การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ปกติเป็นประเด็นเรื่องการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง
เพิ่งมีสมัยนี้ มีประเด็นสยองขวัญท่านผู้ชม ขอพื้นที่คืน กระชับพื้นที่ มาเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจทั้งสภาผู้แทนราษฎร ทั้งผู้ชมการถ่ายทอด
ความดันขึ้นเลยนะเนี่ย เรื่องการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น แค่ฟังฝ่ายค้านเขาว่ามาแล้ว
ชาวบ้านยังวางใจไม่ได้นะท่าน ต้องคอยระวัง
และถ้าจะเอากันให้เป็นคดีถึงรับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย ท่านว่าต้องพิสูจน์กันให้ถึงขนาด
แค่ปากมันแผล็บ ยังไม่พอ
ท่านผู้ฟ้องคดีเคยเป็นผู้อำนวยการกองกลางของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ที่เคยเป็นเพราะสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งอยู่ มีเหตุมีปัจจัยถูกมหาวิทยาลัยไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม
ไม่เป็นธรรมอย่างไร
มีบริษัทเอกชนเขามาขอใช้สถานที่ของมหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายทำรายการโทรทัศน์ และ ก็เป็นธรรมดาที่เอกชนเขาก็ช่วยค่าบำรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตามวิสัย
ขอบริจาคเงินสองพันบาทเป็นค่าบำรุงสถานที่ ท่านผู้อำนวยการนำไปเข้ากองทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่อไป
ดั๊นมีปากหอยปากปูลือกันหึ่งว่าท่าน ผอ.เรียกรับเงินจาก บริษัทเอกชนเข้ากระเป๋าไปโน่น
ยัง ยังไม่หมดเวร
ท่าน ผอ.จัดงานเลี้ยงเกษียณอายุให้ลูกน้องที่บ้าน พวกปากหอยปากปูไปซุบซิบนินทากันให้แซดอีกว่า อีกแล้ว ท่าน ผอ.นำคนงานไปใช้งานส่วนตัวที่บ้าน แต่ให้เบิกค่าจ้างล่วงเวลากับมหาวิทยาลัย
ทั้งหึ่งทั้งแซด ความซวยจึงเกิด มหาวิทยาลัยทำการสอบสวนตามขั้นตอนแล้วมีคำสั่งไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
กรณีกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง รวม 2 ข้อหา
ข้อหาแรก ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือ ผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 และมาตรา 89 วรรคสองแห่ง พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 โดยมีกรณีกระทำความผิดรวม 2 เรื่องคือ
(1) เรียกและรับเงินจากบุคคลภายนอกที่ขอใช้สถานที่ของ มหาวิทยาลัย
(2) นำคนงานของมหาวิทยาลัยไปใช้งานส่วนตัวโดยเบิกเงินค่าล่วงเวลาของทางราชการ
เห็นข้อหาแล้ว ท่าน ผอ.จึงอุทานว่า เฮ้ย ข้อ 1.นั่นนะ เงิน ยังอยู่ในบัญชีครบถ้วน ส่วนข้อ 2. นี่มันงานเลี้ยงบุคลากรของมหาวิทยาลัยนะเฟ้ย จะให้ข้าล้างชามเองหรือไร
จึงไม่อาจไว้วางใจมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป ต้องฟ้องเป็นคดีที่ศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกอันไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเสีย
ศาลปกครองชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วเชื่อว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหาจริง คำสั่งไล่ออกชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า กรณีเรียกและรับเงินจากบุคคลภายนอกดังกล่าวนั้น กรณีมีน้ำหนักเชื่อได้ว่าได้มีการจ่ายและรับเงิน กันจริง
แต่ยังไม่ชัดแจ้งว่า ผู้ฟ้องคดีได้เรียกรับเงินดังกล่าวโดยทุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลอื่นใดโดยเฉพาะ
จึงยังไม่อาจฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ในข้อกล่าวหานี้
ส่วนกรณีนำคนงานของมหาวิทยาลัยไปใช้งานส่วนตัวทำความสะอาดบ้านของผู้ฟ้องคดี แล้วเบิกค่าล่วงเวลาจากทางราชการนั้น
ฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีใช้ลูกจ้างชั่วคราวรายวันไปทำงานนอกหน้าที่ราชการ
แม้จะเป็นการกระทำการผิดอำนาจหน้าที่ แต่กระทำไปเพื่อจัดงานเลี้ยงเกษียณอายุบุคลากรในสังกัด
พอจะอนุมานได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อบำรุงขวัญและเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการในหน่วยสังกัดเดียวกันได้บางส่วน
ยังไม่ถึงขนาด เป็นการกระทำ ทุจริตต่อหน้าที่ อันเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง
คงฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลที่ ไม่รักษาประโยชน์ของราชการ และกระทำการอันเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการถูกมองว่ากระทำการไม่ค่อยสุจริตอัน เป็นมลทินมัวหมอง หากให้รับราชการต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการได้
ควร ให้ออก จากราชการเท่านั้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออก โดยให้ผู้ถูกฟ้อง คดีออกคำสั่งใหม่ให้ถูกต้องต่อไป (จาก ไล่ออก เป็น ให้ออก) (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.297/2547)
แต่ในสภา เขาทำกันเกินขนาดทั้งนั้น
พิสิษฐ์ พลรักษ์เขตต์
praepim@yahoo.com
ที่มา: กฎหมายข้างตัว เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 05 มิถุนายน 2553
No comments:
Post a Comment