล อาศิรเวช" กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและพัฒนาการเด็ก จากโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท กล่าวเสริมว่า เด็กในวัยแรกเกิดถึง 1 ขวบ เป็นวัยแห่งการเคลื่อนไหว เด็กจะมีพัฒนาการทางระบบประสาทต่างๆ มุ่งเรียนรู้ด้วยการสัมผัสและมองเห็นในระยะใกล้ๆรอบตัว ดังนั้น พ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดู จะมีบทบาทสำคัญที่สุดต่อพัฒนาการของเด็ก เช่นเดียวกับสิ่งแวดล้อมต่างๆใกล้ตัวเด็ก อาทิ ผ้าปูที่นอนสีสดใส ก็จะทำให้เด็กมีพัฒนาการมองเห็นได้ดี ส่วนเด็กในวัย 1-2 ขวบ เป็นวัยสื่อสาร เด็กจะเริ่มออกเสียงเล่นเสียง และค่อยๆพัฒนากลายเป็นคำพูด หรือประโยคยาวๆ ในวัยนี้พ่อแม่ควรพูดคุยใกล้ชิดกับลูกน้อย เพื่อช่วยเสริมพัฒนาการสื่อสาร สำหรับเด็กวัย 2-3 ขวบ เป็นวัยเข้าสังคม ควรเปิดโอกาสให้ได้พบปะกับเพื่อนวัยเดียวกัน และเน้นการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติตามศักยภาพ อย่าไปเร่งหรือยัดเยียดลูกจนเกินไป นอกจากนี้ ยังเป็นวัยที่ควรห่างไกลทีวีและโทรศัพท์มือถือ เพราะเด็กจะจดจำสิ่งผิด ๆ
**************
การใช้กลยุทธ์ในการเลี้ยงดูแตกต่างกัน
- เด็กเรียบร้อยว่าง่าย ควรเน้นเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์
- เด็กขี้หงุดหงิดเจ้าอารมณ์ ควรเน้นเรื่องการพัฒนาอีคิว พยายามใกล้ชิดกับเขาให้มากที่สุด เพื่อปรับอารมณ์ของลูกให้เป็นเด็กที่อ่อนโยนและมีเหตุผลมากขึ้น
- การเล่นคือการเรียนรู้ อย่างหนึ่ง ทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นตัวของตัวเอง อยากให้ลูกๆได้ทำกิจกรรม out-door เยอะ ๆ มากกว่าจะเป็นหนอน หนังสืออยู่แต่ในห้องเรียน ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมปลูกฝังเรื่องมารยาทแบบไทย ๆ
ที่มา: แนะเคล็ดลับ เตรียมลูกน้อยสู่วัยเรียนรู้ ทีมข่าวหน้าสตรี ไทยรัฐออนไลน์ 16 มิถุนายน 2553
Wednesday, June 16, 2010
Tuesday, June 15, 2010
ผู้ชายมองเห็นผู้หญิงสวยหรือไม่ในพริบตา แค่เวลาเศษเสี้ยวนาที
ผู้ชายมองเห็นผู้หญิงสวยหรือไม่ในพริบตา แค่เวลาเศษเสี้ยวนาที
อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ก็เป็นได้ ผู้เชี่ยวชาญถึงได้พบว่าผู้ชาย ใช้เวลาแค่เศษเสี้ยวของนาทีเท่านั้น เห็นว่าหญิงคนไหนสวยไม่สวย หรือเหมาะที่จะมาเป็นคู่สู่สมหรือไม่ ผู้ชายจะยึดเอารูปร่างหน้าตาเป็นหลักในการเลือกคู่ครอง อาจจะเป็นเพราะยีนที่มีมาดั้งเดิมแต่ดึกดำบรรพ์ ทำให้จิตใจจึงมุ่งไปทางนั้น
ทีม นักวิทยาศาสตร์นายมาร์ค แวน-ฟักต์ และโจฮานนา แวน ฮูฟฟ์ มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม และเฮเลน ครอฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคนต์ ได้ร่วมกันศึกษา ความเอนเอียงในความคิดนึกของชายหญิง ด้วยการทำการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ให้ทำภารกิจด้วยการดูรูปภาพใบหน้าของเพศตรงกันข้าม ซึ่งมีทั้งที่สวยงามและถูกทำให้ดูอัปลักษณ์
ปรากฏว่าผู้ชายเมื่อแล เห็นใบหน้าที่สวยงามจะหลงใหลได้ง่าย ในขณะที่ผู้หญิงจะยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่ได้ "นัยน์ตาผู้ชายจะไม่อยู่สุข เพราะใจนึกไปถึงการผสมพันธุ์ ซึ่งใบหน้าที่สวยงามพาใจให้นึกไปได้ทางหนึ่ง บุรุษเมื่อเห็นโฉมหน้าของสาวงาม จะนึกไกลถึงการมีลูกมีเต้า และความสามารถแห่งการสืบสานครอบครัว ซึ่งเข้ากับสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอดของตน ไม่ใช่เป็นเพราะผู้ชายคิดเพียงตื้นๆเท่านั้น"
ที่มา: ผู้ชายมองเห็นผู้หญิงสวยหรือไม่ในพริบตา แค่เวลาเศษเสี้ยวนาที ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2553
=-=-=-=-=-
มิน่า ตอนเมา ขี้เหล่ก็หาว่าสวย กลายไปเป็นขี้เหล่เน๊ะ ซะเน๊ะ ๆ
อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ก็เป็นได้ ผู้เชี่ยวชาญถึงได้พบว่าผู้ชาย ใช้เวลาแค่เศษเสี้ยวของนาทีเท่านั้น เห็นว่าหญิงคนไหนสวยไม่สวย หรือเหมาะที่จะมาเป็นคู่สู่สมหรือไม่ ผู้ชายจะยึดเอารูปร่างหน้าตาเป็นหลักในการเลือกคู่ครอง อาจจะเป็นเพราะยีนที่มีมาดั้งเดิมแต่ดึกดำบรรพ์ ทำให้จิตใจจึงมุ่งไปทางนั้น
ทีม นักวิทยาศาสตร์นายมาร์ค แวน-ฟักต์ และโจฮานนา แวน ฮูฟฟ์ มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม และเฮเลน ครอฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคนต์ ได้ร่วมกันศึกษา ความเอนเอียงในความคิดนึกของชายหญิง ด้วยการทำการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ให้ทำภารกิจด้วยการดูรูปภาพใบหน้าของเพศตรงกันข้าม ซึ่งมีทั้งที่สวยงามและถูกทำให้ดูอัปลักษณ์
ปรากฏว่าผู้ชายเมื่อแล เห็นใบหน้าที่สวยงามจะหลงใหลได้ง่าย ในขณะที่ผู้หญิงจะยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่ได้ "นัยน์ตาผู้ชายจะไม่อยู่สุข เพราะใจนึกไปถึงการผสมพันธุ์ ซึ่งใบหน้าที่สวยงามพาใจให้นึกไปได้ทางหนึ่ง บุรุษเมื่อเห็นโฉมหน้าของสาวงาม จะนึกไกลถึงการมีลูกมีเต้า และความสามารถแห่งการสืบสานครอบครัว ซึ่งเข้ากับสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอดของตน ไม่ใช่เป็นเพราะผู้ชายคิดเพียงตื้นๆเท่านั้น"
ที่มา: ผู้ชายมองเห็นผู้หญิงสวยหรือไม่ในพริบตา แค่เวลาเศษเสี้ยวนาที ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2553
=-=-=-=-=-
มิน่า ตอนเมา ขี้เหล่ก็หาว่าสวย กลายไปเป็นขี้เหล่เน๊ะ ซะเน๊ะ ๆ
ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ.....
ก่อนอื่นผมขอออกตัวนะครับทุกท่าน ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้เลิศเลอ มากมาย เพียงแต่อยากจะนำความรู้ที่พอมี และประสบการณ์มาแบ่งปันกันบ้าง
ไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมาตลอด มีคุณอนันต์ แต่มีโทษมหันต์ครับ ผมไปเรียนซ่อม วิทยุโทรทัศน์ เครื่องขยายเสียงและ..ฯ กับคุณครู ถาวร คำมณีจันทร์คนขอนแก่น ท่านเป็นช่างยุคแรก ๆ ของเมืองไทย เคยอยู่โรงเรียนแสงทองวิทยุโทรทัศน์อิเล็กทรอนิคส์กรุงเทพ-รังสิต สุดท้ายกลับบ้านสร้างโรงเรียนสอนซ่อมโทรทัศน์ที่ อ.ชุมแพ ขอนแก่นโน่น
ที่มา: Forwarded mail ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ....
ไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมาตลอด มีคุณอนันต์ แต่มีโทษมหันต์ครับ ผมไปเรียนซ่อม วิทยุโทรทัศน์ เครื่องขยายเสียงและ..ฯ กับคุณครู ถาวร คำมณีจันทร์คนขอนแก่น ท่านเป็นช่างยุคแรก ๆ ของเมืองไทย เคยอยู่โรงเรียนแสงทองวิทยุโทรทัศน์อิเล็กทรอนิคส์กรุงเทพ-รังสิต สุดท้ายกลับบ้านสร้างโรงเรียนสอนซ่อมโทรทัศน์ที่ อ.ชุมแพ ขอนแก่นโน่น
ท่านแนะนำเกี่ยวกับคนที่โดนไฟฟ้าช็อตตาย ตายนะครับ อย่าปล่อยไว้นานเกินชั่วโมง และอย่าเพิ่งรีบส่งโรงพยาบาล ให้หาทางคลายประจุไฟฟ้าในตัวคนตายก่อน โดยหาแผ่นเหล็ก หรือสังกะสีมา และวางคนที่โดนไฟฟ้าช็อตบนนั้น แล้วเทน้ำราดอย่าให้น้ำเข้าจมูกนะครับ กระแสไฟที่อยู่ในตัว จะถูกคลายประจุลงดินครับ..เขาจะค่อย ๆ รู้สึกตัว หรือร้องลั่น ก็แล้วแต่ ฟื้นแล้วค่อยส่งโรงพยาบาล ผมเคยเจอมากับตัวเองครับ ฟื้นครับ สิบราย ฟื้นทั้งสิบครับ สมัยก่อน นะครับ คนที่ถูกฟ้าลงข้าง ๆ ตัว (ไม่ถึง กะตัวไหม้เกรียมนะครับ)เขาใช้ น้ำเหล้าขาวที่ดื่มกันมาเป่า ก็ ยังฟื้นได้นับประสาอะไรกับน้ำเป็นครุถัง แต่ถ้านำไปโรงพยาบาลทันที โดนปั๊มหัวใจทันที ตับแตกตายแน่นอนครับท่าน สาเหตุเพราะว่ากระแสไฟฟ้าชาร์ทประจุอยู่เต็มตัว ฉะนั้นจึงให้คลายประจุก่อน จึงค่อยส่งโรงพยาบาลและขอแนะนำว่า เคร ื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดให้ทำการต่อสายดินเอาที่เส้นโต ๆ หน่อยหาเหล็กแท่งมาตอกลงดินเทน้ำให้ชื้น ๆ คนใช้ ก็ จะปลอดภัยครับส่วนสาเหตุที่ เมื่อต่อสายดินแล้วทำไมไฟฟ้าไม่ช็อตนั้นตามหลักการแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวนำที่เป็นสื่อทุกชนิด มากน้อยแล้วแต่ความต้านทานของสื่อไฟฟ้าครับ ความต้านทานน้อย กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านมาก ความต้านทานมากกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านได้น้อย ขอให้ท่านสังเกตุดูนะครับว่าเสาไฟฟ้าแรงต่ำจะมีสายต่อลงดินเป็นระยะ ๆ ไป นั่นก็เป็นการป้องกันในระดับหนึ่งครับ เรื่องของสายล่อฟ้าก็เช่นเดียวกันไม่ใช่ไม่ให้ฟ้าลงนะครับ แต่เป็นการล่อให้มันลงมา ลงมาทีละน้อย ๆ ไง. มันจึงไม่ผ่าเพราะประจุไฟฟ้าไม่มากพอ .....ขอจบตรงนี้นะครับ ความดี นี้ขอมอบแด่คุณครู ถาวร คำมณีจันทร์ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ครับ...
ที่มา: Forwarded mail ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ....
Sunday, June 13, 2010
คุณรักใครง่ายเกินไปหรือเปล่า?
ปรากฏการณ์ของหนังแวมไพร์ ผีดูดเลือดสุดฮอต และมนุษย์หมาป่าสุดเท่เรื่องทไวไลท์ ที่ทำให้ ผู้ชมซึ่งเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวสมัยใหม่ติดอกติดใจในเนื้อหาแปลกใหม่ที่ผสม ปนเปกันระหว่างแอ็กชั่นและรักโรแมนติก แถมดารานำแสดงก็ยังเป็นสาวสวยและหนุ่มหล่อซะด้วย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ใครๆถึงได้ชอบหนังเรื่องนี้กันนัก แต่ที่สาวๆไปดูแล้วชอบมากกว่าใครเพื่อน เห็นจะเป็นพระเอกที่ชื่อ โรเบิร์ต แพ็ททินสัน กันนั่นแหละ โอ้โห...ขนาดรับบทเป็น แวมไพร์หน้าซีด แถมผอมก็ผอม แต่กลับทำให้ผู้ชมสาวๆวัยรุ่นทั่วโลกติดอกติดใจกับใบหน้าอันหล่อเหลา ขนาดอยากจีบเค้ามาเป็นแฟนกันเลยเชียวล่ะ
ซึ่งอาการคลั่งไคล้ดาราซึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงจากฮอลลีวูด หรือย่านเอเชียและบ้านเราเอง มักเป็นสิ่งที่พวกเราเคยได้ยินได้ฟังมาทุกยุคทุกสมัย อ้าว...ก็เพราะดาราเหล่านี้เค้าหน้าตาดีนี่หว่า แล้วจะไม่ให้ชาวเราผู้รักการดูหนังดูละคร (หลังข่าว) ติดอก ติดใจอยากผูกสัมพันธ์เป็นแฟนกะเค้าได้ไง
แต่รู้สึกว่าความรักระหว่าง ดารากับคนธรรมดาเห็นจะไกลเกินเอื้อม (แต่ใช่ว่าจะไม่มี) เออ...ถ้าเป็นรัก ระหว่างดารากับดาราด้วยกันเอง หรือดารามาปลูกต้นรักกับไฮโซ ยังจะเห็นบ่อยกว่าซะอีก
ดังนั้น คนธรรมดาอย่างเราๆ อย่างมากถ้าชอบดาราคนไหนเป็นพิเศษก็เป็นได้ แค่แฟนคลับของเค้าเท่านั้นแหละ อย่าไปคิดกะพวกเค้ามากไปกว่านี้เลย เดี๋ยวอกหักผิดหวังแล้วจะรู้สึกนะยะ
ที่เกริ่นถึงความรู้สึกของผู้คนที่คลั่งรักดาราอะไรนั่น อันที่จริงแค่อยากโยงไปถึงเรื่องที่อยากชวนคุยในสัปดาห์นี้ว่า คุณเป็นคนที่รักคนอื่นง่ายเกินไปรึเปล่า? ยังไงล่ะ
บางคนน่ะ ไม่ใช่หลงรักดาราเพราะแค่เห็นหน้าหล่อๆหรือสวยๆปุ๊บก็ติดใจปั๊บเท่านั้นหรอก นะ เพราะปรากฏว่า แม้แต่ในชีวิตจริง ไม่อิงนิยาย มีนะเฟ้ยพอเดินผ่านหรือไปพบใครที่ถูกตาต้องใจเข้าละก็ เท่าเนี้ยโอ๊ยเก็บมาหลงเพ้อละเมอหากันซะแหละ นี่ขนาดยังไม่รู้จักนะเนี่ย ยังเป็นไปได้ถึงปานนี้
พูดถึง คนที่รักหรือชอบใครอย่างรวดเร็วทันใจน่ะ ท่านผู้อ่านว่า เพศไหนเป็นแบบนี้มากกว่ากันล่ะ? โห ข้อนี้ตอบยากแฮะ ไปถามบางคน ก็ว่า สมัยก่อนผู้ชายนั่นแหละตัวดีที่รักหรือไปชอบใครง้ายง่าย แต่เดี๋ยวนี้เรอะ กลับเป็นผู้หญิงมากกว่านะ อิอิ...แต่เนี้ยต้องเป็นการแสดงความเห็นของหนุ่มๆแหงๆ แหมพูดงี้ได้ไงฟะ แถมมีแบ่งเป็นสมัยก่อนกะสมัยนี้ซะด้วย ตอบมั่วไปแล้วมั้ง!
ส่วนบาง รายก็ยืนยันว่า ผู้ชายสิที่รักง่ายหน่ายเร็ว อู๊ย...สงสัยหนูที่ตอบแบบนี้คงเคยมีแฟนเป็นคนประเภทนี้รึเปล่าจ๊ะ ถึงได้รู้แจ้งเห็นจริง...เอ๊ย ด่วนสรุปจากประสบการณ์ของคนใกล้ตัวมาให้ฟัง
แต่ เราว่า เพศไหนกันแน่ที่รักใครง่ายกว่ากันนั่นน่ะ อย่าไปเน้นที่เป็นเพศไหนเลย เพราะน่าจะขึ้นอยู่กับสันดาน ...เอ๊ยนิสัย ความชอบส่วนตัว ประสบการณ์ และพื้นฐานทางด้านจิตใจของ แต่ละคนมากกว่า อย่างบางคนรักใครง่ายๆ เพราะเค้าหน้าตาดีก็ไปหลงเค้าซะแหละ ทั้งๆที่ยังไม่รู้จริงเลยว่า ไอ้คนที่ คุณไปรักนั่นน่ะ เค้าเป็นคนดีหรือน่าคบแค่ไหน
โถ...บางคนหน้าตาดีแต่ ใจร้ายก็เยอะ หรือหน้าตาดีแต่ ไม่เคยจริงใจกับใครก็มีให้เห็น ในทางตรงกันข้าม หน้าตาดีแถม ใจดีก็มีอยู่มาก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะไปเจอคนแบบไหนไงล่ะ
งั้นมาทดสอบกันดีฝ่าว่า คุณเป็นคนรักคน ง่ายเกินไปรึเปล่ากันมะ ด้วยการตอบคำถามเหล่านี้ว่าใช่หรือไม่ใช่ละกันนะ
1. บังเอิ๊ญคนที่ใกล้ชิด คุณ เค้าดันเป็นคนมีน้ำใจชนิดทั่วถึงกับทุกคน คุณก็หลงรักเค้าแล้วรึเปล่าจ๊ะ? หรือคุณมักเป็นคนแบบว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิด หยั่งงั้นใช่มะ?
2. หลังจากออกเดทกับคนที่คุณชอบครั้งแรก
ถ้า เค้าไม่ติดต่อกลับมาภายในเวลา 5 วัน-7 วัน คุณจะโทร.ไปหาเค้าเอง เพราะคุณขอเบอร์เค้ามาเรียบร้อยแล้วนี่ แล้วทำไมจะไม่เดินเกมรุกล่ะ งั้นรึ?
3. คุณเพิ่งไปหาหมอดูมา และถูกหมอดูทักว่า คุณจะมีแฟนในเร็วๆนี้...โอ้โหได้ยินหยั่งงี้เข้าก็ต้อง หูผึ่งเป็นธรรมดา แล้วหลังจากนั้นคุณก็คิดไปแล้วว่า คนที่คุณแอบชอบอยู่นั่นน่ะ คงเป็นเนื้อคู่ของคุณแหงเลย ดังนั้น จากที่ไม่กล้าเข้าไปทักเค้าก่อน แต่คุณกลับเดินเข้าหาและทักเค้าแฮะ แถมยังทอดสะพานให้เค้าอย่างเต็มที่ซะด้วย โอ๊ะโอ...เป็นงี้ไปซะแล้วรึจ๊ะ?
4. ถ้าเพื่อนบอกว่า จะแนะนำใครสักคนให้คุณรู้จัก คุณจะ...ตอบตกลงไปออกเดทกะเค้าทันที เอ้า...จะไม่ให้รีบตอบรับได้ไงในเมื่อเพื่อนอุตส่าห์ภูมิใจเสนอขนาดนี้ แสดงว่าต้องเป็นคนที่คุณควรคบแน่ๆเลย ใช่ไหมล้า? โถมาเร็วเคลมเร็วจริงนะหล่อน
5. คุณเป็นคนที่เห็นคนโน้นก็ชอบ เห็นคนนั้นก็ว่าน่ารัก เรียกว่าเป็นฝ่ายชอบเปิดใจและให้โอกาสตัวเองในเรื่องความรักเสมอเลยใช่มะ?
6. ถ้าเผอิญมีใครสักคนเปิดเผยความในใจว่าชอบคุณเข้าให้ แม้หน้าตาเค้าจะแสนธรรมดา แต่คุณก็ตัดสินใจว่าจะลองคบกะเค้าดู ไม่ถึงกะบอกปัดไป ซะเลย เรียกว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน งั้นเหรอ?
7. พี่ของคุณพาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน คุณจึงสะเออะ เอ๊ย...กุลีกุจอทำหน้าที่เป็นน้องที่ดีด้วยการหาน้ำ หาขนมมาต้อนรับ จนเพื่อนพี่กล่าวชมคุณว่า เป็นคนน่ารักจัง เท่าเนี้ยคุณก็เก็บเอาเพื่อนพี่คนนี้ไปฝัน 7 วัน 7 คืนเชียวนะ อ้าว...ก็บ้ายอนี่หว่า เคยเป็น แบบนี้ไหมจ๊ะ?
8. เพื่อนซี้ของคุณไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลสำคัญของบ้านเรา แล้วเกิดไปปิ๊งใครสักคนเข้าให้ พอพวกเค้าคบกันไปแค่เดือนเดียว ก็มาบอกคุณแล้วว่า เริ่มเชื่อเรื่องเนื้อคู่มีจริงแล้วแฮะ ทันใดนั้นคุณก็เริ่มคิดในใจมั่งสิว่า พระเจ้าลำเอียงรึเปล่าเนี่ย ทีเราไม่เห็นเจออย่างงี้บ้างเลย...ใช่ม้า?
-----------------------
เอ้า! ได้เวลาให้คะแนนแล้วจ้า ถ้าตอบใช่มากกว่าไม่ ก็ทายได้เลยว่าคุณเป็นคนรักง่ายน่ะซี...ถามได้ งั้นควรเบรกตัวเองไว้บ้างนะ อย่าเพิ่งรีบรักแต่ควรลองคบเพื่อดูใจกันไปก่อนนะฮ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 13 มิถุนายน 2553
ซึ่งอาการคลั่งไคล้ดาราซึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงจากฮอลลีวูด หรือย่านเอเชียและบ้านเราเอง มักเป็นสิ่งที่พวกเราเคยได้ยินได้ฟังมาทุกยุคทุกสมัย อ้าว...ก็เพราะดาราเหล่านี้เค้าหน้าตาดีนี่หว่า แล้วจะไม่ให้ชาวเราผู้รักการดูหนังดูละคร (หลังข่าว) ติดอก ติดใจอยากผูกสัมพันธ์เป็นแฟนกะเค้าได้ไง
แต่รู้สึกว่าความรักระหว่าง ดารากับคนธรรมดาเห็นจะไกลเกินเอื้อม (แต่ใช่ว่าจะไม่มี) เออ...ถ้าเป็นรัก ระหว่างดารากับดาราด้วยกันเอง หรือดารามาปลูกต้นรักกับไฮโซ ยังจะเห็นบ่อยกว่าซะอีก
ดังนั้น คนธรรมดาอย่างเราๆ อย่างมากถ้าชอบดาราคนไหนเป็นพิเศษก็เป็นได้ แค่แฟนคลับของเค้าเท่านั้นแหละ อย่าไปคิดกะพวกเค้ามากไปกว่านี้เลย เดี๋ยวอกหักผิดหวังแล้วจะรู้สึกนะยะ
ที่เกริ่นถึงความรู้สึกของผู้คนที่คลั่งรักดาราอะไรนั่น อันที่จริงแค่อยากโยงไปถึงเรื่องที่อยากชวนคุยในสัปดาห์นี้ว่า คุณเป็นคนที่รักคนอื่นง่ายเกินไปรึเปล่า? ยังไงล่ะ
บางคนน่ะ ไม่ใช่หลงรักดาราเพราะแค่เห็นหน้าหล่อๆหรือสวยๆปุ๊บก็ติดใจปั๊บเท่านั้นหรอก นะ เพราะปรากฏว่า แม้แต่ในชีวิตจริง ไม่อิงนิยาย มีนะเฟ้ยพอเดินผ่านหรือไปพบใครที่ถูกตาต้องใจเข้าละก็ เท่าเนี้ยโอ๊ยเก็บมาหลงเพ้อละเมอหากันซะแหละ นี่ขนาดยังไม่รู้จักนะเนี่ย ยังเป็นไปได้ถึงปานนี้
พูดถึง คนที่รักหรือชอบใครอย่างรวดเร็วทันใจน่ะ ท่านผู้อ่านว่า เพศไหนเป็นแบบนี้มากกว่ากันล่ะ? โห ข้อนี้ตอบยากแฮะ ไปถามบางคน ก็ว่า สมัยก่อนผู้ชายนั่นแหละตัวดีที่รักหรือไปชอบใครง้ายง่าย แต่เดี๋ยวนี้เรอะ กลับเป็นผู้หญิงมากกว่านะ อิอิ...แต่เนี้ยต้องเป็นการแสดงความเห็นของหนุ่มๆแหงๆ แหมพูดงี้ได้ไงฟะ แถมมีแบ่งเป็นสมัยก่อนกะสมัยนี้ซะด้วย ตอบมั่วไปแล้วมั้ง!
ส่วนบาง รายก็ยืนยันว่า ผู้ชายสิที่รักง่ายหน่ายเร็ว อู๊ย...สงสัยหนูที่ตอบแบบนี้คงเคยมีแฟนเป็นคนประเภทนี้รึเปล่าจ๊ะ ถึงได้รู้แจ้งเห็นจริง...เอ๊ย ด่วนสรุปจากประสบการณ์ของคนใกล้ตัวมาให้ฟัง
แต่ เราว่า เพศไหนกันแน่ที่รักใครง่ายกว่ากันนั่นน่ะ อย่าไปเน้นที่เป็นเพศไหนเลย เพราะน่าจะขึ้นอยู่กับสันดาน ...เอ๊ยนิสัย ความชอบส่วนตัว ประสบการณ์ และพื้นฐานทางด้านจิตใจของ แต่ละคนมากกว่า อย่างบางคนรักใครง่ายๆ เพราะเค้าหน้าตาดีก็ไปหลงเค้าซะแหละ ทั้งๆที่ยังไม่รู้จริงเลยว่า ไอ้คนที่ คุณไปรักนั่นน่ะ เค้าเป็นคนดีหรือน่าคบแค่ไหน
โถ...บางคนหน้าตาดีแต่ ใจร้ายก็เยอะ หรือหน้าตาดีแต่ ไม่เคยจริงใจกับใครก็มีให้เห็น ในทางตรงกันข้าม หน้าตาดีแถม ใจดีก็มีอยู่มาก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะไปเจอคนแบบไหนไงล่ะ
งั้นมาทดสอบกันดีฝ่าว่า คุณเป็นคนรักคน ง่ายเกินไปรึเปล่ากันมะ ด้วยการตอบคำถามเหล่านี้ว่าใช่หรือไม่ใช่ละกันนะ
1. บังเอิ๊ญคนที่ใกล้ชิด คุณ เค้าดันเป็นคนมีน้ำใจชนิดทั่วถึงกับทุกคน คุณก็หลงรักเค้าแล้วรึเปล่าจ๊ะ? หรือคุณมักเป็นคนแบบว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิด หยั่งงั้นใช่มะ?
2. หลังจากออกเดทกับคนที่คุณชอบครั้งแรก
ถ้า เค้าไม่ติดต่อกลับมาภายในเวลา 5 วัน-7 วัน คุณจะโทร.ไปหาเค้าเอง เพราะคุณขอเบอร์เค้ามาเรียบร้อยแล้วนี่ แล้วทำไมจะไม่เดินเกมรุกล่ะ งั้นรึ?
3. คุณเพิ่งไปหาหมอดูมา และถูกหมอดูทักว่า คุณจะมีแฟนในเร็วๆนี้...โอ้โหได้ยินหยั่งงี้เข้าก็ต้อง หูผึ่งเป็นธรรมดา แล้วหลังจากนั้นคุณก็คิดไปแล้วว่า คนที่คุณแอบชอบอยู่นั่นน่ะ คงเป็นเนื้อคู่ของคุณแหงเลย ดังนั้น จากที่ไม่กล้าเข้าไปทักเค้าก่อน แต่คุณกลับเดินเข้าหาและทักเค้าแฮะ แถมยังทอดสะพานให้เค้าอย่างเต็มที่ซะด้วย โอ๊ะโอ...เป็นงี้ไปซะแล้วรึจ๊ะ?
4. ถ้าเพื่อนบอกว่า จะแนะนำใครสักคนให้คุณรู้จัก คุณจะ...ตอบตกลงไปออกเดทกะเค้าทันที เอ้า...จะไม่ให้รีบตอบรับได้ไงในเมื่อเพื่อนอุตส่าห์ภูมิใจเสนอขนาดนี้ แสดงว่าต้องเป็นคนที่คุณควรคบแน่ๆเลย ใช่ไหมล้า? โถมาเร็วเคลมเร็วจริงนะหล่อน
5. คุณเป็นคนที่เห็นคนโน้นก็ชอบ เห็นคนนั้นก็ว่าน่ารัก เรียกว่าเป็นฝ่ายชอบเปิดใจและให้โอกาสตัวเองในเรื่องความรักเสมอเลยใช่มะ?
6. ถ้าเผอิญมีใครสักคนเปิดเผยความในใจว่าชอบคุณเข้าให้ แม้หน้าตาเค้าจะแสนธรรมดา แต่คุณก็ตัดสินใจว่าจะลองคบกะเค้าดู ไม่ถึงกะบอกปัดไป ซะเลย เรียกว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน งั้นเหรอ?
7. พี่ของคุณพาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน คุณจึงสะเออะ เอ๊ย...กุลีกุจอทำหน้าที่เป็นน้องที่ดีด้วยการหาน้ำ หาขนมมาต้อนรับ จนเพื่อนพี่กล่าวชมคุณว่า เป็นคนน่ารักจัง เท่าเนี้ยคุณก็เก็บเอาเพื่อนพี่คนนี้ไปฝัน 7 วัน 7 คืนเชียวนะ อ้าว...ก็บ้ายอนี่หว่า เคยเป็น แบบนี้ไหมจ๊ะ?
8. เพื่อนซี้ของคุณไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลสำคัญของบ้านเรา แล้วเกิดไปปิ๊งใครสักคนเข้าให้ พอพวกเค้าคบกันไปแค่เดือนเดียว ก็มาบอกคุณแล้วว่า เริ่มเชื่อเรื่องเนื้อคู่มีจริงแล้วแฮะ ทันใดนั้นคุณก็เริ่มคิดในใจมั่งสิว่า พระเจ้าลำเอียงรึเปล่าเนี่ย ทีเราไม่เห็นเจออย่างงี้บ้างเลย...ใช่ม้า?
-----------------------
เอ้า! ได้เวลาให้คะแนนแล้วจ้า ถ้าตอบใช่มากกว่าไม่ ก็ทายได้เลยว่าคุณเป็นคนรักง่ายน่ะซี...ถามได้ งั้นควรเบรกตัวเองไว้บ้างนะ อย่าเพิ่งรีบรักแต่ควรลองคบเพื่อดูใจกันไปก่อนนะฮ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 13 มิถุนายน 2553
Saturday, June 12, 2010
ต้อนรับรุ่นน้องด้วยรักและเมตตา
หลังผ่านช่วงเวลา "ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น" ไปแล้วหยั่งงี้ ก็ได้เวลาที่นิสิตและนักศึกษาได้กลับมาเข้าเรียนตามปกติกันแล้วละสิ ซึ่งรู้น่าว่านักเรียนชั้นมัธยมปลายที่สอบผ่านได้เข้าเรียนในสถาบันอุดม ศึกษาตามมหาวิทยาลัยทั้งหลายคงตื่นเต้นดีใจกับการได้เป็นนักศึกษาใหม่กันแหง เลย เพราะแหม...กว่าจะฝ่าด่านอรหันต์เข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ มันง่าย ซะที่ไหนล่ะเนอะ
ดังนั้น นักศึกษาใหม่ที่เปรียบเสมือนเป็น "น้องใหม่" ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จึงย่อมรู้สึกตื่นตัว, กระดี๊กระด๊าและกระตือรือร้นที่จะได้เข้าเรียนตามคณะและภาควิชาต่างๆกันสินะ โอ๊ยก่อนหน้านี้มีน้องนักศึกษาใหม่บางคนเปิดใจให้ฟังด้วยซ้ำไปว่า อยากให้มหาวิทยาลัยเปิดเรียนไวๆ เพราะพวกเขาจะได้เมคเฟรนด์ หรือได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่กันสักที แล้วส่วนใหญ่ก็มองโลกในแง่ดีด้วยนะว่า การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยจะสอนให้ พวกเขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และจะใช้ความรู้ที่ได้รับมาไปประกอบอาชีพเป็นคนดีของสังคมต่อไปในอนาคต ...โอ้โหก็ขออนุโมทนาต่อความตั้งใจดีของน้องๆด้วยนะจ๊ะ
แต่หลังจาก ได้ร่ำเรียนกันไปสักพัก ก็คงถึงช่วงเวลาของการต้อนรับน้องใหม่ของบรรดานักศึกษารุ่นพี่กันตาม ระเบียบ ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันหลายแห่งสามารถจัดกิจกรรมรับน้องกันอย่างมีระเบียบเรียบ ร้อย ไม่มีการบังคับขู่เข็ญน้องๆให้ทำในสิ่งที่ต้องฝืนใจ, ฝืนความรู้สึก หรือทำให้น้องต้องอับอายขายหน้าจนขวัญหนีดีฝ่อ หากรุ่นพี่ที่ไหนทำได้หยั่งงี้ก็น่าชมเชยและให้ กำลังใจกัน
โดยบางสถาบันได้จัดงานรับน้องไปบ้างแล้ว แต่คงยังมีอีกหลายแห่งที่จะจัดตามมาทีหลัง ก็ได้แต่หวังว่า การรับน้องจะช่วย ให้รุ่นพี่และรุ่นน้องรู้จักมักจี่กันมากขึ้น และยุติการรับน้องแบบโหดซะที เช่น ให้กลืนกระดาษเปื้อนหมึก, ให้กินพริกขี้หนูสดๆ หรือสั่งให้รุ่นน้อง ชกต่อยกันให้รุ่นพี่ดู หยั่งงี้ไม่ควรให้เกิดขึ้นหรอก อีกอย่าง การรับน้องไม่ควรบังคับน้องให้ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ เพราะการรับน้องไม่ใช่การมาตั้งวงดื่มเหล้าเมายา กันนี่หว่า เพราะฉะนั้นอย่าทำงี้เลยนะ
ช่วงนี้น่ะ สังคมไทยกำลังต้องการความสมานฉันท์ และความปรองดอง จึงอยากหนับหนุนให้นักศึกษาทุกคนจัดกิจกรรมรับน้องด้วยการยึดหลักสิทธิมนุษยชน และสิทธิส่วนบุคคลเป็นหลัก เช่น
1. การเข้าร่วมกิจกรรมการรับน้อง ควรเป็นไปด้วยความสมัครใจของนักศึกษาใหม่ ไม่ใช่ ใช้วิธีไปรวบรัดหรือบังคับให้น้องมาร่วมกิจกรรม แล้วขู่ว่าถ้าใครไม่มาจะโดนกลั่นแกล้งต่างๆนานา หยั่งงี้ก็ไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรมกับน้องๆน่ะซี เพราะถ้าบังเอิญรุ่นน้องไม่สามารถไปร่วมงานได้ด้วยความจำเป็นบางอย่างล่ะ เช่น น้องอาจป่วยในช่วงนั้น พอดี ก็ควรเห็นใจกันมากกว่า
2. เปิดโอกาสให้ ผู้ปกครองเข้ามาสังเกตการณ์ด้วยยิ่งดี ท่านจะได้ทึ่งว่าการรับน้องคราวนี้มีความโปร่งใสไงล่ะ
3. อยากให้การรับน้องเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หรือทำอะไรขำๆกันมากกว่านะ เพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะช่วยสร้างความสามัคคีได้นะเออ
คนสมถะ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 6 มิถุนายน 2553
ดังนั้น นักศึกษาใหม่ที่เปรียบเสมือนเป็น "น้องใหม่" ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จึงย่อมรู้สึกตื่นตัว, กระดี๊กระด๊าและกระตือรือร้นที่จะได้เข้าเรียนตามคณะและภาควิชาต่างๆกันสินะ โอ๊ยก่อนหน้านี้มีน้องนักศึกษาใหม่บางคนเปิดใจให้ฟังด้วยซ้ำไปว่า อยากให้มหาวิทยาลัยเปิดเรียนไวๆ เพราะพวกเขาจะได้เมคเฟรนด์ หรือได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่กันสักที แล้วส่วนใหญ่ก็มองโลกในแง่ดีด้วยนะว่า การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยจะสอนให้ พวกเขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และจะใช้ความรู้ที่ได้รับมาไปประกอบอาชีพเป็นคนดีของสังคมต่อไปในอนาคต ...โอ้โหก็ขออนุโมทนาต่อความตั้งใจดีของน้องๆด้วยนะจ๊ะ
แต่หลังจาก ได้ร่ำเรียนกันไปสักพัก ก็คงถึงช่วงเวลาของการต้อนรับน้องใหม่ของบรรดานักศึกษารุ่นพี่กันตาม ระเบียบ ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันหลายแห่งสามารถจัดกิจกรรมรับน้องกันอย่างมีระเบียบเรียบ ร้อย ไม่มีการบังคับขู่เข็ญน้องๆให้ทำในสิ่งที่ต้องฝืนใจ, ฝืนความรู้สึก หรือทำให้น้องต้องอับอายขายหน้าจนขวัญหนีดีฝ่อ หากรุ่นพี่ที่ไหนทำได้หยั่งงี้ก็น่าชมเชยและให้ กำลังใจกัน
โดยบางสถาบันได้จัดงานรับน้องไปบ้างแล้ว แต่คงยังมีอีกหลายแห่งที่จะจัดตามมาทีหลัง ก็ได้แต่หวังว่า การรับน้องจะช่วย ให้รุ่นพี่และรุ่นน้องรู้จักมักจี่กันมากขึ้น และยุติการรับน้องแบบโหดซะที เช่น ให้กลืนกระดาษเปื้อนหมึก, ให้กินพริกขี้หนูสดๆ หรือสั่งให้รุ่นน้อง ชกต่อยกันให้รุ่นพี่ดู หยั่งงี้ไม่ควรให้เกิดขึ้นหรอก อีกอย่าง การรับน้องไม่ควรบังคับน้องให้ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ เพราะการรับน้องไม่ใช่การมาตั้งวงดื่มเหล้าเมายา กันนี่หว่า เพราะฉะนั้นอย่าทำงี้เลยนะ
ช่วงนี้น่ะ สังคมไทยกำลังต้องการความสมานฉันท์ และความปรองดอง จึงอยากหนับหนุนให้นักศึกษาทุกคนจัดกิจกรรมรับน้องด้วยการยึดหลักสิทธิมนุษยชน และสิทธิส่วนบุคคลเป็นหลัก เช่น
1. การเข้าร่วมกิจกรรมการรับน้อง ควรเป็นไปด้วยความสมัครใจของนักศึกษาใหม่ ไม่ใช่ ใช้วิธีไปรวบรัดหรือบังคับให้น้องมาร่วมกิจกรรม แล้วขู่ว่าถ้าใครไม่มาจะโดนกลั่นแกล้งต่างๆนานา หยั่งงี้ก็ไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรมกับน้องๆน่ะซี เพราะถ้าบังเอิญรุ่นน้องไม่สามารถไปร่วมงานได้ด้วยความจำเป็นบางอย่างล่ะ เช่น น้องอาจป่วยในช่วงนั้น พอดี ก็ควรเห็นใจกันมากกว่า
2. เปิดโอกาสให้ ผู้ปกครองเข้ามาสังเกตการณ์ด้วยยิ่งดี ท่านจะได้ทึ่งว่าการรับน้องคราวนี้มีความโปร่งใสไงล่ะ
3. อยากให้การรับน้องเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หรือทำอะไรขำๆกันมากกว่านะ เพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะช่วยสร้างความสามัคคีได้นะเออ
คนสมถะ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 6 มิถุนายน 2553
ต้นทุนเด็กไทย...ชี้วัด ทำไมคนไทยเผาเมือง
สังคมแตกแยกมีแบ่งสีแบ่งข้างพัฒนาการกลายเป็นความรุนแรงถึงขั้นเผาบ้าน เผาเมือง เพื่อความต้องการของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ
หลายเสียง หลายฝ่าย ตั้งคำถามตรงกัน...เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้
มีบางกระแสเสียง มองในแง่ดี...นี่เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของประชาธิปไตยในบ้านเรา
ประชาธิปไตย ไร้อหิงสา ต่อสู้เรียกร้องด้วยความรุนแรง เป็นพัฒนาการที่เราจำต้องทนยอมรับการเปลี่ยนไปในแนวทางนี้หรือ...ถ้า พัฒนาการเป็นเช่นนี้ จุดสุดท้ายจะเป็นเช่นไร
ในมุมมองนี้...บทสุดท้ายดูจะน่ากลัว จนไม่เหลืออะไร
แต่อย่าได้ประมาท มองว่าเป็นไปไม่ได้...จุดจบเช่นนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับสังคมไทย
เพราะการศึกษาวิจัย เรื่อง "ต้นทุนชีวิตเด็กและเยาวชนไทย" โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล พบปมเงื่อนที่ช่วยชี้ให้เห็นว่า อนาคตของประเทศไทย ประชาธิปไตยไทย อาจจะเดินหน้าไปในทิศทางน่าห่วงใยเป็นยิ่งนัก
รวมทั้งตอบคำถามที่คนไทยสงสัยกันนักว่า...เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้ เมืองนี้ ถึงได้กล้าเผาบ้านเผาเมืองตัวเองอย่างนี้
งาน วิจัยต้นทุนชีวิตเด็กไทย เป็นการศึกษาหาแนวคิดเชิงบวกของเด็กอายุ 12-25 ปี จำนวนสองหมื่นกว่าคน ใน 18 จังหวัด เพื่อใช้เป็นเข็มทิศในการศึกษาพัฒนาเด็กและเยาวชนของไทย
"การวิจัย ครั้งนี้ เราใช้แบบสอบถามให้เด็กประเมินตัวเองและสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และเพื่อน ว่าตัวเองคิดเห็นเป็นเช่นไร
ผลปรากฏว่า เด็กไทยมีแนวคิดเชิงบวกในบางเรื่องบางด้านไม่ดีนัก หรือ พูดง่ายๆ สอบตกแนวคิดเชิงบวก ในเรื่องที่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม"
ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวกล่าว
การให้เด็กประเมินสิ่งแวดล้อม ในเรื่องครอบครัว...ในเรื่องความรัก ความอบอุ่น การเอาใจใส่ดูแลของครอบครัว เด็กส่วนใหญ่ประเมินว่า ดีหมด สอบผ่าน
แต่ สอบตกแนวคิดเชิงบวกในเรื่อง การบริโภคสื่อ...ได้ดูข่าวผ่านสื่อต่างๆแล้ว เด็กได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับพ่อแม่คนในครอบครัวน้อยมาก
ยุคนี้ สื่อมีมากมายหลายประเภท เด็กอยู่ในวัยแยกแยะความถูกผิด ความถูกต้องไม่ค่อยได้...เมื่อได้รับสื่อเหล่านี้เข้าไปโดยไม่มีผู้ใหญ่คอย ชี้แนะ แยกแยะความผิดชอบชั่วดี เด็กอาจจะเห็นผิดเป็นชอบ และนำไปเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตได้
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนก็เช่นกัน การประเมินของเด็กส่วนใหญ่ออกมาดี ถึงขั้นเรียกได้ว่า เด็กสำลักความรู้ในทางวิชาการมากเกินไปอีกต่างหาก
แต่ก็ยังสอบตกไม่ ผ่านในเรื่องสื่อ...โรงเรียน ครู นำเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญที่ปรากฏในสื่อต่างๆมาให้เด็กได้แลกเปลี่ยนพูดคุย ชี้แนะน้อยมาก แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในครอบครัว
ประเมินสิ่งแวดล้อมในเรื่องชุมชน...เด็กประเมินให้ค่าต่ำมากในหลายตัวชี้วัด
เด็กเห็นว่า ชุมชนของตัวเองให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนน้อยเกินไป ในชุนชนมีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมไม่เพียงพอ
ที่สำคัญในชุมชนมีการทำกิจกรรมอย่างที่เห็นเด็กมีคุณค่าน้อยมาก
ส่วนในเรื่องเพื่อน...เด็กประเมินสอบผ่านแง่บวกในเรื่องมีเพื่อนได้มีโอกาสรวมตัวกันเล่นกีฬา ออกกำลังกาย เล่นดนตรี
แต่ที่น่าห่วง เด็กไทยสอบตกเรื่องเพื่อนในหัวข้อ...มีเพื่อนร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม และการมีจิตอาสา มีน้ำใจแบ่งปัน
เด็กและเยาวชนไทย ได้คะแนนในเรื่องมีจิตใจเสียสละเพื่อสังคมส่วนรวมแค่ 34% เท่านั้นเอง
ประเด็นนี้ นพ.สุริยเดว มองว่า น่าห่วงมากสำหรับสังคมไทย เพราะเป็นหัวข้อที่เด็กไทยได้คะแนนต่ำสุดกว่าทุกหัวข้อ
เพียงแค่พอที่จะตอบคำถามได้หรือไม่ว่า...เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้ เมืองนี้ ทำไมการเสียสละเพื่อส่วนรวมของคนไทยจึงไม่ค่อยมี
เพื่อให้เห็นภาพชัดมากขึ้น...ดูผลการประเมินพลังตัวตนว่า เด็กมีแนวคิดเชิงบวกต่อสังคมอย่างไร
การให้เด็กประเมินตัวเองมีทั้งหมด 48 ตัวชี้วัด...การประเมินในหมวดพลังตัวตน มีอยู่ 15 หัวข้อ แม้ส่วนใหญ่เด็กจะสอบผ่านก็ตาม
แต่มีตัวชี้วัด 5 หัวข้อสำคัญ...ที่เด็กไทยสอบตก
1. ฉันกล้าปฏิเสธในพฤติกรรมที่เสี่ยง...เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่กล้าปฏิเสธสิ่งไม่ดี
2. ฉันมีจุดยืนในพฤติกรรมที่ดี...เด็กไทยไม่มีจุดยืน ไม่มีค่านิยมที่จะทำในสิ่งที่ดี
3. ฉันให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม...เด็กไทยเห็นความสำคัญน้อย
4. ฉันกล้าคิด กล้าแสดงความเห็นที่แตกต่างจากคนอื่น...เด็กไทยไม่กล้า
5. ฉันสามารถปรับตัวให้เข้ากับคนที่มีความคิดแตกต่างได้... เด็กไทยยังขาดทักษะการปรับตัว ยอมรับความเห็นที่แตกต่างไม่ได้
คำตอบที่ได้จากการประเมินตัวเองของเด็ก...สวนทางกับแนวคิดแบบประชาธิปไตย สวนทางกับเจตคติที่ดีต่อสังคม ที่มีความแตกต่างหลากหลายต้องยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
แม้จะเป็นคำตอบที่ได้จากเด็กอายุ 12-25 ปี ในยุคนี้...ไม่ใช่คำตอบที่พอจะบอกได้ว่า เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้มีการทำร้ายบ้านเมืองในยุคนี้ได้
เพราะคนเผาบ้านเผาเมืองเป็นเด็กรุ่นเก่า...ที่ไม่ใช่เด็กรุ่นใหม่ในวันนี้
นพ.สุริย เดว บอกว่า เสียดายที่ในอดีตไม่มีการออกแบบสอบถามสำรวจอย่างนี้...กระนั้นก็ตามถ้ามีการ สำรวจ ผลที่ได้ในพลังตัวตนของเด็กรุ่นเก่า ก่อนหน้าเด็กรุ่นนี้ คงไม่ต่างกันมากนัก
"เพราะรูปแบบวิธีคิดของคนไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมเท่าไร พลังตัวตนในอดีตกับปัจจุบันไม่ค่อยต่างกัน ส่วนที่มีต่างไป จะเป็นพลังแวดล้อม ชุมชน ครอบครัวและเรื่องสื่อเปลี่ยนไป
วันนี้มี สื่อให้บริโภคหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เมื่อก่อนมีแค่หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วันนี้มีดาวเทียม อินเตอร์เน็ต แต่ไม่ว่ายุคไหนบริโภคสื่อแล้ว ไม่มีการนำเรื่องราวในสื่อมาแลกเปลี่ยนพูดคุย ชี้แนะในครอบครัวเหมือนกัน
ชุมชนในสังคมไทยเปลี่ยนไปเป็นชุมชนแบบสังคมเมืองมากขึ้น อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ธุระไม่ใช่มากขึ้น
คนไทยในยุคสมัยเดิม จึงไม่ปรากฏพฤติกรรมรุนแรงเท่ากับผู้ใหญ่ในปัจจุบัน และผู้ใหญ่ในอนาคต จะยิ่งน่าห่วงมากกว่าปัจจุบัน เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป พลังตัวตนของเด็กแย่ลงเพราะขาดความใส่ใจและแบบอย่างที่ดีของผู้ใหญ่มาสร้าง พลังตัวตนที่ดีให้กับเด็กๆ"
ฉะนั้น วันนี้...ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จะกล้ายอมรับการประเมินและปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
กล้า ทำดี กล้าปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มีจิตอาสาที่จะเสียสละเพื่อสังคม ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกัน สมาชิกในชุมชนมีใจให้กัน รวมทั้งกล้าเผชิญความคิดเห็นที่แตกต่าง
มิเช่นนั้น...สังคมไทยจะก้าวไปในทิศทางที่ยากจะเยียวยา
ที่มา: ทีมข่าวการเมือง ไทยรัฐออนไลน์ พฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2553
หลายเสียง หลายฝ่าย ตั้งคำถามตรงกัน...เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้
มีบางกระแสเสียง มองในแง่ดี...นี่เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของประชาธิปไตยในบ้านเรา
ประชาธิปไตย ไร้อหิงสา ต่อสู้เรียกร้องด้วยความรุนแรง เป็นพัฒนาการที่เราจำต้องทนยอมรับการเปลี่ยนไปในแนวทางนี้หรือ...ถ้า พัฒนาการเป็นเช่นนี้ จุดสุดท้ายจะเป็นเช่นไร
ในมุมมองนี้...บทสุดท้ายดูจะน่ากลัว จนไม่เหลืออะไร
แต่อย่าได้ประมาท มองว่าเป็นไปไม่ได้...จุดจบเช่นนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับสังคมไทย
เพราะการศึกษาวิจัย เรื่อง "ต้นทุนชีวิตเด็กและเยาวชนไทย" โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล พบปมเงื่อนที่ช่วยชี้ให้เห็นว่า อนาคตของประเทศไทย ประชาธิปไตยไทย อาจจะเดินหน้าไปในทิศทางน่าห่วงใยเป็นยิ่งนัก
รวมทั้งตอบคำถามที่คนไทยสงสัยกันนักว่า...เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้ เมืองนี้ ถึงได้กล้าเผาบ้านเผาเมืองตัวเองอย่างนี้
งาน วิจัยต้นทุนชีวิตเด็กไทย เป็นการศึกษาหาแนวคิดเชิงบวกของเด็กอายุ 12-25 ปี จำนวนสองหมื่นกว่าคน ใน 18 จังหวัด เพื่อใช้เป็นเข็มทิศในการศึกษาพัฒนาเด็กและเยาวชนของไทย
"การวิจัย ครั้งนี้ เราใช้แบบสอบถามให้เด็กประเมินตัวเองและสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และเพื่อน ว่าตัวเองคิดเห็นเป็นเช่นไร
ผลปรากฏว่า เด็กไทยมีแนวคิดเชิงบวกในบางเรื่องบางด้านไม่ดีนัก หรือ พูดง่ายๆ สอบตกแนวคิดเชิงบวก ในเรื่องที่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม"
ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวกล่าว
การให้เด็กประเมินสิ่งแวดล้อม ในเรื่องครอบครัว...ในเรื่องความรัก ความอบอุ่น การเอาใจใส่ดูแลของครอบครัว เด็กส่วนใหญ่ประเมินว่า ดีหมด สอบผ่าน
แต่ สอบตกแนวคิดเชิงบวกในเรื่อง การบริโภคสื่อ...ได้ดูข่าวผ่านสื่อต่างๆแล้ว เด็กได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับพ่อแม่คนในครอบครัวน้อยมาก
ยุคนี้ สื่อมีมากมายหลายประเภท เด็กอยู่ในวัยแยกแยะความถูกผิด ความถูกต้องไม่ค่อยได้...เมื่อได้รับสื่อเหล่านี้เข้าไปโดยไม่มีผู้ใหญ่คอย ชี้แนะ แยกแยะความผิดชอบชั่วดี เด็กอาจจะเห็นผิดเป็นชอบ และนำไปเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตได้
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนก็เช่นกัน การประเมินของเด็กส่วนใหญ่ออกมาดี ถึงขั้นเรียกได้ว่า เด็กสำลักความรู้ในทางวิชาการมากเกินไปอีกต่างหาก
แต่ก็ยังสอบตกไม่ ผ่านในเรื่องสื่อ...โรงเรียน ครู นำเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญที่ปรากฏในสื่อต่างๆมาให้เด็กได้แลกเปลี่ยนพูดคุย ชี้แนะน้อยมาก แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในครอบครัว
ประเมินสิ่งแวดล้อมในเรื่องชุมชน...เด็กประเมินให้ค่าต่ำมากในหลายตัวชี้วัด
เด็กเห็นว่า ชุมชนของตัวเองให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนน้อยเกินไป ในชุนชนมีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมไม่เพียงพอ
ที่สำคัญในชุมชนมีการทำกิจกรรมอย่างที่เห็นเด็กมีคุณค่าน้อยมาก
ส่วนในเรื่องเพื่อน...เด็กประเมินสอบผ่านแง่บวกในเรื่องมีเพื่อนได้มีโอกาสรวมตัวกันเล่นกีฬา ออกกำลังกาย เล่นดนตรี
แต่ที่น่าห่วง เด็กไทยสอบตกเรื่องเพื่อนในหัวข้อ...มีเพื่อนร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม และการมีจิตอาสา มีน้ำใจแบ่งปัน
เด็กและเยาวชนไทย ได้คะแนนในเรื่องมีจิตใจเสียสละเพื่อสังคมส่วนรวมแค่ 34% เท่านั้นเอง
ประเด็นนี้ นพ.สุริยเดว มองว่า น่าห่วงมากสำหรับสังคมไทย เพราะเป็นหัวข้อที่เด็กไทยได้คะแนนต่ำสุดกว่าทุกหัวข้อ
เพียงแค่พอที่จะตอบคำถามได้หรือไม่ว่า...เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้ เมืองนี้ ทำไมการเสียสละเพื่อส่วนรวมของคนไทยจึงไม่ค่อยมี
เพื่อให้เห็นภาพชัดมากขึ้น...ดูผลการประเมินพลังตัวตนว่า เด็กมีแนวคิดเชิงบวกต่อสังคมอย่างไร
การให้เด็กประเมินตัวเองมีทั้งหมด 48 ตัวชี้วัด...การประเมินในหมวดพลังตัวตน มีอยู่ 15 หัวข้อ แม้ส่วนใหญ่เด็กจะสอบผ่านก็ตาม
แต่มีตัวชี้วัด 5 หัวข้อสำคัญ...ที่เด็กไทยสอบตก
1. ฉันกล้าปฏิเสธในพฤติกรรมที่เสี่ยง...เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่กล้าปฏิเสธสิ่งไม่ดี
2. ฉันมีจุดยืนในพฤติกรรมที่ดี...เด็กไทยไม่มีจุดยืน ไม่มีค่านิยมที่จะทำในสิ่งที่ดี
3. ฉันให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม...เด็กไทยเห็นความสำคัญน้อย
4. ฉันกล้าคิด กล้าแสดงความเห็นที่แตกต่างจากคนอื่น...เด็กไทยไม่กล้า
5. ฉันสามารถปรับตัวให้เข้ากับคนที่มีความคิดแตกต่างได้... เด็กไทยยังขาดทักษะการปรับตัว ยอมรับความเห็นที่แตกต่างไม่ได้
คำตอบที่ได้จากการประเมินตัวเองของเด็ก...สวนทางกับแนวคิดแบบประชาธิปไตย สวนทางกับเจตคติที่ดีต่อสังคม ที่มีความแตกต่างหลากหลายต้องยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
แม้จะเป็นคำตอบที่ได้จากเด็กอายุ 12-25 ปี ในยุคนี้...ไม่ใช่คำตอบที่พอจะบอกได้ว่า เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้มีการทำร้ายบ้านเมืองในยุคนี้ได้
เพราะคนเผาบ้านเผาเมืองเป็นเด็กรุ่นเก่า...ที่ไม่ใช่เด็กรุ่นใหม่ในวันนี้
นพ.สุริย เดว บอกว่า เสียดายที่ในอดีตไม่มีการออกแบบสอบถามสำรวจอย่างนี้...กระนั้นก็ตามถ้ามีการ สำรวจ ผลที่ได้ในพลังตัวตนของเด็กรุ่นเก่า ก่อนหน้าเด็กรุ่นนี้ คงไม่ต่างกันมากนัก
"เพราะรูปแบบวิธีคิดของคนไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมเท่าไร พลังตัวตนในอดีตกับปัจจุบันไม่ค่อยต่างกัน ส่วนที่มีต่างไป จะเป็นพลังแวดล้อม ชุมชน ครอบครัวและเรื่องสื่อเปลี่ยนไป
วันนี้มี สื่อให้บริโภคหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เมื่อก่อนมีแค่หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วันนี้มีดาวเทียม อินเตอร์เน็ต แต่ไม่ว่ายุคไหนบริโภคสื่อแล้ว ไม่มีการนำเรื่องราวในสื่อมาแลกเปลี่ยนพูดคุย ชี้แนะในครอบครัวเหมือนกัน
ชุมชนในสังคมไทยเปลี่ยนไปเป็นชุมชนแบบสังคมเมืองมากขึ้น อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ธุระไม่ใช่มากขึ้น
คนไทยในยุคสมัยเดิม จึงไม่ปรากฏพฤติกรรมรุนแรงเท่ากับผู้ใหญ่ในปัจจุบัน และผู้ใหญ่ในอนาคต จะยิ่งน่าห่วงมากกว่าปัจจุบัน เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป พลังตัวตนของเด็กแย่ลงเพราะขาดความใส่ใจและแบบอย่างที่ดีของผู้ใหญ่มาสร้าง พลังตัวตนที่ดีให้กับเด็กๆ"
ฉะนั้น วันนี้...ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จะกล้ายอมรับการประเมินและปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
กล้า ทำดี กล้าปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มีจิตอาสาที่จะเสียสละเพื่อสังคม ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกัน สมาชิกในชุมชนมีใจให้กัน รวมทั้งกล้าเผชิญความคิดเห็นที่แตกต่าง
มิเช่นนั้น...สังคมไทยจะก้าวไปในทิศทางที่ยากจะเยียวยา
ที่มา: ทีมข่าวการเมือง ไทยรัฐออนไลน์ พฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2553
เด็กนอนเป็นเวลาปัญญาดี ยิ่งนอนตั้งแต่หัวค่ำยิ่งหัวไวยิ่งกว่าเพื่อน
นักวิจัยสหรัฐฯ พบในการศึกษาขนาดใหญ่ ที่สุดครั้งหนึ่งว่า เด็กที่มีพ่อแม่บังคับให้เข้านอนเป็นเวลาจะปัญญาดีกว่าเพื่อน
นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันเออาร์ไอระหว่างชาติอันเป็นหน่วยงานวิจัยที่ไม่หวังผล กำไร ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังพบด้วยว่าเด็กหนุ่มสาวที่เข้านอนเป็นเวลา จะเก่งภาษา การอ่านและเลข มากกว่าเพื่อนที่ไม่ได้ทำตัวเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นยิ่งคนไหนนอนแต่ หัวค่ำยิ่งกว่าคนอื่น ก็จะยิ่งเรียนรู้อะไรได้เร็ว
สำหรับเด็กเล็กระดับอนุบาล ถ้าหากนอนน้อยกว่าเวลาที่แนะนำคือ ไม่ถึง 11 ชม. มักจะเรียนไม่ทันเพื่อน
การศึกษาเพื่อต้องการเรียนรู้ผลการพัฒนา ของเด็กวัย 4 ขวบ ได้ทำกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กเล็กจำนวนถึง 8,000 คน
ผลการศึกษาสรุปได้ว่าการเข้านอนเป็นเวลาอย่างสม่ำเสมอ เป็นตัวพยากรณ์ของผลการพัฒนาการอันดีงาม ที่ถูกร่องถูกรอยที่สุด
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 12 มิถุนายน 2553
=-=-=-=-=
สอนเด็กให้ดี ต้องไม่ตีไม่ตะคอก
การดุด่าว่ากล่าวเด็กด้วยข้อหาเล็กๆ น้อยๆ ทุกย่างก้าวที่พลาดพลั้งไปนั้น รังแต่จะเป็นการทำให้เด็กต่อต้านแข็งขืนมากยิ่งขึ้นเสียเปล่า
แน่นอน ว่าการฝึกเด็กให้มีวินัยนั้นเป็นสิ่งจำเป็น และจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องกระทำอย่างระมัดระวัง นุ่มนวล และด้วยความรัก มิใช่อยากให้เด็กเป็นคนดี แล้วตะคอกเอาๆ
จะให้เด็กทำตัวดีมีวินัยได้ อย่างไร ลองมาดูเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสำหรับใช้สอนเด็กกัน จากเว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ไทม์ออฟอินเดียของอินเดีย (http://timesofindia.indiatimes.com)
- วิธีหนึ่งที่ง่ายและได้ผลคือลองยกตัวอย่างให้เด็กทำตาม เพราะเด็กมีแนวโน้มจะเลียนแบบผู้ใหญ่ ถ้าต้องการสร้างนิสัยให้เด็กทำอะไร ผู้ใหญ่ก็ต้องทำด้วย ยกตัวอย่างเรื่องทิ้งขยะลงถัง หรือทำเตียงให้ เรียบร้อยเมื่อลุกจากที่นอน เด็กก็จะเรียนรู้ได้โดยอัตโนมัติและทำตาม
- ถ้าหากเด็กเป็นพวกชอบดื้อในที่สาธารณะ ผู้ใหญ่ต้องอดทนและบอกเหตุผลไปก่อน ถ้าเด็กยังไม่ เอาใจใส่ หรือทำพฤติกรรมไม่ดีอยู่อีก ให้เดินหนีห่างออกมา อย่างไรก็ตาม ต้องจำไว้ว่าจะไม่ขึ้นเสียงหรือตีเด็ก เพราะนั่นจะเท่ากับทำให้เด็กยิ่งลงไปชักดิ้นชักงอ เรียกร้องความสนใจมากขึ้น
- ควรปฏิบัติกับเด็กเหมือนคนโตๆแล้วอยู่ เสมอ เพราะเด็กเองก็อยากได้รับความสำคัญจากผู้ใหญ่ ควรให้คำชมเด็กเมื่อเขาหรือเธอทำงานเสร็จเรียบร้อยดี รวมไปถึงการตัดสินใจเลือกอะไรต่างๆที่เหมาะสม เช่น กล่าวชมว่าเด็กแต่งตัวสวย หรือเลือกรองเท้าได้เหมาะดี เป็นต้น
- พยายามอย่าดุด่าว่ากล่าวเด็ก หากระเบิดอารมณ์เสียออกมา นั่นจะเป็นการเผยจุดอ่อนและเด็กจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าจะเลือกใช้มัน ให้เกิดผลต่อไปอย่างไร นี่ยังรวมไปถึงเรื่องมารยาทที่ต้องสอนเด็กให้พูดแบบมีหางเสียง และรู้จักพูดขอโทษหากไปผลักโดนใคร
- ถ้าเด็กประพฤติตัวไม่ดีต่อหน้าแขก อย่าตะโกนใส่เด็ก ควรรอจนกว่ากลับถึงบ้านแล้วอธิบายให้ฟังอย่างเข้มงวดว่าพฤติกรรมที่ทำลงไป แล้วนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ และต้องเตือนด้วยว่าหากทำซ้ำอีกจะมีมาตรการขั้นเด็ดขาด
อย่าลืมว่าเด็กก็มีหัวใจ ไม่ใช่ว่าอยากให้ได้ดีแล้วทั้งตี ทั้งตะคอกใส่ แล้วอย่างนั้นจะไปได้ถึงไหนกัน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 12 มิถุนายน 2553
นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันเออาร์ไอระหว่างชาติอันเป็นหน่วยงานวิจัยที่ไม่หวังผล กำไร ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังพบด้วยว่าเด็กหนุ่มสาวที่เข้านอนเป็นเวลา จะเก่งภาษา การอ่านและเลข มากกว่าเพื่อนที่ไม่ได้ทำตัวเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นยิ่งคนไหนนอนแต่ หัวค่ำยิ่งกว่าคนอื่น ก็จะยิ่งเรียนรู้อะไรได้เร็ว
สำหรับเด็กเล็กระดับอนุบาล ถ้าหากนอนน้อยกว่าเวลาที่แนะนำคือ ไม่ถึง 11 ชม. มักจะเรียนไม่ทันเพื่อน
การศึกษาเพื่อต้องการเรียนรู้ผลการพัฒนา ของเด็กวัย 4 ขวบ ได้ทำกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กเล็กจำนวนถึง 8,000 คน
ผลการศึกษาสรุปได้ว่าการเข้านอนเป็นเวลาอย่างสม่ำเสมอ เป็นตัวพยากรณ์ของผลการพัฒนาการอันดีงาม ที่ถูกร่องถูกรอยที่สุด
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 12 มิถุนายน 2553
=-=-=-=-=
สอนเด็กให้ดี ต้องไม่ตีไม่ตะคอก
การดุด่าว่ากล่าวเด็กด้วยข้อหาเล็กๆ น้อยๆ ทุกย่างก้าวที่พลาดพลั้งไปนั้น รังแต่จะเป็นการทำให้เด็กต่อต้านแข็งขืนมากยิ่งขึ้นเสียเปล่า
แน่นอน ว่าการฝึกเด็กให้มีวินัยนั้นเป็นสิ่งจำเป็น และจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องกระทำอย่างระมัดระวัง นุ่มนวล และด้วยความรัก มิใช่อยากให้เด็กเป็นคนดี แล้วตะคอกเอาๆ
จะให้เด็กทำตัวดีมีวินัยได้ อย่างไร ลองมาดูเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสำหรับใช้สอนเด็กกัน จากเว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ไทม์ออฟอินเดียของอินเดีย (http://timesofindia.indiatimes.com)
- วิธีหนึ่งที่ง่ายและได้ผลคือลองยกตัวอย่างให้เด็กทำตาม เพราะเด็กมีแนวโน้มจะเลียนแบบผู้ใหญ่ ถ้าต้องการสร้างนิสัยให้เด็กทำอะไร ผู้ใหญ่ก็ต้องทำด้วย ยกตัวอย่างเรื่องทิ้งขยะลงถัง หรือทำเตียงให้ เรียบร้อยเมื่อลุกจากที่นอน เด็กก็จะเรียนรู้ได้โดยอัตโนมัติและทำตาม
- ถ้าหากเด็กเป็นพวกชอบดื้อในที่สาธารณะ ผู้ใหญ่ต้องอดทนและบอกเหตุผลไปก่อน ถ้าเด็กยังไม่ เอาใจใส่ หรือทำพฤติกรรมไม่ดีอยู่อีก ให้เดินหนีห่างออกมา อย่างไรก็ตาม ต้องจำไว้ว่าจะไม่ขึ้นเสียงหรือตีเด็ก เพราะนั่นจะเท่ากับทำให้เด็กยิ่งลงไปชักดิ้นชักงอ เรียกร้องความสนใจมากขึ้น
- ควรปฏิบัติกับเด็กเหมือนคนโตๆแล้วอยู่ เสมอ เพราะเด็กเองก็อยากได้รับความสำคัญจากผู้ใหญ่ ควรให้คำชมเด็กเมื่อเขาหรือเธอทำงานเสร็จเรียบร้อยดี รวมไปถึงการตัดสินใจเลือกอะไรต่างๆที่เหมาะสม เช่น กล่าวชมว่าเด็กแต่งตัวสวย หรือเลือกรองเท้าได้เหมาะดี เป็นต้น
- พยายามอย่าดุด่าว่ากล่าวเด็ก หากระเบิดอารมณ์เสียออกมา นั่นจะเป็นการเผยจุดอ่อนและเด็กจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าจะเลือกใช้มัน ให้เกิดผลต่อไปอย่างไร นี่ยังรวมไปถึงเรื่องมารยาทที่ต้องสอนเด็กให้พูดแบบมีหางเสียง และรู้จักพูดขอโทษหากไปผลักโดนใคร
- ถ้าเด็กประพฤติตัวไม่ดีต่อหน้าแขก อย่าตะโกนใส่เด็ก ควรรอจนกว่ากลับถึงบ้านแล้วอธิบายให้ฟังอย่างเข้มงวดว่าพฤติกรรมที่ทำลงไป แล้วนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ และต้องเตือนด้วยว่าหากทำซ้ำอีกจะมีมาตรการขั้นเด็ดขาด
อย่าลืมว่าเด็กก็มีหัวใจ ไม่ใช่ว่าอยากให้ได้ดีแล้วทั้งตี ทั้งตะคอกใส่ แล้วอย่างนั้นจะไปได้ถึงไหนกัน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 12 มิถุนายน 2553
Friday, June 11, 2010
ชอบเล่นรัมมี่
ที่ไหนมีการเดินทางเป็นคณะเพื่อดูงาน สัมมนา หรือท่องเที่ยว
ที่นั่นย่อมขาดวงป๊อกเด้ง วงรัมมี่ ไม่ได้
เจี๊ยวจ๊าวกันพอหอมปากหอมคอ หรือจะได้เสียกันให้หมดตูดไปข้างก็ย่อมได้
ท่านว่าเป็นการผ่อนคลายอารมณ์หรือทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อหน่ายมีชีวิตชีวา ถึงที่หมายโดยไม่รู้ตัว
บางคนบางที่ติดพันถึงที่เที่ยว ที่สัมมนา ก็มิได้โผล่พ้นโรงแรมที่พักเห็นบ้านเห็นเมืองเขาแต่อย่างใด
กระผมมิได้อธิบายสรรพคุณความดีงามของวงป๊อกเด้ง หรือวงรัมมี่นะขอรับ
ตรงกันข้ามตั้งใจจะเรียนท่านผู้อ่านว่า ทั้งสองวงนี้นั้นล้วนเป็นสิ่งต้องห้ามทั้งทางโลกและทางธรรม
ทางธรรมนั้น ท่านว่าเล่นการพนันเป็นอบายมุข คือทางแห่งความฉิบหายนะโยม
ทางโลกนั้นเล่า มีกฎหมายบ้านเมืองห้ามและควบคุมอย่างเข้มงวด
มาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ วรรคแรกกำหนดประเภทการพนันที่ระบุ ตามบัญชี ก.ห้ามเล่นเด็ดขาด เว้นแต่เมื่อรัฐบาลเห็นว่าสถานที่ใดสมควรจะอนุญาตภายใต้บังคับเงื่อนไขใด ๆ ให้มีการเล่นชนิดใดก็อนุญาตได้โดยออกพระราชกฤษฎีกา
การเล่นพนันตามบัญชี ก. นอกจากไฮโลที่พอรู้จักกันบ้างก็มี ชื่อแปลก ๆ สมควรนำเสนอท่านผู้อ่าน ดังนี้ ไม้สามอัน ขลุกขลิก อีก้อย อีโปงชัด กำตัด โยนจิ่ม (สองชื่อหลังตั้งใจพิมพ์หน่อยนะจ๊ะ)
บัญชีนี้ห้ามขาด เว้นแต่ระดับบิ๊ก ๆ แบบกาสิโนที่อนุญาตเป็นพระราชกฤษฎีกาดังว่าได้
บัญชี ข. หลวงท่านเห็นใจเซียนทั้งหลายจะจุกอกตาย จัดให้มีการเล่นพนันได้โดยขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ เช่น ตามข้อ ๒๑ ไพ่นกกระจอก ไพ่ต่อแต้ม ไพ่ต่าง ๆ
และมีชื่อแปลก ๆ สมควรนำเสนอเหมือนกัน เช่น ชี้รูป ดวด เต๋าข้ามด่าน ข้องอ้อย โตแตไลเซเตอร์สำหรับการเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง
บวกด้วย มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๔๙๖ ซึ่งแจ้งเวียนตามหนังสือของกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ น.ว. ๒๐๘/ ๒๔๙๖ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๔๙๖ กระหนาบข้าราชการที่เล่นการพนันและเสพสุราสรุปว่า การพนันประเภทที่กฎหมายบัญญัติห้ามขาด ถ้าข้าราชการผู้ใดเล่นควรวางโทษถึง ให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ
ส่วนการพนันประเภทที่จะเล่นได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากทาง ราชการ กรณีเจ้าพนักงานที่ปราบปรามเป็นผู้เล่นโดยผิดกฎหมายให้ ปลดออกหรือไล่ออกเท่านั้น
จึงมี บันทึกข้อความกรมตำรวจ ที่ ๐๕๒๒. ๔๑/๗๓๖๖ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๘ กำหนดว่า กรณีเป็นผู้เล่นการพนันผิดกฎหมายประเภทที่สามารถอนุญาตให้เล่นได้ตามกฎหมาย ระดับการลงทัณฑ์ คือปลดออกสถานเดียว ไม่ต้องว่ากล่าวตักเตือน
บอกแล้วว่า เป็นหนทางแห่งอบายมุข เล่นเมื่อไร ฉิบหายเมื่อนั้น คุณตำรวจนายหนึ่งแอบตั้งวงรัมมี่จนถูกจับกุมจึงพบความจริงประการนี้
ศาลแขวงลงโทษปรับ ๗๐๐ บาท ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเจ้านายมีคำสั่งลงโทษ ไล่ออก จากราชการ
ถูกปรับนะมีเงินจ่าย แต่ไล่ออกนี่อดบำเหน็จบำนาญเชียวนะตัวเอง อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ก็ไม่เป็นผล นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานมีความเห็นยกอุทธรณ์
จึงฟ้องต่อศาลปกครองขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติลงโทษในสถานเบา ตามมาตรฐานการลงโทษของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน จ่ายบำเหน็จบำนาญตามระเบียบมาด้วย ทำงานมานานแล้ว ครับท่าน
เรื่องนี้มีประเด็น
มติ ค.ร.ม.เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๔๙๖ ให้ลงโทษผู้เล่นการพนันเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ปราบปรามถึงให้ออก ปลดออก หรือ ไล่ออก แต่บันทึกกรมตำรวจลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๘ ดังกล่าว วางระดับการลงทัณฑ์ไว้ในระดับ ปลดออก
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะผู้ออกคำสั่งลงโทษเห็นว่าผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ ปราบปรามโดยตรง มาลักลอบทำผิดเสียเอง จึงถือเอามติ ค.ร.ม.มาเป็นหลักในการใช้ดุล พินิจลงโทษ ไม่ถือเอาบันทึกกรมตำรวจดังกล่าว
บันทึกข้อความกรมตำรวจจะมาใหญ่กว่ามติ ค.ร.ม.ได้ยังไง คำสั่งลงโทษจึงชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาว่าคำสั่งไล่ผู้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้มีคำสั่งใหม่และดำเนินการให้ผู้ฟ้องคดีได้รับสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับ บำเหน็จบำนาญภายในสามสิบวันนับแต่คดีถึงที่สุด
ผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การเล่นไพ่รัมมี่เป็นการเล่นพนันตามบัญชี ข. ข้อ ๒๑ ไม่ไช่การพนันที่กฎหมายห้ามขาด เล่นได้แต่ต้องขออนุญาตจากทางราชการ
บันทึกกรมตำรวจที่ ๐๕๒๒.๔๑/๗๓๖๖ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๘ กำหนดระดับการลงทัณฑ์กรณีเป็นผู้เล่นการพนันประเภทที่สามารถออกใบอนุญาตได้ คือ ปลดออก
ซึ่งเป็น การวางกำหนดกฎเกณฑ์การลงโทษภายหลังมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าว มิได้ยกระดับการลงโทษ แต่อย่างใด
แสดงว่ากรมตำรวจมี เจตนาลงโทษตามระดับเท่าที่มีในบันทึก ข้อความไว้เท่านั้น จะอ้างมติคณะรัฐมนตรีที่มีมาก่อนลงโทษผู้ฟ้องคดีไม่ได้
คำสั่งไล่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๒๑/๒๕๕๐)
จะเป็นมติ ค.ร.ม.หรือบันทึก จะเป็นขอคืนพื้นที่หรือกระชับพื้นที่ ก็ต้องออกเหมือนกันนั่นแหละโยม.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ชอบเล่นรัมมี่ กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2553
=-=-=-=-
อย่าเล่นเลยรัมมี่ เล่นไล่ออกดีกว่า
ที่นั่นย่อมขาดวงป๊อกเด้ง วงรัมมี่ ไม่ได้
เจี๊ยวจ๊าวกันพอหอมปากหอมคอ หรือจะได้เสียกันให้หมดตูดไปข้างก็ย่อมได้
ท่านว่าเป็นการผ่อนคลายอารมณ์หรือทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อหน่ายมีชีวิตชีวา ถึงที่หมายโดยไม่รู้ตัว
บางคนบางที่ติดพันถึงที่เที่ยว ที่สัมมนา ก็มิได้โผล่พ้นโรงแรมที่พักเห็นบ้านเห็นเมืองเขาแต่อย่างใด
กระผมมิได้อธิบายสรรพคุณความดีงามของวงป๊อกเด้ง หรือวงรัมมี่นะขอรับ
ตรงกันข้ามตั้งใจจะเรียนท่านผู้อ่านว่า ทั้งสองวงนี้นั้นล้วนเป็นสิ่งต้องห้ามทั้งทางโลกและทางธรรม
ทางธรรมนั้น ท่านว่าเล่นการพนันเป็นอบายมุข คือทางแห่งความฉิบหายนะโยม
ทางโลกนั้นเล่า มีกฎหมายบ้านเมืองห้ามและควบคุมอย่างเข้มงวด
มาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ วรรคแรกกำหนดประเภทการพนันที่ระบุ ตามบัญชี ก.ห้ามเล่นเด็ดขาด เว้นแต่เมื่อรัฐบาลเห็นว่าสถานที่ใดสมควรจะอนุญาตภายใต้บังคับเงื่อนไขใด ๆ ให้มีการเล่นชนิดใดก็อนุญาตได้โดยออกพระราชกฤษฎีกา
การเล่นพนันตามบัญชี ก. นอกจากไฮโลที่พอรู้จักกันบ้างก็มี ชื่อแปลก ๆ สมควรนำเสนอท่านผู้อ่าน ดังนี้ ไม้สามอัน ขลุกขลิก อีก้อย อีโปงชัด กำตัด โยนจิ่ม (สองชื่อหลังตั้งใจพิมพ์หน่อยนะจ๊ะ)
บัญชีนี้ห้ามขาด เว้นแต่ระดับบิ๊ก ๆ แบบกาสิโนที่อนุญาตเป็นพระราชกฤษฎีกาดังว่าได้
บัญชี ข. หลวงท่านเห็นใจเซียนทั้งหลายจะจุกอกตาย จัดให้มีการเล่นพนันได้โดยขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ เช่น ตามข้อ ๒๑ ไพ่นกกระจอก ไพ่ต่อแต้ม ไพ่ต่าง ๆ
และมีชื่อแปลก ๆ สมควรนำเสนอเหมือนกัน เช่น ชี้รูป ดวด เต๋าข้ามด่าน ข้องอ้อย โตแตไลเซเตอร์สำหรับการเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง
บวกด้วย มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๔๙๖ ซึ่งแจ้งเวียนตามหนังสือของกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ น.ว. ๒๐๘/ ๒๔๙๖ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๔๙๖ กระหนาบข้าราชการที่เล่นการพนันและเสพสุราสรุปว่า การพนันประเภทที่กฎหมายบัญญัติห้ามขาด ถ้าข้าราชการผู้ใดเล่นควรวางโทษถึง ให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ
ส่วนการพนันประเภทที่จะเล่นได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากทาง ราชการ กรณีเจ้าพนักงานที่ปราบปรามเป็นผู้เล่นโดยผิดกฎหมายให้ ปลดออกหรือไล่ออกเท่านั้น
จึงมี บันทึกข้อความกรมตำรวจ ที่ ๐๕๒๒. ๔๑/๗๓๖๖ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๘ กำหนดว่า กรณีเป็นผู้เล่นการพนันผิดกฎหมายประเภทที่สามารถอนุญาตให้เล่นได้ตามกฎหมาย ระดับการลงทัณฑ์ คือปลดออกสถานเดียว ไม่ต้องว่ากล่าวตักเตือน
บอกแล้วว่า เป็นหนทางแห่งอบายมุข เล่นเมื่อไร ฉิบหายเมื่อนั้น คุณตำรวจนายหนึ่งแอบตั้งวงรัมมี่จนถูกจับกุมจึงพบความจริงประการนี้
ศาลแขวงลงโทษปรับ ๗๐๐ บาท ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเจ้านายมีคำสั่งลงโทษ ไล่ออก จากราชการ
ถูกปรับนะมีเงินจ่าย แต่ไล่ออกนี่อดบำเหน็จบำนาญเชียวนะตัวเอง อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ก็ไม่เป็นผล นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานมีความเห็นยกอุทธรณ์
จึงฟ้องต่อศาลปกครองขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติลงโทษในสถานเบา ตามมาตรฐานการลงโทษของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน จ่ายบำเหน็จบำนาญตามระเบียบมาด้วย ทำงานมานานแล้ว ครับท่าน
เรื่องนี้มีประเด็น
มติ ค.ร.ม.เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๔๙๖ ให้ลงโทษผู้เล่นการพนันเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ปราบปรามถึงให้ออก ปลดออก หรือ ไล่ออก แต่บันทึกกรมตำรวจลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๘ ดังกล่าว วางระดับการลงทัณฑ์ไว้ในระดับ ปลดออก
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะผู้ออกคำสั่งลงโทษเห็นว่าผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ ปราบปรามโดยตรง มาลักลอบทำผิดเสียเอง จึงถือเอามติ ค.ร.ม.มาเป็นหลักในการใช้ดุล พินิจลงโทษ ไม่ถือเอาบันทึกกรมตำรวจดังกล่าว
บันทึกข้อความกรมตำรวจจะมาใหญ่กว่ามติ ค.ร.ม.ได้ยังไง คำสั่งลงโทษจึงชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาว่าคำสั่งไล่ผู้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้มีคำสั่งใหม่และดำเนินการให้ผู้ฟ้องคดีได้รับสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับ บำเหน็จบำนาญภายในสามสิบวันนับแต่คดีถึงที่สุด
ผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การเล่นไพ่รัมมี่เป็นการเล่นพนันตามบัญชี ข. ข้อ ๒๑ ไม่ไช่การพนันที่กฎหมายห้ามขาด เล่นได้แต่ต้องขออนุญาตจากทางราชการ
บันทึกกรมตำรวจที่ ๐๕๒๒.๔๑/๗๓๖๖ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๘ กำหนดระดับการลงทัณฑ์กรณีเป็นผู้เล่นการพนันประเภทที่สามารถออกใบอนุญาตได้ คือ ปลดออก
ซึ่งเป็น การวางกำหนดกฎเกณฑ์การลงโทษภายหลังมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าว มิได้ยกระดับการลงโทษ แต่อย่างใด
แสดงว่ากรมตำรวจมี เจตนาลงโทษตามระดับเท่าที่มีในบันทึก ข้อความไว้เท่านั้น จะอ้างมติคณะรัฐมนตรีที่มีมาก่อนลงโทษผู้ฟ้องคดีไม่ได้
คำสั่งไล่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๒๑/๒๕๕๐)
จะเป็นมติ ค.ร.ม.หรือบันทึก จะเป็นขอคืนพื้นที่หรือกระชับพื้นที่ ก็ต้องออกเหมือนกันนั่นแหละโยม.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ชอบเล่นรัมมี่ กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2553
=-=-=-=-
อย่าเล่นเลยรัมมี่ เล่นไล่ออกดีกว่า
Labels:
กฎหมายต้องรู้
แปลความ (หรือ ตีความ)
บางทีการแปลไทยเป็นไทยนี่ยากกว่าแปลอังกฤษเป็นไทย
แปลอังกฤษมันยากอีตรงจำศัพท์ไม่ได้ แต่ยังไง ๆ เดี๋ยวก็ดำน้ำไปจบเอาดื้อ ๆ จนได้
ส่วนแปลไทยเป็นไทยผิดเมื่อไร อาจเป็นเรื่องทำให้เสียสิทธิเกิดความเสียหายขึ้นได้
มีเหตุถึงโรงถึงศาลเป็นคดีปกครองกันหลายคดี
บ้านเมืองเราถ้าเป็นเรื่องทางกฎหมายท่านว่าเป็นการตีความ หลายเรื่อง ตี ๆ กันไปแล้วก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังต้องตีกันเองต่อไป
แต่คดีนี้เป็นระดับเรื่องกฎกติกาทางการบริหารของหน่วยงานทางปกครอง ท่านใช้คำว่าแปลความ
จะแปลความหรือตีความถ้าเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันเมื่อไร ก็เป็นเรื่องแหละโยม
อาจารย์ใหญ่สังกัดสำนักงานประถมศึกษาอำเภอแห่งหนึ่งเสนอขอปรับปรุงการกำหนด ตำแหน่งจากอาจารย์ใหญ่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนประจำปีการศึกษา ๒๕๔๔
ได้ขยับเป็นซีแปด ซีเก้ากับเขาบ้าง
มีท่านผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน และผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคของจังหวัดเป็น คณะกรรมการตรวจสอบปริมาณงานสภาพของงานและประเมินคุณภาพของสถานศึกษา
คณะกรรมการชุดนี้ทำหน้าที่ประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการซึ่งคณะกรรมการข้า ราชการครูเป็นผู้กำหนดเพื่อรายงานผลการประเมินต่อคณะกรรมการข้าราชการครู
อะไร ๆ ก็ดีหมด แต่ในหัวข้อการได้รับรางวัลด้านวิชาการ คุณธรรม และจริยธรรมที่ผู้บริหารโรงเรียนได้รับ
ท่านกำหนดเวลาการได้รับรางวัลไม่น้อยกว่าสามปีย้อนหลัง
ท่านอาจารย์ใหญ่ผู้ขอประเมินรับประทานไข่เต็ม ๆ ได้คะแนน ๐ คะแนน
กินไข่ก็ประเมินไม่ผ่านนะซี
ทั้งที่เสนอผลงานที่ได้รับรางวัล ในปี ๒๕๒๘ ปี ๒๕๓๒ ปี ๒๕๓๕ ปี ๒๕๓๖ ปี ๒๕๓๗ และปี ๒๕๔๑ หนึ่งเท่าตัวตามกติกา ท่านกรรมการเมาเหล้าหรืออย่างไรจึงไม่เห็น
เห็นน่ะเห็นอยู่ แต่คู่มือการตรวจสอบและประเมินสถานศึกษาที่คณะกรรมการข้าราชการครูกำหนดไว้ ในอีกหัวข้อหนึ่งในเรื่องผลงานที่สมควรได้รับการยกย่องของสถานศึกษาซึ่ง กำหนดว่า ต้องจัดกิจกรรม อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ปีการศึกษาย้อนหลังติดต่อกัน
ซึ่งคณะกรรมการประเมินท่านนำมาบังคับใช้กับการเสนอ ผลงานการได้รับรางวัลด้านวิชาการ คุณธรรมฯ ดังว่าด้วยว่าต้องสามปีติดต่อกัน
เมื่อท่านอาจารย์ใหญ่เสนอมาแบบฟันหลอจึงแห้วด้วยประการฉะนี้แล
ก็ต้องข้องใจกับการแปลไทยเป็นไทยของท่านเพราะการเสนอ ผลงานการได้รับรางวัลด้านวิชาการ คุณธรรมฯ กติกาใช้คำว่า “ไม่น้อย กว่าสามปีย้อนหลัง”
จึงต้องฟ้องต่อศาลปกครองเพราะอุทธรณ์โต้แย้งท่านก็แปลความเหมือนเดิม
มีคำอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าคณะกรรมการข้าราชการครูแปลอย่างนี้เป็นแนวทางปฏิบัติมานานแล้ว
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา ให้เพิกถอนคำสั่ง ของคณะกรรมการครูผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ที่ไม่อนุมัติให้ปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งของผู้ฟ้องคดีจากอาจารย์ใหญ่เป็น ผู้อำนวยการโรงเรียน
และให้คณะกรรมการผู้ประเมินผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ ประเมินและให้คะแนนหัวข้อดังกล่าวใหม่ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำพิพากษา
คณะกรรมการครูผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กำหนดหลักเกณฑ์การให้คะแนนและตัวชี้วัดระดับคุณภาพของงานแต่ละด้านไว้โดย ชัดเจนแล้ว
จึงต้องพิจารณาประเมินระดับคุณภาพจากหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กำหนดเท่านั้น
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ นำตัวชี้วัดผลงานที่กำหนดว่าต้องมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ น้อยกว่าสามปีการศึกษาย้อนหลังติดต่อกันมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาผลงานที่ ผู้ฟ้องคดีเสนอในหัวข้อคุณภาพนักเรียนซึ่งเป็นอีกหัวข้อหนึ่ง
แล้วแปลความว่าผลงานดังกล่าวจะต้องเป็นผลงานที่ได้รับย้อนหลัง ๓ ปีการศึกษาติดต่อกันตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๓ ด้วยทั้งที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้
กรณีจึงเป็นการแปลความในทางขยายความอันเป็นการจำกัดสิทธิของผู้บริหารสถาน ศึกษาที่เสนอขอปรับปรุงตำแหน่งและเป็นการขัดกับหลักเกณฑ์ที่กำหนด
เพราะแม้แต่ตัวชี้วัดของหัวข้อผลงานดังกล่าวก็กำหนดแต่เพียงว่าเป็นเวลาไม่ น้อยกว่าสามปีย้อนหลังเท่านั้น ไม่จำกัดว่าต้องเป็นผลงานปีการศึกษา ๒๕๔๑-๒๕๔๓ ตามที่คณะกรรมการแปลความแต่อย่างใด
คำสั่งไม่อนุมัติ ให้ผู้ฟ้องคดีได้รับการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งดังกล่าวตามรายงานของผู้ถูก ฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๒๘๓/ ๒๕๔๙)
กล่าวได้ว่าในการแปลความของผู้ถูกฟ้องคดีมีการดำน้ำเกิดขึ้นจริง.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim @ yahoo.com
ที่มา: แปลความ กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2553
=-=-=-=-
ถ้าตีความ มันก็ต้องเจ็บใช่มั๊ยเจ้าค่ะ ระหว่างคนถูกตี กับ คนตี ใครเจ็บกว่าใครหน๊อ
แปลอังกฤษมันยากอีตรงจำศัพท์ไม่ได้ แต่ยังไง ๆ เดี๋ยวก็ดำน้ำไปจบเอาดื้อ ๆ จนได้
ส่วนแปลไทยเป็นไทยผิดเมื่อไร อาจเป็นเรื่องทำให้เสียสิทธิเกิดความเสียหายขึ้นได้
มีเหตุถึงโรงถึงศาลเป็นคดีปกครองกันหลายคดี
บ้านเมืองเราถ้าเป็นเรื่องทางกฎหมายท่านว่าเป็นการตีความ หลายเรื่อง ตี ๆ กันไปแล้วก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังต้องตีกันเองต่อไป
แต่คดีนี้เป็นระดับเรื่องกฎกติกาทางการบริหารของหน่วยงานทางปกครอง ท่านใช้คำว่าแปลความ
จะแปลความหรือตีความถ้าเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันเมื่อไร ก็เป็นเรื่องแหละโยม
อาจารย์ใหญ่สังกัดสำนักงานประถมศึกษาอำเภอแห่งหนึ่งเสนอขอปรับปรุงการกำหนด ตำแหน่งจากอาจารย์ใหญ่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนประจำปีการศึกษา ๒๕๔๔
ได้ขยับเป็นซีแปด ซีเก้ากับเขาบ้าง
มีท่านผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน และผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคของจังหวัดเป็น คณะกรรมการตรวจสอบปริมาณงานสภาพของงานและประเมินคุณภาพของสถานศึกษา
คณะกรรมการชุดนี้ทำหน้าที่ประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการซึ่งคณะกรรมการข้า ราชการครูเป็นผู้กำหนดเพื่อรายงานผลการประเมินต่อคณะกรรมการข้าราชการครู
อะไร ๆ ก็ดีหมด แต่ในหัวข้อการได้รับรางวัลด้านวิชาการ คุณธรรม และจริยธรรมที่ผู้บริหารโรงเรียนได้รับ
ท่านกำหนดเวลาการได้รับรางวัลไม่น้อยกว่าสามปีย้อนหลัง
ท่านอาจารย์ใหญ่ผู้ขอประเมินรับประทานไข่เต็ม ๆ ได้คะแนน ๐ คะแนน
กินไข่ก็ประเมินไม่ผ่านนะซี
ทั้งที่เสนอผลงานที่ได้รับรางวัล ในปี ๒๕๒๘ ปี ๒๕๓๒ ปี ๒๕๓๕ ปี ๒๕๓๖ ปี ๒๕๓๗ และปี ๒๕๔๑ หนึ่งเท่าตัวตามกติกา ท่านกรรมการเมาเหล้าหรืออย่างไรจึงไม่เห็น
เห็นน่ะเห็นอยู่ แต่คู่มือการตรวจสอบและประเมินสถานศึกษาที่คณะกรรมการข้าราชการครูกำหนดไว้ ในอีกหัวข้อหนึ่งในเรื่องผลงานที่สมควรได้รับการยกย่องของสถานศึกษาซึ่ง กำหนดว่า ต้องจัดกิจกรรม อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ปีการศึกษาย้อนหลังติดต่อกัน
ซึ่งคณะกรรมการประเมินท่านนำมาบังคับใช้กับการเสนอ ผลงานการได้รับรางวัลด้านวิชาการ คุณธรรมฯ ดังว่าด้วยว่าต้องสามปีติดต่อกัน
เมื่อท่านอาจารย์ใหญ่เสนอมาแบบฟันหลอจึงแห้วด้วยประการฉะนี้แล
ก็ต้องข้องใจกับการแปลไทยเป็นไทยของท่านเพราะการเสนอ ผลงานการได้รับรางวัลด้านวิชาการ คุณธรรมฯ กติกาใช้คำว่า “ไม่น้อย กว่าสามปีย้อนหลัง”
จึงต้องฟ้องต่อศาลปกครองเพราะอุทธรณ์โต้แย้งท่านก็แปลความเหมือนเดิม
มีคำอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าคณะกรรมการข้าราชการครูแปลอย่างนี้เป็นแนวทางปฏิบัติมานานแล้ว
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา ให้เพิกถอนคำสั่ง ของคณะกรรมการครูผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ที่ไม่อนุมัติให้ปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งของผู้ฟ้องคดีจากอาจารย์ใหญ่เป็น ผู้อำนวยการโรงเรียน
และให้คณะกรรมการผู้ประเมินผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ ประเมินและให้คะแนนหัวข้อดังกล่าวใหม่ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำพิพากษา
คณะกรรมการครูผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กำหนดหลักเกณฑ์การให้คะแนนและตัวชี้วัดระดับคุณภาพของงานแต่ละด้านไว้โดย ชัดเจนแล้ว
จึงต้องพิจารณาประเมินระดับคุณภาพจากหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กำหนดเท่านั้น
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ นำตัวชี้วัดผลงานที่กำหนดว่าต้องมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ น้อยกว่าสามปีการศึกษาย้อนหลังติดต่อกันมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาผลงานที่ ผู้ฟ้องคดีเสนอในหัวข้อคุณภาพนักเรียนซึ่งเป็นอีกหัวข้อหนึ่ง
แล้วแปลความว่าผลงานดังกล่าวจะต้องเป็นผลงานที่ได้รับย้อนหลัง ๓ ปีการศึกษาติดต่อกันตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๓ ด้วยทั้งที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้
กรณีจึงเป็นการแปลความในทางขยายความอันเป็นการจำกัดสิทธิของผู้บริหารสถาน ศึกษาที่เสนอขอปรับปรุงตำแหน่งและเป็นการขัดกับหลักเกณฑ์ที่กำหนด
เพราะแม้แต่ตัวชี้วัดของหัวข้อผลงานดังกล่าวก็กำหนดแต่เพียงว่าเป็นเวลาไม่ น้อยกว่าสามปีย้อนหลังเท่านั้น ไม่จำกัดว่าต้องเป็นผลงานปีการศึกษา ๒๕๔๑-๒๕๔๓ ตามที่คณะกรรมการแปลความแต่อย่างใด
คำสั่งไม่อนุมัติ ให้ผู้ฟ้องคดีได้รับการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งดังกล่าวตามรายงานของผู้ถูก ฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๒๘๓/ ๒๕๔๙)
กล่าวได้ว่าในการแปลความของผู้ถูกฟ้องคดีมีการดำน้ำเกิดขึ้นจริง.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim @ yahoo.com
ที่มา: แปลความ กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2553
=-=-=-=-
ถ้าตีความ มันก็ต้องเจ็บใช่มั๊ยเจ้าค่ะ ระหว่างคนถูกตี กับ คนตี ใครเจ็บกว่าใครหน๊อ
ร่วมรับผิดใช้เงิน: ยักยอกเงินหลวง
“...ผู้พิพากษาถ้าไม่มีตัวกูของกูแล้วจะเป็นกลาง ทำงานเหมือนเทวดา ไม่มีตัว ไม่ใช่นาย ก. นาย ข. แต่เป็นเทวดาในการพิจารณาคดี แต่บางทีก็มีมารมาผจญ ผมเองก็เคยถูกผจญเหมือนกัน ถูกเข้าแล้วก็คิดว่าเป็นอย่างไรก็เป็นไป ถึงจะต้องออกก็ต้องออก เมื่อเราเห็นอย่างนี้ว่ายุติธรรมแม้จะกระทบกับการเมือง เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ...” ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ จาก ภยาคติ จิตประภัสสรของผู้พิพากษา โดยสำนักพิมพ์วิญญูชน
เสาร์ที่แล้วกราบเรียนท่านผู้อ่านในประเด็นของคดีกรณี ความเห็นของกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลางที่ให้ผู้ที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อทางราชการ
ว่าไม่เป็นคำสั่งทางปกครอง ฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนไม่ได้
แต่เป็น รูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ ที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น
การกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ดังกล่าว เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตาม มาตรา ๙ (๑) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
เป็นคดีพิพาทฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้
แน่ะ มันยุ่งขิงยังงี้แหละขอรับพระเดชพระคุณท่านที่เคารพ
ที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)แห่งหนึ่งข้าราชการกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันแซด
ที่เมาท์กันสนั่นเมืองก็เนื่องจาก หัวหน้าส่วนการคลังยักยอกเงินหลวงไปเกือบห้าล้าน
ของหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แต่สามท่านดังกล่าวต่อไปนี้กำลังมอดไหม้ตามคำสั่งของ อบต.ที่ให้ชำระเงิน
รายแรก กรรมการบริหาร อบต.ในฐานะกรรมการเก็บรักษาเงิน รับผิดไปหนึ่งส่วนจากยอดความเสียหายเก้าส่วน ห้าแสนกว่า ๆ
รายที่สองท่านประธานกรรมการบริหาร อบต.ในฐานะผู้บังคับบัญชาแล้วเป็นกรรมการถอนเงินด้วย เอาไปสามส่วน ล้านห้าแสนเศษ จัดให้
ท่านสุดท้ายคุณปลัด อบต.จะไปไหน เป็นเยอะเหลือเกินนี่ เป็นผู้ บังคับบัญชา กรรมการรับส่งเงิน กรรมการเก็บรักษาเงิน กรรมการตรวจสอบเงินสดและหลักฐานตัวเงินต่าง ๆ
จัดให้ ห้าส่วน สองล้านห้าแสนเศษ
การทั้งหมดนี้ได้ผ่านกระบวนการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดโดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจากอำเภอซึ่งได้ส่งความเห็นและรายงานการสอบสวนให้กระทรวงการคลังแล้วด้วยนะ
นายอำเภอจึงออกคำสั่งให้ อบต.สั่งให้มีการชดใช้เงินดังกล่าวด้วยเหตุนี้แล
จะกล่าวถึงฝ่ายที่ถูกสั่งให้จ่ายเงินบ้างตามประสาอกเขา อกเรา เป็นใครจะยอมง่าย ๆ หลายตังค์นะเฟ้ย
เรื่องนี้คนทำผิดยักยอกเงินมีคนเดียวโด่เด่ ได้แก้ไขรายการในเช็คเบิกจ่ายหรือใบถอนเงินโดยเพิ่มยอดเงินหน้าตัวเลขที่แท้จริงภายหลังท่านประธานกรรมการบริหารลงลายมือชื่อแล้ว คนอื่นไม่มีส่วนรู้เห็นหรือมีส่วนร่วม
ไฉนจึงมายกเข่งเช่นนี้เล่า
ผู้กระทำผิดมีทรัพย์สินพอที่จะขายทอดตลาดนำเงินมาชำระชดใช้ความเสียหายได้ ผู้ถูกหวยทั้งสามได้ระมัดระวังตามหน้าที่แล้วมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด จะมารับผิดด้วยเหตุใดเล่า
อ้าวเฮ้ย แล้วได้ฟังมาว่าที่อำเภอส่งสำนวนการสอบสวนให้กระทรวงการคลังตรวจสอบนั่น ปรากฏว่ากรมบัญชีกลางมีหนังสือถึงอำเภอขอทราบ รายละเอียดและหลักฐานเพิ่มเติม อำเภอยังมิได้ทำอะไรกลับด่วนออกคำสั่งให้ใช้เงินมาที่ อบต.มาดังกล่าว อะไรจะงกปานนั้น
อธิบายกันด้วยความดังนี้ ก็หามีผู้ใดฟังไม่ ประหนึ่งนั่งปรับทุกข์กันเอง จึงต้องนำเหตุและผลทั้งหมดนั่นฟ้อง อบต.ของตนต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้เงิน
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา ให้เพิกถอนคำสั่ง เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ
อบต.ผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ก่อนที่หน่วยงานของรัฐที่เสียหายจะทำคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ชำระค่าสินไหมทด แทนตามมาตรา ๑๒ แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
จะต้องส่งสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไปให้กระทรวงการคลังเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
การรับฟังความเห็นของกระทรวงการคลังจึงเป็นขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระ สำคัญที่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กำหนดไว้ให้ต้องดำเนินการ ก่อนที่จะมีคำสั่งทางปกครองเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา ๑๒ ดังกล่าว
การออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปโดยไม่ดำเนิน การชี้แจงและส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังเพื่อประกอบการ พิจารณาให้ความเห็นทั้งที่มีระยะเวลาเพียงพอที่จะดำเนินการ แต่กลับรอให้ระยะเวลาล่วงเลยไป
แล้วอาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวออกคำสั่งตามคำวินิจฉัย ของนายอำเภอในฐานะผู้กำกับดูแล จึงเป็น การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน การฟังความเห็นของกระทรวงการคลังตามข้อ ๑๗ และ ๑๘ ของระเบียบดังกล่าว
คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจาก ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ ที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น
พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๖๖-๓๗๗/๒๕๔๙)
ท่านนายอำเภอใจร้อนไปหน่อย เดี๋ยวก็โดนรับผิดเสียเองหรอก.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ร่วมรับผิดใช้เงิน:ยักยอกเงินหลวง กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 03 เมษายน 2553
======
พวกราชการชอบทำงานชักช้า มีขั้นตอนมากจนต้องมีใต้โต๊ะ ทำให้หลวงเสียหายมามากต่อมากแย้ว อิอิ สงสารประเทศไทยจัง
เสาร์ที่แล้วกราบเรียนท่านผู้อ่านในประเด็นของคดีกรณี ความเห็นของกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลางที่ให้ผู้ที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อทางราชการ
ว่าไม่เป็นคำสั่งทางปกครอง ฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนไม่ได้
แต่เป็น รูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ ที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น
การกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ดังกล่าว เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตาม มาตรา ๙ (๑) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
เป็นคดีพิพาทฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้
แน่ะ มันยุ่งขิงยังงี้แหละขอรับพระเดชพระคุณท่านที่เคารพ
ที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)แห่งหนึ่งข้าราชการกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันแซด
ที่เมาท์กันสนั่นเมืองก็เนื่องจาก หัวหน้าส่วนการคลังยักยอกเงินหลวงไปเกือบห้าล้าน
ของหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แต่สามท่านดังกล่าวต่อไปนี้กำลังมอดไหม้ตามคำสั่งของ อบต.ที่ให้ชำระเงิน
รายแรก กรรมการบริหาร อบต.ในฐานะกรรมการเก็บรักษาเงิน รับผิดไปหนึ่งส่วนจากยอดความเสียหายเก้าส่วน ห้าแสนกว่า ๆ
รายที่สองท่านประธานกรรมการบริหาร อบต.ในฐานะผู้บังคับบัญชาแล้วเป็นกรรมการถอนเงินด้วย เอาไปสามส่วน ล้านห้าแสนเศษ จัดให้
ท่านสุดท้ายคุณปลัด อบต.จะไปไหน เป็นเยอะเหลือเกินนี่ เป็นผู้ บังคับบัญชา กรรมการรับส่งเงิน กรรมการเก็บรักษาเงิน กรรมการตรวจสอบเงินสดและหลักฐานตัวเงินต่าง ๆ
จัดให้ ห้าส่วน สองล้านห้าแสนเศษ
การทั้งหมดนี้ได้ผ่านกระบวนการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดโดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจากอำเภอซึ่งได้ส่งความเห็นและรายงานการสอบสวนให้กระทรวงการคลังแล้วด้วยนะ
นายอำเภอจึงออกคำสั่งให้ อบต.สั่งให้มีการชดใช้เงินดังกล่าวด้วยเหตุนี้แล
จะกล่าวถึงฝ่ายที่ถูกสั่งให้จ่ายเงินบ้างตามประสาอกเขา อกเรา เป็นใครจะยอมง่าย ๆ หลายตังค์นะเฟ้ย
เรื่องนี้คนทำผิดยักยอกเงินมีคนเดียวโด่เด่ ได้แก้ไขรายการในเช็คเบิกจ่ายหรือใบถอนเงินโดยเพิ่มยอดเงินหน้าตัวเลขที่แท้จริงภายหลังท่านประธานกรรมการบริหารลงลายมือชื่อแล้ว คนอื่นไม่มีส่วนรู้เห็นหรือมีส่วนร่วม
ไฉนจึงมายกเข่งเช่นนี้เล่า
ผู้กระทำผิดมีทรัพย์สินพอที่จะขายทอดตลาดนำเงินมาชำระชดใช้ความเสียหายได้ ผู้ถูกหวยทั้งสามได้ระมัดระวังตามหน้าที่แล้วมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด จะมารับผิดด้วยเหตุใดเล่า
อ้าวเฮ้ย แล้วได้ฟังมาว่าที่อำเภอส่งสำนวนการสอบสวนให้กระทรวงการคลังตรวจสอบนั่น ปรากฏว่ากรมบัญชีกลางมีหนังสือถึงอำเภอขอทราบ รายละเอียดและหลักฐานเพิ่มเติม อำเภอยังมิได้ทำอะไรกลับด่วนออกคำสั่งให้ใช้เงินมาที่ อบต.มาดังกล่าว อะไรจะงกปานนั้น
อธิบายกันด้วยความดังนี้ ก็หามีผู้ใดฟังไม่ ประหนึ่งนั่งปรับทุกข์กันเอง จึงต้องนำเหตุและผลทั้งหมดนั่นฟ้อง อบต.ของตนต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้เงิน
ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา ให้เพิกถอนคำสั่ง เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ
อบต.ผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ก่อนที่หน่วยงานของรัฐที่เสียหายจะทำคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ชำระค่าสินไหมทด แทนตามมาตรา ๑๒ แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
จะต้องส่งสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไปให้กระทรวงการคลังเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
การรับฟังความเห็นของกระทรวงการคลังจึงเป็นขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระ สำคัญที่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กำหนดไว้ให้ต้องดำเนินการ ก่อนที่จะมีคำสั่งทางปกครองเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา ๑๒ ดังกล่าว
การออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปโดยไม่ดำเนิน การชี้แจงและส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังเพื่อประกอบการ พิจารณาให้ความเห็นทั้งที่มีระยะเวลาเพียงพอที่จะดำเนินการ แต่กลับรอให้ระยะเวลาล่วงเลยไป
แล้วอาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวออกคำสั่งตามคำวินิจฉัย ของนายอำเภอในฐานะผู้กำกับดูแล จึงเป็น การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน การฟังความเห็นของกระทรวงการคลังตามข้อ ๑๗ และ ๑๘ ของระเบียบดังกล่าว
คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจาก ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ ที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น
พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๖๖-๓๗๗/๒๕๔๙)
ท่านนายอำเภอใจร้อนไปหน่อย เดี๋ยวก็โดนรับผิดเสียเองหรอก.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ร่วมรับผิดใช้เงิน:ยักยอกเงินหลวง กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 03 เมษายน 2553
======
พวกราชการชอบทำงานชักช้า มีขั้นตอนมากจนต้องมีใต้โต๊ะ ทำให้หลวงเสียหายมามากต่อมากแย้ว อิอิ สงสารประเทศไทยจัง
Thursday, June 10, 2010
ชอบเล่นปืน
ปืนกับพระเครื่องว่ากันว่ามีแต่ราคามูลค่าที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ดีกว่าหุ้น ดีกว่าทองคำ
พระเครื่องยิ่งเก่ายิ่งมีราคา อาวุธปืนยิ่งมีราคาแพงขึ้นตลอดเวลา
ปืนแพงเพราะทางการควบคุมจำนวนอย่างเคร่งครัด จำกัดโควตา ขอมีปืนสักกระบอกกับนายทะเบียนสมัยนี้ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่าขออนุญาตมีเมีย สองคนพร้อมกัน
หลบเลี่ยงไปซื้อปืนสวัสดิการของมหาดไทยบ้าง ตำรวจบ้าง ก็เจอเงื่อนไขสารพัด
ปืนพกสั้นราคาสองสามหมื่นเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน วันนี้ห้าหมื่น อัพ ของเก่าก็ประมาณนั้น
ไปขอใบอนุญาตจากนายทะเบียนอาวุธปืนสมัยนี้ท่านก็แสนจู้จี้จุกจิกยังกะคนแก่วัยเลือดจะไปลมจะมา
แต่ก็นั่นแหละพูดถึงนักเลงพระเครื่อง นักเลงปืน แพงและยากยังไงก็ต้องหามาสะสมให้ได้
พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ บัญญัติหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนว่า ให้ออกแก่บุคคลสำหรับใช้ในการป้องกันตัวหรือทรัพย์สิน หรือในกีฬาหรือยิงสัตว์
ส่วนจะมีสักกี่กระบอกมี หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท ๐๕๐๑/ว ๘๘๖ ลงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๑ กำหนดว่าบุคคลควรมีอาวุธปืนได้เพียงคนละ ๒ กระบอก
ท่านนายอำเภอกำลังดูกฎหมายและระเบียบดังกล่าวอย่างหนักเนื่องจากเจ้าหน้าที่ ยื่นเรื่องคำร้องขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืนขนาด .๔๐ นิ้วของผู้ยื่นคำขอรายหนึ่ง
ต้องเปิดตำรากฎหมายกันพัลวันเพราะนอกจากเป็นปืนรุ่นใหม่ล่าสุดแล้ว ผู้ขอรายนี้ยังมีอาวุธปืนอยู่ในครอบครองถึง ๑๕ กระบอก
ปกติจะพิจารณาอนุญาตให้บุคคลทั่วไปมีปืนยาว ๑ กระบอก ปืนสั้น ๑ กระบอกเท่านั้น
และจะพิจารณาให้เฉพาะผู้ที่มีเหตุผลและความจำเป็นไม่เกินขนาด .๓๘ นิ้ว
อันนี้เล่นขนาด .๔๐ นิ้วเชียวเรอะ
จึงสั่งไม่อนุญาตตามคำร้องดังกล่าว
แหม แค่อีกกระบอกเดียวสิริรวมแล้วสิบหกกระบอกเท่านั้นเอง คิดเล็กคิดน้อยไปได้ท่าน ผู้ยื่นคำขอจึงอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งไม่อนุญาต ว่าปืนรุ่นนี้เป็นรุ่นใหม่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการกีฬาและการแข่งขันโดยเฉพาะ เท่านั้น
ก็คนมันรักปืนนะ จะเข้าใจบ้างมั้ยนี่
ท่านนายอำเภอยังไงก็ไม่อนุญาต รุ่นน้องที่โรงเรียนนายอำเภอกำลังพัลวันพัลเกอยู่กับ ป.ป.ช.เห็น ๆ
ต้องฟ้องต่อศาลปกครองขอให้นายอำเภอออกใบอนุญาตซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (ป.๓) มาให้เสียโดยดี
ไม่ได้ขอพี่เอ็ม ๗๙ ที่กำลังนิยมสักหน่อยทำเป็นหวงไปได้
ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งปฏิเสธไม่ออกใบอนุญาต ให้มีและใช้อาวุธปืนให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า ดุลพินิจในการจำกัดจำนวนอาวุธปืนของนายทะเบียนทั้งที่ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ไม่ได้กำหนดจำนวนอาวุธปืนที่ประชาชนครอบครองได้ไว้จึงขัดต่อมาตรา ๓๐ แห่ง รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ (ขณะนั้น)
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ฝ่ายปกครองกระทำการใด ๆ ที่อาจมีผลกระทบสิทธิเสรีภาพ หรือประโยชน์อันชอบธรรมของเอกชนได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจและจะต้องกระทำ การดังกล่าวในกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น
ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นนายทะเบียนท้องที่ประจำอำเภอมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณา เพื่อออกใบอนุญาตให้บุคคลมีและใช้อาวุธปืน ตามมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ
อีกทั้งมาตรา ๙ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติเดียวกันกำหนด ให้ออกแก่บุคคลสำหรับใช้ป้องกันตัวหรือทรัพย์สินหรือในการกีฬาหรือ ยิงสัตว์
เมื่อผู้ฟ้องคดียื่นคำขอมีและใช้อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ .๔๐ นิ้วโดยแจ้งว่าเพื่อป้องกันตัวและทรัพย์สินและเพื่อใช้สำหรับการกีฬา ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีเห็นว่าผู้ฟ้องคดีมีอาวุธปืนอยู่ในครอบครองแล้ว ๑๕ กระบอก จึงน่าจะเพียงพอแล้วตามหนังสือกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวจึงมีคำสั่งไม่อนุญาต
หนังสือกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ออกโดยหน่วยงานที่กำกับดูแล เป็นการวางแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเป็นแบบ เดียวกันทุกจังหวัด จึงมิได้เป็นการเลือกปฏิบัติ
อีกทั้ง พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่งประกอบกับมาตรา ๑๓ กำหนดให้บุคคลมีและใช้อาวุธได้เท่าที่จำเป็น การที่ผู้ฟ้องคดีมีอาวุธปืนรวมอยู่แล้ว ๑๕ กระบอกในขณะที่ยื่นคำร้องเห็นว่าเพียงพอกับกรณีแห่งความจำเป็นในการป้องกัน ตัวหรือทรัพย์สิน หรือในการกีฬาหรือยิงสัตว์
หนังสือกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวข้างต้นเป็น กฎมีผลบังคับเป็นการทั่วไปเพื่อให้นายทะเบียนยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการ พิจารณา ไม่ได้วางหลักเกณฑ์เพื่อมาจำกัดสิทธิบุคคล จึงไม่ขัดกับมาตรา ๓๐ แห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าว
พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๑๖/๒๕๕๐)
ใช้สิ่งเทียมอาวุธปืนรุ่นใหม่จำพวก อุจจาระ ปลาร้า ปลาแดก ไข่ไก่ แก้ขัดไปก่อน
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ชอบเล่นปืน กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 08 พฤษภาคม 2553
-=-=-=-
ลืมนับกระบอกติดตัวอีกอันนึงอ๊ะเปล่าครับท่าน อิอิ
ดีกว่าหุ้น ดีกว่าทองคำ
พระเครื่องยิ่งเก่ายิ่งมีราคา อาวุธปืนยิ่งมีราคาแพงขึ้นตลอดเวลา
ปืนแพงเพราะทางการควบคุมจำนวนอย่างเคร่งครัด จำกัดโควตา ขอมีปืนสักกระบอกกับนายทะเบียนสมัยนี้ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่าขออนุญาตมีเมีย สองคนพร้อมกัน
หลบเลี่ยงไปซื้อปืนสวัสดิการของมหาดไทยบ้าง ตำรวจบ้าง ก็เจอเงื่อนไขสารพัด
ปืนพกสั้นราคาสองสามหมื่นเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน วันนี้ห้าหมื่น อัพ ของเก่าก็ประมาณนั้น
ไปขอใบอนุญาตจากนายทะเบียนอาวุธปืนสมัยนี้ท่านก็แสนจู้จี้จุกจิกยังกะคนแก่วัยเลือดจะไปลมจะมา
แต่ก็นั่นแหละพูดถึงนักเลงพระเครื่อง นักเลงปืน แพงและยากยังไงก็ต้องหามาสะสมให้ได้
พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ บัญญัติหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนว่า ให้ออกแก่บุคคลสำหรับใช้ในการป้องกันตัวหรือทรัพย์สิน หรือในกีฬาหรือยิงสัตว์
ส่วนจะมีสักกี่กระบอกมี หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท ๐๕๐๑/ว ๘๘๖ ลงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๑ กำหนดว่าบุคคลควรมีอาวุธปืนได้เพียงคนละ ๒ กระบอก
ท่านนายอำเภอกำลังดูกฎหมายและระเบียบดังกล่าวอย่างหนักเนื่องจากเจ้าหน้าที่ ยื่นเรื่องคำร้องขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืนขนาด .๔๐ นิ้วของผู้ยื่นคำขอรายหนึ่ง
ต้องเปิดตำรากฎหมายกันพัลวันเพราะนอกจากเป็นปืนรุ่นใหม่ล่าสุดแล้ว ผู้ขอรายนี้ยังมีอาวุธปืนอยู่ในครอบครองถึง ๑๕ กระบอก
ปกติจะพิจารณาอนุญาตให้บุคคลทั่วไปมีปืนยาว ๑ กระบอก ปืนสั้น ๑ กระบอกเท่านั้น
และจะพิจารณาให้เฉพาะผู้ที่มีเหตุผลและความจำเป็นไม่เกินขนาด .๓๘ นิ้ว
อันนี้เล่นขนาด .๔๐ นิ้วเชียวเรอะ
จึงสั่งไม่อนุญาตตามคำร้องดังกล่าว
แหม แค่อีกกระบอกเดียวสิริรวมแล้วสิบหกกระบอกเท่านั้นเอง คิดเล็กคิดน้อยไปได้ท่าน ผู้ยื่นคำขอจึงอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งไม่อนุญาต ว่าปืนรุ่นนี้เป็นรุ่นใหม่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการกีฬาและการแข่งขันโดยเฉพาะ เท่านั้น
ก็คนมันรักปืนนะ จะเข้าใจบ้างมั้ยนี่
ท่านนายอำเภอยังไงก็ไม่อนุญาต รุ่นน้องที่โรงเรียนนายอำเภอกำลังพัลวันพัลเกอยู่กับ ป.ป.ช.เห็น ๆ
ต้องฟ้องต่อศาลปกครองขอให้นายอำเภอออกใบอนุญาตซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (ป.๓) มาให้เสียโดยดี
ไม่ได้ขอพี่เอ็ม ๗๙ ที่กำลังนิยมสักหน่อยทำเป็นหวงไปได้
ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งปฏิเสธไม่ออกใบอนุญาต ให้มีและใช้อาวุธปืนให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า ดุลพินิจในการจำกัดจำนวนอาวุธปืนของนายทะเบียนทั้งที่ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ไม่ได้กำหนดจำนวนอาวุธปืนที่ประชาชนครอบครองได้ไว้จึงขัดต่อมาตรา ๓๐ แห่ง รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ (ขณะนั้น)
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ฝ่ายปกครองกระทำการใด ๆ ที่อาจมีผลกระทบสิทธิเสรีภาพ หรือประโยชน์อันชอบธรรมของเอกชนได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจและจะต้องกระทำ การดังกล่าวในกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น
ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นนายทะเบียนท้องที่ประจำอำเภอมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณา เพื่อออกใบอนุญาตให้บุคคลมีและใช้อาวุธปืน ตามมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ
อีกทั้งมาตรา ๙ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติเดียวกันกำหนด ให้ออกแก่บุคคลสำหรับใช้ป้องกันตัวหรือทรัพย์สินหรือในการกีฬาหรือ ยิงสัตว์
เมื่อผู้ฟ้องคดียื่นคำขอมีและใช้อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ .๔๐ นิ้วโดยแจ้งว่าเพื่อป้องกันตัวและทรัพย์สินและเพื่อใช้สำหรับการกีฬา ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีเห็นว่าผู้ฟ้องคดีมีอาวุธปืนอยู่ในครอบครองแล้ว ๑๕ กระบอก จึงน่าจะเพียงพอแล้วตามหนังสือกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวจึงมีคำสั่งไม่อนุญาต
หนังสือกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ออกโดยหน่วยงานที่กำกับดูแล เป็นการวางแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเป็นแบบ เดียวกันทุกจังหวัด จึงมิได้เป็นการเลือกปฏิบัติ
อีกทั้ง พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่งประกอบกับมาตรา ๑๓ กำหนดให้บุคคลมีและใช้อาวุธได้เท่าที่จำเป็น การที่ผู้ฟ้องคดีมีอาวุธปืนรวมอยู่แล้ว ๑๕ กระบอกในขณะที่ยื่นคำร้องเห็นว่าเพียงพอกับกรณีแห่งความจำเป็นในการป้องกัน ตัวหรือทรัพย์สิน หรือในการกีฬาหรือยิงสัตว์
หนังสือกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวข้างต้นเป็น กฎมีผลบังคับเป็นการทั่วไปเพื่อให้นายทะเบียนยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการ พิจารณา ไม่ได้วางหลักเกณฑ์เพื่อมาจำกัดสิทธิบุคคล จึงไม่ขัดกับมาตรา ๓๐ แห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าว
พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๑๖/๒๕๕๐)
ใช้สิ่งเทียมอาวุธปืนรุ่นใหม่จำพวก อุจจาระ ปลาร้า ปลาแดก ไข่ไก่ แก้ขัดไปก่อน
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ชอบเล่นปืน กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 08 พฤษภาคม 2553
-=-=-=-
ลืมนับกระบอกติดตัวอีกอันนึงอ๊ะเปล่าครับท่าน อิอิ
ประเมินผลงานไม่ผ่าน (รศ.)
ได้มีโอกาสรับฟังการสนทนาของผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการศึกษาเรื่องการจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโท ปริญญาเอกสมัยนี้
หลายเรื่องฟังแล้วสะดุ้ง ต้องเอามานินทาให้ท่านผู้อ่านฟังต่อประสาคนรักชอบกัน
ท่านว่า หลักสูตรปริญญาโทสมัยนี้เปิดสอนกันทุกแห่ง ไม่ว่ามหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ตั้งมานาน หรือเพิ่งเปิดสด ๆ ร้อน ๆ ชนิดยังจำชื่อตัวเองไม่ได้
เปิดมากเป็นร้อยแห่งนะครับท่าน การแข่งขันเพื่อหาลูกค้ามาเรียนจึงดุเดือดเลือดพล่าน
กลยุทธ์ในการทำตลาดหาลูกค้าไม่เป็นรองธุรกิจใหญ่ ๆ อย่างตลาดเบียร์ ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง
ทหารม้าเขามีสโลแกน รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด ส่วนที่ได้ฟังมาอย่าบอกใครต่อเชียวนะท่าน เขาว่า น้อย สั้น แน่นอน
เรียนน้อย ใช้เวลาสั้น จ่ายค่าเรียนครบจบแน่ คาดว่าต่อไปอาจมีหลักสูตรสองสามเดือนจบเป็นมหาบัณฑิตแบบเบ็ดเสร็จ
ที่ตื่นเต้นเร้าใจมีการขายแบรนด์มหาวิทยาลัยดัง ๆ ไปเปิดตามต่างจังหวัดเก็บค่าเรียนแบ่งเปอร์เซ็นต์กินหัวคิวตามที่ตกลงกัน
มีหลายเรื่องหลากรสฟังเพลิดเพลินน่ากลุ้มใจแทน จึงขอนำมานินทาต่อพอเป็นกระสาย จริงเท็จอยู่ที่ท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ผู้สนทนากัน
นี่เป็นปัญหาหนึ่งของการเรียนการสอนทุกวันนี้ ส่วนที่เป็นปัญหาของครูบาอาจารย์ท่านโดยตรงไม่ต้องแอบนำมานินทา เพราะมีเป็นคดีฟ้องร้องกันที่ศาลปกครองอยู่หลายคดี
ท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ระดับแปด มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ยื่นเรื่องพร้อมแบบประวัติส่วนตัวและผลงานทางวิชาการเพื่อรับการประเมินขอ กำหนดตำแหน่งรองศาสตราจารย์
สภาวิชาการเป็นผู้พิจารณาแล้วรายงาน อ.ก.ม. มหาวิทยาลัยพิจารณาอนุมัติ โดยอธิการบดีเป็นผู้ออกคำสั่งแต่งตั้ง
มีรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการทำหน้าที่เลขานุการสภาวิชาการ และร่วมกับประธานกรรมการประจำสาขาวิชานิติศาสตร์และผู้อำนวยการสำนักวิชาการ เสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิมาทำหน้าที่ประเมินผลงานทางวิชาการของท่านอาจารย์ผู้ เสนอผลงานเพื่อรายงานสภาวิชาการดังกล่าว
ปรากฏว่าคณะผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่าผลงานไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
รองอธิการบดีในฐานะเลขานุการสภาวิชาการแจ้งผลการพิจารณาไปยังประธานกรรมการประจำสาขาวิชานิติศาสตร์เพื่อทราบและแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ
และนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาสภาวิชาการซึ่งปรากฏว่าไม่มีความเห็นเปลี่ยนแปลงความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่ได้กลัวถูกยุบนะเฟ้ย
ตำแหน่งรองศาสตราจารย์จึงเอวังด้วยประการฉะนี้
เอ๊ะ มันแปลก ๆ อยู่นะ เพราะกว่าจะได้รับแจ้งผลการพิจารณาผลงานนานถึงสองเดือน แตกต่างจากผู้ขอรับการประเมินรายอื่นซึ่งใช้การพิจารณาไม่กี่วันหลังจากได้ รับเรื่องจากเจ้าหน้าที่
เมื่อขอทราบรายละเอียดผลการพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีและขอรับสำเนารายละเอียด การพิจารณาอาจารย์รายอื่นที่เสนอเช่นเดียวกันเพื่อประกอบการเขียนอุทธรณ์
ก็ไม่ได้รับแจ้ง ทำหนังสือทวงถามก็แล้ว ยื่นอุทธรณ์ก็แล้ว หามีผลประการใดไม่
ความเสียหายที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองศาสตราจารย์ ต้องเสียโอกาสได้รับค่าตอบแทนทางวิชาการเพิ่มอีกเดือนละเก้าพันเก้าร้อยบาท เสียสิทธิรับเงินเดือนในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ สิทธิในการเหมาจ่ายที่เพิ่มขึ้นที่จะต้องไปปฏิบัติกิจกรรมทั่วประเทศ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่าพาหนะเหมาจ่าย ค่าตอบแทนการสอนเสริม สิริรวมแล้วห้าแสนบาทถ้วน
คิดจำนวนเงินได้ละเอียดยุบยิบเพราะต้องนำมาฟ้องท่านรองอธิการบดีต่อศาล ปกครองเพื่อขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในจำนวนนี้พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่าเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมาย กำหนด มีคำสั่งไม่รับฟ้อง ให้จำหน่ายคดี คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ท่านอธิการบดีเป็นผู้มอบหมายรองอธิการบดีผู้ถูกฟ้องคดีให้ทำหน้าที่กำกับ ดูแลฝ่ายวิชาการ และแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เลขานุการสภาวิชาการ
อันมีอำนาจหน้าที่ตามกระบวนการประเมินผลงานดังได้กล่าวมาแล้ว
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอันเป็นการปฏิบัติ หน้าที่ในฐานะเลขานุการสภาวิชาการในการแจ้งผลการพิจารณาของสภาวิชาการ และไม่อาจเสนอให้ อ.ก.ม. มหาวิทยาลัยอนุมัติให้อธิการบดีมีคำสั่งแต่งตั้งต่อไป
ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ
ส่วนการขอเอกสารทั้งหลายของผู้ฟ้องคดีเป็นกรณีการใช้สิทธิขอสำเนาข้อมูลข่าว สารตามมาตรา ๙ วรรคสามแห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยในฐานะหน่วยงานของรัฐดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ใช่เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอ
ความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับจึงมิใช่ผลของการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือ ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่งแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้
ที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยในผล
มีคำสั่งยืนตาม ไม่รับฟ้องไว้พิจารณา (คำสั่งที่ ๑๙๙/๒๕๕๐).
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ประเมินผลงานไม่ผ่าน กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 01 พฤษภาคม 2553
-=-=-=-
ต้องฟ้อง อธิการในฐานะ ประธาน อ.ก.ม. มั๊ง อิอิ..
หลายเรื่องฟังแล้วสะดุ้ง ต้องเอามานินทาให้ท่านผู้อ่านฟังต่อประสาคนรักชอบกัน
ท่านว่า หลักสูตรปริญญาโทสมัยนี้เปิดสอนกันทุกแห่ง ไม่ว่ามหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ตั้งมานาน หรือเพิ่งเปิดสด ๆ ร้อน ๆ ชนิดยังจำชื่อตัวเองไม่ได้
เปิดมากเป็นร้อยแห่งนะครับท่าน การแข่งขันเพื่อหาลูกค้ามาเรียนจึงดุเดือดเลือดพล่าน
กลยุทธ์ในการทำตลาดหาลูกค้าไม่เป็นรองธุรกิจใหญ่ ๆ อย่างตลาดเบียร์ ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง
ทหารม้าเขามีสโลแกน รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด ส่วนที่ได้ฟังมาอย่าบอกใครต่อเชียวนะท่าน เขาว่า น้อย สั้น แน่นอน
เรียนน้อย ใช้เวลาสั้น จ่ายค่าเรียนครบจบแน่ คาดว่าต่อไปอาจมีหลักสูตรสองสามเดือนจบเป็นมหาบัณฑิตแบบเบ็ดเสร็จ
ที่ตื่นเต้นเร้าใจมีการขายแบรนด์มหาวิทยาลัยดัง ๆ ไปเปิดตามต่างจังหวัดเก็บค่าเรียนแบ่งเปอร์เซ็นต์กินหัวคิวตามที่ตกลงกัน
มีหลายเรื่องหลากรสฟังเพลิดเพลินน่ากลุ้มใจแทน จึงขอนำมานินทาต่อพอเป็นกระสาย จริงเท็จอยู่ที่ท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ผู้สนทนากัน
นี่เป็นปัญหาหนึ่งของการเรียนการสอนทุกวันนี้ ส่วนที่เป็นปัญหาของครูบาอาจารย์ท่านโดยตรงไม่ต้องแอบนำมานินทา เพราะมีเป็นคดีฟ้องร้องกันที่ศาลปกครองอยู่หลายคดี
ท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ระดับแปด มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ยื่นเรื่องพร้อมแบบประวัติส่วนตัวและผลงานทางวิชาการเพื่อรับการประเมินขอ กำหนดตำแหน่งรองศาสตราจารย์
สภาวิชาการเป็นผู้พิจารณาแล้วรายงาน อ.ก.ม. มหาวิทยาลัยพิจารณาอนุมัติ โดยอธิการบดีเป็นผู้ออกคำสั่งแต่งตั้ง
มีรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการทำหน้าที่เลขานุการสภาวิชาการ และร่วมกับประธานกรรมการประจำสาขาวิชานิติศาสตร์และผู้อำนวยการสำนักวิชาการ เสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิมาทำหน้าที่ประเมินผลงานทางวิชาการของท่านอาจารย์ผู้ เสนอผลงานเพื่อรายงานสภาวิชาการดังกล่าว
ปรากฏว่าคณะผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่าผลงานไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
รองอธิการบดีในฐานะเลขานุการสภาวิชาการแจ้งผลการพิจารณาไปยังประธานกรรมการประจำสาขาวิชานิติศาสตร์เพื่อทราบและแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ
และนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาสภาวิชาการซึ่งปรากฏว่าไม่มีความเห็นเปลี่ยนแปลงความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่ได้กลัวถูกยุบนะเฟ้ย
ตำแหน่งรองศาสตราจารย์จึงเอวังด้วยประการฉะนี้
เอ๊ะ มันแปลก ๆ อยู่นะ เพราะกว่าจะได้รับแจ้งผลการพิจารณาผลงานนานถึงสองเดือน แตกต่างจากผู้ขอรับการประเมินรายอื่นซึ่งใช้การพิจารณาไม่กี่วันหลังจากได้ รับเรื่องจากเจ้าหน้าที่
เมื่อขอทราบรายละเอียดผลการพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีและขอรับสำเนารายละเอียด การพิจารณาอาจารย์รายอื่นที่เสนอเช่นเดียวกันเพื่อประกอบการเขียนอุทธรณ์
ก็ไม่ได้รับแจ้ง ทำหนังสือทวงถามก็แล้ว ยื่นอุทธรณ์ก็แล้ว หามีผลประการใดไม่
ความเสียหายที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองศาสตราจารย์ ต้องเสียโอกาสได้รับค่าตอบแทนทางวิชาการเพิ่มอีกเดือนละเก้าพันเก้าร้อยบาท เสียสิทธิรับเงินเดือนในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ สิทธิในการเหมาจ่ายที่เพิ่มขึ้นที่จะต้องไปปฏิบัติกิจกรรมทั่วประเทศ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่าพาหนะเหมาจ่าย ค่าตอบแทนการสอนเสริม สิริรวมแล้วห้าแสนบาทถ้วน
คิดจำนวนเงินได้ละเอียดยุบยิบเพราะต้องนำมาฟ้องท่านรองอธิการบดีต่อศาล ปกครองเพื่อขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในจำนวนนี้พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่าเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมาย กำหนด มีคำสั่งไม่รับฟ้อง ให้จำหน่ายคดี คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ท่านอธิการบดีเป็นผู้มอบหมายรองอธิการบดีผู้ถูกฟ้องคดีให้ทำหน้าที่กำกับ ดูแลฝ่ายวิชาการ และแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เลขานุการสภาวิชาการ
อันมีอำนาจหน้าที่ตามกระบวนการประเมินผลงานดังได้กล่าวมาแล้ว
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอันเป็นการปฏิบัติ หน้าที่ในฐานะเลขานุการสภาวิชาการในการแจ้งผลการพิจารณาของสภาวิชาการ และไม่อาจเสนอให้ อ.ก.ม. มหาวิทยาลัยอนุมัติให้อธิการบดีมีคำสั่งแต่งตั้งต่อไป
ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ
ส่วนการขอเอกสารทั้งหลายของผู้ฟ้องคดีเป็นกรณีการใช้สิทธิขอสำเนาข้อมูลข่าว สารตามมาตรา ๙ วรรคสามแห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยในฐานะหน่วยงานของรัฐดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ใช่เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอ
ความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับจึงมิใช่ผลของการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือ ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่งแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้
ที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยในผล
มีคำสั่งยืนตาม ไม่รับฟ้องไว้พิจารณา (คำสั่งที่ ๑๙๙/๒๕๕๐).
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ประเมินผลงานไม่ผ่าน กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 01 พฤษภาคม 2553
-=-=-=-
ต้องฟ้อง อธิการในฐานะ ประธาน อ.ก.ม. มั๊ง อิอิ..
บกพร่องในศีลธรรม
ในอนาคตเบื้องหน้าจักถึงยุคมิคสัญญี พระพุทธศาสนาเลือนหายไปจากผู้คน
ไม่มีผู้รักษาศีล ไม่มีผู้มีธรรม ผู้คนต่างพากันฉวยอาวุธออกมาประหัตประหารซึ่งกันและกัน ต่างฆ่าฟันกันไม่เลือกหน้าไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องลูกเมียมิตรสหายตนเองก็ ตาม
จะมีผู้อยู่รอดเฉพาะผู้ทรงศีล ผู้หลีกเร้นบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ตามป่าเขาเท่านั้น
เด็กวัดเก่าอย่างกระผมได้ยินผู้คนเริ่มพูดถึงคำว่ามิคสัญญีกันบ่อย จึงขออนุญาตหลวงปู่หลวงพ่อนำคำของท่านมาโม้ให้ฟังต่อแบบกะพร่องกะแพร่งเต็ม ที
ในเบื้องหน้าต้องถึงขนาดไม่มีศีลธรรม ผู้คนจึงออกมาฆ่าฟันกัน ครั้นมาในเบื้องนี้ สมัยนี้ต้องถือว่ายังอยู่ระดับบกพร่องในศีลธรรมเท่านั้น
บัญญัติไว้เป็นกฎหมายชัดเจน โดยเฉพาะเพื่อเป็นถนนแผนที่ (เอากะเขามั่ง) โรดแม็พในการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ
เหตุเกิดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยุคที่ยังเป็นปกติสุขไม่มีนักการเมืองเข้ามาวุ่นวายจุ้นจ้าน
ระดับของศีลธรรมของท่านจึงค่อนข้างเคร่งครัดในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานเพื่อรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการตำรวจ ห้ามบกพร่องเป็นอันขาด
ขนาดผู้สมัครสอบคัดเลือกเป็นนักเรียนพลตำรวจรายหนึ่งสอบผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้
แต่ผลการตรวจสอบประวัติปรากฏว่า ว่าที่พลตำรวจรายนี้เคยต้องหาคดีอาญายักยอกจนถึงขั้นพนักงานสอบสวนและ พนักงานอัยการสั่งฟ้องจึงถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติที่จะได้รับการคัดเลือก หรือสอบแข่งขันเป็นข้าราชการตำรวจ
เนื่องจากเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีตามมาตรา ๔๑ (๗) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ๒๕๒๑
วันประกาศผลสอบรอบสุดท้าย จึงไม่มีชื่อในประกาศ
เรื่องนี้มันยาวยังมีที่มาที่ไปต้องอธิบาย เพราะในคดียักยอกดังกล่าวผู้สมัครรายนี้ให้การปฏิเสธยืนยันว่ามิได้กระทำผิด
และผู้เสียหายในคดีอาญาขอถอนคำร้องทุกข์ เนื่องจากผู้ปกครองของผู้สมัครยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้และศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
การยินยอมชดใช้ค่าเสียหายนั้นมิได้หมายความว่าผู้สมัครรายนี้กระทำผิด เนื่องจากเป็นการกระทำของผู้ปกครองเอง ไม่อยากเป็นคดีความกันในขณะที่ผู้สมัครยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางยังมิได้วินิจฉัยว่าได้กระทำผิดอาญาตามคำฟ้อง
โปรดอย่าลืมหลักกฎหมายอาญาที่ว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดก่อนคำพิพากษา
ลืมกันหมดแล้วหรือไร
บอกกล่าวให้อนุกรรมการพิจารณาประวัติและภาคความเหมาะสมกับตำแหน่งของกอง บัญชาการศึกษากันชัดเจนอย่างนี้ ท่านก็มิฟัง สอบตก เหมือนเดิม ผู้สมัครสอบจึงเป็นผู้ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อนุกรรมการดังกล่าวที่ ๒ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่มีมติไม่รับผู้ฟ้องคดีเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจ
ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณีของผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๔๑ (๗) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ จริง พิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า คดีนี้ถึงแม้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดี แต่ในเวลาต่อมาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้เสียหายถอนคำ ร้องทุกข์และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จึงเท่ากับว่าศาลเยาวชนและครอบครัวกลางยังไม่ได้มีคำพิพากษาว่าผู้ฟ้องคดีกระทำผิดตามฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีจึง ได้รับการสันนิษฐานไว้ว่ายังไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ (ขณะนั้น) ตำรวจฯไม่ได้บัญญัติความหมายคำว่าผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีไว้ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้ฟ้อง
การที่จะปฏิบัติต่อผู้ฟ้องคดีจึง ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา ที่ไม่ได้ต้องหาคดีอาญา
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีมติไม่ให้ผ่านภาคความเหมาะสมกับตำแหน่งเพราะผู้ฟ้องคดีมีประวัติทางคดี อาญาจึงถือได้ว่า ได้ปฏิบัติต่อผู้ฟ้องคดีเสมือนหนึ่งว่าผู้ฟ้องคดีกระทำความผิด ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีหรือไม่
เห็นว่า พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจฯ มิได้บัญญัติกรณีบกพร่องในศีลธรรมอันดีไว้จึงต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไปว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมิได้วินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทำผิดถึงแม้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องคดีก็ตาม
ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเยาวชนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานยักยอกอันยอมความได้ แต่ต้องถูกตัดโอกาสที่จะประกอบอาชีพที่ตั้งใจไว้ เช่นนี้ย่อมไม่เป็นธรรมแก่เยาวชนของชาติและเป็น การลงโทษทางปกครองที่หนักเกินไป ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่มีโอกาสเข้ารับราชการได้ตลอดไป
จึงเห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดี ยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี เป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษากลับ ให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่เนื่องจากการสอบคัดเลือกได้ดำเนินการผ่านพ้นมาแล้ว ศาลจึงมีคำบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รับผู้ฟ้องคดีเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจในโอกาสแรกที่จะกระทำได้ ภายใต้เงื่อนไขการสมัครใจและคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีด้วย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๒๐/๒๕๕๐)
โรดแม็พจึงไร้ฝุ่นด้วยประการฉะนี้.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: บกพร่องในศีลธรรม กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 15 พฤษภาคม 2553
=========
กรรมการคัดเลือกพึงสำเนียกเอาไว้ มิเช่นนั้นอาจโดนฟ้อง แล้วจะหาว่า สวยไม่เตือน อิอิ
ไม่มีผู้รักษาศีล ไม่มีผู้มีธรรม ผู้คนต่างพากันฉวยอาวุธออกมาประหัตประหารซึ่งกันและกัน ต่างฆ่าฟันกันไม่เลือกหน้าไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องลูกเมียมิตรสหายตนเองก็ ตาม
จะมีผู้อยู่รอดเฉพาะผู้ทรงศีล ผู้หลีกเร้นบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ตามป่าเขาเท่านั้น
เด็กวัดเก่าอย่างกระผมได้ยินผู้คนเริ่มพูดถึงคำว่ามิคสัญญีกันบ่อย จึงขออนุญาตหลวงปู่หลวงพ่อนำคำของท่านมาโม้ให้ฟังต่อแบบกะพร่องกะแพร่งเต็ม ที
ในเบื้องหน้าต้องถึงขนาดไม่มีศีลธรรม ผู้คนจึงออกมาฆ่าฟันกัน ครั้นมาในเบื้องนี้ สมัยนี้ต้องถือว่ายังอยู่ระดับบกพร่องในศีลธรรมเท่านั้น
บัญญัติไว้เป็นกฎหมายชัดเจน โดยเฉพาะเพื่อเป็นถนนแผนที่ (เอากะเขามั่ง) โรดแม็พในการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ
เหตุเกิดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยุคที่ยังเป็นปกติสุขไม่มีนักการเมืองเข้ามาวุ่นวายจุ้นจ้าน
ระดับของศีลธรรมของท่านจึงค่อนข้างเคร่งครัดในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานเพื่อรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการตำรวจ ห้ามบกพร่องเป็นอันขาด
ขนาดผู้สมัครสอบคัดเลือกเป็นนักเรียนพลตำรวจรายหนึ่งสอบผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้
แต่ผลการตรวจสอบประวัติปรากฏว่า ว่าที่พลตำรวจรายนี้เคยต้องหาคดีอาญายักยอกจนถึงขั้นพนักงานสอบสวนและ พนักงานอัยการสั่งฟ้องจึงถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติที่จะได้รับการคัดเลือก หรือสอบแข่งขันเป็นข้าราชการตำรวจ
เนื่องจากเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีตามมาตรา ๔๑ (๗) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ๒๕๒๑
วันประกาศผลสอบรอบสุดท้าย จึงไม่มีชื่อในประกาศ
เรื่องนี้มันยาวยังมีที่มาที่ไปต้องอธิบาย เพราะในคดียักยอกดังกล่าวผู้สมัครรายนี้ให้การปฏิเสธยืนยันว่ามิได้กระทำผิด
และผู้เสียหายในคดีอาญาขอถอนคำร้องทุกข์ เนื่องจากผู้ปกครองของผู้สมัครยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้และศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
การยินยอมชดใช้ค่าเสียหายนั้นมิได้หมายความว่าผู้สมัครรายนี้กระทำผิด เนื่องจากเป็นการกระทำของผู้ปกครองเอง ไม่อยากเป็นคดีความกันในขณะที่ผู้สมัครยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางยังมิได้วินิจฉัยว่าได้กระทำผิดอาญาตามคำฟ้อง
โปรดอย่าลืมหลักกฎหมายอาญาที่ว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดก่อนคำพิพากษา
ลืมกันหมดแล้วหรือไร
บอกกล่าวให้อนุกรรมการพิจารณาประวัติและภาคความเหมาะสมกับตำแหน่งของกอง บัญชาการศึกษากันชัดเจนอย่างนี้ ท่านก็มิฟัง สอบตก เหมือนเดิม ผู้สมัครสอบจึงเป็นผู้ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อนุกรรมการดังกล่าวที่ ๒ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่มีมติไม่รับผู้ฟ้องคดีเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจ
ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณีของผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๔๑ (๗) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ จริง พิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า คดีนี้ถึงแม้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดี แต่ในเวลาต่อมาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้เสียหายถอนคำ ร้องทุกข์และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จึงเท่ากับว่าศาลเยาวชนและครอบครัวกลางยังไม่ได้มีคำพิพากษาว่าผู้ฟ้องคดีกระทำผิดตามฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีจึง ได้รับการสันนิษฐานไว้ว่ายังไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ (ขณะนั้น) ตำรวจฯไม่ได้บัญญัติความหมายคำว่าผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีไว้ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้ฟ้อง
การที่จะปฏิบัติต่อผู้ฟ้องคดีจึง ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา ที่ไม่ได้ต้องหาคดีอาญา
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีมติไม่ให้ผ่านภาคความเหมาะสมกับตำแหน่งเพราะผู้ฟ้องคดีมีประวัติทางคดี อาญาจึงถือได้ว่า ได้ปฏิบัติต่อผู้ฟ้องคดีเสมือนหนึ่งว่าผู้ฟ้องคดีกระทำความผิด ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีหรือไม่
เห็นว่า พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจฯ มิได้บัญญัติกรณีบกพร่องในศีลธรรมอันดีไว้จึงต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไปว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมิได้วินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทำผิดถึงแม้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องคดีก็ตาม
ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเยาวชนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานยักยอกอันยอมความได้ แต่ต้องถูกตัดโอกาสที่จะประกอบอาชีพที่ตั้งใจไว้ เช่นนี้ย่อมไม่เป็นธรรมแก่เยาวชนของชาติและเป็น การลงโทษทางปกครองที่หนักเกินไป ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่มีโอกาสเข้ารับราชการได้ตลอดไป
จึงเห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดี ยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี เป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษากลับ ให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่เนื่องจากการสอบคัดเลือกได้ดำเนินการผ่านพ้นมาแล้ว ศาลจึงมีคำบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รับผู้ฟ้องคดีเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจในโอกาสแรกที่จะกระทำได้ ภายใต้เงื่อนไขการสมัครใจและคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีด้วย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๒๐/๒๕๕๐)
โรดแม็พจึงไร้ฝุ่นด้วยประการฉะนี้.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: บกพร่องในศีลธรรม กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 15 พฤษภาคม 2553
=========
กรรมการคัดเลือกพึงสำเนียกเอาไว้ มิเช่นนั้นอาจโดนฟ้อง แล้วจะหาว่า สวยไม่เตือน อิอิ
พ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี
ในการรณรงค์การใช้สิทธิเลือกตั้งสมัยหนึ่ง มีคำขวัญอันโด่งดังว่า ประชาธิปไตยอยู่ในกำมือของท่านแล้ว
เป็นที่โด่งดังมากเพราะมีนักประชาธิปไตยนิรนามไปเขียนไว้บนโถฉี่ห้องน้ำชาย
มิน่าประชาธิปไตยไทยจึงไม่เสถียรสักที ยืดหยุ่นอ่อนแข็งไปตามเพลง
วันนี้มีการเรียกร้องประชาธิปไตยในกำมือของเราอีก คืนอำนาจการเลือกตั้งให้ประชาชน จึงมีคนฝากนิยามของรัฐบาลประชาธิปไตยมาให้จำแนกกันง่าย ๆ ว่า
รัฐบาลที่กลัวประชาชน คือ ประชาธิปไตย
รัฐบาลที่ประชาชนกลัว คือ เผด็จการ
เรามีรัฐบาลแบบไหนมาบ้างเชิญสาธุชนพิจารณาไตร่ตรองเองขอรับ โปรดอย่าถามคนขี้กลัวอย่างกระผมเป็นอันขาด
ดูการเมืองระดับชาติแบบไทย ๆ แล้วมันอึดอัด ดูการเมืองระดับท้องถิ่นดีกว่าเพราะเวลามีปัญหามีตัวช่วยให้ปัญหาจบได้จริง ไม่ใช่ช่วยให้ปัญหายิ่งบานปลายเหมือนระดับชาติ
ในการประชุมสภาครั้งสำคัญของเทศบาลเมืองแห่งหนึ่ง ที่สำคัญมากเพราะเป็นการเลือกคณะเทศมนตรีชุดใหม่
อีตรงนี้แหละที่เป็นเหมือนกันหมดตั้งแต่ อบต.จนถึงการเมืองระดับชาติ ตัวซี่ตัวสั่นอยากเป็นรัฐบาลฝ่ายบริหารกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน
มีสมาชิกสภาเทศบาลมาประชุมครบจำนวน 18 คน แต่ทว่าก่อนการประชุมได้เกิดเหตุวอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุมโดยสมาชิกสภา จำนวน 8 คน เหลือประชุมอยู่อีก 10 คน
10 คนก็ยังครบองค์ประชุมจึงทำการเลือกคณะเทศมนตรีจนแล้วเสร็จส่งให้ผู้ว่า ราชการจังหวัดประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีเรียบร้อยโรงเรียนศาลากลาง
ท่านที่เดินออกจากที่ประชุมได้แจ้งให้ผู้คนได้ทราบทั่วกันว่า ได้คัดค้านต่อประธานสภาเทศบาลเมืองแล้วว่ามีผู้สิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิก สภาเทศบาลเข้าร่วมประชุมด้วย จำนวนห้าคน
ห้าพระหน่อดังกล่าวประกอบด้วยอดีตนายกเทศมนตรีคนก่อนที่ชิง ลาออก ในขณะที่กำลังถูกผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมีผู้ร้อง เรียนว่าอดีตนายกผู้นี้ร่วมกับสมาชิกสภากลุ่มนี้มีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำ กับเทศบาล
เทศบาลเมืองจึงต้องจัดประชุมเลือกคณะเทศมนตรีชุดใหม่แทนชุดเก่าที่ต้องสิ้น สภาพตามนายกที่ลาออก ภายในสิบห้าวัน ตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. 2496
ท่านนายกเทศมนตรีกับพวกดังกล่าวน่ะสิ้นสภาพไปแล้วไม่มีสิทธิเข้าประชุมยัง เรียกประชุมรีบตั้งคณะเทศมนตรีใหม่ทันที จึงไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยเหตุนี้แล
บ๊ะ เพิ่งพูดอยู่แหม็บ ๆ ว่าระดับท้องถิ่นน่ะไม่เขี้ยว แต่นี่มันลูกเล่นลีลาระดับชาตินะโยม
ท่านสมาชิกสภาผู้ไม่ร่วมประชุมเห็นว่า การประชุมไม่ครบองค์ประชุม เนื่องจากห้าในสิบของผู้ประชุมขาดสมาชิกภาพไปแล้วดังกล่าว ประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีจึงไม่ชอบ
อย่ากระนั้นเลยจึงแตงโมบวกมะเขือเทศฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดและเทศบาลเมือง ต่อศาลปกครองขอพื้นที่คืน ให้เพิกถอนประกาศแต่งตั้งนั้นเสีย
ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของอดีตนายกเทศมนตรีกับพวกรวมห้าคนจะสิ้นสุดหรือไม่ อย่างไร ขึ้นอยู่กับผลการสอบสวนวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เมื่อยังไม่มีคำวินิจฉัย สมาชิกภาพก็ยังไม่สิ้นสุดลง การประชุมซึ่งเหลือผู้ประชุมอีก 10 คน ซึ่งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งขององค์ประชุมจำนวน 18 คน จึงครบองค์ประชุม ประกาศแต่งตั้งจึงชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายกฟ้อง ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีมีผู้ร้องเรียนว่าอดีตนายกเทศมนตรีผู้นั้นกับพวกรวมห้าคนกระทำผิดตาม มาตรา 18 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. 2496 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2542
ต่อมา หลังจากที่มีการประชุมเลือกคณะเทศมนตรีชุดใหม่จนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ลงนามประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีชุดใหม่ดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้พิจารณาผลการสอบสวนแล้วมีคำวินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีส่วนได้ เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่ทำกับเทศบาลเมืองตามมาตรา 18 ทวิ ดังกล่าว
สมาชิกภาพของของสมาชิกสภาเทศบาลของอดีตนายกผู้นั้นกับพวกรวมห้าคนสิ้นสุดลง นับตั้งแต่วันที่ได้ทำสัญญากับเทศบาล แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะมิได้ระบุว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
แต่อย่างช้า ก่อนวันที่มีผู้ร้องเรียน กรณีมีส่วนได้เสียดังกล่าวและ ก่อนวันประชุม สภาเทศบาลเมืองเพื่อเลือกคณะเทศมนตรีใหม่ดังกล่าว
ในที่ประชุมขณะลงมติเลือกคณะเทศมนตรีขึ้นใหม่เหลือสมาชิกสภาเทศบาลจำนวน 10 คน เมื่อความเป็นสมาชิกสภาเทศบาลของผู้ประชุมจำนวน 5 คนได้สิ้นสุดลงก่อนวันประชุม
จึงมีสมาชิกสภาเทศบาลเมืองเหลืออยู่ในที่ประชุมจำนวน 5 คน ไม่ครบองค์ประชุม ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาลฯ และบุคคลทั้งห้าได้ พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาเทศบาลแล้วแต่กลับเข้าร่วมประชุมและได้ลงมติด้วย จึงเป็นการประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีอันเป็นผลมาจากการประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย
พิพากษากลับให้เพิกถอนประกาศดังกล่าว โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่มีประกาศ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.167/ 2549)
ประชุมสภาท้องถิ่นมีปัญหายังไงก็ยังไม่ถึงระดับปีนรั้วหนีไปขึ้น ฮ.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ฟ้องศาลปกครองให้พ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี กฏหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2553
เป็นที่โด่งดังมากเพราะมีนักประชาธิปไตยนิรนามไปเขียนไว้บนโถฉี่ห้องน้ำชาย
มิน่าประชาธิปไตยไทยจึงไม่เสถียรสักที ยืดหยุ่นอ่อนแข็งไปตามเพลง
วันนี้มีการเรียกร้องประชาธิปไตยในกำมือของเราอีก คืนอำนาจการเลือกตั้งให้ประชาชน จึงมีคนฝากนิยามของรัฐบาลประชาธิปไตยมาให้จำแนกกันง่าย ๆ ว่า
รัฐบาลที่กลัวประชาชน คือ ประชาธิปไตย
รัฐบาลที่ประชาชนกลัว คือ เผด็จการ
เรามีรัฐบาลแบบไหนมาบ้างเชิญสาธุชนพิจารณาไตร่ตรองเองขอรับ โปรดอย่าถามคนขี้กลัวอย่างกระผมเป็นอันขาด
ดูการเมืองระดับชาติแบบไทย ๆ แล้วมันอึดอัด ดูการเมืองระดับท้องถิ่นดีกว่าเพราะเวลามีปัญหามีตัวช่วยให้ปัญหาจบได้จริง ไม่ใช่ช่วยให้ปัญหายิ่งบานปลายเหมือนระดับชาติ
ในการประชุมสภาครั้งสำคัญของเทศบาลเมืองแห่งหนึ่ง ที่สำคัญมากเพราะเป็นการเลือกคณะเทศมนตรีชุดใหม่
อีตรงนี้แหละที่เป็นเหมือนกันหมดตั้งแต่ อบต.จนถึงการเมืองระดับชาติ ตัวซี่ตัวสั่นอยากเป็นรัฐบาลฝ่ายบริหารกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน
มีสมาชิกสภาเทศบาลมาประชุมครบจำนวน 18 คน แต่ทว่าก่อนการประชุมได้เกิดเหตุวอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุมโดยสมาชิกสภา จำนวน 8 คน เหลือประชุมอยู่อีก 10 คน
10 คนก็ยังครบองค์ประชุมจึงทำการเลือกคณะเทศมนตรีจนแล้วเสร็จส่งให้ผู้ว่า ราชการจังหวัดประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีเรียบร้อยโรงเรียนศาลากลาง
ท่านที่เดินออกจากที่ประชุมได้แจ้งให้ผู้คนได้ทราบทั่วกันว่า ได้คัดค้านต่อประธานสภาเทศบาลเมืองแล้วว่ามีผู้สิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิก สภาเทศบาลเข้าร่วมประชุมด้วย จำนวนห้าคน
ห้าพระหน่อดังกล่าวประกอบด้วยอดีตนายกเทศมนตรีคนก่อนที่ชิง ลาออก ในขณะที่กำลังถูกผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมีผู้ร้อง เรียนว่าอดีตนายกผู้นี้ร่วมกับสมาชิกสภากลุ่มนี้มีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำ กับเทศบาล
เทศบาลเมืองจึงต้องจัดประชุมเลือกคณะเทศมนตรีชุดใหม่แทนชุดเก่าที่ต้องสิ้น สภาพตามนายกที่ลาออก ภายในสิบห้าวัน ตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. 2496
ท่านนายกเทศมนตรีกับพวกดังกล่าวน่ะสิ้นสภาพไปแล้วไม่มีสิทธิเข้าประชุมยัง เรียกประชุมรีบตั้งคณะเทศมนตรีใหม่ทันที จึงไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยเหตุนี้แล
บ๊ะ เพิ่งพูดอยู่แหม็บ ๆ ว่าระดับท้องถิ่นน่ะไม่เขี้ยว แต่นี่มันลูกเล่นลีลาระดับชาตินะโยม
ท่านสมาชิกสภาผู้ไม่ร่วมประชุมเห็นว่า การประชุมไม่ครบองค์ประชุม เนื่องจากห้าในสิบของผู้ประชุมขาดสมาชิกภาพไปแล้วดังกล่าว ประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีจึงไม่ชอบ
อย่ากระนั้นเลยจึงแตงโมบวกมะเขือเทศฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดและเทศบาลเมือง ต่อศาลปกครองขอพื้นที่คืน ให้เพิกถอนประกาศแต่งตั้งนั้นเสีย
ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของอดีตนายกเทศมนตรีกับพวกรวมห้าคนจะสิ้นสุดหรือไม่ อย่างไร ขึ้นอยู่กับผลการสอบสวนวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เมื่อยังไม่มีคำวินิจฉัย สมาชิกภาพก็ยังไม่สิ้นสุดลง การประชุมซึ่งเหลือผู้ประชุมอีก 10 คน ซึ่งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งขององค์ประชุมจำนวน 18 คน จึงครบองค์ประชุม ประกาศแต่งตั้งจึงชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายกฟ้อง ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีมีผู้ร้องเรียนว่าอดีตนายกเทศมนตรีผู้นั้นกับพวกรวมห้าคนกระทำผิดตาม มาตรา 18 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. 2496 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2542
ต่อมา หลังจากที่มีการประชุมเลือกคณะเทศมนตรีชุดใหม่จนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ลงนามประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีชุดใหม่ดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้พิจารณาผลการสอบสวนแล้วมีคำวินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีส่วนได้ เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่ทำกับเทศบาลเมืองตามมาตรา 18 ทวิ ดังกล่าว
สมาชิกภาพของของสมาชิกสภาเทศบาลของอดีตนายกผู้นั้นกับพวกรวมห้าคนสิ้นสุดลง นับตั้งแต่วันที่ได้ทำสัญญากับเทศบาล แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะมิได้ระบุว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
แต่อย่างช้า ก่อนวันที่มีผู้ร้องเรียน กรณีมีส่วนได้เสียดังกล่าวและ ก่อนวันประชุม สภาเทศบาลเมืองเพื่อเลือกคณะเทศมนตรีใหม่ดังกล่าว
ในที่ประชุมขณะลงมติเลือกคณะเทศมนตรีขึ้นใหม่เหลือสมาชิกสภาเทศบาลจำนวน 10 คน เมื่อความเป็นสมาชิกสภาเทศบาลของผู้ประชุมจำนวน 5 คนได้สิ้นสุดลงก่อนวันประชุม
จึงมีสมาชิกสภาเทศบาลเมืองเหลืออยู่ในที่ประชุมจำนวน 5 คน ไม่ครบองค์ประชุม ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาลฯ และบุคคลทั้งห้าได้ พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาเทศบาลแล้วแต่กลับเข้าร่วมประชุมและได้ลงมติด้วย จึงเป็นการประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีอันเป็นผลมาจากการประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย
พิพากษากลับให้เพิกถอนประกาศดังกล่าว โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่มีประกาศ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.167/ 2549)
ประชุมสภาท้องถิ่นมีปัญหายังไงก็ยังไม่ถึงระดับปีนรั้วหนีไปขึ้น ฮ.
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: ฟ้องศาลปกครองให้พ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี กฏหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2553
Wednesday, June 9, 2010
คนเมาตาฝาดจะมองเห็นผู้หญิง ทุกคนสวยไปหมด
นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แล้วว่า เหตุใดคนเมาถึงได้แลเห็นผู้หญิงทุกคน ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นอย่างไร ถึงได้สวยไปหมด
คณะนักจิตวิทยามหาวิทยาลัยโรแฮมป์ตัน ของกรุงลอนดอน ได้ศึกษาวิจัยได้ว่า คอเหล้าที่ฟาดน้ำอมฤตจนได้ที่แล้ว จะตาฝาดยิ่งกว่าเพื่อนที่ไม่เมาถึงร้อยละ 10 เพราะยิ่งมึนเมามากเท่าใด ก็จะมองไม่เห็นไฝฝ้าราคีตามใบหน้าเท่านั้น
นักวิจัยได้ทดสอบกับนักศึกษา ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของน้ำเมาระดับต่างๆกัน ให้เลือกรูปถ่ายของชายหญิง อายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน 20 รูป โดยมีรูปบางรูปที่ถูกแต่งทางดิจิตอล เพื่อให้หน้าตาคมสันขึ้นปนอยู่ด้วย
ปรากฏ ผลว่า คนที่ไม่ค่อยเมาพากันเลือกรูปใบหน้าที่คมสันกันมากถึงร้อยละ 67 ในขณะที่พวกสุราพาไป ตาฝาดเลือกรูปใบหน้าบูดๆ เบี้ยวๆ มากถึงร้อยละ 58 "คนเมาจะดูใบหน้าที่สัดส่วนดีไม่ค่อยออก และไม่ค่อยห่วงเรื่องปมด้อยเท่าใดนัก" นายลูอิส ฮัลซีย์ หัวหน้านักวิจัยกล่าว
ที่มา: ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ 10 มิถุนายน 2553
===
มิน่า คนหล่อขี้เมา ถึงได้เมียขี้เหล่ขี้เหล่ อิอิ ..
คณะนักจิตวิทยามหาวิทยาลัยโรแฮมป์ตัน ของกรุงลอนดอน ได้ศึกษาวิจัยได้ว่า คอเหล้าที่ฟาดน้ำอมฤตจนได้ที่แล้ว จะตาฝาดยิ่งกว่าเพื่อนที่ไม่เมาถึงร้อยละ 10 เพราะยิ่งมึนเมามากเท่าใด ก็จะมองไม่เห็นไฝฝ้าราคีตามใบหน้าเท่านั้น
นักวิจัยได้ทดสอบกับนักศึกษา ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของน้ำเมาระดับต่างๆกัน ให้เลือกรูปถ่ายของชายหญิง อายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน 20 รูป โดยมีรูปบางรูปที่ถูกแต่งทางดิจิตอล เพื่อให้หน้าตาคมสันขึ้นปนอยู่ด้วย
ปรากฏ ผลว่า คนที่ไม่ค่อยเมาพากันเลือกรูปใบหน้าที่คมสันกันมากถึงร้อยละ 67 ในขณะที่พวกสุราพาไป ตาฝาดเลือกรูปใบหน้าบูดๆ เบี้ยวๆ มากถึงร้อยละ 58 "คนเมาจะดูใบหน้าที่สัดส่วนดีไม่ค่อยออก และไม่ค่อยห่วงเรื่องปมด้อยเท่าใดนัก" นายลูอิส ฮัลซีย์ หัวหน้านักวิจัยกล่าว
ที่มา: ไลฟ์สไตล์ ไทยรัฐออนไลน์ 10 มิถุนายน 2553
===
มิน่า คนหล่อขี้เมา ถึงได้เมียขี้เหล่ขี้เหล่ อิอิ ..
ขนาดของการทุจริต
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ปกติเป็นประเด็นเรื่องการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง
เพิ่งมีสมัยนี้ มีประเด็นสยองขวัญท่านผู้ชม ขอพื้นที่คืน กระชับพื้นที่ มาเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจทั้งสภาผู้แทนราษฎร ทั้งผู้ชมการถ่ายทอด
ความดันขึ้นเลยนะเนี่ย เรื่องการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น แค่ฟังฝ่ายค้านเขาว่ามาแล้ว
ชาวบ้านยังวางใจไม่ได้นะท่าน ต้องคอยระวัง
และถ้าจะเอากันให้เป็นคดีถึงรับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย ท่านว่าต้องพิสูจน์กันให้ถึงขนาด
แค่ปากมันแผล็บ ยังไม่พอ
ท่านผู้ฟ้องคดีเคยเป็นผู้อำนวยการกองกลางของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ที่เคยเป็นเพราะสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งอยู่ มีเหตุมีปัจจัยถูกมหาวิทยาลัยไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม
ไม่เป็นธรรมอย่างไร
มีบริษัทเอกชนเขามาขอใช้สถานที่ของมหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายทำรายการโทรทัศน์ และ ก็เป็นธรรมดาที่เอกชนเขาก็ช่วยค่าบำรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตามวิสัย
ขอบริจาคเงินสองพันบาทเป็นค่าบำรุงสถานที่ ท่านผู้อำนวยการนำไปเข้ากองทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่อไป
ดั๊นมีปากหอยปากปูลือกันหึ่งว่าท่าน ผอ.เรียกรับเงินจาก บริษัทเอกชนเข้ากระเป๋าไปโน่น
ยัง ยังไม่หมดเวร
ท่าน ผอ.จัดงานเลี้ยงเกษียณอายุให้ลูกน้องที่บ้าน พวกปากหอยปากปูไปซุบซิบนินทากันให้แซดอีกว่า อีกแล้ว ท่าน ผอ.นำคนงานไปใช้งานส่วนตัวที่บ้าน แต่ให้เบิกค่าจ้างล่วงเวลากับมหาวิทยาลัย
ทั้งหึ่งทั้งแซด ความซวยจึงเกิด มหาวิทยาลัยทำการสอบสวนตามขั้นตอนแล้วมีคำสั่งไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
กรณีกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง รวม 2 ข้อหา
ข้อหาแรก ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือ ผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 และมาตรา 89 วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 โดยมีกรณีกระทำความผิดรวม 2 เรื่องคือ
(1) เรียกและรับเงินจากบุคคลภายนอกที่ขอใช้สถานที่ของ มหาวิทยาลัย
(2) นำคนงานของมหาวิทยาลัยไปใช้งานส่วนตัวโดยเบิกเงินค่าล่วงเวลาของทางราชการ
เห็นข้อหาแล้ว ท่าน ผอ.จึงอุทานว่า เฮ้ย ข้อ 1.นั่นนะ เงิน ยังอยู่ในบัญชีครบถ้วน ส่วนข้อ 2. นี่มันงานเลี้ยงบุคลากรของมหาวิทยาลัยนะเฟ้ย จะให้ข้าล้างชามเองหรือไร
จึงไม่อาจไว้วางใจมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป ต้องฟ้องเป็นคดีที่ศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกอันไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเสีย
ศาลปกครองชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วเชื่อว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหาจริง คำสั่งไล่ออกชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า กรณีเรียกและรับเงินจากบุคคลภายนอกดังกล่าวนั้น กรณีมีน้ำหนักเชื่อได้ว่าได้มีการจ่ายและรับเงิน กันจริง
แต่ยังไม่ชัดแจ้งว่า ผู้ฟ้องคดีได้เรียกรับเงินดังกล่าวโดยทุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลอื่นใดโดยเฉพาะ
จึงยังไม่อาจฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ในข้อกล่าวหานี้
ส่วนกรณีนำคนงานของมหาวิทยาลัยไปใช้งานส่วนตัวทำความสะอาดบ้านของผู้ฟ้องคดี แล้วเบิกค่าล่วงเวลาจากทางราชการนั้น
ฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีใช้ลูกจ้างชั่วคราวรายวันไปทำงานนอกหน้าที่ราชการ
แม้จะเป็นการกระทำการผิดอำนาจหน้าที่ แต่กระทำไปเพื่อจัดงานเลี้ยงเกษียณอายุบุคลากรในสังกัด
พอจะอนุมานได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อบำรุงขวัญและเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการในหน่วยสังกัดเดียวกันได้บางส่วน
ยังไม่ถึงขนาด เป็นการกระทำ ทุจริตต่อหน้าที่ อันเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง
คงฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลที่ ไม่รักษาประโยชน์ของราชการ และกระทำการอันเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการถูกมองว่ากระทำการไม่ค่อยสุจริตอัน เป็นมลทินมัวหมอง หากให้รับราชการต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการได้
ควร ให้ออก จากราชการเท่านั้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออก โดยให้ผู้ถูกฟ้อง คดีออกคำสั่งใหม่ให้ถูกต้องต่อไป (จาก ไล่ออก เป็น ให้ออก) (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.297/2547)
แต่ในสภา เขาทำกันเกินขนาดทั้งนั้น
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 05 มิถุนายน 2553
เพิ่งมีสมัยนี้ มีประเด็นสยองขวัญท่านผู้ชม ขอพื้นที่คืน กระชับพื้นที่ มาเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจทั้งสภาผู้แทนราษฎร ทั้งผู้ชมการถ่ายทอด
ความดันขึ้นเลยนะเนี่ย เรื่องการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น แค่ฟังฝ่ายค้านเขาว่ามาแล้ว
ชาวบ้านยังวางใจไม่ได้นะท่าน ต้องคอยระวัง
และถ้าจะเอากันให้เป็นคดีถึงรับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย ท่านว่าต้องพิสูจน์กันให้ถึงขนาด
แค่ปากมันแผล็บ ยังไม่พอ
ท่านผู้ฟ้องคดีเคยเป็นผู้อำนวยการกองกลางของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ที่เคยเป็นเพราะสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งอยู่ มีเหตุมีปัจจัยถูกมหาวิทยาลัยไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม
ไม่เป็นธรรมอย่างไร
มีบริษัทเอกชนเขามาขอใช้สถานที่ของมหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายทำรายการโทรทัศน์ และ ก็เป็นธรรมดาที่เอกชนเขาก็ช่วยค่าบำรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตามวิสัย
ขอบริจาคเงินสองพันบาทเป็นค่าบำรุงสถานที่ ท่านผู้อำนวยการนำไปเข้ากองทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่อไป
ดั๊นมีปากหอยปากปูลือกันหึ่งว่าท่าน ผอ.เรียกรับเงินจาก บริษัทเอกชนเข้ากระเป๋าไปโน่น
ยัง ยังไม่หมดเวร
ท่าน ผอ.จัดงานเลี้ยงเกษียณอายุให้ลูกน้องที่บ้าน พวกปากหอยปากปูไปซุบซิบนินทากันให้แซดอีกว่า อีกแล้ว ท่าน ผอ.นำคนงานไปใช้งานส่วนตัวที่บ้าน แต่ให้เบิกค่าจ้างล่วงเวลากับมหาวิทยาลัย
ทั้งหึ่งทั้งแซด ความซวยจึงเกิด มหาวิทยาลัยทำการสอบสวนตามขั้นตอนแล้วมีคำสั่งไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
กรณีกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง รวม 2 ข้อหา
ข้อหาแรก ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือ ผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 และมาตรา 89 วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 โดยมีกรณีกระทำความผิดรวม 2 เรื่องคือ
(1) เรียกและรับเงินจากบุคคลภายนอกที่ขอใช้สถานที่ของ มหาวิทยาลัย
(2) นำคนงานของมหาวิทยาลัยไปใช้งานส่วนตัวโดยเบิกเงินค่าล่วงเวลาของทางราชการ
เห็นข้อหาแล้ว ท่าน ผอ.จึงอุทานว่า เฮ้ย ข้อ 1.นั่นนะ เงิน ยังอยู่ในบัญชีครบถ้วน ส่วนข้อ 2. นี่มันงานเลี้ยงบุคลากรของมหาวิทยาลัยนะเฟ้ย จะให้ข้าล้างชามเองหรือไร
จึงไม่อาจไว้วางใจมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป ต้องฟ้องเป็นคดีที่ศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกอันไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเสีย
ศาลปกครองชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วเชื่อว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหาจริง คำสั่งไล่ออกชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า กรณีเรียกและรับเงินจากบุคคลภายนอกดังกล่าวนั้น กรณีมีน้ำหนักเชื่อได้ว่าได้มีการจ่ายและรับเงิน กันจริง
แต่ยังไม่ชัดแจ้งว่า ผู้ฟ้องคดีได้เรียกรับเงินดังกล่าวโดยทุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลอื่นใดโดยเฉพาะ
จึงยังไม่อาจฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ในข้อกล่าวหานี้
ส่วนกรณีนำคนงานของมหาวิทยาลัยไปใช้งานส่วนตัวทำความสะอาดบ้านของผู้ฟ้องคดี แล้วเบิกค่าล่วงเวลาจากทางราชการนั้น
ฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีใช้ลูกจ้างชั่วคราวรายวันไปทำงานนอกหน้าที่ราชการ
แม้จะเป็นการกระทำการผิดอำนาจหน้าที่ แต่กระทำไปเพื่อจัดงานเลี้ยงเกษียณอายุบุคลากรในสังกัด
พอจะอนุมานได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อบำรุงขวัญและเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการในหน่วยสังกัดเดียวกันได้บางส่วน
ยังไม่ถึงขนาด เป็นการกระทำ ทุจริตต่อหน้าที่ อันเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง
คงฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลที่ ไม่รักษาประโยชน์ของราชการ และกระทำการอันเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการถูกมองว่ากระทำการไม่ค่อยสุจริตอัน เป็นมลทินมัวหมอง หากให้รับราชการต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการได้
ควร ให้ออก จากราชการเท่านั้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออก โดยให้ผู้ถูกฟ้อง คดีออกคำสั่งใหม่ให้ถูกต้องต่อไป (จาก ไล่ออก เป็น ให้ออก) (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.297/2547)
แต่ในสภา เขาทำกันเกินขนาดทั้งนั้น
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 05 มิถุนายน 2553
เซ็กซ์ตกต่ำ เพราะเบาหวาน
เรียน คุณหมอ ดร.โอ ที่นับถือ
เนื่องจากกระผมอายุ 52 ปี ภรรยา อายุ 50 ปี ทุกวันนี้กระผมต้องกินยาเบาหวาน ความดัน กินมาได้กว่า 2 ปีแล้ว ที่เป็นปัญหา จะต้องขอเรียนถามก็คือ ผมไม่มีสมรรถภาพทางเพศเลย อวัยวะไม่แข็งตัว ไม่สามารถมีความสุขกับภรรยาได้เลย ทั้ง ๆ ที่ใจยังคิดอยากมีเพศสัมพันธ์แต่ร่างกายไม่ตอบสนองเลย กระผมสงสารภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้านที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ยังมีความต้องการทางเพศเต็มร้อย บางครั้งภรรยาก็พูดถากถางทำให้กระผมเกิดความน้อยใจเหมือนกัน
กระผมขอปรึกษาคุณหมอครับ กระผม จะต้องทำอย่างไรและปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ที่พอจะทำให้มีความสุขทางเพศตอบสนองภรรยาได้เหมือนเดิม สักเดือนละครั้งสองครั้งก็ยังดี
ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
ส.
ตอบ คุณ ส.
สมัยก่อนวัย 20 จัดได้ว่าเป็นหนุ่มที่เรียกว่าหนุ่มน้อย ปัจจุบันวัย 50 เป็นวัยที่ยังหนุ่มอยู่แต่เป็นหนุ่มใหญ่เป็นวัยที่สุขุม เชี่ยวชาญ ชำนาญทางกิจการ ชำนาญทางลีลาเพศสัมพันธ์ มีความอดทน รู้จักจิตใจฝ่ายตรงข้ามดี รู้จักจังหวะอดทน จังหวะผ่อนคลาย รอบรู้ไปหมด นั่นคือหนุ่มใหญ่ที่แข็งแรงไม่มีโรคออแกนิกแทรกแซง โรคออร์แกนิกคือกลุ่มโรคที่เกิดจากอาหารการกินมากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญรวนไปหมด ทำให้กรด ยูริกสูง ไขมันเลว 3 ตัวสูง ไขมันตัวที่ดีชื่อเอสดีแอลต่ำ น้ำตาลในเลือดสูงเกิดอาการของเบาหวาน เห็นได้ชัดก็คือมักจะอ้วน พุงใหญ่ คุมอาหารไม่อยู่ สาเหตุที่สำคัญคือเป็นชายกลุ่มไม่ออกกำลัง นิยมการกินมากกว่า ผลการกินอาหารไม่ยับยั้งทำให้สาเหตุอาจเป็นจากพันธุกรรมคือเป็นเบาหวานทั้ง ครอบครัว ทำให้ระบบหัวใจเดือดร้อน ไขมัน แอลดีแอล คอเลสเตอรอล ไปทำลายเส้นเลือดแดงจนเกิดอาการแข็งตัวไม่ยืดหยุ่น เกิดมีก้อนไขมันไปอุดตันภายในเส้นเลือดรบกวนการไหลเวียนของเลือด จนอุดตันที่เส้นเลือดแดงของอวัยวะเพศได้เป็นอันดับแรก เวลามีอารมณ์ทางเพศพบว่าการแข็งตัวจะเกิดได้ระยะสั้นแล้วก็อ่อนตัว บางรายพบว่าไม่มีการแข็งตัวเลย จะปลุกเร้าอย่างไรก็ไม่ได้ผล ใช้การกระตุ้นทางปากก็ไม่ ได้ผล ถึงใช้ยาเฉพาะกิจดัง ๆ ทั้ง 4 ชนิดก็ไร้ผล ทำให้เสียหน้าบ่อย ๆ ทีนี้เสียหน้านอกบ้าน ไม่เป็นที่เดือดร้อนแต่เสียหน้าที่บ้านเป็นเรื่องใหญ่ ดังเช่น ความทุกข์ตามจดหมายที่บอกมาเป็นความจริงใจและความลำบากความทุกข์ใจของหัว หน้าครอบครัว แต่อย่าเพิ่งตกใจ
ปัจจุบันถ้าตั้งใจรักษาก็ฟื้นตัวได้จนมีเพศสัมพันธ์ได้ดีถึงขั้นดีมาก ขออย่างเดียวขอให้มาตรวจร่างกายกับแพทย์ ตรวจเลือดแบบชายอีดีทั้งหลายมีวิธีการรักษาเป็นระบบอยู่แล้ว แล้วจะ ได้รักษาฟื้นฟูเติมส่วนที่ขาด แนะนำลดห้ามส่วน ที่เกินอย่างจริงจัง ผลลัพธ์ที่ได้คือจะมีความแข็งแรงสามารถปฏิบัติการทางเพศอาทิตย์ละสองครั้ง เป็นอย่างน้อย ไม่ใช่เดือนละครั้งถือว่าปฏิบัติการล้มเหลว
วัย 52 ปี ยังมีความสามารถได้ดีหากเริ่มควบคุมฟื้นฟูกับแพทย์ไม่หาเรื่องซื้อยากินเอง เช่น คนปวดหัวแล้วซื้อยากินแก้ปวดหัวโดยไม่รักษาโรคเนื้องอกในสมอง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ทุกอย่างหากลงลึกรักษาต้นเหตุก็จะปลอดภัย ผู้ชาย 80% ชอบหาเรื่อง ชอบลองโดยใช่เหตุ การลองแล้วล้มเหลวก็ต้องหยุดลอง
ท่านใดที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศที่จะต้องขอถามหรือขอคำแนะนำปรึกษาให้โทรฯ ได้ที่เบอร์ 08-1814-5441, 08-1133-3068 และ 08-5109-0678 เว็บไซต์ www.meetdoctoro. com หรือส่งจดหมายที่ตู้ ป.ณ. 1812 บางรัก กท. 10500 พร้อมเบอร์โทรฯ ที่ติดต่อได้.
ดร.โอ สุขุมวิท 51
ที่มา: เสพสมบ่มิสม เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคารที่ 01 มิถุนายน 2553
เนื่องจากกระผมอายุ 52 ปี ภรรยา อายุ 50 ปี ทุกวันนี้กระผมต้องกินยาเบาหวาน ความดัน กินมาได้กว่า 2 ปีแล้ว ที่เป็นปัญหา จะต้องขอเรียนถามก็คือ ผมไม่มีสมรรถภาพทางเพศเลย อวัยวะไม่แข็งตัว ไม่สามารถมีความสุขกับภรรยาได้เลย ทั้ง ๆ ที่ใจยังคิดอยากมีเพศสัมพันธ์แต่ร่างกายไม่ตอบสนองเลย กระผมสงสารภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้านที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ยังมีความต้องการทางเพศเต็มร้อย บางครั้งภรรยาก็พูดถากถางทำให้กระผมเกิดความน้อยใจเหมือนกัน
กระผมขอปรึกษาคุณหมอครับ กระผม จะต้องทำอย่างไรและปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ที่พอจะทำให้มีความสุขทางเพศตอบสนองภรรยาได้เหมือนเดิม สักเดือนละครั้งสองครั้งก็ยังดี
ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
ส.
ตอบ คุณ ส.
สมัยก่อนวัย 20 จัดได้ว่าเป็นหนุ่มที่เรียกว่าหนุ่มน้อย ปัจจุบันวัย 50 เป็นวัยที่ยังหนุ่มอยู่แต่เป็นหนุ่มใหญ่เป็นวัยที่สุขุม เชี่ยวชาญ ชำนาญทางกิจการ ชำนาญทางลีลาเพศสัมพันธ์ มีความอดทน รู้จักจิตใจฝ่ายตรงข้ามดี รู้จักจังหวะอดทน จังหวะผ่อนคลาย รอบรู้ไปหมด นั่นคือหนุ่มใหญ่ที่แข็งแรงไม่มีโรคออแกนิกแทรกแซง โรคออร์แกนิกคือกลุ่มโรคที่เกิดจากอาหารการกินมากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญรวนไปหมด ทำให้กรด ยูริกสูง ไขมันเลว 3 ตัวสูง ไขมันตัวที่ดีชื่อเอสดีแอลต่ำ น้ำตาลในเลือดสูงเกิดอาการของเบาหวาน เห็นได้ชัดก็คือมักจะอ้วน พุงใหญ่ คุมอาหารไม่อยู่ สาเหตุที่สำคัญคือเป็นชายกลุ่มไม่ออกกำลัง นิยมการกินมากกว่า ผลการกินอาหารไม่ยับยั้งทำให้สาเหตุอาจเป็นจากพันธุกรรมคือเป็นเบาหวานทั้ง ครอบครัว ทำให้ระบบหัวใจเดือดร้อน ไขมัน แอลดีแอล คอเลสเตอรอล ไปทำลายเส้นเลือดแดงจนเกิดอาการแข็งตัวไม่ยืดหยุ่น เกิดมีก้อนไขมันไปอุดตันภายในเส้นเลือดรบกวนการไหลเวียนของเลือด จนอุดตันที่เส้นเลือดแดงของอวัยวะเพศได้เป็นอันดับแรก เวลามีอารมณ์ทางเพศพบว่าการแข็งตัวจะเกิดได้ระยะสั้นแล้วก็อ่อนตัว บางรายพบว่าไม่มีการแข็งตัวเลย จะปลุกเร้าอย่างไรก็ไม่ได้ผล ใช้การกระตุ้นทางปากก็ไม่ ได้ผล ถึงใช้ยาเฉพาะกิจดัง ๆ ทั้ง 4 ชนิดก็ไร้ผล ทำให้เสียหน้าบ่อย ๆ ทีนี้เสียหน้านอกบ้าน ไม่เป็นที่เดือดร้อนแต่เสียหน้าที่บ้านเป็นเรื่องใหญ่ ดังเช่น ความทุกข์ตามจดหมายที่บอกมาเป็นความจริงใจและความลำบากความทุกข์ใจของหัว หน้าครอบครัว แต่อย่าเพิ่งตกใจ
ปัจจุบันถ้าตั้งใจรักษาก็ฟื้นตัวได้จนมีเพศสัมพันธ์ได้ดีถึงขั้นดีมาก ขออย่างเดียวขอให้มาตรวจร่างกายกับแพทย์ ตรวจเลือดแบบชายอีดีทั้งหลายมีวิธีการรักษาเป็นระบบอยู่แล้ว แล้วจะ ได้รักษาฟื้นฟูเติมส่วนที่ขาด แนะนำลดห้ามส่วน ที่เกินอย่างจริงจัง ผลลัพธ์ที่ได้คือจะมีความแข็งแรงสามารถปฏิบัติการทางเพศอาทิตย์ละสองครั้ง เป็นอย่างน้อย ไม่ใช่เดือนละครั้งถือว่าปฏิบัติการล้มเหลว
วัย 52 ปี ยังมีความสามารถได้ดีหากเริ่มควบคุมฟื้นฟูกับแพทย์ไม่หาเรื่องซื้อยากินเอง เช่น คนปวดหัวแล้วซื้อยากินแก้ปวดหัวโดยไม่รักษาโรคเนื้องอกในสมอง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ทุกอย่างหากลงลึกรักษาต้นเหตุก็จะปลอดภัย ผู้ชาย 80% ชอบหาเรื่อง ชอบลองโดยใช่เหตุ การลองแล้วล้มเหลวก็ต้องหยุดลอง
ท่านใดที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศที่จะต้องขอถามหรือขอคำแนะนำปรึกษาให้โทรฯ ได้ที่เบอร์ 08-1814-5441, 08-1133-3068 และ 08-5109-0678 เว็บไซต์ www.meetdoctoro. com หรือส่งจดหมายที่ตู้ ป.ณ. 1812 บางรัก กท. 10500 พร้อมเบอร์โทรฯ ที่ติดต่อได้.
ดร.โอ สุขุมวิท 51
ที่มา: เสพสมบ่มิสม เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคารที่ 01 มิถุนายน 2553
ถาม: อยู่กินกันมาเกินสามปี แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสประมาณสิบเดือน สามีเป็นคนต่างชาติ และแก่กว่าดิฉันสิบแปดปี ตอนนี้ดิฉันสามสิบห้า เมื่อก่อนสามีไม่เคยนอกใจ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปตั้ง แต่ติดตั้งอินเทอร์เน็ตในบ้าน สามีเริ่มโกหก และไม่อยากร่วมเพศ ส่วนมากจะพูดว่า ไม่มีอารมณ์ และเหนื่อย และถ้ามีเซ็กซ์เราจะต้องเป็นฝ่ายเริ่ม ก่อน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ดิฉันเริ่มอ้วน (ฉีดยาคุม) ดิฉันพยายามลด แต่ก็ไม่ทำให้สามีดีขึ้น เขาเริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ คือช่วยตัวเองอยู่หน้าคอมพ์ และบ่อยมาก แต่เมื่อดิฉันถาม เขากลับบอกว่าไม่เคยทำ และโกหกมาตลอด จนสุดท้ายก็จนมุมด้วย หลักฐาน (ดิฉันติดกล้องวงจรปิดในบ้าน) แต่เขา ก็ยังแอบทำอีกคือแชตกับผู้หญิงและช่วยตัวเอง อีก เขาบอกว่ารักดิฉัน แต่พฤติกรรมมันขัดแย้งกัน ดิฉันมีอารมณ์ค้างบ่อย ๆ เพราะเขาไม่เคยสนใจว่า เราจะเสร็จไหม ตอนนี้ทรมานมากที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายที่ไม่เห็นคุณค่าของเราทั้ง ๆ ที่เราทำดีกับเขาทุกอย่าง แต่เขาไม่เคยเห็นความดี อยากเลิกกับ เขา แต่เพราะความรักเขามากเกินไปจึงทำไม่ได้ ทำอย่างไรให้เขามีเพศสัมพันธ์กับเราเหมือนเดิม และ จะลืมเขาได้อย่างไรถ้าเขากลับมาเป็นคนเดิมไม่ได้
คนเป็นทุกข์
ตอบ : แค่เป็นผู้ชายที่มีนิสัยโกหกอย่างหน้าด้าน ๆ ก็เป็นคนที่เราสมควรคิดที่จะเลิกได้แล้ว แต่หากปฏิเสธที่จะร่วมเพศกับเราทั้ง ๆ ที่เรามีความต้องการ ต้องคิดหนัก เราเองยังอายุน้อยและเป็นวัยที่ยังมีความต้องการ แล้วเขาไม่คิดจะให้เราในเรื่องนั้น อย่างนี้อยู่ต่อไปเราก็จะกลายเป็นคนเก็บกด โอกาสที่จะเป็นคนโรคจิตมีมากทีเดียว และที่ร้ายไปกว่านั้นเขามีความสุขกับการคุยกับคนที่รู้จักกันผ่านอิน เทอร์เน็ต และมีความต้องการทางเพศกับคนพวก นั้น ทั้ง ๆ ที่เราเป็นเนื้อเป็นหนังอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย อย่างนี้ถือว่าใช้ไม่ได้แล้ว มันหยามกันเกินไป เราอยู่กับเขาแบบตัวเป็น ๆ เขาไม่พึงใจ แต่ผู้หญิงที่มาเป็นเพียงภาพและข้อความที่เป็นเพียง ตัวหนังสือ เขากลับสำเร็จความใคร่ได้ อย่างนี้เราอยู่ต่อไปก็จะต้องหมดความมั่นใจในตัวเอง
การที่เราจะต้องเริ่มก่อนนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากเขาจะสนองตอบด้วยความเต็มใจ และ พยายามทำให้เรามีความสุขอย่างคนที่รู้ใจเราไม่ใช่ทำให้ตนเองเสร็จไป โดยไม่สนใจว่าเราจะเสร็จหรือไม่ ผู้ชายอย่างนี้ต้องเรียกว่าเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ถ้าหากคุณไม่ได้มีลูกกับเขา น่าจะต้องคุยกับเขาเป็นเรื่องเป็นราว บอกเขาไปตรง ๆ ว่าคุณไม่ชอบพฤติกรรม ของเขาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มันเป็นพฤติกรรมที่ดู ถูกคุณ ทำร้ายจิตใจคุณ ถ้าหากเขาคิดว่าเขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เขายังต้องการที่จะมีพฤติกรรมแบบ เดิม ๆ ที่เป็นอยู่ คุณก็ควรขอแยกทางกับเขา ถ้าเขาไม่ยอม คุณก็ต้องฟ้องศาลให้ตัดสินโดยคุณจะต้อง ไม่อายที่จะให้การตรงไปตรงมาว่าเขาไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับคุณเยี่ยงคนที่ เป็นผัวเป็นเมียกัน
เรารักเขามาก เขาไม่รักตอบเราก็ทรมานใจ เราก็ต้องถามตัวเราเองว่าความทุกข์ทรมานในการอยู่กับเขา กับความทุกข์ทรมานที่จะต้องเลิกกับเขานั้น เราทนอะไรได้มากกว่ากัน อยากจะบอกว่าหากอยู่ ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข มันทรมานนะ การเลิก กันนั้น เราจะเจ็บปวดในช่วงแรกของการเลิก แต่ต่อไปเราก็จะปรับตัวได้ ยิ่งเมื่อเรารู้สึกว่าอยู่คนเดียว แล้วไม่มีใครมาทำอะไรให้เสียใจ ไม่มีใครมาทำร้าย จิตใจ ไม่มีใครมาทำให้เป็นทุกข์ ในที่สุดเราก็จะทำใจได้ และเดินหน้าต่อไปในชีวิต โดยไม่จำเป็นจะต้องมีเขา การที่ผู้หญิงรักผู้ชายมาก และไม่คิดจะเลิกกับผู้ชายที่ทำร้ายจิตใจของเมียด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ทำให้ผู้ชายลำพองหยิ่งผยอง คิดว่าผู้หญิงไม่กล้าหาญพอที่จะตัดใจเลิกกับเขา ก็จะเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าการกระทำของตนนั้นทำให้เมียเสียใจแค่ไหน ในที่สุดเมียที่อยู่ด้วยก็จะทรมานใจมากขึ้น เพราะนับวันความเลวร้ายของเขาจะรุนแรงมากขึ้น
การที่ผู้ชายคนหนึ่งไม่อยากมีเพศสัมพันธ์ กับเมียต้องถามกันตรง ๆ ว่าทำไมเขาจึงเป็นเช่นนั้น ต้องขอร้องให้เขาพูดความจริง ด้วยความจริงใจ เราจะได้หาทางแก้ไข ส่วนการที่คุณอ้วนนั้น อย่าไปคิดว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริงในการที่เขาปฏิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ์กับ คุณ เพราะมีผู้ชายดี ๆ เยอะแยะที่เขายังรักเมียเขาเหมือนเดิม มองเมียเขาเซ็กซี่เหมือนเดิมทั้ง ๆ ที่เมียเขาอ้วนกว่าสมัยที่เป็นสาวตั้งเยอะ ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับความผูกพันของการเป็นคู่ครอง ถ้าเขาไม่ต้องการเราแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าความผูกพันที่มีต่อกันไม่เพียงพอที่จะปลุกอารมณ์เพศเขาได้ จะพยายามเปลี่ยนแปลงเขาทำไม พยายามเปลี่ยนใจเราให้เลิกหลงรักเขาจะดีกว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องอยู่อย่างคนที่รู้ใจกัน พร้อมที่จะเอาใจกัน พร้อมที่จะเติมเต็มให้ชีวิตของกันและกัน พยายามที่จะทำให้คู่ครองของตนมีความสุข.
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา
seri_wong@yahoo.com
ที่มา: อยากเลิกกับสามี เสพสมบ่มิสม เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2553
คนเป็นทุกข์
ตอบ : แค่เป็นผู้ชายที่มีนิสัยโกหกอย่างหน้าด้าน ๆ ก็เป็นคนที่เราสมควรคิดที่จะเลิกได้แล้ว แต่หากปฏิเสธที่จะร่วมเพศกับเราทั้ง ๆ ที่เรามีความต้องการ ต้องคิดหนัก เราเองยังอายุน้อยและเป็นวัยที่ยังมีความต้องการ แล้วเขาไม่คิดจะให้เราในเรื่องนั้น อย่างนี้อยู่ต่อไปเราก็จะกลายเป็นคนเก็บกด โอกาสที่จะเป็นคนโรคจิตมีมากทีเดียว และที่ร้ายไปกว่านั้นเขามีความสุขกับการคุยกับคนที่รู้จักกันผ่านอิน เทอร์เน็ต และมีความต้องการทางเพศกับคนพวก นั้น ทั้ง ๆ ที่เราเป็นเนื้อเป็นหนังอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย อย่างนี้ถือว่าใช้ไม่ได้แล้ว มันหยามกันเกินไป เราอยู่กับเขาแบบตัวเป็น ๆ เขาไม่พึงใจ แต่ผู้หญิงที่มาเป็นเพียงภาพและข้อความที่เป็นเพียง ตัวหนังสือ เขากลับสำเร็จความใคร่ได้ อย่างนี้เราอยู่ต่อไปก็จะต้องหมดความมั่นใจในตัวเอง
การที่เราจะต้องเริ่มก่อนนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากเขาจะสนองตอบด้วยความเต็มใจ และ พยายามทำให้เรามีความสุขอย่างคนที่รู้ใจเราไม่ใช่ทำให้ตนเองเสร็จไป โดยไม่สนใจว่าเราจะเสร็จหรือไม่ ผู้ชายอย่างนี้ต้องเรียกว่าเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ถ้าหากคุณไม่ได้มีลูกกับเขา น่าจะต้องคุยกับเขาเป็นเรื่องเป็นราว บอกเขาไปตรง ๆ ว่าคุณไม่ชอบพฤติกรรม ของเขาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มันเป็นพฤติกรรมที่ดู ถูกคุณ ทำร้ายจิตใจคุณ ถ้าหากเขาคิดว่าเขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เขายังต้องการที่จะมีพฤติกรรมแบบ เดิม ๆ ที่เป็นอยู่ คุณก็ควรขอแยกทางกับเขา ถ้าเขาไม่ยอม คุณก็ต้องฟ้องศาลให้ตัดสินโดยคุณจะต้อง ไม่อายที่จะให้การตรงไปตรงมาว่าเขาไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับคุณเยี่ยงคนที่ เป็นผัวเป็นเมียกัน
เรารักเขามาก เขาไม่รักตอบเราก็ทรมานใจ เราก็ต้องถามตัวเราเองว่าความทุกข์ทรมานในการอยู่กับเขา กับความทุกข์ทรมานที่จะต้องเลิกกับเขานั้น เราทนอะไรได้มากกว่ากัน อยากจะบอกว่าหากอยู่ ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข มันทรมานนะ การเลิก กันนั้น เราจะเจ็บปวดในช่วงแรกของการเลิก แต่ต่อไปเราก็จะปรับตัวได้ ยิ่งเมื่อเรารู้สึกว่าอยู่คนเดียว แล้วไม่มีใครมาทำอะไรให้เสียใจ ไม่มีใครมาทำร้าย จิตใจ ไม่มีใครมาทำให้เป็นทุกข์ ในที่สุดเราก็จะทำใจได้ และเดินหน้าต่อไปในชีวิต โดยไม่จำเป็นจะต้องมีเขา การที่ผู้หญิงรักผู้ชายมาก และไม่คิดจะเลิกกับผู้ชายที่ทำร้ายจิตใจของเมียด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ทำให้ผู้ชายลำพองหยิ่งผยอง คิดว่าผู้หญิงไม่กล้าหาญพอที่จะตัดใจเลิกกับเขา ก็จะเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าการกระทำของตนนั้นทำให้เมียเสียใจแค่ไหน ในที่สุดเมียที่อยู่ด้วยก็จะทรมานใจมากขึ้น เพราะนับวันความเลวร้ายของเขาจะรุนแรงมากขึ้น
การที่ผู้ชายคนหนึ่งไม่อยากมีเพศสัมพันธ์ กับเมียต้องถามกันตรง ๆ ว่าทำไมเขาจึงเป็นเช่นนั้น ต้องขอร้องให้เขาพูดความจริง ด้วยความจริงใจ เราจะได้หาทางแก้ไข ส่วนการที่คุณอ้วนนั้น อย่าไปคิดว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริงในการที่เขาปฏิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ์กับ คุณ เพราะมีผู้ชายดี ๆ เยอะแยะที่เขายังรักเมียเขาเหมือนเดิม มองเมียเขาเซ็กซี่เหมือนเดิมทั้ง ๆ ที่เมียเขาอ้วนกว่าสมัยที่เป็นสาวตั้งเยอะ ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับความผูกพันของการเป็นคู่ครอง ถ้าเขาไม่ต้องการเราแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าความผูกพันที่มีต่อกันไม่เพียงพอที่จะปลุกอารมณ์เพศเขาได้ จะพยายามเปลี่ยนแปลงเขาทำไม พยายามเปลี่ยนใจเราให้เลิกหลงรักเขาจะดีกว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องอยู่อย่างคนที่รู้ใจกัน พร้อมที่จะเอาใจกัน พร้อมที่จะเติมเต็มให้ชีวิตของกันและกัน พยายามที่จะทำให้คู่ครองของตนมีความสุข.
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา
seri_wong@yahoo.com
ที่มา: อยากเลิกกับสามี เสพสมบ่มิสม เดลินิวส์ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2553
เตือนอันตรายจากกระจกรถยนต์
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตือนผู้ขับขี่ปรับกระจกรถให้อยู่ในองศาที่เหมาะสม ไม่ก้มหรือเงยมากเกินไป
คุณอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า แม้ “กระจกหน้า-หลัง และกระจกข้าง/มองหลัง” จะเป็นอุปกรณ์สำคัญประจำรถยนต์ที่ช่วยเสริมความปลอดภัย แต่บ่อยครั้งพบว่าอุบัติเหตุเกิดจากทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ดี และการปรับกระจกรถอย่างไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดมุมอับจนผู้ขับขี่มองไม่เห็นรถที่อยู่ด้านหลังหรือด้านข้าง เพื่อความปลอดภัยขอแนะวิธีปรับกระจกรถอย่างถูกวิธี และวิธีแก้ไขปัญหาฉุกเฉินกรณีกระจกแตกหรือเป็นฝ้า ดังนี้
กระจกมองข้าง ปรับให้กระจกกางออกโดยตั้งฉากและขนานกับตัวรถ ไม่ก้มหรือเงยเกินไป จะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นรถที่อยู่ด้านข้างและหลังชัดเจนขึ้น แต่ต้องระวังไม่ปรับกระจกให้เห็นตัวถังรถด้านข้างมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดจุดบอดและเห็นรถคันอื่นในระยะกระชั้นชิดที่ช้ากว่าปกติ
กระจกมองหลัง ควรปรับกระจกให้ไม่เห็นศีรษะของผู้ขับขี่ และมองเห็นภาพในมุมกว้างมากที่สุด ทั้งด้านซ้าย ขวา และหลัง โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้กระจกที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มมุมมองทั้งภายในและนอกรถได้ ก่อนออกเดินทางควรปรับกระจกรถให้อยู่ในองศาที่เหมาะสมและเห็นภาพด้านกว้าง ที่ชัดเจนทั้งด้านซ้าย ขวา และหลังจะช่วยลดอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนช่องทางและแซงรถคันอื่น ห้ามปรับกระจกไป-มาในขณะที่รถกำลังวิ่งเพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
กรณีกระจกเป็นละอองฝ้าในช่วงฝนตก ควรแก้ไขโดยปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้คงที่และไม่ต่างจากอุณหภูมิภาย นอกรถ ไม่ปรับช่องแอร์ให้ลมพัดไปทางกระจก และลดระดับกระจกหน้าต่างลง หากเกิดฝ้าบริเวณกระจกหลังรถให้เปิดสวิตช์ตะแกรงขดลวดความร้อนไล่ฝ้า จะช่วยให้มองเห็นเส้นทางชัดเจนขึ้น
กรณีกระจกด้านหน้ารถแตกทั้งบาน ให้ปิดกระจกด้านข้างทุกบาน เพื่อมิให้แรงลมปะทะภายในรถทำให้รถเสียการทรงตัว หากกระจกด้านข้างรถแตกให้ปรับลดกระจกลงจนสุด เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนที่อาจทำให้กระจกแตกเพิ่มขึ้น พร้อมประคองพวงมาลัยให้มั่นและขับรถให้ช้ากว่าปกติ
นอกจากนี้เพื่อให้การมองเห็นเส้นทางเป็นไปอย่างชัดเจน ผู้ขับขี่ไม่ควรแขวนตุ๊กตาหรือติดสติกเกอร์บริเวณกระจกด้านหน้าและหลังรถ เพราะจะบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางของผู้ขับขี่
ที่มา: กทม. เดินหน้าเลี้ยวซ้าย เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 09 มิถุนายน 2553
คุณอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า แม้ “กระจกหน้า-หลัง และกระจกข้าง/มองหลัง” จะเป็นอุปกรณ์สำคัญประจำรถยนต์ที่ช่วยเสริมความปลอดภัย แต่บ่อยครั้งพบว่าอุบัติเหตุเกิดจากทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ดี และการปรับกระจกรถอย่างไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดมุมอับจนผู้ขับขี่มองไม่เห็นรถที่อยู่ด้านหลังหรือด้านข้าง เพื่อความปลอดภัยขอแนะวิธีปรับกระจกรถอย่างถูกวิธี และวิธีแก้ไขปัญหาฉุกเฉินกรณีกระจกแตกหรือเป็นฝ้า ดังนี้
กระจกมองข้าง ปรับให้กระจกกางออกโดยตั้งฉากและขนานกับตัวรถ ไม่ก้มหรือเงยเกินไป จะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นรถที่อยู่ด้านข้างและหลังชัดเจนขึ้น แต่ต้องระวังไม่ปรับกระจกให้เห็นตัวถังรถด้านข้างมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดจุดบอดและเห็นรถคันอื่นในระยะกระชั้นชิดที่ช้ากว่าปกติ
กระจกมองหลัง ควรปรับกระจกให้ไม่เห็นศีรษะของผู้ขับขี่ และมองเห็นภาพในมุมกว้างมากที่สุด ทั้งด้านซ้าย ขวา และหลัง โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้กระจกที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มมุมมองทั้งภายในและนอกรถได้ ก่อนออกเดินทางควรปรับกระจกรถให้อยู่ในองศาที่เหมาะสมและเห็นภาพด้านกว้าง ที่ชัดเจนทั้งด้านซ้าย ขวา และหลังจะช่วยลดอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนช่องทางและแซงรถคันอื่น ห้ามปรับกระจกไป-มาในขณะที่รถกำลังวิ่งเพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
กรณีกระจกเป็นละอองฝ้าในช่วงฝนตก ควรแก้ไขโดยปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้คงที่และไม่ต่างจากอุณหภูมิภาย นอกรถ ไม่ปรับช่องแอร์ให้ลมพัดไปทางกระจก และลดระดับกระจกหน้าต่างลง หากเกิดฝ้าบริเวณกระจกหลังรถให้เปิดสวิตช์ตะแกรงขดลวดความร้อนไล่ฝ้า จะช่วยให้มองเห็นเส้นทางชัดเจนขึ้น
กรณีกระจกด้านหน้ารถแตกทั้งบาน ให้ปิดกระจกด้านข้างทุกบาน เพื่อมิให้แรงลมปะทะภายในรถทำให้รถเสียการทรงตัว หากกระจกด้านข้างรถแตกให้ปรับลดกระจกลงจนสุด เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนที่อาจทำให้กระจกแตกเพิ่มขึ้น พร้อมประคองพวงมาลัยให้มั่นและขับรถให้ช้ากว่าปกติ
นอกจากนี้เพื่อให้การมองเห็นเส้นทางเป็นไปอย่างชัดเจน ผู้ขับขี่ไม่ควรแขวนตุ๊กตาหรือติดสติกเกอร์บริเวณกระจกด้านหน้าและหลังรถ เพราะจะบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางของผู้ขับขี่
ที่มา: กทม. เดินหน้าเลี้ยวซ้าย เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธ ที่ 09 มิถุนายน 2553
หนทางฟื้นฟูใจ - 'เมตตาและรักตัวเอง'
คิดมาก แก้ปัญหาไม่ตก: หนทางฟื้นฟูใจในวิกฤติ
สภาพสังคมที่กำลังเสื่อมสลายในปัจจุบัน ทั้งจากปัญหาบ้านเมืองและสังคมบีบคั้น ถึงเวลาที่ต้องฟื้นฟูและหาทางเยียวยา การพัฒนาจิตใจเป็นอีกหนึ่งหนทางรับมือวิกฤติในชีวิต ด้วยเหตุนี้ สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ เปิดตัวหนังสือธรรมะอ่านง่าย ซึ่งรวบรวมความรู้ที่ชาวพุทธควรทราบ 4 เล่มใหม่เอี่ยมอ่อง ได้แก่ วัคซีนธรรมะ, รู้เท่าทันกรรม ชีวิตเป็นสุข, โชคดีที่ได้รู้ และ ดีใจที่ได้ทราบ ผลงาน พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนา ราม จ.กาญจนบุรี พระนักเขียนและพระนักปฏิบัติชื่อดังชาวญี่ปุ่นผู้ค้นพบหนทางแห่งพุทธศาสนา
พระอาจารย์มิตซูโอะ กล่าวถึงแนวทางการดำเนินชีวิตในสถานการณ์ปัจจุบันว่า สังคมทุกวันนี้มีปัญหามากขึ้น สังคมแตกแยก คนไทยไม่สบายใจ เป็นทุกข์มาก เกิดจากการสื่อสารต่าง ๆ ที่มีมากเกินไป การรับข้อมูลด้านเดียว ทำให้เกิดการทะเลาะและขัดแย้งกันมากขึ้น ต้องคิดถึงประโยชน์ ส่วนรวม รักษาใจเป็นกลาง หนักแน่น เชื่อ ครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ทำใจให้ดี มีเมตตา ให้อภัย ไม่ยินดียินร้าย เรียนรู้และหัดคิดให้ดี คิดให้ถูกได้อย่างไร
“หลักการปฏิบัติธรรมคือ ใช้เทคนิคในการเจริญเมตตาปวารณา ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จงทำใจหนักแน่น ให้ท่องว่าอดได้ ทนได้ รอได้ ใน ชีวิตประจำวันดำเนินชีวิตอย่างปกติ มีสติ ทำสุขภาพใจให้ดี หากสุขภาพใจไม่ดีเงิน พันล้านก็ไม่มีความหมาย ทำอะไรก็ตามให้เอาใจใส่หน้าที่ของตนให้ดีที่สุด รักษาศีล กฎหมายบ้านเมือง กติกาสังคม ความเป็นไทยในสิ่งที่ดีไว้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ได้และพอใจในสิ่งที่มีอยู่”
พระนักปฏิบัติชื่อดังกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาเกิดขึ้นเพราะรับมาจากคนอื่น คนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกข์เพราะเหตุใด หาต้นตอไม่เจอ คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ รู้สึกว่าเป็นทุกข์ เพราะคิดว่าตัวเองไม่ดี ทุกข์จึงเกิดจากทุกข์เพราะคิดผิด ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจชีวิต
ส่วนแนวทางแก้ปัญหา ไม่ว่าหน่วยงานต่าง ๆ รัฐบาล ประชาชนคนไทย 65 ล้านคนต้องร่วมมือกัน โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ แนะนำว่า ต้องรักและเมตตาตัวเองก่อน ควรใช้ปิยวาจา คือการวางตนให้เหมาะ สม สำรวมตน และช่วยเหลือสังคม สำหรับ ผู้ที่ได้รับผลกระทบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในขณะนี้ เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น เป็นเพราะมีเหตุที่บางทีเราอาจไม่รู้ซึ่งสร้างไว้ในอดีต แต่กฎแห่งกรรมนั้นมีอยู่จริง ใครทำอะไรจะได้ผลนั้นตอบแทน อย่างไรก็ตาม คนไทยถูกสอนมาว่า ทุกคนเป็นพี่น้องกันมาแต่ชาติปางก่อน ให้คิดว่าอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ที่ต้องให้อภัยและเมตตากรุณาต่อกัน
ที่มา: หน้าสตรี เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธที่ 09 มิถุนายน 2553
อย่าคิดมาก ปัญหาแก้ไม่ตก ไม่จริง ทุกอย่างแก้ไขได้ ด้วยธรรมะ อ่านหนังสือนี้จะช่วยให้พบหนทางสว่างกระจ่างในชีวิต
สภาพสังคมที่กำลังเสื่อมสลายในปัจจุบัน ทั้งจากปัญหาบ้านเมืองและสังคมบีบคั้น ถึงเวลาที่ต้องฟื้นฟูและหาทางเยียวยา การพัฒนาจิตใจเป็นอีกหนึ่งหนทางรับมือวิกฤติในชีวิต ด้วยเหตุนี้ สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ เปิดตัวหนังสือธรรมะอ่านง่าย ซึ่งรวบรวมความรู้ที่ชาวพุทธควรทราบ 4 เล่มใหม่เอี่ยมอ่อง ได้แก่ วัคซีนธรรมะ, รู้เท่าทันกรรม ชีวิตเป็นสุข, โชคดีที่ได้รู้ และ ดีใจที่ได้ทราบ ผลงาน พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนา ราม จ.กาญจนบุรี พระนักเขียนและพระนักปฏิบัติชื่อดังชาวญี่ปุ่นผู้ค้นพบหนทางแห่งพุทธศาสนา
พระอาจารย์มิตซูโอะ กล่าวถึงแนวทางการดำเนินชีวิตในสถานการณ์ปัจจุบันว่า สังคมทุกวันนี้มีปัญหามากขึ้น สังคมแตกแยก คนไทยไม่สบายใจ เป็นทุกข์มาก เกิดจากการสื่อสารต่าง ๆ ที่มีมากเกินไป การรับข้อมูลด้านเดียว ทำให้เกิดการทะเลาะและขัดแย้งกันมากขึ้น ต้องคิดถึงประโยชน์ ส่วนรวม รักษาใจเป็นกลาง หนักแน่น เชื่อ ครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ทำใจให้ดี มีเมตตา ให้อภัย ไม่ยินดียินร้าย เรียนรู้และหัดคิดให้ดี คิดให้ถูกได้อย่างไร
“หลักการปฏิบัติธรรมคือ ใช้เทคนิคในการเจริญเมตตาปวารณา ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จงทำใจหนักแน่น ให้ท่องว่าอดได้ ทนได้ รอได้ ใน ชีวิตประจำวันดำเนินชีวิตอย่างปกติ มีสติ ทำสุขภาพใจให้ดี หากสุขภาพใจไม่ดีเงิน พันล้านก็ไม่มีความหมาย ทำอะไรก็ตามให้เอาใจใส่หน้าที่ของตนให้ดีที่สุด รักษาศีล กฎหมายบ้านเมือง กติกาสังคม ความเป็นไทยในสิ่งที่ดีไว้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ได้และพอใจในสิ่งที่มีอยู่”
พระนักปฏิบัติชื่อดังกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาเกิดขึ้นเพราะรับมาจากคนอื่น คนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกข์เพราะเหตุใด หาต้นตอไม่เจอ คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ รู้สึกว่าเป็นทุกข์ เพราะคิดว่าตัวเองไม่ดี ทุกข์จึงเกิดจากทุกข์เพราะคิดผิด ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจชีวิต
ส่วนแนวทางแก้ปัญหา ไม่ว่าหน่วยงานต่าง ๆ รัฐบาล ประชาชนคนไทย 65 ล้านคนต้องร่วมมือกัน โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ แนะนำว่า ต้องรักและเมตตาตัวเองก่อน ควรใช้ปิยวาจา คือการวางตนให้เหมาะ สม สำรวมตน และช่วยเหลือสังคม สำหรับ ผู้ที่ได้รับผลกระทบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในขณะนี้ เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น เป็นเพราะมีเหตุที่บางทีเราอาจไม่รู้ซึ่งสร้างไว้ในอดีต แต่กฎแห่งกรรมนั้นมีอยู่จริง ใครทำอะไรจะได้ผลนั้นตอบแทน อย่างไรก็ตาม คนไทยถูกสอนมาว่า ทุกคนเป็นพี่น้องกันมาแต่ชาติปางก่อน ให้คิดว่าอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ที่ต้องให้อภัยและเมตตากรุณาต่อกัน
ที่มา: หน้าสตรี เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธที่ 09 มิถุนายน 2553
อย่าคิดมาก ปัญหาแก้ไม่ตก ไม่จริง ทุกอย่างแก้ไขได้ ด้วยธรรมะ อ่านหนังสือนี้จะช่วยให้พบหนทางสว่างกระจ่างในชีวิต
เลิกนิสัยน่าเบื่อ รับปีใหม่กันเถอะ
เพิ่งผ่านพ้นปีเก่าไปหยกๆ คุณผู้อ่านไปเที่ยวไหนกันมาบ้างฮ้า เพราะเห็นบางท่านได้หยุดยาวติดต่อกันหลายวันเชียว จนสามารถใช้เวลาในช่วงวันหยุดนี้ เที่ยวไปด้วย และทำบุญทำกุศลไปด้วย แหมหากได้ทั้งบุญและได้ทั้งความสนุกตื่นเต้นหยั่งงี้ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะ จ๊ะ ส่วนใครถ้าเป็นคู่ที่เพิ่งเลิฟกันใหม่ๆ คงชวนกันออกเดท ไปนู่นไปนี่ เพื่อศึกษานิสัยใจคอกันและกันให้รู้ดีรู้ชั่ว...เอ๊ย...ให้ชุ่มฉ่ำ กับรสรักที่แสนหวานไปเลยสินะ อ่ะถ้าไม่มีใจให้กันแล้วจะอยากอยู่ใกล้ชิดกันเรอะ
ว่าแต่ขึ้นปีใหม่ ทั้งที คงมีท่านผู้อ่านหลายคนอยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตให้ดี ขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาบ้างละน่า เพราะบางท่านหลังจากได้ทำการสำรวจตัวเองตลอดปีเก่าแล้ว เกิดพบว่า น่าจะปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ได้นี่หว่า จึงจุดประกายให้อยากทำตัวให้ดีขึ้นน่ะซี หรือบางรายไม่ได้หันไปสำรวจตัวเองในปีเก่าที่ผ่านมาหรอก ทว่าอยากให้สัญญากับตัวเองว่า จะทำตัวให้ดีขึ้นหยั่งงั้นหยั่งงี้เพื่อต้อนรับปีใหม่ ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีไงจ๊ะ
ซึ่งพูดก็พูดเหอะ พอขึ้นปีใหม่ทีไรใครๆก็มักตั้งเป้าหมายให้ตัวเองมีพฤติกรรมหรือนิสัยใจคอ เป็นไปในทางที่ดีขึ้นทุกปีนั่นแหละ ยกตัวอย่าง เพื่อนที่ชื่อฝนให้ฟังก็ได้ หล่อนบอกว่า ตั้งใจไว้ว่าปีใหม่อยากจะเลิกเป็น "คนขี้วีน" สักที... เออแน่ะ แสดงว่ารู้ตัวด้วยแฮะ
เพื่อนบอก...ก็รู้นะว่าตัวเองเป็นสาว เจ้าอารมณ์ ที่หากใครเกิดทำอะไรให้หล่อนผิดใจเข้าให้ละก็ หล่อนก็พร้อมระเบิดอารมณ์ใส่คนนั้นทันที แต่ดีหน่อยตรงนิสัยขี้วีนของหล่อน เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลพอสมควร ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะวีนใครเค้าไปทั่ว แหม...หล่อนไม่ใช่คนแบบน้าน หรอกน่า
ก็ขออวยพรให้หล่อนสามารถระงับ อาการขี้วีนได้สมปรารถนาทีเถิด แต่ขอบอกหน่อยเหอะว่า ถ้าขี้วีนอย่างมีเหตุผล ยังถือเป็นการกระทำที่ไม่หนักหนาสาหัสกับคู่กรณีของเพื่อนหรอกจ้ะ
เพราะ คนขี้วีนแบบไม่มีเหตุผลต่างหากล่ะ ที่มักส่งผลให้ชาวบ้านชาวช่องหรือคนใกล้ตัวแทบประสาทกินไปตามๆกันมากกว่า เอ้ามีนะบางคนพอโกรธหรือโมโหโกรธาแบบนางร้ายในละครทีวีขึ้นมางี้ พี่แกยังพาลทำลายและขว้างปาข้าวของ อย่างที่เรียกกันว่า "วีนแตก" ยังมีเลย
ดังนั้น การพยายามระงับอาการขี้วีน จึงเป็นความตั้งใจที่ดีของเพื่อนที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง
งั้นไหนๆก็ขึ้นปีใหม่แล้ว ลองมาตั้งใจทำให้ ชีวิตของพวกเรามีพฤติกรรมและนิสัยที่ดีขึ้นกว่าเดิมกันมะ เช่น....
1. เลิกขี้บ่นกะแฟนซะที
หาก แต่ก่อนคุณเกิดไม่สบอารมณ์กับการกระทำอะไรสักอย่างของแฟนขึ้นมา แล้วคุณก็มักนำสิ่งที่ไม่พอใจในตัวแฟนมาบ่นแล้ว บ่นอีก แบบว่า ทำไมเค้าไม่เคยจำได้สักทีว่า วันเกิดของคุณน่ะวันที่เท่าไหร่? หรือแม้แต่วันครบรอบความเลิฟของเราเค้าก็ไม่เคยแคร์เลยสักกะติ๊ด แหม...ถ้าเป็นงี้ก็น่าเห็นใจคุณเนอะ แต่ลองคิดดูเดะ ว่า เมื่อคุณบ่นเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร เค้าเคยทำท่าหันมาสนใจบ้างไหมล่ะ...ก็ไม่เคยใช่มะ ดังนั้น ทางที่ดีจึงควรเลิกบ่นกระปอดกระแปดกะแฟน แล้วหันมาใช้วิธีพูดคุยกันอย่างมีเหตุมีผล ละกัน...หรือถ้าสามารถพูดกันด้วยภาษาที่ไพเราะเสนาะหูซะมั่งก็จะดีมากจ้า
โดย คุณเกริ่นกะเค้าไว้ล่วงหน้าซะเลยสิว่า วันเกิดปีนี้ของเดี๊ยนน่ะ (บอกไปเลยว่าวันไหน อย่าใช้การลองใจว่าจำได้ไหม)....คุณอยากได้ของขวัญอะไรจากเค้า เช่น อยากให้เค้ามีเวลาว่างพาคุณไปฉลองวันเกิดที่ไหนก็ว่ากันไป, อยากให้เค้าพาไปเที่ยวต่างประเทศ, อยากให้เค้าชวนไปทำบุญตามสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือสถานดูแลคนชราและคน พิการ...ก็ระบุไปได้เลย
2. เลิกสอดรู้สอดเห็น แล้วหันมาไว้ใจแฟนให้มากขึ้นดีฝ่า
ก่อน หน้านี้ถ้าคุณเคยส่ออาการไม่ไว้ใจแฟนมาก่อน ด้วยเหตุที่คุณเป็นคนชอบระแวงขึ้นมาเอง ไม่ใช่เพราะเค้าเจ้าชู้เป็นปลาไหลใส่สเกตละก็ พอขึ้นปีใหม่ทั้งทีคุณจึงควรละเว้นพฤติกรรมและนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นใน เรื่องของแฟนว่า เค้าจะไปแอบจีบใครลับหลังคุณได้แล้ว เพราะการทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คุณไม่สบายใจมากกว่า และถือเป็น "การทำร้ายตัวเอง" อย่างนึงนะเนี่ย
แต่หากแฟนคุณเป็นคนเจ้าชู้ตัวยงละก็ เห็นทีคุณต้องเปิดฉากปะฉะดะ...เจรจากะเค้าให้รู้เรื่องแล้วละว่า เค้าจะเจ้าชู้อีกนานมะ โห...แก่ป่านนี้แล้วยังเจ้าชู้อยู่ได้ ไม่เจียมตัวเอาซะเลยนะยะ แล้วดูสิว่า เค้าจะตอบโต้คุณกลับมาไหม? หรือบางทีเค้าอาจสำนึกขึ้นมาบ้างก็ได้นะ...ขอให้เป็นงี้เหอะว้า
3. เลิกวิพากษ์วิจารณ์แฟนให้ใครๆ ฟังสักที
แบบ ว่า ถ้าคุณเป็นคนช่างคุย ช่างจำนรรจาโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดีของแฟนให้ญาติสนิท มิตรสหายของคุณฟังละก็ หากเค้าเป็นคนที่โหลยโท่ยอย่างแท้จริง เช่น ชอบใช้กำลังทำร้ายร่างกายคุณ, ไม่เคยเจียดเงินเดือนมาให้คุณใช้บ้างเลย แม้จะอยู่ด้วยกันแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมาต่างคนต่างก็ยังใช้เงินคนละกระเป๋าเหมียนเดิม เพราะเค้าไม่เคยคิดจะจุนเจือหรือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้คุณเลยแม้แต่ติ๊ด เดียวละก็
ขอแนะนะฮ้าว่า อย่าเสียเวลานำเรื่องที่ไม่ดีของเค้าไปเล่าให้คนรอบข้างฟังเลย มันเสียเวลาเปล่าๆ เพราะควรเลิกกะมันซะ...เอ๊ย บอกให้แฟนมีความรับผิดชอบกะคุณมากกว่านี้ไม่ดีเรอะ
4. เลิกตามใจปาก เพื่อรักษาหุ่นเอาไว้ให้ เช้งกระเด๊ะไง
จริงอยู่เกิดมาทั้งที เราก็ควรมีอิสระที่จะรับประทานอะไรต่อมิอะไรที่ตัวเองชอบสิ แต่ช้าก่อน...
หาก คุณขยันกินจุกกินจิกมากเกินไปจนทำให้ตัวเองอ้วนเผละเป็นหมูพะโล้ล่ะก็ โหเท่ากับบั่นทอนความสวยและความสเลนเดอร์ของตัวเลยนะ แถมสังคมยังชอบมองและให้ความสำคัญกับสาวหุ่นผอมเพรียวซะด้วย ดังนั้น ไม่ต้องถึงกะอดหรอกหนู แค่ทานอาหารพอประมาณ คุณก็รักษาหุ่นได้แล้วจ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 3 มกราคม 2553
ว่าแต่ขึ้นปีใหม่ ทั้งที คงมีท่านผู้อ่านหลายคนอยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตให้ดี ขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาบ้างละน่า เพราะบางท่านหลังจากได้ทำการสำรวจตัวเองตลอดปีเก่าแล้ว เกิดพบว่า น่าจะปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ได้นี่หว่า จึงจุดประกายให้อยากทำตัวให้ดีขึ้นน่ะซี หรือบางรายไม่ได้หันไปสำรวจตัวเองในปีเก่าที่ผ่านมาหรอก ทว่าอยากให้สัญญากับตัวเองว่า จะทำตัวให้ดีขึ้นหยั่งงั้นหยั่งงี้เพื่อต้อนรับปีใหม่ ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีไงจ๊ะ
ซึ่งพูดก็พูดเหอะ พอขึ้นปีใหม่ทีไรใครๆก็มักตั้งเป้าหมายให้ตัวเองมีพฤติกรรมหรือนิสัยใจคอ เป็นไปในทางที่ดีขึ้นทุกปีนั่นแหละ ยกตัวอย่าง เพื่อนที่ชื่อฝนให้ฟังก็ได้ หล่อนบอกว่า ตั้งใจไว้ว่าปีใหม่อยากจะเลิกเป็น "คนขี้วีน" สักที... เออแน่ะ แสดงว่ารู้ตัวด้วยแฮะ
เพื่อนบอก...ก็รู้นะว่าตัวเองเป็นสาว เจ้าอารมณ์ ที่หากใครเกิดทำอะไรให้หล่อนผิดใจเข้าให้ละก็ หล่อนก็พร้อมระเบิดอารมณ์ใส่คนนั้นทันที แต่ดีหน่อยตรงนิสัยขี้วีนของหล่อน เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลพอสมควร ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะวีนใครเค้าไปทั่ว แหม...หล่อนไม่ใช่คนแบบน้าน หรอกน่า
ก็ขออวยพรให้หล่อนสามารถระงับ อาการขี้วีนได้สมปรารถนาทีเถิด แต่ขอบอกหน่อยเหอะว่า ถ้าขี้วีนอย่างมีเหตุผล ยังถือเป็นการกระทำที่ไม่หนักหนาสาหัสกับคู่กรณีของเพื่อนหรอกจ้ะ
เพราะ คนขี้วีนแบบไม่มีเหตุผลต่างหากล่ะ ที่มักส่งผลให้ชาวบ้านชาวช่องหรือคนใกล้ตัวแทบประสาทกินไปตามๆกันมากกว่า เอ้ามีนะบางคนพอโกรธหรือโมโหโกรธาแบบนางร้ายในละครทีวีขึ้นมางี้ พี่แกยังพาลทำลายและขว้างปาข้าวของ อย่างที่เรียกกันว่า "วีนแตก" ยังมีเลย
ดังนั้น การพยายามระงับอาการขี้วีน จึงเป็นความตั้งใจที่ดีของเพื่อนที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง
งั้นไหนๆก็ขึ้นปีใหม่แล้ว ลองมาตั้งใจทำให้ ชีวิตของพวกเรามีพฤติกรรมและนิสัยที่ดีขึ้นกว่าเดิมกันมะ เช่น....
1. เลิกขี้บ่นกะแฟนซะที
หาก แต่ก่อนคุณเกิดไม่สบอารมณ์กับการกระทำอะไรสักอย่างของแฟนขึ้นมา แล้วคุณก็มักนำสิ่งที่ไม่พอใจในตัวแฟนมาบ่นแล้ว บ่นอีก แบบว่า ทำไมเค้าไม่เคยจำได้สักทีว่า วันเกิดของคุณน่ะวันที่เท่าไหร่? หรือแม้แต่วันครบรอบความเลิฟของเราเค้าก็ไม่เคยแคร์เลยสักกะติ๊ด แหม...ถ้าเป็นงี้ก็น่าเห็นใจคุณเนอะ แต่ลองคิดดูเดะ ว่า เมื่อคุณบ่นเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร เค้าเคยทำท่าหันมาสนใจบ้างไหมล่ะ...ก็ไม่เคยใช่มะ ดังนั้น ทางที่ดีจึงควรเลิกบ่นกระปอดกระแปดกะแฟน แล้วหันมาใช้วิธีพูดคุยกันอย่างมีเหตุมีผล ละกัน...หรือถ้าสามารถพูดกันด้วยภาษาที่ไพเราะเสนาะหูซะมั่งก็จะดีมากจ้า
โดย คุณเกริ่นกะเค้าไว้ล่วงหน้าซะเลยสิว่า วันเกิดปีนี้ของเดี๊ยนน่ะ (บอกไปเลยว่าวันไหน อย่าใช้การลองใจว่าจำได้ไหม)....คุณอยากได้ของขวัญอะไรจากเค้า เช่น อยากให้เค้ามีเวลาว่างพาคุณไปฉลองวันเกิดที่ไหนก็ว่ากันไป, อยากให้เค้าพาไปเที่ยวต่างประเทศ, อยากให้เค้าชวนไปทำบุญตามสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือสถานดูแลคนชราและคน พิการ...ก็ระบุไปได้เลย
2. เลิกสอดรู้สอดเห็น แล้วหันมาไว้ใจแฟนให้มากขึ้นดีฝ่า
ก่อน หน้านี้ถ้าคุณเคยส่ออาการไม่ไว้ใจแฟนมาก่อน ด้วยเหตุที่คุณเป็นคนชอบระแวงขึ้นมาเอง ไม่ใช่เพราะเค้าเจ้าชู้เป็นปลาไหลใส่สเกตละก็ พอขึ้นปีใหม่ทั้งทีคุณจึงควรละเว้นพฤติกรรมและนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นใน เรื่องของแฟนว่า เค้าจะไปแอบจีบใครลับหลังคุณได้แล้ว เพราะการทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คุณไม่สบายใจมากกว่า และถือเป็น "การทำร้ายตัวเอง" อย่างนึงนะเนี่ย
แต่หากแฟนคุณเป็นคนเจ้าชู้ตัวยงละก็ เห็นทีคุณต้องเปิดฉากปะฉะดะ...เจรจากะเค้าให้รู้เรื่องแล้วละว่า เค้าจะเจ้าชู้อีกนานมะ โห...แก่ป่านนี้แล้วยังเจ้าชู้อยู่ได้ ไม่เจียมตัวเอาซะเลยนะยะ แล้วดูสิว่า เค้าจะตอบโต้คุณกลับมาไหม? หรือบางทีเค้าอาจสำนึกขึ้นมาบ้างก็ได้นะ...ขอให้เป็นงี้เหอะว้า
3. เลิกวิพากษ์วิจารณ์แฟนให้ใครๆ ฟังสักที
แบบ ว่า ถ้าคุณเป็นคนช่างคุย ช่างจำนรรจาโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดีของแฟนให้ญาติสนิท มิตรสหายของคุณฟังละก็ หากเค้าเป็นคนที่โหลยโท่ยอย่างแท้จริง เช่น ชอบใช้กำลังทำร้ายร่างกายคุณ, ไม่เคยเจียดเงินเดือนมาให้คุณใช้บ้างเลย แม้จะอยู่ด้วยกันแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมาต่างคนต่างก็ยังใช้เงินคนละกระเป๋าเหมียนเดิม เพราะเค้าไม่เคยคิดจะจุนเจือหรือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้คุณเลยแม้แต่ติ๊ด เดียวละก็
ขอแนะนะฮ้าว่า อย่าเสียเวลานำเรื่องที่ไม่ดีของเค้าไปเล่าให้คนรอบข้างฟังเลย มันเสียเวลาเปล่าๆ เพราะควรเลิกกะมันซะ...เอ๊ย บอกให้แฟนมีความรับผิดชอบกะคุณมากกว่านี้ไม่ดีเรอะ
4. เลิกตามใจปาก เพื่อรักษาหุ่นเอาไว้ให้ เช้งกระเด๊ะไง
จริงอยู่เกิดมาทั้งที เราก็ควรมีอิสระที่จะรับประทานอะไรต่อมิอะไรที่ตัวเองชอบสิ แต่ช้าก่อน...
หาก คุณขยันกินจุกกินจิกมากเกินไปจนทำให้ตัวเองอ้วนเผละเป็นหมูพะโล้ล่ะก็ โหเท่ากับบั่นทอนความสวยและความสเลนเดอร์ของตัวเลยนะ แถมสังคมยังชอบมองและให้ความสำคัญกับสาวหุ่นผอมเพรียวซะด้วย ดังนั้น ไม่ต้องถึงกะอดหรอกหนู แค่ทานอาหารพอประมาณ คุณก็รักษาหุ่นได้แล้วจ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 3 มกราคม 2553
มุมภาษี: ระวังผู้ทำบัญชี และผู้สอบบัญชี
เมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90/91 เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี 2552 ก็ถึงช่วงเวลาการยื่นงบดุลให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กรมสรรพากร
เพราะนับต่อจากนี้ไปจนวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2553 กรรมการบริษัท หรือผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั้งหลายต้องปฏิบัติการเกี่ยว กับงบดุล และการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50/52/55 แล้วแต่กรณี
ในปีนี้วันที่ครบ 150 วันที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 คือวันที่ 30 พฤษภาคม ตรงกับวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จึงขยายเวลาออกไปให้ตรงกับการยื่นงบดุล คือวันที่ 31 พฤษภาคม 2553
ในหลายปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้เคยมีหนังสือเตือนท่านผู้ประกอบการใช้ความระมัดระวังและพยายามติดตามตรวจตราในการจัดหาผู้ทำบัญชีและผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีว่า ปรากฏว่ามีบางบริษัทห้างร้านได้ว่าจ้างบุคคลอื่นเป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมายบัญชี รายงานตามประมวลรัษฎากร และให้ผู้รับจ้างยื่นแบบแสดงรายการภาษี พร้อมทั้งใช้ผู้ตรวจสอบบัญชี
โดยจากการตรวจพบว่า มีหลายกรณีที่ผู้รับจ้างไม่ได้จัดทำบัญชี และยื่นเสียภาษีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยผู้ประกอบการผู้ว่าจ้างอาจไม่รู้ถึงความผิดพลาดนั้น ๆ แต่ต้องก้มหน้ารับภาระภาษี (กรรม) และเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาประเด็นความผิดที่เกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าว ในปีนี้จึงขอนำคำเตือนของกรมสรรพากรมาเรียกแจ้งท่านผู้ประกอบการอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
1. เลือกใช้บริการจากผู้รับจ้างทำบัญชี และผู้สอบบัญชีที่มีการปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบสูง
2. เรียกเอกสารพร้อมสมุดบัญชีและรายงานมาตรวจดูทุกเดือนว่ามีการจัดทำบัญชีเป็นปัจจุบันหรือไม่ ใช้เอกสารหลักฐานที่ถูกต้อง ครบถ้วน และจัดเก็บเอกสารหลักฐานดังกล่าวไว้ ณ สถานประกอบการ
3. หากมีการชำระภาษีอากรใด ๆ ให้เรียกดูต้นฉบับใบเสร็จรับเงินค่าภาษีอากรที่ออกโดยกรมสรรพากร และสำเนาแบบแสดงรายการภาษี พร้อมทั้งงบการเงินจากผู้รับจ้างทำบัญชี และจัดเก็บไว้ ณ สถานประกอบการทุกครั้ง
4. ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) ผู้ประกอบการควรตรวจดูรายการที่ต้องแจ้งในแบบแจ้งข้อความของกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้จัดการให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
5. ผู้ประกอบการพึงตรวจดูว่าไม่มีการใช้ใบกำกับภาษีซื้อที่ผู้ประกอบการไม่ได้มีการซื้อสินค้า หรือใช้บริการจริงในการลงบัญชีและรายงานตามประมวลรัษฎากร
6. ตรวจสอบมูลค่าสินค้าคงเหลือปลายงวดให้ตรงกับมูลค่าที่มีอยู่จริงและตรงตามรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
ที่มา: มุมภาษี: ระวังผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชี เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 06 เมษายน 2553
เพราะนับต่อจากนี้ไปจนวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2553 กรรมการบริษัท หรือผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั้งหลายต้องปฏิบัติการเกี่ยว กับงบดุล และการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50/52/55 แล้วแต่กรณี
ในปีนี้วันที่ครบ 150 วันที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 คือวันที่ 30 พฤษภาคม ตรงกับวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จึงขยายเวลาออกไปให้ตรงกับการยื่นงบดุล คือวันที่ 31 พฤษภาคม 2553
ในหลายปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้เคยมีหนังสือเตือนท่านผู้ประกอบการใช้ความระมัดระวังและพยายามติดตามตรวจตราในการจัดหาผู้ทำบัญชีและผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีว่า ปรากฏว่ามีบางบริษัทห้างร้านได้ว่าจ้างบุคคลอื่นเป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมายบัญชี รายงานตามประมวลรัษฎากร และให้ผู้รับจ้างยื่นแบบแสดงรายการภาษี พร้อมทั้งใช้ผู้ตรวจสอบบัญชี
โดยจากการตรวจพบว่า มีหลายกรณีที่ผู้รับจ้างไม่ได้จัดทำบัญชี และยื่นเสียภาษีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยผู้ประกอบการผู้ว่าจ้างอาจไม่รู้ถึงความผิดพลาดนั้น ๆ แต่ต้องก้มหน้ารับภาระภาษี (กรรม) และเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาประเด็นความผิดที่เกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าว ในปีนี้จึงขอนำคำเตือนของกรมสรรพากรมาเรียกแจ้งท่านผู้ประกอบการอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
1. เลือกใช้บริการจากผู้รับจ้างทำบัญชี และผู้สอบบัญชีที่มีการปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบสูง
2. เรียกเอกสารพร้อมสมุดบัญชีและรายงานมาตรวจดูทุกเดือนว่ามีการจัดทำบัญชีเป็นปัจจุบันหรือไม่ ใช้เอกสารหลักฐานที่ถูกต้อง ครบถ้วน และจัดเก็บเอกสารหลักฐานดังกล่าวไว้ ณ สถานประกอบการ
3. หากมีการชำระภาษีอากรใด ๆ ให้เรียกดูต้นฉบับใบเสร็จรับเงินค่าภาษีอากรที่ออกโดยกรมสรรพากร และสำเนาแบบแสดงรายการภาษี พร้อมทั้งงบการเงินจากผู้รับจ้างทำบัญชี และจัดเก็บไว้ ณ สถานประกอบการทุกครั้ง
4. ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) ผู้ประกอบการควรตรวจดูรายการที่ต้องแจ้งในแบบแจ้งข้อความของกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้จัดการให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
5. ผู้ประกอบการพึงตรวจดูว่าไม่มีการใช้ใบกำกับภาษีซื้อที่ผู้ประกอบการไม่ได้มีการซื้อสินค้า หรือใช้บริการจริงในการลงบัญชีและรายงานตามประมวลรัษฎากร
6. ตรวจสอบมูลค่าสินค้าคงเหลือปลายงวดให้ตรงกับมูลค่าที่มีอยู่จริงและตรงตามรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
ที่มา: มุมภาษี: ระวังผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชี เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 06 เมษายน 2553
คบเพื่อนยังไง ไม่ผิดใจเรื่องแฟน
เชื่อมะว่า บางคนเกิดความสับสนระหว่างความรักที่มีต่อแฟน กับความรักที่มีต่อเพื่อนซะงั้นแหละ เอ๊ะ...ความรักของทั้ง 2 ฝ่ายมันแตกต่างกันยังไงเรอะ? แหมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปได้
ถ้าเป็น "ความรักเพื่อน" พวกเราก็จะคบเพื่อนแบบชวนกันไปไหนไปกัน, ไปซื้อของกระจุกกระจิกก็รีบไปกันเชียว, นัดกันไปเที่ยว, นัดไปเดินช้อปปิ้ง ....บางทีไปห้างหรูๆก็ไม่ได้ไปซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก แต่ขอให้ได้ไปเดินดูของสวยๆงามๆก็โอเคแย้ว
และเราก็จะคุยกับเพื่อน โดยใช้คำว่า ชั้นกับแก (ชั้นกะเธอ) หรือกูกะมึงกันโดยไม่เคอะเขิน และไม่ ค่อยคาดหวังว่าจะได้อะไรตอบแทนจากเพื่อนมากมายนัก เช่น ไม่ค่อยหวังให้เพื่อนมาซื้อของขวัญวันเกิดให้...เออแต่ถ้าได้ก็ดี...อ้าว! เพียงขอให้เพื่อนดีกะเราก็พอแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่า เราจะไม่ทะเลาะกับเพื่อนซะเลยนะ อู้ย...ไม่อยากจะเซดว่า ชนวนเหตุที่ทำให้เพื่อนกันเนี่ย มีปากเสียงจึงถึงขั้นทะเลาะตบตี...เอ๊ย...มีความเห็นขัดแย้งกันน่ะ มีเยอะแยะจะตายชัก
ส่วนที่ไม่ค่อยพอใจกันก็มีทั้งเรื่องมีสาระและไร้ สาระ เช่น บางทีคุณชวนเพื่อนไปทานข้าว แต่เพื่อนยังติดธุระจึงบอกให้เดินไปก่อน แต่พอเพื่อนมาเห็นเราทานอาหารไปล่วงหน้าแล้วจริงๆ ไอ้เพื่อนคนนี้
ก็ดันเกิดไม่พอใจซะงั้น หาว่าไม่รอกัน...ยังมีเลย เนี่ยมันไร้สาระแบบหยุมหยิมไหมล่ะ
ส่วน เรื่อง "รักแฟน" ยังต้องให้จาระไนกันอีกรึ? เพราะดูเหมือนแต่ละคนจะเชี่ยวชาญและชำนาญการในเรื่องเลิฟแฟนซะเหลือเกินนะ ยิ่งคู่ไหนเพิ่งเป็นแฟนกันด้วยละก็ โอ๊ย...อาการติดหนึบ, อยากเจอหน้ากันทุกวัน, อยากอยู่ด้วยกันทุกนาที และอยากจูงมือ (หรือแต๊ะอั๋ง) กันตลอดเวลา รู้สึกจะเป็น ไปตามสัญชาตญาณแห่งความเลิฟนี้โดยอัต-โนมัตินะฮ้า
งั้นในเมื่อมนุษย์ ทุกคนมีทั้งความรักเพื่อนและรักแฟน (แต่ใครจะมีแฟนหรือไม่มีแฟนนี่ยังไม่นับนะเฟ้ย) ดังนั้น เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงควรมีกฎเกณฑ์มารยาทในการคบเพื่อนกับคบแฟนให้สมเหตุสมผล เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรของทุกฝ่าย ดังนี้สิจ๊ะ...
1. ถ้าเกิดคุณไปปิ๊งเลิฟคนคนเดียวกะเพื่อนเข้าละก็
ไอ้ หยา....อย่าให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้เด็ดขาดนะเฟ้ย เอางี้ละกันถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้ว่า เพื่อนของคุณเกิดไปสนอกสนใจใครสักคนขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นคนเดียวกับคนที่คุณเองก็อยากคบหาและชวนมาเป็นแฟนเหมียนกันละก็ เห็นทีคุณต้องสลัดความ รู้สึกชอบพอ "เค้าคนนั้น" ออกไปจากใจของคุณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ซะแล้วล่ะ
แต่บางท่าน คงอยากถามใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมจะต้องเป็นฝ่ายเสียสละด้วย? ในเมื่อ "ใครคนนั้น" ซึ่งเป็นคนที่ทั้งเพื่อนและทั้งคุณชอบเค้าน่ะ...ยังไม่ทันได้จ๊ะเอ๋, ได้คบหรือได้พูดคุยกะคุณเลย แล้วเผื่อคุณกะเค้าเข้ากันได้มากกว่าละ โอ๊ย หยั่งงี้ก็ไม่ยุติธรรมกะคุณดิ...ใช่ปะ
โถ...หนูจ๋า ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่บังเอิญคุณไปกิ๊กคนคนเดียวกับที่เพื่อนชอบ แต่เพื่อนคนนี้ดันสนิทสนมกับคุณอย่างมากมาก่อนแบบเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก โอ้... มายก็อดแม้จะทำใจลำบาก แต่เชื่อว่าสาว "ใจพระ" อย่าง คุณ ยังไง้
ยัง ไงก็ย่อมเลือกที่จะตัดใจมากกว่าจะไปแข่งกับเพื่อนจีบ "คนที่พวกคุณชอบ" แหงๆ เพราะถ้าขืนประกาศตัวเป็น "คู่แข่งทางใจ" ละก็ คุณกะเพื่อนยังจะคบกันได้อีกเรอะ คงเปลี่ยนไปเป็น "ศัตรูหัวใจ" กันมากกว่าน่ะเซ่ แล้ว คุณจะยอมเสียเพื่อนสนิทเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลย!
2. ถ้า "แฟนของเพื่อน" มากะลิ้มกะเหลี่ยคุณจงอย่าเล่นด้วยเชียว
เอ๊า มีนะที่แฟนเพื่อนสนิทของคุณ อาจเป็นพวกที่ไม่รู้จักพอ ขนาดเพื่อนของคุณแสนจะสวยน่ารักและเอาอกเอาใจเค้าแค่ไหน แต่เท่าที่ผ่านมาคุณก็รู้อยู่แก่ใจนั่นแหละ ว่าแฟนของเพื่อนเป็นคนเจ้าชู้มากแค่ไหน แถมจะไปเจ้าชู้ที่ไหนก็ไม่ไป ดันเล็งมาที่คุณซะด้วยแฮะ
เฮ้อ....ขืนเจอเข้างี้ ก็เข้าใจละนะว่า เหตุการณ์ ทำนองนี้ย่อมทำให้คุณเก๊กซิมและไม่อยากจะเจอ "ไอ้แฟนบ้าๆของเพื่อนคนนี้" เอาซะเลย แต่ด้วยความที่คุณยังต้องติดต่อกะเพื่อนของคุณอยู่ จึงหนีหน้ากันไม่ค่อยพ้น โอ๊ยโหยว หยั่งงี้เห็นทีเวลาคุณจะเจอเพื่อนเมื่อไหร่ จึงควรนัดเพื่อนให้ไปเจอกันตามลำพังโดยที่ไม่ให้เพื่อนพาแฟนมาด้วยละกัน จะได้สบายใจไปเปลาะนึง
อ้อ แล้วหวังว่า แฟนของเพื่อนจะไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ ส่วนตัว ไม่ว่าที่บ้านหรือเบอร์มือถือของคุณนะ เพราะไม่งั้นเค้าคงโทร.มาตื๊อและหวังหว่านเสน่ห์คุณ ก็ซวยอ่ะดิ
แล้ว... ไอ้แฟนเพื่อนคนนี้ก็บ้าว่ะ ทำอย่างกะโลกนี้ไม่มีใครที่มันจะแกล้งมาจีบเล่นๆได้อีกแล้ว อื้อหือแบบนี้มันน่าจะโดนตบสั่งสอนสักเปรี้ยงนะ จะได้รู้ซะมั่งว่า ไผเป็นไผ
ถาม ว่า เกิดกรณีเช่นนี้จะบอกเพื่อนให้รู้ ตัวไหม? ถ้าเผื่อแฟนเพื่อนทำอะไรที่เว่อร์จนคุณรับไม่ได้ เช่น มาหาคุณถึงบ้าน, พยายามหว่าน ล้อมให้คุณไปเที่ยวด้วยหรือด่าว่าเพื่อนของคุณให้คุณฟัง ขืนเป็นงี้เห็นทีต้องบอกเพื่อนให้รู้ซะมั่งแล้วล่ะว่า แฟนของหล่อนมันหน้าไหว้หลังหลอกไงบ้าง เชอะ ในเมื่อไม่รักเพื่อนคุณจริงก็ต้องโดนแฉมั่งฮี่
3. สัญญากับเพื่อนซี้ไว้เลยว่า ถ้าต่างฝ่ายต่างมีแฟนก็อย่าลืมเพื่อนละกัน
ไม่ ควรรักแฟนจนไม่ลืมหูลืมตารู้ป่าว แม้แฟนจะน่ารัก, น่าซบแต่เพื่อนก็ยังน่าคบนะยะ...จำไว้เซียะด้วย! แต่ก็มีเว้ยเฮ้ย ที่บางคน โธ่พอมีแฟนแล้วก็ลืมตัวมัวแต่ "ติดแฟน" ซะจนห่างเหินเพื่อน หรือบางคนอาการสาหัสกว่านั้นอีก ถึงกับเลิกคบเพื่อนไปเลยก็มี อู้ย...อย่าถึงกับบ้าแฟนหรือติดแฟนขนาดนั้นเลย เพราะมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงก็เป็น สิ่งที่ควรรักษาไว้ให้ดี อย่าลืมสิฮ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 10 มกราคม 2553
ถ้าเป็น "ความรักเพื่อน" พวกเราก็จะคบเพื่อนแบบชวนกันไปไหนไปกัน, ไปซื้อของกระจุกกระจิกก็รีบไปกันเชียว, นัดกันไปเที่ยว, นัดไปเดินช้อปปิ้ง ....บางทีไปห้างหรูๆก็ไม่ได้ไปซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก แต่ขอให้ได้ไปเดินดูของสวยๆงามๆก็โอเคแย้ว
และเราก็จะคุยกับเพื่อน โดยใช้คำว่า ชั้นกับแก (ชั้นกะเธอ) หรือกูกะมึงกันโดยไม่เคอะเขิน และไม่ ค่อยคาดหวังว่าจะได้อะไรตอบแทนจากเพื่อนมากมายนัก เช่น ไม่ค่อยหวังให้เพื่อนมาซื้อของขวัญวันเกิดให้...เออแต่ถ้าได้ก็ดี...อ้าว! เพียงขอให้เพื่อนดีกะเราก็พอแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่า เราจะไม่ทะเลาะกับเพื่อนซะเลยนะ อู้ย...ไม่อยากจะเซดว่า ชนวนเหตุที่ทำให้เพื่อนกันเนี่ย มีปากเสียงจึงถึงขั้นทะเลาะตบตี...เอ๊ย...มีความเห็นขัดแย้งกันน่ะ มีเยอะแยะจะตายชัก
ส่วนที่ไม่ค่อยพอใจกันก็มีทั้งเรื่องมีสาระและไร้ สาระ เช่น บางทีคุณชวนเพื่อนไปทานข้าว แต่เพื่อนยังติดธุระจึงบอกให้เดินไปก่อน แต่พอเพื่อนมาเห็นเราทานอาหารไปล่วงหน้าแล้วจริงๆ ไอ้เพื่อนคนนี้
ก็ดันเกิดไม่พอใจซะงั้น หาว่าไม่รอกัน...ยังมีเลย เนี่ยมันไร้สาระแบบหยุมหยิมไหมล่ะ
ส่วน เรื่อง "รักแฟน" ยังต้องให้จาระไนกันอีกรึ? เพราะดูเหมือนแต่ละคนจะเชี่ยวชาญและชำนาญการในเรื่องเลิฟแฟนซะเหลือเกินนะ ยิ่งคู่ไหนเพิ่งเป็นแฟนกันด้วยละก็ โอ๊ย...อาการติดหนึบ, อยากเจอหน้ากันทุกวัน, อยากอยู่ด้วยกันทุกนาที และอยากจูงมือ (หรือแต๊ะอั๋ง) กันตลอดเวลา รู้สึกจะเป็น ไปตามสัญชาตญาณแห่งความเลิฟนี้โดยอัต-โนมัตินะฮ้า
งั้นในเมื่อมนุษย์ ทุกคนมีทั้งความรักเพื่อนและรักแฟน (แต่ใครจะมีแฟนหรือไม่มีแฟนนี่ยังไม่นับนะเฟ้ย) ดังนั้น เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงควรมีกฎเกณฑ์มารยาทในการคบเพื่อนกับคบแฟนให้สมเหตุสมผล เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรของทุกฝ่าย ดังนี้สิจ๊ะ...
1. ถ้าเกิดคุณไปปิ๊งเลิฟคนคนเดียวกะเพื่อนเข้าละก็
ไอ้ หยา....อย่าให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้เด็ดขาดนะเฟ้ย เอางี้ละกันถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้ว่า เพื่อนของคุณเกิดไปสนอกสนใจใครสักคนขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นคนเดียวกับคนที่คุณเองก็อยากคบหาและชวนมาเป็นแฟนเหมียนกันละก็ เห็นทีคุณต้องสลัดความ รู้สึกชอบพอ "เค้าคนนั้น" ออกไปจากใจของคุณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ซะแล้วล่ะ
แต่บางท่าน คงอยากถามใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมจะต้องเป็นฝ่ายเสียสละด้วย? ในเมื่อ "ใครคนนั้น" ซึ่งเป็นคนที่ทั้งเพื่อนและทั้งคุณชอบเค้าน่ะ...ยังไม่ทันได้จ๊ะเอ๋, ได้คบหรือได้พูดคุยกะคุณเลย แล้วเผื่อคุณกะเค้าเข้ากันได้มากกว่าละ โอ๊ย หยั่งงี้ก็ไม่ยุติธรรมกะคุณดิ...ใช่ปะ
โถ...หนูจ๋า ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่บังเอิญคุณไปกิ๊กคนคนเดียวกับที่เพื่อนชอบ แต่เพื่อนคนนี้ดันสนิทสนมกับคุณอย่างมากมาก่อนแบบเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก โอ้... มายก็อดแม้จะทำใจลำบาก แต่เชื่อว่าสาว "ใจพระ" อย่าง คุณ ยังไง้
ยัง ไงก็ย่อมเลือกที่จะตัดใจมากกว่าจะไปแข่งกับเพื่อนจีบ "คนที่พวกคุณชอบ" แหงๆ เพราะถ้าขืนประกาศตัวเป็น "คู่แข่งทางใจ" ละก็ คุณกะเพื่อนยังจะคบกันได้อีกเรอะ คงเปลี่ยนไปเป็น "ศัตรูหัวใจ" กันมากกว่าน่ะเซ่ แล้ว คุณจะยอมเสียเพื่อนสนิทเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลย!
2. ถ้า "แฟนของเพื่อน" มากะลิ้มกะเหลี่ยคุณจงอย่าเล่นด้วยเชียว
เอ๊า มีนะที่แฟนเพื่อนสนิทของคุณ อาจเป็นพวกที่ไม่รู้จักพอ ขนาดเพื่อนของคุณแสนจะสวยน่ารักและเอาอกเอาใจเค้าแค่ไหน แต่เท่าที่ผ่านมาคุณก็รู้อยู่แก่ใจนั่นแหละ ว่าแฟนของเพื่อนเป็นคนเจ้าชู้มากแค่ไหน แถมจะไปเจ้าชู้ที่ไหนก็ไม่ไป ดันเล็งมาที่คุณซะด้วยแฮะ
เฮ้อ....ขืนเจอเข้างี้ ก็เข้าใจละนะว่า เหตุการณ์ ทำนองนี้ย่อมทำให้คุณเก๊กซิมและไม่อยากจะเจอ "ไอ้แฟนบ้าๆของเพื่อนคนนี้" เอาซะเลย แต่ด้วยความที่คุณยังต้องติดต่อกะเพื่อนของคุณอยู่ จึงหนีหน้ากันไม่ค่อยพ้น โอ๊ยโหยว หยั่งงี้เห็นทีเวลาคุณจะเจอเพื่อนเมื่อไหร่ จึงควรนัดเพื่อนให้ไปเจอกันตามลำพังโดยที่ไม่ให้เพื่อนพาแฟนมาด้วยละกัน จะได้สบายใจไปเปลาะนึง
อ้อ แล้วหวังว่า แฟนของเพื่อนจะไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ ส่วนตัว ไม่ว่าที่บ้านหรือเบอร์มือถือของคุณนะ เพราะไม่งั้นเค้าคงโทร.มาตื๊อและหวังหว่านเสน่ห์คุณ ก็ซวยอ่ะดิ
แล้ว... ไอ้แฟนเพื่อนคนนี้ก็บ้าว่ะ ทำอย่างกะโลกนี้ไม่มีใครที่มันจะแกล้งมาจีบเล่นๆได้อีกแล้ว อื้อหือแบบนี้มันน่าจะโดนตบสั่งสอนสักเปรี้ยงนะ จะได้รู้ซะมั่งว่า ไผเป็นไผ
ถาม ว่า เกิดกรณีเช่นนี้จะบอกเพื่อนให้รู้ ตัวไหม? ถ้าเผื่อแฟนเพื่อนทำอะไรที่เว่อร์จนคุณรับไม่ได้ เช่น มาหาคุณถึงบ้าน, พยายามหว่าน ล้อมให้คุณไปเที่ยวด้วยหรือด่าว่าเพื่อนของคุณให้คุณฟัง ขืนเป็นงี้เห็นทีต้องบอกเพื่อนให้รู้ซะมั่งแล้วล่ะว่า แฟนของหล่อนมันหน้าไหว้หลังหลอกไงบ้าง เชอะ ในเมื่อไม่รักเพื่อนคุณจริงก็ต้องโดนแฉมั่งฮี่
3. สัญญากับเพื่อนซี้ไว้เลยว่า ถ้าต่างฝ่ายต่างมีแฟนก็อย่าลืมเพื่อนละกัน
ไม่ ควรรักแฟนจนไม่ลืมหูลืมตารู้ป่าว แม้แฟนจะน่ารัก, น่าซบแต่เพื่อนก็ยังน่าคบนะยะ...จำไว้เซียะด้วย! แต่ก็มีเว้ยเฮ้ย ที่บางคน โธ่พอมีแฟนแล้วก็ลืมตัวมัวแต่ "ติดแฟน" ซะจนห่างเหินเพื่อน หรือบางคนอาการสาหัสกว่านั้นอีก ถึงกับเลิกคบเพื่อนไปเลยก็มี อู้ย...อย่าถึงกับบ้าแฟนหรือติดแฟนขนาดนั้นเลย เพราะมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงก็เป็น สิ่งที่ควรรักษาไว้ให้ดี อย่าลืมสิฮ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 10 มกราคม 2553
มงคลชีวิต
ตามพุทธพจน์ในเรื่องมงคล 38 ประการ ซึ่งสามข้อแรกประกอบด้วย ไม่คบคนพาล คบหาสมาคมแต่บัณฑิต และบูชาบุคคลที่ควรบูชา ธรรมสามอย่างนี้แล เป็นมงคลอันสูงสุด เป็นมงคลอันเกษม
พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จึงพยายามที่จะสอนสั่งให้กุลบุตร กุลธิดา เสพคบหาสมาคมแต่เพื่อนที่ดี มิตรแท้
พ่อแม่ทำมาหากินอย่างยากลำบากในต่างจังหวัด ส่งลูกเข้ามาเรียนในกรุง หวังจะเห็นลูกได้ปริญญา แต่ลูกคบเพื่อนกิน ปอกลอก พากันเที่ยวกลางคืน ร่ำสุรายาดอง เงินที่ส่งให้เป็นค่าเทอม ค่าหอพัก ต้องสูญสลาย มลายไปกับสายลม ผลสุดท้ายคว้าน้ำเหลว กลับบ้านมือเปล่า อย่างน่าเสียดาย
ในวงการค้า หากท่านซื้อสินค้าจากผู้ขายที่ไม่มีหลักแหล่ง แม้ราคาจะถูกกว่า แต่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีใบกำกับภาษี ถึงมีก็อาจเป็นใบกำกับภาษีปลอม ใช้เป็นหลักฐานทางภาษีอากรไม่ได้ หลายครั้งท่านอาจได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ แต่ก็ไม่อาจเคลมความเสียหายจากใครได้
ในการขาย หากมุ่งแต่จะขายโดยไม่เลือกลูกค้าที่ดี ท่านย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดหนี้สูญอย่างมาก
ว่ากันว่า ในวงการโรงแรม เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง ว่าจ้างบริษัทก่อสร้างให้ก่อสร้างอาคารหลายสิบล้าน แรก ๆ ก็จ่ายดี แต่ต่อ ๆ มาก็เบี้ยวไม่จ่าย เงินกู้จาก ธนาคารก็ไม่ชำระ จะเป็นเอ็นพีแอล หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เจ้าหนี้ต่างปวดเศียรเวียนเกล้า กว่าจะรู้ตัวก็สาย
แต่ในทางตรงกันข้ามหากท่านติดต่อค้าขายกับผู้ที่มีคุณธรรม มนุษย ธรรม จริยธรรมในจิตใจ ท่านย่อมได้รับแต่ความถูกต้อง ความสบายใจ มีความอะลุ้มอล่วย เห็นอกเห็นใจ มีน้ำใจไมตรีจิตมิตรภาพ
ในวงการเมือง หากเราเลือกคนไม่ดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง เข้ามาใช้เงินงบประมาณที่ส่วนใหญ่เป็นเงินภาษีอากรแทนเรา พวกคนพาลเหล่านั้น ก็มุ่งหมายแต่จะหาผลประโยชน์เข้าตัว และพวกพ้องไม่รู้จบรู้สิ้น
เรื่อยมาจนถึงการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนานที่เป็นผลจากการที่ความคิดเห็นที่ แตกต่างกันในสังคมไทยได้สงบลง เพราะแกนนำยอมมอบตัว แต่มีการจลาจลปล้นสะดมปะทุขึ้นมาแทนที่ ทำให้แหล่งธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และเล็กได้รับผลกระทบจากการถูกเผาทำลาย ซึ่งทุกคนคือคนไทยที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินเดียวกัน ทุกคนควรรักใคร่
ปรองดองกัน นำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านวัตถุ และด้านจิตใจ
ใครกันบ้างหนอที่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายของผลพวงเหล่านี้
ที่แน่นอน คือ รัฐต้องเยียวยาทุกข์ภัยความเดือดร้อน ด้วยเงินงบประมาณพิเศษ ซึ่งต้องนำมาจากเงินภาษีอากรของพวกเราทุกคน มันน่าเสียดายครับ แทนที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาอื่นที่เกิดประโยชน์ยิ่งกว่า
ทำให้หวนนึกถึงคำโบราณที่ท่าน กล่าวว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล”
ที่มา: มงคลชีวิต มุมภาษี เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 25 พฤษภาคม 2553
พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จึงพยายามที่จะสอนสั่งให้กุลบุตร กุลธิดา เสพคบหาสมาคมแต่เพื่อนที่ดี มิตรแท้
พ่อแม่ทำมาหากินอย่างยากลำบากในต่างจังหวัด ส่งลูกเข้ามาเรียนในกรุง หวังจะเห็นลูกได้ปริญญา แต่ลูกคบเพื่อนกิน ปอกลอก พากันเที่ยวกลางคืน ร่ำสุรายาดอง เงินที่ส่งให้เป็นค่าเทอม ค่าหอพัก ต้องสูญสลาย มลายไปกับสายลม ผลสุดท้ายคว้าน้ำเหลว กลับบ้านมือเปล่า อย่างน่าเสียดาย
ในวงการค้า หากท่านซื้อสินค้าจากผู้ขายที่ไม่มีหลักแหล่ง แม้ราคาจะถูกกว่า แต่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีใบกำกับภาษี ถึงมีก็อาจเป็นใบกำกับภาษีปลอม ใช้เป็นหลักฐานทางภาษีอากรไม่ได้ หลายครั้งท่านอาจได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ แต่ก็ไม่อาจเคลมความเสียหายจากใครได้
ในการขาย หากมุ่งแต่จะขายโดยไม่เลือกลูกค้าที่ดี ท่านย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดหนี้สูญอย่างมาก
ว่ากันว่า ในวงการโรงแรม เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง ว่าจ้างบริษัทก่อสร้างให้ก่อสร้างอาคารหลายสิบล้าน แรก ๆ ก็จ่ายดี แต่ต่อ ๆ มาก็เบี้ยวไม่จ่าย เงินกู้จาก ธนาคารก็ไม่ชำระ จะเป็นเอ็นพีแอล หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เจ้าหนี้ต่างปวดเศียรเวียนเกล้า กว่าจะรู้ตัวก็สาย
แต่ในทางตรงกันข้ามหากท่านติดต่อค้าขายกับผู้ที่มีคุณธรรม มนุษย ธรรม จริยธรรมในจิตใจ ท่านย่อมได้รับแต่ความถูกต้อง ความสบายใจ มีความอะลุ้มอล่วย เห็นอกเห็นใจ มีน้ำใจไมตรีจิตมิตรภาพ
ในวงการเมือง หากเราเลือกคนไม่ดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง เข้ามาใช้เงินงบประมาณที่ส่วนใหญ่เป็นเงินภาษีอากรแทนเรา พวกคนพาลเหล่านั้น ก็มุ่งหมายแต่จะหาผลประโยชน์เข้าตัว และพวกพ้องไม่รู้จบรู้สิ้น
เรื่อยมาจนถึงการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนานที่เป็นผลจากการที่ความคิดเห็นที่ แตกต่างกันในสังคมไทยได้สงบลง เพราะแกนนำยอมมอบตัว แต่มีการจลาจลปล้นสะดมปะทุขึ้นมาแทนที่ ทำให้แหล่งธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และเล็กได้รับผลกระทบจากการถูกเผาทำลาย ซึ่งทุกคนคือคนไทยที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินเดียวกัน ทุกคนควรรักใคร่
ปรองดองกัน นำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านวัตถุ และด้านจิตใจ
ใครกันบ้างหนอที่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายของผลพวงเหล่านี้
ที่แน่นอน คือ รัฐต้องเยียวยาทุกข์ภัยความเดือดร้อน ด้วยเงินงบประมาณพิเศษ ซึ่งต้องนำมาจากเงินภาษีอากรของพวกเราทุกคน มันน่าเสียดายครับ แทนที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาอื่นที่เกิดประโยชน์ยิ่งกว่า
ทำให้หวนนึกถึงคำโบราณที่ท่าน กล่าวว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล”
ที่มา: มงคลชีวิต มุมภาษี เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 25 พฤษภาคม 2553
บุตรนอกกฎหมาย
น้องสาวไปทำงานอยู่ในเมือง เวลากลับมาบ้านแต่ละครั้งจะพาลูกชายของนายจ้างมาด้วยหลายครั้ง เป็นที่เข้าใจกันว่าเด็กทั้งสองคนเป็นแฟนกัน แต่จู่ ๆ น้องสาวก็กลับมาบ้านพร้อมกับลูกในท้อง น้องสาวบอกแต่เพียงว่าแฟนของเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่นที่ครอบครัวเขาหาให้
ขณะนี้น้องสาวคลอดลูกแล้วและยังตกงานอยู่ อาศัยบ้านพ่อแม่อยู่และเลี้ยงลูกไป คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมารับผิดชอบแต่งงานด้วย และเราคงไม่มีทางที่จะเรียกร้องให้รับผิดชอบได้เพราะน้องสาวไปยอมเขาเอง เพียงแต่อยากทราบว่าพอจะมีวิธีให้ผู้ชายรับผิดชอบลูกของเขาได้หรือไม่
====
การที่ชายหญิงมีความสัมพันธ์กันจนมีลูกด้วยกันนั้น ลูกที่เกิดมาจากพ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดา ฝ่ายเดียว ชายผู้เป็นบิดากฎหมายยังถือว่าเป็นบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมาย การให้เขามีหน้าที่รับผิดชอบลูกที่เกิดมาง่ายที่สุดคือ วิธีทำให้ชายและหญิงนั้นจดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง ถ้าไม่อาจจดทะเบียนสมรสกันได้ อีกวิธีหนึ่งคือการเจรจาให้บิดาจดทะเบียนรับ รองบุตร แต่ถ้าไม่อาจทำใน 2 วิธีแรกได้ เหลือ อีกวิธีคือ การฟ้องศาลให้ศาลมีคำพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร
อย่างไรก็ตาม การให้ศาลพิพากษาว่า เด็กเป็นบุตรของบิดา จะต้องฟ้องคดีให้ชายรับ เด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเหตุใน การฟ้องคดี ดังนี้ เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงมารดาโดยมิชอบด้วยกฎหมายในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้น อาจตั้งครรภ์ได้, เมื่อมีการลักพาหญิงมารดาไปในทางชู้สาว หรือมีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้ง ครรภ์ได้, เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของตน, เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่าบิดาเป็นผู้แจ้ง การเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งนั้น, เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิด เผยในระยะเวลาซึ่งหญิงมารดาอาจตั้งครรภ์ได้, เมื่อได้ร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้และ มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น, เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตร
พฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตรนั้น ให้พิจารณาข้อเท็จจริงที่แสดงความเกี่ยวข้องฉันบิดากับบุตรซึ่งปรากฏใน ระหว่างตัวเด็กกับครอบครัวที่เด็กอ้างว่าตนสังกัดอยู่ เช่น บิดาให้การศึกษา ให้ความอุปการะเลี้ยงดูหรือยอมให้เด็กนั้นใช้ชื่อสกุลของตนหรือโดยเหตุ ประการอื่น
ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังกล่าวข้างต้น ถ้าปรากฏว่าชายไม่อาจเป็นบิดาของเด็กนั้นได้ให้ยกฟ้องเสีย
เหตุที่ยกมาทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย ซึ่งผู้จะเป็นโจทก์ฟ้องจะต้องนำสืบ อาจจะเหตุเดียวหรือหลาย ๆ เหตุยิ่งดี เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา ก่อให้เกิดหน้าที่ตามกฎหมายของบิดาในอันที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรจนกว่า บุตรบรรลุนิติภาวะ แต่ฝ่ายชายอาจนำสืบหักล้างว่าเด็กมิใช่บุตรของตน โดยนำวิชาการแพทย์มาใช้หักล้าง เช่น การพิสูจน์หมู่เลือด หรือโครงสร้างพันธุกรรมของบิดาและเด็ก เป็นต้น
ที่มา: บุตรนอกกฎหมาย คลินิกกฎหมาย เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 08 มิถุนายน 2553
ขณะนี้น้องสาวคลอดลูกแล้วและยังตกงานอยู่ อาศัยบ้านพ่อแม่อยู่และเลี้ยงลูกไป คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมารับผิดชอบแต่งงานด้วย และเราคงไม่มีทางที่จะเรียกร้องให้รับผิดชอบได้เพราะน้องสาวไปยอมเขาเอง เพียงแต่อยากทราบว่าพอจะมีวิธีให้ผู้ชายรับผิดชอบลูกของเขาได้หรือไม่
====
การที่ชายหญิงมีความสัมพันธ์กันจนมีลูกด้วยกันนั้น ลูกที่เกิดมาจากพ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดา ฝ่ายเดียว ชายผู้เป็นบิดากฎหมายยังถือว่าเป็นบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมาย การให้เขามีหน้าที่รับผิดชอบลูกที่เกิดมาง่ายที่สุดคือ วิธีทำให้ชายและหญิงนั้นจดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง ถ้าไม่อาจจดทะเบียนสมรสกันได้ อีกวิธีหนึ่งคือการเจรจาให้บิดาจดทะเบียนรับ รองบุตร แต่ถ้าไม่อาจทำใน 2 วิธีแรกได้ เหลือ อีกวิธีคือ การฟ้องศาลให้ศาลมีคำพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร
อย่างไรก็ตาม การให้ศาลพิพากษาว่า เด็กเป็นบุตรของบิดา จะต้องฟ้องคดีให้ชายรับ เด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเหตุใน การฟ้องคดี ดังนี้ เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงมารดาโดยมิชอบด้วยกฎหมายในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้น อาจตั้งครรภ์ได้, เมื่อมีการลักพาหญิงมารดาไปในทางชู้สาว หรือมีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้ง ครรภ์ได้, เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของตน, เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่าบิดาเป็นผู้แจ้ง การเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งนั้น, เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิด เผยในระยะเวลาซึ่งหญิงมารดาอาจตั้งครรภ์ได้, เมื่อได้ร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้และ มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น, เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตร
พฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตรนั้น ให้พิจารณาข้อเท็จจริงที่แสดงความเกี่ยวข้องฉันบิดากับบุตรซึ่งปรากฏใน ระหว่างตัวเด็กกับครอบครัวที่เด็กอ้างว่าตนสังกัดอยู่ เช่น บิดาให้การศึกษา ให้ความอุปการะเลี้ยงดูหรือยอมให้เด็กนั้นใช้ชื่อสกุลของตนหรือโดยเหตุ ประการอื่น
ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังกล่าวข้างต้น ถ้าปรากฏว่าชายไม่อาจเป็นบิดาของเด็กนั้นได้ให้ยกฟ้องเสีย
เหตุที่ยกมาทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย ซึ่งผู้จะเป็นโจทก์ฟ้องจะต้องนำสืบ อาจจะเหตุเดียวหรือหลาย ๆ เหตุยิ่งดี เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา ก่อให้เกิดหน้าที่ตามกฎหมายของบิดาในอันที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรจนกว่า บุตรบรรลุนิติภาวะ แต่ฝ่ายชายอาจนำสืบหักล้างว่าเด็กมิใช่บุตรของตน โดยนำวิชาการแพทย์มาใช้หักล้าง เช่น การพิสูจน์หมู่เลือด หรือโครงสร้างพันธุกรรมของบิดาและเด็ก เป็นต้น
ที่มา: บุตรนอกกฎหมาย คลินิกกฎหมาย เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคาร ที่ 08 มิถุนายน 2553
Labels:
กฎหมายต้องรู้
คุณอยากมีแฟนเป็นฝรั่งม่ะ?
สังเกตมานานแล้วล่ะ ว่านอกจากสาวไทยบางคนอยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติ ส่วนจะชาติไหนก็แล้วแต่ (ซึ่งชาวต่างชาติมักถูกเรียกรวมๆว่าฝรั่ง แล้วถ้าเผื่อแต่งงานและมีลูกด้วยกันก็คงน่ารักดีน้า) ปรากฏว่าในทางกลับกัน ชายไทยเองก็อยากมีดาร์ลิ่งเป็นฝรั่งไว้อิงแอบแนบชิดให้ชื่นอุราเช่นกัน ซึ่งกรณีที่คนไทยไปชอบชาวต่างชาติหรือฝรั่งเนี่ยก็แล้วแต่ใจใครใจมันนะฮะ
ในเมื่ออยากมีแฟนเป็นฝรั่งซะอย่าง โดยเฉพาะถ้าเพื่อนๆของเรามีทัศนคติแบบนี้จะไปห้ามหรือทักท้วงคงไม่เหมาะแหงๆ เนื่องจากทุกคนก็โตๆกันแล้ว ย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะ "เลือก" คบใครก็ได้ตามแต่
จะพอใจนี่นะ อีกอย่าง การคบกะชาวต่างชาติก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะไม่ว่าคนชาติไหนๆ ก็สามารถคบหากันไว้เป็นทั้งเพื่อนสนิท, เพื่อนผู้รู้ใจหรือจะเขยิบไปเป็นสุดเลิฟย่อมได้ทั้งนั้น
แต่ที่อยาก ไปคบเค้า (ชาวต่างชาติ) น่ะ เค้าจะมีใจตรงกะคุณแบบว่า รักคุณเข้าอย่างจัง เหมือนที่คุณเป็นงี้กับเค้ารึเปล่า คงต้องเรียนรู้หัวจิตหัวใจกันไปก่อน อย่าไปคิดเองเออเองเชียวนะ ถ้าเค้าเกิดไม่รักขึ้นมา แล้วคุณดันไปทึกทักว่าเค้าเป็นแฟนคุณละก็ ระวังเหอะ เดี๋ยวก็หน้าแหกหรอก อิอิ
เคยลองไปเซอร์เวย์สำรวจด้วย การไถ่ถามใครต่อใครว่า อยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติมะ? ได้คำตอบทำนองนี้เช่น คุณปอ สาววัย 30 ปีขึ้นไป ทำงานอิสระมีธุรกิจเป็นของตัวเอง บอกว่า ไม่อยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติหรอก ขี้เกียจใช้มือคุยเพราะกลัวคุยกันไม่รู้เรื่องน่ะซี "ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรงซะด้วย จึงไม่กล้าคุยกับชาวต่างชาติเท่าไหร่ อีกอย่างหนูขี้เกียจไปเรียนภาษาเพิ่มเติมด้วย ยิ่งถ้าเผื่อชาวต่างชาติที่อยากรู้จักดันไม่คุยกะเราเป็นภาษาอังกฤษแต่คุย ภาษาอื่นอีกล่ะ โอ๊ยงี้ขอบายดีกว่า คบคนไทยนี่แหละคุยกันรู้เรื่องดี" อ๋อ....กลัวอุปสรรคทางภาษานั่นเอง โอเคเข้าใจแระ
เอ้าฟัง คุณเปิ้ล สาววัย 30 อัพ (30 ปีเศษ) นักบริหารมั่ง ยืนยันว่า สำหรับเธอภาษาไม่ใช่อุปสรรค เพราะอาชีพของเธอต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับใครๆทั้งในองค์กรและนอก องค์กรอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าให้ตอบตามตรง "เดี๊ยนก็อยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติเหมียนกัน" นั่นไงยอมรับออกมาแล้ว "ตอนนี้ก็กำลังคบกับชาวต่างชาติอยู่ แต่ยังไงก็ขอดูใจกันไปก่อน ไม่อยากรีบร้อนแต่งงานมีไรปะ" (โอ๊ะโอ...ใครจะกล้ามีปัญหาฟะ) ส่วนเหตุผลเพราะถ้าคนที่เธอคิดว่าใช่ แต่ทำไปทำมา เกิดดันไม่ใช่ขึ้นมาภายหลังละก็ กลัวจะช้ำใจน่ะสิ ถึงได้รีรออยู่ทุกวันนี้ไง....แหมรอบคอบจังนะยะ
ทีนี้ลองไปถามฝ่าย ชายมั่งละกัน คุณเอ วัย 20 ปีเศษ ตอบแบบไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่า ผมอยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติฮ่ะ ผมว่าเท่ดีออก ถ้าผมควงเธอไปไหนมาไหนด้วย ใครๆก็คงมองผมแบบสงสัยแหงๆ ว่า ผมมีแฟนเป็นหนุ่มเอ๊ย...สาวต่างชาติได้ไงจริงมะ! ...เอ๊ะ ตกลงนี่อยากมีแฟนเป็นชายหรือหญิงกันแน่วะเนี่ย? สงสัยทำเป็นแอ๊บแมนแล้วอยากมีแฟนเป็นฝรั่งแหงเลย
เอาเถอะไม่ว่าใคร คิดจะมีแฟนเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ยังไง? แต่พวกเราคงเคยได้ยินใช่มะว่า หญิงไทยที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดบางคนน่ะ นิยมแต่งงานกับชาวต่างชาติมากทีเดียว เพราะสาวเหล่านี้ ส่วนใหญ่มองว่าชาวต่างชาติเป็นคนมีตังค์และจะช่วยทำให้ชีวิตของพวกเธอสบาย ขึ้นได้ อุ๊ย...ถ้าเป็นงี้แล้วบ้านไหนจะไม่อยากมีลูกเขยเป็นชาวต่างชาติมั่งละฮ้าแต่ ว่ามะ การมีแฟนเป็นชาวต่างชาติก็มีข้อดีและข้อเสียเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ โถอย่าลืมสิจ๊ะ ว่าเค้าก็เป็นมนุษย์คนนึงเหมือนกัน ซึ่งข้อดีและเสียแจกแจงได้เช่น...
1. ข้อดี : ใครๆก็เชื่อว่า ชาวต่างชาติมีรายได้ดีซึ่งจะว่าจริงก็จริงนะ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เค้าทำงานอะไรมากกว่า ยิ่งถ้าทำงานกับบริษัทต่างชาติละก็ อย่างงี้เค้าคงได้เงินเดือนเป็นค่าเงินของประเทศเค้าแหงเลย เช่น หากเป็นคนอังกฤษก็ได้เป็นเงินปอนด์, เป็นคนอเมริกันก็ได้เงินดอลลาร์ หรือแม้แต่เป็นคนฮ่องกงก็แลกเป็นเงินไทยได้เยอะจริงม้า ดังนั้น ถ้าคุณมีแฟนต่างชาติแล้วอาศัยอยู่ในเมืองไทยด้วยกัน ก็น่ามีชีวิตคู่สุขสบายนะ
2. ข้อเสีย : แม้มีรายได้ดี ก็ไม่แน่ว่าจะขี้เหนียวรึเปล่าเอ้าอย่าคิดว่าฝรั่งขี้เหนียวไม่เป็นนะเฟ้ย บางคนงี้ถึงมีรายได้ดีแต่อาจเจียดเงินมาเจือจุนแฟนเพียงก้อนเล็กๆก้อนนึงก็ ได้ แล้วส่วนใหญ่เค้าเก็บไว้เอง แถมชาวต่างชาติบางคนอยากมีแฟนเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมน เพื่อช่วยกันทำมาหากินด้วยซ้ำ ไม่อยากให้แฟนสาวเป็นคุณนายตีพุงนอนอยู่กะบ้านอย่างเดียวก็มี
3. ข้อดี : ไม่ค่อยเจ้าชู้ หรือแอบไปมีกิ๊กเคยได้ยินสาวไทยเล่าให้ฟังว่า เธอผ่านการมีแฟนทั้งคนไทยและต่างชาติมาแล้ว พบว่า ตอนมีแฟนเป็นคนไทยน่ะ โอ้โห เจ้าชู้ฉิบเป๋ง จนเธอทนไม่ได้ต้องเลิกกันไป กระทั่งไปมีแฟนเป็นชาวต่างชาตินี่แหละ ทำให้เธอสบายใจขึ้น เพราะเค้าไม่เจ้าชู้มากนัก...แหม แต่อยากบอกว่า ผู้ชายไม่ว่าชาติไหนจะเจ้าชู้มาก-น้อย หรือไม่เจ้าชู้เลย ก็ควรดูเป็นคนคนไป อย่าเพิ่งด่วนสรุปดีกว่าจ้ะ
4. ข้อเสีย : ความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมอาจทำให้เข้าใจผิดกันได้ ขนาดคนไทยคุยกันเองบางทียังพูดไม่รู้เรื่องถมเถไป แล้วถ้ามีแฟนเป็นชาวต่างชาติจะไปเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมของชาติเค้าอย่างทะลุ ปรุโปร่งรึ? นอกจากจะขยันปรับตัวให้ไวก็แล้วไป
5. ข้อดี : มีโอกาสได้เดินทางไปต่างแดนและเจอประสบการณ์ใหม่ๆ
เอ้า... สาวไทยบางคนฝันอยากไปเมืองนอกนะ ดังนั้น ถ้ามีแฟนเป็นชาวต่างชาติละก็ เธอคงสมใจนึกไปเลย เพราะเค้าคงพาหล่อนไปเยี่ยมบ้านเค้าบ้างแหละ....เขียนมานี่แค่ยกตัวอย่างให้ ฟัง ซึ่งถ้าใครอยากมีแฟนเป็นฝรั่งแล้วได้แฟนเป็นคนดีก็ดีใจด้วย เห็นใครมีความสุขก็หนับหนุนทั้งน้านจ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 31 มกราคม 2553
ในเมื่ออยากมีแฟนเป็นฝรั่งซะอย่าง โดยเฉพาะถ้าเพื่อนๆของเรามีทัศนคติแบบนี้จะไปห้ามหรือทักท้วงคงไม่เหมาะแหงๆ เนื่องจากทุกคนก็โตๆกันแล้ว ย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะ "เลือก" คบใครก็ได้ตามแต่
จะพอใจนี่นะ อีกอย่าง การคบกะชาวต่างชาติก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะไม่ว่าคนชาติไหนๆ ก็สามารถคบหากันไว้เป็นทั้งเพื่อนสนิท, เพื่อนผู้รู้ใจหรือจะเขยิบไปเป็นสุดเลิฟย่อมได้ทั้งนั้น
แต่ที่อยาก ไปคบเค้า (ชาวต่างชาติ) น่ะ เค้าจะมีใจตรงกะคุณแบบว่า รักคุณเข้าอย่างจัง เหมือนที่คุณเป็นงี้กับเค้ารึเปล่า คงต้องเรียนรู้หัวจิตหัวใจกันไปก่อน อย่าไปคิดเองเออเองเชียวนะ ถ้าเค้าเกิดไม่รักขึ้นมา แล้วคุณดันไปทึกทักว่าเค้าเป็นแฟนคุณละก็ ระวังเหอะ เดี๋ยวก็หน้าแหกหรอก อิอิ
เคยลองไปเซอร์เวย์สำรวจด้วย การไถ่ถามใครต่อใครว่า อยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติมะ? ได้คำตอบทำนองนี้เช่น คุณปอ สาววัย 30 ปีขึ้นไป ทำงานอิสระมีธุรกิจเป็นของตัวเอง บอกว่า ไม่อยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติหรอก ขี้เกียจใช้มือคุยเพราะกลัวคุยกันไม่รู้เรื่องน่ะซี "ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรงซะด้วย จึงไม่กล้าคุยกับชาวต่างชาติเท่าไหร่ อีกอย่างหนูขี้เกียจไปเรียนภาษาเพิ่มเติมด้วย ยิ่งถ้าเผื่อชาวต่างชาติที่อยากรู้จักดันไม่คุยกะเราเป็นภาษาอังกฤษแต่คุย ภาษาอื่นอีกล่ะ โอ๊ยงี้ขอบายดีกว่า คบคนไทยนี่แหละคุยกันรู้เรื่องดี" อ๋อ....กลัวอุปสรรคทางภาษานั่นเอง โอเคเข้าใจแระ
เอ้าฟัง คุณเปิ้ล สาววัย 30 อัพ (30 ปีเศษ) นักบริหารมั่ง ยืนยันว่า สำหรับเธอภาษาไม่ใช่อุปสรรค เพราะอาชีพของเธอต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับใครๆทั้งในองค์กรและนอก องค์กรอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าให้ตอบตามตรง "เดี๊ยนก็อยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติเหมียนกัน" นั่นไงยอมรับออกมาแล้ว "ตอนนี้ก็กำลังคบกับชาวต่างชาติอยู่ แต่ยังไงก็ขอดูใจกันไปก่อน ไม่อยากรีบร้อนแต่งงานมีไรปะ" (โอ๊ะโอ...ใครจะกล้ามีปัญหาฟะ) ส่วนเหตุผลเพราะถ้าคนที่เธอคิดว่าใช่ แต่ทำไปทำมา เกิดดันไม่ใช่ขึ้นมาภายหลังละก็ กลัวจะช้ำใจน่ะสิ ถึงได้รีรออยู่ทุกวันนี้ไง....แหมรอบคอบจังนะยะ
ทีนี้ลองไปถามฝ่าย ชายมั่งละกัน คุณเอ วัย 20 ปีเศษ ตอบแบบไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่า ผมอยากมีแฟนเป็นชาวต่างชาติฮ่ะ ผมว่าเท่ดีออก ถ้าผมควงเธอไปไหนมาไหนด้วย ใครๆก็คงมองผมแบบสงสัยแหงๆ ว่า ผมมีแฟนเป็นหนุ่มเอ๊ย...สาวต่างชาติได้ไงจริงมะ! ...เอ๊ะ ตกลงนี่อยากมีแฟนเป็นชายหรือหญิงกันแน่วะเนี่ย? สงสัยทำเป็นแอ๊บแมนแล้วอยากมีแฟนเป็นฝรั่งแหงเลย
เอาเถอะไม่ว่าใคร คิดจะมีแฟนเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ยังไง? แต่พวกเราคงเคยได้ยินใช่มะว่า หญิงไทยที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดบางคนน่ะ นิยมแต่งงานกับชาวต่างชาติมากทีเดียว เพราะสาวเหล่านี้ ส่วนใหญ่มองว่าชาวต่างชาติเป็นคนมีตังค์และจะช่วยทำให้ชีวิตของพวกเธอสบาย ขึ้นได้ อุ๊ย...ถ้าเป็นงี้แล้วบ้านไหนจะไม่อยากมีลูกเขยเป็นชาวต่างชาติมั่งละฮ้าแต่ ว่ามะ การมีแฟนเป็นชาวต่างชาติก็มีข้อดีและข้อเสียเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ โถอย่าลืมสิจ๊ะ ว่าเค้าก็เป็นมนุษย์คนนึงเหมือนกัน ซึ่งข้อดีและเสียแจกแจงได้เช่น...
1. ข้อดี : ใครๆก็เชื่อว่า ชาวต่างชาติมีรายได้ดีซึ่งจะว่าจริงก็จริงนะ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เค้าทำงานอะไรมากกว่า ยิ่งถ้าทำงานกับบริษัทต่างชาติละก็ อย่างงี้เค้าคงได้เงินเดือนเป็นค่าเงินของประเทศเค้าแหงเลย เช่น หากเป็นคนอังกฤษก็ได้เป็นเงินปอนด์, เป็นคนอเมริกันก็ได้เงินดอลลาร์ หรือแม้แต่เป็นคนฮ่องกงก็แลกเป็นเงินไทยได้เยอะจริงม้า ดังนั้น ถ้าคุณมีแฟนต่างชาติแล้วอาศัยอยู่ในเมืองไทยด้วยกัน ก็น่ามีชีวิตคู่สุขสบายนะ
2. ข้อเสีย : แม้มีรายได้ดี ก็ไม่แน่ว่าจะขี้เหนียวรึเปล่าเอ้าอย่าคิดว่าฝรั่งขี้เหนียวไม่เป็นนะเฟ้ย บางคนงี้ถึงมีรายได้ดีแต่อาจเจียดเงินมาเจือจุนแฟนเพียงก้อนเล็กๆก้อนนึงก็ ได้ แล้วส่วนใหญ่เค้าเก็บไว้เอง แถมชาวต่างชาติบางคนอยากมีแฟนเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมน เพื่อช่วยกันทำมาหากินด้วยซ้ำ ไม่อยากให้แฟนสาวเป็นคุณนายตีพุงนอนอยู่กะบ้านอย่างเดียวก็มี
3. ข้อดี : ไม่ค่อยเจ้าชู้ หรือแอบไปมีกิ๊กเคยได้ยินสาวไทยเล่าให้ฟังว่า เธอผ่านการมีแฟนทั้งคนไทยและต่างชาติมาแล้ว พบว่า ตอนมีแฟนเป็นคนไทยน่ะ โอ้โห เจ้าชู้ฉิบเป๋ง จนเธอทนไม่ได้ต้องเลิกกันไป กระทั่งไปมีแฟนเป็นชาวต่างชาตินี่แหละ ทำให้เธอสบายใจขึ้น เพราะเค้าไม่เจ้าชู้มากนัก...แหม แต่อยากบอกว่า ผู้ชายไม่ว่าชาติไหนจะเจ้าชู้มาก-น้อย หรือไม่เจ้าชู้เลย ก็ควรดูเป็นคนคนไป อย่าเพิ่งด่วนสรุปดีกว่าจ้ะ
4. ข้อเสีย : ความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมอาจทำให้เข้าใจผิดกันได้ ขนาดคนไทยคุยกันเองบางทียังพูดไม่รู้เรื่องถมเถไป แล้วถ้ามีแฟนเป็นชาวต่างชาติจะไปเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมของชาติเค้าอย่างทะลุ ปรุโปร่งรึ? นอกจากจะขยันปรับตัวให้ไวก็แล้วไป
5. ข้อดี : มีโอกาสได้เดินทางไปต่างแดนและเจอประสบการณ์ใหม่ๆ
เอ้า... สาวไทยบางคนฝันอยากไปเมืองนอกนะ ดังนั้น ถ้ามีแฟนเป็นชาวต่างชาติละก็ เธอคงสมใจนึกไปเลย เพราะเค้าคงพาหล่อนไปเยี่ยมบ้านเค้าบ้างแหละ....เขียนมานี่แค่ยกตัวอย่างให้ ฟัง ซึ่งถ้าใครอยากมีแฟนเป็นฝรั่งแล้วได้แฟนเป็นคนดีก็ดีใจด้วย เห็นใครมีความสุขก็หนับหนุนทั้งน้านจ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 31 มกราคม 2553
ขอโทษแฟนยังไงให้เค้าอยากคืนดี
คงต้องยอมรับความจริงบางประการที่ซ่อนอยู่ในความรักกันบ้างล่ะจ๊ะ ว่าถ้าเป็นโสดอาจรู้สึกเหงามั่งก็จริง (แต่บางคนบอกเดี๊ยนไม่มีวันเหงาร้อก เพราะถึงโสดแต่มีเพื่อนเป็นโขยง แล้วจะไปเหงาได้ไง) ส่วนคนที่มีแฟนหรือคนรักแล้ว ก็ใช่ว่าพวกเค้าจะมีความสุขเสมอไปที่ไหนล้า แม้การมีใครอีกสักคนเข้ามาในชีวิตคุณน่ะ จะช่วยลดทอนความเหงาลงได้บ้างก็จริง
แต่คู่รักส่วนใหญ่ไม่รู้เป็น ไง จากที่เคยเออออห่อหมก "ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้" มีอะไรก็เห็นดีเห็นงาม คล้อยตามกันไปซะหมด หนำซ้ำถ้าฝ่ายหญิงชอบอะไร ฝ่ายชายก็ชอบด้วย หรือฝ่ายหญิงอยากได้อะไร ฝ่ายชายก็ซื้อให้หมด...อู้ย อยากมีแฟนหยั่งงี้จังอ่ะ
ทว่าพอผ่านช่วงรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงไป แล้วนี่สิ ทีนี้ล่ะ คู่รักส่วนใหญ่จะเริ่มเกิดอาการขัดอกขัดใจกันแล้วน่ะซี ซึ่ง "การมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน" บางครั้งถ้าไม่หนักหนาสาหัสอะไร ก็ยังพอพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกันได้ หวังว่าทั้งคู่จะมีเหตุมีผลนะยะ
แต่ ถ้าถึงขั้นมีปากเสียงกันขึ้นมาล่ะ เช่น ฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยที่อีกฝ่ายจะออกไปเฮฮาปาร์ตี้หลังเลิกงานกับเพื่อนทุก วัน แหมเพราะเค้าควรจะแบ่งเวลามาให้แฟนสาวมั่งสิเพ่ แต่ถ้าเค้าเป็นคนดื้อหรือเอาแต่ติดเพื่อนละก็ แบบนี้คงได้ทะเลาะกันเข้าสักวันแหงเลย เฮ่อที่จริงก็ไม่มีใครชอบทะเลาะหรือมีปากเสียงกะแฟนนักหรอก แค่อยู่กันอย่างสงบและสันติก็ดีแล้วนี่ อีกอย่างขืนทะเลาะกันไปก็รังแต่จะทำให้ ทั้งคู่เสียความรู้สึกกันซะเปล่าๆ
ซึ่ง ถ้าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิดซะอย่าง ก็ดีไปใช่มะ แต่หากวันใด ที่คุณเกิดพลั้งเผลอทำผิดกับแฟนขึ้นมาล่ะ อย่างกรณีคุณไปแสดงอาการหึงหวงแฟน ขณะที่เค้ากำลังคุยกับสาวคนนึง แล้วคุณไปกระชากตัวแฟนไม่ให้พูดคุยกับสาวคนนั้นทันทีเพราะดันหึงบ้า...หึงบอ ขึ้นมาอะไรเงี้ย แต่กลับมารู้ภายหลังว่าสาวคนนั้นไม่ใช่กิ๊กเค้าซะหน่อย แต่เป็นเพื่อนร่วมงานกันต่างหาก!
อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด ถ้าคุณทำให้เค้าไม่พอใจขึ้นมางี้ แล้วคุณจะขอโทษแฟนมะ? เชอะ ถ้าใครตอบว่าไม่ขอโทษก็แย่แล้ว ถ้าคุณเป็นฝ่ายผิดก็ควรขอโทษเค้าสิตัว
ว่า แต่ คุณจะขอโทษเค้ายังไงดีล่ะ เค้าถึงจะยอมคืนดีด้วยน่ะ โถ...โถ โถ ถ้าเป็นแฟนที่เลิฟกันมากจริงๆละก็ หวังว่าจะให้อภัยกันได้นะฮ้า กระนั้นฝ่ายผิดก็ควรขอโทษเค้า ด้วยการทำตามนี้ละกัน เช่น
รู้ น่าว่าข้อนี้แทบไม่ต้องอธิบายวิธีการที่คุณจะแสดงความเสียใจในสิ่งที่คุณทำ ผิดกะเค้าหรอกเนอะ แค่รู้ตัวและสำนึกได้ว่าคุณเป็น ฝ่ายผิด ก็ควรหาโอกาสงามๆ ตอนคุณกะเค้าอยู่ด้วยกันสอง ต่อสองแล้วเอ่ยปากขอโทษเค้า เพราะคุณไม่ได้ตั้งใจแต่เจตนา...เอ๊ย...ไม่ใช่ ไม่ได้เจตนาจะทำผิดต่อเค้าเลยสักกะติ๊ด เค้าก็ต้องรู้สิว่าคนเราย่อมทำผิดพลาดกันได้ เพราะโลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟกต์นี่หว่า หากเค้าเป็นผู้ใหญ่พอ และเข้าใจสัจธรรมของสิ่งนี้ละก็ อีกสักประเดี๋ยวหลังจากที่เค้าทำใจได้ เค้าก็จะหายโกรธเองแหละ อย่ากังวลไปเลย
แต่ แต้ แต่ ถ้าคุณอุตส่าห์ขอโทษก็แล้ว เค้ายังทำเป็นไม่สนใจไยดี แถมยังประชดคุณด้วยการไม่พูดด้วย และไม่สนใจคุณเหมือนเคย เอ๊ะแล้วเค้าจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไมเนี่ย ในเมื่อคุณกล้าที่จะขอโทษเค้าแล้วยังทำกันหยั่งงี้อีก หน็อยมันน่าเต๊ะ เอ๊ย...น่าจูบให้เค้าหายโกรธซะก็สิ้นเรื่อง!
เพื่อ ให้เค้ารู้ว่า สิ่งที่คุณทำอะไรบ๊องส์ๆลงไปนั้นน่ะ คุณสำนึกผิดแล้วนะและอยากให้เค้าเห็นใจมองข้ามความโกรธที่เค้ามีอยู่ แล้วมาคืนดีกันใหม่ซะเถอะ ซึ่งถ้าเรื่องที่คุณทำให้เค้าโกรธไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขนาดคอขาดบาดตายซะ หน่อย ถ้าเค้าแมนจริง และเป็นสุภาพบุรุษพอละก็ เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้เค้าควรจะรักคุณมากกว่ามัวแต่โกรธคุณสิ มามะ มาคืนดีกันเถอะดาร์ลิ่ง
หาก คุณรู้ว่าแฟนอยากได้อะไรเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเค้าอยู่พอดี เช่น เค้าอยากได้เครื่องคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือหรือไอพอด (เครื่องบันทึกและฟังเพลง) แล้วถ้าคุณมีตังค์พอดี ก็ควรลงทุนซื้อของชิ้นนั้นให้เค้าซะสิ พอเค้าได้รับก็จะรู้เองแหละ ว่าคุณนั้นปรารถนาดีต่อเค้าแค่ไหน เชื่อมะ ถ้าเค้าเห็นของที่คุณให้เป็นสินค้าไฮเทค ตาเค้าจะโตเท่าไข่ห่านแถมยังกระโดดโลดเต้น แล้วเข้ามากอดคุณแบบลืมโกรธไปทันทีเลยก็ได้ เอาน่า นานๆจะซื้อของให้เค้าสักชิ้น ก็ให้สิ่งที่เค้าชอบจะเป็นไรไป
ถ้า ก่อนหน้านี้ คุณเคยพูดกับเค้าด้วยถ้อยคำที่กระโชกโฮกฮาก จนคนอื่นเกือบคิดว่าคุณคือพี่สาวหรือแม่เค้ามากกว่าเป็นแฟนละก็ งั้นหลังจากผิดใจกันและคุณอยากคืนดีกะเค้าใจจะขาด ก็ลองใช้วิธีพูดกะเค้าเพราะๆสิยะ การเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังทีนหยั่งงี้ เค้าย่อมรู้แน่ๆว่าคุณอยากขอโทษ โอ๊ย ถ้าไม่รู้ก็แย่แล้ว หลังจากนี้ก็พูดเพราะๆกะเค้าตลอดไปด้วยนะ อย่าทำครึ่งๆกลางๆ รู้มะ
ว่า กันว่า เซ็กซ์เป็นวิธีคืนดีที่ได้ผลที่สุดอย่างนึงเชียวนะ ฮ้า...แต่จะทำยังไงน่ะเหรอ? คุณก็พยายาม "บิ๊ว" อารมณ์ให้เค้าหันมาสนใจอยากสัมผัสเรือนกายของคุณสิจ๊ะ ด้วยการแต่งตัวให้ เซ็กซี่เข้าไว้ แล้วชวนเค้าทานดินเนอร์ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ชวนกันไปแสดงลีลาบนเตียงให้สุด เหวี่ยงกันไปเลย หวังว่าการฉลองรักกันคราวนี้ จะทำให้เค้ายิ้มออกซะทีนะฮ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 17 มกราคม 2553
แต่คู่รักส่วนใหญ่ไม่รู้เป็น ไง จากที่เคยเออออห่อหมก "ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้" มีอะไรก็เห็นดีเห็นงาม คล้อยตามกันไปซะหมด หนำซ้ำถ้าฝ่ายหญิงชอบอะไร ฝ่ายชายก็ชอบด้วย หรือฝ่ายหญิงอยากได้อะไร ฝ่ายชายก็ซื้อให้หมด...อู้ย อยากมีแฟนหยั่งงี้จังอ่ะ
ทว่าพอผ่านช่วงรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงไป แล้วนี่สิ ทีนี้ล่ะ คู่รักส่วนใหญ่จะเริ่มเกิดอาการขัดอกขัดใจกันแล้วน่ะซี ซึ่ง "การมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน" บางครั้งถ้าไม่หนักหนาสาหัสอะไร ก็ยังพอพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกันได้ หวังว่าทั้งคู่จะมีเหตุมีผลนะยะ
แต่ ถ้าถึงขั้นมีปากเสียงกันขึ้นมาล่ะ เช่น ฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยที่อีกฝ่ายจะออกไปเฮฮาปาร์ตี้หลังเลิกงานกับเพื่อนทุก วัน แหมเพราะเค้าควรจะแบ่งเวลามาให้แฟนสาวมั่งสิเพ่ แต่ถ้าเค้าเป็นคนดื้อหรือเอาแต่ติดเพื่อนละก็ แบบนี้คงได้ทะเลาะกันเข้าสักวันแหงเลย เฮ่อที่จริงก็ไม่มีใครชอบทะเลาะหรือมีปากเสียงกะแฟนนักหรอก แค่อยู่กันอย่างสงบและสันติก็ดีแล้วนี่ อีกอย่างขืนทะเลาะกันไปก็รังแต่จะทำให้ ทั้งคู่เสียความรู้สึกกันซะเปล่าๆ
ซึ่ง ถ้าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิดซะอย่าง ก็ดีไปใช่มะ แต่หากวันใด ที่คุณเกิดพลั้งเผลอทำผิดกับแฟนขึ้นมาล่ะ อย่างกรณีคุณไปแสดงอาการหึงหวงแฟน ขณะที่เค้ากำลังคุยกับสาวคนนึง แล้วคุณไปกระชากตัวแฟนไม่ให้พูดคุยกับสาวคนนั้นทันทีเพราะดันหึงบ้า...หึงบอ ขึ้นมาอะไรเงี้ย แต่กลับมารู้ภายหลังว่าสาวคนนั้นไม่ใช่กิ๊กเค้าซะหน่อย แต่เป็นเพื่อนร่วมงานกันต่างหาก!
อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด ถ้าคุณทำให้เค้าไม่พอใจขึ้นมางี้ แล้วคุณจะขอโทษแฟนมะ? เชอะ ถ้าใครตอบว่าไม่ขอโทษก็แย่แล้ว ถ้าคุณเป็นฝ่ายผิดก็ควรขอโทษเค้าสิตัว
ว่า แต่ คุณจะขอโทษเค้ายังไงดีล่ะ เค้าถึงจะยอมคืนดีด้วยน่ะ โถ...โถ โถ ถ้าเป็นแฟนที่เลิฟกันมากจริงๆละก็ หวังว่าจะให้อภัยกันได้นะฮ้า กระนั้นฝ่ายผิดก็ควรขอโทษเค้า ด้วยการทำตามนี้ละกัน เช่น
1. เอ่ยคำขอโทษจากใจจริงของคุณให้เค้าฟังสิจ๊ะ
รู้ น่าว่าข้อนี้แทบไม่ต้องอธิบายวิธีการที่คุณจะแสดงความเสียใจในสิ่งที่คุณทำ ผิดกะเค้าหรอกเนอะ แค่รู้ตัวและสำนึกได้ว่าคุณเป็น ฝ่ายผิด ก็ควรหาโอกาสงามๆ ตอนคุณกะเค้าอยู่ด้วยกันสอง ต่อสองแล้วเอ่ยปากขอโทษเค้า เพราะคุณไม่ได้ตั้งใจแต่เจตนา...เอ๊ย...ไม่ใช่ ไม่ได้เจตนาจะทำผิดต่อเค้าเลยสักกะติ๊ด เค้าก็ต้องรู้สิว่าคนเราย่อมทำผิดพลาดกันได้ เพราะโลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟกต์นี่หว่า หากเค้าเป็นผู้ใหญ่พอ และเข้าใจสัจธรรมของสิ่งนี้ละก็ อีกสักประเดี๋ยวหลังจากที่เค้าทำใจได้ เค้าก็จะหายโกรธเองแหละ อย่ากังวลไปเลย
แต่ แต้ แต่ ถ้าคุณอุตส่าห์ขอโทษก็แล้ว เค้ายังทำเป็นไม่สนใจไยดี แถมยังประชดคุณด้วยการไม่พูดด้วย และไม่สนใจคุณเหมือนเคย เอ๊ะแล้วเค้าจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไมเนี่ย ในเมื่อคุณกล้าที่จะขอโทษเค้าแล้วยังทำกันหยั่งงี้อีก หน็อยมันน่าเต๊ะ เอ๊ย...น่าจูบให้เค้าหายโกรธซะก็สิ้นเรื่อง!
2. ขอโทษด้วยการตีหน้าเศร้าสำนึกผิดอย่างเต็มที่
เพื่อ ให้เค้ารู้ว่า สิ่งที่คุณทำอะไรบ๊องส์ๆลงไปนั้นน่ะ คุณสำนึกผิดแล้วนะและอยากให้เค้าเห็นใจมองข้ามความโกรธที่เค้ามีอยู่ แล้วมาคืนดีกันใหม่ซะเถอะ ซึ่งถ้าเรื่องที่คุณทำให้เค้าโกรธไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขนาดคอขาดบาดตายซะ หน่อย ถ้าเค้าแมนจริง และเป็นสุภาพบุรุษพอละก็ เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้เค้าควรจะรักคุณมากกว่ามัวแต่โกรธคุณสิ มามะ มาคืนดีกันเถอะดาร์ลิ่ง
3. ซื้อของขวัญให้เค้าแทนคำขอโทษ
หาก คุณรู้ว่าแฟนอยากได้อะไรเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเค้าอยู่พอดี เช่น เค้าอยากได้เครื่องคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือหรือไอพอด (เครื่องบันทึกและฟังเพลง) แล้วถ้าคุณมีตังค์พอดี ก็ควรลงทุนซื้อของชิ้นนั้นให้เค้าซะสิ พอเค้าได้รับก็จะรู้เองแหละ ว่าคุณนั้นปรารถนาดีต่อเค้าแค่ไหน เชื่อมะ ถ้าเค้าเห็นของที่คุณให้เป็นสินค้าไฮเทค ตาเค้าจะโตเท่าไข่ห่านแถมยังกระโดดโลดเต้น แล้วเข้ามากอดคุณแบบลืมโกรธไปทันทีเลยก็ได้ เอาน่า นานๆจะซื้อของให้เค้าสักชิ้น ก็ให้สิ่งที่เค้าชอบจะเป็นไรไป
4. พูดกับเค้าด้วยวาจาที่ไพเราะเสนาะหู
ถ้า ก่อนหน้านี้ คุณเคยพูดกับเค้าด้วยถ้อยคำที่กระโชกโฮกฮาก จนคนอื่นเกือบคิดว่าคุณคือพี่สาวหรือแม่เค้ามากกว่าเป็นแฟนละก็ งั้นหลังจากผิดใจกันและคุณอยากคืนดีกะเค้าใจจะขาด ก็ลองใช้วิธีพูดกะเค้าเพราะๆสิยะ การเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังทีนหยั่งงี้ เค้าย่อมรู้แน่ๆว่าคุณอยากขอโทษ โอ๊ย ถ้าไม่รู้ก็แย่แล้ว หลังจากนี้ก็พูดเพราะๆกะเค้าตลอดไปด้วยนะ อย่าทำครึ่งๆกลางๆ รู้มะ
5. ใช้เซ็กซ์เป็นการขอโทษ
ว่า กันว่า เซ็กซ์เป็นวิธีคืนดีที่ได้ผลที่สุดอย่างนึงเชียวนะ ฮ้า...แต่จะทำยังไงน่ะเหรอ? คุณก็พยายาม "บิ๊ว" อารมณ์ให้เค้าหันมาสนใจอยากสัมผัสเรือนกายของคุณสิจ๊ะ ด้วยการแต่งตัวให้ เซ็กซี่เข้าไว้ แล้วชวนเค้าทานดินเนอร์ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ชวนกันไปแสดงลีลาบนเตียงให้สุด เหวี่ยงกันไปเลย หวังว่าการฉลองรักกันคราวนี้ จะทำให้เค้ายิ้มออกซะทีนะฮ้า
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 17 มกราคม 2553
Monday, June 7, 2010
คุณอยากมีแฟนนิสัยเด็กๆมะ?
ถ้าคุณกำลังคิดถึง "คนพิเศษ" ขึ้นมาสักคน เดี๊ยนก็หวังนะฮ้าว่า ใครคนนั้นเค้าคงคิดถึงคุณด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ปล่อยให้คุณเอาแต่คิดถึงเค้าเพียงข้างเดียว แหมหยั่งงี้ก็ไม่ยุติธรรมสิจ๊ะ
แล้วทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่า เผอิญมีโอกาสได้สอบถามเพื่อนๆหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนรุ่นพี่, เพื่อนรุ่นน้องและเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยังเป็นโสดอยู่ ว่า มี "สเปก" ของคนที่เค้าจะรักหรืออยากเป็นแฟนด้วยไหม? คำตอบที่ได้ก็มีทั้ง ก.ไม่มีสเป้ง สเปกอะไรกะเค้าหรอก เพราะขืนตั้งสเปกไว้ แล้วถ้าคนที่เข้ามาจีบไม่ได้มีคุณสมบัติตามสเปกที่หวังไว้ ก็แย่ดิ งี้มีหวังขึ้นคานแหงๆ แหม...ป่านนี้แล้วยังมีหวังจะลงจากคานอีกรึ...อุ๊บส์! แซวเล่นน่าเพื่อน
ข. ต้องตั้งสเปกไว้มั่งสิยะ เพราะถ้าไม่ กำหนดคุณสมบัติของ "ว่าที่แฟน" เอาไว้ซะเลย มันก็ยังไงๆอยู่นะ อย่างน้อยแฟนของชั้นก็ควร "มีความเป็นผู้ใหญ่" และ "รักเดียวใจเดียว" มั่งซี แล้วเห็นมะที่ตั้งสเปกมานี่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจาก "คนที่จะมาเป็นแฟน" มากมายอะไรนี่หว่า คุณสมบัติ แค่นี้ ถ้าให้กันไม่ได้ก็แย่แล้ว เอ...แต่ถ้าเค้าจะเป็นคนเข้มแข็งและมุมานะทำมาหากินด้วยก็ยิ่งแจ๋วไปเลย ...เออก็ใช่ซี จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้เจอสุดเลิฟที่ตรงสเปกสักทีนะจ๊ะ
ดัง นั้น ขณะที่สาวบางคนอยากได้แฟนที่มีความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เชื่อมะ อิสตรีส่วนนึงก็อยากมีแฟนที่มีความคิดเป็นเด็กๆอยู่เหมียนกันนะเฟ้ย นัยว่าอยู่กะเด็กมันก็น่าสนุกไปอีกแบบ
แล้วคุณผู้อ่านล่ะ อยากมีแฟนที่มีนิสัยเป็นเด็กๆรึเปล่าจ๊ะ?
แต่ ขออธิบายคำว่า แฟนที่มีนิสัยเป็นเด็กๆก่อนนะ ว่าหมายถึง คนที่คุณชอบหรือหมายตาว่าจะชวนมาเกี่ยวดองเชิงสร้างสรรค์ (คือชวนมาเป็นแฟนด้วยนั่นแหละ...เขียนให้มันวุ่นวายไปงั้นเอง) ที่อาจจะอายุน้อยหรืออายุมากแล้วก็ได้ และมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวสูง เช่น ขี้เล่น, ชอบทำตัวน่ารัก...แม้หน้าตาเค้าไม่ให้ ก็จะน่ารักซะอย่าง มีอะไรมะ? อีกอย่างอาจเป็นคนช่างพูดช่างคุย สาวๆจึงหลงเสน่ห์ได้ไม่ยาก
สรุป แล้วสัปดาห์นี้จึงอยากฝอยด้วยการตั้งคำถามว่า คุณอยากมีแฟนเด็กรึเปล่า? แต่ก่อนจะตัดสินใจตอบว่า เยส (ใช่ หรืออยากมีสิวะ) หรือโน (ไม่เอาด้วยหรอก แฟนเด็กๆน่ะ)
ก็ขอนำเสนอทั้งข้อดีและข้อเสียของการมีแฟนนิสัยเด็กให้ คุณๆได้ชั่งใจ ก่อนจะอินเลิฟกัน โดยขอเขียนทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนไปเลยละกันนะ เช่น....
1. ข้อดี : เค้าต้องเป็นคนร่าเริงแจ่มใสแหงๆ
โถ ก็เด็กๆมีอะไรต้องให้คิดมากเหมือนผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานใน หลายๆด้านด้วยล่ะ เหตุนี้คนที่มีนิสัยเป็นเด็กๆ จึงอารมณ์ดี, ยิ้มแย้ม, ใครอยู่ใกล้ด้วยก็มักมีความสุขคล้อยตามไปกะเค้านั่นแหละ แถมบางทีเค้ายังสามารถหัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้ทุกๆ 2-3 นาทีซะด้วย ซึ่งความร่าเริงเบิกบานอุราหยั่งงี้ คนที่นิสัยเป็นเด็กบางคนยังสามารถเล่าเรื่องตลกโปกฮาให้คนที่อยู่ล้อมรอบตัว เค้าได้หัวเราะจนกรามโยกไปเลยก็มี โลกในสายตาของเค้าจึงสวยสดงดงาม โถ...อยากเป็นแบบนี้มั่งใช่ไหมล้า
2. ข้อเสีย : เค้าเลื่อนลอยไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิต
อ้าว... ในเมื่อเค้ายังคิดอะไรเป็นเด็กๆอยู่นี่หว่า เค้าจึงเป็นคนที่ไม่คิดอะไรไกลเกินกว่าวันนี้ โอ๊ย... ถ้าขืนให้คิดถึงอนาคต เค้าคงอกแตกตายแหงๆ เพราะเค้าไม่อยากคิดไปถึงแผนการหรือวางเป้าหมายในชีวิตให้ยาวไกลเกินไปก็งี้ แหละ เค้าจึงไม่คิดการใหญ่ ดังนั้น ถ้าคุณอยากคุยกับเค้าถึงอนาคตวันข้างหน้าในฐานะที่เป็นแฟนกันละก็ รับรองเค้าไม่คุยด้วยหรอก แต่จะปล่อยให้คุณคิดเอง เออเอง ฝันถึงอนาคตชีวิตคู่ด้วยตัวเอง และขอให้เค้าได้สนุกไปวันๆก็พอ
ด้าน หน้าที่การงาน ถ้ามีให้ทำก็ทำ ถ้าไม่มีหรือหาไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ดีซะอีกจะได้เป็นลูกแหง่อยู่กะบ้าน แล้วอย่าคิดนะ ว่าเค้าจะช่วยทำงานบ้าน โถเรื่องพรรค์เนี่ยเค้าคิดเป็นซะที่ไหนล่ะ
3. ข้อดี : มีมนุษยสัมพันธ์ดีและดูไม่เป็นพิษเป็นภัย
คน ที่มีนิสัยเป็นเด็กๆ ส่วนใหญ่เข้ากับใครได้ไม่ยาก แม้คนไหนไม่อยากเข้าใกล้เค้า เค้าก็ยังกล้าจะเปิดฉากพูดคุยก่อนด้วยซ้ำ ดังนั้น เค้าจึงผูกมิตรได้เยอะ แถมทำไปทำมาอาจดูเป็นคนเจ้าชู้ซะด้วยดิ เพราะความที่เดินไปคุยกับใครก็สามารถตีซี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วหากใครก็ตามที่เค้าไปพบมีหน้าตาบูดบึ้งอยู่ เค้าก็มีพรสวรรค์พอที่จะทำให้ใครคนนั้นยิ้มออกมาได้ด้วยการเล่าเรื่องขำขัน ให้ฟังจนคนนั้นกลั้นหัวเราะไม่อยู่ได้ก็แล้วกัน เออแล้วการที่เค้าดูไม่เป็นพิษเป็นภัยกะใครอีกล่ะ ทั้งๆที่จริงๆอาจเป็น "จอมแต๊ะอั๋ง" ตัวยงก็ได้ ดังนั้น คนที่จะมาเป็นแฟนเค้าจึงมักจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน นอกซะจากถ้าเค้าเผลอแสดงพฤติกรรม "ปากว่ามือถึง" ซะถี่ยิบจนคุณรู้ตัว ก็น่าเตะเนอะ
4. ข้อเสีย : ขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งใดๆทั้งปวง
ใน เมื่อเค้ายังไม่โตสักทีนี่หว่า เหตุนี้เค้าจึงไม่สนที่จะรับผิดชอบเรื่องอะไรต่อมิอะไรทั้งนั้น ขนาดงานการยังไม่อยากทำเลย แล้วนับประสาอะไรจะไปรับผิดชอบเรื่องที่ใหญ่กว่านี้เล่า เค้าชอบที่จะถูกตามใจมากกว่าถูกขัดใจนะ ดังนั้น ถ้าคุณอยากมีแฟนนิสัยเด็กๆละก็ เห็นทีคุณคงต้องทำหน้าที่เป็นช้างเท้าหน้าของครอบครัวซะแล้วล่ะ อ่ะ แต่บางทีเค้าคนนี้ที่นิสัยเด็กๆ อาจเหมาะกับเวิร์กกิ้ง วูแมน ที่ไม่ชอบทำอะไรตามตูดแฟนของหล่อนก็ได้นะ เค้าจึงเหมาะกับสาวเก่ง, เด่น, ดังไงล่ะ
5. ข้อเสีย : ขาดความเป็นผู้นำ
เค้าจะไปเป็นผู้นำ ใครเค้าได้นะ ในเมื่อส่อนิสัยเด็กไม่รู้จักโตออกมาซะงั้น แถมไม่ใช่คนจริงจังต่ออะไรสักอย่างซะด้วย ว้า! แล้วงี้จะคบเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟนดีน้า ทำใจลำบากแฮะ
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 24 มกราคม 2553
แล้วทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่า เผอิญมีโอกาสได้สอบถามเพื่อนๆหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนรุ่นพี่, เพื่อนรุ่นน้องและเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยังเป็นโสดอยู่ ว่า มี "สเปก" ของคนที่เค้าจะรักหรืออยากเป็นแฟนด้วยไหม? คำตอบที่ได้ก็มีทั้ง ก.ไม่มีสเป้ง สเปกอะไรกะเค้าหรอก เพราะขืนตั้งสเปกไว้ แล้วถ้าคนที่เข้ามาจีบไม่ได้มีคุณสมบัติตามสเปกที่หวังไว้ ก็แย่ดิ งี้มีหวังขึ้นคานแหงๆ แหม...ป่านนี้แล้วยังมีหวังจะลงจากคานอีกรึ...อุ๊บส์! แซวเล่นน่าเพื่อน
ข. ต้องตั้งสเปกไว้มั่งสิยะ เพราะถ้าไม่ กำหนดคุณสมบัติของ "ว่าที่แฟน" เอาไว้ซะเลย มันก็ยังไงๆอยู่นะ อย่างน้อยแฟนของชั้นก็ควร "มีความเป็นผู้ใหญ่" และ "รักเดียวใจเดียว" มั่งซี แล้วเห็นมะที่ตั้งสเปกมานี่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจาก "คนที่จะมาเป็นแฟน" มากมายอะไรนี่หว่า คุณสมบัติ แค่นี้ ถ้าให้กันไม่ได้ก็แย่แล้ว เอ...แต่ถ้าเค้าจะเป็นคนเข้มแข็งและมุมานะทำมาหากินด้วยก็ยิ่งแจ๋วไปเลย ...เออก็ใช่ซี จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้เจอสุดเลิฟที่ตรงสเปกสักทีนะจ๊ะ
ดัง นั้น ขณะที่สาวบางคนอยากได้แฟนที่มีความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เชื่อมะ อิสตรีส่วนนึงก็อยากมีแฟนที่มีความคิดเป็นเด็กๆอยู่เหมียนกันนะเฟ้ย นัยว่าอยู่กะเด็กมันก็น่าสนุกไปอีกแบบ
แล้วคุณผู้อ่านล่ะ อยากมีแฟนที่มีนิสัยเป็นเด็กๆรึเปล่าจ๊ะ?
แต่ ขออธิบายคำว่า แฟนที่มีนิสัยเป็นเด็กๆก่อนนะ ว่าหมายถึง คนที่คุณชอบหรือหมายตาว่าจะชวนมาเกี่ยวดองเชิงสร้างสรรค์ (คือชวนมาเป็นแฟนด้วยนั่นแหละ...เขียนให้มันวุ่นวายไปงั้นเอง) ที่อาจจะอายุน้อยหรืออายุมากแล้วก็ได้ และมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวสูง เช่น ขี้เล่น, ชอบทำตัวน่ารัก...แม้หน้าตาเค้าไม่ให้ ก็จะน่ารักซะอย่าง มีอะไรมะ? อีกอย่างอาจเป็นคนช่างพูดช่างคุย สาวๆจึงหลงเสน่ห์ได้ไม่ยาก
สรุป แล้วสัปดาห์นี้จึงอยากฝอยด้วยการตั้งคำถามว่า คุณอยากมีแฟนเด็กรึเปล่า? แต่ก่อนจะตัดสินใจตอบว่า เยส (ใช่ หรืออยากมีสิวะ) หรือโน (ไม่เอาด้วยหรอก แฟนเด็กๆน่ะ)
ก็ขอนำเสนอทั้งข้อดีและข้อเสียของการมีแฟนนิสัยเด็กให้ คุณๆได้ชั่งใจ ก่อนจะอินเลิฟกัน โดยขอเขียนทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนไปเลยละกันนะ เช่น....
1. ข้อดี : เค้าต้องเป็นคนร่าเริงแจ่มใสแหงๆ
โถ ก็เด็กๆมีอะไรต้องให้คิดมากเหมือนผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานใน หลายๆด้านด้วยล่ะ เหตุนี้คนที่มีนิสัยเป็นเด็กๆ จึงอารมณ์ดี, ยิ้มแย้ม, ใครอยู่ใกล้ด้วยก็มักมีความสุขคล้อยตามไปกะเค้านั่นแหละ แถมบางทีเค้ายังสามารถหัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้ทุกๆ 2-3 นาทีซะด้วย ซึ่งความร่าเริงเบิกบานอุราหยั่งงี้ คนที่นิสัยเป็นเด็กบางคนยังสามารถเล่าเรื่องตลกโปกฮาให้คนที่อยู่ล้อมรอบตัว เค้าได้หัวเราะจนกรามโยกไปเลยก็มี โลกในสายตาของเค้าจึงสวยสดงดงาม โถ...อยากเป็นแบบนี้มั่งใช่ไหมล้า
2. ข้อเสีย : เค้าเลื่อนลอยไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิต
อ้าว... ในเมื่อเค้ายังคิดอะไรเป็นเด็กๆอยู่นี่หว่า เค้าจึงเป็นคนที่ไม่คิดอะไรไกลเกินกว่าวันนี้ โอ๊ย... ถ้าขืนให้คิดถึงอนาคต เค้าคงอกแตกตายแหงๆ เพราะเค้าไม่อยากคิดไปถึงแผนการหรือวางเป้าหมายในชีวิตให้ยาวไกลเกินไปก็งี้ แหละ เค้าจึงไม่คิดการใหญ่ ดังนั้น ถ้าคุณอยากคุยกับเค้าถึงอนาคตวันข้างหน้าในฐานะที่เป็นแฟนกันละก็ รับรองเค้าไม่คุยด้วยหรอก แต่จะปล่อยให้คุณคิดเอง เออเอง ฝันถึงอนาคตชีวิตคู่ด้วยตัวเอง และขอให้เค้าได้สนุกไปวันๆก็พอ
ด้าน หน้าที่การงาน ถ้ามีให้ทำก็ทำ ถ้าไม่มีหรือหาไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ดีซะอีกจะได้เป็นลูกแหง่อยู่กะบ้าน แล้วอย่าคิดนะ ว่าเค้าจะช่วยทำงานบ้าน โถเรื่องพรรค์เนี่ยเค้าคิดเป็นซะที่ไหนล่ะ
3. ข้อดี : มีมนุษยสัมพันธ์ดีและดูไม่เป็นพิษเป็นภัย
คน ที่มีนิสัยเป็นเด็กๆ ส่วนใหญ่เข้ากับใครได้ไม่ยาก แม้คนไหนไม่อยากเข้าใกล้เค้า เค้าก็ยังกล้าจะเปิดฉากพูดคุยก่อนด้วยซ้ำ ดังนั้น เค้าจึงผูกมิตรได้เยอะ แถมทำไปทำมาอาจดูเป็นคนเจ้าชู้ซะด้วยดิ เพราะความที่เดินไปคุยกับใครก็สามารถตีซี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วหากใครก็ตามที่เค้าไปพบมีหน้าตาบูดบึ้งอยู่ เค้าก็มีพรสวรรค์พอที่จะทำให้ใครคนนั้นยิ้มออกมาได้ด้วยการเล่าเรื่องขำขัน ให้ฟังจนคนนั้นกลั้นหัวเราะไม่อยู่ได้ก็แล้วกัน เออแล้วการที่เค้าดูไม่เป็นพิษเป็นภัยกะใครอีกล่ะ ทั้งๆที่จริงๆอาจเป็น "จอมแต๊ะอั๋ง" ตัวยงก็ได้ ดังนั้น คนที่จะมาเป็นแฟนเค้าจึงมักจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน นอกซะจากถ้าเค้าเผลอแสดงพฤติกรรม "ปากว่ามือถึง" ซะถี่ยิบจนคุณรู้ตัว ก็น่าเตะเนอะ
4. ข้อเสีย : ขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งใดๆทั้งปวง
ใน เมื่อเค้ายังไม่โตสักทีนี่หว่า เหตุนี้เค้าจึงไม่สนที่จะรับผิดชอบเรื่องอะไรต่อมิอะไรทั้งนั้น ขนาดงานการยังไม่อยากทำเลย แล้วนับประสาอะไรจะไปรับผิดชอบเรื่องที่ใหญ่กว่านี้เล่า เค้าชอบที่จะถูกตามใจมากกว่าถูกขัดใจนะ ดังนั้น ถ้าคุณอยากมีแฟนนิสัยเด็กๆละก็ เห็นทีคุณคงต้องทำหน้าที่เป็นช้างเท้าหน้าของครอบครัวซะแล้วล่ะ อ่ะ แต่บางทีเค้าคนนี้ที่นิสัยเด็กๆ อาจเหมาะกับเวิร์กกิ้ง วูแมน ที่ไม่ชอบทำอะไรตามตูดแฟนของหล่อนก็ได้นะ เค้าจึงเหมาะกับสาวเก่ง, เด่น, ดังไงล่ะ
5. ข้อเสีย : ขาดความเป็นผู้นำ
เค้าจะไปเป็นผู้นำ ใครเค้าได้นะ ในเมื่อส่อนิสัยเด็กไม่รู้จักโตออกมาซะงั้น แถมไม่ใช่คนจริงจังต่ออะไรสักอย่างซะด้วย ว้า! แล้วงี้จะคบเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟนดีน้า ทำใจลำบากแฮะ
เมอร์ลิน
ที่มา: ร้อยแปดพันเก้า ไทยรัฐออนไลน์ 24 มกราคม 2553
Subscribe to:
Posts (Atom)