หลังผ่านช่วงเวลา "ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น" ไปแล้วหยั่งงี้ ก็ได้เวลาที่นิสิตและนักศึกษาได้กลับมาเข้าเรียนตามปกติกันแล้วละสิ ซึ่งรู้น่าว่านักเรียนชั้นมัธยมปลายที่สอบผ่านได้เข้าเรียนในสถาบันอุดม ศึกษาตามมหาวิทยาลัยทั้งหลายคงตื่นเต้นดีใจกับการได้เป็นนักศึกษาใหม่กันแหง เลย เพราะแหม...กว่าจะฝ่าด่านอรหันต์เข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ มันง่าย ซะที่ไหนล่ะเนอะ
ดังนั้น นักศึกษาใหม่ที่เปรียบเสมือนเป็น "น้องใหม่" ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จึงย่อมรู้สึกตื่นตัว, กระดี๊กระด๊าและกระตือรือร้นที่จะได้เข้าเรียนตามคณะและภาควิชาต่างๆกันสินะ โอ๊ยก่อนหน้านี้มีน้องนักศึกษาใหม่บางคนเปิดใจให้ฟังด้วยซ้ำไปว่า อยากให้มหาวิทยาลัยเปิดเรียนไวๆ เพราะพวกเขาจะได้เมคเฟรนด์ หรือได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่กันสักที แล้วส่วนใหญ่ก็มองโลกในแง่ดีด้วยนะว่า การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยจะสอนให้ พวกเขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และจะใช้ความรู้ที่ได้รับมาไปประกอบอาชีพเป็นคนดีของสังคมต่อไปในอนาคต ...โอ้โหก็ขออนุโมทนาต่อความตั้งใจดีของน้องๆด้วยนะจ๊ะ
แต่หลังจาก ได้ร่ำเรียนกันไปสักพัก ก็คงถึงช่วงเวลาของการต้อนรับน้องใหม่ของบรรดานักศึกษารุ่นพี่กันตาม ระเบียบ ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันหลายแห่งสามารถจัดกิจกรรมรับน้องกันอย่างมีระเบียบเรียบ ร้อย ไม่มีการบังคับขู่เข็ญน้องๆให้ทำในสิ่งที่ต้องฝืนใจ, ฝืนความรู้สึก หรือทำให้น้องต้องอับอายขายหน้าจนขวัญหนีดีฝ่อ หากรุ่นพี่ที่ไหนทำได้หยั่งงี้ก็น่าชมเชยและให้ กำลังใจกัน
โดยบางสถาบันได้จัดงานรับน้องไปบ้างแล้ว แต่คงยังมีอีกหลายแห่งที่จะจัดตามมาทีหลัง ก็ได้แต่หวังว่า การรับน้องจะช่วย ให้รุ่นพี่และรุ่นน้องรู้จักมักจี่กันมากขึ้น และยุติการรับน้องแบบโหดซะที เช่น ให้กลืนกระดาษเปื้อนหมึก, ให้กินพริกขี้หนูสดๆ หรือสั่งให้รุ่นน้อง ชกต่อยกันให้รุ่นพี่ดู หยั่งงี้ไม่ควรให้เกิดขึ้นหรอก อีกอย่าง การรับน้องไม่ควรบังคับน้องให้ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ เพราะการรับน้องไม่ใช่การมาตั้งวงดื่มเหล้าเมายา กันนี่หว่า เพราะฉะนั้นอย่าทำงี้เลยนะ
ช่วงนี้น่ะ สังคมไทยกำลังต้องการความสมานฉันท์ และความปรองดอง จึงอยากหนับหนุนให้นักศึกษาทุกคนจัดกิจกรรมรับน้องด้วยการยึดหลักสิทธิมนุษยชน และสิทธิส่วนบุคคลเป็นหลัก เช่น
1. การเข้าร่วมกิจกรรมการรับน้อง ควรเป็นไปด้วยความสมัครใจของนักศึกษาใหม่ ไม่ใช่ ใช้วิธีไปรวบรัดหรือบังคับให้น้องมาร่วมกิจกรรม แล้วขู่ว่าถ้าใครไม่มาจะโดนกลั่นแกล้งต่างๆนานา หยั่งงี้ก็ไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรมกับน้องๆน่ะซี เพราะถ้าบังเอิญรุ่นน้องไม่สามารถไปร่วมงานได้ด้วยความจำเป็นบางอย่างล่ะ เช่น น้องอาจป่วยในช่วงนั้น พอดี ก็ควรเห็นใจกันมากกว่า
2. เปิดโอกาสให้ ผู้ปกครองเข้ามาสังเกตการณ์ด้วยยิ่งดี ท่านจะได้ทึ่งว่าการรับน้องคราวนี้มีความโปร่งใสไงล่ะ
3. อยากให้การรับน้องเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หรือทำอะไรขำๆกันมากกว่านะ เพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะช่วยสร้างความสามัคคีได้นะเออ
คนสมถะ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 6 มิถุนายน 2553
No comments:
Post a Comment