Thursday, July 1, 2010

การให้อภัย (forgive n forget)

เหลือเชื่อ!! ข้อคิดดี ๆ ในเรื่องการให้อภัย จากละครเรื่อง ไทรโศก (ช่อง 3)

ที่คลินิกหมองาม ไทรงามทำแผลให้ทนต์เสร็จแล้ว เธอเข้ามาดึงปรอทดูบอกว่าไม่มีไข้แล้ว ชมว่าร่างกายเขาแข็งแรงมากเลยฟื้นตัวได้เร็ว ทนต์ถามว่าทำไมเธอถึงดีกับตนอย่างนี้เฝ้าไข้ทั้งคืน

หมองามพูด "มันเป็นเรื่อง ยากที่ต้องช่วยชีวิตคนที่ฆ่าพ่อแม่เรา อันที่จริง ฉันแก้แค้นคุณได้ทุกเวลาถ้าฉันคิดจะทำ แต่ฉันเลือกทำในสิ่งที่ยากกว่า นั่นคือการให้อภัย แล้วฉันก็คิดว่าพ่อแม่ฉันท่านคงเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันเลือกทำ รอสักครู่นะคะ ฉันจะไปเตรียมยาให้"

การให้อภัย (forgiveness) จัดเป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะลืมมันไปด้วย (forget)  ความจริงแล้วการให้อภัยกลับกลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ให้อภัยเอง เพราะการให้อภัยคือการปลดปล่อยตนเองจากซากอดีตที่เจ็บปวดเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

มนุษย์พร้อมจะโกรธคนอื่นได้ง่ายเพราะเขาสนใจและรักตัวเองมากไป มักจะจับผิดคนอื่น หรือโยนความผิดไปให้คนอื่น หรือตั้งมาตรฐานตัวเองสูงมากจนมองคนอื่นทำผิดได้ง่าย เพราะไม่เข้ามาตรฐานที่เขาตั้งเอาไว้หรือผิดหวังเพราะคิดว่ามนุษย์ทุกคนจะต้องมีความดีพร้อม ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ และมนุษย์ก็ไม่พร้อมจะให้อภัย หรืออยากล้างแค้นให้สมใจเสียก่อน หรือเกิดความระแวงว่าจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นอีก

หลายๆ คนคอยเตือนความทรงจำเกี่ยวกับความโกรธแค้นด้วยการคิดถึงบ่อย ๆ หรือจดบันทึกเหตุการณ์ที่โกรธเอาไว้ ยิ่งทำให้ไม่สามารถลืมได้ แถมจะยิ่งโกรธแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถอภัยได้เลยจนตาย

การให้อภัยไม่ใช่ได้ง่าย แต่ทำยากกว่าการให้สิ่งของ ให้เงิน หรือให้กำลังใจคนอื่นเสียอีก ถ้าใครรู้จักการให้อภัยได้ ถือว่าเป็นการทำงานชิ้นเยี่ยมของชีวิตได้ และทำให้มีความสุขมากขึ้น

คนที่ไม่อภัยคือคนแพ้
ถ้าเราโกรธใครเพราะคิดว่าเขาทำผิดต่อเรา และเราไม่ให้อภัยเขานั่นก็เหมือนกับเราคือผู้แพ้ เขาคือผู้ชนะ เพราะเราจะให้เวลาและความสำคัญกับเขาบ่อย ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ทำอะไรก็ไม่ได้
ตัวเราเองจะทุกข์มากขึ้น ส่วนเขาจะทุกข์หรือไม่ เราไม่รู้ ตกลงเราคือผู้แพ้ เขาคือผู้ชนะ


แต่ถ้าหากเราให้อภัยได้ เราไม่แคร์ว่าเขาจะทำอย่างไรกับเรา เรื่องมันผ่านไปแล้วเป็นเรื่องของอดีต เราก็จะกลายเป็นผู้ชนะทันที ถ้าเขาทำผิดกฎหมายก็ให้ต่อสู้ในแง่กฎหมาย

ถ้าเขาผิดโดยเราต่อสู้ไม่ได้และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรม
ที่เราอาจจะเคยทำสิ่งที่ไม่ดีกับเขาเอาไว้ก่อนในอดีต ผลกรรมจึงตามมาทำให้เราทุกข์เราต้องถ่อมตัว ถ่อมใจ ยอมรับความทุกข์นั้น และทำดีให้มากขึ้นโดยหวังว่าผลของการทำดีนั้นจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น พ้นจากวิบากกรรมนั้นได้เร็วๆ ส่วนเขาที่ทำความผิดกับเรา ทำให้เราเดือดร้อน เจ็บปวด เขาก็จะได้รับผลของการกระทำนั้นเองในอนาคต

ต้องเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเอาไว้บ้าง จะได้มีแนวคิดที่สร้างสรรค์ได้ ไม่จนมุม ถ้าไม่เชื่ออย่างนี้ก็จะเกิดการยกตัวโดยคิดว่าตัวเองถูกต้อง คนอื่นผิด และโทษคนอื่นตลอดเวลา จะยิ่งทุกข์มากขึ้น

คนที่ไม่ให้อภัยนั้นจะมีความทุกข์เสมือนมีบาดแผลในใจหรือมีหนามชีวิตที่คอยทิ่มแทงจิตใจตัวเอง ให้เจ็บปวดตลอดเวลาที่นึกถึงเป็นเรื่องทรมานมาก เวลาคิดขึ้นมาจะมีความเครียด รู้สึกเจ็บปวด มีการหลั่งสารคลายความเครียดคือ Adrenaline และ Cortizonine (ไม่แน่ใจต้นฉบับขาดตรงคำนี้น่ะค่ะ) ในสมองแต่ถ้าให้อภัยแล้วจิตใจสบาย พร้อมจะรักตัวเองเป็นและรักคนอื่นได้ มีความคิดสร้างสรรค์ได้ จะมีการหลั่งสารของความสุข Endophine ในสมองได้

เทคนิคการให้อภัยผู้อื่นการให้อภัยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักต้องตั้งใจทำ
และต้องรู้ประโยชน์ของการให้อภัยรู้จักโทษ ของการไม่ให้อภัยให้ดีด้วย และลองๆ
ทำตามคำแนะนำดังนี้ครับ

1. จงสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองให้มากขึ้นโดยให้มีความพร้อมจะให้อภัยคนได้ง่ายขึ้น และโกรธคนได้น้อยลง เพราะรู้แล้วว่าถ้าโกรธแค้นแล้วไม่ดีอย่างไร และรู้ว่าการให้อภัยเป็นสิ่งที่ยาก แต่มีผลดีมาก เราจะสร้างภูมิคุ้มกันได้โดยขอให้ถ่อมตน
อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือทุกคืนว่า ขอให้คุณได้รับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เพื่อทำให้คุณ
สามารถรักคนอื่นได้มากขึ้น สามารถให้คนอื่นได้มากขึ้น สามารถให้อภัยคนอื่นได้มากขึ้น และขอให้คุณ ได้รับความรักจากคนอื่นมากขึ้น ได้รับการให้จากคนอื่นมากขึ้น ได้รับการให้อภัยจากคนอื่นมากขึ้น จะทำให้คุณมีความพร้อมจะให้อภัยคนอื่นได้มากขึ้นและง่ายกว่า และเป็นการเตรียมตัวถ่อมตัว รับเอาพลังจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าคุณที่คุณนับถือ
มาไว้ในใจของคุณเพื่อให้คุณมีพลัง จะทำในสิ่งที่ยากนี้ได้ดีขึ้น

2. ใช้สติ ปัญญา ให้มากขึ้น โดยให้คิดว่า คนที่ทำให้เราโกรธนั้นเขาอาจจะมีข้อบกพร่องในตัว
ซึ่งเป็นความปรกติของบุคคลทั่วไป ที่เกิดมามีความบกพร่องในตัวทุกคน
และมีความไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน จะทำให้เรามองความผิด และความบกพร่องของเขาเป็นเรื่องปรกติ
รวมทั้งตัวเราก็สามารถทำความผิดหรือมีความบกพร่องได้ด้วย

คนที่มีความบกพร่องนั้นจะได้รับความทุกข์จากความบกพร่องของเขา เช่น
คนที่ปากพล่อยชอบด่าว่า ก้าวร้าวต่อคนอื่น เขาก็จะมีศัตรูมาก
เมื่อเขาโกรธง่ายก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง
หรือมีภูมิต้านทานต่ำได้ง่าย

เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าหากเขารังแกเรา ทำให้เราทุกข์ ก็ให้คิดว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรม
ตามมาถึงเราให้ถ่อมใจรับเสียและทำความดีมากขึ้น (ในกรณีที่ต่อสู้ด้วยกฎหมายไม่ได้ แต่ถ้าหากต่อสู้ด้วยกฎหมายได้ก็ให้ดำเนิน ตามกฎหมายไป ถ้าสู้แล้วแพ้ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรมดังกล่าวแล้ว ให้ถ่อมตัวยอมรับและรีบทำความดีให้มากขึ้น

ถ้าไม่อยากต่อสู้ทางด้านกฎหมายและความแค้นยังคาใจอยู่ ก็ให้นึกถึงผลของความแค้นของเรา ที่ทำให้สารของความเครียดหลั่งออกมา เกิดความไม่เป็นสุขและเป็นโรคทางกายตามมาได้มาก เพราะใจของเราจะใฝ่คิดถึงแต่ความทุกข์เสมอๆ

ถ้ายังแค้นอยู่และไม่ให้อภัยเท่ากับเราเป็นผู้แพ้ เพราะยิ่งคิดยิ่งแค้นและทำอะไรไม่ได้ ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา แต่ถ้าเราแค้นและให้อภัยได้ เราคือผู้ชนะ เพราะเราไม่แคร์ว่า เขาทำอะไรให้เราในอดีตแล้ว เราคิดเป็นแล้ว
เราทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่และลำบากคือการให้อภัยได้แล้ว

ผลของการทำความผิดของเขาที่ทำต่อเรานั้น ให้เป็นเรื่องการตัดสินและลงโทษ
ตามกติกาของกฎแห่งกรรมเถิด

3. ให้ถ่อมตัวให้มากขึ้นอีก สติปัญญา
และวิจารณญาณจะเกิดขึ้นได้มากขึ้นอีกโดยคิดได้ว่า

เราตั้งมาตรฐานตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า ระแวงมากไปไหม คิดมากไปไหม
จับผิดเขามากไปไหม ทำให้คิดว่าเขาทำผิดต่อเรา และย้ำคิดซ้ำๆ
มากไปจนเกิดความทุกข์จากความโกรธแค้นมากไปหรือเปล่า
เกิดความเข้าใจสภาพปรกติของมนุษย์ว่าต้องมีความผิดความบกพร่องและสามารถยอมรับ
ความบกพร่องของคนอื่นได้เห็นใจในความผิดบกพร่องของงเขาได้อยากช่วยเหลือเขา
และจะอภัยได้ง่ายขึ้นเพราะรู้ว่าเขาก็ทุกข์จากข้อบกพร่องของเขา เขาไม่ได้มีความสุข
จากการทำผิดต่อเราอย่างที่เราคิดหรอก

ทุกอย่างที่เราคิดโกรธแค้นแล้วเกิดความทุกข์นั้น ไม่ใช่ทุกข์ถาวรหรอก
ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป ตามกฎของปรมัตถ์สัจจะที่มีความเป็นอนิจจังทั้งนั้น
อย่าไปคิดยึดติดว่าเราจะต้องทุกข์มากๆ ตลอดไป
จงหาทางคลายทุกข์ให้ผ่านไปเร็วๆด้วยการให้อภัยไม่ดีกว่าหรือ
(ถ้าคิดอย่างนี้ถือว่ามีวิจารณญาณ หรือ Insight ได้แล้ว)

4. ให้ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวและไม่แข่งขัน (Aerobic Exercise) เช่นการวิ่งจ๊อกกิ้ง
เพื่อให้สารความสุขหลั่งออกมาและให้นึกถึงภาพตัวเองมีความสุขจากการให้อภัยคนอื่น
และให้นึกถึงภาพตัวเองมีความทุกข์จากการไม่ให้คนอื่น จะทำให้อยากให้อภัยได้ง่ายขึ้น

5. ชื่นชมตัวเองให้มากๆเมื่อคิดได้ดังกล่าว หรือเริ่มลงมือทำอะไร เพื่อการให้อภัยดังกล่าวแล้ว จะเกิดกำลังใจได้มากขึ้น

ผู้ให้อภัยคือผู้ชนะ
เมื่ออภัยได้แล้วจะเกิดปรากฎการณ์ดังนี้
1. คุณคือผู้ชนะ เพราะคุณไม่แคร์เขาแล้ว
2. คุณไม่ผูกมัดตัวเองกับหนามชีวิต หรือบาดแผลหัวใจต่อไปแล้ว เลิกเจ็บปวดกับมันเสียที
3. สารความสุข Endophine ก็จะหลั่งในสมองมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น
4. ชื่นชมตัวเองได้มากขึ้น เพราะว่าสามารถทำสิ่งที่ยากแต่สร้างสรรค์ได้แล้ว
หัวใจคุณจะเปิดรับการรักคนอื่นได้มากขึ้นแทนการรักตัวเอง
ซึ่งจะเป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองตรงที่คุณรู้จัก รักคนอื่นได้มากนี่แหละครับ

ปกติมนุษย์เราจะรักคนที่รักมนุษย์เป็น ทั้งนี้เพราะอยู่ด้วยแล้วจะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยเป็นมิตร การให้อภัยนี้ถือเป็นงานชิ้นเยี่ยมของชีวิตเชียวน่ะครับ เพราะทำได้ยาก ลดความทุกข์ได้มาก เกิดความสร้างสรรค์มากและเป็นการยกระดับจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้นมากมาย คุณจะไม่ลองทำดูเดี๋ยวนี้หรือครับ

ผู้ได้ประกอบกรรมชั่ว กรรมนั้นจะต้องตามสนองไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้น พระศาสดาจึงสอนเราอย่าประมาทให้เรามีสติ รู้ตัวก่อน หากว่าความโกรธกำลังจะเกิดขึ้น มีเวลายับยั้ง มีปัญญาพอจะรู้ได้ว่าความโกรธเป็นภัยที่ร้ายแรงแก่ผู้โกรธเอง ยิ่งโกรธมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นโทษเป็นภัยมากเท่านั้น โดยโทษภัยนั้นจะติดตามมาภายหลัง เรามีสติพอ มีเวลาสามารถที่จะดับความโกรธลงได้ก่อนที่จะถึงจุดบ้าร้อนแรงเดือดพลุ่งขึ้น มา พอที่เผาผลาญอนาคตและชีวิตของตนเองได้”

ฉะนั้น มนุษย์ในยุคนี้จึงมีอารมณ์โกรธง่าย โมโหร้ายพยาบาทอาฆาต ความแค้น จองเวร สาเหตุเพียงเล็กน้อยก็ฆ่ากันตาย เหมือนทำลายตัวเองและชีวิตในครอบครัว เป็นข่าวมากจนชินเป็นของธรรมดา เป็นคดีมากมาย เป็นเรื่องเศร้าใจ ครอบครัวใดมีคนชั่วปนอยู่ด้วยนับว่ามีทุกข์หนักเป็นเวรกรรม หากคนเรามีหลักศาสนธรรมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็ทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา มีอารมณ์เย็น โกรธยาก โมโหยาก จะทำอะไรก็ใช้สติไตร่ตรองตัดสินใจก่อนทำ จึงมีคุณประโยชน์ มีโทษน้อยเพราะคิดหน้าคิดหลังดีแล้ว ทำสิ่งที่อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เข้ากับตัวเอง

เมื่อผิดก็ยอมรับผิดด้วยหน้าชื่นตาบาน ถือเอาความผิดเป็นบทเรียน แก้ไขให้ดี ประพฤติให้ถูกศีลธรรม ไม่มีความลับทั้งภายในภายนอก จิตใจก็สบาย ชาติไทยจะมีพลเมืองอยู่กันด้วยความสงบสุขเหมือนครั้งปู่ย่า ตายายเพราะต่างก็มีศีลธรรมอยู่ในขอบเขต แม้บ้านเมืองยังไม่เจริญไม่มีเครื่องใช้บำรุงบำเรอความสะดวกสบายภายนอก ตึกรามสูงใหญ่สวยงามยังไม่ค่อยมี แต่คนสมัยนั้นก็มีความสงบสบายทางจิตใจ เพราะไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวาย ใจคอไม่โหดร้ายเหมือนทุกวันนี้

ก็เปรียบเทียบให้เห็น ระหว่างผู้ที่มีหลักธรรมปฏิบัติกับผู้ปฏิบัติไปตามอารมณ์ไม่มีขอบเขต ในปัจจุบันจะพบเห็นสิ่งแตกต่างกันมาก ทุกคนเกิดมาจะต้องพบกับมนุษย์ทุกชนิดไม่ว่าดีหรือชั่ว เพื่อความไม่ประมาทเราก็เตรียมจิตใจหาหลักธรรมคอยแก้ไข เอาความดีชนะความชั่ว ให้อภัย อโหสิกรรม ไม่พยาบาทจองเวรจองกรรม ให้เหตุร้ายผ่านไปโดยไม่ยอมรับเอาความทุกข์ไว้ในความรู้สึก ไม่อยู่ใต้อารมณ์ของความโกรธ ความเจ็บแค้น ความพยาบาท”

"จงชนะตนเองด้วยการให้อภัยตนเอง และให้อภัยผู้อื่น" ขอให้หลับสบาย เพราะใจมันสบาย ใจมันเย็นฉ่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ผมคิดได้แล้วผมสบายใจ ผมได้สติ ได้ความคิดว่า การอโหสิกรรมเป็นบุญกุศลอันสูงยิ่งและได้ผลทันตาเห็น สามารถกำจัดความโกรธ ความแค้น ความพยาบาทให้หลุดพ้นไปได้ เป็นการชนะใจตัวเอง เพราะผมได้อโหสิกรรมแล้ว ไม่มีความโกรธไม่มีความแค้นเหลืออยู่อีกเหมือนปลดของหนักออกจากบ่า ทำให้ตัวเบาสบาย ทำให้จิตใจแจ่มใสมองเห็นแสงสว่างขึ้นมาแล้ว ขอขอบคุณที่รบกวนเวลาของคุณยามดึกดื่นมาก คุณได้ให้ข้อคิดหลักการอโหสิกรรมแก่ผม ทำให้ผมได้สติกลับมาเป็นตัวเอง ไม่เป็นทาสของกิเลส ตัณหา คือความโกรธ ความแค้น ความพยาบาท เรื่องที่ผมจะให้เขียนพบคนชั่วไม่ต้องเขียนแล้ว คืนนี้ผมคงหลับสบาย ขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้ผมสบายใจ เพราะปลดความทุกข์ที่หนักอกลงได้แล้ว สวัสดี”

=-=-=-=-=-ให้อภัยเถอะนะ นะ

ที่มา: ข้อมูลบางส่วนจากบทความของ ศ.ดร.น.พ.วิทยา นาควัชระ และ อโหสิกรรม โดย ท.เลียงพิบูลย์ จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒

No comments:

Post a Comment